นาฏศิ ลป์ไทย
คำนำ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-BOOK)เล่มนี้เป็ นส่วน หนึ่งของวิชา นาฏศิลป์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โดยมีจุด ประสงค์ เพื่อการศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องนาฏศิลป์ ไทย ซึ่งหนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-BOOK) เล่มนี้มี เนื้อหาเกี่ยวกับ วิวัฒนาการของนาฏศิลป์เเละละครไทย วิวัฒนาการของละครตะวันตก เเละ การชม วิจารณ์ เเละประเมินคุณภาพการเเสดง ผู้จัดทำจะต้องขอขอบคุณ อาจารย์ผู้สอน ผู้ให้ความรู้ และแนวทางการศึกษาเพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ผู้จัดทำหวังว่าหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์(E-BOOK)เล่มนี้จะให้ความรู้ และเป็ น ประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน คณะผู้จัดทำ
สมาชิก นายศุภกิตติ เดิมหลิ่ม นายณรงค์เดช แสงแก้ว ม.4/5 เลขที่ 7 ม.4/5 เลขที่ 19 นางสาว นันท์นภัส ศรีปรางค์ นางสาว ทอขวัญ ทองรักจันทร์ ม.4/5 เลขที่ 23 ม.4/5 เลขที่ 30
สารบัญ หน้า ก เรื่อง ข คำนำ ค สมาชิก 1-6 สารบัญ 7-11 วิวัฒนาการของนาฏศิลป์เเละละครไทย 12-14 วิวัฒนาการละครตะวันตก การชม วิจารณ์ และประเมินคุณภาพการแสดง
วิวัฒนาการของนาฏศิ ลป์ เเละละครไทย สมัยน่านเจ้า สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ สมัยธนบุรี สมัยน่านเจ้า มีนิยายเรื่อง นามาโนห์รา เป็นนิยายของพวกไต หรือคนไทย ในสมัยน่านเจ้าที่มีปรากฏอยู่ ก่อนหน้านี้คือ การแสดงจำพวกระบำ เช่นระบำหมาก ระบำนกยุง สมัยอยุธยา มีการแสดงละครชาตรี ละครนอก ละครใน แต่เดิม ที่เล่นเป็นละครเร่ จะแสดงตามพื้นที่ ว่างโดยไม่ต้องมีโรงละคร เรียกว่า ละครชาตรี ต่อมาได้มีการวิวัฒนาการ เป็นละครรำ เรียกว่า ละครใน ละครนอก โดยปรับปรุงรูปแบบ ให้มีการแต่งการที่ประณีตงดงามมากขึ้น มีดนตรีและ บทร้อง ละครในแสดงในพระราชวัง จะใช้ผู้หญิงล้วน ห้ามไม่ให้ชาวบ้านเล่น เรื่องที่นิยมมาแสดง มี 3 เรื่องคือ อิเหนา รามเกียรติ์ อุณรุท ส่วนละครนอก ชาวบ้านจะแสดง ใช้ผู้ชายล้วนดำเนิน เรื่องอย่างรวดเร็ว สมัยสุโขทัย พบหลักฐาน การละครและฟ้อนรำ ปรากฏอยู่ในศิลาจาลึก ของพ่อขุนรามคำแหง กล่าว่า เมื่อ จักเข้ามาเรียงกันแต่อรัญญิกพู้นเท้าหัวลานด้วยเสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื้อน เสียงขับ จึงทำให้รับวัฒนธรรมของอินเดีย ผสมผสานกับวัฒนธรรมไทย มีการบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่ เพื่อนใช้เรียกศิลปะการแสดงของไทย ว่า โขน ละคร ฟ้อนรำ สมัยธนบุรี สมัยนี้บทละครในสมัยอยุธยาได้สูญหายไป สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จ พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงรวบรวมศิลปิน บทละคร ที่เหลือมาทรงพระราชนิพนธ์ บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ อีก 5 ตอนได้แก่ 1.ตอนอนุมานเกี้ยวนางวานริน 2.ตอนท้าวมาลีวราชว่าความ 3.ตอนทศกันฐ์ตั้งพิธีทรายกรด 4.ตอนพระลักษมณ์ถูกหอกกบิลพัท 5.ตอนปล่อนม้าอุปการ
สมัยรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็กพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมัยนี้ได้ฟื้ นฟู และรวบรวม สิ่งที่สูญหายให้มีความ สมบูรณ์มากขึ้นและรวบรวม ตำราการฟ้อนรำ ไว้เป็น หลักฐานที่สำคัญที่สุดในประวัตืศาสตร์ พระองค์ทรง พัฒนาโขน โดยให้ผู้แสดงเปิดหน้าและสวมมงกุฎ หรือ ชฏา ทรงพระราชนิพนธ์บทละครเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนา รายณ์ปราบนนทก รัชกาลที่ 2พระบาทสมเด็กพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมัยนี้วรรณคดี และละครเจริญถึงขีดสุด พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลง การแต่งกาย ให้เป็นการแต่งยืนเครื่อง แบบในละครใน ทรงพระราช นิพนธ์บทละครเรื่องอิเหนา ซึ่งเป็นละครที่ได้รับการยกย่องจาก วรรณคดีสโมสร ว่าเป็นยอดของบทละครรำ คือแสดงได้ครบองค์ 5 คือ ตัวละครงาม รำงาม ร้องเพราะ พิณพาทย์เพราะ และกลอนเพราะ เมื่อปี พ.ศ.2511 ยูเนสโก ได้ถวายพระเกียรติคุณแด่พระองค์ ให้ในฐานะบุคคลสำคัญ ที่มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม ระดับโลก
สมัยรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนี้พระองค์ ให้ยกเลิกละครหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ จึงพากันฝึกหัดโขน ละคร คณะละครที่มีแบบแผนในเชิงฝึกหัดและแสดง ทางโขน ละครถือเป็น แบบแผนในการปฏิบัติสืบต่อมา ถึงปัจจุบันได้แก่ 1.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณาคุณ 2.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพนมวัน กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ 3.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสร กรมหลวงรักษ์รณเรศ 4.ละครของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ 5.ละครของพระเข้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าทรนกร กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ 6.ละครของเจ้าพระยาบดินทรเดช
สมัยรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ฟื้ นฟู ละครหลวง ขึ้นใหม่อนุญาตให้ราษฎรฝึกละครในได้ ซึ่งแต่เดิมละคร ในจะแสดงได้แต่เฉพาะในพระราชวังเท่านั้น ด้วยเหตุที่ละครแพร่หลายไปสู้ ประชาชนมากขึ้น จึงมีการบัญญัติข้อห้ามในการแสดงลำครที่มิใช่ละครหลวง ดังต่อไปนี้ 1.ห้ามฉุดบุตรชาย-หญิง ผู้อื่นมาฝึกละคร 2.ห้ามใช้รัดเกล้ายอดเป็ นเครื่องประดับศีรษะ 3.ห้ามใช้เครื่องประกอบการแสดงที่เป็นพานทอง หีบทอง 4.ห้ามใช้เครื่องประดับลงยา 5.ห้ามเป่าแตรสังข์ 6.หัวช้างที่เป็นอุปกรณ์ในการแสดงห้ามใช้สีเผือก ยกเว้นช้างเอราวัณ รัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้สถาพบ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้า และขยายตัวอย่าง รวดเร็ว เพราะได้รับวัฒนธรรมจากตะวันตก ทำให้ศิลปะการแสดงละครได้ มีวิวัฒนาการขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง นอกจากนี้ ยังกำเนิดละครดึกดำบรรพ์ และละครพันทางอีกด้วย นอกจากพระองค์ทรงส่งเสริมให้เอกชนตั้งคณะ ละครอย่างแพร่หลายแล้ว ละครคณะใดที่มีชื่อเสียงแสดงได้ดี พระองค์ ทรงเสด็จมาทอดพระเนตร และโปรดเกล้าฯ ให้แสดงในพระราชฐานเพื่อ เป็ นการต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองอีกด้วย
สมัยรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในสมัยนี้เป็นสมัยที่โขน ละคร ดนตรี ปี่ พาทย์เจริญถึงขีดสุด พระองค์ทรงเป็นราชาแห่งศิลปิน แม้ว่าจะมีประสมการณ์ด้านละคร พูดแบบตะวันตก แต่ก็ทรงมีพระราชปณิธานอันแรงกล้า ที่จะทรง ไว้ซึ่ง “ความเป็นไทย “ และดนตรีปี่ พาทย์ ทั้งยังทรงพระราชทาน บรรดาศักดิ์ให้แก่ศิลปินโขนที่มีฝีมือให้เป็นขุนนาง เช่น พระยานัฏ กานุรักษ์ พระยาพรหมาภิบาล เป็นต้น รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมัยนี้ประสมภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ การเมืองเกิดการคับขัน จึงได้มี การปรับปรุงระบบบริหาร ราชการกระทรวงวังครั้งใหญ่ ให้โอนงานช่าง กองวังนอก และกองมหรสพไปอยู่ในสังกัดของกรมศิลปากร และการ ช่างจึงย้ายมาอยู่ในสังกัดของกรมศิลปากร ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม พ.ศ.2478 โขนกรมมหรสพ กระทรวงวังจึงกลายเป็น โขนกรม ศิลปากร มาแต่ครั้งนั้น ในสมัยนี้มีละครแนวใหม่เกิดขึ้น ที่เรียกว่า ละครเพลง หรือที่รู้จักกันว่า ละครจันทโรภาส
สมัยรัตนโกสิ นทร์ รัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สมัยนี้การแสดงนาฎศิลป์ โขน ละคร จัดอยู่ในการกำกับดูแลของกรม ศิลปากร หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดีคนแรกของกรมศิลปากรได้ฟื้ นฟู เปลี่ยนแปลงการแสดงโขน ละครในรูปแบบใหม่ โดยจัดตั้งโรงเรียนนาฏ ดุริยางคศาสตร์ขึ้น เพื่อให้การศึกษาทั้งด้านศิลปะและสามัญ และเพื่อยก ระดับศิลปินให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ในสมัยนี้ได้เกิดละครรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่า ละครหลวงวิจิตรวาทการ เป็นละครที่มีแนวคิดปลุกใจให้รักชาติ บางเรื่องเป็นละครพูด เช่น เรื่องราชมนู เรื่องศึกถลาง เรื่องพระเจ้า กรุงธนบุรี เป็นต้น รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ในสมัยนี้พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้บันทึกภาพยนตร์สีส่วนพระองค์ บันทึก ท่ารำเพลงหน้าพาทย์องค์พระพิราพ ท่ารำเพลงหน้าพาทย์ของพระ นาง ยักษ์ ลิง และโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีไหว้ครู อีกทั้งยังมีการปลูกฝั งจิตสำนึกในการร่วม กันอนุรักษ์ สืบสาน สืบทอด และพัฒนาศิลปะการแสดงของชาติผ่านการเรียน การสอนในระดับการศึกษาทุกระดับ มีสถาบันที่เปิดสอนวิชาการละครเพิ่มมาก ขึ้นทั้งของรัฐและเอกชน มีรูปแบบในการแสดงลำครไทยที่หลากหลายให้เลือก ชม เช่น ละครเวที ละครพูด ละครร้อง ละครรำ เป็นต้น
วิวัฒนาการละครตะวันตก การละครยุคกรีก ละครกรีกสันนิษฐานว่า ถือกำเนิดขึ้นประมาณ 800 – 700 ปีก่อนคริสตกาล โดยเริ่มจากการประกวดการร้องรำทำเพลงเป็นหมู่ (Choral dance) ซึ่งเรียกว่า ดิธีแรมบ์ (dithyramb) ในเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อบวงสรวง เทพเจ้าไดโอนีซุส (Dionysus) เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นและความอุดมสมบูรณ์ ประเภทของละครกรีก ที่หลงเหลือมาถึงยุคปัจจุบันมี 2 ประเภท คือ 2.ละครคอมเมดีละครสุขนาฏกรรม 1.ละครแทรเจดีละครโศกนาฏกรรม ละครคอมเมดีเป็ นละครที่ให้ความรู้สึกตลก แสดงให้เห็นชีวิตตัวละครตัวเอก ที่มีความน่า ขบขัน เพราะความบกพร่องของมนุษย์ เป็นเรื่อง ยกย่องสรรเสริญ แต่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจ ราวที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งเกี่ยวกับการเมือง ของชะตากรรมซึ่งเทพเจ้าเป็นผู้ลิขิต แม้ว่าใน สงครามและสันติภาพ ทัศนะเกี่ยวกับศิลปะใน ที่สุดจะต้องพ่ายแพ้และประสบหายนะ แต่เป็น แง่ต่างๆ การโจมตีหรือเสียดสีตัวบุคคล ความพ่ายแพ้ที่ดิ้นรนต่อสู้ถึงที่สุดแล้ว
วิวัฒนาการละครตะวันตก การละครยุคโรมัน 1.ละครคอมเมดี ได้รับอิทธิพลจากคอมเมดีกรีก 2. ละครแทรเจดี ได้รับอิทธิพลจากตำนานกรีก ได้มีนักเขียนบทละครชาวโรมัน ชื่อ เซเนกา ได้เขียนบทละครที่มีอิทธิพลต่อนักเขียนบทละครยุคต่อมา คือ ยุคฟื้ นฟู ศิลปวิทยา 3. ละครแพบูลาอาเทลลานา เป็นละครตลกสั้นๆ ใช้ตัวละครที่ไม่ลึกซึ้งและมีลักษณะซ้ำกันทุกเรื่อง ใช้เรื่องราวชีวิตในชนบทของชาวบ้านสามัญ ละครชนิดนี้ได้รับความนิยมสูงสุด 4. แพนโทมายม์ เป็นการร่ายรำที่มีความหมายโดยใช้นักแสดงคนเดียว ซึ่งเปลี่ยนบทบาทโดย การ “เปลี่ยนหน้ากาก” มีพวกคอรัสเป็นผู้บรรยายเรื่องราว มักเป็นเรื่องราว ที่เคร่งเครียดและได้จากตำนานปรัมปรา มีเครื่องดนตรีประกอบหลายชิ้น เช่น ขลุ่ยและเครื่องตี
วิวัฒนาการละครตะวันตก การละครยุคกลาง การละครในโรมันถึงยุคเสื่อม เป็นเวลากว่า 300 ปี จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1400 คริสตจักรทำให้ ละครกลับมาฟื้ นตัวอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเริ่มจัดการแสดงเป็นฉากสั้นๆ ประกอบเรื่องราว จากพระคัมภีร์ไบเบิล การแสดงจะจัดขึ้นในโบสถ์ เรื่องราวที่แสดงเกี่ยวกับพระเยซู และเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิล เช่น วันคริสต์มาส เป็นต้น การแสดงจะแสดงทั้งบนเวทีที่อยู่กับที่และเวทีที่เคลื่อนที่ได้ เวทีที่อยู่กับที่ มีหลายลักษณะ ทั้งเวทีสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูได้สามด้าน เวทีครึ่งวงกลม และเวทีวงกลมที่ดูได้รอบทิศ ส่วนเวทีเคลื่อนที่ มักจะเป็นฉากที่มีล้อเคลื่อนไปได้ เน้นกลไกการจัดฉาก ประเภทของละครในยุคกลาง 1. ละครศาสนา 2. ละครฆราวาส เป็นละครที่แสดงในวัด เพื่อประกอบพิธีทาง (1) ละครพื้นเมือง แสดงเรื่องราวการผจญภัยของ ศาสนา เมื่อละครมาแสดงนอกวัด วีรบุรุษที่มีชื่อเสียง เช่น โรบินฮูด เป็นต้น ความ ก็ยังคงใช้เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล เรียก สนุกสนานอยู่ที่การต่อสู้ การแสดงฟั นดาบ ระบำสวยๆ ว่ามิสตรี เพลย์(Mystery Play) การเข่นฆ่ากัน ฯลฯ ละครพื้นเมืองใช้นักแสดงสมัครเล่น นอกจากนั้น ยังมีละครมิระเคิล เพลย์ แสดงในเทศกาลใหญ่ๆ (Miracle Play)ที่แสดงเรื่องราวชีวิตของ (2) ละครฟาร์ส (Farce) เป็นละครตลกที่ไม่เกี่ยวกับ นักบุญและผู้พลีชีพเพื่อศาสนา และละคร ศาสนาและไม่ได้มุ่งผลทางการสั่งสอนศีลธรรม แสดง มอแรลลิตี เพลย์ (Morality Play) ที่แสดง ให้เห็นสันดานดิบของมนุษย์ ที่มีความเห็นแก่ได้ โดย เรื่องราวของคนธรรมดาสามัญที่ต้องต่อสู้กับ แสดงออกในลักษณะที่ขบขัน เป็นการเล่ห์เหลี่ยมไหว ทางเลือกระหว่างความดีและความชั่ว พริบให้เข้ากับประโยชน์ของตน (3) ละครอินเทอร์ลูด (Interlude) ละครที่แสดงคั่น ระหว่างงานเลี้ยงฉลอง มีทั้งเรื่องน่าเศร้า และเรื่องตลก แต่ไม่เกี่ยวกับศาสนาและการสอนศีลธรรม
วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยาในประเทศอิตาลี ยุคเรอเนซองส์(Renaissance) ตรงกับสมัยอยุธยาของไทยเรา เป็นยุคที่มี ผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะการสร้างโรงละคร การวางรูปเวที การจัดวางฉาก การประพันธ์บท และการจัดการแสดงละคร บทละครยุคนี้ มีทั้งละคร คอมเมดี (Comedy) ละครแทรเจดี(Tragedy) ซึ่งได้รับอิทธิพลจาก ละครโรมัน รูปแบบละครในยุคเรอเนเซองส์นี้ ส่วนใหญ่จัดการแสดงเพียงฉากเดียว แต่เป็นฉากที่ ใหญ่โตมโหฬาร วิจิตรพิสดาร การแต่งกายหรูหรา มีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ และมีเหตุการณ์มหัศจรรย์ เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเกิดรูปแบบการแสดงที่สนองความต้องการด้านนี้ 2 ประการ คือ การแสดง สลับฉากที่เรียกว่า อินเตอร์เมทซี (Intermezzi) และ โอเปรา (Opera) 1.อินเตอร์เมทซี 2. โอเปรา เป็นการแสดงสลับฉาก มักเป็นเรื่องราว คือ การรวมเอาดนตรี การขับร้อง และ จากตำนานกรีกและโรมัน ซึ่งมี ระบำ เข้ามาไว้ในเรื่องราวที่ผูกขึ้นเป็นละคร ปรากฏการณ์ที่ต้องใช้เทคนิคพิเศษเข้า โอเปรานั้นนิยมใช้การจัดฉากหรูหรา ช่วย เช่น เฮอร์คิวลิสเดินทางไปในนรก เหตุการณ์มหัศจรรย์ ที่ต้องใช้เทคนิคพิเศษ หรือ เปอร์ซิอุสขี่ม้าเหาะไปต่อสู้กับ อยู่ด้วย รูปแบบใหม่นี้ เป็นที่นิยมทั่วอิตาลี ปีศาจทะเล เป็นต้น มีการใช้ดนตรีและ และแพร่สะพัดไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว ระบำเป็นส่วนประกอบสำคัญ การแสดง สลับฉากนี้อาจอยู่เป็นเอกเทศ ไม่เกี่ยว กับละครที่แสดงอยู่ก็ได้
วิวัฒนาการละครตะวันตก ละครสมัยใหม่ ในภาวะการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงจากการปฏิวัติ อุตสาหกรรมของประเทศทางยุโรปในขณะนั้น มีผลต่อเนื่องมาถึงความแออัดของผู้คนใน เมือง จากการที่กรรมกรในชนบทอพยพเข้ามาอยู่กันหนาแน่นตามเมืองใหญ่ ความอดอยากและอัตราของอาชญากรรมพุ่งสูงขึ้น 1.ละครแนวสั จจนิยม 2.ละครแนวต่อต้านสั จจนิยม ให้ความสำคัญมากแก่คนธรรมดาสามัญยิ่ง ละครสัญญลักษณนิยม กว่ายุคที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นตัวละครที่เป็น สามัญชนจะเข้ามามีบทบาทก็เพียงตัวประกอบ เป็ นละครที่ใช้วัตถุหรือการกระทำที่เป็ น ตัวคนใช้ ปราศจากความสำคัญ ส่วนตัวเอกจะ สัญลักษณ์ ซึ่งจะกระตุ้นและโยงความรู้สึก นึกคิดของคนดูเข้ากับญาณพิเศษที่นัก เป็นคนฐานะร่ำรวย สมบูรณ์พร้อมด้วย เขียนรู้สึกเกี่ยวกับความเป็ นจริง ฐานันดรศักดิ์ทุกประการ แต่ละครสมัยใหม่ เปลี่ยนแปลงรูปโฉมดังกล่าวเสียสิ้น ละครสมัย ใหม่ไม่จำกัดวิถีชีวิตของสามัญเอาไว้ ทว่า จะ นำมาสู่สาระของเรื่องราวให้มากขึ้น ละครเพื่อสังคม ละครเอ็กซ์เปรสชั่นนิสม์ เป็ นละครที่กระตุ้นความสำนึกทาง ศิลปะช่วงประมาณปี พ.ศ.2400 ที่มุ่ง สังคม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไข แสดงความรู้สึกมากกว่าแสดงให้เหมือน สังคมให้ดีขึ้น โดยไม่คำนึงถึงความ จริง เป็นละครที่เสนอความเป็นจริงตาม เป็นกลางแบบธรรมชาติ หรือการบันทึก ความคิดของตัวละคร ซึ่งอาจไม่ตรงกับ ความเป็ นจริงแบบตรงไปตรงมา ความเป็ นจริงที่ปรากฏแก่สายตาคนทั่วไป
การชม วิจารณ์ และ ประเมินคุณภาพการแสดง หลักการในการวิจารณ์ 1. ควรศึกษาเกี่ยวกับท่ารำ 7. เข้าใจเกี่ยวกับเรื่องราวของ \"ท่ารำ\" ของนาฏศิลป์ไทยจัด การแสดง ได้ว่าเป็น \"ภาษา\" ชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้สื่อความหมายให้ผู้ชม 2. เข้าใจเกี่ยวกับภาษาหรือ คำร้องของเพลงต่างๆ การ 6. เข้าใจเกี่ยวกับบทบาทและ แสดงนาฏศิลป์จะต้องใช้ดนตรี และเพลงเข้าประกอบ ฐานะของตัวแสดง 3. ผู้ชมจะต้องฟั งเพลงให้เข้าใจ 5. เข้าใจถึงการออกแบบฉาก ทั้งลีลา ทำนอง สำเนียงของเพลง และการใช้แสงและเสียง ผู้ชมที่ดี จังหวะอารมณ์ จึงจะชมนาฏศิลป์ ต้องมีความเข้าใจเรื่องฉาก ได้เข้าใจและได้รสของการแสดง สถานที่ และสถานการณ์ต่างๆ อย่างสมบูรณ์ ของการแสดง 4. เข้าใจเกี่ยวกับการแต่งกาย และแต่งหน้าของผู้แสดง
การชม วิจารณ์ และ ประเมินคุณภาพการแสดง การวิจารณ์ผลงานนาฏศิลป์ 1. การบรรยาย 2. การวิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆ ผู้วิจารณ์ต้องสามารถพูดหรือ - รูปแบบของนาฏศิลป์ไทย เช่น ระบำ รำ ร้องและโขน เขียนในสิ่งที่รับรู้ด้วยการฟั ง ดู เป็ นต้น รู้สึก รวมทั้งการรับรู้คุณสมบัติ - ความเป็นเอกภาพของนาฏศิลป์ไทย โดยผู้แสดง ต่างๆ ของการแสดง ต้องมีความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน - ความงดงามของการร่ายรำและองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความถูกต้องของแบบแผน 3. การตีความและการประเมินผล - การตีความ : ผู้วิจารณ์ต้องกล่าวถึงผลงานนาฏศิลป์ โดยรวมว่าผู้เสนอผลงานพยายามจะสื่อความหมายหรือ เสนอแนะเรื่องใด - การประเมิลผล : เป็นการตีค่าของการแสดงโดยต้อง ครอบคลุมประเด็น ดังนี้ แสดงได้ถูกต้องตามแบบแผน
การชม วิจารณ์ และ ประเมินคุณภาพการแสดง คุณสมบัติของผู้วิจารณ์ศิลปะที่ดี ๑. มีความรักเกี่ยวกับการวิจารณ์งานศิลปะ ๒. วิจารณ์เพื่อการพัฒนาให้แก่ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ ๓. เป็นคนที่รักความก้าวหน้า ใฝ่หาความรู้ตลอดเวลา ๔. มีจิตใจชื่นชมในศิลปะและสุนทรียศาสตร์อย่างแท้จริง ประโยชน์ของการวิจารณ์ผลงานศิ ลปะ การวิจารณ์ศิลปะมีประโยชน์ต่อผู้วิจารณ์ และเจ้าของผู้ สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ซึ่งแยกออกได้ดังนี้ ๑. ทำให้ทราบถึงความเคลื่อนไหวของวงการศิลปะ และ สิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน ๒. ทำให้เกิดปัญญาที่สามารถรู้หรือให้เหตุผลที่ถูกต้อง ๓. มีความละเอียดประณีตอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ ๔. มีเหตุผล มีความเที่ยงธรรม ๕. ทำให้เป็นผู้แสวงหาความรู้อยู่เสมอ
ขอขอบคุณที่รับชม
Search
Read the Text Version
- 1 - 19
Pages: