๑หน่วยการเรียนรู้ท่ี การพดู ในโอกาสตา่ งๆ ๑ การพดู โต้วาที “ถงึ บางพูดพูดดเี ป็ นศรีศกั ดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจติ แม้นพูดชั่วตวั ตายทาํ ลายมติ ร จะชอบผดิ ในมนุษย์เพราะพูดจา ฯ” บทประพนั ธ์นี้ สุนทรภ่เู ขยี นไว้ในนิราศภเู ขาทอง
๑.การพูดโต้วาที บทประพนั ธ์นี้ สุนทรภูเ่ ขียนไวใ้ นนิราศภเู ขาทองเพ่อื บอกถึงความสาํ คญั ของการพดู ซ่ึงเป็ นทกั ษะทางภาษาท่ีใชใ้ น ชีวติ ประจาํ วนั หลายคนประสบความสาํ เร็จในชีวิตดว้ ยการพูด และผูท้ ี่จะตดั สินการพูดไดด้ ีท่ีสุดคือผูฟ้ ัง การพูด เป็ นการใชภ้ าษาเพื่อการสื่อสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึกความตอ้ งการของผสู้ ่งสารไปยงั ผรู้ ับสาร ดงั น้นั ผพู้ ูดจึงตอ้ งมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด โดยเลือกใชภ้ าษา น้าํ เสียง กิริยาท่าทางให้เหมาะสม เตรียมเน้ือเรื่องให้ถูกตอ้ งชดั เจน เป็ นไปในทางสร้างสรรค์รวมถึงมีกิริยาวาจาท่ีสุภาพ ถูกตอ้ งตามแบบแผนของ สงั คม ทาํ ใหผ้ ฟู้ ังเกิดความเชื่อถือการอยรู่ ่วมกนั ของคนในสงั คม มกั จะมีขอ้ ขดั แยง้ เกิดข้ึนซ่ึงมีท้งั ผทู้ ่ีเห็นดว้ ยและไม่ เห็นดว้ ยในสังคมมกั จะโตแ้ ยง้ กนั ดว้ ยคาํ พูดที่ประกอบดว้ ยเหตุผลเพื่อให้อีกฝ่ ายเห็นดว้ ยกบั เหตุผลของตนการ โตแ้ ยง้ ดว้ ยคาํ พูดเป็ นลกั ษณะหน่ึงของการพดู ชกั จูง ซ่ึงใชใ้ นการแลกเปล่ียนความคิดเห็นกนั ในชีวติ ประจาํ วนั แต่ ถา้ เป็ นการโตแ้ ยง้ อยา่ งเป็ นพิธีการ มีกฎเกณฑ์ มีผูต้ ดั สินให้แพห้ รือชนะ เรียกลกั ษณะการโตแ้ ยง้ น้นั วา่ การโตว้ าที การโตว้ าที คือการพูดท่ีมีฝ่ ายเสนอความคิดเห็นฝ่ ายหน่ึงกบั อีกฝ่ ายหน่ึงกล่าวคา้ นความคิดเห็นท้งั สองฝ่ ายจะใช้ วาทศิลป์ กล่าวคา้ นความคิดเห็นของกนั และกนั อยา่ งมีระเบียบ โดยใชเ้ หตุผล ขอ้ เท็จจริงและหลกั วชิ า เพ่ือใหเ้ ห็นวา่ ความคิดเห็นของฝ่ ายตนน้ันถูกตอ้ ง ท้งั สองฝ่ ายต่างกล่าวคา้ นเหตุผลของอีกฝ่ ายหน่ึงเพื่อให้คาํ พูดของตนเป็ นที่ น่าเช่ือถือและโนม้ นา้ วใจใหผ้ ฟู้ ังเกิดความคิดคลอ้ ยตาม
๑.๑ องค์ประกอบของการโต้วาที ๑) ญัตติ คือการเสนอความเห็นที่ขดั แยง้ กนั ในเร่ืองเดียวกนั ญตั ติในการโตว้ าทีมี ความสาํ คญั มาก หวั ขอ้ หรือเรื่องท่ีนาํ มาต้งั เพือ่ ใชใ้ นการโตว้ าทีจะตอ้ งมีลกั ษณะที่ขดั แยง้ กนั ในตวั ยว่ั ยใุ หค้ ิดไปไดห้ ลายแง่มุม ญตั ติที่ดีตอ้ งทาํ ใหผ้ คู้ า้ นสามารถคา้ นไดห้ รือนาํ มา โตแ้ ยง้ ได้ นาํ เหตุผลของอีกฝ่ ายหน่ึงมาหกั ลา้ งเหตุผลของอีกฝ่ ายหน่ึง เพื่อเป็นการโนม้ นา้ ว จิตใจผฟู้ ังใหม้ ีความเห็นคลอ้ ยตาม
ผ้พู ูดญตั ตทิ ด่ี คี วรมีลกั ษณะดงั นี้ ๑. เป็ นขอ้ ความส้นั กะทดั รัด เขา้ ใจง่าย มีความหมายชดั เจนสมบูรณ์ในตวั มีสมั ผสั คลอ้ งจอง เช่น “มปี ัญญาดีกว่ามีทรัพย์” “ประกอบอาชีพส่วนตวั ดีกว่ามัวรับราชการ” ๒. เป็ นเรื่องที่อยใู่ นความสนใจของคนทว่ั ไป ไม่ควรเป็นเร่ืองท่ีลา้ สมยั ๓. เป็ นการเสริมสร้างสติปัญญาใหผ้ ฟู้ ัง ๔. เป็ นเร่ืองท่ีคา้ นได้ เช่น “อย่บู ้านนอกสดใสสบายใจกว่าเมืองหลวง” จะทาํ ให้ฝ่ายตรงขา้ มคา้ นได้ เร่ืองที่คา้ น ไมไ่ ดไ้ มค่ วรนาํ มาเป็ นญตั ติ เช่น “ผู้หญิงผู้ชายกต็ ายเหมือนกัน” เป็นเรื่องท่ีคา้ นไม่ได้ ๕. เป็ นเร่ืองท่ีไม่สร้างความแตกแยกหรือมีเน้ือหาเกี่ยวกบั ศาสนาหรือการปกครอง เช่น “ไทยเหนือดกี ว่าไทยใต้” ลกั ษณะเช่นน้ีไมค่ วรนาํ มาเป็นญตั ติ ๖. ไม่เป็นคาํ หยาบคายหรือเป็ นคาํ ไม่สุภาพ คาํ ผวน ไมค่ วรนาํ มาใชเ้ ป็นญตั ติ ๗. ไม่เป็นปัญหาที่หาขอ้ ยตุ ิไมไ่ ด้ เช่น “ไก่เกิดก่อนไข่หรือไข่เกิดก่อนไก่” หรือ “ทาํ ไมโลกจึงกลม” ๘. ไม่เป็ นเรื่องท่ีไดพ้ สิ ูจน์แลว้ วา่ เป็นจริง ไม่มีทางท่ีจะคา้ นไดอ้ ีกแลว้ เช่น “แสงเร็วกว่าเสียง” ๙. เป็ นญตั ติที่ท้งั สองฝ่ ายไม่ไดเ้ ปรียบหรือเสียเปรียบกนั มากเกินไป
๒) คณะผโู้ ตว้ าที ประกอบดว้ ย ๑. ผดู้ าํ เนินการโตว้ าที จาํ นวน ๑ คน ๒. ผพู้ ูดฝ่ ายเสนอ ๑ ฝ่ าย จาํ นวน ๓ - ๕ คน (แตไ่ ม่ควรเกิน ๕ คน) ๓. ผพู้ ดู ฝ่ ายคา้ น ๑ ฝ่ าย จาํ นวน ๓ - ๕ คน เทา่ กบั ฝ่ ายเสนอ ๔. กรรมการจบั เวลา จาํ นวน ๒ คน ๕. กรรมการใหค้ ะแนน จาํ นวน ๓ คน ๓) การเรียกช่ือผโู้ ตว้ าทีและการเชิญผโู้ ตว้ าที การเรียกช่ือผโู้ ตว้ าที ควรเรียกตาํ แหน่งของผู้ โตว้ าที เช่น หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอ ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่ ๑ เป็นตน้ ไม่ควรเรียกช่ือจริง
ยกเวน้ ผดู้ าํ เนินรายการแนะนาํ ผโู้ ตว้ าทีคร้ังแรกเรียกชื่อและนามสกลุ จริงได้ หากสมมติวา่ การ โตว้ าทีคร้ังน้ี มีผโู้ ตว้ าทีฝ่ ายละ ๓ คน จะเรียกช่ือได้ ดงั น้ี ๑. ผดู้ าํ เนินการโตว้ าที ๒. หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอ ๓. หวั หนา้ ฝ่ ายคา้ น ๔. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่ ๑ ๕. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายคา้ นคนท่ี ๑ ๖. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่ ๒ ๗. ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายคา้ นคนท่ี ๒
๔) การกาํ หนดเวลา ในการโตว้ าทีคร้ังหน่ึง อาจจดั เป็น ๓ รอบ หรือ ๒ รอบก็ไดแ้ ลว้ แตเ่ วลาจะ อาํ นวยให้ ถา้ มีเวลา ๖๐ นาที จดั โตว้ าทีเพยี งรอบเดียว หากมีผโู้ ตว้ าทีฝ่ายละ ๓ คนกจ็ ะ กาํ หนดเวลาได้ ดงั น้ี ๑. หวั หนา้ ของแต่ละฝ่ าย คนละ ๗ นาที รวม ๑๔ นาที ๒. ผสู้ นบั สนุนท้งั ๒ ฝ่ าย คนละ ๕ นาที รวม ๒๐ นาที ๓. หวั หนา้ แต่ละฝ่ายสรุป คนละ ๕ นาที รวม ๑๐ นาที ๔. ผดู้ าํ เนินการโตว้ าที เชิญผโู้ ตพ้ ดู พดู สรุปหลงั ผโู้ ตพ้ ดู แลว้ ประกาศผลการตดั สินกล่าวขอบคุณ รวม ๑๖ นาที ถา้ จดั เป็น ๒ รอบ จดั เหมือนรอบแรก แต่เม่ือพดู จบทกุ คนแลว้ ยงั ไม่ตอ้ งเชิญหวั หนา้ สรุป ใหเ้ ร่ิมรอบใหม่ เม่ือจบรอบสองแลว้ จึงให้หวั หนา้ แตล่ ะคนสรุป ๔. เมื่อผโู้ ตว้ าทีแต่ละคนพดู จบแตล่ ะคร้ัง ผดู้ าํ เนินการตอ้ งกล่าวสรุปส้นั ๆ และพดู ยวั่ ยฝุ ่ายตรงกนั ขา้ ม แลว้ จึงเชิญฝ่ายตรงขา้ มพดู กระทาํ อยา่ งน้ีเร่ือยไปจนจบรอบ ถา้ มีรอบสองก็ปฏิบตั ิเหมือนรอบแรก ๕. เมื่อทกุ คนพดู จบ หวั หนา้ แตล่ ะฝ่ายพดู สรุป แลว้ ผดู้ าํ เนินการตอ้ งนาํ ผลการตดั สินมาประกาศให้ผฟู้ ังไดท้ ราบ ๖. ก่อนปิ ดรายการ ผดู้ าํ เนินการตอ้ งกล่าวขอบคุณผฟู้ ัง ผโู้ ตว้ าที และกรรมการทกุ ฝ่าย
๒) ผู้โต้วาที ๒.๑) หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอ มีหนา้ ที่ในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. ช้ีใหผ้ ฟู้ ังเห็นขอ้ เทจ็ จริงของเน้ือหาตามที่ปรากฏในญตั ติ โดยมีการใหเ้ หตุผลประกอบ ๒. เสนอประเดน็ สาํ คญั ท่ีช่วยใหญ้ ตั ติท่ีเสนอมีความชดั เจนยง่ิ ข้ึน ๓. สรุปประเด็นของฝ่ ายตนและหกั ลา้ งแนวคิดของฝ่ ายตรงขา้ มในตอนทา้ ย ๒.๒) หวั หนา้ ฝ่ ายคา้ น มีหนา้ ท่ีในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. กล่าวคดั คา้ นประเดน็ สาํ คญั ที่หวั หนา้ ฝ่ ายเสนอพดู โดยยกเหตุผลมาประกอบ ๒. สงั เกตขอ้ บกพร่องต่างๆ ของฝ่ ายเสนอ เพือ่ หาเหตุผลหรือถอ้ ยคาํ มาหกั ลา้ งเหตุผลของ ฝ่ ายเสนอ ๓. สรุปประเดน็ ของฝ่ ายตนและหกั ลา้ งแนวคดิ ของฝ่ ายตรงขา้ มในตอนทา้ ย
๒.๓) ผสู้ นบั สนุน มีจาํ นวนฝ่ ายละเท่าๆ กนั ทาํ หนา้ ที่ในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. เสนอประเดน็ ความคิดเพอ่ื สนบั สนุนฝ่ ายของตนตามลาํ ดบั ดว้ ยเหตผุ ลขอ้ เทจ็ จริงและวาทศิลป์ ๒. โตแ้ ยง้ หกั ลา้ งผโู้ ตฝ้ ่ ายตรงขา้ มเป็ นประเด็นๆ ๒.๔) กรรมการจบั เวลา เวลาในการพดู ของผโู้ ตว้ าทีเป็ นเง่ือนไขสาํ คญั ประการหน่ึงซ่ึงตอ้ งมีผทู้ าํ หนา้ ท่ีควบคุมเวลา อยา่ งเคร่งครัด จะใชเ้ วลาเท่าใดไมม่ ีการกาํ หนดตายตวั แลว้ แตจ่ ะสร้างขอ้ ตกลงกนั ๒.๕) กรรมการใหค้ ะแนน มีหนา้ ที่ในกระบวนการโตว้ าที ดงั น้ี ๑. ควบคุมรักษาระเบียบของการโตว้ าทีและมารยาทของผโู้ ตว้ าที ๒. ใหค้ ะแนนผโู้ ตว้ าทีท้งั สองฝ่ ายตามหลกั เกณฑท์ ่ีไดต้ กลงกนั ไว้ ๓. วจิ ารณ์การโตว้ าที อยา่ งไรก็ตาม กรรมการใหค้ ะแนนจะปฏิบตั ิหนา้ ท่ีไดด้ ีจะตอ้ งเป็ นผทู้ ี่ทราบหลกั เกณฑข์ องการโตว้ าทีและ การใชเ้ หตผุ ลเป็ นอยา่ งดี มีความรู้ในญตั ติน้นั ๆ เป็ นอยา่ งดี มีความสุจริต เที่ยงธรรม
มารยาทในการโต้วาที ๑. เมื่อประธานแนะนาํ ถึงผใู้ ดใหผ้ นู้ ้นั ทาํ ความเคารพผฟู้ ัง เช่น อาจลุกข้ึนไหวห้ รือโคง้ คาํ นบั เป็ นตน้ ๒. เม่ือประธานเชิญใหอ้ อกไปพดู จึงออกไป ไม่ควรออกไปพดู โดยไมไ่ ดร้ ับเชิญเป็ นอนั ขาด ไมเ่ รียกช่ือจริง ของฝ่ ายตรงขา้ ม แตเ่ รียกตาํ แหน่งของผโู้ ตว้ าที เช่น ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายเสนอคนที่หน่ึง ผสู้ นบั สนุนฝ่ ายคา้ นคนที่สอง รวมท้งั ไม่จอ้ งหนา้ หรือช้ีหนา้ แตข่ ณะพดู ควรสบตากบั ผฟู้ ังเป็ นระยะๆ ๓. รักษามารยาทในการพดู ไม่ใชค้ าํ หยาบ คาํ ด่า คาํ สบถ สาบานและไม่ควรนาํ เร่ืองส่วนตวั ของฝ่ ายตรงขา้ ม มาพดู ๔. ระมดั ระวงั เร่ืองบุคลิกภาพ เช่น การแตง่ กายใหเ้ หมาะสม การแสดงความรู้สึกและท่าทางประกอบในการ พดู แต่ละคร้ัง ยมิ้ แยม้ แจ่มใส ไมแ่ สดงความโกรธ ไมถ่ ือเป็ นเร่ืองบาดหมางกนั เม่ือการโตว้ าทีจบลง ๕. ไมม่ ุ่งแต่จะเอาชนะจนละเลยและทาํ ลายความจริงอนั เป็ นธรรม ผทู้ ี่มีศิลปะในการพดู อาจพดู ใหผ้ ฟู้ ังเห็น ผดิ เป็ นชอบไดโ้ ดยใชโ้ วหารที่เหนือกวา่ การโตว้ าทีที่ดีควรยดึ หลกั ความจริงและยกเหตุผลที่ถูกตอ้ งมาหกั ลา้ งกนั โดยใชว้ าทศิลป์
๒.๑ องคป์ ระกอบของการอภิปราย การอภิปรายตอ้ งมีแบบแผน มีขอบเขตและหลกั เกณฑเ์ พอ่ื ใหก้ ิจกรรมการอภิปรายดาํ เนินไปดว้ ยดี เกิดประโยชน์กบั ทุกฝ่ าย จึงตอ้ งมีองคป์ ระกอบตา่ งๆ ดงั น้ี ๑) หวั ขอ้ ปัญหา หรือเร่ืองที่จะนาํ มาอภิปราย ปัญหาหรือเรื่องท่ีจะนาํ มาอภิปรายควรเป็ นปัญหาท่ีกาํ ลงั อยใู่ น ความสนใจของผฟู้ ังและเป็ นปัญหาที่ทุกคนทุกฝ่ ายกาํ ลงั ประสบ ๒) คณะผอู้ ภิปราย ผอู้ ภิปรายควรมีจาํ นวนไม่ต่าํ กวา่ ๓ คน และไม่ควรเกิน ๗ คนเพราะถา้ นอ้ ยเกินไป อาจทาํ ใหไ้ ดข้ อ้ สรุปท่ีไมค่ รอบคลมุ กบั ปัญหา แตถ่ า้ มากเกินไปจะทาํ ใหห้ าขอ้ สรุป ๓) ผดู้ าํ เนินการอภิปราย เป็ นผคู้ วบคุมการอภิปรายใหม้ ีระเบียบตามข้นั ตอนและทาํ หนา้ ที่ดาํ เนินการ อภิปรายไม่ใหอ้ อกนอกประเด็น รวมท้งั สรุปผลการอภิปราย ๔) ผฟู้ ัง เป็ นผทู้ ี่มีความสนใจหรือมีความเก่ียวขอ้ งกบั หวั ขอ้ การอภิปราย เช่น เป็ นผทู้ ่ีไดร้ ับความเดือนร้อน จากปัญหาท่ีนาํ มาอภิปรายเพอ่ื หาคาํ ตอบหรือทางแกไ้ ขท่ีดีและเหมาะสมที่สุด
๒.๓ มารยาทในการพดู อภิปราย ๑. ควรใชค้ าํ พดู ที่น่าฟัง สุภาพ ไพเราะ น้าํ เสียงแสดงความเป็นกนั เอง ๒. ไมพ่ ดู ทบั ถมผอู้ ภิปรายคนอ่ืนๆ ๓. ควรยกยอ่ งความคิดเห็นของสมาชิกผรู้ ่วมอภิปรายคนอื่นๆ ๔. ไมผ่ กู ขาดการพดู เพยี งคนเดียว ควรเปิ ดโอกาสให้ผอู้ ่ืนไดพ้ ดู บา้ ง ๕. ผดู้ าํ เนินการอภิปราย จะตอ้ งไม่ใชอ้ าํ นาจในการพดู เพยี งคนเดียวและจะตอ้ งไม่พดู มากจนเกินไป พดู แตพ่ อควร เพราะผดู้ าํ เนินการ อภิปรายทาํ หนา้ ที่พดู ชกั นาํ ให้ผอู้ ภิปรายพดู ๖. ถา้ หากขอ้ คิดเห็นของคนอ่ืนมีเหตผุ ลมากกวา่ จะตอ้ งแสดงความยนิ ดีตอ่ ขอ้ คิดเห็นน้นั ๆ ไมแ่ สดงความไมพ่ อใจ ววู่ ามท้งั การพดู น้าํ เสียงและกิริยาอาการ ๗. ไมพ่ ดู เน้ือความกระทบกระเทียบบุคคลใดบคุ คลหน่ึงหรือไมพ่ ดู ดว้ ยถอ้ ยคาํ ที่อาจทาํ ใหผ้ อู้ ื่นเดือดร้อน ๘. ไมค่ วรพดู ซ้าํ ๆ หรือพดู เยนิ่ เยอ้ เพราะอาจทาํ ใหค้ ณะอภิปรายและผฟู้ ังอึดอดั หรือเกิดความราํ คาญได้ ๙. จะตอ้ งคอยให้ผดู้ าํ เนินการอภิปราย (หรือประธานหรือผดู้ าํ เนินการอภิปราย) เรียกชื่อตนเสียก่อนจึงจะเร่ิมการพดู ได้ ๑๐. พยายามปฏิบตั ิตนให้เป็ นกนั เองกบั เพอ่ื นสมาชิกในการอภิปราย
๓) การพดู โน้มน้าวใจ การพูดโนม้ นา้ วใจเป็นการใชภ้ าษาเพือ่ การสื่อสารประเภทหน่ึง คือการใชค้ าํ พดู เพอื่ เปล่ียนความ เชื่อ ทศั นคติ ค่านิยมและการกระทาํ ของบุคคลอื่น ใหเ้ กิดความสนใจและคิดเห็นคลอ้ ยตามยอมเปล่ียน ความคิด ความเชื่อที่มีต่อเรื่องใดเรื่องหน่ึงตามท่ีผูโ้ นม้ นา้ วใจประสงค์ หลกั การสาํ คญั ของ การพดู โนม้ นา้ วใจ คือการทาํ ใหผ้ ฟู้ ังเช่ือวา่ ถา้ เชื่อและเห็นคุณคา่ หรือทาํ ตามท่ีผโู้ นม้ นา้ วใจช้ีแจงหรือชกั นาํ แลว้ จะไดร้ ับผลท่ีตอบสนองความตอ้ งการข้นั พ้นื ฐานของตน โดยผโู้ นม้ นา้ วใจควรตระหนกั ถึง ประเดน็ ของการนาํ เสนอเหตุผลเพื่อใหผ้ ูร้ ับสารเขา้ ใจ เห็นความสาํ คญั และยอมรับการโนม้ นา้ วน้นั
๓.๑ แนวทางการพูดโนม้ นา้ วใจ การพดู โนม้ นา้ วใจควรใชภ้ าษาในเชิงเสนอแนะขอร้อง วงิ วอนหรือเร้า ใจ ควรเลือกใชภ้ าษาที่เหมาะสม สื่อความหมายตามท่ีตอ้ งการ โดยคาํ นึงถึงจงั หวะและความนุ่มนวล ในน้าํ เสียง ๓.๒ มารยาทในการพดู โนม้ นา้ วใจ ใหค้ วามสนใจแก่ผฟู้ ังและเร่ืองที่เก่ียวกบั ผฟู้ ังอยา่ งจริงใจ โดย แสดงออกท้งั ทางกิริยาวาจาและใจสร้างความประทบั ใจให้แก่ผฟู้ ังดว้ ยใบหนา้ ท่ียมิ้ แยม้ แจ่มใส แสดง ความเป็นมิตรเป็นนกั ฟังท่ีดี ก่อนพดู ตอ้ งเก็บขอ้ มูลเกี่ยวกบั ผฟู้ ังใหม้ ากที่สุด นาํ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการฟัง มีความเขา้ ใจ จดจาํ วธิ ีการพูดในแต่ละรูปแบบ อีกท้งั ตอ้ งรู้จกั เลือกใชภ้ าษาใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม ฉะน้นั ผเู้ รียนควรศึกษาทาํ ความเขา้ ใจวธิ ีการพูดและฝึกฝนใหเ้ กิดความชาํ นาญเพื่อใหส้ ามารถสื่อสารได้ อยา่ งมีประสิทธิภาพ
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: