Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ป2-6 สุวัจนี โครงงานสีย้อมผ้าจากธรรมชาติ

ป2-6 สุวัจนี โครงงานสีย้อมผ้าจากธรรมชาติ

Published by สุวัจนี มุตาปิน, 2023-06-18 09:37:30

Description: ป2-6 สุวัจนี โครงงานสีย้อมผ้าจากธรรมชาติ

Search

Read the Text Version

โครงงานสียอ้ มผ้าจากธรรมชาติ จัดทาโดย ชั้น ป.2 ชั้น ป.2 1. เด็กหญิงนฎกร สถิตศิลา ชน้ั ป.3 2. เด็กชายไชยวัฒน์ แสงจรสั โชค ชั้น ป.3 3. เดก็ ชายศิรวิ รรค์ กวางทู ชั้น ป.4 4. เดก็ หญงิ แอะลบู ิซาร์ จตพุ รวลี ชนั้ ป.5 5. เดก็ หญงิ วนั วิสาข์ แสงจรสั โชค ชั้น ป.5 6. เด็กชายเกียรติคณุ กวางทู ชน้ั ป.5 7. เดก็ ชายสริ ริ าช จตพุ รวลี ชน้ั ป.5 8. เด็กหญิงจรัสศรี จตพุ รวลี ชน้ั ป.6 9. เด็กชายพชิ ัยภษู ติ สถิตศิลา 10. เดก็ ชายอนวุ ฒั น์ กอบปฐมกุศล ครทู ่ีปรึกษา นางสาวสวุ จั นี มตุ าปนิ นางสาวสริ ริ ตั น์ กลา้ ณรงคช์ พี โรงเรียนเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาอาเภอขุนยวม (หอ้ งเรียนห้วยฟาน) สานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศกึ ษาประถมศกึ ษาแมฮ่ อ่ งสอน เขต ๑

ก ชอ่ื โครงงาน โครงงานสีย้อมผ้าจากธรรมชาติ สมาชกิ ผจู้ ัดทา 1. เด็กหญิงนฎกร สถติ ศลิ า 2. เดก็ ชายไชยวฒั น์ แสงจรัสโชค 3. เดก็ ชายศริ วิ รรค์ กวางทู 4. เด็กหญงิ แอะลูบิซาร์ จตพุ รวลี 5. เด็กหญิงวันวสิ าข์ แสงจรสั โชค 6. เด็กชายเกียรติคุณ กวางทู 7. เดก็ ชายสิรริ าช จตพุ รวลี 8. เด็กหญงิ จรสั ศรี จตพุ รวลี 9. เด็กชายพชิ ยั ภษู ติ สถิตศิลา 10. เดก็ ชายอนวุ ัฒน์ กอบปฐมกุศล ระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษาปที ่ี ๒ – ๖ ครทู ่ีปรกึ ษา คุณครูสุวจั นี มุตาปนิ และคุณครสู ิรริ ตั น์ กล้าณรงค์ชพี สถานศึกษา โรงเรียนเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาอาเภอขุนยวม บทคดั ยอ่ การจดั ทาโครงงานน้ีมีวตั ถุประสงค์ เพอ่ื ศึกษาสีย้อมผ้าจากวัสดุธรรมชาติ และเพ่ือนาความรู้ทางด้าน ศิลปะมาประยกุ ต์ใช้ในชวี ติ ประจาวัน โดยผจู้ ดั ทาได้ร่วมกันคิดและศกึ ษา เรอื่ งทสี่ นใจเพ่ือนามาลงมือปฏิบัติใน การจดั ทาโครงงานครง้ั น้ไี ด้ดาเนินการศึกษา ความรู้เก่ียวกับเรื่องสีจากธรรมชาติ ลวดลายทางศิลปะ และการ ทาผ้ามัดย้อม ผลการดาเนนิ งาน พบวา่ เราสามารถใช้ สีจากธรรมชาติไดจ้ ริง เมอื่ เราไดส้ ีและลวดลายท่ีตอ้ งการ แล้วเราก็นาไปทาผ้ามัดย้อม แล้วนาผ้ามัดย้อมน้ันมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น เสื้อ ผ้าพันคอ กระเป๋า ผ้าเช็ดหน้า เป็นต้น นอกจากน้ีเรายังได้นาความรู้ ทางด้านศิลปะไปใช้ในชีวิตประจาวัน และสามารถนาไปใช้ กับผลติ ภณั ฑใ์ นท้องถิ่นเพือ่ เพิม่ รายได้ให้แกค่ นในทอ้ งถิ่นไดอ้ ีกด้วย

ข กติ ตกิ รรมประกาศ โครงงานประเภททดลอง “ยอ้ มผ้าจากสีธรรมชาติ” สามารถทางานลลุ ่วงดว้ ยดี ด้วยคาแนะ คาชี้แนะ มกี ารใหก้ าลงั ใจจากครอบรัวและคุณ อันได้แก่ คุณครูสุวัจนี มุตาปิน และคุณครูสิริรัตน์ กล้าณรงค์ชีพ ซ่ึงเป็น คุณครูที่ปรึกษา ท่ีให้คาปรึกษาระหว่างการทางาน คอยดูแล และคอยชี้แนะ บอกถึงข้อบกพร่องขอโครงงาน และการ ออกแบบท่ีมีต่อช้ินงานด้วย ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงที่ทาให้โครงงานประเภททดลอง “ย้อมผ้าจากสี ธรรมชาติ” ของกลุม่ ขา้ พเจา้ สาเรจ็ ด้วยดี คณะผจู้ ัดทา

สารบญั ค บทคัดยอ่ หนา้ กติ ตกิ รรมประกาศ สารบญั ก บทที่ 1 บทนา ข ค ที่มาและความสาคญั ของโครงงาน วัตถปุ ระสงค์ 1 ขอบเขตการศกึ ษา 1 ประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะไดร้ บั 1 บทท่ี 2 เอกสารทีเ่ กี่ยวขอ้ ง 1 การสกัดสธี รรมชาติ ขม้นิ 2 บทที่ 3 วิธกี ารดาเนินงาน 3 อปุ กรณ์ ขั้นตอนการดาเนนิ งาน 6 ขน้ั ตอนการทาโครงงานสยี ้อมผา้ จากธรรมชาติ 6 บทที่ 4 ผลการดาเนินงาน 7 ผลการดาเนนิ งาน บทที่ 5 สรุปและอภิปรายผล 9 สรุปผลการดาเนินงาน อภปิ รายผลการดาเนนิ งาน 10 ขอ้ เสนอแนะ 10 ประโยชน์ทีไ่ ด้รบั 10 บรรณานกุ รม 10 ภาคผนวก 11 12

1 บทท่ี 1 บทนา 1.ทีม่ าและความสาคัญของโครงงาน เนื่องจากในปจั จบุ นั สีทีใ่ ช้ย้อมเสอื้ ผา้ น้นั มกั ทามาจากสารเคมี มีราคาสงู และสารเคมที ่ใี ชอ้ าจมี อันตรายต่อรา่ งกายของเราได้ การยอ้ มสีผา้ ด้วยสธี รรมชาตเิ ปน็ ทางเลือกทด่ี ี และนบั เปน็ ภมู ิปัญญาท่สี บื ทอด กันมาแตใ่ นอดตี โดยกระบวนการย้อมสามารถหาสยี อ้ มได้จากวสั ดธุ รรมชาติทม่ี ใี นท้องถิ่น ซง่ึ เป็นเศษวัสดุ เหลือใช้ มีความปลอดภยั และเป็นมิตรตอ่ สงิ่ แวดล้อม ท้งั ยังนาของทีเ่ หลอื ใชม้ าสร้างมลู คา่ เพม่ิ ทางคณะ ผู้จดั ทาจึงเล็งเห็นถึงความสาคญั ของการใชส้ ียอ้ มผา้ จากวสั ดจุ ากธรรมชาตแิ ทนการใชส้ ยี อ้ มผ้าจากสารเคมี ทั้งน้ีจงึ เลอื กใช้วัสดจุ ากธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ขมนิ้ ซงึ่ หาไดง้ ่ายในทอ้ งถิน่ และยังเป็นการประหยดั ค่าใชจ้ ่ายดว้ ย 2.วัตถปุ ระสงคข์ องโครงงาน 1. เพอื่ ศึกษาสียอ้ มผ้าจากธรรมชาติ 2. เพ่อื ลดคา่ ใชจ้ า่ ย 3. เพือ่ ใหไ้ ดใ้ ช้ความคิดสรา้ งสรรค์ 3.ขอบเขตการศึกษา 3.1 ขอบเขตด้านกลุ่มตัวอยา่ ง ขมิ้น 3.2 ขอบเขตด้านสถานท่ี สถานที่ทาการศกึ ษาโรงเรียนเขตพนื้ ที่การศึกษาอาเภอขุนยวม 3.3 ขอบเขตดา้ นระยะเวลา เดือนพฤศจิกายน – เดือนธันวาคม พ.ศ. 2565 4.ประโยชน์ท่ีคาดวา่ จะไดร้ บั 1. ไดใ้ ชค้ วามคิดสรา้ งสรรค์ 2. ลดคา่ ใชจ้ า่ ย 3. มคี วามภูมใิ จในผลงานของตนเอง 4. ไดป้ ฏบิ ัตติ ามแนวปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งและนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวัน

2 บทที่ 2 เอกสารท่ีเกีย่ วขอ้ ง การสกดั สธี รรมชาติ สธี รรมชาติเป็นสีทไ่ี ด้จากพืช สตั ว์ และแรธ่ าตตุ า่ งๆ สามารถนามายอ้ มไดท้ ง้ั แบบย้อมร้อนและแบบ ยอ้ มเย็น สธี รรมชาตเิ ป็นสที ต่ี อ้ งอาศยั สารชว่ ยในการกระตุ้นชว่ ยให้สีออกเรว็ และให้สตี ดิ แนบกบั เส้นไหม ทา ใหส้ ีไม่ตกเวลาซกั (วิษณุ ดาทอง,2553) ขอ้ ดขี องสีธรรมชาติ - ไมเ่ ป็นอนั ตรายตอ่ สุขภาพของผผู้ ลติ และผูบ้ รโิ ภค - นา้ ท้ิงจากกระบวนการผลิตไมเ่ ปน็ อันตรายต่อ ส่งิ แวดล้อม - วตั ถดุ บิ หาไดง้ า่ ยในชุมชนไมต่ อ้ งใช้สีเคมที ่ีมนี าเข้าจากตา่ งประเทศ - การย้อมสธี รรมชาตสิ ามารถเรียนรไู้ ดด้ ้วยตนเอง เปน็ ความรู้ที่เพิม่ พนู ขนึ้ ตามประสบการณ์ - สามารถถา่ ยทอดให้แก่คนรนุ่ หลงั เปน็ ภมู ิปัญญาท้องถ่นิ - การยอ้ มสธี รรมชาตมิ คี วามหลากหลาย ตามชนดิ อายุและส่วนของพชื ทใ่ี ชต้ ลอดจนชนิดของสาร กระตนุ้ หรือข้นั ตอนการยอ้ ม - การย้อมสธี รรมชาติทาใหเ้ หน็ คุณคา่ และรูจ้ กั ใชป้ ระโยชน์ของทรัพยากรธรรมชาติ ข้อจากดั ของสีธรรมชาติ - ปรมิ าณสารสใี นวตั ถดุ บิ ย้อมสีมีน้อย ทาใหย้ ้อมได้สไี มเ่ ข้ม หรอื ต้องใชว้ ตั ถุดบิ ปริมาณมาก - ปญั หาด้านการผลติ คือไม่สามารถผลิตได้ในประมาณมากและไม่สามารถผลิตสตี ามทต่ี อ้ งการ - สซี ีดจางและมคี วามคงทนต่อแสงต่า - คณุ ภาพการย้อมสธี รรมชาตขิ ึน้ อยู่กับปจั จยั หลายประการ ซ่ึงควบคุมไดย้ าก การยอ้ มสใี ห้สี เหมือนเดมิ จงึ ทาไดย้ าก - ในการย้อมสธี รรมชาตถิ า้ ไม่มวี ธิ ีการ และจติ สานกึ ในการใชท้ รพั ยากรอย่างยง่ั ยนื ยอ่ มจะกลายเป็น การทาลายส่งิ แวดลอ้ มได้

3 ขม้ินชนั ขมิน้ หรือ ขมน้ิ ชนั ชอ่ื สามญั Turmeric ขมิ้น ช่อื วิทยาศาสตร์ Curcuma longa L. จดั อยใู่ นวงศข์ งิ (ZINGIBERACEAE) ขมน้ิ เปน็ พืชลม้ ลกุ ทีจ่ ัดอยู่ในตระกลู ขงิ มีเหง้าอยใู่ ตด้ นิ เน้อื ในของเหงา้ จะเป็นสีเหลอื ง มีกล่นิ หอม เฉพาะตวั มตี งั้ แตส่ ีเหลืองเข้มจนถงึ สีแสดจดั โดยถน่ิ กาเนดิ อยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ และมีช่ืออื่น ๆ อกี เช่น ขมนิ้ ชนั ขมน้ิ แกง ขมนิ้ หยอก ขมน้ิ หวั ขม้ี ้นิ หมิ้น ทง้ั น้ีข้นึ อยกู่ ับแตล่ ะภาคและจงั หวดั นั้น ๆ นิยม นาไปใชใ้ นการประกอบอาหาร แตง่ สี แต่งกล่ินอาหาร เช่น แกงไตปลา แกงกะหร่ี เปน็ ต้น ขมิ้นชนั อดุ มไปดว้ ยวติ ามนิ และแรธ่ าตุหลายชนิด เชน่ วติ ามินเอ วติ ามนิ บี 1 วติ ามนิ บี 2 วติ ามนิ บี 3 วิตามินซี วติ ามนิ อี ธาตแุ คลเซียม ธาตฟุ อสฟอรัส ธาตเุ หลก็ และเกลือแร่ตา่ ง ๆ รวมไปถึงเส้นใย คาร์โบไฮเดรต และโปรตนี เปน็ ตน้ และขมิน้ ชนั มีสรรพคุณทางยาท่รี กั ษาอาการและโรคตา่ ง ๆ ไดห้ ลายชนิด มี ประวัติในการนามาใช้ในการรกั ษามากกว่า 5,000 ปี สาหรบั ขมิ้นชนั ทจ่ี ะนามาใช้ประโยชน์นัน้ การเกบ็ เก่ียว ไม่ควรเก็บในระยะทีข่ มน้ิ เร่มิ แตกหน่อ เพราะจะทาใหส้ ารที่มีประโยชนอ์ ย่างเคอร์คมู นิ ในขมนิ้ มีน้อย ส่วนเหงา้ ที่เกบ็ มาต้องมอี ายุอยา่ งน้อย 9-12 เดือน และตอ้ งไม่เก็บไว้นานเกินไป และไม่ใหถ้ กู แสงแดด เพราะน้ามนั หอม ระเหยในขมิน้ จะหมดไปเสียก่อน เม่อื ไดเ้ หง้ามาแล้ว หากจะนาไปรับประทานเพอ่ื ใชใ้ นการรกั ษาโรคตา่ ง ๆ ควรล้างใหส้ ะอาดกอ่ น และ ไมต่ อ้ งปอกเปลือก แต่หัน่ เปน็ แว่นช้นิ บาง ๆ แล้วนาไปตากแดดสกั 2 วันแล้วนามาบดใหล้ ะเอียด ผสมกบั น้าผง้ึ แล้วปน้ั เป็นเม็ดเลก็ ๆ เทา่ ปลายน้วิ ก้อย แลว้ นามารบั ประทานวนั ละ 3 ครงั้ ครั้งละ 2-3 เมด็ หลงั อาหารและ ชว่ งกอ่ นนอน หรือจะนาเหงา้ แกม่ าขูดเอาเปลอื กออกแล้วนาไปลา้ งนา้ ใหส้ ะอาด นามาบดใหล้ ะเอยี ด เตมิ นา้ แลว้ คน้ั เอาแตน่ า้ มารับประทานคร้งั ละ 2 ชอ้ นโตะ๊ วันละ 3 คร้งั หากนาขมน้ิ มาใช้เปน็ ยาทาภายนอก เพอ่ื รกั ษาอาการแพ้ ผื่นคนั ผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กดั ต่อย ให้นาเหง้าขมนิ้ มาฝนผสมกับนา้ ต้มสกุ แล้วทาบริเวณ ท่เี ป็นวันละ 3 คร้งั หรอื จะนาเอาผงขม้ินมาโรยกใ็ ชไ้ ด้เชน่ กนั สรรพคณุ ของขม้ิน 1. ขมน้ิ มสี ารต่อต้านอนมุ ลู อิสระซึง่ ชว่ ยในการชะลอวัยและชะลอการเกดิ ร้ิวรอย 2. ช่วยเสริมสรา้ งภมู ติ ้านทานให้กบั ร่างกาย 3. ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันใหผ้ วิ หนังมสี ขุ ภาพดแี ขง็ แรง 4. ขมน้ิ ชันอาจมีบทบาทช่วยป้องกันการเกดิ โรคมะเรง็ เชน่ โรคมะเรง็ ลาไส้ มะเร็งปากมดลกู 5. ขมิ้นสามารถชว่ ยลดระดับคอเลสเตอรอลในรา่ งกายได้ 6. ชว่ ยกาจดั สารพษิ ออกจากรา่ งกาย 7. ชว่ ยบรรเทาอาการของโรคเบาหวาน 8. มสี ่วนช่วยรักษาโรคความดนั โลหติ สงู 9. ชว่ ยลดอาการของโรคเกาต์ 10. ชว่ ยขับนา้ นมของมารดาหลงั คลอดบตุ ร 11. ชว่ ยรักษาระบบทางเดินหายใจท่มี อี าการผดิ ปกติ 12. ชว่ ยบารงุ สมอง ป้องกนั โรคความจาเสือ่ ม

4 13. อาจมีส่วนชว่ ยในการรักษาโรครูมาตอยด์ (ยงั ไมไ่ ด้รับการยืนยัน) 14. ชว่ ยลดการอกั เสบ 15. ช่วยแกอ้ าการวงิ เวยี นศีรษะ 16. ชว่ ยรกั ษาอาการแพแ้ ละไข้หวัด 17. ชว่ ยบรรเทาอาการไอ 18. ช่วยรกั ษาอาการภูมแิ พ้ หายใจไมส่ ะดวกใหม้ อี าการดขี น้ึ 19. ชว่ ยป้องกนั การแขง็ ตวั ของหลอดเลอื ด 20. ชว่ ยตอ่ ตา้ นอนมุ ูลอสิ ระในเมด็ เลือดแดงของผู้ป่วยธาลสั ซีเมยี ฮีโมโกบิลอี 21. ชว่ ยรกั ษาแผลทป่ี าก 22. ชว่ ยบารงุ ปอดให้มีสขุ ภาพดีและแข็งแรง 23. น้ามันหอมระเหยในขมิ้นมีสรรพคุณชว่ ยบรรเทาอาการปวดท้อง 24. ชว่ ยรักษาอาการทอ้ งเสีย อุจจาระรว่ ง โดยนาผงขมิ้นชันผสมนา้ ผ้ึง ป้นั เป็นลูกกลอนแล้วนามา รบั ประทานคร้งั ละ 3 เม็ด 3 เวลา 25. ชว่ ยแกอ้ าการจดุ เสียด แน่นท้อง ท้องอดื ทอ้ งเฟ้อ 26. ช่วยรกั ษาโรคลาไสอ้ กั เสบ 27. ช่วยลดการบบี ตัวของลาไส้ 28. ช่วยรกั ษาอาการลาไส้ใหญบ่ วม 29. ช่วยรกั ษาโรคกระเพาะอาหาร 30. ช่วยในการขับลม 31. ช่วยบรรเทาอาการนิว่ ในถุงน้าดี 32. มีฤทธใ์ิ นการชว่ ยขบั นา้ ดี 33. ช่วยสมานแผลในกระเพาะอาหาร และทาความสะอาดลาไส้ 34. ชว่ ยบารงุ ตับ ป้องกนั ตบั อกั เสบ ตบั อ่อนอักเสบ และป้องกนั ตบั จากการถกู ทาลายของยา พาราเซตามอล 35. ช่วยบารุงหรู ูดกระเพาะปัสสาวะให้แข็งแรง 36. ชว่ ยปอ้ งกันการเกิดโรครดิ สีดวงทวาร 37. ชว่ ยแก้อาการตกเลอื ด ดว้ ยการนาขม้ินสดมาตาให้ละเอียด แล้วคัน้ เอาน้ามาผสมกบั นา้ ปนู ใส แล้วรับประทาน 38. ชว่ ยแก้อาการตกขาว 39. ช่วยรักษาอาการปวดหรอื อักเสบเน่อื งจากไขข้ออักเสบ 40. ชว่ ยแก้อาการนา้ เหลอื งเสีย 41. ช่วยแก้ผื่นคนั ตามรา่ งกาย 42. ช่วยรกั ษาโรคผวิ หนัง ผดผน่ื คนั

5 43. ช่วยรักษากลาก เกล้ือน ดว้ ยการใชผ้ งขมน้ิ ผสมกับน้า นามาทาบรเิ วณท่ีเป็นกลากเกลอื้ นทกุ วนั วนั ละ 2 ครง้ั 44. ชว่ ยรกั ษาโรคผวิ หนงั พพุ อง ตมุ่ หนองให้หายเรว็ ยิง่ ข้นึ 45. ชว่ ยรักษาแผลจากแมลงสตั วก์ ัดต่อยได้ ดว้ ยการนาขมนิ้ มาลา้ งนา้ ให้สะอาด แลว้ ตาจนละเอยี ด คน้ั เอาแตน่ ้ามาทาบรเิ วณดงั กล่าว 46. มฤี ทธ์ใิ นการตอ่ ตา้ นและฆา่ เช้อื ราทเี่ ปน็ สาเหตุของโรคผิวหนัง และต่อต้านยีสต์ซง่ึ เป็นตวั ทท่ี าให้ ภมู ิคุ้มกันตา่ 47. ช่วยตอ่ ตา้ นปรสิตหรือเชอื้ อะมีบาทเี่ ปน็ ต้นเหตุของโรคบดิ ได้ 48. ช่วยต่อตา้ นเชอื้ แบคทีเรียและไวรัส เช่น แบคทเี รียที่ทาใหเ้ กดิ แผลในกระเพาะอาหาร แบคทเี รยี ทท่ี าใหเ้ กดิ โรคท้องเสีย แบคทีเรียท่ีทาใหเ้ กิดหนอง เปน็ ต้น 49. มฤี ทธใิ์ นการต่อตา้ นการกลายพนั ธ์ุ ตา้ นสารกอ่ มะเร็งท่มี ีความเกี่ยวข้องกบั โรคท่ีเกิดจากการ เส่ือมของรา่ งกาย และโรคเบาหวาน 50. ชว่ ยสมานแผลตามร่างกายให้หายเร็วยงิ่ ขน้ึ ด้วยการนาผงขมิ้นมาผสมกับน้าแล้วทาลงบน บาดแผลและยังชว่ ยใหบ้ าดแผลไมใ่ ห้ตดิ เชื้อของกระตา่ ยและหนูขาวได้ และสามารถเรง่ ใหแ้ ผลทต่ี ดิ เชื้อหายได้ 51. ขมิ้นยังมสี รรพคุณชว่ ยในการปอ้ งกันการงอกของขนอีกด้วย โดยผหู้ ญิงชาวอนิ เดยี มักนาขมิ้นมา ทาผิวเพอ่ื ป้องกันไม่ใหข้ นงอก 52. ขมนิ้ ชนั ขดั ผวิ ใชท้ าทรตี เมนตพ์ อกผวิ ขดั ผวิ ดว้ ยขมนิ้ ช่วยใหผ้ ิวพรรณนุม่ นวล ขาวผอ่ งใส เตง่ ตงึ ดว้ ยการนาขม้ินสดมาล้างนา้ ใหส้ ะอาด หน่ั เปน็ ชน้ิ เล็ก ๆ แลว้ นาไปปน่ั รวมกบั ดินสอพอง 2-3 เม็ด แล้วผสม กบั มะนาว 1 ลกู ปัน่ จนเข้ากัน นามาพอกหน้าหรอื ผิวทิ้งไวป้ ระมาณ 20 นาที แล้วลา้ งออกดว้ ยน้าสะอาด 53. ขมิน้ เป็นส่วนประกอบของทรตี เมน้ ต์รักษาสวิ เสีย้ น สวิ ผด สิวอดุ ตนั 54. ขม้นิ เปน็ ส่วนประกอบอยา่ งหนึ่งในเครื่องสาอางบารุงผวิ ต่าง ๆ 55. นอกจากนยี้ งั ช่วยปอ้ งกันแมลงศตั รูพชื ไดอ้ กี ดว้ ย

6 บทที่ ๓ วธิ ีการดาเนนิ งาน อปุ กรณ์ 1. ผ้าสีขาว ๒. ขม้นิ ๓. นา้ เปลา่ ๔. นา้ ขีเ้ ถา้ ๕. น้าสนมิ ๖. หนังยาง ๗. กะละมัง ๘. มีด ๙. เขียง 10. ครก ๑o. ไม้แขวนผ้า 11. หมอ้ ขน้ั ตอนการดาเนนิ งาน ๑. เลอื กหวั ข้อขอ้ โครงงานเพอ่ื นาเสนอครูท่ีปรึกษา ๒. ศึกษาและค้นควา้ ขอ้ มลู ท่เี ก่ียวข้องกับเรือ่ งทีส่ นใจ วา่ มีเน้ือหามากนอ้ ยเพียงใดและต้องศึกษา คน้ คว้าเพม่ิ เตมิ เพยี งใดและเก็บข้อมูลไว้เพ่ือจดั ทาเนือ้ หาต่อไป ๓. ศกึ ษาการทาจาก Google และเวบ็ ไซตต์ ่างๆที่นาเสนอเทคนคิ วิธีการสรา้ งเนอ้ื หาของโครงงาน ๔. จดั ทาโครงรา่ งโครงงานเพ่ือนาเสนอครทู ป่ี รึกษาของตัวเองปฏิบัติการทาโครงงานสีย้อมผา้ จาก ธรรมชาติ ๕. ปฏิบัตกิ ารทาโครงงานสีย้อมผ้าจากธรรมชาติ ๖. นาเสนอรายงานความก้าวหนา้ เป็นระยะ ซ่ึงครทู ป่ี รึกษาจะใหข้ อ้ เสนอแนะตา่ งๆเพอื่ ใหจ้ ดั ทา เน้อื หาและการนาเสนอท่นี ่าสนใจต่อไป ๗. จดั ทาเอกสารรายงานโครงงานสียอ้ มผา้ จากธรรมชาติ ๘. นาเสนองาน เพื่อใหผ้ สู้ นใจศกึ ษาหาความร้ตู อ่ ไป

7 ขน้ั ตอนการทาโครรงงานี้ี ้อผ้้าาากธรรผาาติ 1. เตรยี มขมน้ิ ตามทเ่ี ราต้องการและนามาลา้ งนา้ ใหส้ ะอาด 2. จดั เตรียมอปุ กรณ์ นาขมน้ิ มาสบั ตาให้ละเอยี ด และนาหนงั ยางมามดั ผ้าเป็นจดุ ตามใจชอบแล้ว นาไปแช่นา้ 3. นานา้ ใส่หม้อตั้งไฟให้นา้ ในหม้อเดือด จากนั้นใส่ขม้ินลงไปในหม้อ ต้มท้ิงไว้ประมาณ 30 นาที จากน้ันกรองขม้ินออกให้เหลือไว้แต่นา้ ต้ม

8 ๔. เตรียมนา้ ขี้เถ้าและนา้ ปูนขาว ๕. นาผ้าที่เรามัดเตรียมไว้ลงไปต้มในหม้อท้ิงไว้ประมาณ 30 นาที – 1 ช่ัวโมง ๖. เม่ือครบกาหนดเวลาแล้วนาผ้าข้ึนจากหม้อแล้วนาผ้าจุ่มลงนา้ ข้ีเถ้ากับน้าสนิมท่ีเตรียมไว้ ประมาณ 30 นาที เพ่ือทาให้ผ้าติดสีทนนาน ๗. เมอื่ ครบกาหนดเวลาแล้วนาผ้าขนึ้ จากหม้อแลว้ นาไปล้างนา้ สะอาด ประมาณ 3 – 4 รอบแบบไม่ ตอ้ งขย้ีผา้ จากนนั้ ทาผา้ ไปตากลมให้แหง้ เปน็ อันเสรจ็ สนิ้

9 บทที่ 4 ้ลการดาเนนิ งาน จากการศกึ ษาทดลองคร้ังนี้ พบวา่ การย้อมผ้าจากสธี รรมชาติ จากขม้นิ ให้สียอ้ มเปน็ สโี ทนเหลือง เมอ่ื ใช้น้าข้เี ถ้าและนา้ สนิมเป็นสารช่วยจับสี ให้สที ่ีไมแ่ ตกต่างกนั มากนัก แต่เมื่อนาเสือ้ ที่เป็นผา้ คนละชนดิ กับ กระเปา๋ มายอ้ มจะใหส้ โี ทนเหลืองเข้มกวา่

10 บทท่ี ๕ ีรปุ และอภิปรา้้ล ีรปุ ้ลการดาเนินงาน จากการทดลองย้อมผ้าจากสีธรรมชาติ พบวา่ ขมิน้ ใหส้ ยี อ้ มเป็นสีโทนเหลือง เมอ่ื ใช้น้าขเี้ ถา้ และนา้ สนิมเปน็ สารชว่ ยจับสี ให้สที ไ่ี มแ่ ตกต่างกันมากนกั แตเ่ ม่อื นาเส้ือทเ่ี ป็นผา้ คนละชนิดกับกระเป๋ามาย้อมจะใหส้ ี โทนเหลอื งเข้มกวา่ เราสามารถนามาเปน็ ผลิตภณั ฑ์ตามที่เราตอ้ งการแหละประสทิ ธภิ าพไมเ่ ป็นอันตรายตอ่ รา่ ย กายและสุขภาพของเรา สยี อ้ มผ้าเราจะยอ้ มมาจากสีธรรมชาติ และทส่ี าคญั เปน็ การประหยดั คา่ ใชจ้ ่ายและ สามารถสรา้ งรายได้เพม่ิ ข้ึนอกี ด้วย อภิปรา้้ลการดาเนินงาน จากการทดลองย้อมผา้ จากสีธรรมชาติ พบวา่ ขม้ิน ใหส้ ยี ้อมเปน็ สีโทนเหลอื ง เมอื่ ใชน้ ้าขีเ้ ถา้ และนา้ สนมิ เป็นสารชว่ ยจับสี ให้สที ไี่ ม่แตกตา่ งกนั มากนกั แต่เม่อื นาเส้อื มาย้อมจะให้สโี ทนเหลอื งเขม้ กว่า เน่อื งจาก เป็นผ้าคนละชนิดกนั ซงึ่ ให้สที ี่แตกต่างไปจากเดิม สีย้อมผ้าจากสีธรรมชาตเิ ป็นการนาวัสดธุ รรมชาตใิ นทอ้ งถิ่น มาทาเปน็ ผลติ ภัณฑ์ตามท่ีเราต้องการ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อรา่ ยกายและสขุ ภาพา และท่สี าคัญเป็นการ ประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยและสามารถสรา้ งรายไดเ้ พม่ิ ขน้ึ อกี ดว้ ย ข้อเีนอแนะ 1. สามารถนาผลทดลองนไ้ี ปใชก้ ับวัสดุธรรมชาตทิ ่ใี ห้สีอน่ื ๆได้ 2. การพับหรือม้วนเส้อื ควรระมดั ระวงั เพราะทาแล้วไมส่ ามารถแก้ไขได้ 3. ควรสวมใส่ถงุ มือในขน้ั ตอนการยอ้ มผา้ 4. สามารถนาสูตรท่ใี ชใ้ นการย้อมผา้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจาวนั ประโค้าน์ท่ีไดร้ ับ 1. ได้ความรูเ้ กยี่ วกบั การย้อมผ้าจากสธี รรมชาติ 2. ไดเ้ ส้อื มดั ย้อมลายใหม่ไม่ซา้ ใคร 3. ได้ผลิตภณั ฑ์สยี ้อมจากธรรมชาติทีม่ ีสีสนั สวยงาม ๔. สามารถทาเป็นอาชพี เสรมิ เพือ่ สร้างรายได้ ๕. เป็นการนาวสั ดุทไ่ี ดจ้ ากธรรมชาติในทอ้ งถิ่นมาเพม่ิ มูลคา่ ได้

11 บรรณานกุ รผ https://www.opsmoac.go.th/surin-local_wisdom-preview-422891791843 ศศธร ศรีทองกลุ ,สาวติ รี อัครมาส. เทคนคิ การทาลายผ้ามดั ยอ้ ม, กรงุ เทพฯ : สานกั พมิ พ์เอ็มไอเอส สุภารตั น์ สธุ พี รวโิ รจน์, 2556. ธรรมชาตขิ องสีจากธรรม, กรุงเทพฯ : โรงพิมพไ์ ทยนวิ ส์

ภาคผนวก

โครรงงานี้ี อ้ ผ้า้ าากธรรผาาติ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook