กศน.อำเภอเก้ำเลย้ี ว – เกร็งตรงเนือ้ หาทอ่ี อกสอบ โดย ครู กศน. : ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย
เอกสารสรุปเน้อื หาที่ตอ้ งรูแ้ ละเก็งข้อสอบ รายวชิ า สขุ ภาพและความปลอดภยั ระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย รหัส ทช 32005 หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอเก้าเลยี้ ว สานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั จังหวดั นครสวรรค์ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
ก คำนำ กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายยกระดับคุณภาพการศึกษาทุกระดับการศึกษา สํานักงาน กศน. ใน ฐานะผู้รับผิดชอบในการจัดการศึกษาให้กับกลุ่มเป้าหมายประชาชนทั่วไปที่อยู่นอกระบบ โรงเรียน โดยใช้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ในการจัดการศึกษาให้กับ กลุ่มเป้าหมายดังกล่าว และเพ่ือเป็นการตอบสนองนโยบายของ กระทรวงศึกษาธิการในการ ยกระดับ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของผู้เรียน กศน. หลักสูตรการศึกษานอก ระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ให้สูงขึ้น ศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอเก้าเลีย้ ว จึงได้จัดทํา สรุปเนื้อหาที่ต้องรู้และเก็งข้อสอบ ซึ่งจะทําให้ผู้เรียนเข้าถึงส่ือได้สะดวก รวดเร็ว อันจะส่งผลให้ผู้เรียนมี ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น ดีขึน้ สรุปเน้ือหาท่ีต้องรู้ มีเนื้อหามาจากการนําหนังสือเรียนของสํานักงาน กศน. มาสรุปเน้ือหา ประเด็น สาํ คญั ท่ีสอดคลอ้ งตามผงั การออกขอ้ สอบในแต่ละรายวชิ าของสาํ นักงาน กศน. เก็งข้อสอบ จัดทําขึ้นสําหรับนักศึกษา กศน.ใช้เป็นคู่มือในการเตรียมตัวสอบเก็บคะแนน สอบกลาง ภาค และสอบปลายภาค รวมท้ังใช้เป็นคู่มือในการเตรียมตัวสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการทดสอบ ทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-Net) ตรงตามมาตรฐานและตัวช้ีวัดหลักสูตร การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เพ่ือประเมินความพร้อมของนักศึกษา ก่อนสอบจริง นอกจากนี้นักศึกษายังได้ทบทวนเนื้อหาเพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้ เพ่ิมพูนความเข้าใจและ ประสบการณ์ ทําให้นักศกึ ษาเกิดความม่ันใจและพร้อมทจี่ ะนําไปประยกุ ต์ใชเ้ พื่อการสอบจรงิ ได้อีกดว้ ย ท้ังน้ี ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอําเภอเก้าเล้ียว หวังเป็นอย่างย่ิงว่าจะเป็น ประโยชนก์ ับผู้เรยี น กศน. หลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ตาม สมควร จึงขอขอบคุณ กลุ่มพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา ผู้อํานวยการ และ ครูผู้สอน และ ผ้เู ก่ยี วขอ้ ง มา ณ โอกาสน้ี กศน.อําเภอเก้าเลย้ี ว พ.ศ.2564
ค คาแนะนาการใช้เอกสาร หนังสือสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้และเก็งข้อสอบ รายวิชา สุขภาพและความปลอดภัย เล่มน้ี เป็นการสรุป เน้ือหาที่ควรรู้ท้ังหมดในรายวิชานี้ รายวิชาสุขภาพและความปลอดภัย รหัส ทช 32005 ระดับมัธยมศึกษา ตอนปลาย หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2554) โดยสรุปเนื้อหาที่ต้องรู้ มีเน้ือหามาจากการนําหนังสือเรียนของสํานักงาน กศน. มาสรุปเน้ือหา ประเด็นสําคัญที่สอดคล้องตามผงั การออกข้อสอบในแตล่ ะรายวิชาของสาํ นักงาน กศน. และเก็งข้อสอบ จดั ทํา ขึ้นสําหรับนักศึกษา กศน.ใช้เป็นคู่มือในการเตรียมตัวสอบเก็บคะแนน สอบกลางภาค และสอบปลายภาค รวมทั้งใช้เป็นคูม่ อื ในการเตรยี มตวั สอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการทดสอบทางการศึกษาระดับชาตดิ ้าน การศึกษานอกระบบโรงเรียน (N-Net) ตรงตามมาตรฐานและตัวช้ีวัดหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อประเมินความพร้อมของนักศึกษาก่อนสอบจริง นอกจากนี้ นักศึกษายังได้ทบทวนเนื้อหาเพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้ เพิ่มพูนความเข้าใจและประสบการณ์ ทําให้ นกั ศกึ ษาเกิดความม่ันใจและพรอ้ มทีจ่ ะนาํ ไปประยุกต์ใช้เพื่อการสอบจรงิ เพ่ือให้นักศึกษาได้เรียนรู้และทําความเข้าใจในเนื้อหาสาระและเก็งข้อสอบของรายวิชาสุขภาพและความ ปลอดภัย รหัส ทช 32005 ท่ีสําคัญ ๆ ได้สะดวกและสามารถเข้าใจย่ิงข้ึน ในการศึกษาสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้ และเกง็ ขอ้ สอบ เล่มน้ี นกั ศกึ ษาควรปฏิบัติ ดังน้ี 1. ศึกษาเน้ือหาสาระของหนังสือสรุปเนื้อหาท่ีต้องรู้รายวิชาสุขภาพและความปลอดภัย รหัส ทช 32005 ให้เข้าใจอยา่ งถ่องแท้ 2.เมื่อศึกษาเน้ือหาต้องรู้เข้าใจอยา่ งถอ่ งแท้แล้วฝึกทําขอ้ สอบและตรวจคาํ ตอบจากเฉลย 3. หากนักศึกษาต้องการศึกษารายละเอียดเนื้อหาสาระรายวิชาสุขภาพและความปลอดภัย รหัส ทช 32005 เพมิ่ เติมสามารถศกึ ษาค้นควา้ ไดจ้ ากส่อื อืน่ ๆ ในหอ้ งสมุดประชาชน อินเทอร์เนต็ หรือครผู สู้ อน
สรปุ เนือ้ หาทต่ี ้องรู้ สาหรับนกั ศึกษา กศน.
สภาพแวดลอ้ ม ลกั ษณะของ ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม ทางธรรมชาติ สงิ่ แวดลอ้ ม ตอ่ สขุ ภาพ สงิ่ แวดลอ้ ม -สงิ่ แวดลอ้ มทางธรรมชาติ -มลพษิ ทางอากาศ เชน่ ป่าไม้ แมน่ า้ ภเู ขา -มลพษิ ทางนา้ หมายถงึ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทอี่ ยู่ - มลพษิ ทางดนิ รอบตวั เรา ทงั้ สง่ิ ทม่ี ชี วี ติ และไม่ -สงิ่ แวดลอ้ มทางสงั คม -มลพษิ ทางเสยี ง มชี วี ติ เชน่ คน สตั ว์ เชน่ ชมุ ชน ขนมธรรมเนยี ม สงิ่ แวดลอ้ ม ขนมธรรมเนยี ม สภาพแวดลอ้ มกบั การสง่ เสรมิ สขุ ภาพ -ดา้ นการอบรมเลย้ี งดู -การสร้ างจติ สา้ นกึ ดา้ น สวล. ขอ้ ปฏบิ ตั ิ -การสง่ เสรมิ คณุ ภาพ สวล. --ดา้ นความสมั พนั ธภ์ ายในครอบครวั -ชมุ นกบั การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรทอ่ งเทยี่ ว ปญั หาสงิ่ แวดลอ้ ม -การปอ้ งกนั ปฯั หาขยะในชมุ ชน -ดา้ นร่างกาย -ดา้ นทอ่ี ยอู่ าศยั -ดา้ นจติ ใจ -ดา้ นความคาดหวงั ของครอบครวั วธิ จี ดั สภาพแวดลอ้ ม -ดา้ นความปลอดภยั ของชมุ ชน วธิ จี ดั สภาพแวดลอ้ ม ของครอบครวั
5 – รกั ษาศิลปหตั ถกรรมทีเ่ ปนเอกลกั ษณดั้งเดิมของทองถิ่น โดยอาจนํามาผลติ เปน สินคา ทร่ี ะลกึ 4. การปองกนั ปญหาขยะในชุมชน การมสี วนรวมของคนในชุมชน เพอ่ื ปอ งกนั ปญหาขยะในชมุ ชนทาํ ไดโ ดย – ลดการนําขยะเขา บาน กอ นซ้ือของเขา บานทกุ ครัง้ ควรถามตนเองวามีความตองการและ จาํ เปน จรงิ ๆ หรอื ไม เพราะของทเ่ี หลอื ใชจากการใช นั้นคอื ปรมิ าณขยะชุมชนท่เี พม่ิ ขึ้น – มีถังขยะประจําบานถังขยะควรเปนภาชนะทแี่ ขง็ แรงมฝี าปดมดิ ชดิ สามารถปองกนั แมลงและสตั ว – แยกขยะกอนทิ้ง วสั ดุบางชนิดสามารถนํามาใชใ หมไ ด หรอื นําไปแปรรปู เพอ่ื กลบั มาใชอ ีกได เชน ขวด แกว โลหะ หรือกระดาษเปนตนวัสดเุ หลา น้ีสามารถขยายไดเปนการลดปริมาณขยะทจี่ ะนําไปกําจัดอีก – ท้ิงขยะใหถูกที ตามจุดทีก่ าํ หนดไวส าํ หรบั การทิ้งขยะเทาน้ัน ขอปฏิบัติ 1. ใหมีการกาํ จัดขยะในบาน และทงิ้ ขยะในทรี่ องรบั 2. หลกี เล่ียงการใชวัสดอุ ปุ กรณ ทกี่ อ ใหเ กดิ มลภาวะตอส่งิ แวดลอ ม 3. ใหม ีและใชสว มทถ่ี กู สุขลักษณะ 4. ใหมีการกาํ จัดนํา้ ทิ้งในครวั เรอื น ทีถ่ ูกตอง 5. ใชท รัพยากรอยา งประหยัด 6. อนุรกั ษแ ละพัฒนาสง่ิ แวดลอม กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว ผลกระทบตอสุขภาพ ปัญหาส่ิงแวดล้อม - ขยะมลู ฝอย -มลพษิ ทางน้าํ -มลพิษทางอากาศ -มลพิษทางเสียง - ดินเสีย ด้านร่างกาย ด้านจติ ใจ ด้านความปลอดภัย - เกิดโรคภยั ไขเ้ จบ็ ต่าง ๆ - เกิดความราํ คาญ หงุดหงิด - ไมม่ ีท่ีอยอู่ าศยั - สุขภาพกายเส่ือมโทรม - เกิดความเครียด - ทรัพยส์ ินเสียหาย - ร่างกายอ่อนแอ - เกิดความเบื่อหน่าย ทอ้ แท้ - เกิดอาชญากรรมต่าง ๆ - เกิดโรคติดตอ่ แพร่ออกไปอยา่ ง - เกิดอุบตั ิเหตุไดง้ ่าย รวดเร็ว
สขุ ภาพคอื อะไร -การสร้ างจติ สานกึ ดา้ น สวล. ขอ้ ปฏบิ ตั ิ -การสง่ เสรมิ คณุ ภาพ สวล. มคี วามหมาย 3 ประการ -ชมุ นกบั การอนรุ กั ษท์ รพั ยากรทอ่ งเทย่ี ว ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ ม 1.ความปลอดภยั -การปอ้ งกนั ปฯั หาขยะในชมุ ชน -ดา้ นร่างกาย 2.ความไมม่ โี รค -ดา้ นจติ ใจ 3.ความปลอดภยั และไมม่ โี รค วธิ จี ดั สภาพแวดลอ้ ม -ดา้ นความปลอดภยั ของชมุ ชน ความหมายและความสาคญั ของการมสี ขุ ภาพดี ความสาคัญ ของสขุ ภาพ
6 การปองกันและแกไขปญ หาส่ิงแวดลอ ม : ทมี่ ีผลตอ สขุ ภาพ ลดหรอื หลีกเลย่ี งการใชวสั ดุ อปุ กรณ สารเคมี ทที่ ําลายสิ่งแวดลอม กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยวกาํ จดั ขยะมูลฝอยในบา นใหถ กู วธิ ี กําจัดนํา้ ทิ้งในบานอยา งถกู วธิ ี กอ นระบายสคู รู ะบายนา้ํ
16 เรอ่ื งที่ 2.4 การบรโิ ภคอาหารท่ีถูกตามหลักโภชนาการและหลกั อนามยั อาหาร หมายถึง สารซึง่ อาจเปน ของแขง็ หรือของเหลวท่ีรับประทานเขาไปแลว ไมเ ปนพษิ หรอื โทษ ตอ รา งกายแตม ปี ระโยชนต อรา งกาย โภชนาการ หมายถงึ วิทยาศาสตรส าขาหนึง่ ท่ีศกึ ษาเกย่ี วกบั การเปล่ยี นแปลงของอาหารทเี่ ขาไปใน รางกายการพฒั นาของรา งกายจากการไดร บั สารอาหารรวมทั้งการปรุงแตง อาหารใหเหมาะสมกับความตองการ ตามสภาพและวัย อนามัย องคการอนามยั โลก ไดใหคาํ จาํ กดั ความไวว า “ การมีสุขภาพสมบูรณดที ัง้ ทางรางกายและ จิตใจ และสามารถดํารงชพี อยูใ นสงั คมไดด ว ยดซี ง่ึ ไมเพียงปราศจากโรค หรือไมแข็งแรงทพุ พลภาพเทานนั้ ” สารอาหารหมายถงึ สารเคมที ี่ประกอบอยใู นอาหาร เชน โปรตนี ไขมัน คารโบไฮเดรตซ่งึ ใหป ระโยชน ตอรางกาย อาหารตางๆท่เี รารับประทานเขาไปน้นั แยกคุณสมบตั ทิ างเคมแี ลวจะไดส ารอาหาร 6 ประเภท คือ 1. โปรตนี ไดแก เน้ือสัตว นม ไข และโปรตนี ในพชื ไดแก ถัว่ ชนิดตางๆเปนตน 2. คารโ บไฮเดรต ไดแก ขาวชนิดตางๆ แปง นํ้าตาลเผือก มัน เปนตน 3. ไขมัน ไดแก ไขมนั จากสตั ว และนาํ้ มันจากพืช 4. วิตามิน ไดแก วติ ามนิ ทีล่ ะลายไดในไขมนั และวิตามนิ ทีล่ ะลายในน้าํ 5. เกลอื แร ไดแ ก ผลไมชนดิ ตางๆ พืชผัก นม ไข เครื่องในสตั วอาหารทะเล เปน ตน การเลอื กบรโิ ภคอาหารใหถ ูกหลกั อนามัย มหี ลักการบรโิ ภคดงั นี้ 1. อาหารตองสกุ และผา นความรอนแลว อาหารทีป่ รุงสุกแลวยอมทาํ ใหเ ชือ้ โรคทีม่ ใี นอาหารถูกทาํ ลาย ไปดวย อาหารท่ีสกุ และผา นความรอ นอยางเพยี งพอยอมทาํ ใหเกดิ ความปลอด ภัยแกผ บู ริโภคอาหารนนั้ ๆ 2. ควรเลอื กซ้อื อาหารทมี่ ีคุณคา ทางอาหารสงู และมรี าคาถูก การเลอื กซื้ออาหาร ควรพจิ ารณาเปรียบเทยี บถึงคณุ คาของอาหารประเภทตา งๆ ใหล ะเอียด เพราะอาหารที่มรี าคาแพงไมไดมีคุณคาทางอาหารสงู เสมอไป เชน เนอ้ื สนั ในซง่ึ มีราคาแพง แตมีคุณคาอาหาร เทา กบั เน้อื สะโพกท่ีมรี าคาถกู กวา ถ่วั มีราคาถูกกวา อาหารจําพวกเน้ือสตั ว แตม ีคุณคา เทา ๆกนั เปน ตน 3. ควรเลือกซอื้ อาหารท่ีมคี ณุ ภาพ ในปจจุบันการทาํ อาหารรับประทานเองเปน การยงุ ยากและเปน การส้นิ เปลอื งเวลา การซื้ออาหาร จึงควรหาซื้ออาหารท่ีมีคณุ คาสูง หรอื รบั ประทานอาหารปนโตเพราะจะไดอาหารทส่ี ดและมีคุณคา ทางอาหารท่ี สงู กวาอาหารกระปองและราคาก็ถกู กวา แตเลอื กซ้อื จากพอคาที่ไวใจไดและไมเ อารัดเอาเปรียบผซู ้ือมากเกนิ ไป 4. ควรรับประทานผัก ผลไมเปน ประจํา การเลือกซอื้ ผลไมควรเปรยี บเทียบถงึ คุณคา ของผลไมชนดิ ตา งๆ เพราะผลไมบางชนิดใหแ คลอรีสงู บางชนดิ ใหแ คลอรีตาํ่ แตผ ลไมน ้นั มีคุณคา ใหสารวติ ามินและเกลือแรซ ึง่ เปน ประโยชนต อรา งกาย กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
แนวทางปฏบิ ตั ิ แนวทางปฏบิ ตั ิ แนวทางปฏบิ ตั ิ สาหรบั การฝกึ สติ มดี งั นี้ คอื 2. ตอ่ ดว้ ยการเจรญิ สติ 6. ตง้ั ใจฝกึ สมาธใิ หม้ น่ั 1. เรม่ิ จากตน่ื นอนในแตล่ ะ 3. ใหฝ้ กึ ทาสมาธิ 7. ขณะเขา้ หอ้ งนา้ ใหเ้ จรญิ วนั อยา่ งนอ้ ยประมาณ 4. ศลี หา้ และกศุ ลกรรมบถ 15 นาที สตริ ะลกึ รู้ สบิ อยา่ ใหข้ าด 8. ตอนกลางวนั อา่ น 9.มองโลกในแงด่ เี สมอ 5. ใหม้ สี ตริ ู้ อยกู่ ับงานนน้ั ๆ 10.ใหป้ ระเมนิ ผลทกุ ๆ1-3 ชวั่ โมง หนงั สอื ธรรมมะ 11.กอ่ นนอนทุกคนื ใหอ้ ยกู่ บั สมาธใิ น อริ ยิ าบถนอนตะแคงขวา วิธีฝกึ สตแิ บบตา่ งๆ การทาสมาธิ เบอื้ งตน้ แนวทางปฏบิ ตั ิ 12.การเพยี รใหม้ ีสติ 13.ใหพ้ ยายามฝกึ ทาความเพยี ร -การทาสมาธิ 14.เฝา้ ระลกึ รใู้ นปจั จบุ นั -การปฏบิ ตั ิ 15.จงอยา่ ดหู มนิ่ ตวั เอง วิธกี ารฝกึ แนวทางปฏบิ ตั ิ
กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว 32 ในการฝกครัง้ แรกๆ อาจยังไมมีสมาธิพอ ทาํ ใหนับเลขผดิ พลาดหรอื บางทอี าจลืมนบั เลขเปน บาง ชว งถือเปน เรื่องปกติ ตอไปใหพยายามต้งั สตใิ หม เม่อื มคี วามคิดอ่นื แทรกเขา มากใ็ หรับรู แลว ปลอยให ผา นไป ไมเก็บมาคิดตอ ในทีส่ ดุ ก็จะสามารถนบั เลขไดอยางตอเนื่องและไมผ ดิ พลาด เพราะมสี มาธดิ ีข้ึน ข้นั ท่ี 2 เมือ่ จติ ใจสงบมากขน้ึ ใหเ ร่ิมนบั เลขแบบเรว็ ข้ึนไปอีก คอื หายใจเขา นบั 1 หายใจออกนับ 2 หายใจเขา นับ 3 หายใจออกนบั 4 หายใจเขา นับ 5 เริ่มนบั ใหมจาก 1-6, 1-7, 1-8, 1-9 และ 1-10 ตามลาํ ดบั นบั เปน 1 รอบ ข้ึนรอบใหม หายใจเขา นบั 1 หายใจออกนบั 2 นบั ไปเรือ่ ยๆ จนถึง 5 ดังตวั อยางตอไปน้ี 12345 123456 1234567 12345678 123456789 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 12345 ฯลฯ ขน้ั ท่ี 3เมอื่ นบั ลมหายใจเขา -ออกไดเร็วและไมผดิ พลาด แสดงวาจติ ใจสงบแลว ในขัน้ นใ้ี หใ ชสติรับรูลม หายใจเขา-ออก เพยี งอยางเดยี ว ไมต องนบั เลขอีก และไมคดิ เร่อื งใดๆ ทง้ั ส้ิน มีแตความสงบเทาน้นั ขนั้ แนะนาํ ควรฝกสมาธิเปนประจํา โดยเฉพาะกอ นนอนจะชวยใหนอนหลับไดดี ตอนที่ 6.2 ประโยชนของการมสี ติ ชว ยใหเ กดิ ความระมดั ระวงั ปองกันภยั เหตุรา ยตางๆ ชวยใหก ารงานสําเร็จลลุ วงไปดวยดี ชวยปอ งกนั ไมใหต กสูความชั่ว ชว ยใหส าํ นกึ ตระหนักในหนา ทเี่ สมอ สติ ชวยใหประพฤตทิ างกาย วาจา และใจ ถกู ตอ ง ( เปน สจุ ติ ) สติ ชว ยใหความคิด และการรับรูว ตั ถุภายนอก แจมใส สติ ชว ยใหจ ติ ใจบริสทุ ธ์ิ สติ ชวยใหไ มห ลงใหลอารมณต างๆ ท่มี ากระทบ สติ มคี ณุ มากเหมอื นหวั ใจ ในการทาํ งานทกุ อยา ง และเปนหลักสําคัญในการดําเนินชีวติ ใหถ ูกตอ งและดี งามแมผมู คี วามรมู าก เปน พหสู ูตมศี ิลปะ หากขาดสติ กอ็ าจทาํ ผิดพลาด ยังความเสียหายใหเ กิดขน้ึ ไดเสมอ
33 ตอนท่ี 6.2 การประเมนิ ระดับของการมีสติ เทคนิคเตอื นจติ ตนเองในชวงที่จติ ถูกกระทบทางตา หู จมูก ล้นิ กายและจติ ในระยะทีเ่ ราฝกสมาธิ 1. เมื่อดวงตากระทบรูป กเ็ ตอื นตนเองวา \"ตา\" แคเห็นคลื่นแสงและสี ไมป ระเมินภาพ ดงึ จิตกลับมา อยูในปจจุบนั 2. เมื่อหูกระทบเสียง ก็เตือนตนเองวา \"หู\" แคไ ดย ินคลืน่ เสยี ง ไมป ระเมินเสียง ดึงจติ กลบั มาอยูใน ความเปน กลาง 3. เมื่อจมูกกระทบกลน่ิ กเ็ ตือนตนเองวา \"จมกู \" แคไ ดก ล่ิน ไมป ระเมินกลิน่ ดงึ จิตกลบั มาอยูใน ปจ จุบนั 4. เมอื่ ลนิ้ กระทบรส กเ็ ตอื นตนเองวา \"ล้ิน\" แครรู ส ไมประเมินรส ดงึ จติ กลับมาอยใู นความเปนกลาง 5. เม่ือกายกระทบเครอื่ งสัมผัส กเ็ ตอื นตนเองวา \"กาย\" แคสัมผสั รสู ึก ไมประเมนิ การกระทบทาง กาย ดงึ จิตกลับมาอยูใ นปจ จบุ นั 6. เมอื่ จติ กระทบกับขอมลู กเ็ ตอื นตนเองวา \"จิต\" แครูสกึ ใจ ไมป ระเมนิ การกระทบ ดงึ จติ กลบั มาอยู ในปจจุบัน 7. ในชว งท่เี ราฝกสมาธิ ถาเราเตอื นตนเองได เรากจ็ ะไมค อยหลงไปกบั ความคิดหรืออารมณ การ เตอื นจิตจะชว ยใหเ รากลับมาอยูในความเปนกลาง กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
35 ตอนท่ี 7.1 ความหมายความสาํ คญั ของการพกั ผอนการใชเ วลาวางและกิจกรรมนนั ทนาการ การพักผอ น หมายถึง การหยุดพักการปฏบิ ตั กิ จิ กรรมท่กี อ ใหเ กิดภาวะความตึงเครยี ดหรือความ เมือ่ ยลาทเ่ี กดิ ข้นึ กับรา งกายและจิตใจของคนเรา นันทนาการ หมายถงึ กจิ กรรมตางๆ ทเ่ี ราปฏบิ ตั ดิ ว ยความสมัครใจในเวลาวางโดยไมหวังสง่ิ ตอบแทน นอกจากความพอใจและความเพลดิ เพลนิ ประโยชนของการพกั ผอนและนันทนาการ 1. อวัยวะตาง ๆ ในรา งกายไดพักผอน ขณะท่เี รานอนหลับ รางกายจะผอนคลาย หัวใจเตนชาลง ความดนั โลหติ จะลดลง การทาํ งานของอวยั วะตา ง ๆ ในรางกายจะลดลง จงึ ถอื วาอวยั วะตาง ๆ ไดพกั ผอ นไป ดวย ซ่ึงทําใหห ลงั จากนอนหลับอยางเพียงพอจะมีความสดชนื่ กระปรีก้ ระเปรา เม่ือตน่ื ขน้ึ มา และพรอ มท่ีจะ ปฏิบตั ิงานตา ง ๆ 2. คลายความเหน็ดเหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา เพราะขณะที่คนเราปฏิบตั ิกิจกรรมจะทาํ ใหรา งกายและจิตใจมี ความเหนด็ เหน่อื ยเกิดข้นึ เนื่องจากมกี ารใชพลงั งานของรางกาย ทาํ ใหพ ลังงานในกลามเนอ้ื มีปริมาณลดลง รวมทัง้ จะมกี ารสะสมของเสยี ไดแก กรดแลคติกในเซลลกลา มเน้ือและในกระแสเลอื ดเพม่ิ ข้ึน ซึ่งจะสงผลให ประสิทธิภาพในการทาํ งานของรางกายลดลง แตถ า มีการหยดุ พักช่วั ขณะหน่ึงหรอื เปลี่ยนอริ ยิ าบถเปนระยะ ๆ จะทําใหก ลามเนือ้ บรเิ วณนน้ั ไดผ อ นคลาย และสามารถปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตอ ไป 3. ผอ นคลายความเครยี ด จากการปฏบิ ตั ภิ ารกจิ งานตาง ๆ และแตล ะวนั โดยเฉพาะการปฏบิ ัตงิ านที่ ซํา้ ซากเหมอื นเดิมทุกวนั งานทต่ี อ งรีบเรง งานบริการทต่ี องคอยดแู ลเอาใจใสล กู คา การทีต่ องทํางานหนัก ติดตอ กัน แมกระทงั่ การเรยี นหนงั สืออยา งขยนั ขนั แขง็ อาจทาํ ใหเกดิ ความเบ่ือหนายหรือเกดิ ความเครียด สะสมขน้ึ ได ซ่ึงจะสง ผลเสียตอรางกายและจิตใจ และยังทาํ ใหป ระสิทธิภาพในการทาํ งานหรอื การเรียนลดลง การพกั ผอนโดยการปฏบิ ัตกิ จิ กรรมทที่ าํ ใหเกิดความเพลิดเพลนิ ในเวลาวา ง หรอื เม่อื ทํางานอยางหนกั มา ชวงหน่งึ แลว หรอื ในชว งโรงเรยี นปด เทอม จะชวยผอนคลายความเครยี ดทีเ่ กิดข้นึ ลงไปไดแ ละทาํ ใหเ กิดความ กระตอื รือรนทจ่ี ะเรียนหนังสอื หรือปฏบิ ัติงานตอ ไป กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
36 ตอนที่ 7.2 แหลง บริการนันทนาการ แหลงนันทนาการหมายถงึ สถานที่ทีจ่ ดั เตรยี มเครอื่ งอาํ นวยความสะดวกและการใหบริการในดานการจดั กิจกรรมนนั ทนาการ ท้งั ภาครัฐบาลและภาคเอกชน สถานทจ่ี ัดกิจกรรมนนั ทนาการ 1. สวนหยอมและสวนไมตอกไมประดับ จดั ไวเพื่อการพักผอนหยอ นใจทง้ั ในบา น สาํ นักงานสถานท่ี ราชการ และในชมุ ชน 2. สวนสาธารณะ เปน แหลง ทบี่ ุคคลทั่วไปสามารถเขาไปใชบรกิ ารเปนทพ่ี ักผอ น ออกกําลังกาย 3. อุทยานแหงชาติ เปนแหลง ทางธรรมชาติท่ีมที วิ ทศั นสวยงาน มีพันธุไ ม พันธุส ตั วป า ที่หายาก มสี ภาพเปน ปาเขาตามธรรมชาติ พน้ื ที่กวา งขวาง มีสถานที่พักผอ นหยอนใน เปนสถานที่จัดแคมป เพือ่ ศึกษาธรรมชาติ การเดนิ ทางไกล 4. วนอทุ ยาน เปน สถานทธ่ี รรมชาตทิ ี่มที วิ ทศั นส วยงาม แตม พี ื้นทนี่ อ ยกวา อทุ ยานแหง ชาติเปน สถานที่พกั ผอนหยอ นใจ มสี ่งิ อาํ นวยความสะดวกเหมาะสมกับสภาพ เชน จัดทาํ โตะ มานงั่ ทางเดิน เปน ตน เปน ทท่ี ีไ่ มหา งไกลจากชุมชนมากนกั 5. สวนรกุ ขชาติ เปน สวนทสี่ รางข้ึนเพอ่ื รวบรวมพนั ธไุ มตา งๆ โดยเฉพาะไมยนื ตน ท่ีมคี าทางเศรษฐกิจ รวมทง่ั ไมดอกทมี่ ีในทอ งถ่นิ ตางๆ เปน แหลงพกั ผอ นหยอนใจ และยงั ไดรบั ความรู 6. ศนู ยเยาวชน เปน แหลงสง เสรมิ ใหเ ยาวชนไดใชเวลาวา งใหเ ปนประโยชน สามารถจัดกจิ กรรม หลายอยาง มีทง้ั งานดานศลิ ปหตั ถกรรม ดนตรี กีฬา การอาน การเขยี น เปน ตน 7. คา ยลูกเสอื ดําเนินงานทัง้ ภาครฐั และเอกชน เปน แหลง จดั กิจกรรมใหกับเด็กและเยาวชน เพื่อใหมี สขุ ภาพดี ปลกู ฝง นิสัยรกั ชาติ มคี วามซ่อื สัตย สุจริต สรางความสามคั คใี นหมูคณะ เหน็ แกป ระโยชนสว นรวม มากกวาประโยชนส วนตัว 8. ชายหาด เปนสถานทพ่ี ักผอนหยอ นใจ 9. พพิ ิธภณั ฑ เปนแหลงรวบรวมโบราณวัตถุตางๆ 10. สนามกฬี า เปน สถานที่ใหค นมาเลนกีฬา มาออกกาํ ลังกาย กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว 38 ตอนท่ี 8.1หลักและวธิ ีการเสรมิ สรา งเสริมสมรรถภาพทางกายเพอื่ สุขภาพ ความหมายของสมรรถภาพทางกาย สมรรถภาพทางกาย (Physical fitness) หมายถงึ ภาพความสามารถของรา งกายในการประกอบการ งานหรือ กิจกรรมทางกาย อยางใดอยางหนงึ่ เปนอยางดโี ดยไมเหน่ือยเรว็ สมรรถภาพทางกายเปนสวนสาํ คญั ใน การพฒั นาการทางดา นรางกาย ของมนษุ ย สมรรถภาพทางกายของบุคคลท่ัวไป จะเกิดขน้ึ ไดจ ากการ เคลือ่ นไหวรา งกาย หรอื ออกกําลังกายอยางสมํา่ เสมอ องคประกอบของสมรรถภาพทางกาย 1. ความทนทานของระบบไหลเวียนเลอื ด (Cardiovascular Endurance) 2. ความแขง็ แรงของกลามเนื้อ (Muscular Strength) 3. ความทนทานของกลา มเน้ือ (Muscular Endurance) 4. กําลงั (Power) 5. ความเร็ว (Speed) 6. ความคลอ งตัว (Agility) 7. ความออนตวั (Flexibility) 8. การทรงตวั (Balance) ความสาํ คญั และความจาํ เปนในการเสริมสรา งสมรรถภาพทางกาย ปจ จัยทท่ี ําใหค นเราดาํ รงชีวิตอยไู ดอยา งเปนปกตสิ ุข ไดแ ก อาหาร น้าํ อากาศ แสงแดด การออก กําลงั กาย การพักผอ น และสง่ิ ยดึ เหนีย่ วทางจติ ใจ จะเห็นไดว า การออกกาํ ลังกายนับเปนปจ จยั ท่สี าํ คัญมาก เพราะเปนกิจกรรมท่ีทาํ ใหร า งกายเกิดการเคล่ือนไหวอนั เปน บอเกดิ แหงพัฒนาการดา นตางๆ ความกาวหนาทางเทคโนโลยที าํ ใหมนษุ ยไ ดร บั ความสะดวดสบายยิ่งขึน้ ผลทางมุมกลับท่ีเกิดขนึ้ ก็คอื การขาดการออกกําลังกาย ซงึ่ ความเจ็บไขไ ดป ว ยกจ็ ะตามมา เชน ความอวน โรคความดันเลือดสงู โรคเกย่ี วกบั หวั ใจ เปน ตน การออกกาํ ลงั กาย นอกจากจะชวยเพิม่ พูนสมรรถภาพทางกายแลว ยงั มีประโยชนอ น่ื ๆ อกี เชน รปู รางดขี ึ้น ชะลอความเสอื่ มของอวยั วะ ชวยใหผมู ีอาการผิดปกติมีอาการดีข้นึ ระบบขบั ถายดีขึน้ นอนหลบั ไดดขี ึน้ พลงั ทางเพศดขี ้นึ หวั ใจ ปอดและหลอดเลอื ดทาํ หนา ทไ่ี ดดีข้นึ ชวยใหอาการของโรคหลายโรคดขี น้ึ ชว ยใหต้ังครรภแ ละคลอดไดงายขึ้น ชวยประหยดั คารกั ษาพยาบาลเพราะมแี อนติบอดีสูง สรปุ แลว ก็คอื ความมี สขุ ภาพดีนั่นเอง ประเภทของสมรรถภาพทางกาย ประเภทของสมรรถภาพทางกายแบงเปน 2 ประเภท ดงั น้ี 1.สมรรถภาพทางกลไก หมายถงึ สมรรถภาพทป่ี ระกอบดว ยความทนทานของระบบหายใจ และ ระบบไหลเวียนเลือด ความแข็งแรงอดทนของกลา มเนอ้ื ความยดื หยนุ ของกลา มเน้อื หรือความออ นตวั และ สัดสว นของรา งกาย 2. สมรรถภาพทางกายเพ่อื สุขภาพ หมายถงึ ความสามารถของระบบตาง ๆ ในรางกายทเี่ ปน ความ สามารถเชงิ สรรี วิทยาของระบบท่ีจะชว ยปอ งกันบคุ คลจากโรคตางๆ ซ่งึ มสี าเหตุจากภาวะของการขาดการออก กําลังกาย และถอื วาเปนปจจัยสาํ คญั ทจ่ี ะชวยใหคนเรามสี ุขภาพทดี่ ี
กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว 39 คณุ คาการมีสมรรถภาพทางกายทดี่ ี สมรรถภาพทางกายจะเกิดข้นึ ไดกต็ อ เมื่อรา งกายไดมกี ารเคลอ่ื นไหวออกกาํ ลงั กายเปนประจํา สม่าํ เสมอ การท่ีบุคคลมสี มรรถภาพทางกายที่ดี มีคุณคา และประโยชนดังนี้ 1. ผูมีสมรรถภาพทางกายดจี ะเปน ผูท่มี สี ขุ ภาพดี 2. ผูมสี มรรถภาพทางกายที่ดจี ะชวยใหมีบุคลิกลกั ษณะสงา ผาเผย คลอ งแคลวกระฉบั กระเฉง 3. ผมู ีสมรรถภาพทางกายที่ดจี ะมีการทาํ งานประสานกันระหวา งระบบตา งๆ 4. ผมู ีสมรรถภาพทางกายทด่ี จี ะทํางานสําเร็จไดโดยใชแ รงนอยกวา เหนอ่ื ยนอ ยกวา ทําใหร า งกาย สามารถนํากาํ ลงั ไปใชใ นงานอ่นื ไดตอ ไป วธิ กี ารสรา งเสริมสมรรถภาพทางกายเพื่อสขุ ภาพ การทดสอบสมรรถภาพทางกลไก กา วขาออกดา นขาง ผทู ดสอบยนื ครอ มเสน กลาง เทา ท้ังสองหางกันพอประมาณ เม่อื ไดร บั สัญญาณ เรมิ่ ใหเ ร่มิ กา วเทา ออกดา นขา งครอ มเสน ทางดานขวา กลบั มาครอ มเสน กลาง และกาวไปครอ มเสน ทางดา นซาย สลับไปสลับมาทง้ั สามเสน โดยทําใหเร็วทส่ี ดุ ในเวลา 20 วนิ าที ใหทาํ 2 ครั้ง เอาครง้ั ทีด่ ที ส่ี ดุ เปน ผลการทดสอบ บันทกึ ผลการทดสอบเปนจาํ นวนคร้ังท่ที าํ ได ยนื กระโดดสงู ยืนชิดกําแพง ยกแขนขา งหนง่ึ เหยยี ดขน้ึ ดา นบนเหนือหัว ทาํ เคร่อื งหมายวัดใหสูงกวาแขนประมาณ 20 เซนติเมตร แลว กระโดดใหส ุดที่สุด ทําอยางนี้กลายๆคร้จั ะพบวา ย่ิงกระโดดยิง่ สงู ขึน้ กลา มเนอื้ หลัง ยืนบนเครื่องวดั จบั คานแบบควํา่ มอื หลังทํามมุ 30 องศากบั แนวดิ่ง แขนและขาเหยยี ดตรง เกรง็ กลามเนอื้ หลงั เหยยี ดตัวขนึ้ บันทกึ ผลเปน กิโล แรงบีบมือ การทดสอบโดยใชม อื ลบู แมก็ นเี ซียมคารบ อเนต( magnesium carbonate) เพ่ือกันหลอลนื่ แลวปรับ เคร่ืองวัด จับเครอ่ื งวดั ใหเหมาะสม โดยใชขอน้วิ ที่ 2 รับนาํ้ หนักของเครอ่ื งวดั ยนื ตรงปลอยแขนหอ ยขา งลาํ ตวั พรอมแขนออกหา งลาํ ตัวเล็กนอ ย บบี ใหส ดุ แรงหา มไมใ หส วนใดของรา งกายโดนเครอื่ งวัด ทาํ อยางนส้ี องครง้ั 2 ครง้ั และบนั ทึกผลเพอื่ วดั การทดลองท่ดี ีทีส่ ุด ยนื กมตัวลงขางหนา ยืนใหเทาหางกนพอประมาณ ขาแขนยดื ตรงและชิดกัน กมตวั ไปขา งหนา ใหม ากทสี่ ดุ ทําอยางนี้ 2 คร้งั แลว บนั ทกึ และเลือกผลที่ดีทีส่ ดุ กาวขนึ้ มา กาวขน้ึ และลงบนั ไดเปน 4 จงั หวะ ใน 1นาที ตอ งทําใหไ ด 30 คร้ังตอกันเปนเวลา 3 นาที พักหนง่ึ นาที แลว จับชพี จร ทาํ อยางน้ี 3 คร้งั รวมชพี จรทงั้ 3ครั้ง
กศน.อําเภอเกา้ เลยี้ ว 41
สง่ิ เสพติด ลกั ษณะสาคญั ของสารเสพตดิ ประเภทของสารเสพตดิ จะทาใหเ้ กดิ อาการ -จาแนกตามสงิ่ ทเี่ สพตดิ มา -จาแนกตามสง่ิ เสพตดิ ตาม -ดอื้ ยา กฎหมาย -ขาดยา ถอนยา -มคี วามตอ้ งการเสพ ปจั จยั เสีย่ งในการดารงชีวติ การจาแกนตามอาการการออก สาเหตทุ ท่ี าใหก้ ดิ ยาเสพตดิ ควรปอ้ งกนั ฤทธ์ิ และหลกี เลยี่ ง -ตดิ เพราะฤทธ์ิยา -กดประสาท -ตดิ เพราะสงิ่ แวดลอ้ ม -กระตนุ้ ประสาท -ตดิ เพราะความผดิ ปกติ รา่ งกาย/จติ ใจ
45 เรอ่ื งท่ี 9.1.2 โรคติดตอทางเพศสัมพันธ โรคติดตอ ทางเพศสัมพันธ หรือโรคสงผา นทางเพศสัมพนั ธ( Sexually transmitted disease; STD) อาจ เรยี กวา \"กามโรค\" (Venereal disease) หรอื \"วดี \"ี เกิดข้ึนจากการติดตอ กันผานทางเพศสมั พันธ ไมว า จะเปนการ รว มเพศทางชองคลอด ทางปาก หรอื ทวารหนกั สาเหตุของการเปน โรคตดิ ตอ ทางเพศสมั พนั ธ สาเหตขุ องการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ แบงออกเปน 3 กลุม คอื 1. เกิดจากเชือ้ ไวรัส ซ่ึงบางชนดิ สามารถรกั ษาใหหายขาดได บางชนดิ ไมม ยี ารกั ษา และบางชนดิ ยงั สามารถฝง ตวั อยู และกลบั มาเปน ซาํ้ ไดอ ีกโรคตดิ ตอทางเพศสมั พันธที่เกดิ จากเช้ือไวรัส ไดแ ก - เริมท่อี วัยวะเพศ - หดู หงอนไก - ไวรัสตบั อักเสบบี ฯลฯ 2. เกดิ จากเชื้อแบคทีเรยี สามารถรกั ษาใหห ายขาดได ดวยการใชยาปฏิชวี นะ ไดแ ก - ซฟิ ล ิส - หนองใน - หนองในเทียม - ทอปส สาวะอกั เสบ - ชองคลอดอักเสบ ฯลฯ 3. เกดิ จากเชอ้ื อ่ืน ๆเชน พยาธิ สามารถรกั ษาใหห ายขาดได ดวยการใชยาปฏิชวี นะ กลุมเส่ียงตอการเปน โรคตดิ ตอทางเพศสัมพนั ธ คนทม่ี เี พศสมั พนั ธกบั ชาย หรอื หญิงบริการ ใน 3 เดอื นกอ นหนา คนทม่ี ีคูนอนมากกวา 1 คน ในชว ง 3 เดือนกอ นหนา คนท่ีมีเพศสมั พันธก ับคคู นใหม ในชวง 3 เดอื นกอ นหนา ผูท ีม่ ีประวตั ปิ ว ยเปนโรคติดตอทางเพศสมั พนั ธใน 1 ปทีผ่ านมา ผูทม่ี ีคคู รองอยคู นละที่ อาการแบบใด สงสยั เปน โรคติดตอทางเพศสัมพันธ หากมีอาการเหลา นี้ สามารถสงสัยไดว าเปน โรคติดตอทางเพศสมั พันธ ในผชู ายจะมีอาการปส สาวะแสบขัด ขาหนบี บวม หรอื เปน ฝ เจบ็ ปวดอวัยวะเพศ มผี น่ื ตมุ แผล บริเวณอวัยวะเพศ มเี มอื กใส หรือหนองไหลออกมา ในผูหญงิ จะรสู กึ เจ็บ เสียวทองนอย ขาหนีบบวม หรอื เปนฝ เจบ็ ปวด คนั อวัยวะเพศ มผี ืน่ ตมุ แผล บรเิ วณอวยั วะเพศ มีตกขาวสเี หลือง มกี ลิน่ เหมน็ กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
48 วิธปี ฏิบัตติ ัวของผทู ี่เปน โรคติดตอ ทางเพศสมั พันธ 1. ตองรักษาอยางรวดเรว็ เพือ่ ปองกันการแพรเชอ้ื โรค 2. แจง คูน อนใหท ราบวา เปน โรคตดิ ตอทางเพศสมั พนั ธเพ่อื จะไดป อ งกนั ไมใ หเ ชอ้ื แพรไปสูคนอน่ื 3. รักษาอาการ และปฏิบตั ติ ัวตามคําแนะนาํ ของแพทยอ ยางเครงครัด 4. หลกี เลย่ี งการมเี พศสมั พนั ธ หรือการสาํ เรจ็ ความใครด วยตัวเอง เพอ่ื ปอ งกันไมใ หอาการอักเสบ ลุกลาม 5. งดด่ืมเครื่องดม่ื แอลกอฮอล ของมนึ เมาทุกชนิด 6. ไมควรซอ้ื ยามารักษาเอง ควรปรึกษาแพทย เพื่อใหไดรบั การรักษาทีถ่ กู ตอ ง กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
49 เรื่องท่ี 9.1.3 อบุ ัติเหตุ อบุ ัตเิ หตุ หมายถงึ เหตุการณท ่ีเกิดข้นึ โดยไมคาดคิด อาจเกดิ จากความประมาทของตนเองหรอื จาก คนอน่ื ๆ หรอื จากเหตุการณสดุ วสิ ยั เชน ฟา ผา นํา้ ทวม ชนดิ ของอบุ ัตเิ หตุภายในบานอบุ ตั ิเหตุที่เกดิ ขน้ึ ภายในบา น อาจจาํ แนกออกเปนชนิดตา งๆ ไดดงั น้ี 1) การพลดั ตกหกลม 2) ไฟไหม น้าํ รอนลวด 3) การถกู ของแหลมคมอปุ กรณแ ละอาวธุ ปน 4) การไดร บั สารพษิ 5) การไดร ับแกส หงุ ตม 6) ทางเดนิ หายใจอุดตัน 7) การจมนาํ้ สถานท่เี กิดอุบตั ิเหตุทบ่ี าน - อุบตั เิ หตทุ บี่ า นมักเกิดขน้ึ ตามสถานที่ตา ง ๆ ดังนี้ - สนามและลานหนาบาน - รัว้ บา น ประตู หนาตาง - พืน้ บานระเบียงบาน กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
51 ตอนท่ี 10.1 การปฐมพยาบาลและทักษะการชว ยฟน คืนชพี การปฐมพยาบาล หมายถึง การใหค วามชว ยเหลอื ผูปวยหรือผบู าดเจ็บ ณ สถานทเี่ กิดเหตุ โดยใช อุปกรณเทา ท่ีจะหาไดในขณะน้นั กอนทีผ่ ูบาดเจบ็ จะไดรบั การดแู ลรกั ษาจากบุคลากรทางการแพทย หรือสง ตอไปยงั โรงพยาบาล การปฐมพยาบาล มีวตั ถุประสงคทสี่ ําคัญ คือ 1. เพ่อื ชวยชวี ติ 2. เพอื่ เปนการลดความรุนแรงของการบาดเจ็บหรือการเจบ็ ปวย 3. เพอ่ื ทาํ ใหบรรเทาความเจบ็ ปวดทรมาน และชวยทรมาน และชว ยใหกลบั สสู ภาพเดิมโดยเรว็ 4. เพื่อปองกนั ความพกิ ารที่จะเกิดขึน้ ตามมาภายหลงั การปฐมพยาบาลแบบตา ง ๆ การปฐมพยาบาลการชวยฟน คนื ชีพผูไดรับอบุ ตั เิ หตุ 1. ตรวจดูการหายใจ การทาํ งานของหวั ใจ พรอมทง้ั ใหก ารชว ยเหลอื 2. อยาเคลอ่ื นยา ยผูไดรับบาดเจบ็ จากตาํ แหนง เดมิ ยกเวน ในกรณีท่อี าจมีอนั ตรายทั้งผูบาดเจบ็ และผู ปฐมพยาบาล 3. หมผาใหผ ปู ว ยเพ่อื ปองกันการชอค 4. ขยายเขม็ ขัดและเส้อื ผา ใหห ลวม 5. ถามแี ผลควรพนั ผาให และถา กระดูกหัก ตอ งเขาเฝอกชัว่ คราวให 6. ถาผปู วยมสี ตดิ ี ชวนผปู ว ยคุย เพ่ือใหเกดิ ความสบายใจ 7. อยกู บั ผบู าดเจ็บ จนกระทงั่ สงผูบาดเจ็บแกห นวยกูภยั ตํารวจ หรอื ญาติ 8. พึงระลกึ ถึงขอบเขตและความสามารถของตนเองในการใหป ฐม พยาบาล กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
52 ตอนที่ 10.2 ทกั ษะการชวยฟน คนื ชีพ 1. อุบตั เิ หตุทางรถยนต 1. ผูใหการชวยเหลือ ตองตง้ั สติใหดี อยา แสดงอาการท่ีทําใหผ ูปว ยเสียขวัญ ตัดสนิ ใจวา อะไรเปนสิ่ง จําเปนทีจ่ ะตองใหการชว ยเหลือกอน หรือหลัง หรือมีความจาํ เปน ตองสงผปู ว ย เพือ่ รบั การรักษาที่โรงพยาบาล ทันที 2. ส่ิงแวดลอ ม อยาใหคนมุงดู เคลือ่ นยายผปู ว ยใหถูกวิธีจากสถานที่เกดิ เหตุ ประเมนิ สถานการณของ อบุ ัติเหตทุ เ่ี กิดขึ้น ขัน้ ตอนประเมินสภาพผบู าดเจ็บฉุกเฉิน - ตรวจดูชีพจร - ตรวจบาดแผลมีเลอื ดออกหรือไม - ตรวจดสู ีผวิ - ตรวจดกู ารเคลอ่ื นไหวของรา งกาย กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
53 2. กรณีโดนไฟดดู ยิง่ ถาเปน ลกู ของเรา พอ แมมักจะตกใจ และความรบี รอนชว ยลูกจงึ เขาไปฉุดมอื ดงึ แขน หรือดงึ ตวั ลูกโดยทนั ที ซึ่งนนั่ เทา กบั นาํ ตัวเองไปเปน เหยือ่ ไฟช็อตอีกคนโดยหมดโอกาสท่ีจะชวยทง้ั ชวี ติ ลกู และตนเอง วธิ กี ารท่ถี กู ตอ งกค็ อื 1) กอ นอนื่ จะตองตัดทางเดนิ กระแสไฟฟา โดยการสบั ฟวส ,ยกคัทเอา ทลง หรอื ดึง ปลั๊กออก (การปด สวิตซใ นตัวเคร่อื งไฟฟา แตเพียงอยา งเดยี วจะไมไดผลเพราะยงั ไมตัดกระแสไฟที่เขาสู ตัวเครอื่ ง) 2) หากยงั ไมส ามารถตัดทางเดินกระแสไฟไดทนั ทใี หหาวตั ถุทไ่ี มเ ปนส่อื ไฟฟา เชน ไมแ หงๆ,เชอื ก,สายยาง,แผน ยาง,เกา อี้ไมห รือ ผาหม คลอง-ดงึ หรือผลกั ผูท ่ีโดนไฟดดู ใหห ลดุ พน จากจดุ ทีโ่ ดนดูดและเพือ่ ความปลอดภัย ผูท ี่ชวยเหลือควรยนื อยูบนพ้นื ทแี่ หง 3) หลังจากทีช่ วยผูเคราะหร า ยออกมาจากไฟดดู ไดแ ลว ถา พบวาเขาไมห ายใจ , หวั ใจไมเ ตน ก็ตอ งกระตุนโดยการเปา ปาก และกดทรวงอก กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
54 3. กรณีโดนนํ้ารอนลวก ผูท ่ีไดรับบาดเจบ็ จากการถูกของรอนลวก ถึง 2ขัน้ ตอน คอื 1. การทาํ ใหบ ริเวณทีโ่ ดนของรอนลวกใหเ ย็นลงโดยเร็ว เชนใหแผลไดแชใ นอางนํ้าเยน็ หรอื ปลอยให นา้ํ กอกไหลผา นอยางนอยสกั 10นาที จากนัน้ กใ็ ชผ ากอ ซซับแผลใหแ หง แลวใชผ ากอ ซทแ่ี หง และสะอาด ปด คลมุ บาดแผลแตอ ยา ใหแนน เพราะแผลทโ่ี ดนของรอนลวกจะมีอาการบวม 2. ผิวที่โดนลวกหรือไหม จะมตี มุ เล็กๆใสๆขึ้นท่ีแผลเสมอหลายคนเห็นเขาเปนตอ งเอาเข็มไปเจาะให แตกอยา ทําเชน นัน้ เพราะจะทําใหเ กิดการตดิ เชอื้ ไดงายๆ ซ้ํามนั ยงั อาจเขาสูผวิ หนังช้ันในทําใหอ ักเสบเขา ไปใหญขอแนะนาํ เม่ือแผลขน้ึ “ตุมนาํ้ ”ก็คอื ... ปลอยไวอ ยา งนั้นแลว ซับใหแ หง จากนนั้ ก็ใชสําลีชุบ แอลกอฮอลเ ชด็ รอบๆตมุ นาํ้ นัน้ อยางเบาๆ 4. กรณจี มนํ้า การปฐมพยาบาลเด็กจมนา้ํ ท่ไี มห ายใจและ/หรือ หวั ใจไมเ ตน 1) เรยี กผอู ยูข า งเคียงใหมาชวยเหลอื และใหผูชวยโทรขอความชวยเหลอื หนว ยฉุกเฉนิ ที่ 1669 2) เปดทางเดินหายใจ โดยใหเ ดก็ นอนราบกดหนา ผากลงและเชยคางขึ้นเบาๆ 3) ตรวจการหายใจโดยมองหนาอกหรือทองวา มกี ารเคลื่อนไหวหรือไมฟงดวู า มีเสียงหาย หรอื ไมก ็ สมั ผสั โดยแนบใบหนาไปใกลจมูกและปากของเด็กเพ่ือสมั ผัสลมหายใจ 4) ในกรณอี ายุนอ ยกวา 1 ป ชวยการหายใจโดยประกบปากของผชู ว ยเหลอื ครอบจมูกและปากเดก็ และเปา ลมหายใจออก 2 คร้ังโดยใหแตละคร้ังยาว 1-2 วนิ าที และสงั เกตวุ า หนาอกของเดก็ ขยายตามการเปา ลมหรือไม 5 ) คลําชีพจร บรเิ วณตนแขนดา นในครง่ึ ทางระหวา งขอ ศอกและหัวไหลถ า เด็กไมห ายใจแตมชี พี จร ใหท ําการเปาปากตอเพยี งอยางเดยี วโดยทํา 20 ครงั้ ตอนาที หรอื เปาปาก 1 คร้งั ตอ 3 วนิ าที ถาเดก็ ไม หายใจและไมมชี ีพจรใหท ําการกระตนุ การเตนของหวั ใจ 6) กระตุนการเตน ของหวั ใจโดยหาตําแหนงของการกดหนา อกเพอ่ื กระตุนหัวใจไดโ ดยลากเสนสมมติ ระหวางหวั นมทัง้ สองขา ง ตําแหนง ทจี่ ะกดคือ บนกระดูกหนา อกใตต อ เสนสมมตทิ ีล่ ากระหวางหัวนมท้ังสอง ขา งลงมา กดโดยใชนว้ิ สองน้ิว กดลึกใหกระดกู หนา อกยบุ ลงประมาณ 1-1.5 นิ้วความถีข่ องการกดคือกด หนา อก 5 ครง้ั สลบั กบั การใหผ ูชวยระบบหายใจเปา ปาก 1 คร้งั กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
55 7) ในกรณีอายุมากกวา 1 ป เปา ปากไดโ ดยประกบปากของผูชวยเหลือบนปากเด็กเทานั้น (ไมร วม จมูก)เม่อื ตองนวดหวั ใจ ใหห าตําแหนง ของการกดหนา อกไดโดยลากนิ้วตามขอบชายโครงชา งใดขางหนึ่งจนถงึ ก่งึ กลางซง่ึ ชายโครงทง้ั สองขา งมาชนกนั เรียกวาจุดปลายลา งกระดูกหนาอก ตําแหนง ทีจ่ ะกดคอื บนกระดกู หนาอกเหนือตอจดุ ปลายลา งกระดกู หนาอก 1 ความกวางของนิ้วมอื จรงิ กดโดยใชส นมอื กดลกึ ใหกระดกู หนาอกยุบลงประมาณ 1-1.5 นิว้ ความถีข่ องการกดคอื กดหนา อก 5 ครง้ั สลับกบั การใหผ ชู ว ยระบบหายใจเปา ปาก 1 ครง้ั กศน.อําเภอเ ้กาเ ีล้ยว
เกง็ ขอ้ สอบ สำหรับนกั ศกึ ษำ กศน.
เก็งข้อสอบนกั ศกึ ษา กศน. รายวชิ า ชองทางการขยายอาชพี รหัสวิชา อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 1.ข้อใดคอื ความปลอดภัยในการทางาน ก.อทุ ศิ ตนทางานท่ีบรษิ ัทขายส่งอย่างมีความสขุ ข.สมจติ รปวดหลังจากการก้มเงยทานา ค.ชยากรปวดเมื่อยจากการพิมพ์คอมพิวเตอร์ ง.ธเนศมีผน่ื คนั ตามตัวเพราะแพ้สารเคมีในการฉดี ยาขา้ ว 2.ขอ้ ใดไม่ใช่ประโยชน์ของความปลอดภยั ในการทางาน ก.คา่ ใช้จา่ ยลดลง ข.มีพนักงานเพิ่มมากขึ้น ค.คุณภาพชีวติ พนักงานดีขน้ึ ง.ผลผลติ เพม่ิ ขนึ้ 3.บุคคลข้อใดท่ีมีสว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั การเสริมสรา้ งความปลอดภัยในการทางาน ก. นายจา้ ง ข. ลูกจา้ ง ค. เจา้ หน้าท่ีของรฐั ง. ถกู ทุกข้อ 4.ขอ้ ใดคือวิธกี ารปฏิบัตงิ านท่ีไมป่ ลอดภัย ก.ปฏบิ ตั ิงานแทนเพ่ือนโดยไม่ไดร้ ับมอบหมาย ข.เกบ็ และบรรจุสารเคมีตามความคดิ ของตนเอง ค.ดดั แปลง แก้ไขอปุ กรณ์และเครือ่ งมือ เพื่อความสะดวกของตนเอง ง.ถูกทกุ ขอ้ 5.ขอ้ ใดไม่ใช่สาเหตุท่นี าไปส่คู วามปลอดภยั ในการทางาน ก.เคราะหแ์ ละกรรมเก่า ข.ความประมาท เลนิ เล่อ ค.อปุ กรณ์และเครอื่ งมือชารุด ง.สภาพแวดลอ้ มไม่ปลอดภยั 6.บคุ คลข้อใดควรไดร้ บั การเสริมสรา้ งจติ สานึกด้านความปลอดภัยในการทางาน ก.วิศวกร ข.หวั หน้างาน ค.ผู้ปฏิบตั งิ าน ง.ถกู ทกุ ขอ้ 7.ขอ้ ใดคอื วิธีการเสรมิ สร้างความปลอดภัยในการทางานที่มปี ระสิทธภิ าพ ก.สร้างจติ สานกึ ท่ดี ตี ่อความปลอดภัย ข.ลงโทษอยา่ งรนุ แรงเม่ือเกิดอบุ ตั เิ หตุ
เกง็ ขอ้ สอบนกั ศึกษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชพี รหสั วิชา อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค.สรา้ งกฎระเบยี บในการทางาน ง.จัดหาอุปกรณ์ป้องกนั อนั ตรายมาใหผ้ ู้ปฏบิ ตั งิ านใช้ 8.ข้อใดท่นี ายจา้ งควรปฏบิ ัติเพ่อื ให้เกิดความปลอดภยั ในการทางาน ก.นาเครอ่ื งจักรที่ดีมีประสทิ ธิภาพสงู มาใชใ้ นการผลิต ข.จดั หาวสั ดอุ ุปกรณ์ป้องกนั ภยั ทุกประเภทมาใช้ในการปฏิบัติงาน ค.ปฏิบัตติ ามกฎความปลอดภัยอย่างเคร่งครดั ง.ถูกทกุ ข้อ 9.ขอ้ ใดท่ีผปู้ ฏบิ ตั ิงานไมค่ วรปฏิบัตเิ พราะอาจนาไปสู่ความไม่ปลอดภัย ก.มนี า้ ใจชว่ ยทางานแทนเพ่ือนโดยไม่ไดร้ ับมอบหมาย ข.ปฏิบตั งิ านตามกฎข้อบงั คบั ของโรงเรยี นอยา่ งเคร่งครัด ค.รบั ผิดชอบในหนา้ ทต่ี ามที่ได้รบั มอบหมาย ง.ฝกึ ฝนทกั ษะการปฏิบัติงานเพื่อใหเ้ กิดความชานาญ 10.สภาพแวดลอ้ มในการทางานข้อใดทอ่ี าจนาไปสู่ความไม่ปลอดภัยในการทางาน ก.วางวสั ดุอุปกรณ์ตามทางเดินเพอื่ สะดวกในการใช้งาน ข.ลดแสงสวา่ งในห้องทางานให้สลวั เพ่อื เพ่ิมบรรยากาศทีด่ ี ค.เพม่ิ อณุ หภมู ิในห้องทางานใหส้ งู เพื่อความอบอ่นุ ง.ถกู ทุกขอ้ 11.ข้อใดกลา่ วถกู ต้อง ก.ความปลอดภยั ของผปู้ ฏบิ ัติงานขึน้ อยู่กับนายจ้างเพียงอย่างเดยี ว ข.อุบตั เิ หตใุ นการทางานส่งผลกระทบตอ่ ผ้ปู ฏบิ ตั งิ านเพยี งฝ่ายเดียว ค.ความรว่ มมือรว่ มใจของทุกฝา่ ยในองค์กรนาไปสู่ความปลอดภัยในการทางาน ง.ถกู ทกุ ข้อ 12.ขอ้ ใดคือกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการทางาน ก.จดั ประกวดคาขวัญ ข.ใหข้ อ้ มลู ขา่ วสาร ค.จดั นิทรรศการ ง.ถกู ทุกขอ้ 13.ข้อใดควรปฏบิ ัติเพื่อความปลอดภัยมากทส่ี ดุ ก.อบรมคนงานเก่ียวกับความปลอดภัยในการปฏบิ ัตงิ าน ข.บังคับใหใ้ ช้หมวกนิรภยั ในขณะทางาน
เกง็ ข้อสอบนักศึกษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชพี รหัสวชิ า อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ค.มตี าข่ายกั้นวัสดุท่ตี กจากท่ีสงู ง.มปี ้ายเตอื น 14.ขอ้ ใดคือสาเหตกุ ารตายของคนงานก่อสร้างมากท่สี ุด ก. ตกจากทีส่ งู ข. หกลม้ ค. อาคารพงั ทบั ง. วสั ดหุ ล่นทับ 15.ขอ้ ใดคือสาเหตขุ องการเกิดอบุ ตั ภิ ัยจากงานก่อสรา้ งมากทส่ี ดุ ก.ตกจากท่ีสูง ข.วตั ถสุ ่ิงของกระแทกหรอื ชน ค.หกลม้ ลน่ื ล้ม ง.วัตถุสิ่งของตดั /บาด/ท่ิมแทง 16.งานก่อสรา้ งมคี วามสาคัญต่อเศรษฐกจิ อยา่ งไร ก.เป็นแหล่งรองรับแรงงาน ข.เป็นสถานท่ีก่อสร้างวตั ถุ ค.เป็นแหลง่ เงนิ ทุนสาคัญ ง.เป็นกระบวนการกระจายรายได้ 17.การเกิดอนั ตรายจากไฟฟ้าส่วนใหญ่เกดิ จากสาเหตใุ ด ก.ไฟฟ้าลดั วงจร ข.สายไฟฟา้ เสอ่ื มคณุ ภาพ ค.เบรกเกอร์ไม่ตดั วงจร ง.อปุ กรณ์ไม่ไดม้ าตรฐาน 18.ขอ้ ใดเป็นสาเหตทุ ่ีทาให้เกิดอันตรายจากไฟฟ้า ก.ปดิ เบรกเกอรซ์ ่อมหลอดไฟ ข.ตรวจเช็กเครื่องใช้ไฟฟา้ เปน็ ประจา ค.ใช้เสน้ ลวดแทนฟวิ ส์ ง.ไมซ่ อ่ มไฟฟ้าเอง 19.หากพบผบู้ าดเจบ็ ที่ต้องการความชว่ ยเหลือ ควรปฏิบตั อิ ยา่ งไรเป็นอันดับแรก ก.เคล่อื นยา้ ยผู้บาดเจบ็ ทันที ข.ตรวจดูอาการและบาดแผล ค.วัดปรอทเพ่ือตรวจดไู ข้
เก็งขอ้ สอบนกั ศกึ ษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชีพ รหสั วิชา อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ง.ใหร้ บั ประทานยาแกป้ วดทันที 20.ข้อใดคือจุดมุ่งหมายหลกั ของการปฐมพยาบาล ก.ลดความเจบ็ ปวด ข.ปอ้ งกันการบาดเจ็บไม่ใหร้ นุ แรงมากข้นึ ค.ยดื ชีวติ ผู้บาดเจ็บ ง.ถูกทุกข้อ 21. ถ้าชมุ ชนของนักเรยี นไมม่ ีกระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยในชมุ ชนจะส่งผลอย่างไร 1. เกดิ โรคระบาด 3. เศรษฐกิจตกตา่ 2.เกิดอุบัติภยั ไดง้ า่ ย 4. ถูกทุกขอ้ 22. สิ่งสาคัญท่ีทาให้เกิดกระบวนการสรา้ งเสริมความปลอดภัยในชมุ ชนคืออะไร 1. การระดมหาเงินทุน 2. การทาบญั ชีรายรับรายจ่าย 3. การบรหิ ารของผูน้ าโครงการ 4.ความร่วมมือของคนในชุมชน 23. ขอ้ ใดคือแนวทางสาคัญในการสร้างเสรมิ ความปลอดภัยในชมุ ชน 1. การประเมินผลการปฏิบตั ิงานในกลุ่ม 2. การหาเงนิ และสิง่ ของบริจาคจากเอกชน 3.สรา้ งแนวร่วมทางสขุ ภาพและความปลอดภยั 4. การจดั ลาดบั การบรหิ ารและหน้าทอี่ ย่างชัดเจน 24. สภาพแวดลอ้ มในลักษณะใดอาจทาให้เกดิ อบุ ตั ภิ ัยในชุมชนได้ 1.ถนนเป็นหลมุ เป็นบอ่ 3. มอี าคารพาณิชย์ท่เี ปน็ ตึกสงู
เก็งข้อสอบนักศกึ ษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชพี รหสั วิชา อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. มปี า้ ยบอกทางอย่างละเอียด 4. ถกู ทง้ั ข้อ ก และ ข 25.ข้อใดเกี่ยวข้องกับงานสาธารณสุขชุมชน 1. การป้องกนั โรค 2. การฟ้นื ฟสู ภาพ 3. การรกั ษาพยาบาล 4.ถกู ทุกข้อ 26. กระบวนการสร้างเสริมความปลอดภัยในชุมชนมคี วามสาคญั อย่างไร 1. ทาให้ประชาชนมคี ณุ ภาพชวี ติ ทีด่ ี 2. ลดปญั หาภัยอนั ตรายต่าง ๆ ในชมุ ชน 3. สรา้ งจิตสานึกกบั คนในชมุ ชนด้านความปลอดภัย 4.ถูกทุกข้อ 27. สารข้อใดมวี งแหวนเบนซีนอย่ใู นโครงสรา้ ง 1. ขัน้ ตอนการทางานเพ่อื ลดปญั หาอุบัตเิ หตุและความไมป่ ลอดภยั ในชุมชน 2. การอบรมและเผยแพร่ความรูด้ า้ นความปลอดภยั ของชุมชน 3. ลาดบั การดาเนนิ งานเพ่อื สรา้ งความปลอดภัยในชมุ ชน 4.ขอ้ ข และ ค 28. หากนักเรียนต้องการแสดงบทบาทในการเข้าร่วมสร้างเสริมความปลอดภัยในชมุ ชน นกั เรียนควรปฏบิ ตั ิ ตามข้อใด 1. ไม่คบเพื่อนที่ตดิ สารเสพติด 2. กลบั บา้ นตรงเวลาทุกวนั และไม่เทย่ี วกลางคนื กับเพอ่ื น 3.รวมกลุม่ กับเพอ่ื นจัดนิทรรศการตอ่ ต้านสารเสพติดในชมุ ชน 4. ถูกทุกขอ้
เกง็ ขอ้ สอบนกั ศกึ ษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชีพ รหสั วชิ า อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 29. ในเมืองใหญ่ ๆ มกั ประสบปญั หาสง่ิ แวดล้อมทมี่ ีผลต่อสขุ ภาพในข้อใด 1. โรคระบาด 2.อากาศเป็นพิษ 3. บุคคลเหน็ แก่ตัว 4. การกาจัดขยะผิดวิธี 30. ขอ้ ใดเป็นแนวทางปฏบิ ตั เิ พ่อื ความปลอดภัยของชุมชน 1. อัม้ ยึดวฒั นธรรมประเพณีจากตา่ งประเทศ เพื่อมุ่งพฒั นาชมุ ชนให้ก้าวหนา้ 2. ตก๊ิ มีมนุษยส์ มั พนั ธ์อย่างต่อเน่ืองกบั เฉพาะชาวบ้านทมี่ ีมนุษยส์ ัมพันธด์ ว้ ย 3.ผูใ้ หญ่บา้ นพอล เรี่ยไรเงนิ จากชาวบา้ นเพื่อไปสร้างป้อมยาม 4. ชวนกันดม่ื เมื่ออย่เู วรยาม 31. ปจั จยั ท่ีมีอิทธิพลตอ่ การเปน็ ชุมชนที่มีสขุ ภาพดีคืออะไร 1. คนและสิ่งแวดลอ้ ม 3. คน วัฒนธรรม สถานที่ 3.คน สถานที่ ระบบสงั คม 4. คน ส่งิ แวดล้อม เศรษฐกิจ 32. ข้อใดแสดงถงึ การสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพในชุมชน 1. จดั ชมรมแอโรบกิ ข้นึ ในชุมชน 2. คนในชมุ ชนช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อม 3. ชุมชนต้งั คณะกรรมการดูแลความปลอดภัยในหมู่บา้ น 4. ถูกทกุ ข้อ 33. ขอ้ ใดคือผลดีของการสรา้ งแนวรว่ มทางสขุ ภาพในชุมชน 1.ชุมชนมีความเขม้ แขง็ ทางสุขภาพ 2. ชุมชนเป็นที่ยกย่องของบุคคลทัว่ ไป 3. เป็นแบบอย่างท่ดี ีทางสุขภาพแกส่ ังคม
เกง็ ข้อสอบนกั ศึกษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชพี รหสั วิชา อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. ไมม่ ีข้อใดถูกต้อง 34. หลกั การป้องกนั โรคในชุมชนแบง่ ออกได้เป็นกรี่ ะดับ 1. 2 ระดบั 2.3 ระดบั 3. 4 ระดบั 4. 5 ระดบั 35. การป้องกันและแก้ไขปัญหาส่งิ แวดล้อมในชมุ ชนเป็นหน้าที่ของบุคคลใด 1. ผู้นาชุมชน 2.สมาชกิ ทุกคนในชุมชน 3. เจ้าหนา้ ที่รัฐ 4. ถกู ทั้งข้อ ก และ ข 36. หากในชุมชนเกดิ ปญั หาแหล่งนา้ โสโครกจะสง่ ผลทาให้เกิดปญั หาใดตามมา 1. เป็นแหล่งเพาะพนั ธ์ของเช้อื โรค 2. ทาใหส้ ง่ กลิ่นเหมน็ ทศั นียภาพเสยี 3. เป็นอันตรายตอ่ สิ่งมชี ีวิตท่ีอาศัยอยแู่ หลง่ นา้ 4. ถกู ทุกขอ้ 37. การสะสมของขยะมูลฝอยในแหลง่ ชมุ ชนจะส่งผลเสียในข้อใดตามมา 1. ทาให้เกดิ อันตรายจากการบาดเจ็บได้ 2. เปน็ เช้อื เพลงิ ท่ีอาจทาใหเ้ กดิ ไฟไหม้ได้ 3. เป็นแหลง่ เพาะพันธข์ องเชื้อโรคนานาชนิด 4. ถูกทกุ ข้อ 38. ขอ้ ใดไมใ่ ช่การกาจัดขยะมลู ฝอยที่ถูกสุขลกั ษณะ 1. นาไปฝงั ดิน 2. ใช้เป็นอาหารสัตว์
เก็งขอ้ สอบนกั ศกึ ษา กศน. รายวชิ า ชองทางการขยายอาชพี รหัสวชิ า อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ใช้ทาป๋ยุ โดยการหมัก 4. ปล่อยให้ย่อยสลายไปเองตามธรรมชาติ 39. พฤติกรรมใดจัดเป็นพฤติกรรมเส่ียงของชมุ ชน 1. การขายอาหารในชมุ ชน 2.การด่มื สรุ าแลว้ ขบั ข่ีรถยนต์ 3. การเด็ดดอกไม้ในสวนสาธารณะ 4. การข้ามถนนตรงทางข้ามท่กี าหนด 40. ขอ้ ใดคอื แนวทางการลดความเส่ียงจากโรคเครยี ดของคนในชุมชน 1. จดั โครงการปฏเิ สธอบายมุข 2. จดั งานเล้ยี งสงั สรรค์ในชมุ ชน 3. จดั โครงการประกวดบา้ นสะอาด 4. จดั โครงการอาชีพเสรมิ ในชุมชน 41. ถา้ ต้องการบารุงรักษาสุขภาพของผวิ หนังใหแ้ ขง็ แรงควรกินอาหารประเภทใด (นาไปใช้) ก. ตบั นม ผกั บุ้ง ข. ขา้ ว เนื้อหมู ถั่ว ค. สม้ ไข่ วุ้นเสน้ ง. มะละกอ องนุ่ เงาะ 42. กลา้ มเนอื้ ชนดิ ใดท่ที างานอยใู่ นอานาจของจิตใจ (เข้าใจ) ก.กล้ามเน้อื ของหัวใจ ข.กล้ามเนอ้ื กระบังลม ค. กล้ามเน้อื ของกระดุก ง. กลา้ มเน้ือเรยี นในกระเพาะอาหาร
เกง็ ข้อสอบนกั ศึกษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชีพ รหสั วชิ า อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 43. พนั ธุกรรม หมายถึงอะไร (ร-ู้ จา) ก. ลกั ษณะของพ่อท่ีเหมอื นกับลกู ข. ปรากฏการณ์การแพร่พันธ์ของส่ิงมีชวี ิตตามธรรมชาติ ค.ปรากฏการณ์การสงิ่ มีชวี ิตต้องปรบั ตัวใหเ้ ข้ากับธรรมชาตเิ พอ่ื ความอยรู่ อด ง. ปรากฏการณ์การสงิ่ มีชีวิต ถ่ายทอดลักษณะต่างๆ จากรุ่นหน่งึ สอู่ ีกรนุ่ หนง่ึ 44. ยนี (Gene) คอื อะไร (ร-ู้ จา) ก. ส่วนที่หอ่ หุ้มเซลล์ ข. หน่วยทเ่ี ล็กทีส่ ดุ ของสิ่งมชี ีวิต ค. สิง่ ที่ควบคุมลกั ษะที่ถา่ ยทอดมาสู่ลกู ง.สว่ นประกอบในการสบื พันธ์ 45. ข้อใดคอื ความหมายของกลุม่ (ร-ู้ จา) ก. มวี ัตถปุ ระสงค์ตรงกนั ข. บคุ คลทถี่ ูกหลอกใหเ้ ขา้ มาร่วมกัน ค. มีผลประโยชน์รว่ มกัน ง. ถูกข้อ ก และ ค 46. ส่วนทส่ี าคญั ทส่ี ดุ ของกลุ่มคือ (เข้าใจ) ก. ผ้นู า ข. สมาชิก ค.เหรญั ญกิ ง. คณะกรรมการ 47. ขอ้ ใดหมายถึงการศึกษาชีวิตและครอบครัว (Family Life Education) (ร-ู้ จา) ก. การศกึ ษาชายและหญิงก่อนสมรส ข.การศึกษาถึงการปรบั ปรุงชีวิตสมรสให้เปน็ สุข ค. การศกึ ษาถงึ วิธีการเลือกคู่ครอง ง. การศกึ ษาถึงการส่งเสรมิ สุขภาพในครอบครัว
เกง็ ข้อสอบนกั ศกึ ษา กศน. รายวิชา ชองทางการขยายอาชพี รหัสวชิ า อช 31001 …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… 48. วฒุ ิภาวะทางอารมณ์สมบูรณ์ หมายถงึ ข้อใด (รู้-จา) ก. มีความกดดันทางเพศสงู ข. รจู้ ักเบีย่ งเบนพฤตกิ รรมทีต่ นไมพ่ อใจ ค.รจู้ กั แก้ไขปญั หาตา่ งๆ ไดถ้ ูกตอ้ งอยา่ งมเี หตุผล ง. รู้จักการเป็นผู้นาครอบครัว 49.สิง่ จาเปน็ ในการเลือกคู่ครอง ได้แกข่ ้อใด (รู้-จา) ก สุขภาพ อนามัยท่ีไม่เปน็ โรคทเี่ ป็นภัยต่อคคู่ รอง ข. นสิ ันใจคอทเ่ี ข้ากนั ได้ ค. ความมัน่ คงในอนาคตมงี านเป็นหลักเปน็ ฐาน ง. ถกู ทกุ ขอ้ 50. ความแตกต่างอะไรทม่ี ีผลตอ่ การเลือกคคู่ รอง (รู้-จา) ก. การศึกษาในระดบั เดียวกัน ข. ทรพั ยส์ นิ และศักด์ติ ระกลู ทีแ่ ตกต่างกนั ค. ศาสนาเดยี วกนั ง. ถูกทกุ ข้อ
เฉลยข้อสอบ วิชา สุขภาพและความปลอดภัย รหัสวชิ า ทช 32005 1.ขอ้ ใดคอื ความปลอดภัยในการทางาน ก.อุทิศตนทางานที่บริษทั ขายส่งอยา่ งมีความสุข 2.ข้อใดไม่ใช่ประโยชน์ของความปลอดภยั ในการทางาน ค.คณุ ภาพชวี ติ พนักงานดีขึ้น 3.บคุ คลข้อใดที่มสี ว่ นเกี่ยวขอ้ งกบั การเสรมิ สร้างความปลอดภยั ในการทางาน ง. ถกู ทุกข้อ 4.ขอ้ ใดคอื วธิ กี ารปฏิบตั งิ านท่ีไม่ปลอดภยั ข.เกบ็ และบรรจสุ ารเคมตี ามความคดิ ของตนเอง 5.ขอ้ ใดไม่ใช่สาเหตุท่ีนาไปสู่ความปลอดภัยในการทางาน ง.สภาพแวดลอ้ มไม่ปลอดภยั 6.บคุ คลข้อใดควรได้รบั การเสริมสร้างจติ สานกึ ด้านความปลอดภัยในการทางาน ก.วิศวกร 7.ขอ้ ใดคอื วธิ กี ารเสรมิ สรา้ งความปลอดภัยในการทางานท่ีมปี ระสทิ ธิภาพ ง.จดั หาอปุ กรณ์ป้องกันอนั ตรายมาให้ผ้ปู ฏบิ ัตงิ านใช้ 8.ขอ้ ใดท่ีนายจ้างควรปฏิบตั ิเพอ่ื ให้เกดิ ความปลอดภัยในการทางาน ง.ถูกทกุ ข้อ 9.ขอ้ ใดทผ่ี ปู้ ฏบิ ตั งิ านไมค่ วรปฏิบตั ิเพราะอาจนาไปสคู่ วามไมป่ ลอดภยั ข.ปฏบิ ัตงิ านตามกฎข้อบงั คับของโรงเรียนอย่างเคร่งครดั 10.สภาพแวดลอ้ มในการทางานข้อใดท่อี าจนาไปสู่ความไม่ปลอดภัยในการทางาน ค.เพิม่ อุณหภูมใิ นห้องทางานใหส้ ูงเพอ่ื ความอบอุ่น 11.ข้อใดกล่าวถูกต้อง ก.ความปลอดภัยของผ้ปู ฏบิ ัติงานขึ้นอยู่กบั นายจ้างเพียงอย่างเดียว 12.ขอ้ ใดคือกิจกรรมเสริมสร้างความปลอดภัยในการทางาน ง.ถูกทุกข้อ 13.ขอ้ ใดควรปฏิบัตเิ พื่อความปลอดภยั มากทส่ี ดุ ง.มปี ้ายเตือน
14.ขอ้ ใดคือสาเหตกุ ารตายของคนงานก่อสร้างมากท่ีสุด ข.หกล้ม 15.ขอ้ ใดคือสาเหตุของการเกิดอบุ ัตภิ ัยจากงานก่อสร้างมากท่สี ุด ค.หกล้ม ล่ืนลม้ 16.งานก่อสร้างมคี วามสาคญั ต่อเศรษฐกจิ อยา่ งไร ก.เป็นแหล่งรองรบั แรงงาน 17.การเกดิ อนั ตรายจากไฟฟ้าส่วนใหญ่เกดิ จากสาเหตใุ ด ง.อุปกรณ์ไม่ได้มาตรฐาน 18.ข้อใดเป็นสาเหตทุ ท่ี าให้เกิดอนั ตรายจากไฟฟา้ ง.ไม่ซ่อมไฟฟ้าเอง 19.หากพบผู้บาดเจบ็ ท่ตี ้องการความชว่ ยเหลือ ควรปฏบิ ตั ิอยา่ งไรเปน็ อันดับแรก ข.ตรวจดูอาการและบาดแผล 20.ข้อใดคือจดุ มุ่งหมายหลกั ของการปฐมพยาบาล ค.ยดื ชวี ิตผบู้ าดเจบ็ 21. ถ้าชมุ ชนของนักเรยี นไม่มีกระบวนการสรา้ งเสริมความปลอดภัยในชุมชนจะสง่ ผลอย่างไร 2.เกดิ อุบัตภิ ยั ได้ง่าย 22. สง่ิ สาคัญที่ทาให้เกิดกระบวนการสร้างเสรมิ ความปลอดภัยในชมุ ชนคอื อะไร 4.ความรว่ มมือของคนในชมุ ชน 23. ขอ้ ใดคือแนวทางสาคัญในการสร้างเสริมความปลอดภัยในชุมชน 3.สร้างแนวร่วมทางสขุ ภาพและความปลอดภัย 24.สภาพแวดล้อมในลักษณะใดอาจทาใหเ้ กิดอุบตั ภิ ยั ในชมุ ชนได้ 1.ถนนเปน็ หลมุ เป็นบอ่ 25.ขอ้ ใดเกย่ี วข้องกับงานสาธารณสุขชุมชน 4.ถูกทุกข้อ
26. กระบวนการสรา้ งเสรมิ ความปลอดภัยในชมุ ชนมีความสาคญั อยา่ งไร 4.ถกู ทุกข้อ 27. สารข้อใดมีวงแหวนเบนซีนอยูใ่ นโครงสรา้ ง 4.ขอ้ ข และ ค 28. หากนกั เรียนต้องการแสดงบทบาทในการเข้าร่วมสร้างเสรมิ ความปลอดภยั ในชมุ ชน นักเรียนควรปฏบิ ัติ ตามข้อใด 3.รวมกลมุ่ กับเพื่อนจดั นิทรรศการต่อต้านสารเสพติดในชมุ ชน 29. ในเมืองใหญ่ ๆ มกั ประสบปญั หาส่ิงแวดล้อมท่ีมผี ลตอ่ สุขภาพในข้อใด 2.อากาศเปน็ พิษ 30. ขอ้ ใดเป็นแนวทางปฏบิ ัตเิ พ่ือความปลอดภัยของชุมชน 3.ผู้ใหญ่บา้ นพอล เร่ียไรเงนิ จากชาวบ้านเพ่ือไปสรา้ งป้อมยาม 31. ปจั จยั ท่ีมอี ิทธพิ ลต่อการเปน็ ชุมชนท่ีมีสขุ ภาพดีคอื อะไร 3.คน สถานที่ ระบบสังคม 32. ขอ้ ใดแสดงถึงการสรา้ งเสริมสขุ ภาพในชมุ ชน 4. ถูกทุกข้อ 33. ขอ้ ใดคอื ผลดีของการสร้างแนวร่วมทางสุขภาพในชุมชน 1.ชุมชนมีความเข้มแขง็ ทางสุขภาพ 34. หลกั การป้องกันโรคในชมุ ชนแบ่งออกไดเ้ ปน็ กี่ระดับ 2.3 ระดบั 35. การปอ้ งกันและแก้ไขปัญหาส่ิงแวดลอ้ มในชมุ ชนเปน็ หนา้ ทข่ี องบคุ คลใด 2.สมาชิกทกุ คนในชุมชน
36. หากในชมุ ชนเกดิ ปญั หาแหล่งน้าโสโครกจะส่งผลทาให้เกิดปญั หาใดตามมา 4. ถูกทุกข้อ 37. การสะสมของขยะมลู ฝอยในแหลง่ ชมุ ชนจะส่งผลเสียในข้อใดตามมา 4. ถูกทกุ ขอ้ 38. ขอ้ ใดไม่ใช่การกาจัดขยะมูลฝอยทีถ่ ูกสขุ ลกั ษณะ 2.ใช้เปน็ อาหารสัตย์ 39. พฤติกรรมใดจัดเปน็ พฤติกรรมเสีย่ งของชมุ ชน 2.การดมื่ สรุ าและขับขีร่ ถยนต์ 40. ขอ้ ใดคือแนวทางการลดความเสี่ยงจากโรคเครยี ดของคนในชมุ ชน 4. จัดโครงการอาชพี เสริมในชุมชน 41. ถ้าตอ้ งการบารุงรักษาสุขภาพของผิวหนงั ให้แข็งแรงควรกินอาหารประเภทใด (นาไปใช)้ ก. ตบั นม ผกั บุ้ง 42. กล้ามเนือ้ ชนดิ ใดที่ทางานอยใู่ นอานาจของจิตใจ (เข้าใจ) ค. กล้ามเนอื้ ของกระดุก 43. พนั ธุกรรม หมายถึงอะไร (ร-ู้ จา) ง. ปรากฏการณ์การส่งิ มชี วี ิต ถ่ายทอดลกั ษณะต่างๆ จากรุ่นหน่ึงสูอ่ กี รุ่นหน่ึง 44. ยนี (Gene) คอื อะไร (ร-ู้ จา) ค. สงิ่ ทคี่ วบคุมลักษะทถ่ี ่ายทอดมาส่ลู กู 45. ข้อใดคอื ความหมายของกลมุ่ (ร-ู้ จา) ง. ถกู ขอ้ ก และ ค 46. สว่ นท่สี าคัญท่ีสดุ ของกลุ่มคือ (เข้าใจ) ง. คณะกรรมการ 47. ขอ้ ใดหมายถึงการศึกษาชีวติ และครอบครัว (Family Life Education) (ร-ู้ จา) ข.การศกึ ษาถึงการปรับปรุงชีวติ สมรสให้เป็นสุข 48. วฒุ ิภาวะทางอารมณส์ มบูรณ์ หมายถึงข้อใด (รู้-จา) ค.รู้จักแก้ไขปญั หาต่างๆ ไดถ้ ูกต้องอยา่ งมเี หตผุ ล 49.สิ่งจาเปน็ ในการเลือกคคู่ รอง ได้แกข่ ้อใด (รู้-จา) ง. ถกู ทุกขอ้ 50. ความแตกต่างอะไรที่มีผลตอ่ การเลือกคูค่ รอง (รู้-จา) ข. ทรพั ยส์ นิ และศักด์ติ ระกลู ทแ่ี ตกตา่ งกัน
คณะผจู้ ดั ทำ ท่ปี รกึ ษำ ผ้อู านวยการ กศน.อาเภอเกา้ เลยี้ ว ๑. นางศิริพร สุดเล็ก ครผู ชู้ ว่ ย 2. นายชษุ ณะ พูลสมบตั ิ ครู กศน.ตาบล คณะทำงำน นางสาวณฐั กฤตา ฤทธเิ์ ทพ ครู กศน.ตาบล ผู้รวบรวมเรยี บเรียงและจดั พมิ พ์ นางสาวณัฐกฤตา ฤทธิ์เทพ
– สรปุ เนอ้ื หา+เกง็ ขอ้ สอบ สาหรับนกั ศกึ ษา กศน. เกง็ ตรงเนอ้ื หาทอ่ี อกสอบ โดย ครู กศน.
Search
Read the Text Version
- 1 - 44
Pages: