แผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 นางสาวสุวัจนี มุตาปิน ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย โรงเรียนเขตพื้นที่การศึกษาอำเภอขุนยวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาแม่ฮ่องสอน เขต 1 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้ นฐานกระทรวงศึกษาธิการ
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 1 กล่มุ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การเปล่ียนแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ ช้ันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 เรือ่ ง การทาใหว้ ัตถแุ ละวสั ดุเปลยี่ นแปลง เวลา 1 ชั่วโมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตวั ช้วี ดั มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติของสสาร กับโครงสรา้ งและแรงยึดเหน่ียวระหวา่ งอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี ตัวช้ีวดั ป.3/1 อธบิ ายว่าวัตถุประกอบข้ึนจากช้ินสว่ นย่อย ซึง่ สามารถแยกออกจากกันไดแ้ ละประกอบกันเปน็ วัตถชุ น้ิ ใหม่ได้ โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. สาระสาคญั วัตถุอาจทาจาก ชิ้นส่วนย่อย ๆ มาประกอบกันเมื่อแยกชิ้นส่วนแต่ละชิ้นของวัตถุน้ันออกจากกัน สามารถนาช้นิ ส่วนเหลา่ นน้ั มาประกอบเปน็ วตั ถชุ ้นิ ใหมไ่ ด้ 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายการเปลีย่ นแปลงของวัตถเุ มอ่ื มีการแยกช้นิ ส่วนย่อย ๆ ออกจากกนั และ ประกอบชิ้นส่วนน้ันขนึ้ ใหม่ได้ 3.2 ทกั ษะ 1. นกั เรยี นสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงของวสั ดเุ ม่อื ทาใหร้ อ้ นขน้ึ หรอื ทาให้เย็นลงได้ 3.3 คุณลกั ษณะ 1. นักเรยี นมวี นิ ัย ใฝเ่ รยี นรู้ ม่งุ มนั่ ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกับผ้อู นื่ ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ วตั ถุทีป่ ระกอบขึ้นจากช้ินสว่ นยอ่ ย ๆ สามารถแยกชน้ิ ส่วนนั้น ๆ ออกแล้วประกอบเป็นวัตถุช้ินใหม่ซ่ึง มีรูปร่างขนาด และการใช้งานแตกต่างไปจากวัตถุเดิมได้ วัตถุท่ีทามาจากวัสดุบางชนิดเมื่อทาให้ร้อนข้ึนหรือ เยน็ ลง วสั ดนุ ัน้ อาจเปลยี่ นแปลงลกั ษณะหรอื สมบัตไิ ด้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 สร้างความสนใจ (Engagement) (10 นาท)ี 1. ครูทกั ทายกับนักเรยี น แลว้ แจง้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ใหน้ กั เรยี นทราบ จากนัน้ นักเรียนทา
แบบทดสอบกอ่ นเรียน หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถุและวสั ดุ เพ่ือวดั ความรู้เดมิ ของนกั เรยี น กอ่ นเขา้ สกู่ ิจกรรม 2. ครชู ักชวนนกั เรยี นใหร้ ่วมกนั อภปิ ราย โดยครูนาสร้อยคอทรี่ ้อยดว้ ยลกู ปดั พลาสตกิ หลากสีมา ให้ นกั เรียนดู แล้วกระตุ้นความสนใจของนักเรยี น โดยใชแ้ นวคาถาม ดงั น้ี 1.1 สรอ้ ยคอเส้นนท้ี ามาจากวสั ดุใดบา้ ง (แนวคาตอบ : สรอ้ ยคอเสน้ น้ปี ระกอบไปดว้ ยลูกปัดและเสน้ เอน็ โดยลกู ปดั ทามาจากพลาสติกและ เส้นเอน็ ยดื ทามาจากยาง) 1.2 ลูกปัดมลี ักษณะเปน็ อยา่ งไร (แนวคาตอบ : นักเรยี นตอบตามทสี่ ังเกต เชน่ ลูกปดั มีหลากหลายสี ทรงกลม แขง็ ผวิ เรยี บ) 1.3 เส้นเอ็นมลี กั ษณะเปน็ อย่างไร (แนวคาตอบ : นกั เรยี นตอบตามที่สงั เกต เชน่ สขี าวขนุ่ นมุ่ ยืดได้) ข้ันท่ี 2 ข้ันสารวจและค้นหา (Exploration) (20 นาท)ี 1. ครูชักชวนนักเรยี นศึกษาเร่อื งการทาใหว้ ัตถุและวสั ดเุ ปลย่ี นแปลง โดยให้อ่านชือ่ หนว่ ย และอ่าน คาถามสาคัญประจาหนว่ ย ในหนังสอื เรียน ดงั น้ี การเปลยี่ นแปลงของวัตถเุ กิดข้นึ ได้อยา่ งไรบ้าง นกั เรยี นตอบ คาถาม โดยครยู ังไมต่ อ้ งเฉลยคาตอบ แต่จะให้นกั เรยี นยอ้ นกลบั มาตอบอกี ครั้งหลงั จากเรียนจบหน่วยน้แี ลว้ 2. นกั เรยี นอา่ นชื่อบท และแนวคิดสาคญั ในหนงั สอื เรียนหนา้ 2 จากน้ันครูใชค้ าถามดงั นี้ จากการ อา่ นแนวคดิ สาคญั นกั เรยี นคดิ ว่าจะได้เรียนเกยี่ วกับเรอ่ื งอะไร (แนวคาตอบ: เรียนเกย่ี วกบั การเปลีย่ นแปลง ของวตั ถทุ ่ี ประกอบข้นึ จากชน้ิ ส่วนยอ่ ย ๆ แลว้ แยกชิ้นส่วนยอ่ ย ๆ มาประกอบเป็นวตั ถุชิน้ ใหม่ และการ เปล่ียนแปลง ของวสั ดบุ างชนิดเม่ือทาใหร้ ้อนขึน้ หรอื เยน็ ลง) 3. ครชู กั ชวนใหน้ กั เรยี นสังเกตรูป และอ่านเนื้อเรอ่ื งในหนงั สอื เรยี นหน้า 2 โดยครูฝึกทักษะการอา่ น ตามวธิ ีการอ่านทเ่ี หมาะสมกับความสามารถของนกั เรยี น ครูใชค้ าถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจ โดยมีแนว คาถามดงั นี้ 4.1 จากเนือ้ เรื่องทีอ่ ่าน กาไลขอ้ มือทาจากวัสดุใดบา้ ง (แนวคาตอบ : ทองและพลอยสีสนั ต่าง ๆ) 4.2 เราสามารถนาทองจากกาไลข้อมอื ที่ชารุดไปทาอะไรไดบ้ า้ ง (แนวคาตอบ : เราสามารถนาทองไปหลอมขน้ึ รูปเป็น เคร่ืองประดับชื้นใหม่ท่ีมีลวดลายต่างไปจาก เดมิ ) 4.3 เราสามารถนามาทาพลอยจากกาไลข้อมอื อะไรไดบ้ ้าง (แนวคาตอบ : นาไปประกอบเป็นเครื่องประดับชิ้นใหม่ เชน่ ประดบั หวั เขม็ ขดั หัวแหวน) 4.4 นอกจากกาไลทองท่ีเราแยกทองและพลอยมาทาเป็นเคร่ืองประดับช้ินใหม่แล้ว ยังมีของเล่น ของใช้ ชนิดอนื่ อีกหรือไม่ ท่ีสามารถแยกข้นึ สว่ นแลว้ ประกอบเป็นวตั ถุขนึ้ ใหม่ได้ (แนวคาตอบ : นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง) ขน้ั ที่ 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (15 นาท)ี 1. ครนู าอภิปรายเพอื่ ใหน้ กั เรยี นทบทวนว่าไดฝ้ ึกทักษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรแ์ ละทักษะ แหง่ ศตวรรษที่ 21 อะไรบ้างและในขน้ั ตอนใด
2. ครชู กั ชวนนักเรยี นตอบคาถามเกี่ยวกบั เกี่ยวกบั การทาใหว้ ตั ถแุ ละวัสดเุ ปล่ยี นแปลง นักเรียนทาสารวจความรกู้ อ่ นเรยี น ในแบบบันทกึ กิจกรรม โดยนกั เรียนอา่ นคาถามแตล่ ะขอ้ ครู ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรยี น จนแน่ใจวา่ นักเรียนสามารถทาไดด้ ว้ ยตนเอง จงึ ให้นักเรยี นตอบคาถาม โดย คาตอบของแต่ละคนอาจแตกต่างกนั และคาตอบอาจถกู หรือผดิ กไ็ ด้ ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. นักเรยี นและครรู ว่ มกนั อภปิ รายสรุปเกยี่ วกับเร่อื ง การประกอบวตั ถุชน้ิ ใหมจ่ ากช้ินสว่ นย่อยวา่ วตั ถุ บางชนดิ อาจทามาจากชนิ้ ส่วนยอ่ ย ๆ หลายสว่ นประกอบกัน ซ่ึงอาจมีลกั ษณะเหมอื นกนั หรอื แตกต่างกัน หาก เรานาวตั ถุมาแยกชนิ้ สว่ นย่อยแต่ละช้ินออกจากกันแล้ว อาจนาไปประกอบเป็นวัตถุชิ้นใหมท่ ต่ี า่ งจากเดิมได้ และถ้าทาการแยกช้ินสว่ นของวตั ถอุ อกจากกนั อีกครั้ง ก็อาจนาไปประกอบเป็นวัตถอุ ่ืน ๆ ได้อีก ขั้นที่ 5 ประเมินผล (Evaluation) (10 นาที) 1. ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น หน่วยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวัสดุ 2. นักเรยี นและครูรว่ มกนั อภปิ รายสรุปการเปล่ียนแปลงของวัตถุและวสั ดุ 3. ครูประเมินนักเรียนโดยการสังเกตพฤติกรรมของนกั เรียนขณะทางานรว่ มกัน สังเกตการ ตอบ คาถามของนกั เรยี นในชน้ั เรียน การตอบคาถามในใบงาน และประเมนิ การทากจิ กรรมของนักเรยี น 6. กระบวนการวดั และประเมนิ ผล เครอ่ื งมอื วดั และประเมนิ ผล 1) แบบประเมินชนิ้ งาน 2) แบบประเมินทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมนิ ผลด้านคุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ วธิ กี ารวดั และประเมินผล 1) การสังเกตความสนใจ ความต้ังใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืนร่วมถึงการ ตดั สินใจรว่ มกัน 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถูกตอ้ ง ความเป็นระเบียบของชิน้ งาน 3) การบันทกึ แบบประเมินทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบันทกึ แบบประเมินผลดา้ นคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ เกณฑ์การวดั และประเมินผล 1) นักเรยี นสามารถอธิบายความหมายของวิทยาศาสตรไ์ ด้ 80% ขน้ึ ไป 2) นกั เรยี นสามารถทางานไดต้ ามเกณฑ์ทีก่ าหนดได้ 80% ข้นึ ไป 3) นักเรียนไดค้ ะแนนจากแบบประเมิน 80% ขึ้นไป
7. สื่อ/แหล่งเรยี นรู้ 1) หนงั สือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ 2) แบบทดสอบกอ่ นเรยี นหน่วยการเรียนรู้ท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวสั ดุ 3) แบบทดสอบหลังเรยี นหนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถุและวสั ดุ 4) ใบงาน 8. บันทกึ ผลหลงั การสอน ผลการจัดการเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …………………………….…………… ครูผู้สอน () ความคดิ เห็นของผู้บรหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ…………………………….………… ผ้อู านวยการโรงเรยี น ()
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 2 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นที่ 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถแุ ละวสั ดุ ช้ันประถมศกึ ษาปีที่ 3 เร่อื ง การทาใหว้ ัตถแุ ละวัสดเุ ปล่ยี นแปลง (2) เวลา 1 ชั่วโมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชี้วดั มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธร์ ะหวา่ งสมบตั ิของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตวั ช้ีวดั ป.3/1 อธิบายว่าวตั ถปุ ระกอบขนึ้ จากช้นิ สว่ นยอ่ ย ซ่ึงสามารถแยกออกจากกนั ได้และประกอบกันเป็น วตั ถชุ ิ้นใหม่ได้ โดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. สาระสาคญั วัตถุทปี่ ระกอบขึน้ จากชน้ิ ส่วนตา่ ง ๆ สามารถแยกออกจากกันไดแ้ ละประกอบกันเป็นวตั ถุชน้ิ ใหม่ 3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ 3.1 ความรู้ 1. นักเรียนสามารถอธบิ ายการเปลย่ี นแปลงของวตั ถเุ ม่ือมกี ารแยกออกและประกอบได้ 3.2 ทักษะ 1. นักเรยี นสามารถยกตวั อย่างการทาวตั ถชุ นิ้ ใหม่จากวตั ถุช้ินเดิมในชีวติ ประจาวนั 2. นักเรียนสามารถตีความหมายข้อมูลและลงขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั การทาวตั ถชุ ิน้ ใหม่จากวตั ถชุ ้ินเดมิ ทพี่ บ ในชวี ติ ประจาวัน 3.3 คณุ ลกั ษณะ 1. นกั เรียนมีวินยั ใฝ่เรยี นรู้ มุ่งมนั่ ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกับผ้อู ่ืนได้ 4. สาระการเรยี นรู้ วตั ถทุ ปี่ ระกอบข้นึ จากชิ้นสว่ นยอ่ ย ๆ สามารถแยกชิ้นส่วนน้ัน ๆ ออกแล้วประกอบเป็นวัตถุช้ินใหม่ซึ่ง มีรูปร่างขนาด และการใช้งานแตกต่างไปจากวัตถุเดิมได้ วัตถุที่ทามาจากวัสดุบางชนิดเมื่อทาให้ร้อนขึ้นหรือ เย็นลง วสั ดุนน้ั อาจเปลยี่ นแปลงลักษณะหรอื สมบัตไิ ด้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขน้ั ท่ี 1 สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครูทกั ทายกบั นักเรยี น แล้วแจง้ จุดประสงคก์ ารเรยี นร้ใู ห้นักเรียนทราบ
2. ครู และนักเรยี นร่วมกนั สนทนา และถามคาถามเกี่ยวกบั เร่อื ง วตั ถุช้นิ ใหม่จากวตั ถชุ ้ินเดมิ (2) ขน้ั ที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี 1. นกั เรยี นอา่ นชอ่ื เร่ือง และคาถามในคิดกอ่ นอ่าน ในหนังสือเรียนหน้า 4 แล้วร่วมกนั อภปิ รายเพอ่ื หา คาตอบและนาเสนอ ครบู นั ทกึ คาตอบของนักเรยี นบนกระตานเพอ่ื ใชเ้ ปรยี บเทียบกับคาตอบภายหลังการอ่าน เนือ้ เรอ่ื ง ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครชู กั ชวนนักเรยี นตอบคาถามท้ายเรอื่ งท่อี า่ น ดังนี้ นอกจากลงั ไมเ้ กา่ แลว้ ยงั มวี ตั ถุอื่นท่สี ามารถ นามาแยกช้นิ ส่วนย่อย แลว้ ทาเปน็ วตั ถุชิน้ ใหม่ไดอ้ กี หรอื ไม่ และทาได้อย่างไร ครูบันทกึ คาตอบของนกั เรียนบน กระดานโตยยังไม่เฉลยคาตอบ แตช่ ักชวนใหน้ กั เรียนหาคาตอบจากการทากิจกรรม 2. นักเรยี นแต่ละคนทากจิ กรรมใบงาน เรอ่ื ง ประเภทของวสั ดุ ขัน้ ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. นกั เรียนอา่ นเนอื้ เรอ่ื งในหนงั สอื เรียนหนา้ 4 โดยครูฝกึ ทกั ษะการอา่ นตามวิธีการอา่ นทีเ่ หมาะสมกับ ความสามารถของนักเรยี น ครใู ชค้ าถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจจากการอา่ น โดยมแี นวคาถามดงั นี้ 4.1 ข้าวตตู ้องการทาอะไร (แนวคาตอบ : สรา้ งบ้านให้สุนขั ) 4.2 ข้าวตใู ช้วสั ดุอะไรสร้างบา้ น (แนวคาตอบ : ไมจ้ ากลงั ไม้เก่าของพอ่ ) 4.3 ข้าวตูและพอ่ ช่วยกันสร้างบา้ นให้สุนัขอยา่ งไร (แนวคาตอบ : ชว่ ยกนั แยกช้ินส่วนไมแ้ ลว้ นามาประกอบเป็นบา้ น) 4.4 เพราะเหตุใดไม้จากลงั ไมเ้ ก่าจึงสามารถนามาสรา้ งบา้ นใหส้ นุ ขั ได้ (แนวคาตอบ : เพราะไมน้ ้ันยงั มแี ขง็ แรงและสี สวย) 4.5 ไมท้ เี่ หลือจากการสร้างบ้านให้สุนัข เราสามารถนามาทาอะไรได้อีกบา้ ง (แนวคาตอบ : นามาประกอบเป็นเก้าอ้ี ชิงช้า รถลากของ) 4.6 นอกจากเก้าอี้ ชงิ ชา้ และรถลากของ เราสามารถนาชิ้นส่วนไม้ที่เหลือมาประกอบเป็นอะไรได้ อีกบ้าง (แนวคาตอบ : เรยี นตอบตามความคิดเหน็ ของตนเอง) ขน้ั ที่ 5 ประเมนิ ผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครปู ระเมนิ นกั เรียนโดยการสงั เกตพฤติกรรมของนกั เรยี นขณะทางานรว่ มกนั สังเกตการ ตอบ คาถามของนกั เรยี นในช้นั เรียน การตอบคาถามในใบงาน และประเมนิ การทากจิ กรรมของนกั เรยี น
6. กระบวนการวัดและประเมนิ ผล เคร่ืองมือวดั และประเมนิ ผล 1) แบบประเมินช้นิ งาน 2) แบบประเมินทักษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมินผลด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ วิธกี ารวัดและประเมนิ ผล 1) การสังเกตความสนใจ ความต้ังใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืนร่วมถึงการ ตัดสนิ ใจรว่ มกัน 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถูกตอ้ ง ความเปน็ ระเบียบของชิ้นงาน 3) การบันทกึ แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบันทึกแบบประเมินผลด้านคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล 1) นักเรียนสามารถอธิบายความหมายของวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 80% ข้ึนไป 2) นักเรยี นสามารถทางานได้ตามเกณฑ์ทก่ี าหนดได้ 80% ขึน้ ไป 3) นกั เรยี นไดค้ ะแนนจากแบบประเมนิ 80% ขนึ้ ไป 7. สื่อ/แหล่งเรียนรู้ 1) หนงั สือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.3 เลม่ 2 หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 การเปลยี่ นแปลงของวัตถุและวสั ดุ 2) ใบงาน
8. บนั ทึกผลหลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแก้ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื …………………………….…………… ครผู ูส้ อน () ความคดิ เหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………….………… ผอู้ านวยการโรงเรยี น ()
แผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 3 กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถุและวัสดุ ชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 เรอ่ื ง ทาวัตถชุ นิ้ ใหมจ่ ากวัตถุช้นิ เดิมไดอ้ ยา่ งไร เวลา 1 ชว่ั โมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ดั มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบตั ขิ องสสาร กับโครงสรา้ งและแรงยึดเหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลกั และธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี ตัวชีว้ ดั ป.3/1 อธบิ ายว่าวตั ถุประกอบขึ้นจากชิน้ ส่วนยอ่ ย ซง่ึ สามารถแยกออกจากกนั ไดแ้ ละประกอบกันเป็น วัตถชุ ้ินใหมไ่ ด้ โดยใช้หลกั ฐานเชิงประจักษ์ 2. สาระสาคญั วตั ถุทป่ี ระกอบขน้ึ ใหม่กับวัตถุเดมิ จากข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการสังเกต 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นกั เรียนสามารถสังเกตและอธบิ ายการทาวัตถชุ ิ้นใหม่จากวตั ถุช้นิ เดิมได้ 3.2 ทกั ษะ 1. นกั เรยี นสามารถสงั เกตและเปรียบเทียบลักษณะของวัตถุเมอื่ ประกอบขึน้ ใหมก่ ับวัตถเุ ดมิ ได้ 3.3 คณุ ลกั ษณะ 1. นกั เรียนมวี นิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ มงุ่ ม่นั ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกบั ผู้อื่นได้ 4. สาระการเรยี นรู้ วัตถทุ ีป่ ระกอบขน้ึ จากช้ินส่วนย่อย ๆ สามารถแยกชน้ิ ส่วนนั้น ๆ ออกแล้วประกอบเป็นวัตถุชิ้นใหม่ซ่ึง มีรูปร่างขนาด และการใช้งานแตกต่างไปจากวัตถุเดิมได้ วัตถุที่ทามาจากวัสดุบางชนิดเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือ เย็นลง วสั ดุน้ันอาจเปลีย่ นแปลงลกั ษณะหรอื สมบัตไิ ด้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 สรา้ งความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครูทักทายกับนักเรียน แล้วแจง้ จุดประสงค์การเรยี นรูใ้ หน้ กั เรียนทราบ 2. ครูทบทวนความรู้พื้นฐานเก่ียวกับการนาชิ้นส่วนของวัสดุมาประกอบเป็นวัตถุของใช้ต่าง ๆ โดย ยกตัวอย่างวัตถุท่ีทามาจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิดมาประกอบกัน เช่น ริบบ้ินผ้า โมบาย ครูให้นักเรียน
สังเกตวัตถุทีละชิ้นโดยเริ่มจากการสังเกตริบบิ้นผ้าที่ผูกกับกล่องของขวัญ จากน้ันนักเรียนอภิปรายตามแนว คาถามดงั ตอ่ ไปน้ี 1 วัตถทุ ่นี ักเรียนสังเกตคอื อะไร (รบิ บนิ้ ) 2 ริบบิน้ มลี ักษณะเป็นอย่างไร (นักเรียนตอบลักษณะของริบบ้ินตามท่ีสังเกต เช่น สีชมพู ผิว เรียบ ) ข้นั ท่ี 2 ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี 1. ครเู ชื่อมโยงความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนเขา้ สูก่ จิ กรรมที่ 1 โดยใช้คาถามดังน้กี ารทาวตั ถชุ น้ิ ใหม่จาก วตั ถุชนิ้ เดิม เช่น สร้อยคอหรือสร้อยข้อมอื ทาจากวัสดทุ แี่ ยกออกมาจากโมบายได้อยา่ งไรบา้ ง และวตั ถทุ ี่สร้าง ขึ้นใหม่จะมลี กั ษณะเหมือนกับวัตถชุ ิน้ เดมิ หรอื ไม่ อยา่ งไร 2. ครูใช้วิธีฝึกอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนในการฝึกทักษะการอ่าน จากนั้นครู ตรวจสอบความเขา้ ใจในการทากจิ กรรม จนนกั เรียนเข้าใจลาดบั การทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามดังน้ี - นักเรียนต้องสังเกตอะไรเป็นอันดับแรก (สังเกตลักษณะของตัวต่อแต่ละชิ้นและนับจานวนช้ินส่วน ของตัวต่อทง้ั หมด) - นักเรยี นต้องทาอะไรในลาดบั ต่อไป (อภิปรายและบันทกึ ว่าถา้ นาชน้ิ ส่วนของตัวต่อทั้งหมดมาต่อเป็น วตั ถรุ ูปแบบใหม่จะต่อเป็นวตั ถรุ ปู ใดได้บา้ ง) ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครูนาอภิปรายเพอ่ื ใหน้ ักเรยี นทบทวนว่าไดฝ้ ึกทกั ษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และทกั ษะแห่ง ศตวรรษท่ี 21 อะไรบา้ งและในขั้นตอนใด หลงั จากทากจิ กรรมแลว้ ครนู าอภปิ รายผลการทากิจกรรม โดยใช้คาถามดงั นี้ - วตั ถุรปู แบบใหม่ทน่ี กั เรียนประกอบมรี ูปรา่ งเป็นอยา่ งไร (นักเรยี นตอบตามความคดิ ของนกั เรียน เชน่ รปู รา่ งคลา้ ยหา่ น เปด็ หรือนก) - ตวั ตอ่ ที่นามาตอ่ เปน็ วตั ถุดังกลา่ วมกี ช่ี ้ิน แตล่ ะชนิ้ มลี ักษณะเปน็ อยา่ งไร (ตัวตอ่ ทัง้ หมดมจี านวน 7 ชน้ิ มีรูปสี่เหลี่ยม 2 ช้นิ เปน็ สเี่ หลี่ยมด้านขนานสีเขยี ว 1 ช้ินและส่ีเหล่ียมจตั รุ ัสสสี ม้ 1 ช้นิ มรี ูปสามเหลยี่ ม ทัง้ หมด 5 ชนิ้ เปน็ รปู สามเหลย่ี มขนาดใหญ่ 2 ชน้ิ สีเหลอื งและสีนา้ เงนิ รูปสามเหลีย่ มขนาดกลางสีเหลอื ง 1 ชนิ้ และรูปสามเหลยี่ มขนาดเล็ก 2 ชิ้น สนี า้ เงินและสีแดง) ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. ครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซักถามในสง่ิ ทอ่ี ยากรเู้ พม่ิ เติมเกีย่ วกับการประกอบวตั ถุชิน้ ใหม่จากวัตถชุ ิน้ เดิม จากนั้นรว่ มกันอภิปรายและลงขอ้ สรปุ วา่ วตั ถทุ ี่ประกอบข้นึ จากชิ้นส่วนต่าง ๆ ซึ่งชน้ิ สว่ นน้ันอาจเหมอื น หรอื แตกตา่ งกันเราสามารถแยกชน้ิ สว่ นเหลา่ น้ันและนาช้นิ สว่ นแต่ละช้นิ มาประกอบกันเป็นวตั ถชุ นิ้ ใหมไ่ ด้ หลายรูปแบบ ขัน้ ท่ี 5 ประเมนิ ผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครใู ห้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาวา่ จากหัวขอ้ ที่เรียนมาและการปฏบิ ัตกิ ิจกรรม มีจดุ ใดบ้างทีย่ งั ไม่ เขา้ ใจหรอื ยงั มีขอ้ สงสัย ถา้ มี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ให้นักเรยี นเขา้ ใจ
2. นกั เรียนร่วมกันประเมนิ การปฏิบตั ิกิจกรรมกลุม่ วา่ มปี ญั หาหรอื อุปสรรคใด และได้มีการแก้ไข อยา่ งไรบา้ ง 3. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เหน็ เกีย่ วกับประโยชน์ที่ได้รบั จากการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม และ การนาความรทู้ ่ีได้ไปใชป้ ระโยชน์ 4. นกั เรยี นตอบคาถามเกี่ยวกับการสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ในสารวจความรกู้ ่อนเรียน โดยอาจถามว่านกั เรียนรอู้ ะไรบา้ ง เกยี่ วกับการสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 6. กระบวนการวัดและประเมินผล เครอ่ื งมอื วดั และประเมินผล 1) แบบประเมนิ ชิ้นงาน 2) แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมนิ ผลด้านคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ วิธีการวดั และประเมินผล 1) การสังเกตความสนใจ ความตั้งใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืนร่วมถึงการ ตัดสนิ ใจร่วมกัน 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถูกตอ้ ง ความเปน็ ระเบียบของช้ินงาน 3) การบันทึกแบบประเมินทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบันทึกแบบประเมินผลดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล 1) นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 80% ขึ้นไป 2) นกั เรียนสามารถทางานไดต้ ามเกณฑ์ท่กี าหนดได้ 80% ขน้ึ ไป 3) นักเรียนได้คะแนนจากแบบประเมิน 80% ขน้ึ ไป 7. สอ่ื /แหลง่ เรยี นรู้ 1) หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร์ ป.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 การเปล่ียนแปลงของวัตถแุ ละวสั ดุ 2) ใบงาน
8. บันทกึ ผลหลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแก้ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื …………………………….…………… ครูผสู้ อน () ความคดิ เหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………….………… ผู้อานวยการโรงเรยี น ()
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4 กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรียนท่ี 2 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวสั ดุ ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี 3 เรอ่ื ง ทาวัตถชุ นิ้ ใหม่จากวตั ถุชน้ิ เดิมได้อยา่ งไร(1) เวลา 1 ชว่ั โมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชี้วดั มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยดึ เหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลย่ี นแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี ตวั ช้ีวดั ป.3/1 อธิบายวา่ วตั ถุประกอบข้นึ จากช้ินสว่ นย่อย ซง่ึ สามารถแยกออกจากกนั ได้และประกอบกันเปน็ วัตถชุ ้ินใหมไ่ ด้ โดยใชห้ ลกั ฐานเชิงประจักษ์ 2. สาระสาคัญ วตั ถทุ ่ีประกอบขนึ้ ใหม่กับวัตถุเดิมจากข้อมลู ทไ่ี ดจ้ ากการสังเกต 3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นกั เรยี นสามารถสังเกตและอธบิ ายการทาวตั ถชุ นิ้ ใหม่จากวตั ถชุ ิ้นเดิมได้ 3.2 ทักษะ 1. นกั เรียนสามารถสงั เกตและเปรียบเทียบลักษณะของวัตถุเมือ่ ประกอบขน้ึ ใหมก่ บั วตั ถุเดิมได้ 3.3 คุณลักษณะ 1. นักเรยี นมีวินยั ใฝ่เรียนรู้ มุง่ ม่นั ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกบั ผอู้ ื่นได้ 4. สาระการเรยี นรู้ วัตถทุ ีป่ ระกอบขึน้ จากช้นิ ส่วนยอ่ ย ๆ สามารถแยกช้ินส่วนนั้น ๆ ออกแล้วประกอบเป็นวัตถุชิ้นใหม่ซ่ึง มีรูปร่างขนาด และการใช้งานแตกต่างไปจากวัตถุเดิมได้ วัตถุที่ทามาจากวัสดุบางชนิดเมื่อทาให้ร้อนขึ้นหรือ เย็นลง วสั ดุน้ันอาจเปลี่ยนแปลงลักษณะหรือสมบตั ไิ ด้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขัน้ ท่ี 1 สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครทู ักทายกบั นักเรียน แลว้ แจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ใู หน้ ักเรียนทราบ 2. ครูทบทวนความรู้พ้ืนฐานเกี่ยวกับการนาช้ินส่วนของวัสดุมาประกอบเป็นวัตถุของใช้ต่าง ๆ โดย ยกตัวอย่างวัตถุท่ีทามาจากวัสดุชนิดเดียวหรือหลายชนิดมาประกอบกัน เช่น ริบบ้ินผ้า โมบาย ครูให้นักเรียน
สังเกตวัตถุทีละชิ้นโดยเร่ิมจากการสังเกตริบบ้ินผ้าท่ีผูกกับกล่องของขวัญ จากนั้นนักเรียนอภิปรายตามแนว คาถามดงั ต่อไปนี้ 1 รบิ บ้ินมีวสั ดุกีช่ นดิ ประกอบกนั (วสั ดุ 1 ชนิด คือ ผา้ ) 2 ถ้านักเรียนนาริบบิ้นผ้าไปทาเป็นวัตถุอ่ืน ๆ จะทาเป็นอะไรได้อีกบ้าง(นักเรียนตอบตาม ความเข้าใจของตนเอง เช่น นามาผูกผม นามาประดิษฐ์เป็นสร้อยข้อมือ หรือใช้ประกอบงานฝีมือต่าง ๆ) 3 โมบายมีลักษณะอย่างไร (นักเรียนตอบลักษณะของโมบายตามที่สังเกต เช่น โมบาย ประกอบดว้ ยไมแ้ ขวนหลายอันท่ีไม้แขวนแต่ละอันประกอบด้วยเชือกที่ร้อยกับวัตถุต่าง ๆ ได้แก่ ก้อน ไหมพรมแท่งโลหะ กระดิ่ง เปลือกหอย ลูกไม้แห้ง ใบไม้ เป็นต้น ซึ่งคาตอบของนักเรียนจะข้ึนอยู่กับ ลักษณะของโมบายท่ีครนู ามาให้นกั เรียนสังเกต) 4 นักเรียนสามารถแยกวัสดุที่ใช้ทาโมบายไปประกอบเป็นวัตถุใหม่ได้อีกหรือไม่ อย่างไร (นักเรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น นาเชือกที่ร้อยก้อนไหมพรมมามัดรวมกันและประดิษฐ์ เปน็ สรอ้ ยคอหรือสร้อยข้อมอื และนาไมแ้ ขวนโมบายมาประดิษฐเ์ ปน็ ไม้แขวนเส้ือ) ขน้ั ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี 1. ครูใช้วิธีฝึกอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนในการฝึกทักษะการอ่าน จากนั้นครู ตรวจสอบความเขา้ ใจในการทากิจกรรม จนนกั เรยี นเขา้ ใจลาดบั การทากิจกรรม โดยใชค้ าถามดังนี้ - เม่ือนักเรียนบันทึกผลแล้ว ต้องทาอย่างไรต่อไป (ตกลงร่วมกันว่าจะต่อตัวต่อรูปแบบใด จากนั้นเร่มิ ตอ่ ตัวต่อแลว้ วาดรปู ตวั ต่อท่ีต่อเสรจ็ เรียบรอ้ ยแลว้ ลงในแบบบนั ทกึ กจิ กรรม) - เม่อื นักเรยี นเขา้ ใจวธิ กี ารทากจิ กรรมในทาอยา่ งไรแล้ว ครูแจกวัสดุอุปกรณ์ และให้นักเรียน เริ่มปฏบิ ัตติ ามข้ันตอนการทากจิ กรรม) ขั้นท่ี 3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครูนาอภิปรายเพอ่ื ใหน้ ักเรียนทบทวนว่าไดฝ้ กึ ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์และ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 อะไรบ้างและในขน้ั ตอนใด หลังจากทากจิ กรรมแล้ว ครูนาอภปิ รายผลการทากจิ กรรม โดยใชค้ าถามดังน้ี - วตั ถุรูปแบบใหม่ท่นี กั เรียนประกอบมรี ูปรา่ งเป็นอยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความคดิ ของ นักเรยี น เชน่ รปู ร่างคลา้ ยหา่ น เปด็ หรือนก) - รูปแบบวตั ถชุ ิน้ ใหมท่ ่แี ต่ละกลมุ่ ตอ่ เหมอื นหรอื แตกตา่ งจากวตั ถชุ ้นิ เดิมอย่างไร (คาตอบขนึ้ อยู่ กบั รูปแบบวัตถุชิ้นใหมท่ น่ี กั เรียนเลอื กตอบ) ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. ครูเปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นซักถามในส่ิงท่ีอยากรเู้ พ่มิ เติมเก่ยี วกับการประกอบวตั ถุชิ้นใหมจ่ ากวัตถชุ ิน้ เดิม จากนนั้ รว่ มกันอภปิ รายและลงข้อสรปุ ว่าวตั ถุทีป่ ระกอบขึน้ จากชน้ิ สว่ นต่าง ๆ ซึง่ ชิน้ ส่วนนัน้ อาจเหมอื น หรอื แตกตา่ งกนั เราสามารถแยกช้ินส่วนเหลา่ นั้นและนาชน้ิ ส่วนแตล่ ะชนิ้ มาประกอบกันเป็นวตั ถุช้นิ ใหม่ได้ หลายรูปแบบ 2. นักเรียนร่วมกันอ่านรู้อะไรในเรื่องน้ี ในหนังสือเรียน หน้า 8 ครูนาอภิปรายเพ่ือนาไปสู่ข้อสรุป เกยี่ วกับสงิ่ ที่ได้เรียนร้ใู นเรื่องน้ี จากนัน้ ครกู ระตนุ้ ใหน้ ักเรียนตอบคาถามในชว่ งทา้ ยของเนอ้ื เร่อื ง ซึ่งเป็นคาถาม เพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนเนื้อหาในบทถัดไป ดังนี้ “สมบัติของวัตถุและวัสดุต่าง ๆ สามารถการเปล่ียนแปลง
ได้หรือไม่ อย่างไร” นักเรียนสามารถตอบตามความเข้าใจของตนเอง ซ่ึงจะหาคาตอบได้จากการเรียนในบท ต่อไป ขน้ั ท่ี 5 ประเมินผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครใู ห้นกั เรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ทเี่ รียนมาและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มจี ดุ ใดบา้ งทยี่ งั ไม่ เขา้ ใจหรือยังมขี ้อสงสยั ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน้ ักเรยี นเขา้ ใจ 2. นกั เรยี นร่วมกนั ประเมนิ การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมกล่มุ วา่ มปี ญั หาหรอื อุปสรรคใด และได้มกี ารแกไ้ ข อย่างไรบ้าง 3. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกบั ประโยชนท์ ีไ่ ด้รับจากการปฏบิ ตั ิกิจกรรม และ การนาความรู้ท่ีไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 4. นักเรียนตอบคาถามเกีย่ วกับการสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ในสารวจความรู้ก่อนเรียน โดยอาจถามวา่ นกั เรียนรอู้ ะไรบา้ ง เกี่ยวกับการสบื เสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ 6. กระบวนการวัดและประเมนิ ผล เคร่อื งมือวดั และประเมนิ ผล 1) แบบประเมินชน้ิ งาน 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมินผลดา้ นคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ วธิ กี ารวดั และประเมนิ ผล 1) การสังเกตความสนใจ ความต้ังใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นร่วมถึงการ ตัดสนิ ใจร่วมกนั 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถูกต้อง ความเป็นระเบยี บของชน้ิ งาน 3) การบนั ทกึ แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบันทกึ แบบประเมินผลดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล 1) นักเรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 80% ข้นึ ไป 2) นกั เรียนสามารถทางานไดต้ ามเกณฑ์ท่ีกาหนดได้ 80% ข้นึ ไป 3) นักเรยี นได้คะแนนจากแบบประเมนิ 80% ขนึ้ ไป 7. ส่อื /แหล่งเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถแุ ละวัสดุ 2) ใบงาน
8. บนั ทึกผลหลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแก้ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ …………………………….…………… ครูผูส้ อน () ความคดิ เหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …………………………….………… ผอู้ านวยการโรงเรยี น ()
แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 5 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรยี นที่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 การเปลยี่ นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ ชั้นประถมศกึ ษาปที ี่ 3 เรื่อง ร้อนข้ึน เยน็ ลง เวลา 1 ชวั่ โมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตวั ชว้ี ัด มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัตขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมบัตขิ องสสาร กบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนีย่ วระหว่างอนภุ าค หลักและธรรมชาตขิ องการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมี ตัวชว้ี ดั ป.3/2 อธบิ ายการเปล่ยี นแปลงของวสั ดุเมือ่ ทาใหร้ ้อนข้นึ หรือทาใหเ้ ย็นลงโดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ 2. สาระสาคญั การเปลีย่ นแปลงของวัสดเุ มอ่ื ทาใหร้ ้อนขน้ึ หรอื เย็นลง 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นกั เรยี นสามารถสงั เกตและอธิบายการเปลีย่ นแปลงของวสั ดุเมอื่ ทาให้รอ้ นขน้ึ หรอื เยน็ ลงได้ 3.2 ทักษะ 1. นกั เรยี นสามารถเปล่ยี นแปลงของวสั ดุเมือ่ ทาให้ร้อนขน้ึ หรอื เยน็ ลงได้ 3.3 คุณลกั ษณะ 1. นกั เรียนมีวนิ ัย ใฝ่เรยี นรู้ ม่งุ ม่ันในการทางาน สามารถทางานรว่ มกับผูอ้ น่ื ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ วตั ถุทปี่ ระกอบขน้ึ จากช้ินสว่ นยอ่ ย ๆ สามารถแยกช้ินส่วนน้ัน ๆ ออกแล้วประกอบเป็นวัตถุชิ้นใหม่ซึ่ง มีรูปร่างขนาด และการใช้งานแตกต่างไปจากวัตถุเดิมได้ วัตถุที่ทามาจากวัสดุบางชนิดเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือ เยน็ ลง วัสดนุ นั้ อาจเปลี่ยนแปลงลกั ษณะหรือสมบัติได้ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้ันท่ี 1 สรา้ งความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครูทักทายกับนักเรยี น แลว้ แจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมของนกั เรียนเก่ียวกบั การเปล่ียนแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนข้ึนหรือเย็นลง โดยให้นักเรยี นสงั เกตชอ็ กโกแลตที่วางทง้ิ ไว้ในรถซ่ึงจอดกลางแดด และใชแ้ นวคาถามดังนี้
- ช็อกโกแลตท่ีวางทิ้งไว้ในรถมีรูปร่าง ลักษณะ และสมบัติเหมือนเดิมหรือไม่ อย่างไร (นักเรยี นตอบตามความคดิ เหน็ ของตนเอง) 3. ครตู รวจสอบความรู้เดิมของนกั เรยี นเกี่ยวกับการเปลย่ี นแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยให้นักเรียนสงั เกตชอ็ กโกแลตทว่ี างทิ้งไวใ้ นรถซึ่งจอดกลางแดด และใช้แนวคาถามดงั น้ี - ช็อกโกแลตท่ีวางทิ้งไว้ในรถมีรูปร่าง ลักษณะ และสมบัติเหมือนเดิมหรือไม่ อย่างไร (นักเรียนตอบ ตามความคดิ เหน็ ของตนเอง) ขัน้ ที่ 2 ขั้นสารวจและคน้ หา (Exploration) (15 นาท)ี 1. ครูเชอื่ มโยงความรู้พ้ืนฐานของนักเรยี นเขา้ สูก่ ิจกรรมที่ 1 โดยใช้คาถามดังน้ีการทาวัตถุช้ินใหม่จาก วัตถุช้ินเดมิ เช่น สร้อยคอหรือสร้อยข้อมือทาจากวัสดุท่ีแยกออกมาจากโมบายได้อย่างไรบ้าง และวัตถุที่สร้าง ขน้ึ ใหม่จะมีลกั ษณะเหมือนกบั วตั ถุชิ้นเดิมหรอื ไม่ อยา่ งไร 2. ครูฝึกทักษะการอ่านตามวิธีการอ่านที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน ครูใช้คาถามเพ่ือ ตรวจสอบความเขา้ ใจจากการอา่ น โดยใชค้ าถามดงั น้ี - แม่ของข้าวตูทาอะไร (ซื้อเคก้ ไอศกรมี ) - พ่อค้าทาอย่างไรเพ่ือให้แม่ของข้าวตูนาเค้กไอศกรีมกลับบ้านได้ (บรรจุเค้กไอศกรีมลงใน กล่องโฟม) - เมื่อกลับถึงบ้านเค้กไอศกรีมมีลักษณะอย่างไร (เค้กไอศกรีมยังคงสวยและน่ารับประทาน เหมือนเดิม) ข้ันท่ี 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครูนาอภปิ รายเพอื่ ให้นกั เรยี นทบทวนว่าได้ฝกึ ทกั ษะกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์และทักษะ แห่งศตวรรษที่ 21 อะไรบ้างและในขัน้ ตอนใด 2. ครใู ห้นกั เรียนร่วมกนั สรปุ เรื่องทอี่ ่านซึ่งควรสรปุ ไดว้ า่ การบรรจุเคก้ ไอศกรมี ลงในกล่องโฟมทา ใหเ้ คก้ ไอศกรมี นัน้ มลี กั ษณะสวยงามและน่ารับประทานเหมือนเดมิ ขน้ั ท่ี 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. ครูและนักเรยี นร่วมกนั อภปิ รายเพือ่ เปรยี บเทียบคาตอบของนกั เรยี นในรู้หรือยัง กับคาตอบท่ีเคย ตอบและบันทึกไว้ในคดิ กอ่ นอ่าน) 2. ครูชักชวนนักเรียนตอบคาถามท้ายเร่ืองท่ีอ่าน คือ ถ้าไม่นาเค้กไอศกรีมบรรจุลงในกล่องโฟม เค้ก ไอศกรีมจะเป็นอยา่ งไรครูบนั ทกึ คาตอบของนกั เรียนบนกระดานโดยยงั ไม่เฉลยคาตอบแต่ชักชวนใหน้ ักเรียนหา คาตอบจากการทากจิ กรรม ขั้นที่ 5 ประเมนิ ผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครูใหน้ กั เรียนแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ขอ้ ที่เรยี นมาและการปฏบิ ตั กิ ิจกรรม มจี ดุ ใดบา้ งทย่ี ังไม่ เข้าใจหรือยงั มขี ้อสงสยั ถา้ มี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพิม่ เติมให้นักเรียนเขา้ ใจ 2. นักเรียนร่วมกนั ประเมนิ การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมกลมุ่ วา่ มปี ญั หาหรืออปุ สรรคใด และไดม้ กี ารแก้ไข อยา่ งไรบ้าง 3. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกับประโยชน์ที่ได้รบั จากการปฏบิ ตั กิ จิ กรรม และ การนาความรูท้ ี่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 4. นกั เรียนตอบคาถามเก่ียวกบั การสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ในสารวจความรู้กอ่ นเรยี น โดยอาจถามว่านักเรียนรอู้ ะไรบ้าง เกี่ยวกับการสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์
6. กระบวนการวดั และประเมินผล เครอื่ งมือวดั และประเมินผล 1) แบบประเมินชนิ้ งาน 2) แบบประเมินทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมนิ ผลดา้ นคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ วธิ ีการวัดและประเมินผล 1) การสังเกตความสนใจ ความต้ังใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืนร่วมถึงการ ตัดสินใจรว่ มกัน 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถกู ตอ้ ง ความเป็นระเบียบของช้ินงาน 3) การบนั ทึกแบบประเมินทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบนั ทกึ แบบประเมินผลดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ เกณฑก์ ารวัดและประเมินผล 1) นกั เรียนสามารถอธิบายความหมายของวทิ ยาศาสตรไ์ ด้ 80% ข้ึนไป 2) นกั เรยี นสามารถทางานไดต้ ามเกณฑ์ทก่ี าหนดได้ 80% ขึน้ ไป 3) นกั เรยี นได้คะแนนจากแบบประเมิน 80% ข้ึนไป 7. สื่อ/แหลง่ เรียนรู้ 1) หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตร์ ป.3 เล่ม 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ 2) ใบงาน 8. บันทกึ ผลหลังการสอน ผลการจัดการเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปญั หา/ อปุ สรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………….…………… ครผู ู้สอน () ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ …………………………….………… ผอู้ านวยการโรงเรยี น ()
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 6 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3 เรอ่ื ง ความร้อนมผี ลต่อวสั ดอุ ยา่ งไร เวลา 1 ชวั่ โมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชี้วัด มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสาร กบั โครงสรา้ งและแรงยดึ เหนยี่ วระหวา่ งอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ เกิดสารละลาย และการเกิดปฏกิ ิริยาเคมี ตัวชี้วดั ป.3/2 อธิบายการเปล่ยี นแปลงของวสั ดเุ มือ่ ทาให้ร้อนขนึ้ หรือทาให้เยน็ ลงโดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจักษ์ 2. สาระสาคญั การเปลย่ี นแปลงของวัสดเุ มือ่ ทาใหร้ อ้ นขึ้นหรือเยน็ ลง 3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นักเรยี นสามารถสงั เกตและอธิบายการเปลี่ยนแปลงของวสั ดุเมอ่ื ทาให้รอ้ นขึน้ หรอื เยน็ ลงได้ 3.2 ทกั ษะ 1. นักเรยี นสามารถสรา้ งแบบจาลองการเปลยี่ นแปลงของวัสดุเม่อื ทาให้รอ้ นขึน้ หรอื เยน็ ลงได้ 3.3 คุณลกั ษณะ 1. นกั เรยี นมีวินยั ใฝเ่ รยี นรู้ มุง่ มน่ั ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกับผู้อนื่ ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ เมื่อใหค้ วามรอ้ นหรอื ทาให้วัสดรุ อ้ นขึ้น วสั ดบุ างชนดิ อาจเกิดการเปลย่ี นแปลงลกั ษณะและสมบตั ิของ วัสดุ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ขั้นท่ี 1 สรา้ งความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครทู กั ทายกบั นกั เรียน แลว้ แจง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ให้นกั เรยี นทราบ 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยเปิดวีดิ ทัศน์เกี่ยวกับการทาให้วัสดุเปลี่ยนแปลงเมื่อทาให้ร้อนขึ้น เช่น การเป่าแก้ว และให้นักเรียนสังเกตการ เปล่ียนแปลงของวัสดจุ ากนัน้ นาอภปิ รายโดยใชค้ าถาม ดงั น้ี
- วีดิทัศน์ท่ีนักเรียนดูเป็นเรื่องเก่ียวกับอะไร (ขึ้นอยู่กับวีดิทัศน์ที่ครูนามาให้นักเรียนสังเกต เช่น การ เปา่ แก้ว) - แท่งแก้วมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร (แท่งแก้วเปล่ียนรูปร่างจากที่เป็นก้อน ๆ ทรงกระบอกสั้นสีส้ม ค่อย ๆ ยาวข้นึ และมสี ่วนโค้งเว้าช่วงกลาง จนสดุ ท้ายมลี วดลายและรูปร่างคล้ายมงั กรสเี ขียว) ครูเชื่อมโยงความรู้เดิมของนักเรียนเข้าสู่กิจกรรมท่ี 2 โดยใช้คาถามดังนี้จากวีดิทัศน์ นอกจากการ กระทาตา่ ง ๆ ที่ทาให้วสั ดเุ กดิ การเปล่ยี นแปลงแล้ว ยงั มวี ธิ ใี ดอีกบา้ งท่ีทาให้วสั ดเุ กิดการเปลีย่ นแปลงได้ ขัน้ ท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา (Exploration) (15 นาท)ี 1. ครูเช่ือมโยงความรู้พื้นฐานของนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจเก่ียวกับ จดุ ประสงค์ในการทากิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามดงั น้ี - กิจกรรมนน้ี กั เรยี นจะได้เรยี นเรอ่ื งอะไร (การเปลย่ี นแปลงของวสั ดุเมอื่ ทาให้ร้อนขนึ้ หรอื เยน็ ลง) - นักเรียนจะไดเ้ รยี นร้เู รอ่ื งน้ีด้วยวิธีใด (การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนขึ้นหรือเย็น ลง) - เมอ่ื เรยี นแล้วนักเรยี นจะทาอะไรได้ (สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนข้ึนหรือ เย็นลง) 2. ครูแจกวสั ดอุ ปุ กรณแ์ ละให้นักเรียนเร่ิมปฏิบตั ติ ามข้นั ตอนของกจิ กรรม ขน้ั ท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครเู ปิดโอกาสให้นักเรยี นซกั ถามในสง่ิ ท่อี ยากรเู้ พ่ิมเติมเก่ียวกบั ความร้อนท่มี ผี ลต่อวัสดุ จากน้ัน รว่ มกนั อภิปรายและลงขอ้ สรปุ ว่าเมือ่ ทาใหว้ สั ดรุ อ้ นขนึ้ หรอื เยน็ ลง วสั ดุนัน้ อาจเกิดการเปล่ียนแปลงรูปรา่ งได้ หลงั จากทากจิ กรรมแล้ว ครูนาอภปิ รายผลการทากจิ กรรม โดยใช้คาถามดงั น้ี - ลักษณะของพาราฟินกอ่ นใหค้ วามรอ้ นเปน็ อย่างไร (พาราฟนิ มลี ักษณะเปน็ กอ้ นแขง็ สีขาวขุ่น ผิว ลน่ื ) - อณุ หภูมิของพาราฟนิ กอ่ นให้ความร้อนมีคา่ เท่าไร (คาตอบเป็นไปตามค่าอุณหภมู ิทน่ี กั เรียนวัดได้) - ผลการสังเกตอณุ หภมู เิ มอื่ ให้ความรอ้ นแก่พาราฟินทีเ่ วลาตา่ ง ๆ เปน็ อย่างไร (คาตอบข้ึนอย่กู บั การวดั อณุ หภูมทิ เ่ี วลาต่าง ๆ) ขน้ั ที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. ครูอภิปรายเพือ่ นาไปส่ขู อ้ สรุปเกีย่ วกับสิ่งท่ไี ดเ้ รียนรูใ้ นเรื่องนี้ จากนน้ั ครูกระต้นุ ใหน้ ักเรียนตอบ คาถามในช่วงทา้ ยของเนอ้ื เรอื่ งวา่ เราร้แู ล้ววา่ วัสดุบางอย่างเปล่ียนแปลงเนือ่ งจากการทาใหร้ ้อนข้ึนหรอื เย็นลง นอกจากวธิ ดี ังกลา่ วยงั มวี ิธีใดอกี บ้างทจี่ ะทาใหว้ สั ดมุ ีการเปล่ยี นแปลงและเปล่ียนแปลงอย่างไร ให้นกั เรยี น ร่วมกนั อภปิ รายเพอื่ หาแนวทางการตอบคาถาม ซ่งึ ครคู วรเน้นให้นักเรยี นตอบคาถามพร้อมอธิบายเหตผุ ล ประกอบ และนกั เรยี นจะไดไ้ ปรว่ มกันหาคาตอบทถ่ี กู ตอ้ งจากการเรียนหน่วยที่ 4 แรงในชวี ติ ประจาวนั ตอ่ ไป อะไรบ้างและในขน้ั ตอนใด ข้ันที่ 5 ประเมินผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครูให้นักเรยี นแตล่ ะคนพจิ ารณาวา่ จากหวั ข้อที่เรียนมาและการปฏิบัตกิ จิ กรรม มีจดุ ใดบ้างที่ยังไม่ เขา้ ใจหรอื ยังมีข้อสงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพม่ิ เตมิ ใหน้ กั เรียนเข้าใจ 2. นักเรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏิบตั ิกจิ กรรมกลุ่มว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคใด และได้มกี ารแก้ไข อยา่ งไรบา้ ง
3. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั แสดงความคิดเห็นเกยี่ วกับประโยชนท์ ่ไี ดร้ บั จากการปฏิบัติกจิ กรรม และ การนาความรทู้ ี่ไดไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 4. นักเรียนตอบคาถามเก่ียวกับการสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ในสารวจความร้กู ่อนเรียน โดยอาจถามวา่ นักเรียนรอู้ ะไรบ้าง เกยี่ วกับการสบื เสาะหาความรทู้ างวิทยาศาสตร์ 6. กระบวนการวัดและประเมินผล เครอ่ื งมือวัดและประเมินผล 1) แบบประเมินชิน้ งาน 2) แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมนิ ผลดา้ นคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์ วิธีการวัดและประเมนิ ผล 1) การสังเกตความสนใจ ความต้ังใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อื่นร่วมถึงการ ตดั สินใจร่วมกนั 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถกู ต้อง ความเป็นระเบียบของชิ้นงาน 3) การบันทกึ แบบประเมนิ ทักษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบนั ทกึ แบบประเมินผลด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เกณฑก์ ารวดั และประเมินผล 1) นักเรยี นสามารถอธบิ ายความหมายของวทิ ยาศาสตร์ได้ 80% ขน้ึ ไป 2) นกั เรยี นสามารถทางานได้ตามเกณฑ์ที่กาหนดได้ 80% ขึ้นไป 3) นกั เรียนไดค้ ะแนนจากแบบประเมิน 80% ขึ้นไป 7. สอื่ /แหล่งเรยี นรู้ 1) หนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ ป.3 เลม่ 2 หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 3 การเปลีย่ นแปลงของวัตถุและวสั ดุ 2) ใบงาน 3) วีดทิ ศั น์ 8. บันทกึ ผลหลงั การสอน ผลการจัดการเรยี นการสอน
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื …………………………….…………… ครูผู้สอน () ความคดิ เหน็ ของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ …………………………….………… ผูอ้ านวยการโรงเรยี น ()
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 7 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การเปล่ียนแปลงของวตั ถุและวสั ดุ ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 3 เรอ่ื ง ความรอ้ นมีผลต่อวสั ดอุ ย่างไร(1) เวลา 1 ชวั่ โมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ดั มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ตัวช้ีวดั ป.3/2 อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงของวสั ดเุ มือ่ ทาใหร้ ้อนขนึ้ หรือทาให้เย็นลงโดยใชห้ ลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. สาระสาคัญ การเปลย่ี นแปลงของวสั ดุเมอ่ื ทาใหร้ อ้ นขึ้นหรือเยน็ ลง 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นักเรียนสามารถสงั เกตและอธิบายการเปลี่ยนแปลงของวสั ดเุ มอ่ื ทาให้รอ้ นข้ึนหรือเย็นลงได้ 3.2 ทกั ษะ 1. นกั เรียนสามารถสร้างแบบจาลองการเปลยี่ นแปลงของวัสดุเม่อื ทาให้รอ้ นขึน้ หรือเยน็ ลงได้ 3.3 คุณลักษณะ 1. นกั เรียนมีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ มุง่ มน่ั ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกับผู้อนื่ ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ เมอ่ื ใหค้ วามรอ้ นหรือทาใหว้ สั ดุรอ้ นขึ้น วสั ดบุ างชนดิ อาจเกดิ การเปลย่ี นแปลงลักษณะและสมบตั ิของ วสั ดุ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครูทกั ทายกบั นักเรียน แลว้ แจง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ให้นกั เรยี นทราบ 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยเปิดวีดิ ทัศน์เก่ียวกับการทาให้วัสดุเปล่ียนแปลงเมื่อทาให้ร้อนขึ้น เช่น การเป่าแก้ว และให้นักเรียนสังเกตการ เปลีย่ นแปลงของวสั ดุจากนน้ั นาอภปิ รายโดยใชค้ าถาม ดงั น้ี
- ขั้นต้นก่อนทาแก้วให้มีรูปร่างตามท่ีต้องการต้องทาอย่างไร (นาแท่งแก้วท่ีมีลักษณะเป็นก้อนเข้า เตาเผาเพอ่ื ใหค้ วามรอ้ น) - แท่งแก้วที่มีลักษณะเป็นก้อนเปล่ียนแปลงรูปร่างได้อย่างไร (แท่งแก้วเปล่ียนแปลงรูปร่างโดยการ นาไปให้ความร้อนและใช้เครอ่ื งมือเพือ่ บบี บิด ดดั ดึงแทง่ แกว้ ให้มีรูปรา่ งตามต้องการ) 3. ครูเช่ือมโยงความรู้เดิมของนักเรียนเข้าสู่กิจกรรมที่ 2 โดยใช้คาถามดังน้ีจากวีดิทัศน์ นอกจากการ กระทาต่าง ๆ ทที่ าให้วสั ดุเกดิ การเปล่ยี นแปลงแล้ว ยังมีวธิ ีใดอีกบ้างท่ที าใหว้ สั ดเุ กดิ การเปล่ยี นแปลงได้ ข้ันที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา (Exploration) (15 นาท)ี 1. ครูเช่ือมโยงความรู้พื้นฐานของนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจเกี่ยวกับ จุดประสงค์ในการทากิจกรรม โดยใช้แนวคาถามดงั น้ี - กิจกรรมนน้ี กั เรียนจะไดเ้ รียนเร่อื งอะไร (การเปลีย่ นแปลงของวสั ดุเม่ือทาให้รอ้ นข้นึ หรอื เยน็ ลง) - นกั เรยี นจะได้เรียนรเู้ รื่องนีด้ ว้ ยวิธีใด (การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนข้ึนหรือเย็น ลง) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม และ ทาเป็นคิดเป็น จากน้ันร่วมกันอภิปรายเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจ เกย่ี วกับจดุ ประสงคใ์ นการทากิจกรรม โดยใชแ้ นวคาถามดงั น้ี - กิจกรรมนีน้ ักเรียนจะได้เรยี นเร่อื งอะไร (การเปล่ียนแปลงของวสั ดเุ มือ่ ทาใหร้ ้อนขึน้ หรือเย็นลง) - นักเรียนจะไดเ้ รียนรูเ้ ร่อื งนด้ี ว้ ยวิธีใด (การสังเกตการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือเย็น ลง) - เม่ือเรยี นแลว้ นกั เรียนจะทาอะไรได้ (สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเมื่อทาให้ร้อนข้ึนหรือ เย็นลง) ข้นั ท่ี 3 ข้ันอธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครูเปดิ โอกาสให้นักเรยี นซกั ถามในสงิ่ ทอ่ี ยากรเู้ พ่ิมเติมเก่ียวกบั ความร้อนท่ีมีผลตอ่ วสั ดุ จากนั้น รว่ มกันอภปิ รายและลงขอ้ สรุปว่าเมอ่ื ทาใหว้ ัสดรุ ้อนขึ้นหรือเยน็ ลง วสั ดนุ น้ั อาจเกิดการเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งได้ หลังจากทากจิ กรรมแล้ว ครนู าอภิปรายผลการทากิจกรรม โดยใช้คาถามดงั น้ี - ขณะใหค้ วามร้อนอุณหภมู ิของพาราฟนิ มีการเปลีย่ นแปลงอย่างไร(มคี ่าสงู ข้ึนเรื่อย ๆ) - ลักษณะของพาราฟนิ ขณะให้ความรอ้ นเปน็ อยา่ งไร (ก้อนพาราฟินคอ่ ย ๆ หลอมเหลว) หมายเหตุ นักเรยี นอาจตอบวา่ ก้อนพาราฟินละลาย ครใู ห้ความรู้เพ่ิมเตมิ แกน่ ักเรยี นว่า ขณะท่ีใหค้ วามรอ้ นแก่ ก้อนพาราฟนิ แลว้ กอ้ นพาราฟนิ คอ่ ย ๆ เปล่ียนแปลงเป็นของเหลว เรียกวา่ เกดิ การหลอมเหลว ขั้นที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. ครนู าอภปิ รายเพ่อื ใหน้ ักเรยี นทบทวนวา่ ได้ฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 2. ครูอภปิ รายเพื่อนาไปสขู่ ้อสรปุ เกี่ยวกับสิ่งทไ่ี ด้เรยี นรใู้ นเรื่องน้ี จากนนั้ ครูกระตุ้นให้นักเรยี นตอบ คาถามในช่วงทา้ ยของเนือ้ เร่ืองว่า เรารู้แลว้ วา่ วัสดุบางอยา่ งเปลย่ี นแปลงเนือ่ งจากการทาให้รอ้ นขนึ้ หรอื เย็นลง นอกจากวธิ ีดงั กลา่ วยังมวี ิธใี ดอีกบ้างทีจ่ ะทาใหว้ สั ดุมีการเปลี่ยนแปลงและเปล่ยี นแปลงอย่างไร ให้นักเรยี น ร่วมกนั อภปิ รายเพอ่ื หาแนวทางการตอบคาถาม ซึ่งครูควรเนน้ ใหน้ ักเรียนตอบคาถามพร้อมอธิบายเหตุผล ประกอบ และนักเรยี นจะไดไ้ ปรว่ มกันหาคาตอบท่ีถูกต้องจากการเรยี นหน่วยท่ี 4 แรงในชวี ติ ประจาวนั ต่อไป อะไรบ้างและในขั้นตอนใด
ขัน้ ที่ 5 ประเมินผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครใู ห้นักเรยี นแต่ละคนพจิ ารณาวา่ จากหัวขอ้ ทเ่ี รียนมาและการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม มจี ดุ ใดบา้ งท่ียงั ไม่ เขา้ ใจหรอื ยงั มขี อ้ สงสยั ถ้ามี ครชู ว่ ยอธบิ ายเพมิ่ เติมใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ 2. นักเรยี นรว่ มกนั ประเมินการปฏิบตั กิ จิ กรรมกลุ่มว่ามปี ญั หาหรอื อุปสรรคใด และได้มกี ารแกไ้ ข อย่างไรบ้าง 3. ครแู ละนักเรยี นร่วมกนั แสดงความคดิ เห็นเกยี่ วกบั ประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม และ การนาความรู้ท่ไี ด้ไปใชป้ ระโยชน์ 4. นกั เรยี นตอบคาถามเกย่ี วกบั การสืบเสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ในสารวจความร้กู ่อนเรยี น โดยอาจถามว่านักเรียนรอู้ ะไรบ้าง เก่ียวกบั การสบื เสาะหาความร้ทู างวิทยาศาสตร์ 6. กระบวนการวดั และประเมนิ ผล เครือ่ งมือวัดและประเมนิ ผล 1) แบบประเมนิ ชน้ิ งาน 2) แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมินผลด้านคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ วธิ ีการวดั และประเมินผล 1) การสังเกตความสนใจ ความต้ังใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืนร่วมถึงการ ตดั สนิ ใจรว่ มกัน 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถกู ตอ้ ง ความเปน็ ระเบยี บของช้ินงาน 3) การบันทึกแบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบันทกึ แบบประเมนิ ผลดา้ นคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เกณฑ์การวัดและประเมนิ ผล 1) นกั เรยี นสามารถอธิบายความหมายของวิทยาศาสตรไ์ ด้ 80% ขน้ึ ไป 2) นักเรียนสามารถทางานไดต้ ามเกณฑ์ทกี่ าหนดได้ 80% ข้นึ ไป 3) นกั เรียนได้คะแนนจากแบบประเมิน 80% ขนึ้ ไป 7. สือ่ /แหล่งเรียนรู้ 1) หนังสือเรยี นวทิ ยาศาสตร์ ป.3 เลม่ 2 หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 3 การเปล่ยี นแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ 2) ใบงาน
8. บันทึกผลหลังการสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแกไ้ ข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื …………………………….…………… ครูผสู้ อน () ความคดิ เหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ…………………………….………… ผู้อานวยการโรงเรยี น ()
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 8 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหสั วชิ า ว 13101 รายวชิ าวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ภาคเรยี นท่ี 2 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 การเปล่ียนแปลงของวตั ถุและวสั ดุ ชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 3 เรอ่ื ง ความรอ้ นมีผลต่อวสั ดอุ ย่างไร(2) เวลา 1 ชวั่ โมง ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..... 1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ดั มาตรฐาน ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พันธ์ระหวา่ งสมบตั ิของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนย่ี วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลยี่ นแปลงสถานะของสสาร การ เกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ตัวช้ีวดั ป.3/2 อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงของวสั ดเุ มือ่ ทาให้ร้อนขนึ้ หรือทาให้เยน็ ลงโดยใชห้ ลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ 2. สาระสาคัญ การเปลย่ี นแปลงของวสั ดุเมอ่ื ทาใหร้ อ้ นขึ้นหรือเยน็ ลง 3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ 3.1 ความรู้ 1. นักเรียนสามารถสงั เกตและอธิบายการเปลี่ยนแปลงของวสั ดุเมอ่ื ทาให้รอ้ นขึน้ หรอื เยน็ ลงได้ 3.2 ทกั ษะ 1. นกั เรียนสามารถสร้างแบบจาลองการเปลยี่ นแปลงของวัสดุเม่อื ทาให้รอ้ นขึน้ หรอื เยน็ ลงได้ 3.3 คุณลักษณะ 1. นกั เรียนมีวินัย ใฝ่เรยี นรู้ มุง่ มน่ั ในการทางาน สามารถทางานรว่ มกับผู้อนื่ ได้ 4. สาระการเรยี นรู้ เมอ่ื ใหค้ วามรอ้ นหรือทาใหว้ สั ดุรอ้ นขึ้น วสั ดบุ างชนดิ อาจเกิดการเปลย่ี นแปลงลกั ษณะและสมบตั ิของ วสั ดุ 5. กิจกรรมการเรยี นรู้ ข้นั ท่ี 1 สร้างความสนใจ (Engagement) (5 นาท)ี 1. ครูทกั ทายกบั นักเรียน แลว้ แจง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ให้นกั เรยี นทราบ 2. ครูตรวจสอบความรู้เดิมเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของวัสดุเม่ือทาให้ร้อนขึ้นหรือเย็นลง โดยเปิดวีดิ ทัศน์เก่ียวกับการทาให้วัสดุเปล่ียนแปลงเมื่อทาให้ร้อนขึ้น เช่น การเป่าแก้ว และให้นักเรียนสังเกตการ เปลีย่ นแปลงของวสั ดุจากนน้ั นาอภปิ รายโดยใชค้ าถาม ดงั น้ี
- วัสดุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ลักษณะ หรือขนาดได้อย่างไร(นักเรียนตอบตามความเข้าใจของ ตนเอง เชน่ การให้ความร้อน การบีบ การบิด การดดั การดึง หรือการทบุ ) ครูเช่ือมโยงความรู้เดิมของนักเรียนเข้าสู่กิจกรรมที่ 2 โดยใช้คาถามดังน้ีจากวีดิทัศน์ นอกจากการ กระทาต่าง ๆ ท่ีทาให้วสั ดุเกิดการเปล่ียนแปลงแล้ว ยงั มีวิธีใดอีกบ้างทท่ี าใหว้ สั ดเุ กิดการเปลย่ี นแปลงได้ ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและคน้ หา (Exploration) (15 นาท)ี 1. ครูเช่ือมโยงความรู้พ้ืนฐานของนักเรียนร่วมกันอภิปรายเพ่ือตรวจสอบความเข้าใจเก่ียวกับ จดุ ประสงค์ในการทากจิ กรรม โดยใชแ้ นวคาถามดังนี้ - กิจกรรมน้ีนักเรยี นจะได้เรยี นเรอ่ื งอะไร (การเปลี่ยนแปลงของวสั ดเุ ม่ือทาใหร้ อ้ นขนึ้ หรอื เยน็ ลง) จากนั้นครูตรวจสอบความเข้าใจในการทากิจกรรม จนนักเรียนเข้าใจลาดับการทากิจกรรม โดยใช้ คาถามดงั น้ี - นักเรียนต้องเตรียมอุปกรณ์อย่างไร (ผูกเชือกกับไม้ไอศกรีมแล้ววางไม้ไอศกรีมพาดไว้ที่ส่วนบนของ ภาชนะ ตดั ปลายเชือกด้านลา่ งให้ยาวพอดีกบั ความสูงของภาชนะ - ลาดบั ต่อไปนกั เรยี นตอ้ งทาอะไร (สงั เกตกอ้ นพาราฟนิ แล้วอภปิ รายว่าถ้านากอ้ นพาราฟนิ มาหนั่ เป็น ชน้ิ เลก็ ๆ แลว้ นาไปให้ความร้อนพาราฟนิ จะเปล่ียนแปลงหรือไม่อยา่ งไร บันทึกผล) - เมอื่ บันทึกผลแล้ว นักเรียนต้องทาอย่างไรต่อไป (นาก้อนพาราฟินมาหั่นเป็นช้ินเล็ก ๆ แล้วบรรจุลง ในบกี เกอร์ สงั เกตลักษณะของพาราฟินและวดั อุณหภูมกิ อ่ นให้ความรอ้ นแก่พาราฟนิ บันทกึ ผล) - เราจะใช้อุปกรณอ์ ะไรเพอื่ ให้ความร้อนแกพ่ าราฟนิ (ตะเกยี งแอลกอฮอล)์ - ขณะให้ความร้อนแก่พาราฟิน นักเรียนต้องทาอะไรบ้าง(ใช้เทอร์มอมิเตอร์วัดอุณหภูมิของพาราฟินทุก ๆ 3 นาที และสังเกตการเปล่ียนแปลงของพาราฟิน บนั ทึกผล) ขนั้ ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (30 นาท)ี 1. ครเู ปิดโอกาสให้นกั เรยี นซักถามในสงิ่ ท่อี ยากรเู้ พม่ิ เติมเกี่ยวกบั ความรอ้ นทม่ี ีผลต่อวสั ดุ จากน้ัน ร่วมกันอภิปรายและลงขอ้ สรุปว่าเมื่อทาใหว้ สั ดรุ ้อนขึน้ หรอื เยน็ ลง วัสดนุ ้ันอาจเกิดการเปล่ยี นแปลงรปู ร่างได้ หลังจากทากิจกรรมแล้ว ครูนาอภปิ รายผลการทากิจกรรม โดยใชค้ าถามดงั นี้ - ลกั ษณะของพาราฟนิ มกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งไรบ้าง (กอ่ นให้ความรอ้ น พาราฟินมลี กั ษณะเปน็ ก้อนเลก็ ๆ สขี าวขุ่น ขณะใหค้ วามรอ้ น พาราฟนิ มีการเปลย่ี นแปลงจากก้อนเลก็ ๆ ค่อย ๆ หลอมเหลวและ เมอื่ เทพาราฟินทีห่ ลอมเหลวลงในภาชนะท่ีเตรยี มไว้ แลว้ วางท้ิงไวใ้ ห้เยน็ พาราฟินจะเปล่ยี นแปลงจากเหลว ค่อย ๆ แข็งตัว) - ลักษณะของพาราฟนิ ขณะให้ความร้อนเป็นอย่างไร (กอ้ นพาราฟินค่อย ๆ หลอมเหลว) หมายเหตุ นักเรียนอาจตอบวา่ กอ้ นพาราฟนิ ละลาย ครใู หค้ วามรเู้ พ่ิมเติมแก่นักเรยี นว่า ขณะทใี่ หค้ วามรอ้ นแก่ กอ้ นพาราฟนิ แล้วกอ้ นพาราฟินคอ่ ย ๆ เปลย่ี นแปลงเป็นของเหลว เรียกวา่ เกิดการหลอมเหลว - นักเรียนคิดว่าส่งิ ทไี่ ดจ้ ากการทากจิ กรรมสามารถนาไปใช้ประโยชนอ์ ย่างไร (นักเรยี นตอบตาม ความเข้าใจของตนเอง เช่น ใช้ทาเปน็ เทียนเพอ่ื ใหค้ วามสวา่ ง หรือใช้เปน็ สงิ่ ของประดบั ตกแตง่ ห้อง) ขัน้ ที่ 4 ขยายความรู้ (Elaboration) (5 นาที) 1. ครนู าอภปิ รายเพอื่ ใหน้ ักเรยี นทบทวนวา่ ได้ฝกึ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์และทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 2. ครอู ภิปรายเพือ่ นาไปสขู่ อ้ สรปุ เก่ียวกบั สง่ิ ท่ีได้เรียนรู้ในเรือ่ งน้ี จากนนั้ ครูกระตุน้ ให้นกั เรียนตอบ คาถามในชว่ งทา้ ยของเนื้อเรื่องว่า เราร้แู ลว้ วา่ วัสดบุ างอยา่ งเปลย่ี นแปลงเนือ่ งจากการทาให้รอ้ นข้นึ หรอื เยน็ ลง นอกจากวธิ ดี ังกลา่ วยังมวี ิธีใดอกี บา้ งทีจ่ ะทาให้วสั ดุมกี ารเปลย่ี นแปลงและเปลย่ี นแปลงอย่างไร ให้นกั เรียน
รว่ มกนั อภปิ รายเพอ่ื หาแนวทางการตอบคาถาม ซึง่ ครคู วรเนน้ ให้นักเรียนตอบคาถามพร้อมอธบิ ายเหตุผล ประกอบ และนกั เรยี นจะไดไ้ ปร่วมกนั หาคาตอบทีถ่ ูกตอ้ งจากการเรยี นหน่วยท่ี 4 แรงในชีวติ ประจาวันต่อไป อะไรบา้ งและในข้ันตอนใด ขั้นท่ี 5 ประเมินผล (Evaluation) (5 นาท)ี 1. ครใู หน้ ักเรียนแตล่ ะคนพิจารณาวา่ จากหวั ขอ้ ท่ีเรียนมาและการปฏิบตั กิ ิจกรรม มีจดุ ใดบา้ งทีย่ งั ไม่ เขา้ ใจหรือยังมขี อ้ สงสัย ถา้ มี ครูชว่ ยอธบิ ายเพิ่มเตมิ ใหน้ กั เรียนเขา้ ใจ 2. นักเรียนร่วมกันประเมินการปฏิบตั กิ ิจกรรมกลมุ่ วา่ มีปญั หาหรอื อุปสรรคใด และไดม้ ีการแก้ไข อยา่ งไรบา้ ง 3. ครูและนักเรยี นร่วมกนั แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประโยชน์ท่ไี ดร้ ับจากการปฏิบัตกิ ิจกรรม และ การนาความรทู้ ไี่ ดไ้ ปใช้ประโยชน์ 4. นกั เรยี นตอบคาถามเก่ียวกับการสบื เสาะหาความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ ในสารวจความร้กู อ่ นเรยี น โดยอาจถามว่านกั เรียนรอู้ ะไรบา้ ง เกี่ยวกบั การสบื เสาะหาความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ 6. กระบวนการวดั และประเมินผล เครื่องมอื วดั และประเมินผล 1) แบบประเมนิ ช้นิ งาน 2) แบบประเมินทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 3) แบบประเมนิ ผลด้านคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ วธิ กี ารวัดและประเมินผล 1) การสังเกตความสนใจ ความตั้งใจและความร่วมมือในการทางานของนักเรียนใน การทา กิจกรรม การตอบคาถาม ความตรงต่อเวลา การแสดงความคิดเห็นและรับฟังความคิดเห็นผู้อ่ืนร่วมถึงการ ตดั สนิ ใจรว่ มกนั 2) การตรวจผลงาน ตรวจความถูกตอ้ ง ความเปน็ ระเบยี บของชน้ิ งาน 3) การบันทกึ แบบประเมนิ ทกั ษะกระบวนการการจาแนกประเภท 4) การบนั ทกึ แบบประเมนิ ผลดา้ นคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ เกณฑก์ ารวัดและประเมนิ ผล 1) นักเรยี นสามารถอธิบายความหมายของวิทยาศาสตรไ์ ด้ 80% ขนึ้ ไป 2) นักเรียนสามารถทางานได้ตามเกณฑท์ ่ีกาหนดได้ 80% ขนึ้ ไป 3) นกั เรียนได้คะแนนจากแบบประเมิน 80% ขึ้นไป 7. ส่อื /แหลง่ เรยี นรู้ 1) หนังสือเรยี นวิทยาศาสตร์ ป.3 เล่ม 2 หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถุและวัสดุ 2) ใบงาน
8. บันทกึ ผลหลงั การสอน ผลการจดั การเรยี นการสอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ปัญหา/ อุปสรรค ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… แนวทางแก้ไข ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื …………………………….…………… ครูผสู้ อน () ความคดิ เหน็ ของผู้บริหารสถานศกึ ษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื …………………………….………… ผู้อานวยการโรงเรยี น ()
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136