Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลสินปุน

หนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลสินปุน

Published by roongaroon_roong, 2021-11-29 11:36:43

Description: หนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

Search

Read the Text Version

คำ นำ ผู้ เ ขี ย น ค ณ ะ วิ ศ ว ก ร สั ง ค ม ตำ บ ล สิ น ปุ น ไ ด้ จั ด ทำ ห นั ง สื อ ห นั ง สื อ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ชุ ม ช น ( ตำ บ ล สินปุน)ขึ้น เพื่อให้ประชาชน และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ใช้เป็นแนวทางในการศึกษาร่วมกัน กล่าวว่า หนังสือหนังสือประวัติศาสตร์ชุมชนมีการศึกษาเพื่อหาแนวทาง ใ น ก า ร พั ฒ น า แ บ บ มี ส่ ว น ร่ ว ม ข อ ง ป ร ะ ช า ช น ใ น พื้ น ที่ เ พื่ อ ร อ ง รั บ แ ล ะ เ ตี ร ย ม ค ว า ม พ ร้ อ ม จ า ก ก า ร ที่ มี ป ร ะ ช า ช น ทั้ ง ที่ เ ป็ น นั ก ท่ อ ง เ ที่ ย ว ที่ ม า เ ยี่ ย ม ช ม , นั ก เ รี ย น , นั ก ศึ ก ษ า ที่ ม า ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ตลอดจนการสร้างความภูมิใจในสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์และ อัตลักษณ์ของท้องถิ่น ทำให้เกิดการสืบทอดและปลุกจิตสำนึกให้เกิดความรักความ ห ว ง แ ห น แ ล ะ แ ส ว ง ห า แ น ว ท า ง ร่ ว ม กั น ใ น ก า ร จั ด ก า ร ปั ญ ห า อุ ป ส ร ร ค ที่ มี ผ ล ก ร ะ ท บ ใ น ด้ า น ต่ า ง ๆ ห า ก มี ค ว า ม ค ล า ด เ ค ลื่ อ น ใ น ถ้ อ ย คํ า ห รื อ ข้ อ ค ว า ม ข อ ง คู่ มื อ ป ร ะ ก า ร ใ ด ห รื อ ห า ก มี ข้ อ เ ส น อ แ น ะ ที่ จ ะ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ก า ร ป รั บ ป รุ ง แ ก้ ไ ข คณะวิศวกรสังคมตำบลสินปุน ได้ขอน้อมรับไว้ด้วยความยินดีและพร้อมที่จะปรับปรุง แ ก้ ไ ข เ พื่ อ ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง ส ม บู ร ณ์ ต่ อ ไ ป ค ณ ะ วิ ศ ว ก ร สั ง ค ม ตำ บ ล สิ น ปุ น

เรื่อง 2 3 คำนำ 4 สารบัญ 4 .ขนาดและที่ตั้ง 4 ลักษณะภูมิประเทศ 5 แม่น้ำสายสำคัญ 5 ภูมิอากาศ 5 ทรัพยากรธรรมชาติ 5 การคมนาคม 7 ประวัติความเป็นมาของชุมชน 8 11 ตำนานเรื่องเล่า 26 ปราชญ์ชาวบ้าน 27 โครงสร้างของชุมชน 30 โครงสร้างด้านเศรษฐกิจและอาชีพ 31 ความเชื่อ ประเพณี และพิ ธีกรรม สถาที่สำคัญ .การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรม การดำเนินงานโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบล 32 แบบบูรณาการ การพั ฒนาสัมมาชีพและสร้างอาชีพใหม่ (การยกระดับสินค้า 33 OTOP/อาชีพอื่นๆ) ส า ร บั ญ การสร้างและพั ฒนา Creative Economy (การยกระดับการ 35 ท่องเที่ยว) การนำองค์ความรู้ไปช่วยบริการชุมชน (Health Care/ 37 เทคโนโลยีด้านต่างๆ) การส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม/Circular Economy (การเพิ่ ม 38 รายได้หมุนเวียนให้แก่ชุมชน) อ้างอิง 39 ห นั ง สื อ ห นั ง สื อ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ ชุ ม ช น ตำ บ ล สิ น ปุ น

ขนาดและที่ตั้ง ตำบลสินปุน มีเนื้อที่ 68 ตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 42,500 ไร่ โดยพื้นที่บาง ส่วนประมาณ 625 ไร่ อยู่ในเขตป่าสงวน คลองสินปุน ทิศเหนือ ติดต่อตำบลอิปันอำเภอพระแสง และตำบลทุ่งหลวงอำเภอเวียงสระจังหวัด สุราษฎร์ธานี ทิศใต้ ติดต่อตำบลสินเจริญอำเภอ พระแสง และอำเภอชัยบุรี ทิศตะวันออก ติดต่อตำบลคลองฉนวน อำเภอเวียงสระ ทิศตะวันตก ติดต่อตำบลอิปั่ น และตำบล ไทรขึง อำเภอพระแสง ลักษณะภูมิประเทศ แม่น้ำสำคัญ สภาพโดยทั่วไปของตำบลสินปุน เป็นลูก แหล่งน้ำธรรมชาติ คลื่นลอดลาดถึงพื้นที่ราบลุ่มแม่น้ำ ในระดับ แม่น้ำตาปี 1 สาย คลองอิปัน 1 สาย ความสูงจากน้ำทะเล 80 เมตร และ 40 คลองกันหลา 1 สาย คลองหินปวน 1 สาย เมตร ลาดจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ลงมา คลองห้วยลึก 1 สาย ลำห้วย 18 สาย ยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือจดแม่น้ำตาปีซึ่ง บึง 4 สาย แบ่งเขตกับตำบลคลองฉนวนอำเภอ แหล่งน้ำที่สร้างขึ้น เวียงสระ ฝายน้ำล้น 6 แห่ง บ่อน้ำตื้น 102 แห่ง แต่พื้นที่ริมน้ำตาปีมีลักษณะเป็นคันดินกั้นใน บ่อบาดาล 12 แห่ง ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 53 เมตร ประปาหมู่บ้านแบบบาดาล ความจุ 12 ไปจรดคลองอิปันทางด้านทิศเหนือ ลูกบาศก์เมตร จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ม.6, ม.8 ซึ่งแบ่งเขตตำบลอิปันอำเภอพระแสง ประปาหมู่บ้านแบบบาดาล ความจุ 20 จึงทำให้มีลักษณะเป็นท้องกะทะ ดังนั้นสภาพ ลูกบาศก์เมตร จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ม.2, ม.3 พื้นที่จึงเหมาะสำหรับการทำนาในที่ลุ่มและ ,ม.6,ม.7 (2 แห่ง), ม.9 ปลูกพืชสวนพืชไร่ เช่น กาแฟ ยางพารา ประปาหมู่บ้านแบบผิวดินขนาดใหญ่ ความจุ ปาล์มน้ำมัน ผลไม้ต่าง ๆ ในที่ดอน 30 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ ม.1, ม.4 (ม.4 ครอบคลุม ม.3บางส่วน) ประปาหมู่บ้านแบบผิวดินขนาดใหญ่มาก ความ จุ 45 ลูกบาศก์เมตร จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ม.5 (ครอบคลุม ม.5, ม. 6, ม.8, ม.10และม.4 บางส่วน-ซอยสามพี่น้อง)

ภู มิ อ า ก า ศ ท รั พ ย า ก ร ธ ร ร ม ช า ติ ลั ก ษ ณ ะ ภู มิ อ า ก า ศ ข อ ง ตำ บ ล สิ น ป่ า ไ ม้ เ ข า ค่ า ย ห มู่ ที่ 7 , 9 ปุ น มี ลั ก ษ ณ ะ ร้ อ น ชื้ น มี ส ภ า พ ป่ า ห้ ว ย แ ม่ ชี ห มู่ ที่ 7 อ า ก า ศ เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง ต า ม ฤ ดู ก า ล ป่ า ชุ ม ช น , ป่ า อ นุ รั ก ษ์ ห มู่ ที่ 9 ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ส ภ า พ อ า ก า ศ 2 ฤ ดู ดั ง นี้ การคมนาคม ฤ ดู ร้ อ น เ ริ่ ม ตั้ ง แ ต่ ต้ น เ ดื อ น เ ม ษ า ย น ไ ป จ น ถึ ง ก ล า ง เ ดื อ น ทางหลวงชนบท 2 สาย พ ฤ ษ ภ า ค ม อ า ก า ศ ร้ อ น แ ล ะ แ ห้ ง ถ น น ล า ด ย า ง จำ น ว น 1 3 ส า ย แ ล้ ง ถ น น ลู ก รั ง เ ชื่ อ ม ต่ อ ร ะ ห ว่ า ง ฤ ดู ฝ น เ ริ่ ม ตั้ ง แ ต่ ป ล า ย เ ดื อ น ห มู่ บ้ า น 7 3 ส า ย พ ฤ ษ ภ า ค ม ถึ ง ต้ น เ ดื อ น ก ร ก ฎ า ค ม ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ชุ ม ช น ค ว า ม ห ม า ย คำ ว่ า “ สิ น ปุ น ” ต า ม คำ บ อ ก เ ล่ า ว่ า ม า จ า ก ค ล อ ง สิ น ปุ น เ นื่ อ ง จ า ก ตำ บ ล สิ น ปุ น มี พื้ น ที่ ติ ด กั บ ค ล อ ง ดั ง ก ล่ า ว แ ล ะ ใ น ส มั ย ก่ อ น ร า ษ ฎ ร ไ ด้ ใ ช้ ลำ ค ล อ ง นี้ ใ น ก า ร ค้ า ข า ย ส่ ง สิ น ค้ า แ ล ะ สั ญ จ ร ไ ป ม า สิ น ค้ า ต่ า ง ๆ ข อ ง ร า ษ ฎ ร จำ น ว น ม า ก ที่ ข น ส่ ง ท า ง เ รื อ ไ ด้ ป ะ ป น กั น ไ ม่ ส า ม า ร ถ แ ย ก ไ ด้ ว่ า ข อ ง ผู้ ใ ด เ นื่ อ ง จ า ก ค ว า ม ลำ บ า ก ใ น ก า ร ลำ เ ลี ย ง ท า ง ลำ ค ล อ ง จึ ง เ ป็ น ที่ ม า ข อ ง ชื่ อ ค ล อ ง สิ น ปุ น ไ ด้ เ พี้ ย น กั น ม า เ ป็ น ค ล อ ง สิ น ปุ น แ ล ะ เ มื่ อ ป ร ะ ม า ณ 1 0 0 ปี เ ศ ษ ท า ง ร า ช ก า ร ไ ด้ ตั้ ง ตำ บ ล สิ น ปุ น ต า ม ชื่ อ ข อ ง ค ล อ ง สิ น ปุ น ม า จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น อี ก นั ย ห นึ่ ง ส มั ย ก่ อ น ช า ว บ้ า น มี ท รั พ ย์ สิ น เ ห ลื อ เ ก็ บ แ ล ะ มี ค ว า ม ลำ บ า ก ใ น ก า ร รั ก ษ า เ นื่ อ ง จ า ก มี ผู้ ร้ า ย อ อ ก ม า ป ล้ น แ ย่ ง ชิ ง ท รั พ ย์ สิ น เ พื่ อ ค ว า ม ป ล อ ด ภั ย ใ น ก า ร เ ก็ บ รั ก ษ า ท รั พ ย์ สิ น เ ห ล่ า นั้ น จึ ง นำ ท รั พ ย์ สิ น ส่ ว น ห นึ่ ง ไ ป ฝ า ก ไ ว้ ที่ บ้ า น ข อ ง กำ นั ล เ นื่ อ ง จ า ก ใ น ส มั ย นั้ น ยั ง ไ ม่ มี ธ น า ค า ร กำ นั น ไ ด้ นำ ท รั พ ย์ สิ น ข อ ง ช า ว บ้ า น ม า ร ว ม กั น ไ ว้ ห รื อ ที่ เ รี ย ก ว่ า ป น เ มื่ อ ยิ่ ง น า น เ ข้ า ท รั พ ย์ สิ น ก็ มี ม า ก ขึ้ น จึ ง เ รี ย ก ท รั พ ย์ สิ น เ ห ล่ า นั้ น ว่ า สิ น ป น ร ว ม ทั้ ง ก า ร เ รี ย ก เ ป็ น ชื่ อ ข อ ง “ บ้ า น สิ น ป น ” น า น เ ข้ า จึ ง เ พี้ ย น กั น จ น ก ล า ย เ ป็ น ตำ บ ล สิ น ปุ น ใ น ปั จ จุ บั น ตำ บ ล สิ น ปุ น นั บ ไ ด้ ว่ า มี ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ห ล า ย ด้ า น ห นึ่ ง ใ น นั้ น คื อ ค ว า ม ป ร ะ ทั บ ใ จ แ ล ะ ก า ร ร ะ ลึ ก ถึ ง พ ร ะ ม ห า ก รุ ณ า ธิ คุ ณ อ ย่ า ง ห า ที่ สุ ด มิ ไ ด้ คื อ ใ น ค รั้ ง ที่ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า อ ยู่ หั ว ภู มิ พ ล อ ดุ ล ย เ ด ช ท ร ง เ ส ด็ จ ม า เ พื่ อ ป ร ะ ก อ บ พ ร ะ ร า ช ก ร ณี ย กิ จ ที่ อำ เ ภ อ พ ร ะ แ ส ง ถึ ง 4 ค รั้ ง ด้ ว ย กั น แ ล ะ ไ ด้ ท ร ง พ ร ะ ร า ช ท า น ร ถ แ ท ร ก เ ต อ ร์ บู เ ด อ ร์ เ ซ อ ร์ D 4 ใ ห้ กั บ อำ เ ภ อ พ ร ะ แ ส ง เ มื่ อ วั น ที่ 4 ตุ ล า ค ม 2 5 1 1 เ พื่ อ ใ ห้ ไ ว้ ใ ช้ ใ น ก า ร ก่ อ ส ร้ า ง ถ น น แ ล ะ ก า ร ตั ด ถ น น ท า ง ต่ า ง ๆ ซึ่ ง ตำ บ ล สิ น ปุ น ใ น ข ณ ะ นั้ น ไ ด้ รั บ ก า ร อ า นิ ส ง ส์ ใ น ก า ร ส ร้ า ง ถ น น ห ล า ย ส า ย โ ด ย เ ฉ พ า ะ ส า ย ตำ บ ล ส า ย สุ ข า ภิ บ า ล ย่ า น ดิ น แ ด ง ตำ บ ล สิ น เ จ ริ ญ ถื อ เ ป็ น จุ ด เ ริ่ ม ต้ น ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ด้ า น ก า ร ค ม น า ค ม เ ล ย ก็ ว่ า ไ ด้ ใ น ส มั ย ก่ อ น นั้ น ตำ บ ล สิ น ปุ น ใ ช้ ก า ร ค ม น า ค ม ท า ง น้ำ ก็ คื อ แ ม่ น้ำ ต า ปี นั่ น เ อ ง แ ม่ น้ำ ต า ปี มี ต้ น กำ เ นิ ด อ ยู่ ที่ จั ง ห วั ด น ค ร ศ รี ธ ร ร ม ร า ช

ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ชุ ม ช น ( ต่ อ ) แ ม่ น้ำ ต า ปี ถื อ เ ป็ น แ ม่ น้ำ ส า ย ห ลั ก ที่ ห ล่ อ เ ลี้ ย ง ชี วิ ต ค น แ ล ะ เ ป็ น เ ส้ น ท า ง ใ น ก า ร สั ญ จ ร ก ร ม น า ค ม โ ด ย ก า ร ใ ช้ เ รื อ ห า ง ย า ว ห รื อ เ รื อ เ ร็ ว ใ น ก า ร เ ดิ น ท า ง ไ ป ยั ง อำ เ ภ อ พ ร ะ แ ส ง แ ล ะ บ้ า น ด อ น อี ก ทั้ ง ยั ง มี ค ล อ ง อิ ปั น เ ป็ น ค ล อ ง ส า ข า ซึ่ ง มี ต้ น น้ำ อ ยู่ ที่ จั ง ห วั ด ก ร ะ บี่ โ ด ย ไ ห ล ม า บ ร ร จ บ กั บ แ ม่ น้ำ ต า ปี ถื อ เ ป็ น แ ห ล่ ง ที่ ม า ข อ ง ตำ น า น ต า ปี - อิ ปั น นั่ น เ อ ง แ ล ะ มี เ รื่ อ ง เ ล่ า สื บ ต่ อ กั น ม า ว่ า ใ น ส มั ย ก่ อ น มี ย า ย แ ก่ ค น ห นึ่ ง ชื่ อ ย า ย ปั น ไ ด้ อ า ศั ย เ รื อ ล่ อ ง ม า ท า ง แ ม่ น้ำ ต า ปี จ า ก ตำ บ ล ท่ า ข้ า ม อำ เ ภ อ พุ น พิ น ม า ถึ ง ป า ก แ ม่ น้ำ ค ล อ ง อิ ปั น ค น ใ น พื้ น ที่ เ รี ย ก ว่ า ป า ก ปั น ย า ย ปั น ก็ ถ า ม ว่ า ที่ นี่ คื อ ที่ ไ ห น น า ย ท้ า ย เ รื อ จึ ง บ อ ก ว่ า ค ล อ ง อิ ปั น ย า ย ปั่ น จึ ง บ อ ก ว่ า ข อ ล ง ที่ นี่ เ พ ร า ะ ที่ นี่ มี ชื่ อ ค ล้ อ ง กั บ ชื่ อ ข อ ง ย า ย ก่ อ น ล ง จ า ก เ รื อ ย า ย ปั น ไ ด้ ใ ห้ ข มิ้ น น า ย ท้ า ย เ รื อ 1 ก้ อ น เ พื่ อ เ ป็ น ค่ า ต อ บ แ ท น ซึ่ ง ว่ า กั น ว่ า ย า ย ปั น ไ ด้ ก ร ะ โ ด ด ล ง จ า ก เ รื อ แ ล้ ว ก ล า ย เ ป็ น จ ร ะ เ ข้ ตั ว ใ ห ญ่ แ ล้ ว ข มิ้ น ที่ ย า ย ปั น ใ ห้ ไ ว้ แ ท้ ที่ จ ริ ง แ ล้ ว เ ป็ น ท อ ง คำ นั่ น เ อ ง อี ก ห นึ่ ง ตำ น า น ที่ เ ล่ า ต่ อ กั น ม า เ มื่ อ วั น พ ร ะ 1 5 ค่ำ ด ว ง จั น ท ร์ เ ต็ ม ด ว ง จ ะ มี ก า ร สู้ ร บ ที่ เ ป็ น ตำ น า น ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร์ เ ป็ น ก า ร ต่ อ สู้ ค รั้ ง ยิ่ ง ใ ห ญ่ เ พื่ อ แ ย่ ง ชิ ง แ ม่ ศ รี วั น ท อ ง ห รื อ แ ม่ ย า ย ป า ก ปั น แ ม่ ศ รี วั น ท อ ง ไ ด้ แ ป ล ง ก า ย เ ป็ น ผู้ ห ญิ ง ที่ มี ร่ า ง ก า ย ที่ ส ว ย ส ง่ า แ ล ะ ง ด ง า ม ม า ก จึ ง ก่ อ ใ ห้ เ กิ ด ก า ร สู้ ร บ ร ะ ห ว่ า ง พ ญ า ท่ า ข้ า ม ที่ มี ร่ า ง ก า ย เ ป็ น จ ร ะ เ ข้ พ ร้ อ ม ด้ ว ย ส มุ น จ ร ะ เ ข้ น้ อ ย ใ ห ญ่ กั บ พ ร ะ ย า ย อ ด น้ำ ซึ่ ง มี ร่ า ง ก า ย เ ป็ น พ ญ า งู ใ ห ญ่ แ ล ะ มี บ ริ ว า ร เ ป็ น งู เ ล็ ก งู ใ ห ญ่ ต่ า ง ก็ ช่ ว ย กั น สู้ ร บ เ พื่ อ แ ย่ ง ชิ ง แ ม่ ศ รี วั น ท อ ง จ น ทำ ใ ห้ น้ำ ทั้ ง ค ล อ ง ขุ่ น แ ด ง เ ป็ น สี แ ด ง เ ลื อ ด ทั้ ง ค ล อ ง ต า ปี ก ล า ย เ ป็ น ที่ ม า ข อ ง ย่ า น ดิ น แ ด ง แ ล ะ ต า บี - อิ ปั น ซึ่ ง ใ น เ ว ล า ต่ อ ม า ทุ ก วั น พ ร ะ 1 5 ค่ำ ผู้ ค น ก็ จ ะ เ ห็ น แ ม่ ศ รี วั น ท อ ง ห รื อ แ ม่ ย า ย ป า ก ปั น ไ ด้ ป ร า ก ฎ ก า ย ใ ห้ ช า ว บ้ า น เ ห็ น แ ล ะ ไ ด้ เ ค า ร พ บู ช า ช า ว บ้ า น ใ น ล ะ แ ว ก นั้ น จึ ง ตั้ ง ศ า ล ใ ห้ ต่ อ ม า น า ย ส า ม า ร ถ ส วั ส ดิ ว ง ค์ ไ ด้ มี ก า ร บู ร ณ ศ า ล ใ ห้ ดู ดี ช า ว บ้ า น ไ ด้ ม า ก ร า บ ไ ห ว้ บู ช า จ น ถึ ง ปั จ จุ บั น

ตำนาน สำหรับตำนานเรื่องเล่าแม่ศรีขวัญนั้นเป็นชื่อของพญาจระเข้ซึ่งชาวบ้านนั้นรู้จักกัน เป็นอย่างดีและมีการพูดถึงแม่สีขวัญกันอยู่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งตำนานแม่ศรีขวัญ เรื่องเล่า นั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานีโดยชาวบ้านในสมัยโบราณต่างก็พูดเป็นเสียง เดียวกันว่าแม่ศรีขวัญนั้นไม่เคยทำร้ายหรือทำอะไรอันตรายชาวบ้านแต่อย่างใด มีตำนานเล่าขานเกี่ยวกับเรื่องแม่ศรีขวัญเอาไว้ว่าเมื่อครั้งหนึ่งนานมาแล้วนั้น มี พญางูยักษ์ตัวหนึ่งชื่อว่า พญายอดน้ำซึ่งเป็นพญางูขนาดใหญ่ที่อยู่ที่จังหวัดกระบี่ ตำ บ ล สิ น ปุ น อำ เ ภ อ พ ร ะ แ ส ง ซึ่งพญายอดน้ำได้มีการเดินทางมาจากจังหวัดกระบี่ เพื่อต้องการมาขอแต่งงาน จั ง ห วั ด สุ ร า ษ ฎ ร์ ธ า นี กับแม่ศรีขวัญซึ่งเป็นพญาจระเข้ที่จังหวัดสุราษฎร์ เนื่องจากว่าแม่ศรีขวัญนั้นเป็น พญาจระเข้ที่มีความงดงามมากนอกจากพญางู ยักษ์แล้วยังมีพญาจระเข้ตัวอื่ นๆ พื้นที่ลำน้ำตาปีตอนบน ในอดีตพื้นที่ ต่างก็พากันมาหลงรักแม่ศรีขวัญกันเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นก็คือพญาท่า บริเวณนี้เคยเป็นแขวงเมืองอยู่ภายใต้ ข้ามซึ่งเป็นพญาจระเข้ยักษ์ขนาดใหญ่ที่มาตกหลุมรักแม่ศรีขวัญเช่นเดียวกันเมื่อ การปกครองของเมืองนครศรีธรรมราช พญายอดน้ำรู้เรื่องก็เกิดความไม่พอใจ และด้วยความไม่พอใจนี่เองทำให้ทั้งคู่ทั้ง เรียกกันว่า “อำเภอลำพูน” โดยมีหลักฐาน พญายอดน้ำ และพญาท่าข้ามเกิดการทะเลาะกันและสู้รบกันเกิดขึ้นทำให้บาดเจ็บ เด่นชัด ปรากฏอยู่ในทำเนียบข้าราชการ ทั้งสองฝ่าย เลือดของทั้งสองฝ่ายนั้นหลั่งไหลลงในแม่น้ำแห่งนั้นจนแดงฉานไป นครศรีธรรมราชประมาณ ร.ศ. 116 (พ.ศ. หมดในที่สุดพญายอดน้ำก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้พญายอดน้ำ จึงได้มีการเลื้อยกลับบ้าน 2440) กล่าวถึง มีการจัดตั้งอำเภอใน ไปด้วยสภาพที่ร่างกายเปื้ อนเลือดเต็มไปหมดและเลือดนั้นก็ได้เปื้ อนตรงบริเวณ มณฑลนครศรีธรรมราชแบ่งการ แห่งนั้นจนเป็นสีแดงฉานจนทำให้พื้นที่แห่งนั้นถูกเรียกขานว่าบ้านย่านดินแดง ปกครองสมัยนั้นเป็น 9 อำเภอ ได้แก่ ซึ่งบริเวณนี้จะมีการสร้างศาลเจ้าแม่ศรีขวัญเอาไว้เพื่อให้ลูกหลานนั้น ระลึกถึงไว้ว่า อำเภอเมือง อำเภอเบี้ยซัด อำเภอ ตรงบริเวณแห่งนั้นเคยมีจระเข้อาศัยอยู่ซึ่งแม่น้ำที่ว่านี้ก็คือแม่น้ำตาปีนั่นเอง โดย ร่อนพิบูลย์ อำเภอกลาย อำเภอสิชล สมัยโบราณนั้นบริเวณแถวแม่น้ำตาปีจะมีจระเข้ชุกชมเป็นจำนวนมากแต่ในปัจจุบัน อำเภอพังไกร อำเภอทุ่งสง อำเภอฉวาง นี้ตรงบริเวณแม่น้ำตาปีนั้นไม่มีจระเข้อยู่แล้วแต่คนในสมัยโบราณก็ยังมีการสร้าง และอำเภอลำพูน (กนกวรรณ แก้วเกาะ ศาลของเจ้าแม่สีควรเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้กับลูกหลานรุ่นหลังได้ทราบ สะบ้า และอัจฉรา บุญเรือง. 2553) จน เกี่ยวกับที่มาที่ไปของลำน้ำแห่งนี้ กระทั่งต่อมาได้เปลี่ยนแปลงยกฐานะขึ้น อย่างไรก็ตามปัจจุบันพื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่ถึงแม้จะไม่มีจระเข้อยู่แล้ว แต่ประชาชน เป็นอำเภอต่างๆ คือ อำเภอพระแสง และ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวก็ยังพากันมาเคารพบูชากราบไหว้เจ้าแม่ศรี อำเภอเวียงสระ อำเภอเคียนซา อำเภอ สู่ขวัญเพื่อขอพรให้เจ้าแม่ศรีขวัญนั้นช่วยคุ้มครองมันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ และ หาก บ้านนาสาร และอำเภอบ้านนาเดิม ในช่วง ใครผ่านไปผ่านมาในบริเวณนั้นก็มักจะต้องพากันไปเคารพสักการะศาลเจ้าแม่ศรี ปี พ.ศ. 2440 ถึง ปี พ.ศ. 2449 ผู้คนที่ ขวัญกันทุกครั้งไป อพยพเข้ามาอาศัยอยู่กลุ่มแรกในบริเวณ ประวัติหานอ่างทอง (หานหมี) เกิดเป็นหานเมื่อหลายร้อยปีมาแล้วจากแม่น้ำตาปี พื้นที่นี้ส่วนใหญ่มาจากจังหวัด หรือ (แม่น้ำหลวง) ตั้งอยู่ที่บ้านวังอ่างทอง หมู่ 1 ตำบลสินปุน เกิดจากแม่น้ำหลวง นครศรีธรรมราช โดยล่องเรือมาตาม เปลี่ยนทางเดินถ้าเปลี่ยนทางเดินระยะสั้นๆ เรียกว่าหาน เช่น หานลำเจียก หาน ลำน้ำตาปี เมื่อเห็นว่าพื้นที่นี้มีความอุดม เพชร ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลกัน รวมทั้งหานหมี ถ้าแม่น้ำหลวงเปลี่ยนทางเดินใหม่เป็นระ สมบูรณ์ก็ จับจองพื้นที่ทำกินเพื่อตั้ง ยะยาวๆ เรียกว่า บอด ซึ่งเกิดเป็นหานและบอดจำนวนมาก เนื่องจากน้ำเปลี่ยนทาง ถิ่นฐาน สิ่งที่เล่าลือเกี่ยวกับการสัญจร เดินที่ลัดตรงกว่าบางแห่งมนุษย์สร้างให้เกิดเป็นบอด,หาน เพราะการเดินเรือใน ทางน้ำของบริเวณนี้ คือ ความดุร้ายและ สมัยนั้นต้องอาศัยแม่น้ำเพื่อร่นระยะทาง และเวลาเมื่อเกิดเป็นหานแล้วน้ำจะไม่ไหล ชุกชุมของจระเข้ ต่อมามีการสร้างถนน ผ่านบางฤดูแต่บางฤดูน้ำแม่น้ำตาปีหลากจะไหลผ่าน ซึ่งประโยชน์ของหานจะเป็นที่ เดินทางด้วยรถยนต์ ผู้คนจากพื้นที่ อื่นก็ ขยายพันธ์ปลาตามธรรมชาติ เพาะพันธ์ปลา รวมทั้งสัตว์น้ำ สัตว์บกมากมาย ทั้ง อพยพเข้ามาทำมาหากินและตั้งบ้านเรือน เพิ่มมากขึ้น ขยายเป็นชุมชนตามพื้นที่ ป่าไม้หลายร้อยชนิด ชุมชนที่ตั้งอยู่อาศัยใกล้เคียง ได้ใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มี ต่างๆ ดังเช่นปัจจุบันนี้ (ชวน เพชรแก้ว อยู่ทั้งหลาย ซึ่งชื่อหานทั้งหลายจะเรียกตามชื่อบ้านหรือพันธ์ไม้ หรือสัตว์ที่พบและ และคณะ. (2549). วรรณกรรมท้องถิ่น เรียกตามๆกันมา หานหมีเดิมเป็นที่อยู่อาศัยของหมีควาย เพราะมีอาหารอุดม ตามแนวลำน้ำตาปี. สุราษฎร์ธานี: สมบูรณ์มีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ ใกล้แม่น้ำตาปี 2 ด้าน อีกด้านติดกับชุมชน และ มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ) ถนนทางหลวงห่างจากที่วาการอำเภอพระแสง ประมาณ 1 กิโลเมตร และเป็นที่เกิด นิยาย แม่สีวันทอง,พญายอดน้ำ และ พญาท่าข้าม เคยเข้ามาอาศัยในหานหมีแห่งนี้ ปัจจุบันทางอำเภออนุญาตให้กรมประมงและกรมชลประทานเข้าพัฒนาโครงสร้าง เบื้องต้น เช่น ขุด ลอกพืชน้ำ และ นำปลาน้ำจืดปล่อยเพื่อขยายพันธ์ และ ได้เปลี่ยนชื่อหานหมีเป็นหานอ่างทอง ตามชื่อบ้าน จากที่ มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ทั้งปลา,ไม้,สัตว์บก ลิง ข่าง หมี จระเข้ แต่ถูกชุมชนบุรุกใช้ประโยชน์อย่างเดียวจึงไม่เหลือสิ่งเหล่านั้นคง เหลือแต่สถานที่ประมาณ 150 ไร่ เหมาะสมที่จะริเริ่มพัฒนาไว้เป็นมรดกของชุมชนต่อไป

ปราชญ์ ความคิดริเริ่ม ชาวบ้าน ก่อนที่จะหันมาทำสวนปาล์มน้ำมันอย่างจริงจังเช่น ในปัจจุบันนี้เดิมทีนายบุญนำพนารักษ์และภรรยา นายบุญนำ พนารักษรักษ์ ทํางานรับจ้างทั่วไปรับค่าแรงวันละ 29 บาท (พ.ศ. 2524) เป็นระยะเวลาประมาณ 5 ปีหลังจากนั้นก็ ประวัติ สมัครไปเป็นทหารพราน และเริ่มเก็บหอมรอมริบ จากเงินเดือนที่ได้รับในแต่ละเดือนจนในที่สุดก็ นายบุญนำ พนารักษ์ อายุ 51 ปี สามารถซื้อที่ดิน และปลูกสร้างสวนยางพาราเมื่อ ยางพาราได้รับผลผลิตก็ลาออกจากการเป็นทหาร เกิดเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2505 มีบิดาชื่อนายขอม พรานมาทำอาชีพสวนยางพารา และสะสมเงินซื้อ ที่ดินปลูกสร้างสวนยางพาราเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งแปลง พนารักษ์ และมารดาชื่อนางไม้ พนารักษ์ แต่เมื่อถึงเวลาต้องล้มยางพาราก็มีแนวคิดว่าถ้า ล้มยางพารา และปลูกยางพาราที่เดิมอีกกลัวว่าจะ การศึกษา ไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควรเกิดปัญหาเรื่องโรคราก ต่าง ๆ ที่รักษาไม่ได้อีกทั้งเรื่องผลผลิตจะต้องหยุด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านเมรัย กรีดในช่วงหน้าฝนและช่วงที่ยางพาราผลัดใบทำให้ ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 6 ตำบลสินปุน ไม่มีรายได้จึงหันมาปลูกปาล์มน้ำมันจนถึงทุกวันนี้ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผลงานและความสําเร็จ เบอร์โทรศัพท์ 086 279 7681 การประกอบอาชีพ การดูแลรักษาสวนปาล์มน้ำมันอย่างดีตั้งแต่เริ่ม สมรสกับ นางหนูเรียง พนารักษ์ เมื่อ ปี พ.ศ. 2522 เตรียมดินปลูกจนถึงปัจจุบันส่งผลต่อปริมาณ นำยบุญน ำ พนำรักษ์ ปัจจุบันครอบครอง ผลผลิตปาล์มน้ำมันของนายบุญนำพนารักษ์ มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ 1. เตรียมพื้นที่ปลูกโดยการปรับพื้นที่และตากดิน ที่ดินท ำกำรเกษตรทั้งหมด 66 ไร่ คือ ไว้เพื่อฆ่าเชื้อ นางสาววาสนา พนารักษ์ อายุ 32 ปี สำเร็จการศึกษา สวนปำล์มน ้ำมัน จ ำนวน 4 แปลง 2. ปักหลักขนาด 11 X 11 เมตรเพื่อคำนวณ คณะบริหารธุรกิจบัณฑิต (การบัญชี) จาก จำนวนต้นกล้าปาล์มน้ำมันที่จะต้องซื้อมาปลูก 3. ซื้อต้นกล้าปาล์มน้ำมันต้องเป็นปาล์มน้ำมัน มหาวิทยาลัยรามคำแหง เมื่อปี พ.ศ. 2548 พันธุ์ดีจากแหล่งที่เชื่อถือได้นายบุญนำพนารักษ์จะ เน้นเรื่องพันธุ์ปาล์มน้ำมันให้เกษตรกรที่สนใจเข้า นายพงษ์ศักดิ์ พนารักษ์ อายุ 30 ปี สำเร็จการศึกษา มาศึกษาดูงานว่าการทำสวนปาล์มน้ำมันให้ประสบ คณะนิติศาสตร์บัณฑิต จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ความสำเร็จนั้นต้องปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ดีควบคู่ กับการดูแลรักษาที่ดีส่วนสวนปาล์มของนายบุญนำ เมื่อปี พ.ศ. 2550 พนารักษ์นั้นปลูกปาล์มน้ำมันพันธุ์ลูกผสมเทเนอร่า DXP) ของ บริษัท ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) 4. ปลูกปาล์มน้ำมันโดยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยสูตร 0-3-0 ประมาณ 1 กำมือ / หลุมและใช้ตาข่ายล้อม รอบโคนต้นเพื่อป้องกันหนูกัดกินต้นปาล์มน้ำมัน 5. ในระยะแรกต้องหมั่นดูแลรักษาเป็นพิเศษโดย การกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอและใส่ปุ๋ยสูตร 15- 15-15 ปีละ 4 ครั้ง 6. ในปีที่ 2 ดูแลรักษาน้อยกว่าปีแรกส่วนการใส่ ปุ๋ยเหมือนเดิมคือใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในอัตรา 0.5 กก. / ต้นปีละ 4 ครั้ง 7. ในปีที่ 3 ปาล์มน้ำมันจะเริ่มให้ผลผลิตที่สามารถ ขายได้จึงต้องทำการตัดแต่งทางใบใส่ปุ๋ยสูตร 13- 2-35 ในอัตรา 1 กก. / ต้นปีละ 4 ครั้ง 8. ในปีที่ 4 ทางใบปาล์มน้ำมันแต่ละต้นจะเริ่มชน กันวัชพืชจึงน้อยลงควรกำจัดปีละ 1 ครั้งตัดแต่ง ทางใบปีละ 1 ครั้งใส่ปุ๋ยสูตร 13-2-35 ในอัตรา 1 กก. / ต้นปีละ 4 ครั้ง 9. ปัจจุบันปาล์มน้ำมันเข้าสู่ปีที่ 5 ให้ผลผลิตมาก การดูแลรักษาเหมือนกับปีที่ 4 และหมั่นสังเกต อาการขาดธาตุของปาล์มน้ำมันถ้าขาดธาตุตัวไหนก็ ใส่ตามที่ขาด จากการปฏิบัติตามที่กล่าวมาข้างต้นทำให้ได้ ผลผลิตเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรและหน่วยงาน ต่างๆในการเข้ามาศึกษาดูงานเป็นแบบอย่างในการ ปลูกสร้างสวนปาล์มน้ำมันและได้รับรางวัลชนะเลิศ อันดับที่ 2 จากการประกวดปาล์มน้ำมันงาน มหกรรมพระแสงรำลึกและกิ่งกาชาดเมื่อปี พ.ศ. 2555

ปราชญ์ เข้าร่วมโครงการ RSPO ได้ขยายผลโดยการเป็นวิทยากรให้ความรู้ด้าน ชาวบ้าน(ต่อ) ปาล์มน้ำมันแก่เกษตรกรที่เข้ามาศึกษาดูงาน ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการเพิ่มประสิทธิภาพ นายบุญนำ พนารักษรักษ์ และผลผลิตปาล์มน้ำมันนำร่อง จังหวัด สุราษฎร์ธานี จากสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตร เขตที่ 7 (สวพ.7) กรมวิชาการเกษตร ด้วยควำมรักเเละภูมิใจในอำชีพเกษตรกร อีกทั้งมี ควำมขยันหมั่นเพียร กระตือรือร้นในกำร ท ำงำน นอกจำกปำล์มเเละน ้ำมันที่เป็นรำยได้หลักเเล้ว ยัง ปลูกพืชผักสวนครัวไว้ในบริเวณบ้ำน เพื่อ บริโภค เเละจ ำหน่ำย เป็นกำรประหยัดค่ำใช้จ่ำยเเละเพิ่ม รำยได้ท ำให้รำยได้ปัจจุบันมีรำยได้มำกกว่ำ รำยจ่ำย ผลงานและความสําเร็จ (ต่อ) ความยั่งยืนในอาชีพ ความเป็นผู้นำเเละการเสียสละ ผลผลิตปำล์มน ้ำมัน ได้รับรำงวัล ชนะเลิศ ปี พ.ศ. 2524 เริ่มปลูกยางพารา พันธุ์ RRIM กำรทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม อันดับที่ 2 จำกกำรประกวดปำล์มน ้ำมันงำนม จำนวน 35 ไร่ ที่ หมู่ที่ 6 ตำบลสินปุน อำเภอ เป็นวิทยากรเรื่องกำรจัดกำรสวนปำล์มน ้ำมันเพื่อ หกรรม พระแสงร ำลึกและกิ่งกำชำด เมื่อปี พ.ศ. พระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพิ่มผลผลิตให้เเก่เกษตรกรเเละหน่วยงำนที่ สนใจ 2555 (ปลูกเมื่อปี 2550) ปี พ.ศ. 2537 ซื้อที่ดินว่างเปล่า เริ่มปลูกปาล์ม น้ำมัน จำนวน 15 ไร่ ที่ หมู่ที่ 6 ตำบลสินปุน ใช้สวนปำล์มน้ำมันของตนเองเป็นจุดถ่ายทอด มีกำรผลิตที่ถูกต้องตำมหลักกำรเกษตรที่ดีและ อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เทคโนโลยีต่ำงๆ ด้ำนกำรจัดกำรสวนปำล์มน้ำมัน เหมำะสม (GAP) - ลดกำรใช้สำรเคมีปรำบศัตรู ปี พ.ศ. 2538 ซื้อที่ดินว่างเปล่า ปลูกปาล์มน้ำมัน เพื่อเพิ่มผลผลิต พืชและวัชพืช - ใช้ระบบกำรตัดหญ้ำ - เก็บเกี่ยว จำนวน 18 ไร่ ที่ หมู่ที่ 6 ตำบลสินปุน อำเภอ ผลผลิตที่มีคุณภำพ เช่น ปำล์มน ้ำมันที่สุกเพื่อ พระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับสำนักงานเกษตรอำเภอพระเเสงในงาน ให้ได้รำคำที่สูงขึ้น ปี พ.ศ.2545 ปลูกยางพารา จำนวน 11 ไร่ ที่ หมู่ สำคัญต่ำงๆ เช่น งานมหกรรมพระเเสง ที่ 6 ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัด รำลึกเเละกิ่งกาชาด, ของอำเภอพระเเสง สุราษฎร์ธานี งานคลินิกเกษตรเคลื่อนที่ฯ ของอำเภอพระเเสง ปี พ.ศ.2550 ล้มยางพารา แปลงที่ปลูกเมื่อปี เเละอำเภอบ้านนาเดิม พ.ศ.2524 จำนวน 35 ไร่ ปลูกปาล์มน้ำมัน พันธุ์ ลูกผสมเทเนอร่า (DxP) จากบริษัทยูนิวานิช ยินดีช่วยเหลือหน่วยงานราชการ เเละผู้ที่ขอความ น้ำมันปาล์ม จำกัด มหาชน จำนวน 435 ต้น ช่วยเหลืออย่ำงเต็มที่เเละเต็มใจ ได้รับรางวัล ชนะเลิศ อันดับที่ 2 จากการประกวด ปาล์มน้ำมัน งานมหกรรมพระแสงรำลึกและกิ่ง กาชาด เมื่อปี พ.ศ. 2555 (ปลูกเมื่อปี 2550) เป็นเกษตรกรคนเก่งของ ธกส. เมื่อ ปี พ.ศ.2547

ปราชญ์ การอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมใน ด้านต่างๆ ชาวบ้าน(ต่อ) นายบุญนำ พนารักษรักษ์ ความเป็นผู้นำเเละการเสียสละ (ต่อ) เป็นผู้นำ เป็นสมาชิกอาสาสมัครรักษาความสงบหมู่บ้าน เป็นกรรมกำรหมู่บ้านผู้ทรงคุณวุฒิ 4.3 บุคลิกภาพความน่าเชื่อถือและจริยธรรม เป็นจริงใจตรงไปตรงมา ขยันหมั่นเพียร เป็นผู้ที่มีครอบครัวที่อบอุ่นและลูก ๆ ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งเสพติด เป็นผู้ที่ไม่เล่นการพนัน พื้นที่สวน มีเอกสำรสิทธิ์ในที่ดิน ปลูกต้นไม้แซมในแปลงปาล์มน้ำมัน พื้นที่บริเวณบ้านพักอาศัย มีการปลูกผักสวนครัวปลอดสารเพื่อเป็นการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้อม และสมาชิกในครอบครัวได้กิน ผัก ปลอดสารเพื่อสุขภาพที่ดี

โ ค ร ง ส ร้ า ง ข อ ง ชุ ม ช น ทำ เ นี ย บ ผู้ บ ริ ห า ร อ ง ค์ ก า ร บ ริ ห า ร ส่ ว น ตำ บ ล สิ น ปุ น นายสายชล ด้วงเพชร ประธานกรรมการบริหาร ปี พ.ศ. 2539 - 2540 นายอรุณ อุบลกาญจน์ ประธานกรรมการบริหาร ปี พ.ศ. 2540 - 2541 นายสถาพร คงสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร ปี พ.ศ. 2541 - 2543 นายสัจจา อนุภักดิ์ ประธานกรรมการบริหาร ปี พ.ศ. 2543 - 2546 นายภาคภูมิ ติณพั นธ์ ประธานกรรมการบริหาร ปี พ.ศ. 2546 - 2546 นายภาคภูมิ ติณพั นธ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปี พ.ศ. 2547 - 2547 นายอรุณ อุบลกาญจน์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปี พ.ศ. 2547 - 2555 นายภาคภูมิ ติณพั นธ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล ปี พ.ศ. 2555 - ปัจจุบัน ทำ เ นี ย บ ป ร ะ ธ า น ส ภ า อ ง ค์ ก า ร บ ริ ห า ร ส่ ว น ตำ บ ล สิ น ปุ น น า ย สั จ จ า นุ ภั ก ดิ์ ปีพ.ศ. 2539 - 2543 น า ย อำ น ว ย บุ ญ แ น บ ปีพ.ศ. 2543 - 2547 น า ย สุ เ ม ต ต า ชั ย สิ ท ธิ์ ปีพ.ศ. 2547 - 2551 นายสาทร ค ง ส กู ล ปีพ.ศ. 2551 - 2555 น า ย ม า โ น ช ญ์ ส น ธิ ช่ ว ย ปีพ.ศ. 2555 - 2558 น า ย ว สั น ต์ ปีพ.ศ. 2558 - ปัจจุบัน ศ รี น้ อ ย ทำ เ นี ย บ ป ลั ด อ ง ค์ ก า ร บ ริ ห า ร ส่ ว น ตำ บ ล สิ น ปุ น น า ย ณ รั ง ส ร ร ค์ อินทร์ณรงค์ ปีพ.ศ. 2539 - 2543 น า ย ท วี ศั ก ดิ์ น า ย ม น ต รี ท อ ง อิ น ท ร์ ปีพ.ศ. 2543 - 2552 นายทศพร น า ย เ ศ ก สิ ท ธิ์ ทองรอด ปีพ.ศ. 2552 - 2553 จารุพั นธุเศรษฐ์ ปีพ.ศ. 2554 - 2562 ศ รี สำ ร า ญ ปีพ.ศ. 2562 - ปัจจุบัน

ด้านการปกครอง ในปัจจุบันการปกครองถูกแบ่งเป็น 10 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 1 บ้านโคกมะม่วง หมู่ที่ 1 บ้านโคกมะม่วง ประกอบด้วย 3 บ้าน ได้แก่ บ้านโคกมะม่วง ในสมัยที่มีผู้คนมาตั้งรกรากอยู่บริเวณบ้านโคกมะม่วงนั้น คนเฒ่าคน แก่เล่าว่า มีต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง ขนาดประมาณ 8 คนโอบ และบริเวณพื้นที่แถวนั้น ก็เป็นพื้นที่โคก (ดอน) เหมาะสำหรับตั้งบ้าน เรือนชาวบ้านจึงเรียกชุมชน แห่งนี้ว่า \"บ้านโคกมะม่วง\" อันหมายถึง โคกที่มีต้นมะม่วงต้นใหญ่อยู่ บ้านเสืออูม ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน ทองสินธ์ เลิศไกร ในยุคแรก ๆ ที่มีผู้คนเข้ามาอยู่อาศัยในละแวกนี้นั้นยังค่อนข้างเป็นป่า 1. นายนุ่ม ไชยเพชร อยู่ และบ่อยครั้งที่ชาวบ้านจะเห็นเสือเดินเพ่นพ่าน และทุกคืนชาวบ้าน 2. กำนันขอม ชุมทอง จะได้ยินเสียงเสือร้องคำรามจากเสียงร้องดังอูม ๆ ชาวบ้านจึงเรียก 3. กำนันประสิทธิ์ สวัสดิวงศ์ ชุมชนแห่งนี้ว่า \"บ้านเสืออูม\" อันหมายถึง เสียงร้องของเสือ 4. นายสำนวน เนาวพันธ์ 5. กำนันศิลปชัย บ้านอ่างทอง 6. นายสุเทพ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันมาว่า บริเวณพื้นที่หานอ่างทองในปัจจุบันนั้น เมื่อก่อนมีลักษณะเป็นแหล่งน้ำที่คล้ายอ่างใบใหญ่ ที่อุดมสมบูรณ์ไป ด้วยสัตว์ป่าและพืชพรรณไม้ โดยเฉพาะหาดทรายที่ล้อมรอบอ่างนั้นมี ความสวยงามมาก ยามที่แสงแดดสาดส่องผืนหาดทรายก็จะสะท้อน เป็นสีทอง ชาวบ้านเลยเรียกชุมชนที่ล้อมรอบอ่างนั้นว่า \"บ้าน อ่างทอง\"อันหมายถึงอ่างน้ำที่มีทรายเป็นสีทอง

ด้านการปกครอง ในปัจจุบันการปกครองถูกแบ่งเป็น 10 หมู่บ้าน (ต่อ) หมู่ที่ 2 บ้านกันหลา ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 2 บ้านกันหลา ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ 1. ขุนผจญ โจรสยอง 2. นายครื้น นวลนึก บ้านกันหลา 3. นายรุ่น ทรงแก้ว 4. นายสำรวม ชุมทอง เล่ากันว่าในสมัยก่อน การที่จะติดต่อกับชุมชนต่าง ๆ จะใช้วิธีสัญจร 5. นายวิ ชาติทอง ทางน้ำ เป็นส่วนใหญ่ การนำเงินบำรุงท้องที่หรือสิ่งของจากทาง 6. นายสัจจา อนุภักดิ์ ราชการมาสู่ชุมชนชนบทก็จะใช้เส้นทางน้ำด้วย ดังนั้นผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่า 7. นายเกรียงศักดิ์ แก้วสกุลทอง ในสมัยนั้นจะมีการกักหรือกันสิ่งของจากทางราชการที่เข้ามาไว้ส่วน 8. นายประเสริฐ เลิศไกร หนึ่ง 9. นายธานินท์ ช่วยบำรุง 10. นายธวัชชัย ถาวร ก่อนที่จะนำของขึ้นจากเรือ สถานที่กันสิ่งของคือศาลาท่าน้ำฝั่ ง แม่น้ำตาปีหรือภาษาปักษ์ใต้เรียกว่า\"หลา\" (คือบริเวณท่าน้ำวัดกันหลา ในปัจจุบัน) ชาวบ้านเลยเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า \"บ้านกันหลา\" อันหมาย ถึงการกันสิ่งของที่ศาลาท่าน้ำก่อนนำไปสู่ชุมชน หมู่ที่ 3 บ้านบางไผ่ ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 3 บ้านบางไผ่ ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ 1. นายนิพนธ์ ยี่สุ่น 2. กำนันปรีชา สีนวลแก้ว บ้านบางไผ่ 3. นายชำนาญ สุขบุญทอง ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าว่าในช่วงที่มีการตั้งรกรากในชุมชนนี้นั้นพื้นที่เดิมเป็น บางน้ำใหญ่ที่เชื่อมต่อกับคลองอิปัน ตลอดบางน้ำจะมีต้นไผ่ขึ้นหนา แน่น ชาวบ้านกลุ่มแรกที่มาตั้งรกรากจึงเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า \"บ้าน บางไผ่\" อันหมายถึงบางน้ำที่มีไผ่ขึ้นหนาแน่น หมู่ที่ 4 บ้านควนมหาชัย หมู่ที่ 4 บ้านควนมหาชัย ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ บ้านควนมหาชัย ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน มีผู้รู้ท่านหนึ่งเล่าว่าพื้นที่เดิมของบ้านควนมหาชัย เคยเป็นสนามรบ 1. นายสำรวม ชุมทอง ครั้งกรุงศรีอยุธยา ยกทัพไปปราบหัวเมืองทางใต้ที่แข็งข้อ กองทัพได้ 2. นายอุดม เรืองชุม ยกมาถึงบริเวณนี้และมีการรบกันยาวนาน ในที่สุดกองทัพของกรุง 3. นายเชื้อ ถิ่นสะท้อน ศรีอยุธยาเป็นผู้ชนะ และได้กวาดเก็บทรัพย์สินไว้ ซึ่งทรัพย์สินเหล่านั้น 4. นายประโลม อินสุวรรณ์ ได้มีการแบ่งกันที่สามพันส่วนหนึ่งที่ อิปันส่วนหนึ่ง และส่วนหนึ่งนำ 5. นายนิคม อินสุวรรณ์ ไปถวายวัดไชยาจึงเรียกชุมชนบริเวณสนามรบนั้นว่า \"บ้านควน 6. นางสำราญ อินสุวรรณ์ มหาชัย\" อันหมายถึงการรบชนะที่ยิ่งใหญ่

ด้านการปกครอง ในปัจจุบันการปกครองถูกแบ่งเป็น 10 หมู่บ้าน (ต่อ) หมู่ที่ 5 บ้านเมรัย ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 5 บ้านเมรัย ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ 1. นายมานพ เกื้อหนุน 2. นายสร้าง สำลีพันธ์ บ้านเมรัย 3. นายมงคล สนธิช่วย 4. นายมานิตย์ เกื้อหนุน เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสหัวเมืองทางใต้โดยพระองค์ได้เสด็จทางชลมารคผ่าน 5. นายธรรมศักดิ์ สนธิช่วย ลำน้ำแม่น้ำตาปี และทรงขึ้นฝั่ งที่ตำบลท่าข้าม ซึ่งบ้านเมรัยเป็นเส้นทางที่จะมีขบวนเสด็จ ผ่านโดยก่อนที่จะมีขบวนเสด็จผ่านนั้น ทางราชการได้ป่าวประกาศให้นายบ้าน (กำนัน ได้ เกณฑ์ไพร่ พล) เพื่อทำความสะอาดสองฟากตลิ่งให้ดูสะอาดและสวยงาม ซึ่งชาวบ้านใน ชุมชนนี้ได้ช่วยกันอย่างแข็งชันและพร้อมเพรียงกัน จนพิธีรับขบวนเสด็จผ่านไปด้วยดี ซึ่ง ทางราชการเล็งเห็นว่านายบ้านได้ทำงานอย่างดี และชาวบ้านมีความพร้อมเพรียงกันจึงได้ มีการแต่งตั้งกำนันในสมัยนั้น เป็น \"ขุนสนิทสินปุนชน\" เพื่อเป็นการยกย่องชาวตำบลสิน ปุน อนึ่งในระหว่างที่มีการทำงานเพื่อเตรียมรับขบวนเสด็จนั้น ได้มีการต้มเหล้ากันที่หาด ทรายริมแม่น้ำตาปี ซึ่งต่อมาเรียก \"หาดเมรัย\"และเรียกชุมชนหาดเมรัยว่า \"บ้านเมรัย\" หมู่ที่ 6 บ้านปลายคลอง หมู่ที่ 6 บ้านปลายคลอง ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ บ้านปลายคลอง ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน บริเวณที่ตั้งหมู่บ้านของที่นี่ จะมีคลองหินป่วนไหลผ่าน และเป็นคลองที่เป็นแหล่งน้ำ 1. นายหลา สารภี สำหรับการอุปโภคบริโภคของชุมชน แต่เนื่องจากชุมชนแห่งนี้ตั้งอยู่เกือบจะสุดปลายข 2. นายวิชัย ช่างคิด องคลองหินป่วน ชาวบ้านจึงเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า \"บ้านปลายคลอง\"อันหมายถึง ชุมชนที่ 3. นายบำรุง ทองดารา ตั้งอยู่ปลายคลองหินป่วน 4. นายอภิชัย แสงสม หมู่ที่ 7 บ้านคลองน้ำเย็น ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 7 บ้านคลองน้ำเย็น ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ 1. นายจำรัส สโมสร 2. กำนันสายชล ท้วงเพชร บ้านคลองน้ำเย็น 3. นายจิรวัฒน์ เนาวกุล บ้านคลองน้ำเย็น บริเวณสภาพพื้นที่ตั้งชุมชนของที่นี่นั้น จะมีลำน้ำ ลำห้วยและใกล้ภูเขา ค่าย ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำที่สำคัญของที่นี่ และที่สำคัญ ที่นี่จะมีภูมิอากาศค่อนข้างเย็นและมี ลำน้ำที่ไหลเย็นตลอดทั้งปี ชาวบ้าน จึงเรียกชุมชนแห่งนี้ว่า “บ้านคลองน้ำเย็น” อันหมาย ถึงลำน้ำที่ไหลเย็น

ด้านการปกครอง ในปัจจุบันการปกครองถูกแบ่งเป็น 10 หมู่บ้าน (ต่อ) หมู่ที่ 8 บ้านควนนิยม หมู่ที่ 8 บ้านควนนิยม ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ บ้านควนนิยม บ้านควนนิยม ชุมชนแห่งนี้ ชาวบ้านส่วนใหญ่อพยพ มาจากต่างถิ่น ไม่ว่าจะเป็น ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน จังหวัดพัทลุง กระบี่ และนครศรีธรรมราช ซึ่งในสมัยแรก ๆ ที่มีการตั้งรกราก นั้น สภาพพื้นที่ค่อนข้างกันดาร เวลาจะเรียนหนังสือต้องเดินทางไปศึกษาที่ 1. นายเจิม แก้วเกื้อ โรงเรียนเมรัยและ บ่อยครั้งที่บ้านเมรัยและโรงเรียนเมรัยมีงานจะขอความช่วย 2. กำนันประสิทธิ์ คงใหม่ เหลือ จากคนที่นี่ ซึ่งคนที่นี่ให้ความร่วมมือและเต็มใจช่วยเหลือ อย่างขยันขัน 3. นายนิยม ณะคงค์ แข็ง ซึ่งหลังจากมีการแยกหมู่บ้าน จากหมู่ 5 และหมู่ 8 อาจารย์ประยูร ประธาน ชวโน ได้ขออนุญาตกำนันในการตั้งชื่อ หมู่บ้านเพื่อยกย่องคุณความดีของชาว บ้านที่นี่ ให้ชื่อว่า “บ้านควนนิยม” อันหมายถึง การชื่นชมยกย่องชาวชุมชนทีมี ที่ตั้งบนเนิน (ควน) หมู่ที่ 9 บ้านเพชรเขาค่าย หมู่ที่ 9 บ้านเพชรเขาค่าย ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ บ้านเพชรเขาค่าย ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน บ้านเพชรเขาค่าย ประมาณ 30 ปีที่แล้ว บริเวณนี้ เป็นที่อยู่ของ ขบวนการคอมมิวนิสต์ 1. นายประมวล ปานสุวรรณ ซึ่งได้มาตั้งค่ายบริเวณนี้ ซึ่งมีลักษณะเป็นป่าและภูเขา ต่อมาได้มีชาวบ้านเริ่มเข้ามา จับจองพื้นที่ทำมาหากินมากขึ้นจึงเรียกว่า เขาค่าย และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ เป็น “บ้าน 2. นายประยูร แคล้วแก้ว เพชรเขาค่าย” อันหมายถึง ภูเขาอันเป็นค่ายขบวนการ – คอมมิวนิสต์ 3. นายพิทักษ์ สุวรรณฉิม หมู่ที่ 10 บ้านโคกตะไคร้ ทำเนียบผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 10 บ้านโคกตะไคร้ ประกอบด้วย 1 บ้าน ได้แก่ 1. นายนุกูล คหวงษ์ 2. นายธานินท์ นิลอุปถัม บ้านโคกตะไคร้ 3. นายนิกร ช่างคิด บ้านโคกตะไคร้ ในสมัยที่มีการตั้งถิ่นฐานนั้น ชาวบ้าน กลุ่มแรกที่เข้ามาอยู่อาศัยบอกว่า ตอนมาใหม่ ๆ จะเห็นพื้นที่ ของที่นี่ปกคลุมเต็มไปด้วยตะไคร้เยอะมาก แต่พอเข้าไปใกล้ จึง เห็นว่าไม่ใช่ตะไคร้แต่เป็นหญ้าคา ก็เลยมีการเรียกชุมชนนี้ว่า “บ้านโคกตะไคร้” อันหมาย ถึง พื้นที่ที่ปกคลุมด้วยตะไคร้

ด้านประชนกร ผู้ชายจำนวน 3,692 คน , ผู้หญิงจำนวน 3,723 คน รวม 7,415 คน ด้านการศึกษา โรงเรียนบ้านโคกมะม่วง ตั้งอยู่หมู่ที่ 1 ตำบลสินปูน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2511 โดยประชาชนรวมกันจัดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก โดยทำการรวมนักเรียนจากโรงเรียนบ้านไผ่ปูน และ โรงเรียนวัดกันหลาเข้าด้วยกัน มีพื้นที่ทั้งหมด 2 แปลง แปลงที่ 1 เนื้อที่ 50 ไร่ - ตารางวา เป็นที่ตั้งโรงเรียน ปัจจุบัน แปลงที่ 2 เนื้อที่ 50 ไร่ เป็นแปลงสาธิตการเกษตร ห่างจากที่ว่าการอำเภอพระแสง ประมาณ 4 กิโลเมตร ห่างจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 1 ประมาณ 19 กิโลเมตร และห่างจาก ศาลา กลางจังหวัดสุราษฎร์ธานีประมาณ 80 กิโลเมตร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2511 ปัจจุบันเปิดสอนตั้งแต่ชั้น อนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓3เป็นโรงเรียนขนาดกลาง มีอาคารเรียนและอาคารประกอบดังนี้ อาคารเรียน 5 หลัง อาคารเอนกประสงค์ 1 หลัง (ใช้เป็นศูนย์ราชการโรงเรียนบ้านโคกมะม่วง) บ้านพักครู 3 หลัง ส้วมสุขสันต์ 2 หลัง โรงอาหาร 1 หลัง ปัจจุบันมีนักเรียนทั้งหมด 252 คน (10 มิถุนายน 2554) จัดแบ่งโครงสร้าง การบริหารงาน ของโรงเรียนเป็น 4 กลุ่มงาน คือ กลุ่มบริหารวิชาการ กลุ่มแผนงานและงบประมาณ กลุ่มบริหาร งานบุคคล และ กลุ่มบริหารงานทั่วไป โรงเรียนบ้านโคกมะม่วง บริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ศูนย์รวมเทคโนโลยี ครูนักเรียนมีมาตรฐาน สืบสาน วัฒนธรรม งามระเบียบ มีวินัย บรรยากาศสดใส เกษตรทฤษฎีใหม่แบบพอเพียง

ด้านการศึกษา (ต่อ) โรงเรียนบ้านโคกมะม่วง พันธกิจ เป้าหมายโรงเรียนบ้านโคกมะม่วง 1. พัฒนาศักยภาพของบุคลากรในทุก ๆ ด้าน 2. จัดการศึกษาสำหรับเด็กวัยเรียนอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ สามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันและการศึกษา ต่อระดับสูงได้ 3. เน้นความรู้ คุณธรรมให้เกิดแก่ผู้เรียน ผู้เรียนมีจิตสำนึกของความเป็นไทยรักศิลปะวัฒนธรรมขนบธรรมเนียม ประเพณีท้องถิ่นอันดีงาม 4. พัฒนาการเรียนการสอนทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ให้ได้มาตรฐานของหลักสูตร ตามความต้องการ ของท้องถิ่น 5. ส่งเสริม สนับสนุนให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และ ปัญญาท้องถิ่น 6. พัฒนาสภาพภูมิทัศน์ภายในโรงเรียน ให้สะอาด ร่มรื่น สดชื่น สวยงามและปลอดภัย 7. พัฒนาสื่อเทคโนโยลีสารสนเทศ และนวัตกรรมให้เกิดประสิทธิภาพต่อการบริหาร และจัดการเรียนการสอน 8. เร่งพัฒนาระบบนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล และรายงานผลให้มีคุณภาพ 9. ส่งเสริมสวัสดิการของบุคลากรเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 10. ระดมทรัพยากรภายในท้องถิ่นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เป้าหมาย 1. มีหลักสูตรที่สอดคล้องกับสภาพปัญหา ความต้องการของผู้เรียนชุมชน และเป็นไปตามพระราชบัญญัติการ ศึกษา พุทธศักราช 2542 2. นักเรียนทุกคนได้รับการพัฒนาตามศักยภาพ และตามเกณฑ์มาตรฐานการศึกษา 3. ครูและบุคลากรทางการศึกษามีขวัญและกำลังใจและมีศักยภาพมาตรฐานการศึกษา 4. โรงเรียนมีสื่อการเรียนการสอนอย่างหลากหลายและเพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน 5. มีระบบข้อมูลสารสนเทศเพื่อให้บริการต่อครู บุคลการนักเรียน และขุมชน 6. โรงเรียนมีระบบประกันคุณภาพภายในเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา 7. มีอหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่นเพียงพอต่อการเรียนการสอน 8. ส่งเสริมให้มีการระดมทรัพยากรในท้องถิ่นเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 9. คณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับพัฒนาความรู้ความเข้าใจในบทบาทหน้าที่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างมี ประสิทธิภาพ 10. ภาครัฐ เอกชน และชุมชนให้การสนับสนุนการจัดการศึกษาโดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน

ด้านการศึกษา (ต่อ) โรงเรียนบ้านโคกมะม่วง ทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนบ้านโคกมะม่วง

ด้านการศึกษา (ต่อ) โรงเรียนบ้านควนนิยม ตั้งอยู่เลขที่ 99/9 หมุ่ที่ 8 ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดสอนตั้งแต่ระดับอนุบาล 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เนื้อที่ 28 ไร่ ประวัติโดยย่อ โรงเรียนบ้านควนนิยม ก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2517 เป็นสาขาของโรงเรียนบ้านแม่ไร โดยอาคาร สร้างเป็นชั่วคราว แบบ ป.1 ก พิเศษ 2 ห้องเรียน ขนาดกว้าง 6 เมตร ลักษณะเป็นเสาไม้ พื้นดิน ไม่มีฝากั้น ตั้งอยู่ บนพื้นที่ 25 ไร่ กว้าง 5 เส้น ยาว 5 เส้น ทางทิศตะวันออก ถนนพระแสง – ทุ่งใหญ่ ทิศตะวันตกติดวัด มีนายเจิม แก้วเกื้อ เป็นผู้ริเริ่มในการจัดตั้งร่วมด้วยราษฎร ในหมู่บ้านควนนิยมโดยร่วมกันบริจาคที่ดินวัสดุอุปกรณ์ ค่าแรง งานคิดเป้นทั้งหมด 35,500 บาท มีผู้บริจาคที่ดินให้โรงเรียนดังนี้ 1. นายเจิม แก้วเกื้อ บริจาคที่ดิน จำนวน 9 ไร่ 2. นายปลอด หนูขาว บริจาคที่ดิน จำนวน 8 ไร่ 3. นายประเสริฐ หลอดศิลป์ บริจาคที่ดิน จำนวน 5 ไร่ 4. นายเหลี่ยม ณะคงคื บริจาคที่ดิน จำนวน 2 ไร่ 5. นายร่วง หนุด้วง บริจาคที่ดิน จำนวน 1 ไร่ 6. นายเผือก ยอดพูน บริจาคที่ดิน จำนวน 4 ไร่ รวมเนื้อที่ดิน จำนวน 29 ไร่ เปิดทำการสอนเมื่อวันที่ 23 เดือนพฤษภาคม 2517 โดยนายขอม เลิศไกร กำนันตำบลสินปุน ได้มาทำ รายงานขอเปิดโรงเรียน ได้ชื่อว่าโรงเรียนบ้านควนนิยม มีนายอรุณ ปาลรังษี ตำแหน่ง ครูโรงเรียนบ้านเมรัย มาเป็น ครูทำงานสอน มีนักเรียน 29 คน ทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนบ้านควนนิยม

ด้านการศึกษา (ต่อ) โรงเรียนบ้านเมรัย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2486 ปัจจุบัน ตั้งอยู่ หมู่ที่ 5 ตำบลสินปุน อำเภอพระ-แสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะห่างจากอำเภอพระแสง 8 กิโลเมตร ห่างจากสำนักงานพื้นที่การศึกษา สุราษฎร์ธานี เขต 3 ประมาณ 25 กิโลเมตร โรงเรียนบ้านเมรัยมีเนื้อที่ 76 ไร่ 56 ตารางวา มีนักเรียนในเขตบริการ บางส่วนมาเรียนที่โรงเรียนบ้านเมรัย คือ หมู่ที่ 1 หมู่ที่ 9 ตำบลสินเจริญ และรวมถึงตำบลไทรขึงด้วย ทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนบ้านเมรัย ๆึัี ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆืท่ทหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหหห/ๅำก วิสัยทัศน์ นักเรียนโรงเรียนเมรัย มุ่งเน้นด้านวิชาการร่วมสืบสารวัฒนธรรมไทย ใฝ่คุณธรรม ห่างไกลยาเสพติด ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา พัฒนาสิ่งแววล้อม น้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

ด้านการศึกษา (ต่อ) โรงเรียนบ้านเมรัย พันธกิจ / เป้าหมาย ทิศทางโรงเรียนบ้านเมรัย โรงเรียนบ้านเมรัยเป็นหน่วยงานในการจัดการศึกษา ขั้นพื้นฐานอย่าง ทั่วถึงมีคุณภาพมาตรฐานการศึกษา เน้นการมีคุณธรรม นำความรู้ น้อมนำปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงสู่ การปฏิบัติและพัฒนา สู่ความเป็นเลิศ 1. จัดส่งเสริมสนับสนุนและประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน อย่างทั่วถึง 2. สร้างระบบบริหารการศึกษา และกระบวนการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ 3. เพิ่มขีดความสามารถของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพและพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ พันธกิจโรงเรียนบ้านเมรัย 1. จัดหาและนำวัฒนธรรม เทคโนโลยีและแหล่งการเรียนรู้มาใช้ ในการจัดการเรียนการสอน 2. พัฒนาให้ผู้เรียน มีจิตสำนึก เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมไทย ค่านิยมไทย 3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสุขภาพกาย สุขภาพจิต มีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมตามความสนใจ 4. ปลูกฝังใหผู้เรียนมรคุณธรรม จริยธรรมอยู่ร่วมในกิจกรรมตามความสนใจ 5. จัดการเรียนการสอนมุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ โดยสอดคล้องกับหลักสูตรและความต้องการของผู้เรียนและ ท้องถิ่น 6. พัฒนาระบบบริหารจัดการ โดยเน้นชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมและระดมทรัพยากรจากชุมชนมาใช้ให้ได้ประโยชน์ 7. ร่วมกันอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแววล้อม ให้เอื้อต่อการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนมีสุขนิสัยที่ดี มีความปลอดภัยและห่าง ไกลยาเสพติด 8. พัฒนาบุคลากรทางการศึกษามีประสิทธิภาพตามมาตรฐาน วิชาชีพ 9. จัดระบบข้อมูลสารสนเทศ เป็นระบบและปัจจุบัน

ด้านการศึกษา (ต่อ) โรงเรียนบ้านควนมหาชัย ตั้งอยู่ หมู่ที่ 4 ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เปิดทำการ สอนเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2514 โดยมีราษฎรบ้านควนมหาชัย และบ้านบางไผ่ ร่วมกันสร้างขึ้นมามี นายจาย อินสุวรรณ์ และนายอ่ำ คงเพชรสกุล โดยมีนายสำรวม ชุมทอง เป็นผู้ใหญ่บ้าน และมีนายเชื้อ ปัจจุบันวันที่ 19 กรกฎาคม 2519 ได้รับงบประมาณก่อสร้างบ้านพักครู 1 หลัง 2 ห้องนอนงบประมาณ 44,000 บาทวันที่ 20 พฤษภาคม 2551 รื้อถอนอาคารจากที่ดินแปลงเดิมมาตั้งในพื้นที่แปลงปัจจุบัน ทางทิศตะวันตกของถนนสาย พระแสง – ทุ่งใหญ่ ที่ดินแปลงนี้มีผู้บริจาคให้ คือ 1. นายถาวร อินสุวรรณ์ จำนวน 10 ไร่ 1 งาน 67 ตารางวา 2. นายประสิทธิ์ ประกอบแก้ว จำนวน 3 ไร่ 2 งาน 33 ตารางวา 3. นายแคล้ว ชุมศรีชาย จำนวน 2 ไร่ 2 งาน รวมเนื้อที่ จำนวน 16 ไร่ 2 งานกว้าง 3 เส้นยาว 5 เส้น 10 วา ทำเนียบผู้บริหารโรงเรียนบ้านควนมหาชัย

ด้านศาสนา วัดเมธาวนาราม (วัดเมรัย) ตั้งอยู่บ้านเลขที่ 44 หมู่ที่ 5 ตำบลสินปุน อำเภอ พระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่ง ของอำเภอพระแสง วัดเมธาวนาราม (วัดเมรัย) จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 12 ไร่วัด เมธาวนาราม ก่อตั้งประมาณ พ.ศ. 2463 เดิมอยู่ที่หารเมรัย มีเนื้อที่ ประมาณ 12 ไร่ อยู่ห่างจากแม่น้ำตาปี 500 เมตร เกิดภัยธรรมชาติอยู่บ่อย ครั้ง ราษฎรบริเวณใกล้เคียงต้องย้ายครอบครัวไปตั้งถิ่นฐานที่อื่น วัดก็เลย กลายเป็นวัดร้าง เลยย้ายไปที่วัดกันหลาปัจจุบัน ต่อมา พ.ศ. 2475 ได้ย้ายวัดมาอยู่ที่เดิมอีกครั้ง (หารเมรัย) และได้ เปลี่ยนแปลงเจ้าอาวาสมาหลายรูปต่อมา พ.ศ. 2505 พระครูใบฎีกาวุ่น ภาว โร ได้ย้ายวัดมาตั้งที่วัดเมรัยปัจจุบัน เนื่องจากที่วัดเก่ามีน้ำท่วมซ้ำซากมีนาย แดง อนุอินทร์ ได้ถวายที่ดินซึ่งตั้งวัดปัจจุบัน จำนวน 14 ไร่ และได้เปลี่ยนชื่อ โดยได้รับอนุมัติจากกรมศาสนา ให้ชื่อว่า วัดเมธาวนาราม และมีเจ้าอาวาส ประจำพรรษาหลายพรรษา บางครั้งเกิดภัยธรรมชาติทำให้เสนาสนะของวัด ชำรุดเสียหาย แต่ด้วยแรงศรัทธาของราษฎรในหมู่บ้านใกล้เคียง ได้ช่วยกัน สร้างขึ้นใหม่ ขณะนี้มีศาลาการเปรียญ 1 หลังกุฏิพระสงฆ์ 3 หลังโรงครัว 1 หลัง ทำเนียบเจ้าอาวาส 1. พระครูใบฎีกาวุ่น 2. พระโสภณ 3. พระมหาทวีป 4. พระซ่อน 5. พระจำเนียน 6. พระประไพ 7. พระสมบูรณ์ 8. พระประสงค์ 9. พระพ่วง 10. พระอ่ำ ต่อมาปี พ.ศ. 2550 ได้มีพระอธิการพรม ชัยปัญญาวชิโร ได้ รักษาการเจ้าอาวาส ตั้งแต่ พ.ศ. 2550 มาจนถึงปัจจุบัน มีพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 7 รูป (ปัจจุบัน)

ด้านศาสนา (ต่อ) วัดกันหลา ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 2 ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังกัดสำนักสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 17 ไร่ 3 งาน อาณาเขตทิศ วัดกันหลา เหนือ และทิศใต้ จดที่ดินเอกชน ทิศตะวันออก จดแม่น้ำตาปี ทิศตะวันตกจด ที่ดินเอกชน มีธรณีสงฆ์จำนวน 2 แปลง เนื้อที่ 17 ไร่ 3 งาน อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ กว้าง 4.80 เมตร ยาว 13.80 เมตร เป็นอาคาร คอนกรีต เสริมเหล็ก กุฏิสงฆ์ จำนวน 5 หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ 3 หลัง และตึก 3 หลัง นอกจากนี้มีฌาปนสถาน โรงครัว และกุฏิเจ้าอาวาส ปูชนียวัตถุ มีพระประธานประจำอุโบสถ ปางสมาธิขนาดหน้าตัก กว้าง 38 นิ้ว สูง 68 นิ้ว ทำเนียบเจ้าอาวาส 1. พระอธิการอัน พ.ศ. 2457 - 2463 2. พระอธิการเบี้ยน พ.ศ. 2463 - 2464 3. พระอธิการนวม พ.ศ. 2464 - 2465 4. พระอธิการร่านโกวิโท พ.ศ. 2465 - 2495 5. พระอธิการคลี่ พ.ศ. 2495 - 2498 6. พระอธิการหมึก พ.ศ. 2498 - 2500 7. พระอธิการร่าน พ.ศ. 2501 - 2507 8. พระอธิการไม พ.ศ. 2507 - 2509 9. พระอธิการเคลื่อน พ.ศ. 2509 - 2511 10. พระอธิการผ่อน พ.ศ. 2511 - 2520 11. พระอธิการหมี พ.ศ. 2520 - 2522 12. พระอธิการล้วนจิตฺตปณุโญ พ.ศ. 2522 - 2529 13. พระอธิการนั้นมนูโย พ.ศ. 2529 - 2537 14. พระอธิการศิริสิริ ธ มุโน พ.ศ. 2537 - 2548 15. พระพิชิตรัตนภาโส พ.ศ. 2548 - 2555 16. พระสัมฤทธิ์ รักษาการเจ้าอาวาส (ทำหน้าที่ไม่ได้จึงลาออกไป) ประมาณ 3 เดือน 17. พระนิคม ธรรมโชโต รักษาการในปี 2557 ตำแหน่งหัวหน้าคณะสงฆ์ วัดกันหลา

ด้านศาสนา (ต่อ) วัดควนนิยมราษฎร์รังสฤษฎ์ เดิมที่พักสงฆ์บ้านควนนิยมตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ตำบลสิน ปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้เริ่มก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2517 ขึ้นเป็น วัดควนนิยมราษฎร์รังสฤษฎ์ ที่พักสงฆ์ โดยมีพระปลอด หนูขาว เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้ง โดยมีจิตศรัทธาร่วมบริจาค ที่ดิน เพื่อสร้างเป็นที่พักสงฆ์ โดยมีเนื้อที่ทั้งหมดไร่ 12 3 งาน ดังนี้ นายปลอด หนูขาว จำนวน 5 ไร่ นายเผือก ยอดพูน จำนวน 1 ไร่ นายร่วง หนูด้วง จำนวน 1 ไร่ นายเจิม แก้วเกื้อ จำนวน 1 ไร่ นายทิม ยิ่งดำนุ่น จำนวน 1 ไร่ นายบัว บุญวงศ์ จำนวน 1 ไร่ นายเลื่อม ณะวงค์ จำนวน 1 ไร่ นายประเสริฐ หลอดศิลป์ จำนวน 1 ไร่ นายแผ้ว หนูทอง จำนวน 3 งาน โดยรวบรวมทุนทรัพย์ซื้อที่ดินเป็น เงิน15,000 บาท สิทธิ์ออกโดย สำนักงานที่ดินจังหวัดสุราษฎร์ธานี เอกสารสิทธิ์มีเนื้อที่โดยรวม ทั้งหมด 12 ไร่ โดยมีอาคารเสนาสนะ ดังนี้ ศาลาโรงธรรมถาวร 1 หลัง ศาลาหอ ฉันถาวร 1 หลัง ศาลาคู่เมรุถาวร 1 หลัง ฌาปนสถาน (เมรุ) ถาวร 1 หลัง กุฏิ เจ้าอาวาสเป็นอาคารไม้เสริมปูนสองชั้นถาวร 1 หลัง กุฏิสงฆ์ถาวร 7 หลัง ศาลา พักร้อนถาวร 1 หลัง ปัจจุบันที่พักสงฆ์บ้านควนนิยม ก่อตั้งมาแล้วประมาณ 39 ปี โดยประมาณ ตลอดระยะเวลาการก่อตั้ง มีพระภิกษุอยู่ประจำพรรษามิได้ขาด และพอที่จะทราบรายนามหัวหน้า 1. พระปลอด หนูขาว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 - 2534 รวม 17 พรรษา (มรณภาพ) 2. พระพริ้ม วรธมุโน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 - 2551 รวม 4 พรรษา (ลา สิกขาบท) 3. พระกรง คงวุ่น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 - 2555 รวม 5 พรรษา (มรณภาพ) 4. พระด้วง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 - 2546 รวม 1 พรรษา (ลาสิกขาบท) 5. พระครูโมฎีกาอำ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 - 2547 รวม 1 พรรษา (ลา สิกขาบท) 6. พระพริ้ม วรธมุโน (อุปสมบทใหม่) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 - 2555 รวม 8 พรรษา (ลาสิกขาบท) 7. พระสุพจน์ นนทวรรณธนะ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – 2555 รวม 3 เดือน (มรณภาพ) 8. พระไสว ณ นคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2555 – 2556 หมายเหตุ 1. พระครูปลัดธรรมรัตน์ อนิวตโต เจ้าอาวาสวัดควนนิยมราษฎร์รังสฤษฎ์ ตั้งแต่วันที่ 15 เดือน กุมภาพันธ์ ปี พ.ศ. 2556 ปัจจุบัน ตามรายนามที่ได้ทราบมาพอดีเป็นสังเขป เกี่ยวกับอดีตหัวหน้าที่พักสงฆ์รายละเอียดมีแค่นี้ แต่คงจะมีรายนามหัวหน้าที่พักสงฆ์อีกประมาณ 3 รูปอมรณภาพโดยไม่ทราบแน่ชัด หลังจาก ที่พักสงฆ์บ้านควนนิยมได้รับการพัฒนามาโดยตลอดการดูแลปกครอง โดยคณะสงฆ์มีเจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอเป็นผู้ดูแลมาโดยตลอด โดยนับตั้งแต่แรกก่อตั้งมานับเวลารวม 39 ปีต่อมาในปี พ.ศ. 2554 นายเจริญ คล้ายประสงค์ อดีตนักการโรงเรียนบ้านควนนิยม ได้ยื่นเอกสารเพื่อขออนุญาตสร้างวัดต่อ สำนักงาน พระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเมื่อเดือนมิถุนายนลงวันที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554 อนุญาตให้ใช้ที่ดินสร้างวัด โดย นายนพรัตน์ เบ็ญจ-วัฒนานันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หลังจากได้รับอนุญาตแล้ว นายเจริญ คล้าย-ประสงค์ อดีตนักการโรงเรียนบ้านควนนิยม ได้ยื่นเอกสารเพื่อขอตั้งวัดอีกครั้งตามคำ สั่งอนุญาตสร้างวัดให้แล้วเสร็จภายใน 5 ปี หลังวันที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ที่ดินสร้างวัดจนเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ทางสำนักนายกรัฐมนตรี ประกาศยกฐานะที่พักสงฆ์บ้านควนนิยมขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา “ โดยให้นามว่าวัดควน-นิยมราษฎร์รังสฤษฎ์” ประกาศ ณ วันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 นายนิวัฒน์ ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี หลังจากที่ได้รับการประกาศขึ้นเป็นวัดแล้วโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ จะต้องมีการแต่งตั้งเจ้าอาวาส เพื่อให้งานของพระพุทธศาสนาดำเนินเป็นไปอย่างเรียบร้อย จึงเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะตำบลที่จะต้องสรรหาพระผู้ที่จะดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาส โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของชาวบ้าน จึงได้มีการนัดประชุม ณ ศาลาการเปรียญวัดควนนิยมราษฎร์รังสฤษฎ์ เมื่อวันที่ 1 เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 โดยมีท่านพระครูพิทักษ์สุวรรณเขต เจ้าคณะอำเภอพระแสงพระ ครูสิริธรรมา-กรเจ้าคณะตำบลอิปัน พระครูวินัยธรนนทนัท เลขานุการเจ้าคณะอำเภอ พระแสง ประธานฝ่ายสงฆ์ และมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน กรรมการวัด อุบาสก อุบาสิกา นัดประชุมกัน จนเป็นที่ตกลงกันว่าทางกรรมการวัดโดยมีกำนันประสิทธิ์ คงใหม่ กำนันตำบลสินปุน ผู้ใหญ่อภิชัย แสงสม ผู้ใหญ่บ้านหมูที่ 6 นางภาณี มากแก้ว ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 นายนิยม ณะคงค์ ส.อบต. ต.สินปุน นายเสรี พุ่มทอง ผู้ อำนวยการสถานีอนามัยบ้านกันหลาพร้อมคณะจะเดินทางไปอาราธนานิมนต์ พระครูปลัดธรรมรัตน์ อนิวตโต วัดไตรรัตนนากร (วัดตะเคียน) อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 หลังจากได้รับอาราธนานิมนต์แล้ว พระครูปลัดธรรมรัตน์ อนิวตโต ก็ได้เดินทางมาจำพรรษาที่ วัดควนนิยมราษฎร์ รังสฤษฎ์ โดยได้รับคำสั่งแทนเจ้าอาวาสนับตั้งแต่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556 เป็นต้นมา หลังจากที่พระครูปลัดธรรมรัตน์ อนิวตโตรักษาการเจ้าอาวาสมาอยู่ประจำ แล้วจึงได้ปรึกษาหารือเรื่องการสร้างอุโบสถไว้เป็นที่ประสานศาสนกิจของคณะสงฆ์ ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติและเป็นการเสริมมงคลแก่วัด นายอภิชัย แสงสม ผู้ใหญ่ บ้านหมู่ที่ 6 พร้อมด้วยคณะกราบทูลต่อพระเดชพระคุณเจ้าประคุณ สมเด็จพระวันรัต คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชรักษาการเจ้าคณะใหญ่ธรรมยุติแม่กองธรรมสนามหลวง กรรมการหาเถรสมาคม วัดบวรนิเวศวิหารกรุงเทพมหานคร เรื่องขอรับพระราชทานศิลากฤกษ์อุโบสถวัดควนนิยมฯ เมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2556 ด้วยความทราบซึ้งในพระเมตตาทางคณะกรรมการวัดควนนิยมฯ ได้ประกอบพิธีกรรมพิธีการ วางศิลาฤกษ์อุโบสถเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2556 โดยมีพระเดชพระคุณพระเทพวราจารย์ รองเจ้าอาวาสคณะภาค 16 1718 ธรรมยุติ พระเดชพระคุณท่านเจ้าคุณพระศรปริยัตนาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดพัฒนาราม เจ้าคณะ อำเภอเมืองสุราษฎร์ธานี ปฏิบัติหน้าที่แทนคณะจังหวัดสุราษฎร์ธานี มหานิกาย พระครูพิทักสุวรรณเขต เจ้าคณะอำเภอพระแสง เป็นประธานฝ่ายบรรพชิต และมีนายมนตรี เพชรซุ้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด สุราษฎร์ธานี นายอำเภอพระแสง เป็นประธานฝ่ายคฤหัสถ์ ตลอดการก่อตั้งวัดควนนิยมตั้งแต่ต้นจนจบกระทั่งถึง ทุกวันนี้สิ่งที่ลืมไม่ได้ นั่นคือ ท่านอาจารย์ ปลัดวิรัตน์ เหมสิทโธ วัดปากบ่อ กรุงเทพมหานคร ที่ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ตลอดถึงอุบาสก อุบาสิกา ที่ให้การอุปการะจนเกิดเป็นวัดควนนิยมราษฎร์รังสฤษฎ์ มาจนทุกวันนี้

ด้านศาสนา (ต่อ) สำนักสงฆ์ประชาอุทิศประดิษฐาราม สำนักสงฆ์ประชาอุทิศประดิษฐาราม สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 เดิมได้มีพระมา ธุดงค์และปักกรด ตรงสำนักสงฆ์แห่งนี้ ชื่อว่าพ่อท่านธรรมชาวบ้านได้เห็นว่ามี พระมาธุดงค์ จึงได้เข้ามาทำบุญตักบาตร ฟังธรรม พ่อท่านธรรม ก็เลยมีความ คิดเห็นว่าแถวนี้ห่างไกลจากวัดมาก ชาวบ้านจะเดินทางไปทำบุญก็ลำบาก จึงได้ คิดก่อตั้งสำนักสงฆ์ขึ้น เพื่อให้ชาวบ้านได้สะดวกในการเดินทางมาทำบุญ โดยมี นายบุญฤทธิ์ แก้วแพ่ง เป็นผู้บริจาคที่ดินให้ตั้งสำนักสงฆ์ ปัจจุบันมีเนื้อที่จำนวน 7 ไร่ และต่อมา พ.ศ. 2552 ชาวบ้านได้ร่วมกันบริจาคซื้อที่ดินเพิ่มให้กับ สำนักสงฆ์เป็นจำนวน 3 ไร่รวมเป็น 10 ไร่ ในปัจจุบัน และได้มีพระมาประจำ พรรษาครบพรรษามาตลอด มีเจ้าอาวาสองค์แรก คือ 1. พระอาจารย์ ยก ปริปปุญโญ จำพรรษา 19 พรรษา 2. พระอาจารย์สมปอง อริโย ปัจจุบัน โครงสร้างด้านเศรษฐกิจและอาชีพ สมัยก่อนราษฎรตำบลสินปุน ส่วนใหญ่จะทำไร่เลื่อนลอย (เสร็จจากการปลูกข้าว จะมาปลูก มันแทน) ตัดหวาย ทำน้ำมันยาง ไม้ซุง ล่องไปขายในพื้นที่ต่าง ๆ โดยการล่องเรือในคลองสิน ปุน ในปัจจุบันชาวตำบลสินปุนประกอบอาชีพ ทำสวนยางพาราและสวนปาล์มน้ำมันเป็นอาชีพ หลัก ปัจจุบันประกอบอาชีพ เกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบด้วยอาชีพเกษตรกร คือ ทำสวนยางพารา ปาล์มน้ำมันและสวนผลไม้เศรษฐกิจ มีอุตสาหกรรม มีโรงงานอุตสาหกรรมสกัดน้ำมันปาล์มขนาดใหญ่ 1 แห่ง มีโรงงานรับซื้อปาล์มและขยายพันธ์ปาล์มขนาดเล็ก 1 แห่ง มีโรงงานอุตสาหกรรม (ผลิตจักรรีดยาง) 1 แห่ง

ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อ มีบทบาทสำคัญต่อวิถีชีวิตของชาวบ้าน ผู้เป็นเจ้าของ ขนบธรรมเนียมประเพณี และความเชื่อนั้น โดยจะเป็นตัวกำหนดวิถีการดำเนินชีวิต และแนวทาง ปฏิบัติต่าง ๆ ของตนเองและชุมชนในตำบลสินปุน มีขนบธรรมเนียมประเพณีและความเชื่อที่น่า ศึกษาและน่าสนใจ ดังนี้ ประเพณีปากปีปากเดือน เป็นประเพณีที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีของชาวตำบลสินปุน ซึ่งประเพณีปากปีปากเดือนนี้ เป็นประเพณีสืบทอดมา ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล ตามความเชื่อ ทางสุริยคติ แบบไทย โดยเชื่อว่า แรม 15 ค่ำ เดือน 5 เป็นวันลิ้นปีและวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 6 จะเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามแบบ โบราณ ซึ่งถือเป็นช่วงวันเปลี่ยนเดือนเปลี่ยนปี ดังนั้นจึงมีการ ทำบุญตักบาตร ถือศีล และมีงานรื่นเริงเช่นเดียวกับ วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทย สถานที่จัดงานอยู่ที่วัดกันหลา หมู่ 2 บ้านกันหลา ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัด สุราษฎร์ธานีในงาน จะมีการทอดผ้าป่า ทำบุญตักบาตร สักการะรูปปั้ น อดีต พระเกจิอาจารย์ วัดกันหลา การแสดงมในราห์ และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว พระเกจิอาจารย์วัดกันหลา เป็นพระเกจิอาจารย์ที่ชาวตำบลสินปุน และตำบลใกล้เคียงให้ ความเคารพนับถือเป็นอย่างมากมีหลายรูปด้วยกัน ได้แก่ หลวงพ่ออัน (อดีตเจ้าอาวาสรูป แรกของวัดกันหลา) หลวงพ่อบางวงศ์ สมภาร สุขแก้ว และหลวงพ่อร่าน (อดีตเจ้าอาวาสวัด กันหลา ท่านมีคุณวิเศษทางด้านเครื่องยาและโหราศาสตร์) ในสมัยที่หลวงพ่อร่านยังมีชีวิต อยู่นั้น ท่านมีลูกศิษย์มาก เพราะท่านมีความเชี่ยวชาญในการปรุงยาสมุนไพร และ โหราศาสตร์ในสมัยแรกที่สร้างวัดเจ้าอาวาสรูปแรก ได้นำพระพุทธรูปหนีน้ำท่วมจาก วัดเมธา วนาราม บ้านเมรัยโดยได้นำพระพุทธรูปบรรทุกแพล่องมาที่บ้านกันหลา และก่อสร้างวัตโดย ได้รับบริจาคที่ดินจากอดีตกำนันตำบล สินปุนในสมัยนั้น ในเรื่องศักดิ์สิทธิ์ของพระเกจิอาจารย์วัดกันหลานั้น มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยก่อนมีเรือคณะ มโนราห์ ได้ล่องเรือทางแม่น้ำตาปีผ่านทางท่าน้ำวัดกันหลา เพื่อจะไปแสดงที่อำเภอเวียงสระ พอเรือล่องผ่านท่าน้ำวัดกันหลานั้นคนในคณะมโนราห์เกิดมีอาการปวดท้อง และปวดเมื่อย ไปทั้งตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งมีผู้รู้ได้แนะนำว่าให้คณะมโนราห์นั้นมาแสดงมโนราห์ที่วัดกัน หลา เพื่อแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในวัดกันหลา หลังจากคณะมโนราห์มาแสดง มโนราห์ที่วัดกันหลาอาการป่วยของผู้นั้นก็หาย ดังนั้นต่อมาจึงมีการแสดงมโนราห์ที่วัดกัน หลาในงานประเพณีปากปีปากเดือนเป็นประจำทุกปี

ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม(ต่อ) แม่ยายปากปั่ น หรือแม่ศรีวันทอง มีเรื่องสืบต่อกันมาว่า ในสมัยก่อนมียายแก่คนหนึ่งชื่อ ยายปันได้อาศัยเรือล่องมาทางแม่น้ำตาปี จากตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน พอมาถึงปาก แม่น้ำคลองอิปัน (คนในพื้นที่เรียก \"ปากปัน\") ยายปันก็ถามว่า ที่นี่คือที่ใด นายท้ายเรือจึง บอกว่า คลองอิปัน ยายปันจึงบอกนายท้ายเรือว่าจะขอลงที่นี่ เพราะที่นี่มีชื่อพ้องกับชื่อของ ยาย ก่อนลงจากเรือยายปันได้ให้ขมิ้นกับนายท้ายเรือหนึ่งก้อนเพื่อเป็นค่าตอบแทน ซึ่งว่ากัน ว่ายายปันได้กระโดดลงจากเรือแล้วกลายร่างเป็นจระเข้ตัวใหญ่ แล้วขมิ้นที่ยายปันได้ให้ไว้แท้ ที่จริงแล้วเป็นทองคำนั่นเอง หลังจากนั้นผู้คนละแวกปากแม่น้ำอิปัน ได้ให้ความเคารพยาย ปัน เพราะเชื่อว่าเป็นจระเข้คอยปกปักรักษาผู้คน และให้โชคลาภ และขนานนามจระเข้ยายปัน ว่า แม่ยายปากปั่ น หรือ แม่ศรีวันทอง ตราบจนถึงปัจจุบันนี้ พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ เป็นพระเกจิอาจารย์จากวัดสวนขัน อำเภอฉวาง จังหวัด นครศรีธรรมราช ชาวบ้านทั่วไปเรียกท่านว่า พ่อท่านคล้าย วาจาสิทธิ์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ที่ชาว จังหวัดนครศรีธรรมราช ชาวจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียงได้ให้ความเคารพเป็น อย่างสูง ซึ่งท่านจะมีคุณวิเศษทางด้านวาจาสิทธิ์ ซึ่งเชื่อกันว่าว่าจาของท่านศักดิ์สิทธิ์มาก ไม่ ว่าท่านจะกล่าวสิ่งใดมักจะเป็นไปตามคำพูดเสมอ มีเรื่องเล่าว่าด้านพุทธคุณด้านวาจาสิทธิ์ของท่านว่า สมัยที่พ่อท่านคล้ายมีชีวิตอยู่ มีอยู่วัน หนึ่งท่านได้เดินทางไปต่างจังหวัดด้วยรถไฟ แต่เมื่อไปถึงสถานีรถฟ ลูกศิษย์ของท่านได้ลืม ของที่วัดสวนขันลูกศิษย์ของท่านตกใจมาก เพราะรถไฟใกล้ถึงเวลาออกรถแล้ว แต่ท่านก็ พูดว่า \"กลับไปเอาของเถอะรถไฟยังไม่ออกหรอก\" เป็นที่น่าแปลกมาก ๆ ที่เมื่อถึงเวลารถไฟ ออก รถไฟไม่สามารถเคลื่อนได้ ซึ่งได้เพียงแค่ส่งเสียงหวูด จนกระทั่งลูกศิษย์ของท่านเดิน ทางมาถึงสถานีรถไฟ รถไฟจึงเคลื่อนที่ได้ และนี่เป็นอีกเรื่องเล่าหนึ่งที่ยืนยันวาจาสิทธิ์ของ พ่อท่านคล้าย

ความเชื่อ ประเพณี และพิธีกรรม(ต่อ) ห้วยแม่ชี ตำนานของห้วยแม่ชีมีเรื่องเล่าว่า เมื่อประมาณ 1,000 ปีก่อน เคยมีแม่ชีชื่อว่า \"แม่ชีสี่เศียร\" มาอาศัยอยู่บริเวณพื้นที่นี้ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวจะมีต้นหวายเป็นจำนวนมาก อยู่ มาวันหนึ่งได้มีชาวบ้านละแวกนั้นเข้ามา และได้เห็นชอกหินที่มีรูปร่างคล้ายอวัยวะเพศหญิง จึงได้เอาด้ามมีดพร้าเซาะเข้าไปในซอกหิน หลังจากนั้น เมื่อชาวบ้านคนนี้กลับถึงบ้านก็มี อาการผิดปกติ คือ มีอาการชักกระตุก เลือดไหลออกทางหูและจมูกไม่หยุดเสียเลือดมากจน กระทั่งถึงแก่ชีวิต พ่อตาเจ้าที่/ธิดาเขาค่าย ตามประวัติ มีคำเล่าขานจากชาวบ้านว่าสาเหตุที่ชื่อเขาค่ายเพราะ สมัยนั้นเป็นค่ายของโจร โดยเป็นค่ายโจรที่ใหญ่พอควร มีแท่นหินเป็นแท่นที่นอนของหัวหน้า โจร และมีหอก ๑๒ เล่ม ทำให้ภูเขานั้นถูกเรียกว่า เขาค่ายซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนสมัยยุค คอมมิวนิสต์ ส่วนความเชื่อทางด้านพ่อตาเจ้าที่และธิดาเขาค่ายนั้นกล่าวว่า พ่อตาเจ้าที่คือวิญญาณ ของหัวหน้าโจรที่อาศัยอยู่บนเขาค่าย ส่วนธิดาเขาค่ายนั้นเป็นลูกสาวของหัวหน้าโจรดังกล่าว ซึ่งทั้งสองนี้ทำหน้าที่ปกปักรักษาเขาค่ายไม่ให้คนมาบุกรุกทำลาย ต่อมาภายหลังจากนั้นได้มี การบนบานศาลกล่าวให้ไปช่วยรักษาพืชผลทางการเกษตรให้กับชาวบ้านที่ทำมาหากินบริเวณ เขาค่าย ซึ่งได้ผลดี ไม่มีสัตว์เข้ามาทำลายพืชผลทางการเกษตร จึงได้รับความเคารพนับถือ หมอไสยศาสตร์ ความเชื่อทางต้านไสยศาสตร์เป็นความเชื่อถือเฉพาะคน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ ไม่สามารถจะพิสูจน์ได้โดยความเชื่อของชาวบ้านเป็นความเชื่อเกี่ยวกับภูตผีปีศาจ และการ ทำคุณไสย ซึ่งในหมู่บ้านจะมีผู้อาวุโสที่ชาวบ้านเคารพนับถือ และมีความสามารถทางด้านนี้ โดยผู้อาวุโสในหมู่บ้านที่ชาวบ้านนับถือ จะเป็นบุคคลที่ทำหน้าที่ในการแก้สิ่งอัปมงคลต่าง ๆ ของชาวบ้าน รวมทั้งทำหน้าที่เกี่ยวกับความเชื่อทางด้านจิตวิญญาณด้วย

สถานที่สำคัญ ส ถ า น ที่ สำ คั ญ ป่าห้วยแม่ชีวิปัสสนา ป่าห้วยแม่ชีตั้งอยู่ที่หมู่7 ต.สินปุน อ.พระแสง จ.สุราษฎร์ธานี เป็นป่าที่ปกคลุมแหล่งแหล่งน้ำธรรมชาติที่ใสเย็นใหลจากซอก ก้อนหินที่เกยทับกันสามก้อน เป็นแอ่งน้ำเล็กๆจสกเนินดินไหลไปทางทิศตะวัน ออกตามลำห้วย ผ่านป่าชับน้ำธรรมชาติดั้งเดิมไปบรรจบกับคลองหินป่วน เป็น แหล่งน้ำและอาหารสัตว์ป่านานาชนิด เป็นป่าที่อุ ดมสมบูรณ์ตามระบบ นิเวศ มี เรื่องเล่ากันว่า นานมาแล้ว เคยมีแม่ชีเข้ามา อาศัยอยู่ ถือศีลปฏิบัติธรรมดำรง ชีพ ยูและสิ้นอายุขัยในป่าดงนี้ จึงเรียกป่าที่ปกคลุมหล่อเลี้ยงลำห้วยแห่งนี้ว่า ป่า ห้วยแม่ชีทั้งยังเป็นที่ เคารพยำเกรงของผู้ที่เข้ามาหาของป่าตัดหวายซึ่งได้ ประสบเหตุอาถรรพ์ต่าง ๆ เดิมนั้น นายจำรัส สโมสร อดีตผู้ใหญ่บ้าน ได้กันพื้ นที่แห่งนี้เอาไว้ ประมาณ สามสิบไร่ สำหรับตั้งสำนักสงฆ์ประจำหมู่บ้าน ต่อมา นายสายชล ด้วงเพชร อดีต กำนันตำบลสินปุน ได้ปกป้อง พื้ นที่ป่าห้วยแม่ชีเอาไว้ กระทั่งวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562 นายจีรวัฒน์ เนาวกูล ผู้ใหญ่บ้านคนปัจจุบัน ได้นำคณะกรรมการหมู่บ้าน เข้าไป สำรวจพื้ นที่ จัดทำ หลักเขตอนุรักษ์ ต่อมาปี พศ. 2559 นายสถาพร พงศ์สุวรรณ์ ประธานสถาบัน การเงิน ชุมชน บ้านคลองน้ำเย็น ได้สรรหาบุคคลจากหมู่ที่7 ตำบลสินปุนและหมู่ที่11 ตำบลไทร ขืง มาร่วมเป็นกรรมการ และได้สำรวจพบว่าป่าห้วยแม่ชี มีพื้ นที่อยู่จริง จำนวน สิบห้าไร่ จึงได้จัดสรรงบประมาณซื้อที่ดินเพิ่มใน พศ. 2559 และ 2560 รวม 10 ไร่ และได้ดำเนินการสร้างสถานีวิปัสสนา เพื่ อรักษาป่า ต้นน้ำ ห้วยแม่ชี สื บ ท อ ด ม า ถึ ง ปั จ จุ บั น

การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ในครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จมาเพื่อประกอบพระราชกรณียกิจที่อำเภอ พระแสงถึง 4 ครั้งด้วยกัน และได้ทรงพระราชทานรถแทรกเตอร์ บูเดอร์เซอร์ D4 ให้กับอำเภอพระแสง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2511 เพื่อให้ไว้ใช้ในการก่อสร้างถนน และการตัดถนนทางต่าง ๆ ซึ่งตำบลสินปุน ในขณะนั้นได้ รับการอานิสงส์ในการสร้างถนนหลายสาย โดยเฉพาะสายตำบล สายสุขาภิบาล ย่านดินแดง ตำบลสินเจริญ ถือเป็นจุด เริ่มต้นของการพัฒนาด้านการคมนาคมเลยก็ว่าได้ ในสมัยก่อนนั้น ตำบลสินปุนใช้การคมนาคมทางน้ำ ก็คือแม่น้ำตาปีนั่นเอง แม่น้ำตาปีมีต้นกำเนิดอยู่ที่จังหวัด นครศรีธรรมราช แม่น้ำตาปีถือเป็นแม่น้ำสายหลัก ที่หล่อเลี้ยงชีวิตคน และเป็นเส้นทางในการสัญจรกรมนาคมโดยการ ใช้เรือหางยาว หรือเรือเร็วในการเดินทางไปยังอำเภอพระแสง และบ้านดอน อีกทั้งยังมีคลองอิปันเป็นคลองสาขาซึ่งมีต้นน้ำอยู่ที่จังหวัดกระบี่โดยไหลมาบรรจบกับแม่น้ำตาปีถือเป็นแหล่งที่มา ของตำนาน ตาปี-อิปัน (พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถทรงเสด็จมาเพื่อ ประกอบพระราชกรณียกิจที่อำเภอพระแสงและได้พระราชทานรถแทร็กเตอร์บูเดอร์เซอร์ D4 ให้กับอำเภอพระแสง เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2511)

การดำเนินงานโครงการยกระดับเศรษฐกิจและสังคมรายตำบลแบบบูรณาการ โครงการยกระดับการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การสร้างแกนนำการจัดการภัยพิบัติโดยใช้ชุมชนเป็นฐาน เสริมทักษะอาชีพและการสร้างนวัตกรรมการออกกำลังกาย ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดย จัดโครงการดังนี้ 1.โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดเทคโนโลยีการสร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชน 2.โครงการส่งเสริมศูนย์เรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่าห้วยแม่ชีวิปัสสนา ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 3.กิจกรรมสร้างนวัตกรรมการออกกำลังกายของประชานชนตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี 4.กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการการสร้างและพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน เพื่อเฝ้าระวัง ดูแลและช่วยเหลือเมื่อเกิด ภัยพิบัติแก่ประชาชนตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ) 5.การอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดเทคโนโลยีการทำเครื่องแกงก้อน พัฒนาบรรจุภัณฑ์ และ ตราสัญลักษณ์ ผลิตภัณฑ์ และเทคนิคการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และการพัฒนาช่องทางการจัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ผ่านสื่อสังคม ออนไลน์ ของเครื่องแกง

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดเทคโนโลยีการ สร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชน 1.การทำเชื้อก้อนเห็ด โดยมีการจัดกิจกรรมวันที่ 30 – 31 ตุลาคม 2564

โครงการอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอดเทคโนโลยีการ สร้างรายได้และอาชีพให้กับประชาชน 2. การทำขนมดอกจอก และการทำนมสด ผลไม้ตามฤดูกาล โดยมีการจัดกิจกรรมวันที่ 1 – 2 พฤศจิกายน 2564

โครงการส่งเสริมศูนย์เรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่า ห้วยแม่ชีวิปัสสนา ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัด สุราษฎร์ธานี กิจกรรมการสำรวจชื่อต้นไม้ป่าห้วยแม่ชีวิปัสสนา และการจัดทำป้ายข้อมูลต้นไม้โดย QR – CODE โดยมีการจัดกิจกรรมวันที่ 9 – 10 ตุลาคม 2564

โครงการส่งเสริมศูนย์เรียนรู้และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ป่า ห้วยแม่ชีวิปัสสนา ตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัด สุราษฎร์ธานี กิจกรรมการอบรมจัดทำระบบจองคอร์ดปฏิบัติธรรม ออนไลน์และทักษะการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสังคม ออนไลน์และการจัดทำแผนปฏิบัติงาน โดยมีการจัดกิจกรรมวันที่ 11 – 12 ตุลาคม 2564

การนำองค์ความรู้ไปช่วยบริการชุมชน (Health Care/เทคโนโลยีด้านต่างๆ) กิจกรรมการอบรมเชิงปฏิบัติการถ่ายทอด เทคโนโลยีการทำเครื่องแกงก้อน พัฒนาบรรจุ ภัณฑ์ และการตราสัญลักษณ์บรรจุภัณฑ์ และ เทคนิคการนำเสนอผลิตภัณฑ์ และการพัฒนา ช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ผ่านสื่อ สังคมออนไลน์ ของเครื่องแกง (หมายเหตุเนื่องจากสถานการณ์โควิด – 19 ของตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ผ่านมามีความรุนแรงเป็นอย่างมาก ทั้งอำเภอมีการติดเชื้อ เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 คน ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้)

การส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อม/Circular Economy (การเพิ่มรายได้หมุนเวียนให้แก่ชุมชน) ให้แก่ชุมชน กิจกรรมอบรมเชิงปฏิบัติการการสร้างและ พัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน เพื่อเฝ้าระวัง ดูแลและช่วยเหลือเมื่ อเกิดภัยพิบัติแก่ ประชาชนตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัด สุราษฎร์ธานี เพื่ออบรมเชิงปฏิบัติการการ สร้างและพัฒนาศักยภาพแกนนำชุมชน เพื่อ เฝ้าระวัง ดูแลและช่วยเหลือเมื่อเกิดภัยพิบัติ แก่ประชาชนตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี (หมายเหตุเนื่องจากสถานการณ์โควิด – 19 ของตำบลสินปุน อำเภอพระแสง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ผ่านมามีความรุนแรงเป็นอย่างมาก ทั้งอำเภอมีการติดเชื้อ เพิ่มขึ้นมากกว่า 100 คน ทำให้ไม่สามารถจัดกิจกรรมต่าง ๆ ได้)

อ้างอิง (องค์การบริหารส่วนตำบลสินปุน) องค์การบริหารส่วนตำบลสินปุน. (ม.ป.ป.). สินปุนรำลึก ตำนานตาปี-อิปัน. สุราษฎร์ธานี. องค์การบริหารส่วนตำบลสินปุน. (ม.ป.ป.).ข้อมูลพื้นฐานองค์การบริหารส่วนตำบลสินปุน. [ออนไลน์]. ได้จาก: www.sinpun.go.th/default.asp [สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2564]


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook