Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วัฒนธรรมไทย

วัฒนธรรมไทย

Published by anawatbas2548, 2021-02-08 12:10:37

Description: งานนำเสนอ การประชุมของบริษัท ทันสมัย คอลลาจภาพถ่าย สีขาว สีน้ำเงินและสีเหลือง (2)

Search

Read the Text Version

ประเพณไี ทย วฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมไทย

คํานาํ ในเนอื เรืองบทนีจัดทําเพือตอ้ งการให้ผทู้ ่ตี อ้ งการศึกษาเกยี วกับวัฒนธรรมไทยไดเ้ ข้าใจเกียวกบั วัฒนธรรมไทยมากขึน และอนื ๆทีตอ้ งการใหไ้ ดค้ วามรู้ในบทนี เพือใหท้ ุกคนตระหนกั ถึงวัฒนธรรมอนั ดี งามทมี ีมาแตช่ า้ นานเกิดจติ สํานึกตอ่ การอนุรักษ์ใหค้ งอยูก่ ับสังคมไทยต่อไป ขอใหผ้ ้ทู ีเข้ามาอา่ นเรืองนี ประสบความสําเรจ็ ในความรู้ โดย คณะผ้จู ดั ทาํ

สารบญั page 05 page 06 page 07 page 09 ความหมาย ความสาํ คัญ ทีมาวฒั นธรรม วฒั นธรรมของ วฒั นธรรมไทย วฒั นธรรมไทย ไทย ภาคเหนอื

สารบญั page 13 page 16 page 19 page 22 วฒั นธรรม วฒั นธรรมของ วฒั นธรรมของ วฒั นธรรม ภาคอีสาน ภาคกลาง ภาคใต้ ประจาํ ชาติ

ความหมายของวฒั นธรรม วฒั นธรรม หมายถงึ แบบแผนการดาํ เนินชวี ติ ของมนุษย์ทีมนุษย์สร้างขึนใน แต่ละสังคม ซงึ แต่ละสงั คมจะต้องมวี ัฒนธรรมทีแตกตา่ งกนั ออกไป พจนานุกรมฉบับราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ.2542 ไดน้ ิยามความหมายของ วัฒนธรรมไว้ 2 นยั ดงั นี 1.สงิ ทที ําความเจริญงอกงามใหแ้ กห่ ม่คู ณะ เชน่ การแต่งกาย เปนตน้ 2.วิถชี ีวิตของหมคู่ ณะเชน่ วฒั นธรรมพืนบ้าน,วฒั นธรรมชาวเขา เปนต้น วัฒนธรรม เปนแบบแผนทคี รอบคลมุ วถิ ีการดําเนินชวี ิตของมนษุ ย์ วฒั นธรรมพืนฐานและความจาํ เปนของมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ ภาษา ทังภาษาพูดและภาษา เขียนปจจยั 4 คอื อาหาร เครืองนงุ่ ห่ม ทีอยอู่ าศยั และยารักษาโรค ขอบข่ายของวัฒนธรรมแสดงถงึ ขดี ความสามารถของมนษุ ยใ์ นการศกึ ษาเรียนรู้

การแสดงถงึ วฒั นธรรม ความสําคญั ของวฒั นธรรม 1. วฒั นธรรมเปนเครอื งสรา้ งระเบยี บแกส่ งั คม 2. วฒั นธรรมทําใหเ้ กดิ ความสามคั คคี วามเปน อนั หนงึ อนั เดยี วกนั 3. วฒั นธรรมเปนตวั กาํ หนดรปู แบบสถาบนั 4. วฒั นธรรมเปนเครอื งมอื ชว่ ยแกป้ ญหาและ สนองความตอ้ งการของมนษุ ย์ 5. วฒั นธรรมชว่ ยใหป้ ระเทศชาตเิ จรญิ กา้ วหนา้ 6. วฒั นธรรมเปนเครอื งแสดงเอกลกั ษณข์ อง ชาติ

วัฒนธรรมประเทศไทย ทมี าของวฒั นธรรม ชาติไทยเปนชาตทิ เี ก่าแก่และมีวัฒนธรรม ประจาํ ชาตทิ เี กิดจากภมู ิปญญาของบรรพบรุ ษุ และพัฒนาหล่อหลอมขนึ ในสังคมไทย จนมีความเปนเอกลกั ษณ์ของตนเองไม่วา่ จะเปนภาษา วรรณคดี ศิลปวตั ถุ ดนตรี อาหารและการแต่งกาย นอกจากนี คนไทยยังไดม้ ีการยอมรบั เอาวัฒนธรรม ของชาติอนื เข้ามาผสมผสาน โดยการนํามาดัดแปลงผสมผสานกันไดอ้ ย่างกลมกลนื จนเกดิ เปนวัฒนธรรมของสงั คมไทยทีมเี อกลกั ษณท์ มี า ของวัฒนธรรมไทย วฒั นธรรมไทยมีทีมาจากหลายแหลง่ กาํ เนิดด้วยกนั ดังนี

1) สงิ แวดลอ้ มทาง 2) พิธกี รรมทางพระพุทธ R|R ภมู ศิ าสตรแ์ ละสงั คม ศาสนา เกษตรกรรม พระพุ ทธศาสนาเผยแผ่เข้ามาใน ประเทศไทยเปนเวลานาน โดยคนไทยได้ เนอื งจากพืนทขี องประเทศไทยสว่ นใหญม่ ี นําหลกั คําสอนมาใช้ในการดาํ เนนิ ชวี ิต สภาพภูมิศาสตรเ์ ปนทรี าบลุ่มแมน่ ํา คน นอกจากนียงั มปี ระเพณแี ละพิธีกรรม ไทยจึงมคี วามผกู พันกบั แม่นาํ ลาํ คลอง ตา่ ง ๆ ทีเกียวข้องกบั ศาสนาอีกเปน ทาํ ใหเ้ กดิ วิถีชีวติ รมิ นาํ และประเพณีตา่ ง ๆ จาํ นวนมาก เช่น การทอดกฐิน การ ทีเกยี วข้องกบั นําทีสาํ คญั เช่น ประเพณี ทอดผ้าปา การบวชเพือสบื ทอดศาสนา ลอยกระทง ประเพณีสงกรานต์ เปนต้น เปนตน้ 3) คา่ นยิ ม 4) การเผยแพรแ่ ละการ ยอมรบั วฒั นธรรมจาก เปนแบบอย่างพฤติกรรมของคนในสังคม ตา่ งชาติ ทมี ีความแตกตา่ งกนั ค่านยิ มบางอยา่ ง กลายเปนแกนหลักของวัฒนธรรมไทย ในอดตี ประเทศไทยได้รบั วฒั นธรรมจากจีน เช่น ความรักชาติ ศาสนา พระมหา และอนิ เดยี เข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรม กษัตรยิ ์ ซึงคนไทยให้ความเคารพและ ดงั เดมิ แตใ่ นปจจบุ ันจากกระแส เชดิ ชสู ถาบันพระมหากษัตรยิ ์เปนอยา่ ง โลกาภวิ ัฒนท์ าํ ใหเ้ กิดการหลงั ไหลของ มาก วฒั นธรรมต่างชาตเิ มาในประเทศไทย โดยเฉพาะวัฒนธรรมทีมาจากชาติตะวัน ตกทีเห็นไดอ้ ยา่ งชัดเจน เช่น การแต่ง กายตามแบบสากล การผกู เนคไท การ สวมเสือนอก การสร้างบา้ นเรือนรปู ทรง

วัฒนธรรมของภาคเหนอื เกดิ จากการผสมผสานการดําเนนิ วฒั นธรรมทางภาษาถนิ วฒั นธรรมการกนิ วฒั นธรรมทเี กยี วกบั ศาสนา ชวี ติ และศาสนาพุทธความเชอื -ความเชอื เรอื งการนบั ถอื ผี สง่ ผลทาํ ใหม้ ี ชาวไทยทางภาคเหนอื มี ประเพณที เี ปนเอกลกั ษณข์ อง ภาษาลา้ นนาทีนุ่มนวล ชาวเหนอื มวี ฒั นธรรมการ ชาวล้านนามคี วามผกู พันอยู่กับ ประเพณที จี ะแตกตา่ งกนั ไปตาม กนิ คล้ายกับคนอีสาน คอื การนบั ถือผซี งึ เชือว่ามีสิงเรา้ ลบั ให้ ฤดกู าล ทงั นี ภาคเหนอื จะมงี าน ไพเราะ กนิ ขา้ วเหนียวและปลาร้า ซึงมีภาษาพู ดและภาษา ซึงภาษาเหนือเรยี กวา่ \"ข้าว ความคมุ้ ครองรกั ษาอยู่ ซงึ ประเพณใี นรอบปแทบทกุ เดอื น จงึ เขยี นทีเรยี กวา่ \"คําเมอื ง\" สามารถพบเห็นไดจ้ ากการดําเนนิ ขอยกตวั อยา่ งประเพณภี าคเหนอื ของภาคเหนือเอง โดยการ นิง\" และ \"ฮา้ \" พูดจะมสี าํ เนยี งทแี ตกต่าง ส่วนกรรมวิธกี ารปรุงอาหาร ชีวิตประจําวัน เชน่ บางสว่ นมานาํ เมือเวลาทีตอ้ งเข้าปาหรอื ต้องค้าง กันไปตามพืนที ของภาคเหนอื จะนยิ มการ ปจจบุ นั ยงั คงใช้พูดตดิ ต่อ ต้ม ปง แกง หมก พักแรมอยูใ่ นปา จะนยิ มบอกกล่าวและขออนุญาต สือสารกัน เจ้าท-ี เจ้าทางอย่เู สมอ

ประเพณตี านตงุ ประเพณสี งกรานต์ ประเพณีของ ในภาษาถินลา้ นนา ตงุ หมายถึง “ธง” ถือเปนชว่ งแรกของการเรมิ ต้นป ภาคเหนอื จุดประสงคข์ องการทําตงุ ในล้านนาก็ ใหมเ่ มอื ง หรือสงกรานตง์ าน คอื การทาํ ถวายเปนพุทธบชู า ชาวล้าน ประเพณี โดยแบง่ ออกเปนวนั ที นาถือว่าเปนการทําบุญอทุ ศิ ให้แกผ่ ูท้ ี 13 เมษายน หรือวันสงั ขารล่อง ลว่ งลบั ไปแลว้ หรือถวายเพือเปน ถือเปนวนั สนิ สุดของป โดยจะมี ปจจยั สง่ กศุ ลใหแ้ ก่ตนไปในชาตหิ นา้ การยิงปน ยิงสโพก และจุด ดว้ ยความเชอื ทีวา่ เมือตายไปแล้วก็จะ ประทัดตังแต่กอ่ นสว่างเพือขบั ไล่ ได้เกาะยึดชายตุงขึนสวรรค์พ้นจาก สงิ ไม่ดี วันนีตอ้ งเกบ็ กวาดบา้ น เรอื น และ ทําความสะอาดวัด ขุมนรก ประเพณยี เี ปง (วนั เพ็ญ เดอื นย)ี หรอื งานลอย กระทง โดยจะมงี าน “ตามผางผะตปิ ” (จุดประทีป) ซึงชาวภาคเหนอื ตอนลา่ งจะเรยี กประเพณนี ีว่า “พิธีจองเปรียง” หรอื “ลอย โขมด” เปนงานทีขึนชือที จงั หวัดสโุ ขทัย

ประเพณลี อยกระทงสายหรอื ประทปี พันดวง ทจี งั หวัดตาก ในเทศกาลเดียวกันดว้ ยใน เดอื น 3 หรือประมาณเดือนธนั วาคม มี ประเพณีตงั ธรรมหลวง (เทศน์มหาชาต)ิ และทอดผ้าปา ในธันวาคมจะมกี ารเกยี ว “ขา้ วดอ” (คือขา้ วสกุ ก่อนข้าวป) พอถึง ข้างแรมจึงจะมกี ารเกยี ว “ขา้ วป” ประเพณลี อยโคม แหน่ างแมว ชาวล้านนาจังหวดั เชยี งใหม่ ทมี ีความเชอื ระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม เปน ในการปล่อย โคมลอยซงึ ทาํ ดว้ ยกระดาษ ช่วงของการเพาะปลูก หากปใดฝนแล้ง สาตดิ บนโครงไมไ้ ผแ่ ลว้ จดุ ตะเกยี งไฟตรง ไม่มีนาํ จะทาํ ให้นาข้าวเสียหาย ชาวบ้านจงึ กลางเพือให้ไอความร้อนพาโคมลอยขนึ ไป พึงพาสงิ เหนอื ธรรมชาติ เชน่ ทาํ พิธขี อ ในอากาศเปนการปล่อยเคราะห์ปล่อยโศก ฝนโดยการแห่นางแมว โดยมีความเชือกัน และเรอื งร้าย ๆ ตา่ ง ๆ ให้ไปพ้นจากตวั ว่าหากกระทาํ เช่นนันแลว้ จะช่วยให้ฝนตก

สะลอ้ ปนเครืองดนตรเี ครืองสพี ืนเมอื งลา้ นนา ซงึ สะล้อมีทงั 2 สายและ 3 สาย และเปน ตัวหลกั มักนิยมใช้ขึนนําเพลงในวงกับ เครอื งดนตรชี นิดอนื ๆ เชน่ สะลอ้ ซอ ซงึ เครอื งดนตรี ซงึ เปนเครอื งดนตรปี ระเภทดดี มี 4 สาย แตแ่ บง่ ออกเปน 2 เสน้ เสน้ ละ 2 สาย มลี กั ษณะคลา้ ย กระจบั ป แตม่ ขี นาดเลก็ กวา่ ความยาวทงั คนั ทวนและกะโหลกรวมกนั ประมาณ 81 ซม. กะโหลกมรี ปู รา่ งกลมวดั เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางได้ ประมาณ 21 ซม.

วัฒนธรรมภาคอสี าน ภาคอสี าน หรอื ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื เครอื งแตง่ กาย อาหารประจาํ ภาค การละเลน่ พืนเมอื ง ตงั อยบู่ นทรี าบสงู โคราช มแี มน่ ําโขงกนั เขตทางตอนเหนอื และตะวนั ออกของภาค ชาวอสี านถอื วา่ การทอผา้ เปนกจิ กรรมยาม ในปจจบุ นั อาหารจากภาคอสี าน ถอื เนอื งจากภมู ปิ ระเทศภาคอสี านเปน โดยทางดา้ นใตจ้ รดชายแดนกมั พูชา ทาง วา่ งหลงั จากฤดกู ารทํานา หรอื วา่ งจากงานประจาํ เปนอาหารยอดนยิ มทแี พรห่ ลายทงั ในประเทศ ทรี าบสงู คอ่ นขา้ งแหง้ แลง้ เพราะพืนดนิ ไม่ ตะวนั ตกมเี ทอื กเขาเพชรบรู ณ์ และเทอื ก อนื ๆ ดงั นนั ใตถ้ นุ บา้ นของชาวอสี านในอดตี จะมี และตา่ งประเทศ ซงึ เมนทู ที กุ คนคนุ้ เคยกนั ดี เกบ็ นํา ฤดแู ลง้ จะกนั ดาร ฤดฝู นนาํ จะทว่ ม แต่ เขาดงพญาเยน็ เปนแนวกนั แยกจากภาค ชาวอสี านกม็ อี าชพี ทาํ ไรท่ ํานา และเปนคนรกั การกางหกู ทอผา้ กนั ไวแ้ ทบทกุ ครวั เรอื น โดยผู้ ไดแ้ ก่ เมนสู ม้ ตํา โดยเฉพาะสม้ ตาํ ไทย ที สนกุ ดงั นนั จงึ สามารถหาความบนั เทงิ ไดท้ กุ เหนอื และภาคกลาง ซงึ เทอื กเขาทสี งู ทสี ดุ หญงิ ในวยั ตา่ ง ๆ จะสบื ทอดการทอผา้ ตงั แตเ่ ดก็ สามารถรบั ประทานไดท้ กุ ที ทกุ เวลา เนอื งจาก โอกาส โดยจะมที งั การรอ้ งเพลง และฟอนราํ ในภาคอสี านคอื ยอดภกู ระดงึ ซงึ เปนตน้ โดยผา้ ทอมอื เหลา่ นที าํ จากเสน้ ใยธรรมชาติ เชน่ ผา้ สม้ ตาํ มสี ว่ นประกอบหลกั คอื ผกั และสามารถ ทงั นี การแสดงของภาคอสี าน มกั เกดิ จาก กําเนดิ ของแมน่ าํ สายสําคญั ของชาวอสี าน ฝาย และผา้ ไหม และจะถกู นําไปใชต้ ดั เยบ็ ทําเปน รบั ประทานคกู่ บั ขา้ วเหนยี ว ขา้ วสวย ขนมจนี กจิ วตั รประจาํ วนั หรอื ประจาํ ฤดกู าล และ เชน่ ลําตะคอง แมน่ าํ ชี และแมน่ ํามลู อสี าน เครอื งนงุ่ หม่ หมอน ทนี อน ผา้ หม่ และการทอผา้ ลกั ษณะการแสดงซงึ เปนลลี าเฉพาะของอสี าน ยงั เปนการเตรยี มผา้ สําหรบั การออกเรอื นของฝาย ไดต้ ามทตี อ้ งการ คอื ลลี า และจงั หวะในการกา้ วเทา้ ทมี ลี กั ษณะ มเี นอื ทปี ระมาณ 170,000 ตาราง หญงิ รวมถงึ เปนการผา้ ทที อไวส้ ําหรบั ฝายชาย นอกจากเมนสู ม้ ตาํ แลว้ คลา้ ยเตน้ แตน่ มุ่ นวลกวา่ และมกั เดนิ ดว้ ย กโิ ลเมตร ซงึ เทยี บไดก้ บั หนงี ในสามของ ดว้ ย อาหารอสี านทไี ดร้ บั ความนยิ มเปนอยา่ งมาก ปลายเทา้ โดยจะสบดั เทา้ ไปขา้ งหลงั สงู พืนทที งั หมดของประเทศไทย ผา้ ทอของภาคอสี าน สามารถจาํ แนกออกเปน 2 ไดแ้ ก่ ลาบ กอ้ ย ขา้ วเหนยี วไกย่ า่ ง ปลารา้ หลน ขา้ วจี ผดั หมโี คราช แกงออ่ ม แกงผกั ซงึ ตวั อยา่ งเพลงพืนเมอื ง ทมี กั นยิ มขบั รอง ชนดิ ดงั นี กนั ไดแ้ ก่ หมอลาํ 1. ผา้ ทอสําหรบั ใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั โดยผา้ ทอชนดิ นี หวานไขม่ ดแดง เปนตน้ เพลงโคราช เจรยี ง กนั ตรมึ เพลงลอ่ งโขง จะเปนผา้ พืนไมม่ ลี วดลาย เพราะตอ้ งการความ เพลงแอว่ แคน ขณะที การฟอนราํ ไดแ้ ก่ แห่ ทนทานจงึ ทอดว้ ยฝายยอ้ มสี นางแมว เซงิ บงั ไฟ เซงิ สวงิ เซงิ โปงลาง เซงิ ตงั หวาย เซงิ กระตบิ รําลาวกระทบไม้ ฟอนภู 2. ผา้ ทอสําหรบั โอกาสพิเศษ เชน่ ใชใ้ นงานบญุ ประเพณตี า่ ง ๆ งานแตง่ งาน งานฟอนราํ ดงั นนั ไท เปนตน้ ผา้ ทอจงึ มกั มลี วดลายสวยงาม และมสี สี นั หลาก หลาย

บญุ ผะเหวด ประเพณบี ญุ บงั ไฟ บุญผะเหวด บุญพระเวสสันดร หรือ เโดยมีตาํ นานมาจากนทิ านพืนบา้ นของภาคอสี าน บุญมหาชาติ ซึงเปนการทาํ บญุ ใน เรอื งพระยาคนั คาก เรอื งผาแดงนางไอ่ ประเพณี เดือนสี บางครังกเ็ รียก “ บุญเดอื น บุญบงั ไฟเรียกอีกอย่างหนึงวา่ บญุ เดอื นหก เปน สี” ในบางทอ้ งถนิ จะทาํ บญุ เดือนนีใน เดือนสามรวมกับบญุ ข้าวจแี ละบญุ ประเพณไี ทยทจี ดั ขึนประจําทุกป ในชว่ งเดือน กุ้มข้าวใหญ่ ให้เปนบญุ เดยี วกนั ส่วน พฤษภาคมซงึ เปนช่วงกอ่ นทจี ะลงมือทาํ นา คณะ เดอื นสกี เ็ วน้ ไว้ บญุ ผะเหวดส่วนมาก จะกระทํากนั ในเดอื นสี บงั ไฟทงั หลายแหข่ บวนเซิงเเพือขอรบั บริจาค สิงของจําเปนในการร่วมทาํ บุญ สําหรับวันเสารจ์ ะ เปนวนั แหข่ บวนฟอนราํ เพือการแข่งขนั ด้านความ สวยงามของทา่ ฟอนในจังหวะต่าง ๆ ตลอดทัง การตกแต่งบงั ไฟและการจัดขบวนทสี วยงาม ส่วน ในวนั อาทติ ยจ์ ะเปนวันจุดบงั ไฟ แข่งขนั การขึนสงู ของบงั ไฟ และการทบี งั ไฟสามารถลอยอยใู่ น อากาศได้นานจะเปนเครืองตัดสินการชนะเลศิ ของการแขง่ ขนั ประเพณขี อง ประเพณขี า้ วประดบั ดนิ ภาคอีสาน นอกจากจะเปนการอุทศิ ส่วนกุศลให้ บรรพบรุ ุษและผไี ร้ ญาติตามความเชือแล้ว ถอื ว่าเปนการใหท้ านแก่ผู้ยากไรร้ วมทงั สตั วท์ ี ไม่มีเจา้ ของ ทตี ้องหวิ อดมอื กนิ มอื มาตลอดทัง ปด้วย เพราะการทตี ังอาหารไวท้ พี ืนทําใหส้ ัตว์ เหล่านันสามารถเข้ามากนิ อาหารได้ อยา่ งเตม็ ที ทกุ วนั นีคนเราส่วนมากมกั นึกถงึ แต่เรอื งของ ตนเองเปนสาํ คัญ การมงี านบญุ งานประเพณี อย่าง บญุ หอ่ ข้าวประดบั ดิน จะช่วยกระตุ้น เตอื นให้เราไดน้ ึกถึงผอู้ ืนบ้าง จึงนา่ จะถอื ได้วา่ เปนวนั แห่งการชําระลา้ งความเหน็ แกต่ วั ออกไป จากจิตใจดว้ ย

เครอื งดนตรี แคน พิณ โปงลาง เปนเครอื งเปาทาํ ดว้ ยไมซ้ างขนาดต่าง ๆ นาํ มาเรียงลําดบั ผกู ติดกนั พิณพืนเมอื งภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ มชี อื เรียก เปนเครืองตี ทําดว้ ยไม้ร้อยต่อกนั จาํ นวน 12 เปน 2 แถว ๆ ละ 6 ลาํ บ้าง 7 ลําบ้าง หรอื 8 ลําบ้าง สุดแท้แต่ว่าจะ แตกตา่ งกัน เชน่ ซงุ หมากจับป มากตอ้ งโตง่ และ ท่อนดว้ ยเชือกเปนผนื แต่ละท่อนมขี นาด และ เปนแคนหก แคนเจด็ หรอื แคนแปด โดยเรยี งลําใหญไ่ วค้ หู่ นา้ และลาํ หมากตับแต่ง มีสายตงั แต่ 2 - 4 สาย ชนดิ ทมี ี 4 ความยาวลดหลันกนั ตามลําดบั จากใหญล่ ง เลก็ ๆ เปนคถู่ ดั ไปตามลําดับ และต้องเรยี งให้กลางลําตรงทใี สล่ ินอยู่ใน สาย ก็คลา้ ยกับซงึ ของภาคเหนอื แตป่ ลาย มาเลก็ เวลาเลน่ ใชด้ า้ นใหญ่ (ดา้ นบน) แขวน ระดับเดยี วกัน แล้วเอาไมจ้ รงิ มาถากเจาะรสู ําหรับเปา (เรียกสว่ นนวี ่า กะโหลกพิณปานกว่า พิณพืนเมืองภาคนี ทาํ ด้วย กับกิงไม้ หรอื ไมข้ าตงั ดา้ นเลก็ (ด้านล่าง) ใช้ \"เตา้ \") เอาลําไม้ซางทีเรยี งไวส้ อดลงในเต้าใหพ้ อดีกับตรงทีใสล่ นิ ไว้ แลว้ ไม้เนือแข็งประดษิ ฐ์ขนึ อยา่ งงา่ ย ๆ ไมส่ ูจ้ ะประณีต เท้าผู้เลน่ หรอื ทําทีเกยี วยดึ ไว้ มกั ใช้ผเู้ ล่น 2 เอาชัน หรอื ขผี งึ พอกกันลมรวั เหนอื เต้าขนึ ไปประมาณ 4 - 5 ซม. นัก ใชเ่ ลน่ เดยี ว หรือเลน่ ร่วมกับวงแคน และ คน คนหนึงเล่นทํานองเพลงเรียก \"หมอเคาะ\" เจาะรูด้านข้างของลาํ ไมซ้ างตงั แต่ค่ทู ี 2 เปนต้นไป ลาํ ละ 1 รู สาํ หรบั นวิ โปงลาง อกี คนหนึงทําหนา้ ทีเคาะประสานเสียงทํา ปดเปดเปลยี นเสียง ส่วนคูแ่ รก เจาะรูด้านหนา้ เหนือเตา้ ขนึ ไปประมาณ จังหวะเรียก \"หมอเสริ ฟ์ \" โปงมีเสียง 5 เสียง 2 - 3 ซม. สาํ หรับนิวหัวแม่มือปดเปด อาจกลา่ วได้วา่ แคนเปนเครอื ง คือ โด เร มี ซอล ลา ไม่มเี สียง ฟาและที ดนตรีสัญลกั ษณข์ องภาคอีสาน ประชาชนแถบนนี ยิ มเปาเล่นสบื ตอ่ กัน มาช้านาน ทงั เลน่ เ ดียวคลอการร้อง และเลน่ เปนวงโดยผสมกบั เครือง ดนตรอี ืน เช่น พิณ โปงลางกลอง ฯลฯ ประกอบการแสดงพืนบา้ น ภาคอีสานต่าง ๆ

วฒั นธรรมของภาคกลาง R|R ภาคกลาง เปนภมู ภิ าคตอนกลาง เครอื งแตง่ กาย อาหารประจาํ ภาค การละเลน่ พืนเมอื ง ของประเทศไทย มพี ืนที ครอบคลมุ ทรี าบลมุ่ แมน่ ํา ภาษาภาคกลาง ส่วนใหญ่ใช้ภาษาไทยกลางทเี ปน ลักษณะอาหารพืนบา้ นภาคกลางมที มี า ภาคกลางมภี มู ปิ ระเทศเปนทีราบล่มุ มีแมน่ าํ หลายสาย ภาษาราชการ ต่างกันดังนี เชน่ เหมาะแก่การกสิกรรม ทาํ นา ทําสวน ประชาชนอยู่ เจา้ พระยา ตดิ ตอ่ กบั ภาคเหนอื อย่างอุดมสมบรู ณ์ จึงมกี ารเลน่ รนื เริงในโอกาสต่าง ทางทศิ เหนอื ตดิ ตอ่ กบั ภาค ยกเว้นคนบางกลมุ่ ทมี บี รรพบรุ ุษเปนชาวจีน ชาว 1. ไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากตา่ งประเทศ ๆ มากมาย ทงั ตามฤดกู าล ตามเทศกาล และตาม ตะวนั ออก และภาคอสี านทางทศิ มอญหรือชาวลาวพวน 2. เปนอาหารทมี ักมีการประดิษฐ์ โดย โอกาสทมี ีงานรืนเริงภาคกลางเปนทีรวมของศิลป ตะวนั ออกโดยมที วิ เขาเพชรบรู ณ์ วัฒนธรรม การแสดงจึงมกี ารถ่ายทอดสบื ตอ่ กนั กนั ตดิ ตอ่ กบั ภาคตะวนั ตก ทศิ ซงึ มีส าเนยี ง ภาษาทีแตกตา่ งออกไป การแตง่ เฉพาะอาหารจากในวงั และพัฒนาดัดแปลงขนึ เรอื ยๆ จนบางอย่างกลาย เหนอื ตดิ ตอ่ กบั ทวิ เขาผปี นนํา กายภาคกลาง การแต่งกาย 3. เปนอาหารทีมกั จะมีเครืองเคยี ง ของ เปนการแสดงนาฏศิลปแบบฉบบั ไปก็มี เช่น ราํ วง พืนนเี คยเปนดนิ แดนทสี ําคญั แนม และเนอื งจากเปนทีรวมของศิลปะนีเอง ทําใหค้ นภาค ของอาณาจกั รอยธุ ยา และยงั ในชวี ิตประจ าวันทวั ไป ชายนุง่ กางเกงครึงนอ่ ง 4. เปนภาคทีมอี าหารวา่ ง และขนม กลางรบั การแสดงของทอ้ งถนิ ใกลเ้ คยี งเขา้ ไวห้ มด สวมเสอื แขนสนั หวานมากมาย แลว้ ปรุงแตง่ ตามเอกลักษณข์ องภาคกลาง คือการ เปนพืนทที สี ําคญั ของ ร่ายรําทใี ช้มอื แขนและลําตัว เช่นการจบี มือ ม้วนมอื ประเทศไทยมาจนถงึ ปจจบุ นั คาดผ้าขาวมา้ ส่วนหญิง จะนุง่ ซนิ ยาว สวมเสือ ตังวง การอ่อนเอยี ง และยักตวั การแสดงพืนเมอื ง แขนสนั หรือยาว ภาคกลาง ได้แก่ รําวง ราํ เหยย่ เต้นกํารําเคียว ภาคกลางเปนภมู ภิ าคทมี ี เพลงเกยี วข้าว รําชาวนา เพลงเรอื เถดิ เทงิ กรงุ เทพมหานคร เมอื งหลวง ผชู้ าย นยิ มสวมใส่ เพลงฉอ่ ย ราํ ตน้ วรเชษฐ์ เพลงพวงมาลัย เพลง โจงกระเบนสวมเสอื สีขาว ตดิ กระดุม 5 เมด็ ที ของประเทศไทยตงั อยู่ เรียกวา่ \"ราชประแตน\" อแี ซว เพลงปรบไก่ รําแม่ศรีดนตรีทีใชป้ ระกอบการ ไวผ้ มสนั ขา้ งๆ ตดั เกรยี นถึงหนงั ศีรษะข้างบนหวี แสดง ได้แก่ วงปพาทยเ์ พลงพืนเมืองภาคกลาง แสกกลาง เชน่ เพลงเหย่อย เพลงเทพทอง เพลงฉ่อย เพลงอี ผหู้ ญิง นิยมสวมใส่ แซว เพลงเรือ เพลงเกยี วข้าว เพลงสงฟาง เพลง ผา้ ซินยาวครงึ แขง้ ห่มสไบเฉียงตามสมยั อยุธยา ทรงผมเกล้าเปนมวย พิษฐาน เพลงเตน้ กํา เพลงรําเคียว เพลงพวงมาลยั และสวมใส่เครืองประดับเพือความสวยงาม เพลงชาวไร่ เพลงระบํา เพลงบา้ นนา เพลงปรบไก่ เพลงสวรรค์ เพลงแอ่วซอ

ประเพณขี อง การแขง่ เรอื ยาว ประเพณตี กั บาตรนาํ ผงึ ภาคกลาง การแข่งเรอื นบั เปนประเพณที มี กี าร การตกั บาตรนาํ ผงึ เปนประเพณกี าร ปฏบิ ัตกิ ารมาเปนเวลายาวนาน โดยถอื ถวายนําผึงแกภ่ ิกษุและสามเณร ของ กําหนดในวันทีมีการแหห่ ลวงพ่อโสธร ชาวรามัญทวี ัดพิมพาวาส อาํ เภอ ทางนาํ เปนสาํ คัญ คือ วนั ขึน ๑๕ คาํ บางปะกง สืบเนอื งมาจากความเชอื วา่ ใน เดือน ๑๒ ของทกุ ป แตเ่ ดิมจดั ขึนที สมยั พุทธกาล พระพุทธเจา้ เสดจ็ ประทบั ที บรเิ วณสะพานข้ามแม่นาํ บางปะกง หน้า ปาเลไลย์ มชี ้างและลงิ คอยอปุ ฏฐากโดย ตวั เมือง แตป่ จจบุ นั ไดย้ ้ายไปจัดบรเิ วณ การนาํ เอาออ้ ยและนําผึงคอยถวาย ตอ่ หนา้ วัดโสธรวรวหิ าร เรอื ทีเข้าแข่งมี มาจงึ ทรงมีพุทธานุญาตใหภ้ ิกษุสามเณร หลายประเภท ตังแตเ่ รือยาวเลก็ เรอื ยาว รบั นาํ ผงึ และนําอ้อยมาบรโิ ภคเปนยาได้ ใหญ่ เรือเร็วตดิ เครืองยนต์ ฯลฯ ประเพณบี ญุ ขา้ วหลาม วนั ขึน ๑๔ คาํ เดอื น ๓ ชาวบา้ นทกุ บา้ นจะเผา ขา้ วหลาม เพือนําไปถวายพระในเช้าวันขนึ ๑๕ คํา ตอนสายจะพากนั เดินไปขึนเขาดงยาง ซึงอย่หู ่าง จากหม่บู า้ นประมาณ ๖ กิโลเมตร เพือปดทอง รอยพระพุทธบาทบนเขาดงยาง และนาํ ขา้ วหลาม ไปรับประทานบนเขานอกเหนือจากการทาํ บุญกุศล แลว้ ยังเปนการชมุ นมุ พบปะกัน ของชนเผา่ ผู้ อพยพทางหนงึ ทังนสี บื เนืองจากชมุ ชนลาวรุ่น แรกๆล้วนมาจากประเทศลาวแล้วแยกย้ายกนั บกุ เบิกปาสรา้ งทีทํากิน การกาํ หนดนัดพบหน้า โดยถอื เอาวนั สําคัญทางศาสนาเปนแกนนนั นบั ได้ วา่ ได้ทังบญุ กุศส ไดท้ ังความร้สู กึ อบอุ่นทางเชือ ชาตใิ นคราวเดยี วกัน

เครอื งดนตรี โทนรํามะนา โทนราํ มะนา โทน : รปู รา่ งคล้ายกลองยาวขนาด เล็ก ทําดว้ ยไม้ หรือดินเผา ขึงด้วยหนังดงึ ใหต้ ึงด้วย เชือก หนงั ตวั กลองยาวประมาณ ๓๔ เซนตเิ มตร ตรงกลางคอด ด้านตรงขา้ มหนา้ กลองคลา้ ยทรง กระบอกปากบานแบบลําโพง ตรงเอวคอดประมาณ ๑๒ เซนตเิ มตร ใช้ตคี ู่ กับรํามะนาราํ มะนา : เปนกลอง ทาํ ด้วยไม้ขงึ หนังหน้าเดยี วมีเส้นผ่าศูนยก์ ลาง ประมาณ ๒๒ เซนตเิ มตร ใชใ้ นวงเครอื งสาย ซอสามสาย ซอสามสายซอสามสาย เปนซอ ทีมรี ูปร่างงดงามทสี ดุ ซึงมใี ช้ใน วงดนตรไี ทยมาตงั แตส่ มยั กรุงสุโขทยั (พ.ศ. ๑๓๕๐) แลว้ ซอสามสายขนึ เสียง ระหวา่ งสายเปนค่สู ีใช้ บรรเลงในพระราชพิธี อันเนืองด้วยองคพ์ ระมหากษัตริย์ ภายหลงั จึง บรรเลงประสมเปนวงมโหรี

วฒั นธรรมของภาคใต้ R|R วัฒนธรรมด้านศิลปการ วัฒนธรรมด้าน วัฒนธรรมดา้ น ภาคใต้ แสดงการละเล่น อาหาร การแตง่ กาย มที งั หมด 14จังหวัด ตวั อย่างเชน่ ส่วนมากมีรสเผ็ดรอ้ น รสจัด โนห์รา ทังนีเพราะใสเ่ ครอื งเทศเขม้ ขน้ ใน นยิ มน่งุ โสรง่ ทีมีความคลา้ ยกับกับผ้า 1. กระบี หนังตะลุง อาหารเพือดบั กลินคาวของปลา ขา้ วม้าของทางภาคอสี าน ผ้ชู ายส่วน 2. ชมุ พร รองเงง็ เพราะอาหารสว่ นใหญท่ ําจากปลา ใหญจ่ ะนิยมนุ่งผ้าโสรง่ แต่ผู้หญิงจะนงุ่ 3. ตรัง ทะเล เช่น แกงไตปลา ขา้ วยํา ผา้ ปาเต๊ะหรือผา้ บาติก แต่ในปจจบุ ัน 4. นครศรีธรรมราช คนใต้สว่ นใหญก่ จ็ ะนุ่งเสอื ผ้าตาม 5. นราธวิ าส แฟชันทีมีขายอยูต่ ามทอ้ งตลาดทวั ไป 6. ปตตานี แต่ผา้ ทีมีชือเสยี งของทางภาคใตก้ ็จะมี 7. พังงา ด้วยกัน คือ ผ้ายกเมอื ง 8. พัทลงุ นครศรีธรรมราช ผา้ ทอเกาะยอ ผ้าทอ 9. ภูเกต็ นาหมืนสี ผ้าทอพุมเรยี ง ผา้ หาง 10. ยะลา กระรอก ผา้ ปาเต๊ะผา้ ทอปตตานี 11. ระนอง เปนต้น 12. สงขลา 13. สตลู 14. สรุ าษฎรธ์ านี

ประเพณกี ารแขง่ ประเพณีประเพณลี าก เรือกอและดว้ ย ฝพาย พระ(ชักพระ) ด้จัดขนึ เปนประจาํ ทุกป ในกนั ยายน เปนประเพณีทาํ บญุ ในวนั ออกพรรษา ของ ซงึ เปนระยะเวลาที พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางาฯ ปฏิบัติตามความเชอื ว่า เมอื ครังที พระบรมราชนิ นี าถ พรอ้ มดว้ ย ภาคใต้พระพุทธเจา้ เสดจ็ ไปจาํ พรรษา ณ พระบรมวงศานุวงศ์ ได้เสด็จแปรพระ สวรรค์ชนั ดาวดงึ ส์เพือโปรดพระมารดา ราชฐานมาประทบั แรม ณ พระ เมอื ครบพรรษาจงึ เสด็จกลบั มายงั โลก ตาํ หนักทักษิณราชนเิ วศน์ มนษุ ย์ พุทธศาสนิกชนไปรบั เสด็จ แล้ว อญั เชญิ พระพุทธเจ้าประทับบนบษุ บก แลว้ แหแ่ หน ประเพณี การแหน่ ก จัดขึนเปนครงั คราวตามโอกาส เพือความสนุกรนื เริง เปนการ แสดงออกเกียวกบั รเิ รมิ สร้างสรรค์ ในศิลปะและอาจจัดขนึ ในการแสดงความคารวะ หรือใน โอกาสตอ้ นรับแขกเมอื ง

เครืองดนตรี ของภาคใต้ โหมง่ ป(ใน) ทับ คือ ฆ้องคู่ เสียงตา่ งกัน เปนเครืองเปาทมี ีลิน ผสมอยู่ ทเี สียงแหลมเรียกวา่ ในวงปพาทยม์ า แต่โบราณ ที โทนชาตรี เปนกลองหมุ้ หนงั \"เสียงโหม่ง\" ทเี สียงทุ้ม เรียกวา่ \"ปใน \" ก็เพราะวา่ ป หน้าเดียวทาํ ดว้ ยไมข้ นนุ หนา้ เรียกว่า\"เสียงหมงุ่ \" ชนดิ นี เทียบเสียงตรงกบั ระดับ กลองนิยมขงึ ดว้ ยหนังคา่ ง เสียงทีเรียกวา่ \" เสียงใน \" หรือหนังแมว

วฒั นธรรมประจาํ ชาติ เปนวฒั นธรรมทีรฐั กําหนดให้คนในชาติปฎิบตี ิรว่ มกัน เพอื แสดง ให้เห็นถึงควาามเปนไทย เชน่ บุคลิกภาพ พระพุทธศาสนา มคี วามออ่ นนอ้ มถ่อมตน ยมิ แยม้ แจ่มใส เปนศาสนาหลกั ของชาติ อาหารและสมนุ ไพรไทย พระมหากษตั รย์ เปนส่วนประกอบของอาหาร ศนู ย์รวมจิตใจ วนั สําคญั และเทศกาล ภาษาไทย เช่น วันสงกรานต์ วันลอยกระทง มภี าษาและตวั อักษรเปนของตนเอง

สมาชกิ ใน กล่มุ 1) นายอนวัช กองเกดิ ม.3/3 เลขที 12 2) นางสาวณัชชา ผลเจรญิ ม.3/3 เลขที 21 3) เด็กหญิงนนั ทิภาวรรณ น้อยคําลอื ม.3/3 เลขที 27 4) นางสาววาริษา แสงสารวัด ม.3/3 เลขที 38 5) นางสาววสิ ทุ ธณิ ี กลุ าถาเน ม3/3 เลขที 39 6) นางสาวศศญิ าภรณ์ กองเกิด ม.3/3 เลขที 41 7) นางสาวศิรลิ กั ษณ์ สบื ทิพย์ ม.3/3 เลขที 44 8) นางสาวสดุ ารัตน์ แคชยั ภมู ิ ม.3/3 เลขที 46


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook