Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore pdf เล่ม 3 การจัดการศึกษา

pdf เล่ม 3 การจัดการศึกษา

Published by นายบุญส่ง ขนานแข็ง, 2019-04-16 10:48:04

Description: pdf เล่ม 3 การจัดการศึกษา

Search

Read the Text Version

คานา การจัดการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ให้ความสาคัญกับการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะการเรียนรู้ ทกั ษะชีวิต ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ คดิ อยา่ งมวี จิ ารณญาณ และคิดสร้างสรรค์ การที่จะให้ผู้เรียน มีคุณลักษณะดังกล่าวต้องจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 22 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ซ่ึงครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นปัจจัย สาคัญประการหน่ึงในการจัดการศึกษาให้มีประสิทธิภาพ หากครูและบุคลากรทางการศึกษามีสมรรถนะ เพียงพอ มีความรู้ความเข้าใจและนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับวิธีการ เรียนรู้ของผู้เรียน ความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีย่อมจะทาให้การพัฒนาผู้เรียนบรรลุ เปา้ หมายและมาตรา 52 ระบุว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนา ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาใหม้ ีคณุ ภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง ดังนั้นการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาเป็นแนวทางหนึ่งของการส่งเสริม สนับสนุนให้ครูและ บุคลากรทางการศึกษามีสมรรถนะเพยี งพอ สาหรบั การสร้างโอกาสและจัดการเรียนรทู้ ่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ พัฒนาตนเองเป็นผู้เรียนรตู้ ลอดชวี ติ การพฒั นาครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาพิเศษในยุคสังคมฐานความรู้ ซง่ึ ความรมู้ ปี ริมาณมาก สามารถเรยี นรู้และค้นคว้าได้จากหลายแห่งโดยไม่จากัดเวลา สถานที่จึงต้องมีการ ปรับเปล่ียนวิธีการให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาการ และแนวคิดการพัฒนาคนให้เป็นบุคคล แห่งการเรียนรู้และรว่ มสร้างสงั คมแห่งการเรยี นรู้ หลกั สตู รการอบรมครูสอนการศึกษาพิเศษเดิมเน้นให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับการ อบรม พัฒนาโดยต้องใช้เวลาพบกับผู้ให้ความรู้เป็นส่วนใหญ่ได้ปรับเปล่ียนให้ผู้เข้าอบรมศึกษาเอกสาร ประกอบหลักสูตรด้วยตนเองก่อนเข้ารับการทดสอบวัดความรู้พื้นฐาน หากมีผลการทดสอบผ่านเกณฑ์ที่ กาหนดในหลกั สตู รจะเขา้ รับการอบรมเข้ม เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้และฝึกปฏิบัติรวมท้ัง ประยุกต์ใช้ความรู้ ในการจัดการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษในสถานศึกษาท่ีตนปฏิบัติงาน ซึ่งกาหนดเป็น ภาคปฏิบัติที่มีการนิเทศ ติดตามให้ครูที่ผ่านการอบรมมีเพื่อนร่วมทางในการเป็นพ่ีเลี้ยง ชี้แนะจนมีความ มั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนได้ เมื่อมีการปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรอบรมครูสอน การศึกษาพิเศษ กรมสามัญศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ พุทธศักราช 2544 ใน ปี พ.ศ. 2551 (ครั้งที่ 1) และ พ.ศ. 2556 (คร้ังท่ี 2) จึงได้มีการปรับสาระให้สอดคล้องกับความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงองค์ ความรู้ ในกระบวนการอบรมได้ปรับเปลี่ยนให้สถาบันการศึกษาที่ผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษาด้าน การศึกษาพเิ ศษเปน็ หนว่ ยงานอบรมระยะสนั้ แบบเข้มหลังจากผู้ขอเข้ารับการอบรมผ่านเกณฑ์การทดสอบ วัดความรู้พ้ืนฐานจากการศึกษาเอกสารประกอบหลักสูตรและการศึกษาค้นคว้าจ ากแหล่งต่างๆ

เพ่ือให้ครูและบุคลากรทางการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานได้พัฒนาตนเองสาหรับการนาไปสู่การ ปฏิบัติในสถานศึกษาตามเง่อื นไขทกี่ าหนดของหลักสูตร ขอขอบคณุ ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ และคณะทางานทุกทา่ นที่ได้ร่วมกันปรับปรุง พัฒนาหลักสูตร เอกสาร ประกอบหลักสูตรให้เหมาะสมกับสภาพการเปล่ียนแปลง หวังเป็นอย่างย่ิงว่าเอกสารประกอบการจัดการ อบรมตามหลักสูตรการอบรมครูสอนการศึกษาพิเศษฉบับน้ีจะอานวยประโยชน์ให้การพัฒนาครูและ บุคลากรทางการศกึ ษาพิเศษมปี ระสิทธภิ าพและเกิดประสิทธผิ ลตามเจตนารมณท์ กุ ประการ นายชินภัทร ภมู ริ ัตน เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน

คาชแ้ี จง เอกสารชดุ ศึกษาด้วยตนเอง วิชาการศกึ ษาพเิ ศษ เร่ือง การจัดการศึกษาสาหรับผู้เรียนที่มี ความต้องการพิเศษเล่มน้ี ได้รวบรวมเนื้อหาจากเอกสาร บทความของนักการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ การจัดการศึกษาสาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ ซึ่งมีเนื้อหาสาระท่ีครูและบุคลากรที่สนใจควร ทราบ ได้แก่ รูปแบบและแนวทางการจัดการศึกษาสาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ การจัดบริการ เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาสาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษ และนวัตกรรมการจัด การศึกษาสาหรบั ผูเ้ รียนท่มี คี วามตอ้ งการพเิ ศษ เพ่อื ใหค้ รูและผสู้ นใจนาความรไู้ ปประยุกต์ใช้ในการจัดการ เรียนการสอน รวมถงึ การพัฒนาศักยภาพของผเู้ รียนใหม้ ปี ระสิทธิภาพสูงขึ้น พร้อมท้ังนาแนวทางความรู้ แนะนาแก่ผปู้ กครองต่อไป คณะทางาน

สารบัญ หนา้ คานา คาช้ีแจง สารบัญ 1 แนวทางการใชช้ ุดการศึกษาดว้ ยตนเอง หนว่ ยท่ี 1 รปู แบบการจดั การศึกษาสาหรบั ผู้เรยี นทีม่ คี วามต้องการพเิ ศษ.............................. รูปแบบการจัดการศึกษาของศนู ยก์ ารศกึ ษาพเิ ศษ............................................... 1 รปู แบบการจัดการศกึ ษาของโรงเรยี นการศึกษาพิเศษ......................................... 5 รูปแบบการจัดการศกึ ษาของโรงเรยี นเรียนรว่ ม................................................... 7 รูปแบบการจัดการศึกษาของศูนยก์ ารเรียนเฉพาะความพิการ............................. 9 หน่วยท่ี 2 การจัดบรกิ ารเพื่อเพิ่มประสิทธภิ าพการจดั การศึกษา 12 สาหรับผู้เรียนทีม่ ีความต้องการพิเศษ...................................................................... การให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริ่ม (Early Intervention: EI)...................... 12 การจดั ทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล 14 (Individualized Education Program: IEP)...................................................... การจัดทาแผนการใหบ้ ริการเฉพาะครอบครวั 21 (Individualzed Family Service Plan: IFSP).................................................. การใหบ้ ริการช่วงเช่ือมต่อของผูเ้ รียนท่ีมีความต้องการพเิ ศษ (Transition Services)…………………………………………………………………………………. 29 ศูนยบ์ ริการสนับสนุนผู้เรียนท่ีมคี วามต้องการพิเศษ SSSC 35 (Student Support Services Center)………………………………………………………. หน่วยที่ 3 นวตั กรรมการจัดการศึกษาสาหรบั ผูเ้ รยี นที่มีความตอ้ งการพเิ ศษ………………….….. 36 การตอบสนองตอ่ การช่วยเหลอื (Responsiveness to Intervention: RTI) ....... 36 เทคโนโลยีสิง่ อานวยความสะดวก (Assistive Technology: AT)......................... 40 การออกแบบการเรียนรทู้ ี่เป็นสากล (Universal Design for Learning: UDL) …. 42 กรอบแนวคิด (Student, Environment, Task, Tools: SETT)........................... 44 สรุปสาระสาคัญ…………………………………………………………………………………………………………… 48 แหล่งข้อมูลเพ่ิมเตมิ ทีต่ ้องศึกษา บรรณานุกรม คณะทางาน

แนวทางการใช้ชดุ การศกึ ษาดว้ ยตนเอง ท่านทีศ่ กึ ษาเอกสารควรปฏิบตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ศกึ ษาขอบข่ายของเน้ือหา และสาระสาคัญของเอกสาร 2. ทาความเขา้ ใจเน้อื หาอยา่ งละเอียด 3. ศกึ ษาจากแหลง่ ความรเู้ พิ่มเติม 4. โปรดระลกึ ไว้เสมอวา่ การศึกษาจากเอกสารด้วยตนเอง เปน็ เพียงสว่ นหนึ่งของการพฒั นา ความร้ดู ้านการศึกษาพเิ ศษเท่าน้นั ควรศกึ ษาคน้ ควา้ จากแหล่งความรู้อน่ื ๆ เพม่ิ เติม

หน่วยที่ 1 รูปแบบการจัดการศึกษาสาหรับผูเ้ รยี นทม่ี คี วามต้องการพิเศษ การจัดการศึกษาสาหรับบุคคลท่ีมีความต้องการพิเศษในประเทศไทยปัจจุบันน้ีมีรูปแบบการจัดท่ี หลากหลาย และผู้เรียนท่ีมีความต้องการพิเศษสามารถเลือกรับบริการได้ตามอายุ ประเภทความพิการ และระดับความรนุ แรง ดงั น้ี รูปแบบการจัดการศกึ ษาของศนู ย์การศกึ ษาพเิ ศษ ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ สงั กัดสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษา ข้ันพ้ืนฐาน จัดตั้งขึ้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี 31 กรกฎาคม 2543 โดยมีความเป็นมาของการ ก่อต้ัง คือ กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศจัดตั้งศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษาและส่วนกลาง ตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันท่ี 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2539 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันท่ี 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ลงวันท่ี 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 และได้ประกาศจัดต้ังศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจาจังหวัด ลงวันที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2543 โดยให้ ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ส่วนกลางและประจาจังหวัดจัดการศึกษาในลักษณะศูนย์บริการ ช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อมของคนพิการรวมทั้งสนับสนุน การจัดการเรียนการสอน การจัดสื่อ สิ่งอานวยความสะดวก การให้บริการและความช่วยเหลือที่เก่ียวข้อง ทาการวิจัยและอบรม บุคลากร รวมถึงการจัดครเู ดนิ สอนแก่คนพกิ ารและสถานศกึ ษา บทบาทหนา้ ที่ เนื่องจากมีพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 และประกาศ กระทรวงศึกษาธกิ าร เรื่องการปฏิบัติหน้าท่ีอื่นของศูนย์การศึกษาพิเศษ พ.ศ. 2553 กระทรวงศึกษาธิการ จงึ กาหนดบทบาทหนา้ ทีศ่ ูนย์การศึกษาพเิ ศษ ดงั นี้ 1. จัดและส่งเสริม สนับสนุนการศึกษาในลักษณะศูนย์บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม (Early Intervention: EI) และเตรียมความพร้อมของคนพิการ เพื่อเข้าสู่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก โรงเรียนอนุบาล โรงเรียนเรียนร่วม โรงเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นตน้ 2. พฒั นา และฝึกอบรมผ้ดู แู ลคนพิการ บคุ ลากรทีจ่ ัดการศึกษาสาหรับคนพิการ 3. จัดระบบและส่งเสริม สนบั สนุนการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) ส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา สาหรบั คนพิการ 4. จัดระบบบรกิ ารช่วงเชื่อมตอ่ สาหรบั คนพกิ าร (Transitional Services) 5. ใหบ้ ริการฟ้ืนฟูสมรรถภาพคนพิการ โดยครอบครัวและชุมชน ด้วยกระบวนการทางการศึกษา 6. เปน็ ศูนยข์ ้อมลู รวมท้งั จดั ระบบขอ้ มลู สารสนเทศด้านการศกึ ษาสาหรับคนพกิ าร 7. จัดระบบสนับสนุนการจัดการเรียนร่วม และประสานงานการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการใน จังหวัด 8. ภาระหน้าทีอ่ ่นื ตามทกี่ ฎหมายกาหนดหรือตามที่ได้รับมอบหมาย

2 ศูนย์การศึกษาพิเศษแบ่งเป็นศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา จานวน 13 เขตการศึกษา และศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั จานวน 64 จงั หวัด ดงั น้ี 1. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 1 จังหวดั นครปฐม 2. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 2 จังหวัดยะลา 3. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 3 จังหวดั สงขลา 4. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 4 จงั หวัดตรงั 5. ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 5 จังหวดั สุพรรณบุรี 6. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 6 จังหวดั ลพบรุ ี 7. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ เขตการศกึ ษา 7 จังหวัดพษิ ณโุ ลก 8. ศนู ย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จงั หวัดเชยี งใหม่ 9. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 9 จงั หวัดขอนแก่น 10. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 10 จังหวดั อุบลราชธานี 11. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษ เขตการศึกษา 11 จงั หวดั นครราชสีมา 12. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษ เขตการศกึ ษา 12 จงั หวดั ชลบรุ ี 13. ศูนย์การศึกษาพิเศษสว่ นกลาง กรงุ เทพมหานคร 14. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั นนทบุรี 15. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั ปทุมธานี 16. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดสมทุ รปราการ 17. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดสมุทรสาคร 18. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั นราธิวาส 19. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั ปัตตานี 20. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดสตูล 21. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดชุมพร 22. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดนครศรธี รรมราช 23. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดพทั ลงุ 24. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดสุราษฎร์ธานี 25. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดภูเกต็ 26. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดกระบี่ 27. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั พงั งา 28. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั ระนอง 29. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดราชบรุ ี 30. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดประจวบครี ขี นั ธ์ 31. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดสมทุ รสงคราม 32. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั กาญจนบรุ ี 33. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั เพชรบุรี 34. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา 35. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดสงิ ห์บุรี

3 36. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั อทุ ัยธานี 37. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดชัยนาท 38. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดสระบุรี 39. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดอา่ งทอง 40. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดกาแพงเพชร 41. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั ตาก 42. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวดั นครสวรรค์ 43. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวดั พจิ ติ ร 44. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั เพชรบรู ณ์ 45. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั สโุ ขทยั 46. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอตุ รดิตถ์ 47. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดแม่ฮ่องสอน 48. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั ลาพูน 49. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวดั เชียงราย 50. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั พะเยา 51. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั แพร่ 52. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวดั น่าน 53. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั ลาปาง 54. ศนู ยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวดั เลย 55. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวดั อดุ รธานี 56. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวัดสกลนคร 57. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดหนองคาย 58. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดหนองบวั ลาภู 59. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวดั มหาสารคาม 60. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดมกุ ดาหาร 61. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดอานาจเจริญ 62. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั กาฬสินธุ์ 63. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั นครพนม 64. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดยโสธร 65. ศูนยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดรอ้ ยเอด็ 66. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวดั บรุ ีรมั ย์ 67. ศนู ย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดสรุ ินทร์ 68. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวัดชยั ภูมิ 69. ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษประจาจังหวัดศรสี ะเกษ 70. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวดั จันทบุรี 71. ศูนย์การศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดฉะเชิงเทรา 72. ศนู ย์การศึกษาพิเศษประจาจังหวดั ตราด

4 73. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจังหวัดนครนายก 74. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดปราจนี บุรี 75. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดระยอง 76. ศูนย์การศึกษาพเิ ศษประจาจงั หวัดสระแกว้ 77. ศนู ยก์ ารศึกษาพิเศษประจาจงั หวัดบึงกาฬ ผลผลติ เม่อื พจิ ารณาผลผลิตของศูนย์การศึกษาพิเศษจะเห็นได้ว่าเป็นผู้เรียนท่ีได้รับบริการทางการศึกษา จากสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานที่ระบุในเอกสารพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจาปงี บประมาณ 2549 เป็นผลผลิตท่ี 4 ดงั นี้ 1. ผจู้ บการศึกษากอ่ นประถมศึกษา 2. ผจู้ บการศกึ ษาภาคบังคับ 3. ผูจ้ บการศึกษามธั ยมศึกษาตอนปลาย 4. เดก็ พิการไดร้ บั การศึกษาขน้ั พื้นฐานและการพฒั นาสมรรถภาพ 5. เด็กดอ้ ยโอกาสไดร้ ับการศึกษาขนั้ พื้นฐาน ต่อมาสานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้จัดทาหลักเกณฑ์การวิเคราะห์แผนการให้บริการเพื่อ พัฒนาสมรรถภาพเด็กพิการประจาปี สาหรับศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษาและศูนย์การศึกษา พิเศษประจาจังหวัด เพื่อให้สอดคล้องกับผลผลิตของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน มี 8 ส่วน ดงั นี้ 1. การให้บริการทศี่ ูนย์การศึกษาพเิ ศษ แบบไป-กลับหมนุ เวยี น 1.1 การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มและเตรียมความพร้อม จานวนกลุ่มเปูาหมาย บรกิ ารสาธารณะ 80 คนตอ่ เดือน 1.2 การให้บรกิ ารเด็กพกิ ารในโรงเรยี นจัดการเรียนรว่ มสง่ มาขอรบั การเตรยี มความพรอ้ ม จานวนกลุ่มเปาู หมายบริการสาธารณะ 30 คนต่อปี 2. การให้บริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ แบบประจาหมุนเวียน จานวนกลุ่มเปูาหมายบริการ สาธารณะ 40 คนต่อเดอื น (เฉพาะในศนู ย์การศกึ ษาพิเศษ เขตการศึกษา) 2.1 การใหบ้ รกิ ารทบ่ี ้านแบบหมุนเวยี น จานวนกล่มุ เปูาหมายบริการสาธารณะ 40 คน ต่อปี 2.2 การให้บริการเด็กเจ็บปุวยเร้ือรังในโรงพยาบาล จานวนกลุ่มเปูาหมายบริการ สาธารณะ 20 คนต่อปี 3. การพัฒนาครู – ผู้บริหาร – บุคลากร – ผู้ปกครอง – พี่เลี้ยง – ผู้ดูแล และผู้เกี่ยวข้องใน โรงเรยี นเรียนรว่ ม จานวนกลมุ่ เปูาหมายบรกิ ารสาธารณะ 600 คนต่อปี 4. การพัฒนาหน่วยงานและบุคลากรท่ีเก่ียวข้องให้เป็นหน่วยบริการและผู้ให้บริการตาม กฎกระทรวงกาหนดหลักเกณฑ์และวิธีการให้คนพิการได้รับส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความ ช่วยเหลอื อ่นื ใดทางการศึกษา พ.ศ. 2545 จานวนกลุ่มเปูาหมายบรกิ ารสาธารณะ 250 คนตอ่ ปี 5. การประสานส่งเสรมิ สนบั สนนุ และพัฒนาใหค้ วามรงู้ านจดั การเรียนรว่ มในจงั หวัด 6. การพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศเด็กพิการ ทางการศึกษา 9 ประเภทในจังหวัด ได้แก่ (1) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการเห็น (2) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน (3) บุคคลท่ีมีความ

5 บกพร่องทางสติปัญญา (4) บุคคลท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคล่ือนไหว หรือสุขภาพ (5) บุคคลท่ีมีความบกพรอ่ งทางการเรียนรู้ (6) บุคคลที่มีความบกพร่องทางการพูดและภาษา (7) บุคคล ท่มี คี วามบกพร่องทางพฤติกรรมหรอื อารมณ์ (8) บคุ คลออทิสติก และ(9) บุคคลพกิ ารซอ้ น รูปแบบการจดั การศกึ ษาของโรงเรยี นการศกึ ษาพเิ ศษ การจัดการศึกษาสาหรบั ผูเ้ รยี นทมี่ คี วามตอ้ งการพิเศษในรูปแบบของโรงเรียนการศึกษาพิเศษเป็น รูปแบบของสถานศึกษาท่ีผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษซ่ึงผ่านการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมจาก ศูนย์การศึกษาพิเศษมาแล้ว และมีความรุนแรงของความพิการที่ยังไม่สามารถศึกษาต่อในโรงเรียนท่ัวไป ได้ จึงเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนการศึกษาพิเศษ ซึ่งโรงเรียนประเภทน้ีมักจัดเป็นโรงเรียนพักประจา มีเรือนนอนให้ผู้เรียนได้พักในระหว่างเรียน สาหรับโรงเรียนการศึกษาพิเศษสังกัดสานักบริหารงาน การศึกษาพิเศษ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน จัดว่าเป็นสถานศึกษาท่ีเป็นนิติบุคคล มีจานวนท้งั สิ้น 43 โรงเรียน ใน 35 จงั หวัด แบ่งออกเปน็ 4 ประเภทความพกิ าร ดังนี้ 1. โรงเรียนการศึกษาพิเศษสาหรับผู้เรียนที่มีความบกพร่องทางการเห็น มี 2 โรงเรียน ใน 2 จังหวัด รบั เด็กอนบุ าล – มัธยมศกึ ษาตอนปลาย แบบอย่ปู ระจา ได้แก่ 1.1 โรงเรยี นสอนคนตาบอดภาคเหนอื ในพระบรมราชนิ ูปถัมภ์ จังหวดั เชียงใหม่ 1.2 โรงเรียนสอนคนตาบอดภาคใต้ จงั หวดั สุราษฎรธ์ านี 2. โรงเรียนการศกึ ษาพิเศษสาหรับผู้เรยี นที่มีความบกพร่องทางการได้ยนิ มี 20 โรงเรยี น ใน 19 จงั หวัด รับเดก็ อนบุ าล – มัธยมศึกษาตอนปลาย แบบอยู่ประจา ได้แก่ 2.1 โรงเรยี นเศรษฐเสถียรในพระราชูปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร 2.2 โรงเรียนโสตศึกษาท่งุ มหาเมฆ กรุงเทพมหานคร 2.3 โรงเรียนโสตศกึ ษาจังหวดั นนทบุรี 2.4 โรงเรยี นโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม 2.5 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดสงขลา 2.6 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครศรีธรรมราช 2.7 โรงเรียนโสตศกึ ษาเทพรัตน์ จงั หวดั ประจวบครี ขี ันธ์ 2.8 โรงเรียนโสตศึกษาจงั หวดั กาญจนบรุ ี 2.9 โรงเรยี นโสตศึกษาปานเลศิ จังหวดั ลพบรุ ี 2.10 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดตาก 2.11 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดเพชรบรู ณ์ 2.12 โรงเรยี นโสตศึกษาอนสุ ารสนุ ทร จังหวดั เชยี งใหม่ 2.13 โรงเรียนโสตศกึ ษาจงั หวดั ขอนแก่น 2.14 โรงเรียนโสตศึกษาจงั หวดั อุดรธานี 2.15 โรงเรยี นโสตศึกษาจงั หวดั มุกดาหาร 2.16 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดรอ้ ยเอ็ด 2.17 โรงเรียนโสตศกึ ษาจังหวดั สรุ นิ ทร์ 2.18 โรงเรยี นโสตศึกษาจงั หวัดชยั ภูมิ 2.19 โรงเรียนโสตศกึ ษาจังหวดั ชลบรุ ี

6 2.20 โรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดปราจีนบรุ ี 3. โรงเรียนการศกึ ษาพเิ ศษสาหรบั ผูเ้ รยี นท่ีมคี วามบกพร่องทางสตปิ ญั ญา มี 19 โรงเรียน ใน 19 จงั หวัด รับเด็กอนุบาล – มัธยมศกึ ษาตอนปลาย แบบอยปู่ ระจา ได้แก่ 1) โรงเรยี นชุมพรปญั ญานกุ ูล 2) โรงเรยี นสงขลาพฒั นาปัญญา 3) โรงเรยี นนครศรธี รรมราชปัญญานกุ ลู 4) โรงเรียนภเู ก็ตปัญญานกุ ลู 5) โรงเรียนสพุ รรณบุรปี ัญญานุกูล 6) โรงเรียนเพชรบุรีปัญญานุกูล 7) โรงเรียนลพบุรีปญั ญานกุ ูล 8) โรงเรียนนครสวรรคป์ ัญญานกุ ูล 9) โรงเรียนพิษณโุ ลกปัญญานุกูล 10) โรงเรยี นพิจิตรปัญญานกุ ูล 11) โรงเรยี นกาวิละอนุกลู จงั หวดั เชียงใหม่ 12) โรงเรียนน่านปญั ญานกุ ลู 13) โรงเรยี นเชยี งรายปญั ญานุกูล 14) โรงเรียนแพรป่ ัญญานุกูล 15) โรงเรยี นอบุ ลปัญญานกุ ลู 16) โรงเรยี นกาฬสนิ ธุป์ ญั ญานุกูล 17) โรงเรยี นนครราชสีมาปัญญานกุ ลู 18) โรงเรยี นระยองปญั ญานุกลู 19) โรงเรยี นฉะเชงิ เทราปญั ญานกุ ลู 4. โรงเรยี นการศึกษาพเิ ศษสาหรับผู้เรยี นทมี่ ีความบกพร่องทางร่างกาย หรือการเคลื่อนไหว หรือ สุขภาพ มี 2 โรงเรยี น ใน 2 จงั หวดั รบั เด็กอนบุ าล – มัธยมศึกษาตอนปลาย แบบอย่ปู ระจา ได้แก่ 1) โรงเรยี นศรีสังวาลย์ขอนแก่น จังหวัดขอนแกน่ 2) โรงเรียนศรสี ังวาลย์เชยี งใหม่ จังหวดั เชยี งใหม่ โรงเรียนการศกึ ษาพิเศษเปน็ การจดั การศึกษาในรูปแบบของโรงเรียนการศึกษาพิเศษตามประเภท ความพิการแต่ละประเภท โดยจัดให้ทุกระดับต้ังแต่ชั้นเรียนเตรียมความพร้อมก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา มีทั้งการศึกษาสายสามัญและสายอาชีพมีการจัดทาหลักสูตรเฉพาะ ประเภทความพิการที่สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นของแต่ละกลุ่มจัดทาโปรแกร มการศึกษาเฉพาะ บุคคล การมีบุคคลกรที่เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีสื่อ เทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก และบริการท่ีเพียงพอ และมคี ณุ ภาพ ข้อดีของโรงเรียนการศึกษาพิเศษ คือ พ่อ แม่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและมีเวลาไปทางานหารายได้ ครูมีความรู้ทางการศึกษาพิเศษ เด็กมีความรับผิดชอบมากขึ้น เนื่องจากไม่มีพ่อแม่คอยช่วยเหลือ แต่ ข้อจากัดคือ เด็กจะเหงาและขาดความอบอุ่น ครูตอ้ งดแู ลเด็กเปน็ จานวนมากไม่ท่ัวถึง และเด็กบกพร่องอยู่ ร่วมกันทาให้เลียนแบบพฤตกิ รรมท่ไี มเ่ หมาะสม เด็กอาจจะขาดทักษะบางอย่างในการดารงชีวิตประจาวัน รว่ มกับคนท่วั ไป

7 รูปแบบการจัดการศกึ ษาของโรงเรยี นเรียนร่วม การจัดการศึกษาให้แก่บุคคลที่มีความบกพร่องประเภทต่างๆ ได้เรียนร่วมกับเด็กปกติทั่วไปนั้น จะต้องคานึงถึงความหมายของเด็กแต่ละบุคคล โดยใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลเป็นตัวกาหนด รูปแบบการจัดการเรียนร่วมในแบบต่างๆ ที่เหมาะสมกับเด็กโดยได้รับความร่วมมือสนับสนุนและความ รว่ มมือจากบคุ คลที่เกี่ยวขอ้ ง ให้เดก็ ไดเ้ ข้าเรยี นร่วมมากท่ีสุด เพื่อเด็กสามารถดารงชีวิตในสังคมได้อย่าง ปกติสขุ ในภาษาองั กฤษมีคาทมี่ คี วามหมายเกี่ยวกับการเรยี นร่วม 2 คา คอื Mainstreaming หมายถึง การเรียนร่วมเต็มเวลานั่นคือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษ จะถูกส่ง เขา้ ไปเรยี นในห้องเรยี นสาหรบั เดก็ ปกตทิ ุกอยา่ ง และไม่มีการบริการเพมิ่ เติมสาหรับเด็กประเภทนี้ Integration หมายถึง การเรียนร่วมระหว่างเด็กที่มีความต้องการพิเศษกับเด็กปกติ แต่เป็น การเรียนร่วมบางเวลา น่ันคือ เด็กที่มีความต้องการพิเศษจะเข้าไปเรียนร่วมในช้ันปกติบางเวลาเท่านั้น และมคี วามหมายรวมไปถงึ การจัดการชั้นพิเศษในโรงเรียนปกติดว้ ย รูปแบบของการจดั การเรยี นรว่ ม การจัดรปู แบบการเรยี นร่วมอาจจดั ได้ในลกั ษณะต่างๆ ดังนี้ 1. ชัน้ เรยี นปกตเิ ตม็ วนั เปน็ การจัดเดก็ ทม่ี คี วามตอ้ งการพิเศษเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติเต็มเวลา และเรยี นเหมือนกบั เดก็ ปกติทุกประการ โดยอยู่ในความดแู ลของครูประจาชั้นและนกั เรยี นไม่ได้รับบริการ ทางการศึกษาพิเศษโดยตรงเด็กที่จะเข้าเรียนในลักษณะนี้ได้ควรเป็นเด็กที่มีความพิการน้อยมีความพร้อม ในด้านการเรียนตลอดจนวฒุ ิภาวะทางอารมณแ์ ละสงั คม เดก็ จะไดร้ ับบรกิ ารเสรมิ ทางออ้ มได้แก่ 1.1 จัดบริการสื่อวัสดุ อุปกรณ์ที่จาเป็นในการศึกษาให้ เช่น แว่นสายตา หรือแว่น ขยาย บรกิ ารลา่ มภาษามือ 1.2 จัดครูการศึกษาพิเศษ ช่วยให้คาแนะนา เทคนิคการสอน และความต้องการ ทวั่ ไปของเดก็ พเิ ศษใหก้ บั ครูเรียนร่วมช้นั ปกตเิ ป็นการนเิ ทศภายใน 1.3 จดั อบรมครูท้งั โรงเรยี น ใหม้ คี วามรทู้ างดา้ นการสอนเด็กพิเศษ 2. เรียนร่วมช้นั ปกติเตม็ วนั และมคี รูการศกึ ษาพิเศษใหค้ าปรกึ ษา การจัดการเรียนรว่ มวิธนี ค้ี ล้ายกับวิธีแรกก็คือ นักเรียนพิเศษเรียนร่วมกับเด็กปกติเต็มเวลาแต่มี ครูการศึกษาพิเศษคอยช่วยเหลือครูประจาช้ันและครูประจาวิชา ครูการศึกษาพิเศษนี้เรียกว่าครูที่ ปรึกษา ครูประเภทนี้ไม่ทาการสอนโดยตรง แต่ให้คาแนะนาแก่ครูท่ีสอนเด็กเก่ียวกับวิธีการสอนจัด สภาพแวดล้อมและจัดหาส่ิงอานวยความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสมกับเด็ก รวมท้ังช่วยประเมินผล พฒั นาการในการเรียนรู้ของเด็กพเิ ศษดว้ ย 3. การเรียนร่วมปกตเิ ตม็ วนั และบรกิ ารครเู ดินสอน เป็นการจัดการเรยี นตามปกติในห้องเรียนปกตอิ ยู่ในความดูแลของครูประจาชั้น แต่ได้รับบริการ ด้านการสอนเสริมจากครูเดินสอนตามตารางท่ีกาหนดหรือถ้าเด็กพิเ ศษคนใดมีความต้องการจาเป็น ทางดา้ นกายภาพบาบดั นักกจิ กรรมบาบดั ครูแกไ้ ขการพูด ซ่ึงครูเดินสอนจะเดินทางไปตามโรงเรียนต่างๆ เพือ่ ใหค้ วามชว่ ยเหลอื แก่เด็กพิเศษเนอื่ งจากจานวนเดก็ ในแต่ละโรงเรียนมีไม่มากนกั (ประมาณโรงเรียนละ 3–4 คน) ครูจึงต้องเดินจากโรงเรยี นหน่ึงไปอกี โรงเรยี นหน่ึง จึงเรียกครปู ระเภทนี้วา่ “ครูเดินสอน” 4. การเรียนร่วมชน้ั ปกตเิ ต็มวันและบรกิ ารสอนเสริม รับการสอนเสริมจากครูสอนเสริมนักเรียนพิเศษเรียนในชั้นปกติเต็มเวลาแต่จะได้ครูสอนเสริม คือ ครูการศึกษาพิเศษที่ปฏิบัติงานประจาอยู่ในห้องเสริมวิชาการ นักเรียนพิเศษท่ีต้องการเรียนเสริม

8 บางวิชากจ็ ะไดร้ ับตารางเรยี นสอนเสรมิ เปน็ เวลา อาจจะวันละ 1–2 ชั่วโมง หรือมากกว่าน้ีข้ึนอยู่กับความ ต้องการพิเศษของเด็ก เด็กทุกคนท่ีเข้ามาในห้องนี้จะต้องมีตารางเรียนท่ีกาหนดไว้แน่นอนครูสอนเสริม อาจจะมคี นเดียวหรอื หลายคนกไ็ ด้ข้ึนอยกู่ บั จานวนและประเภทของเด็กพิเศษ อาจสอนเด็กเป็นรายบุคคล หรือกล่มุ เล็กๆ กไ็ ด้ และสอนในเนอื้ หาทเ่ี ด็กไมไ่ ดร้ ับการสอนในชั้นเรียนปกติ เช่น ภาษามือสาหรับเด็กหู หนวก อักษรเบรลล์สาหรับเด็กตาบอด หรือสอนเนื้อวิชาที่เด็กมีปัญหา ครูสอนเสริมยังมีหน้าท่ีให้ คาแนะนาปรกึ ษาแกค่ รูปกตใิ นโรงเรียนเรยี นรว่ มอีกด้วย ห้องเสริมวิชาการ (Resource Room) เป็นห้องที่มีขนาดเท่ากับห้องเรียนหรืออาจมีขนาดใหญ่ กว่าหรือเล็กกว่าก็ได้ ในห้องมีอุปกรณ์ เคร่ืองมือ ตลอดจนเอกสารและหนังสือท่ีจาเป็นต้องใช้ในการ สอนเดก็ ท่ีมคี วามต้องการพเิ ศษ 5. ชนั้ พเิ ศษในโรงเรยี นปกตแิ ละเรียนรว่ มบางวิชา เป็นการจัดเด็กพเิ ศษไวใ้ นชนั้ เรียนพิเศษโดยรวมประเภทของเด็กพิเศษไว้เป็นกลุ่มในห้องเดียวกัน มีครกู ารศกึ ษาพิเศษเป็นผดู้ ูแลและสอนแทบทุกวิชา มบี างวชิ าทใ่ี หเ้ ด็กพเิ ศษเขา้ เรียนร่วมในชั้นเรียนปกติ กับเด็กปกติ เช่น วิชาพลศึกษา ศิลปศึกษา ดนตรี– นาฏศิลป์ การงานพ้ืนฐานอาชีพ จริยศึกษา จะเรียน ร่วมได้มากหรือน้อยข้ึนอยู่กับความสามารถของเด็กแต่ละบุคคล ซึ่งครูการศึกษาพิเศษและครูปกติต้อง รว่ มกนั ทางานรว่ มกันรบั ผิดชอบรูปแบบนีจ้ ดั ไดท้ ง้ั ประถมศกึ ษาและมัธยมศกึ ษา 6. ชั้นเรียนพิเศษในโรงเรียนปกติ เป็นการจัดเด็กพิเศษท่ีมีความบกพร่องประเภทเดียวกันไว้รวมกันเป็นกลุ่มเด็กเหล่านี้จ ะเรียนใน ช้ันพิเศษตลอดเวลา โดยมีครูการศึกษาพิเศษสอนทุกวิชา การเรียนร่วมในลักษณะนี้จะจัดให้กับเด็ก พเิ ศษท่ีมคี วามพกิ ารคอ่ นข้างมาก แตเ่ ดก็ จะไดโ้ อกาสเข้ารว่ มกจิ กรรมทวั่ ไปกับเดก็ ปกติในโรงเรียน เช่น การเข้าแถวเคารพธงชาติ การรับประทานอาหาร การจดั งานหรอื กิจกรรมในโรงเรยี น วนั ไหวค้ รู เปน็ ต้น การจัดการเรียนร่วมทั้ง 6 รูปแบบหรือการจัดการเรียนร่วมในลักษณะอ่ืนได้น้ัน ข้ึนอยู่กับ สภาพความพกิ ารและความพรอ้ มของเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ (Special needs) รวมท้ังจาก หลายๆ ฝาุ ยได้แก่ ผปู้ กครอง เดก็ ครู ผูบ้ รหิ าร บุคลากรต่างๆ ที่เกย่ี วขอ้ งและ นกั วชิ าชีพทีจ่ ะร่วมกัน จดั การเรียนรว่ มไดเ้ หมาะสมทีส่ ุดดังแผนภมู นิ ้ี น้อยทีส่ ดุ รูปแบบท่ี 1 ชั้นเรยี นปกตเิ ต็มวนั นอ้ ยทีส่ ุด ความรนุ แรงของปัญหา รปู แบบท่ี 2 ชน้ั เรยี นปกติเต็มวันและบริการปรกึ ษาหารือ ความตอ้ งการพเิ ศษ รปู แบบท่ี 3 ชั้นเรยี นปกตเิ ตม็ วันและบรกิ ารครเู ดินสอน มากที่สุด รปู แบบที่ 4 ช้ันเรยี นปกติเต็มวนั และบรกิ ารสอนเสรมิ มากทส่ี ุด รปู แบบที่ 5 ชัน้ เรียนพเิ ศษและชัน้ เรยี นปกติ รูปแบบท่ี 6 ช้นั เรียนพเิ ศษในโรงเรียนปกติ สภาพแวดลอ้ มที่มขี ดี จากดั มากท่สี ุด

9 การจัดการเรียนร่วมในลักษณะใดน้ัน ขึ้นอยู่กับสภาพความพร้อมของเด็กไม่ว่าจะเป็นความ พร้อมทางด้านร่างกาย สติปัญญา และอารมณ์ ถ้าเด็กมีความพร้อมมากก็สามารถเรียนร่วมในชั้นเรียน ปกติได้มาก แต่ถ้าเดก็ มีความพร้อมน้อยก็จะเรียนรว่ มได้นอ้ ยลง ปัจจุบันการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ มุ่งจัดในลักษณะการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education) ซ่ึงหมายถงึ การจดั การศกึ ษาใหก้ บั เดก็ ทกุ คนในระบบการศึกษาเดียว โดยไม่แยก วา่ เดก็ พิการต้องไปเรียนในสถานศกึ ษาเฉพาะทาง รวมท้ังเด็กพิการต้องได้รับการสนับสนุนทุกด้าน ท้ังด้าน การแพทย์ วิชาการ ส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา โรงเรียน ต้องปรับเปล่ียนหลักสูตร ยุทธศาสตร์ การบริหารจัดการ เทคนิคการเรียนการสอน สถานท่ี ฯลฯ รวมทั้ง จดั บคุ ลากรสนบั สนนุ ทง้ั นเี้ พอ่ื ให้เดก็ พิการได้เรียนรวมในสถานศกึ ษาเดียวกัน รปู แบบการจัดการศกึ ษาของศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ หมายถึง สถานศึกษาที่จัดการศึกษานอกระบบ หรือตาม อัธยาศัยแก่คนพิการโดยเฉพาะ โดยหน่วยงานการศึกษานอกโรงเรียน บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กร เอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ โรงพยาบาล สถาบันทางการแพทย์ สถานสงเคราะห์และสถาบันทางสังคมอื่นเป็นผู้จัด ต้ังแต่ระดับการศึกษาปฐมวัย การศึกษาข้นั พ้นื ฐาน อาชวี ศึกษา อุดมศึกษาและหลักสตู รระยะสั้น เน่ืองจากศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการได้ถูกกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการจัดการศึกษา สาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 แตย่ งั ไมม่ กี ารดาเนินการที่เป็นระบบและเหมาะสม ในปีงบประมาณ 2556 สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษจึงได้กาหนดเป็นจุดเน้นให้ศูนย์การศึกษาพิเศษในสังกัดจานวน 77 ศูนย์ได้ดาเนินการสนับสนุนส่งเสริมให้เกิดการก่อตั้งศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการข้ึนอย่างน้อยอาเภอ ละ 1 ศูนยก์ ารเรยี น วัตถุประสงคข์ องการจัดตงั้ ศูนยก์ ารเรยี นเฉพาะความพิการ 1. เพ่อื ให้ครอบครัวมคี วามตระหนักร้ใู นเร่ืองการดแู ลและพัฒนาศกั ยภาพคนพิการ 2. เพื่อให้ครอบครัวมีความรู้ ความเข้าใจ มีเจตคติท่ีดี และทักษะ สามารถพัฒนาศักยภาพคน พกิ ารได้ 3. เพ่ือให้ครอบครัว มีการรวมกลุ่ม แลกเปล่ียนเรียนรู้ และเสริมสร้างกาลังใจซ่ึงกันและกัน ตลอดจนมกี ารสรา้ งเครอื ขา่ ยในทกุ ระดบั 4. เพื่อให้คนพิการมีพัฒนาการเต็มศักยภาพ และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อ่ืนในสังคมได้อย่างมี ความสุข หลกั สตู รทศี่ ูนยก์ ารเรยี นเฉพาะความพกิ ารสามารถดาเนินการจดั การศึกษาได้ 1. หลกั สูตรการให้บริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิม 2. หลกั สตู รการศกึ ษาปฐมวยั 3. หลักสตู รการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน 4. หลกั สูตรการศกึ ษาระดบั อาชวี ศึกษา 5. หลกั สูตรการศึกษาระดบั อุดมศึกษา 6. หลักสตู รการศกึ ษานอกระบบและตามอธั ยาศัย 7. หลักสูตรระยะสั้น

10 การบริหารจัดการ 1. หลกั การ 1.1 ครอบครัว เป็นผู้จัดการศึกษาให้กับคนพิการ และบริหารจัดการศูนย์การเรียน เฉพาะความพิการอยา่ งมสี ่วนรว่ ม 1.2 คนพิการและครอบครวั เปน็ ศนู ย์กลางของการจดั การศกึ ษา 1.3 จัดการศึกษาโดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เช่น ศูนย์การศึกษาพิเศษ องค์กร ปกครองส่วนท้องถ่ิน ชมุ ชน โรงพยาบาล องคก์ รเอกชน มลู นิธิ ฯลฯ 1.4 ศูนยก์ ารศึกษาพเิ ศษมหี น้าทีใ่ หค้ าปรกึ ษา คาแนะนา ความรู้ สง่ เสริมและสนับสนุน ดา้ นวชิ าการ ด้านการบรหิ าร ด้านการจดั การศึกษา และด้านอน่ื ๆ แก่ครอบครัว 2. กระบวนการทางานของศนู ย์การศึกษาพเิ ศษเพือ่ การจัดตั้งศนู ย์การเรยี นเฉพาะความพกิ าร 2.1 ขน้ั เตรยี มการ ประสานงานเพอื่ สารวจข้อมูลคนพิการในชุมชน ร่วมกับเครือข่ายในการทาเวทีประชาคม ครอบครัวท่ีมคี นพกิ ารในพื้นทีเ่ พ่ือใหเ้ กิดเปูาหมายร่วมกัน 2.2 ขัน้ จดั ตงั้ ศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ ร่วมกับเครือข่ายในการสร้างความตระหนักให้ผู้ปกครองเห็นความสาคัญในการพัฒนา ศกั ยภาพคนพกิ ารดว้ ยวธิ ีการที่หลากหลาย ร่วมกับเครือข่ายจัดประชุมผู้ปกครองเพื่อรวมกลุ่มดาเนินการจัดศูนย์การเรียนเฉพาะ ความพกิ าร สนับสนุน ส่งเสริมให้กลุ่มผู้ปกครองกาหนดโครงสร้างการดาเนินงานและบทบาทหน้าท่ี ของศนู ย์การเรียนเฉพาะความพกิ าร และกาหนดข้อตกลงรว่ มกัน การจัดระบบการจัดการศึกษา เช่น จัดทาแผนการจัดการศึกษาของศูนย์การเรียน เฉพาะความพิการ สถานท่ี กิจกรรมการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ผู้รับผิดชอบในแต่ละกิจกรรม เคร่อื งมอื และอปุ กรณ์ งบประมาณ ปฏิทนิ การจัดกิจกรรม ตารางการใหบ้ รกิ าร 3. ขน้ั การดาเนินงานและสรา้ งความเข้มแขง็ ใหศ้ ูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ 3.1 ดาเนนิ การตามแผนและปฏิทินการปฏบิ ตั งิ าน 3.2 พัฒนาผู้ปกครองให้เกิดองค์ความรู้ในเรื่องการจัดการศึกษา การฟ้ืนฟูสมรรถภาพ การสร้างอาชพี การดารงชวี ิตอสิ ระ โดยจัดทาเปน็ คู่มอื สาหรับผปู้ กครอง 3.3 พัฒนาผู้ปกครองให้เกิดความรู้ในเร่ืองการจัดการศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ เชน่ ด้านวิชาการ ด้านทรพั ยากร ด้านข้อมลู ดา้ นการเงนิ เป็นตน้ 3.4 สร้างแรงจูงใจให้ครอบครัวและผู้ปกครองในการร่วมกันพัฒนาศักยภาพคนพิการ เชน่ จัดค่ายครอบครวั คา่ ยสาหรับคนพกิ าร ศึกษาดูงาน มอบทุนการศกึ ษา ยกย่องเชิดชเู กียรติ 3.5 จัดกจิ กรรมแลกเปลยี่ นเรียนรรู้ ะหวา่ งศูนยก์ ารเรยี นเฉพาะความพิการ ตลอดจนการ คดั เลอื กผลงานดีเดน่ เพือ่ ยกยอ่ งเชดิ ชเู กยี รติ 3.6 สร้างและพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ในระดับครอบครัว และศูนย์การเรียนเฉพาะ ความพกิ าร

11 4. การนเิ ทศ ตดิ ตาม และประเมนิ ผลโดยศนู ย์การศึกษาพเิ ศษ 4.1 สร้างเคร่อื งมอื ประเมิน และติดตามในแต่ละกิจกรรมย่อย 4.2 ติดตาม ประเมนิ ผลระหวา่ งการดาเนินงาน และหลงั การดาเนนิ งาน 4.3 รายงานผลการดาเนนิ งานตอ่ สานกั บรหิ ารงานการศึกษาพิเศษ

หน่วยที่ 2 การจัดบรกิ ารเพ่อื เพ่มิ ประสทิ ธิภาพการจัดการศกึ ษา สาหรับผเู้ รียนท่มี ีความต้องการพเิ ศษ การใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ (Early Intervention: EI) เด็กพิการแต่ละคนมีศักยภาพ หากได้รับการฟ้ืนฟูสมรรถภาพท้ังทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์และสังคม โดยวิธกี ารทเี่ หมาะสมกับความต้องการจาเปน็ พิเศษเฉพาะบุคคล เด็กพิการจะสามารถ ใช้ชีวิตในสงั คมไดอ้ ย่างมคี วามสุขตามศกั ยภาพ ตอ้ งได้รบั ความเข้าใจและการช่วยเหลือท่ีถูกต้องเหมาะสม ตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการ ดังน้ันการช่วยเหลือเด็กพิการต้ังแต่แรกเร่ิมจึงมีความสาคัญย่ิง ผู้ปกครอง ครู อาสาสมัครเพ่ือเด็กพิการหรือบุคคลท่ัวไปหากมีความรู้ความเข้าใจในการให้บริการ ชว่ ยเหลือระยะแรกเริม่ แกเ่ ด็กพิการก็จะสามารถให้การช่วยเหลอื เดก็ พิการไดถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมมากข้ึน การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม หมายถึง กระบวนการฟ้ืนฟูสมรรถภาพและเตรียมความ พร้อมให้กับเด็กที่มีความบกพร่องประเภทต่าง ๆ ตั้งแต่แรกเกิดหรือต้ังแต่เมื่อทราบว่ามีความบกพร่อง โดยมจี ุดประสงค์เพื่อชว่ ยเหลือเด็กใหไ้ ดร้ บั การฟน้ื ฟูสมรรถภาพทม่ี ีอยู่โดยเร็วท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ ซึ่งต้องมี การประเมินศักยภาพเบ้ืองต้น สภาพความบกพร่องที่อาจเกิดขึ้นต่อไป การรวบรวมข้อมูลพื้นฐานต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องนามาวิเคราะห์และวางแผนรว่ มกบั ผปู้ กครอง การปฏิบัติการฟื้นฟูสมรรถภาพตามแผนร่วมกัน ระหว่างผู้ปกครองท่ีมีความรู้กับครูผู้สอน ตลอดจนการประเมินผลท้ังระหว่างการให้บริการและหลังการ ให้บริการช่วยเหลือ ทั้งนี้โปรแกรมท่ีจัดข้ึนต้องเป็นไปตามความต้องการจาเป็นของเด็กแต่ละบุคคล รูปแบบการให้บรกิ ารช่วยเหลือระยะแรกเรมิ่ การใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิมแก่เด็กพกิ ารมหี ลายรูปแบบซึ่งเปน็ การทางานระหว่าง ครอบครวั กับบุคลากรทีม่ คี วามร้คู วามสามารถดา้ นการศกึ ษาพเิ ศษเป็นอยา่ งดี ทง้ั นี้เพือ่ ให้เกิดประสทิ ธิผล ในการชว่ ยเหลือเดก็ การให้บรกิ ารช่วยเหลอื อาจทาได้หลายรูปแบบในขณะเดยี วกนั ซง่ึ มรี ายละเอยี ด ดังน้ี 1. รปู แบบทางการแพทย์ (Medical Model) เป็นรูปแบบที่เด็กพิการจะอยู่ในความดูแลของแพทย์ มีส่วนน้อยที่จาเป็นต้องได้รับบริการฟื้นฟู ด้านการศึกษา ในการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิมจะเกิดผลน้อยถ้าผู้ให้บริการเน้นการให้บริการทาง การแพทย์เพียงอย่างเดียว เพราะการฟ้ืนฟูทางการแพทย์ให้ความสนใจในการรักษาส่ิงท่ีมีความบกพร่อง ของเดก็ พกิ ารที่เหมือนกนั กับเดก็ ทวั่ ไป 2. รปู แบบทางการศกึ ษา (Educational model) เปน็ รูปแบบการให้บริการชว่ ยเหลือเดก็ พิการให้มพี ฒั นาการและความสามารถในการเรยี นรู้ ได้มากทีส่ ุดตามขน้ั ตอนพฒั นาการของเด็กทัว่ ไป ทัง้ น้ไี มส่ นใจสาเหตขุ องความพกิ าร การทดสอบมีขนึ้ เพ่ือ

13 ประเมินความสามารถและปัญหาของเดก็ การจดั การศึกษาเพ่อื สง่ เสริมศักยภาพและในขณะเดียวกันก็มงุ่ ลดปญั หาของเดก็ เปน็ รายบุคคล 3. รูปแบบเกี่ยวกบั วิธีการทางานระหว่างผูป้ กครองกบั ผ้ชู านาญการ 3.1 ปฏบิ ตั ิตามคาแนะนาของผเู้ ช่ยี วชาญ (Expert Model) การให้บริการช่วยเหลือเด็กท่ีมีความต้องการพิเศษในรูปแบบน้ี ผู้เช่ียวชาญจะแนะนา วธิ กี ารพัฒนาเด็กให้ผู้ปกครองรับความรู้อย่างเดียว เช่น แนะนาว่าควรทาอย่างไร เหมือนคนไข้ไปหาหมอ ต้องทาตามคาสั่งหมอ ผลจากการให้บริการในรูปแบบนี้พบว่า ผู้ปกครองจะเกรงใจผู้เชี่ยวชาญ ไม่กล้าคิด ไม่กล้าทาอะไรต้องรอผู้เช่ียวชาญนาก่อน ผู้ปกครองจะไม่เชื่อมั่นในตนเองที่จะตัดสินใจทาอะไรกับลูก ผู้ปกครองมักอยากส่งลูกให้เข้าเรียนในโรงเรียนเฉพาะทาง ซ่ึงผู้ปกครองจะเชื่อว่าครูคือผู้เชี่ยวชาญ ซ่ึงจะ ฟ้นื ฟแู ละสอนลูกได้ดกี ว่าตนเอง แต่เนื่องจากผู้เช่ียวชาญก็ไม่ได้รู้ทุกอย่างทั้งหมดเก่ียวกับรายละเอียดของ เดก็ และไมไ่ ด้ถามความคิดเหน็ จากผู้ปกครองทอี่ ยกู่ บั เดก็ มานาน จงึ ทาให้มีขอ้ บกพร่องมากซ่ึงผู้ปกครองจะ ไม่พอใจและตาหนผิ ้เู ชยี่ วชาญด้วย 3.2 การส่งต่อความรู้ (Transplant Model) ผู้เชีย่ วชาญเชือ่ ว่าตวั เองมีความเชีย่ วชาญเก่ียวกบั เดก็ พกิ ารทุกอยา่ งแตเ่ ห็น ความสาคัญของผู้ปกครองว่ามีประโยชน์ในการเป็นแหล่งข้อมูลเก่ียวกับเด็กเหมือนกับพี่เล้ียงให้บริการ ช่วยเหลือตามรูปแบบน้ีเชื่อว่า ผู้ปกครองทางานฟ้ืนฟูช่วยเหลือลูกของตนเองได้ โดยผู้เชี่ยวชาญสอนให้ ผปู้ กครองรวู้ ิธกี ารท่ีถกู ต้อง แต่มปี ัญหาเกดิ ขน้ึ จากการท่ผี ้เู ชย่ี วชาญมบี ทบาทในการควบคุมตัดสินใจในการ ช่วยเหลือเด็กท้ังหมดโดยไม่ไว้ใจผู้ปกครองผู้เช่ียวชาญต้องมีทักษะในการสอนผู้ปกครองและมี ความสัมพนั ธท์ ด่ี กี บั ผปู้ กครอง ซ่งึ ทาให้ผ้ปู กครองมคี วามพอใจมากกวา่ รปู แบบท่ี 1 3.3 ผู้ปกครองเป็นลกู ค้าทมี่ ารับบรกิ าร (Consumer Model) การให้บริการตามรูปแบบนี้ ผู้ปกครองสามารถตัดสินใจได้เองและเลือกใช้บริการจาก ผู้เชี่ยวชาญท่ีมีความรู้ ซ่ึงมีบทบาทในการให้คาแนะนาและเสนอทางเลือกที่หลากหลายตัวอย่าง เช่น การเลอื กวิธกี ารสอ่ื สารของเด็กหูหนวกในชนบท ว่าจะใช้ภาษามือหรือภาษาพูดเป็นสิ่งที่ยาก ผู้เช่ียวชาญ ต้องให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อดีและข้อเสียในการใช้วิธีทั้งสองวิธีแก่ผู้ปกครอง ซ่ึงผู้ปกครองต้องตัดสินใจเลือก วิธีการเอง 3.4 การมสี ่วนรว่ มระหวา่ งผู้ปกครองกบั ผเู้ ชี่ยวชาญ (Partnership Model) รูปแบบน้ีเช่ือว่าครูเป็นผู้เช่ียวชาญด้านการศึกษาพิเศษ ส่วนผู้ปกครองเป็นผู้เชี่ยวชาญ เก่ยี วกบั ลูกของเขาเอง ความร่วมมือท่ีเกิดข้นึ มเี ปูาหมายเพอ่ื พฒั นาเดก็ เป็นรายบุคคล เน่ืองจากพ่อแม่รัก และสนใจลกู ของตนเองมากกว่าคนอนื่ เขาจะคิดและเอาใจใส่ลูกมาก สนใจพฤติกรรมท่ีเกิดข้ึนจริงในแต่ ละวัน การฟนื้ ฟแู ละพัฒนาเด็กที่เกิดจากความร่วมมือในการทางานระหว่างผู้ปกครองกับผู้เชี่ยวชาญจึงมี ประสิทธผิ ลมากทส่ี ุดและมีผลเสียนอ้ ยกว่ารปู แบบอื่นๆ ซ่งึ ท้งั สองฝุายตอ้ งยอมรับนับถือรับฟังความคิดเห็น และให้เกยี รติซงึ่ กันและกัน ข้ันตอนการให้บริการชว่ ยเหลือระยะแรกเร่มิ การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มสาหรับเด็กพิการให้เกิดประสิทธิผลอย่างทั่วถึงนั้นมี ขอบข่ายการจดั บรกิ ารอย่างเป็นระบบ ดังนี้ 1. เกบ็ รวบรวมข้อมูล ประวัตจิ ากหลักฐานและสัมภาษณ์ผ้ปู กครอง

14 2. ประเมนิ ความสามารถพืน้ ฐานปัจจุบันของเด็กพิการ 3. เย่ยี มบา้ น 4. จดั ทาแผนใหบ้ รกิ ารชว่ ยเหลือระยะแรกเร่ิมเฉพาะครอบครัว 5. อบรมผู้ปกครอง 6. จัดทาแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบุคคล ให้บรกิ ารฟื้นฟสู มรรถภาพและเตรยี มความ พร้อมตามแผนทกี่ าหนด 7. ประสานหนว่ ยงานทีเ่ กี่ยวข้องเพ่ือใหเ้ ดก็ พิการไดร้ ับสิ่งอานวยความสะดวก สอ่ื บรกิ าร ตามความต้องการจาเปน็ 8. เย่ียมโรงเรยี นเรียนรว่ ม 9. ให้บรกิ ารช่วยเหลือโดยชมุ ชนและบรกิ ารทรัพยากรการเรยี นรู้ การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลมีต้นกาเนิดท่ีสหรัฐอเมริกาโดยมีพัฒนาการ ตามลาดับดังนี้ ในปี ค.ศ. 1975 รัฐบาลกลางได้ออกกฎหมายฉบับหน่ึงชื่อว่า Education For All Handicapped Children Act of 1975 ซ่ึงเรียกย่อๆว่า Public Law 94-142 หรือ PL 94-142 ซ่ึงมีผล บังคับใช้ในปี ค.ศ. 1977 สาระสาคัญกฎหมายฉบับนี้กาหนดให้รัฐจัดสรรงบประมาณสนับสนุนการศึกษา แก่เด็กพิการอายุระหว่าง 3-21 ปีเพ่ิมมากขึ้นจากเดิมต่อมาในเดือนตุลาคมปี ค.ศ.1990 รัฐบาลกลางได้ ออกกฎหมาย Individuals with Disabilities Education Act: IDEA 1 (PL 101-476) ซ่ึงกฎหมายฉบับ นี้ได้กาหนดให้จัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลแก่เด็กพิการทุกคน โดยให้ความสาคัญกับ ผู้ปกครองเป็นอย่างย่ิงเพราะเช่ือว่าผู้ปกครองมีส่วนสาคัญในการพัฒนาเด็กพิการร่วมกับนักการศึกษา และผู้ปกครองเป็นบุคคลสาคัญในการนาเด็กพิการเข้าถึงบริการทางการศึกษาตามที่กฎหมายให้สิทธิไว้ สาหรับประเทศไทยในปจั จุบนั ไดม้ ีรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาญาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ซ่ึงถือว่า เป็นกฎหมายหลักของประเทศได้รับรองสิทธิ เสรีภาพ และคุ้มครองสิทธิของประชาชนไว้อย่างครอบคลุม โดยส่วนที่เก่ียวข้องกับคนพิการนั้นมีบทบัญญัติที่เก่ียวข้องดังน้ีมาตรา 30 (3) การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็น ธรรมต่อบุคคลเพราะเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องถิ่นกาเนิด เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ คว ามพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม ความเช่ือทางศาสนา การศึกษาอบรม หรือความคิดเห็นทางการเมืองอันไม่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญจะกระทามิได้ มาตรา 30 (4) มาตรการท่รี ัฐกาหนดขน้ึ เพือ่ ขจัดอปุ สรรคหรอื ส่งเสริมใหบ้ ุคคลสามารถใช้สิทธิและเสรีภาพ ได้เช่นเดียวกับบุคคลอ่ืน ย่อมไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามวรรคสาม(2)บทบัญญัติที่ รับรองสิทธิและเสรีภาพในการศึกษามาตรา 49 บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า สบิ สองปี รฐั จะตอ้ งจัดให้อยา่ งท่วั ถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บคา่ ใชจ้ า่ ยมาตรา 49 (2) ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือ ทุพพลภาพ หรือผู้อยู่ในสภาวะยากลาบากต้องได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่งและการสนับสนุนจากรัฐเพ่ือให้ ได้รับการศึกษาโดยทัดเทียมกัน (3) บทบัญญัติรับรองสิทธิในแนวนโยบายพ้ืนฐานแห่งรัฐ มาตรา 80 รัฐต้องดาเนินการตามแนวนโยบายด้านสังคม การสาธารณสุข การศึกษาและวัฒนธรรมมาตรา 80 (1) คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน สนับสนุนการอบรมเลี้ยงดูและการให้การศึกษาปฐมวัย ส่งเสริมความเสมอภาคของหญิงและชาย เสริมสร้างและพัฒนาความเป็นปึกแผ่นของสถาบันครอบครัว

15 และชุมชน รวมทั้งสงเคราะห์และจัดสวัสดิการให้แก่ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้อยู่ใน สภาวะยากลาบาก ให้มคี ณุ ภาพชวี ติ ทดี่ ีข้นึ และพึ่งพาตนเองได้ เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รัฐจึงได้มีการปฏิรูป การศกึ ษาเพือ่ ใช้เป็นเคร่อื งมือในการพฒั นาคนใหม้ คี ณุ ภาพอนั จะเป็นกาลังสาคัญในการขับเคลื่อนให้มีการ พัฒนาสงั คมและประเทศจงึ ไดม้ กี ารตรากฎหมายเพ่มิ เติมใหค้ นทว่ั ไปและคนพิการได้มีสิทธิได้รับการศึกษา ในทกุ ระดบั ซึ่งประกอบดว้ ยกฎหมายสาคัญดงั นี้ 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ละที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 10 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องจัดให้มีบุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาข้ัน พ้ืนฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึง และมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย มาตรา 10 วรรคสอง การจัดการศึกษาสาหรับบุคคล ซ่ึงมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา สังคม การส่อื สารและการเรยี นรู้ หรอื มรี า่ งกายพกิ าร หรือทุพพลภาพ หรือบคุ คลไมส่ ามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่ มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ มาตรา 10 วรรคสาม การศึกษาสาหรับคนพิการในวรรคสอง ให้จัดต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดย ไมเ่ สียคา่ ใช้จา่ ย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลือ อ่นื ใดทางการศกึ ษาตามหลกั เกณฑ์และวิธกี ารท่กี าหนดในกฎกระทรวง มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้อง ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสุด กระบวนการจดั การศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพมาตรา 24 (1) การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานจัดเน้ือหาสาระและกิจกรรม ให้ สอดคลอ้ งกับความสนใจและความถนัดของผู้เรยี น โดยคานงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลมาตรา 28 (1) หลักสตู รการศึกษาระดับต่างๆ รวมทงั้ หลักสูตรการศกึ ษาสาหรับบคุ คลตามมาตรา 10 วรรคสอง วรรค สามและวรรคส่ีต้องมีลักษณะหลากหลาย ท้ังนี้ให้จัดตามความเหมาะสมของแต่ละระดับโดยมุ่งพัฒนา คุณภาพชีวิตของบุคคลให้เหมาะสมกับวยั และศักยภาพ มาตรา 60 ให้รัฐจัดสรรงบประมาณแผ่นดินให้กับ การศึกษาในฐานะที่มีความสาคัญสูงสุดต่อการพัฒนาท่ีย่ังยืนของประเทศไทยโดยการจัดสรรเป็นเงิน งบประมาณและทรพั ยากรทางการศึกษาอนื่ เป็นพิเศษใหเ้ หมาะสมและสอดคล้องกับความจาเป็นในการจัด การศึกษาสาหรับผเู้ รยี นท่มี ีความตอ้ งการเป็นพเิ ศษแต่ละกลมุ่ ตาม มาตรา 10 วรรคสอง วรรคสาม วรรคสี่ โดยคานึงถงึ ความเสมอภาคในโอกาสทางการศึกษาและความเป็นธรรม ท้ังน้ีให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และ วิธีการทกี่ าหนดในกฎกระทรวง 2. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 มาตรา 12 ให้กระทรวงศึกษาธิการ คณะกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และสถานศึกษา จัดการศึกษาเป็นพิเศษ สาหรับเด็กท่ีมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญาอารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือเด็กซ่ึงไม่สามารถพ่ึงตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาส หรือเด็กท่ีมีความสามารถพิเศษให้ได้รับการศึกษาภาคบังคับด้วยรูปแบบและวิธีการที่เหมาะสม รวมท้ัง การไดร้ บั สิ่งอานวยความสะดวก สอื่ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดตามความจาเป็นเพื่อประกันโอกาส และความเสมอภาคในการได้รับการศึกษาภาคบงั คบั 3. พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 เหตุผลที่ประกาศใช้ พระราชบัญญัติฉบับนี้ คือ โดยท่ีพระราชบัญญัติฟ้ืนฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 ใช้บังคับ เป็นเวลานาน สาระสาคัญและรายละเอียดเกี่ยวกับการสงเคราะห์และการฟ้ืนฟูสมรรถภาพคนพิการ

16 ไม่เหมาะสมกบั สภาพสังคมปัจจุบัน สมควรกาหนดแนวทางและปรับปรุงวิธีการในการส่งเสริมและพัฒนา คุณภาพชีวิตคนพิการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น และกาหนดบทบัญญัติเก่ียวกับสิทธิประโยชน์และ ความคุ้มครองคนพิการเพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมเพราะเหตุสภาพทางกายหรือสุขภาพ รวมท้ังให้คนพิการมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก อันเป็นสาธารณะและความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ ตลอดจนใหร้ ฐั ตอ้ งสงเคราะห์คนพกิ ารให้มีคณุ ภาพชีวิตทดี่ แี ละพึ่งตนเองได้ 4. พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 มาตรา 5 คนพิการมีสิทธิทาง การศึกษาดังนี้ 1) ได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมท้ังได้รับเทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา 2) เลือกบริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพิเศษของบุคคลน้ัน 3) ได้รับการศึกษาท่ีมีมาตรฐานและ ประกันคุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ท่ีเหมาะสมสอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคล มาตรา 7 ให้สถานศกึ ษาของรัฐและเอกชนที่จัดการเรียนร่วม สถานศึกษาเอกชนการกุศลที่จัดการการศึกษาสาหรับ คนพิการโดยเฉพาะ และศนู ยก์ ารเรียนเฉพาะความพิการ ที่ได้รับรองมาตรฐานได้รับเงินอุดหนุนและความ ช่วยเหลือพิเศษจากรัฐ โดยหลักเกณฑ์และวิธีการในการรับเงินอุดหนุนและความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกาหนด มาตรา 8 (วรรคหน่ึง) ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดทาแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคล วรรคสอง ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการ จัดการศึกษาในรูปแบบที่หลากหลาย วรรคสาม ให้สถานศึกษาในทุกสังกัดจัดสภาพแวดล้อมและระบบ สนับสนุนการเรียนการสอน วรรคส่ี ให้สถานศึกษาในระดับอุดมศึกษามีหน้าที่รับคนพิการในสัดส่วนหรือ จานวนที่เหมาะสม วรรคห้า สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รับคนพิการเข้าศึกษา ให้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติ โดยไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย วรรคหก ให้สถานศึกษาประสานความร่วมมือจากชุมชนและนักวิชาชีพ เพ่ือให้ คนพิการไดร้ บั การศกึ ษาทกุ ระดบั 5. กฎกระทรวง กาหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการให้คนพิการ มีสิทธิได้รับส่ิงอานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา พ.ศ. 2550 ออกตามความในมาตรา 10 วรรคสาม และมาตรา 74 แหง่ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งกาหนดให้คนพิการ มีสิทธิได้รับส่ิง อานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษาตามท่ีกาหนดไว้ในแผนการ จดั การศึกษาเฉพาะบุคคล 6. ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เร่ืองหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บคุ คลระดับการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พ.ศ. 2552 ไดก้ าหนดองค์ประกอบกระบวนการจัดทา บุคคลท่ีเก่ียวข้อง การนาแผนไปสูก่ ารปฏบิ ัติ การทบทวน ปรับปรงุ และความสาคัญของแผนตอ่ การสง่ ต่อไว้อยา่ งชดั เจน 7. แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับท่ี 11 (พ.ศ.2555–2559) ท่ียึดหลักปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียงเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันและยึด “คน” เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและภาคีการมีส่วนร่วม ทุกข้ันตอนมีความสมดุลในการพัฒนาในทุกมิติและพัฒนาสู่วิสัยทัศน์ปี 2570 ทั้งนี้ได้นาเสนอยุทธศาสตร์ หลัก 6 ยุทธศาสตรเ์ ป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศในส่วนของคนพิการได้ถูกกล่าวไว้ในยุทธศาสตร์การ สร้างความเป็นธรรมในสังคมโดยการจัดบริการทางสังคมให้ทุกคนตามสิทธิพึงมีพึงได้เน้นการสร้าง ภูมิคุ้มกันระดับปัจเจกและสร้างการมีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจในการพัฒนาประเทศแ ละพัฒนา ช่องทางการเข้าถึงบริการสาธารณะอย่างทั่วถึงโดยการสนับสนุนการกระจายอานาจสู่ท้องถิ่นตามกรอบท่ี

17 รฐั ธรรมนูญกาหนดทง้ั บรกิ ารการศึกษา สขุ ภาพ สวสั ดกิ ารสงั คม กระบวนการยุติธรรม รวมท้ังสร้างโอกาส มสี ่วนรว่ มในกจิ กรรมต่างๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเยาวชน สตรี ผู้พิการหรือทุพพลภาพ ผู้สูงอายุ การด้อย โอกาสทางสังคม คนยากจนและผู้ท่ีอยู่ในพื้นที่ห่างไกล กฎกระทรวงกาหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไข ในการเขา้ ถงึ และใชป้ ระโยชนจ์ ากขอ้ มลู ขา่ วสาร การสื่อสารบริการโทรคมนาคมเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวกเพื่อการส่ือสารและบริการสื่อสาธารณะสาหรับคนพิการ พ.ศ.2554 8. แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555–2559) เป็นแผน ยุทธศาสตร์ที่จัดทาข้ึนเพ่ือเป็นกรอบและแนวทางในการดาเนินงานพัฒนาการจัดการศึกษาสาหรับคน พิการโดยมีเปูาหมายสูงสุดคือคนพิการทุกประเภทมีสิทธิได้รับการศึกษาและได้รับความช่วยเหลือทาง การศึกษาต้ังแต่แรกเกิดหรือแรกพบความพิการมีสิทธิได้รับสิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและความ ช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาและการจัดบริการทางการศึกษาให้กับเด็กพิการต้องจัดให้อย่างมีคุณภาพ และประสิทธิภาพ ดว้ ยเหตุจากรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาญาจักรไทย พระราชบญั ญัติ กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ ดังกล่าวข้างต้น หน่วยงานที่จัดการศึกษาสาหรับคนพิการจึงต้องจัดการศึกษาให้เป็นไปตามท่ีกฎหมายกาหนด เพ่ือพัฒนาศักยภาพของคนพิการให้สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษ โดยการจัดทาแผนการจัด การศกึ ษาเฉพาะบุคคลใหก้ ับคนพิการในวยั เรยี นทกุ คน วัตถปุ ระสงคข์ องการจัดทาแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล 1. เพื่อใหค้ นพิการไดร้ บั การจดั การศกึ ษาให้สอดคลอ้ งความต้องการพเิ ศษเปน็ รายบุคคล 2. เพื่อใช้เป็นกระบวนการจัดการเรยี นรู้ การตรวจสอบความกา้ วหน้าทางการเรยี นและ พัฒนาการของคนพิการ 3. เพื่อให้ผู้ปกครอง ครู นักสหวิชาชีพ มีส่วนร่วมในการวางแผนการจัดการศึกษาให้คนพิการแต่ ละคนได้รบั พัฒนาเต็มตามศกั ยภาพ 4. เพื่อให้สถานศึกษาสามารถวางแผนจัดบริการทางการศึกษา ตลอดจนจัดหา สิ่งอานวยความ สะดวก ส่ือและบริการทเ่ี กี่ยวข้องที่สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของคนพิการ แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) หมายถึง แผนซงึ่ กาหนดแนวทางการจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการ ตลอดจน กาหนดเทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษาเฉพาะ บคุ คล องค์ประกอบของแผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศกระทรวงเร่ืองหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทาแผนการจัด การศกึ ษาเฉพาะบคุ คลระดบั การศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พ.ศ. 2552 โดยมอี งค์ประกอบดงั ตอ่ ไปน้ี 1. ขอ้ มลู ทวั่ ไป เปน็ ขอ้ มลู พน้ื ฐานของผู้เรียนและผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยชื่อ-สกุล เลขประจาตัว ประชาชน การจดทะเบียนคนพิการ วันเดือนปีเกิด ประเภทความพิการ ช่ือ-สกุลบิดามารดา ช่ือ-สกุล ผู้ปกครองและทอ่ี ยูข่ องผูเ้ รียนหรือผู้ปกครองทต่ี ิดตอ่ ได้

18 2. ข้อมลู ดา้ นการแพทยห์ รือดา้ นสุขภาพเป็นข้อมลู ของผู้เรยี นซ่งึ เกี่ยวข้องกับการเจ็บปุวยและการ รักษา ประกอบด้วย โรคประจาตัว ประวัติการแพ้ยา โรคภูมิแพ้ ข้อจากัดอ่ืนๆ และผลการตรวจ ทางการแพทยต์ า่ ง ๆ 3. ข้อมูลด้านการศึกษาเป็นข้อมูลท่ีผู้เรียนได้รับหรือไม่ได้รับการศึกษา บริการทางการศึกษา ประกอบด้วย การได้รับการศึกษาหรือบริการทางการศึกษาจาก ศูนย์การศึกษาพิเศษ โรงเรียนเฉพาะ ความพิการ โรงเรยี นเรียนร่วม การศึกษาด้านอาชีพ การศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย และ อนื่ ๆ 4. ขอ้ มลู อื่นๆ ทจี่ าเปน็ เป็นข้อมูลความสามารถพเิ ศษ บุคลิกภาพเฉพาะบุคคลหรือข้อมูลบุคคลที่ มีสว่ นเก่ียวข้อง ตลอดจนพนื้ ฐาน สถานภาพครอบครัว 5. กาหนดแนวทางการศึกษาและการวางแผนการจัดการศึกษาพิเศษเป็นข้อมูลของผู้เรียนในการ วางแผนการจัดการศึกษา ประกอบด้วย ระดับความสามารถในปัจจุบัน เปูาหมายระยะเวลา 1 ปี จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม (เปาู หมายระยะส้นั ) เกณฑแ์ ละวธิ ปี ระเมนิ ผล และผรู้ ับผิดชอบ 6. ความต้องการด้านส่ิงอานวยความสะดวก เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการ และ ความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา เป็นการระบุรายการ รหัส ส่ิงที่มีอยู่แล้ว สิ่งท่ีต้องการ จานวนเงิน ท่ขี ออุดหนุน เหตุผลและความจาเปน็ และผปู้ ระเมิน 7. คณะกรรมการจัดทาแผนเปน็ การระบอุ งค์คณะบุคคลในการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะ บคุ คล ประกอบดว้ ย ผูบ้ ริหาร บิดามารดาผู้ปกครอง ครูประจาชน้ั หัวหนา้ งานวชิ าการ สหวทิ ยาการ 8. ความเห็นของบิดามารดาผู้ปกครองหรือผู้เรียน การลงความเห็นชอบในการจัดทาแผนการจัด การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล องค์ประกอบของแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลทั้ง 8 ข้อ เป็นข้อมูลสาคัญพื้นฐานเพ่ือ นาไปสู่การวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล อันจะนาไปสู่กระบวนการวางแผนอย่างมีส่วนร่วม ในการจัด การศกึ ษาให้สอดคลอ้ งและเหมาะสมตามความต้องการพเิ ศษของผู้เรยี น กลุ่มเปา้ หมายที่ไดร้ ับประโยชน์จากแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบคุ คล 1. ประโยชนต์ อ่ ผเู้ รียน 1.1 ผูเ้ รยี นไดร้ บั การชว่ ยเหลอื บาบดั ฟนื้ ฟูสมรรถภาพ และพัฒนาเต็มตามศักยภาพของ แตล่ ะบุคคลอยา่ งเหมาะสม 1.2 ผ้เู รียนไดร้ ับสิง่ อานวยความสะดวก ส่อื บริการและความชว่ ยเหลอื อนื่ ใดทาง การศึกษาตามกฎกระทรวง เร่ือง กาหนดหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการให้คนพิการมีสทิ ธิไดร้ บั สงิ่ อานวย ความสะดวก สื่อ บริการและความชว่ ยเหลืออื่นใดทางการศกึ ษา พ.ศ. 2550 1.3 ผ้เู รยี นได้มสี ่วนร่วมในการวางแผนการจดั การศึกษา การพัฒนาศักยภาพ การวัดและ ประเมินผลตลอดจนการปรับปรงุ เปูาหมายในการจดั การศกึ ษาของตน 1.4 ผู้เรยี นไดเ้ รียนรแู้ ละไดร้ ับการพฒั นาเต็มศกั ยภาพอย่างเปน็ ระบบ 2. ประโยชนต์ ่อครผู ู้สอน 2.1 มีข้อมูลในการวางแผนการจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการพิเศษของ ผเู้ รียน 2.2 ร้ขู อบเขตความรับผดิ ชอบของตนเอง

19 2.3 มขี อ้ มลู ในการจดั ทาแผนการสอนเฉพาะบคุ คลให้สอดคลอ้ งตามศักยภาพของผเู้ รยี น 2.4 วัดและประเมินผลการพัฒนาไดส้ อดคลอ้ งกับเปูาหมายท่ีกาหนดไว้ 2.5 สามารถปรับปรุงแผนการจัดการศกึ ษาให้เหมาะสมสอดคลอ้ งกับศักยภาพของ ผเู้ รยี น 2.6 สามารถจัดสิ่งอานวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยอ่ืนใดทางการศึกษาท่ี เหมาะสมกบั ผู้เรียน 3. ประโยชนต์ อ่ ผ้ปู กครอง 3.1 มสี ว่ นร่วมในการวางแผนการจดั การศกึ ษาและรบั รูเ้ ปูาหมายในการพฒั นาบตุ รหลาน 3.2 สามารถขอรับส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ เพ่ือนาไปใช้ฝึกบุตรหลานที่บ้านได้อย่าง ต่อเนอ่ื ง 3.3 มคี วามรู้ ความเข้าใจและมีส่วนร่วมในการฝึกและพัฒนาการศึกษาของบุตรหลานได้ อยา่ งถกู ตอ้ ง 3.4 ได้มสี ่วนรว่ มในการวัดและประเมนิ ผล การปรบั ปรงุ แผนการจดั การศึกษาให้ สอดคลอ้ งเหมาะสมกับศักยภาพของบุตรหลาน 3.5 ได้รับทราบความก้าวหน้าและพัฒนาการของบุตร ซึ่งสามารถนามาวางแผนพัฒนา คุณภาพชวี ติ บุตรหลานไดอ้ ย่างมเี ปาู หมาย 4. ประโยชน์ตอ่ สถานศกึ ษา 4.1 เป็นข้อมูล ในการจัดคนพิการเข้าศึกษาในรูปแบบ ระบบ และระดับท่ีเหมาะสม มีข้อมูลท่ีชัดเจนในการวางแผนบริหาร การจัดงบประมาณ และการพัฒนาหลักสูตรและแนวทางในการ จัดการเรียนการสอนแก่คนพกิ าร 4.2 สถานศึกษาสามารถวางแผนจัดบริการทางการศึกษา ตลอดจนจัดหาส่ิงอานวย ความสะดวก สอ่ื และบรกิ ารทเ่ี กีย่ วขอ้ งทส่ี อดคลอ้ งกบั ความต้องการพิเศษของคนพิการ 4.3 สถานศกึ ษากาหนดทิศทางการจดั การ การประสาน การสง่ ต่อผเู้ รียนใหก้ บั หนว่ ยงานทีเ่ ก่ยี วข้อง 4.4 สถานศึกษามีข้อมลู เพ่ือในการปรบั ปรงุ พัฒนา สง่ เสริมการจดั การศกึ ษาของคน พิการ 5. ประโยชนต์ อ่ ผบู้ ริหาร 5.1 มสี ่วนร่วมในการวางแผนการจัดการศึกษา การวัดผล ประเมินผล และการปรับปรุง การจดั การศึกษาให้กับผเู้ รยี นอยา่ งเหมาะสม 5.2 มขี อ้ มูลในการวางแผนการบริหารการจัดงบประมาณและการจัดการเรียนการสอนท่ี เออื้ ตอ่ การเรยี นรู้และพัฒนาศักยภาพของคนพกิ าร 5.3 มีข้อมูลในการจัดส่ือ สิ่งอานวยความสะดวก ฯลฯ เพ่ือสนับสนุนส่งเสริมการพัฒนา ผู้เรียน 6. ประโยชนต์ อ่ นักวชิ าชีพ นักวิชาชีพได้ใช้ความรู้ความสามารถวิชาชีพของตัวเอง ในการร่วมวิเคราะห์วางแผนประเมิน พัฒนาการคนพิการรายบุคคล โดยเน้น ศักยภาพท่ีแตกต่างของคนพิการอย่างละเอียด และเกิดความ เขา้ ใจวา่ คนพิการต้องการได้รับการจัดการศกึ ษาเป็นการเฉพาะแตล่ ะบคุ คล

20 ขัน้ ตอนในการจัดทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคล ดงั นี้ 1. การรวบรวมขอ้ มูล (Data Base) โดยการรวบรวมข้อมูลของผู้เรียนจากบุคคลท่ีเก่ียวข้อง ด้วยวิธีการต่างๆ ดังน้ี การสัมภาษณ์ การสงั เกต และเอกสารหลกั ฐานทีเ่ กย่ี วข้อง 2. การคัดกรองประเภทความพกิ ารทางการศึกษา (Screening Test) กระบวนการคัดกรอง ทาได้โดยใช้แบบคัดกรองของกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2550 เป็นหลัก และอาจใชแ้ บบคดั กรองของหนว่ ยงานอ่นื ๆ เพื่อประมวลข้อมูลเพิม่ เติม 3. การประเมนิ ความสามารถพน้ื ฐาน (Based Assessment) โดยการตรวจสอบและประเมินผู้เรียน เพื่อค้นหาศักยภาพหรือความสามารถท่ีเป็นจุดเด่นของ ผูเ้ รยี นและทกั ษะที่ผู้เรียนมีความสามารถในปัจจุบัน (Functional skill) รวมท้ังค้นหาจุดด้อย หรือปัญหา ของผู้เรียน ท้ังน้ีควรประเมินในหลายสถานการณ์ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง กรณีผู้เรียนที่มีความพร้อมให้ พิจารณาเข้าสกู่ ระบวนการเปลี่ยนผ่าน (Transition) 4. การประสานความรว่ มมอื กับผ้เู กย่ี วขอ้ ง (Cooperation) ผู้สอนหรือผู้รับผิดชอบต้องประสานความร่วมมือกับผู้ที่เก่ียวข้องในการพัฒนาตามความต้องการ พิเศษของผู้เรียน เช่น ครูประจาวิชา นักกายภาพบาบัด/นักจิตวิทยา/นักกิจกรรมบาบัด/นักอรรถบาบัด เพ่อื ประเมินความสามารถ วางแผนในการพฒั นาการเรยี นรู้หรือศักยภาพ ตลอดจนการวัดและประเมินผล พัฒนาการ 5. การจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Program: IEP) โดยการประชุมคณะกรรมเพื่อจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ตามองค์ประกอบท่ีกาหนดไว้ใน ประกาศกระทรวงเร่ืองหลักเกณฑ์และวิธีการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลระดับการศึกษาขั้น พืน้ ฐาน พ.ศ. 2552 6. การใหบ้ รกิ ารด้วยการจดั กิจกรรมท่เี หมาะสม (Appropriate Intervention Activities) ในการจัดกจิ กรรมให้ผู้เรยี นพกิ ารทุกประเภทจะต้องคานึงถึงกิจกรรมเชน่ เดียวกับผเู้ รยี นทว่ั ไปตามแผนการ สอนเฉพาะบุคคล (Individual Implementation Plan: IIP) 6.1 ในกรณกี ารให้บริการชว่ ยเหลอื ระยะแรกเริ่ม (Early Intervention: EI) ซง่ึ ประกอบด้วยทักษะสาคัญ 7 ด้าน ดังน้ี 1) ทกั ษะกลา้ มเนือ้ มดั ใหญ่ (Gross Motor Skill) 2) ทกั ษะกลา้ มเนือ้ มดั เลก็ (Fine Motor Skill) 3) ทกั ษะการชว่ ยเหลอื ตนเอง (Self - Help Skill) 4) ทักษะการรับรู้และการแสดงออกทางภาษา (Language/Communication Skill) 5) ทักษะทางสังคม (Social Skill) 6) ทักษะทางสติปัญญาหรือการเตรียมความพร้อมทางวิชาการ (Pre-academic Skill) 7) ทกั ษะจาเปน็ เฉพาะความพกิ ารหรือทกั ษะจาเป็นอ่ืนๆ 6.2 สถานศึกษาท่ีจัดการศึกษาเฉพาะความพิการ ให้จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม โครงสรา้ งหลักสูตรเฉพาะความพิการ

21 6.3 สถานศึกษาที่จัดการศึกษาแบบเรียนร่วม ให้จัดกิจกรรมการเรียนการสอนตาม โครงสรา้ งหลกั สตู รของสถานศกึ ษา 7. การประเมนิ ความก้าวหน้า (Re-Assessment) การใหบ้ รกิ ารตอ้ งมกี ารจดบันทึก รวบรวมข้อมูลจากทุกฝุายทเี่ ก่ยี วข้อง การประชุม ทบทวน และ ประเมิน เพื่อสรุปความก้าวหน้าของผู้เรียนแต่ละคน แล้วรายงานความก้าวหน้าให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง และ ผู้เกี่ยวข้องทราบ อย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง ในกรณีที่ผู้เรียนมีพัฒนาการ หรือการเรียนรู้ท่ีสูง หรือต่ากว่า เกณฑ์ที่กาหนดไว้ในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล สามารถปรับปรุงการให้บริการหรือปรับเปล่ียน กจิ กรรมใหเ้ หมาะสม 8. การส่งต่อหรอื การเปลยี่ นผ่าน (Transition) ในการส่งต่อผู้เรียนท่ีจบการศึกษาแต่ละระดับ หรือย้ายสถานศึกษาให้สถานศึกษานาส่งแผนการ จดั การศกึ ษาเฉพาะบุคคล รายงานผลการประเมิน การดาเนินการตามแผน แฟูมประวัติและแฟูมสะสมผล การเรยี นของผู้เรียน เพ่อื เป็นขอ้ มูลในการจดั การศกึ ษาตอ่ ไป การจดั ทาแผนใหบ้ ริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว (Individualzed Family Service Plan: IFSP) ความเปน็ มา แผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 – 2554 ได้กาหนดวิสัยทัศน์ไว้ว่า คนพิการจะต้อง ได้รบั การค้มุ ครองสทิ ธิ มีคณุ ภาพชวี ติ ที่ดเี ตม็ ศกั ยภาพ มีส่วนร่วมในสงั คมอย่างเตม็ ท่ีและเสมอภาค ภายใต้ สภาพแวดล้อมทปี่ ราศจากอุปสรรคสามารถให้คนพกิ ารเขา้ ถึงสทิ ธแิ ละโอกาสในการพัฒนาตนเองในทุกมิติ ของสังคม สามารถเลือกรูปแบบการบริการท่ีเหมาะสมตามความต้องการจาเป็นของแต่ละบุคคล และ สามารถดารงชีวติ อิสระ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2554 ในมาตรา 10 การจัดการศึกษา ต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่นอ้ ยกว่าสบิ สองปที ี่รฐั ต้องจัดให้อยา่ งทว่ั ถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย การจัดการศึกษาสาหรับ บุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การส่ือสารและการเรียนรู้ หรือมี รา่ งกายพกิ าร หรือทุพพลภาพหรือบคุ คลซึง่ ไม่สามารถพงึ่ ตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัด ให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาข้ันพื้นฐานเป็นพิเศษ ทั้งนี้การจัดการศึกษาสาหรับคน พิการ ให้จัดต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับส่ิง อานวยความสะดวก สื่อ บริการ และความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ี กาหนดในกฎกระทรวง พระราชบัญญัตกิ ารจดั การศึกษาสาหรับคนพกิ าร พ.ศ. 2551 มาตรา 5 ได้บัญญัติ ให้คนพิการมี สิทธิได้รับการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายต้ังแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมท้ังได้รับ เทคโนโลยี สิ่งอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา สามารถเลือก บริการทางการศึกษา สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคานึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจาเป็นพเิ ศษของบคุ คลนน้ั ตลอดจน ได้รับการศกึ ษาทมี่ ีมาตรฐานและประกัน คุณภาพการศึกษา รวมทั้งการจัดหลักสูตรกระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา ท่ีเหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการจาเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภทและบุคคลสอดคล้องกับนโยบาย

22 การศึกษาของรัฐบาล ท่ีจะดาเนินการให้คนไทยทุกคนมีโอกาสรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี โดยไม่เสีย ค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะผู้ยากไร้ ผู้พิการ หรือทุพพลภาพ ผู้อยู่ในสภาวะยากลาบาก รวมท้ังบุคคลออทิสติก เด็กสมาธสิ ั้น และผู้ดอ้ ยโอกาสอน่ื ๆ ไดร้ บั การศกึ ษาอยา่ งท่วั ถึง สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้ตระหนักถึงความสาคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคน พิการ โดยมอบให้ศูนย์การศึกษาพิเศษดาเนินงาน การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มแก่เด็กพิการ โดยใช้แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล เป็น เครื่องมือในการดาเนินงาน ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล ระดับ การศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พ.ศ. 2552 จากการดาเนนิ งานดงั กล่าว พบว่า การมีสว่ นร่วมของครอบครัวเป็นเร่ือง สาคัญในการให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเร่ิม ศูนย์การศึกษาพิเศษจึงได้จัดทาโครงการปรับบ้านเป็น ห้องเรียนเปลี่ยนพ่อแม่เป็นครู ประจาปีงบประมาณ 2553 ผลของการดาเนินงานดังกล่าว พบว่า ครอบครัวมคี วามจาเปน็ ในการใหบ้ ริการชว่ ยเหลอื ครอบครัว

23 1. ระบบหรอื กระบวนการดาเนินงาน การให้บริการช่วยเหลอื เฉพาะครอบครวั การให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวมีกรอบความคิด เร่ืองการมีส่วนร่วมและการสร้างความ เขม้ แขง็ ของครอบครัว ในการพฒั นาคุณภาพชวี ิตคนพิการ โดยมรี ะบบหรือกระบวนการดาเนินงาน ดงั นี้ แผนภูมิท่ี 1 แสดง กระบวนการให้บริการชว่ ยเหลอื เฉพาะครอบครวั 1. ลงทะเบียนแรกรับ 2. พบเพ่ือน 3. พบกลุ่ม 4. วางแผนการพฒั นาเด็กพิการ 5. ปฏิบัตโิ ดยครอบครัว ปรบั ปรงุ 6.ประเมนิ ผล 6.1 ไมพ่ ัฒนา 6.2 พฒั นา พัฒนาตอ่ ไป 6.2.1 เดก็ มกี ารเปลย่ี นแปลง 6.2.2 ครอบครวั เข้มแขง็ 6.2.3 เครือข่ายครอบครวั คนพิการ

24 การปฏบิ ตั ิงานตามกระบวนการใหบ้ รกิ ารช่วยเหลอื เฉพาะครอบครวั ดาเนินการ ดังนี้ 1. ข้ันลงทะเบียนแรกรับ ดาเนินการรับสมัครเด็กพิการ โดยผู้ปกครองนามารับบริการในศูนย์- การศึกษาพิเศษ หรือบุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษ ออกพื้นที่สารวจค้นหาเด็กพิการท่ีอยู่ที่บ้านในพื้นที่ รับผิดชอบของแต่ละจังหวัด ลงทะเบียนแรกรับโดยใช้เอกสารใบสมัคร สนทนากับผู้ปกครองและ ครอบครวั ของเดก็ พิการ เพอื่ รวบรวมขอ้ มูลพืน้ ฐานเกี่ยวกับครอบครัวและเด็กพิการให้มากท่ีสุด บุคลากร ศูนย์การศึกษาพิเศษ เป็นผู้รวบรวมข้อมูลบันทึกสรุปข้อมูลคนพิการและครอบครัวตามเอกสารแบบเก็บ ข้อมูลเบื้องต้น ได้แก่ ใบสมัครเข้ารับบริการ แบบสอบถาม/แบบสัมภาษณ์ ทะเบียนข้อมูลเด็กพิการ แบบเก็บขอ้ มลู ใบนดั หมายเขา้ รบั บรกิ ารโดยการสรุปและจัดเก็บข้อมูลเป็นรายบุคคล เพื่อใช้ในการติดต่อ ประสานงานและปฏิบัติงานรว่ มกับครอบครัวเดก็ พิการ 2. ข้นั พบเพอ่ื น ดาเนินการโดยจัดให้มหี ้องกิจกรรมให้ผู้ปกครองและครอบครัวท่ีนาเด็กพิการมา รับบริการคร้ังแรก แต่ละครอบครัวเก่าได้มีโอกาสพบปะ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ เพ่ือ เสริมสร้างกาลังใจ มีความมั่นใจและเห็นแบบอย่างท่ีดีในการเล้ียงดูเด็กพิการ เพื่อเข้าสู่การก้าวข้าม อุปสรรคเชงิ เจตคติภายในตนเอง ทาให้เกิดการยอมรบั และเคารพตนเอง โดยบคุ ลากรศูนย์การศึกษาพิเศษ ร่วมพูดคุยและสังเกตพฤติกรรม ประเมินทักษะพ้ืนฐานของคนพิการ และประเมินความพร้อมของ ครอบครัว บันทึกข้อมูลท่ีได้ จากการพบเพื่อน จัดเก็บข้อมูลในแฟูมประวัติครอบครัวเด็กพิการ กาหนดให้มบี ุคลากรรับผดิ ชอบรายครอบครวั ออกใบนัดหมายครอบครัวเพื่อการพบกลุ่มในครง้ั ตอ่ ไป 3. ขั้นพบกลุ่ม ดาเนินการโดยครอบครัวนาเด็กพิการมารับบริการตามใบนัดทีมบุคลากรศูนย์- การศึกษาพิเศษเป็นผู้ออกแบบกิจกรรมแบบสหวิทยาการ จัดกิจกรรมร่วมกันเป็นทีม โดยใช้การเรียนรู้ แบบร่วมมือกัน เพ่ือให้ครอบครัวได้เรียนรู้ เรื่องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กพิการ และเด็กพิการ ได้รบั การพฒั นาคณุ ภาพชีวติ ไปพรอ้ มกนั 4. ขั้นวางแผนการพัฒนา ดาเนินการโดยนัดหมายครอบครัวคนพิการ พบกับทีมสหวิชาชีพ ประกอบด้วย แพทย์ผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้าน นักสังคมสงเคราะห์ นักแก้ไขการพูด นักกิจกรรมบาบัด นักกายภาพบาบัด ครูการศึกษาพิเศษ โดยบุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษผู้รับผิดชอบแต่ละครอบครัวนา ข้อมูลประวัติเด็กพิการ ทักษะหรือความสามารถพ้ืนฐานของคนพิการ และข้อมูลความพร้อมของ ครอบครัวมาใช้ในการวางแผนการพัฒนาคนพิการ ทีมสหวิชาชีพและครอบครัวร่วมกันจัดทาแผนการ ใหบ้ รกิ ารช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว โดยผู้จัดการรายกรณีเป็นผู้รวบรวมจดั ทาแผนบริการชว่ ยเหลือเฉพาะ ครอบครวั ตามเอกสารทกี่ าหนด เพอ่ื ใหค้ รอบครวั คนพกิ ารนาไปทดลองใช้ 5. ข้ันปฏบิ ตั โิ ดยครอบครัว ดาเนินการเตรยี มครอบครัวเด็กพิการ โดยการจัดอบรมให้สามารถ จัดทาตารางกิจกรรมประจาวัน เพื่อให้คนพิการได้รับการพัฒนาคุณภาพอย่างเป็นระบบ ให้ผู้ปกครอง ครอบครัวนาไปทดลองใช้ในครอบครัว และบันทึกผลการพัฒนาตามเอกสารที่กาหนด โดยบุคลากรศูนย์ การศึกษาพิเศษออกพ้ืนที่ติดตามให้คาแนะนาปรึกษา และประเมินความก้าวหน้าของการดาเนินการ พฒั นาคุณภาพชวี ติ เดก็ พิการ 6. ขัน้ ประเมนิ ผลการปฏิบตั ิ ดาเนนิ การโดยนัดหมายครอบครัวเด็กพิการพบกับ ทีมสหวิชาชีพ บุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษผู้รับผิดชอบรายครอบครัว เพ่ือนาผลการดาเนินงาน ตามแผนบริการ ช่วยเหลือเฉพาะครอบครัว และแบบบันทึกผลการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กพิการ และข้อมูลท่ีได้จากการ ออกพื้นท่ีติดตามให้คาแนะนาปรึกษา มาประเมินความก้าวหน้า ของเด็กพิการและครอบครัว เพื่อ ปรับปรงุ การปฏิบตั ิงานและเพื่อตดั สินทศิ ทางการใหบ้ ริการชว่ ยเหลอื เฉพาะครอบครวั

ตารางท่ี 1 แสดงรายละเอียดกร ข้ันตอน กจิ กรรม วัตถปุ ระสงค์ ผลทคี่ าดวา่ จ 1. 1.สารวจ 1.เพ่ือรวบรวมครอบครวั ที่ 1.ไดข้ ้อมูลครอ ลงทะเบยี น กลุ่มเปาู หมาย มคี นพิการ มคี นพิการ แรกรับ 2.ลงทะเบียน 2.เพ่ือนัดหมายการทา 2.ครอบครวั เริ่ม 3.นดั หมายพบ กจิ กรรม บรกิ ารความช่ว 2.พบเพื่อน กลมุ่ 1.สร้างบรรยากาศแบบ 1.ไดแ้ ลกเปล่ยี 1.พบเพื่อน เพอื่ นช่วยเพื่อน ประสบการณ์ (ควรจะ 2.สรา้ งความคนุ้ เคย 2.มีกาลังใจ มีค มากกว่า 2 3.สรา้ งโอกาสแลกเปลย่ี น มัน่ ใจ ได้เห็น ครั้ง) ประสบการณ์ แบบอย่างการด พิการ 3.การกา้ วข้าม อุปสรรคเชงิ เจ ภายในตนเองท เกิดการ ยอมรับและเคา ตนเอง

25 ระบวนการใหบ้ ริการช่วยเหลือครอบครัว จะได้รบั เอกสารที่ ผู้รับผิดชอบ/ สถานท่ี ส่งิ ทีต่ ้องทาต่อไป เกีย่ วข้อง ผู้เก่ยี วข้อง 1.ศนู ย์ 1.นดั หมายการพบ อบครวั ท่ี 1. แบบเกบ็ 1. บุคลากร การศกึ ษา เพ่ือน พิเศษ 2.เยีย่ มบ้าน ขอ้ มูลเบื้องต้น ศูนยฯ์ 2.บ้าน 3.เตรยี มกลมุ่ เพ่อื น 3.โรงพยาบาล มรู้จัก 2. ใบนัดหมาย 2. ผู้ปกครอง 1.ศูนย์ 1.นดั หมายการพบ การศกึ ษา กลุม่ วยเหลือ พเิ ศษ 2.ประเมนิ ความพร้อม 2.บา้ น ของครอบครวั ยน 1.แบบ 1. บคุ ลากร 3.มอบหมาย ประเมินทักษะ ศนู ย์ฯ ผรู้ บั ผดิ ชอบครอบครวั ความ พ้ืนฐานของ 2. เครือข่าย (ผจู้ ดั การรายกรณี) คนพกิ าร ผปู้ กครอง 4.เตรยี มการพบกลมุ่ ดแู ลคน 2.แบบ 3. ผู้ปกครอง ประเมินความ ใหม่ ม พรอ้ มของ จตคติ ครอบครวั ทาให้ 3.บนั ทกึ ข้อมลู การพบเพื่อน ารพ 4.แฟมู ประวตั ิ 5.ใบนดั หมาย

ขน้ั ตอน กิจกรรม วัตถุประสงค์ ผลท่ีคาดวา่ จะได 3.พบกลุ่ม 1.พบกลุ่ม(ควรจะ 1.สร้างบรรยากาศแบบเพ่ือน 1.ขอ้ มูลพื้นฐานของ ครอบครวั มากกวา่ 1 คร้ัง) ชว่ ยเพ่ือน 2.การก้าวขา้ มอปุ สร เชงิ เจตคติภายในตน 2.เกบ็ ขอ้ มูล 2.สร้างความคุ้นเคย ทาใหเ้ กิดการยอมรบั เคารพตนเอง พื้นฐาน 3.สร้างโอกาสแลกเปล่ียน 3.ไดแ้ ลกเปล่ียน ประสบการณ์ โดยการสังเกต ประสบการณ์ 4.ผู้รับบรกิ ารเกิดคว ไว้วางใจ มั่นใจ ไดเ้ ห แบบมีส่วนร่วม 4.ใหค้ วามรู้เรอ่ื งการดแู ลคน แบบอยา่ ง 5. ครอบครัวไดเ้ รียน 3. ให้ความรูโ้ ดย พกิ าร วิธีการดแู ลคนพิการ การพาทา กจิ กรรมตา่ งๆ

26 ด้รับ เอกสารท่ี ผรู้ บั ผิดชอบ/ สถานที่ สงิ่ ทตี่ ้องทาต่อไป เก่ยี วข้อง ผู้เกย่ี วข้อง ศูนยก์ ารศึกษา 1.รวบรวมข้อมูลท่ีได้ ง 1.แผนการจดั 1.ผูจ้ ดั การราย พเิ ศษ จากการสงั เกต กรณี 2.วางแผนการพบกลุ่ม กจิ กรรม 2.ทีมสหวชิ าชพี ครั้งต่อไป 3.กล่มุ เครอื ขา่ ย รรค 2.บนั ทกึ ผลการ ผ้ปู กครอง 4.ผปู้ กครอง และ นเอง จัดกจิ กรรม คนพิการ บและ 3.ใบนัดหมาย วาม ห็น นรู้ ร

ขน้ั ตอน กจิ กรรม วัตถปุ ระสงค์ ผลทค่ี าดว่าจะได 4.วาง 1.พบปะ 1.เพอ่ื ให้ครอบครัวมสี ่วนร่วม 1.ร่วมกนั วางพฒั นา แผนการ ครอบครัวร่วมกับ ในการวางแผน พิการ พัฒนา ทมี สหวิชาชพี 2.เพื่อจัดทาแผนการใหบ้ ริการ 2.ได้แผนการช่วยเห 2.จดั ทาแผนการ ชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครวั ครอบครัว ให้บริการ ช่วยเหลือเฉพาะ ครอบครัว 5.ปฏิบตั ิ 1.ฝกึ อบรม 1.เพอ่ื ถา่ ยทอดวธิ ีการพฒั นา 1.ครอบครัวไดเ้ รียน 5.1เตรียม ครอบครัว ครอบครวั ศกั ยภาพคนพิการ ประสบการณ์ของผูอ้ 2.ครอบครวั พา 2.สร้างโอกาสแลกเปลย่ี น 2.ครอบครัวสามารถ 5.2ครอบครัว คนพิการทา ประสบการณ์แบบเพื่อนช่วย แผนการช่วยเหลอื นาไปใช้ กิจกรรมตาม เพอ่ื น ครอบครวั ไปใช้ได้ 3.ครอบครัวไดน้ าความรู้ไป ตารางนาฬิกา ชีวติ ใน 1 วัน ปฏบิ ัติไดจ้ ริง 3.การบนั ทกึ ผล การปฏิบตั ิ

27 ดร้ ับ เอกสารที่ ผรู้ บั ผดิ ชอบ/ สถานที่ สิ่งทีต่ ้องทาต่อไป เกี่ยวข้อง ผู้เกย่ี วข้อง าคน 1.แฟูมประวัติ 1.ผ้จู ดั การราย ศนู ยก์ ารศึกษา 1.ครอบครัวนาไป พเิ ศษ ทดลองนาไปใช้ ครอบครัวและ กรณี 2.เก็บขอ้ มลู โดยการ บนั ทกึ และถ่ายภาพ หลือ คนพิการ 2.ครอบครวั 3.ครอบครัวมารับ บรกิ ารตามแผน 2.แผนการ 3.ทมี สหวิชาชพี ใหบ้ ริการ ชว่ ยเหลอื ครอบครัว นรจู้ าก 1.หลกั สตู ร 1.ผู้จัดการราย 1.ศูนย์ 1.ครอบครัวทดลองทา การศึกษา กจิ กรรมตามตาราง อนื่ ฝกึ อบรม กรณี พิเศษ นาฬิกาชวี ติ ใน 1 วัน 2.บา้ น 2.ตดิ ตามความก้าวหนา้ ถนา ครอบครัว 2.ครอบครวั 2.ตาราง 3.ทีมสหวิชาชีพ กจิ กรรม 4.เครอื ข่าย ประจาวัน ครอบครวั

ขัน้ ตอน กจิ กรรม วัตถุประสงค์ ผลท่ีคาดว่าจะ 6.ประเมนิ ผล 1.เยย่ี มบ้านให้ 1.เพื่อเกบ็ ข้อมลู ความกา้ วหน้า 1.ได้ข้อมูลเชงิ ปร ของเด็ก ครอบครวั สิง่ แวดล้อม เพือ่ นามาปรบั ปร การปฏิบัติ คาแนะนาพบ และชุมชนให้คาแนะนา ปรึกษา ปฏบิ ัติงานหน่วย ให้กาลงั ใจ 2. ครอบครวั และ กลุม่ ประเมิน 2. เพื่อประเมินความกา้ วหน้า สว่ นร่วมในการ ของเด็ก ครอบครวั สิง่ แวดล้อม ประเมนิ ผลการป ความ กา้ วหน้า และชมุ ชน 3.ครอบครัวมีควา 3.เพื่อปรบั ปรงุ การปฏบิ ัตงิ าน ในการดแู ลคนพิก ร่วมกบั ทมี 4.เพือ่ ตดั สนิ ทิศทางการ 4. ได้ผลการปฏิบ ใหบ้ ริการ 5.ได้ทศิ ทางการ สหวชิ าชีพ ปฏิบัตงิ านต่อไป 2.นาผลท่ไี ดจ้ าก การตดิ ตาม ความก้าวหนา้ มาประเมนิ

28 ะไดร้ บั เอกสารที่ ผู้รับผดิ ชอบ/ สถานท่ี สิ่งทตี่ ้องทาต่อไป เก่ียวข้อง ผ้เู กี่ยวข้อง ระจักษ์ 1.ศูนย์ 1.ปรบั ปรุงแผนฯ รุง การ แบบประเมิน 1.ผจู้ ัดการราย การศกึ ษา 2.นาเสนอผลงาน ยงาน ความก้าวหนา้ กรณี พเิ ศษ ะกลุม่ มี 2.บ้าน 2.ครอบครวั 3.ทมี สหวชิ าชีพ ปฏิบัติ ามมน่ั ใจ การ บัติงาน

29 2. บทบาทหนา้ ท่ีในการให้บรกิ ารช่วยเหลือเฉพาะครอบครวั ของบคุ ลากร และหนว่ ยงาน 2.1 ครอบครัว นาเด็กพิการมารับบริการที่ศูนย์การศึกษาพิเศษ ให้ข้อมูลพื้นฐานของ ครอบครัว ข้อมูลความสามารถพื้นฐานของเด็กพิการ ร่วมกิจกรรมพบเพื่อน กิจกรรมพบกลุ่ม ประชุมจัดทาแผนบริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวร่วมกับบุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษ และทีมสห วิชาชีพ บอกความต้องการหรอื เลอื กรับบริการทีเ่ หมาะสมกับครอบครวั ของตนเอง ฝึกทักษะท้ัง 6 ด้าน ตามแผนท่ีกาหนด บันทึกผลการพัฒนาศักยภาพเด็กพิการ และร่วมประเมินผลการดาเนินงานตามแผน บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวกับบุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษ และทีมสหวิชาชีพ และให้การ ช่วยเหลอื ครอบครัวเดก็ พกิ ารอ่นื ๆ 2.2 บุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษ ประเมินความพร้อมของครอบครัว ประเมิน ความสามารถพื้นฐานของเด็กพิการ สอบถามข้อมูล เป็นผู้จัดการรายกรณีให้กับเด็กพิการ ประสานงาน ครอบครัว ทีมสหวิชาชีพ ชุมชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสนับสนุนการให้บริการช่วยเหลือเฉพาะ ครอบครัว 2.3 ทีมสหวิชาชีพร่วมประชุมจัดทาแผนการให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวกับ ครอบครัวเด็กพิการ บุคลากรศูนย์การศึกษาพิเศษ และร่วมดาเนินการประเมินผลการดาเนินงานตาม แผนการให้บรกิ ารช่วยเหลอื เฉพาะครอบครวั 2.4 ผจู้ ดั การรายกรณี เปน็ ผรู้ ับผดิ ชอบครอบครัวและเด็กพิการ ตามท่ีได้รับมอบหมาย นาแผนการให้บริการช่วยเหลือเฉพาะครอบครัวไปสู่การปฏิบัติให้การสนับสนุนและให้คาปรึกษา นาทมี สหวชิ าชพี รว่ มประเมนิ ผลการดาเนินงานตามแผนการใหบ้ ริการช่วยเหลอื เฉพาะครอบครวั 2.5 ชุมชน มีส่วนร่วมให้การสนับสนุนทรัพยากร ปรับสภาพแวดล้อมภายในชุมชน อานวยความสะดวกในการดาเนินชีวิตประจาวนั ของครอบครัวและเดก็ พิการ การประเมนิ ผล การประเมนิ ผลการให้บรกิ ารช่วยเหลือเฉพาะครอบครวั มี 2 แบบ คอื แบบท่ี 1 เป็นการประเมินผลการปฏิบตั ิการตามกระบวนการใหบ้ ริการช่วยเหลอื เฉพาะครอบครวั รายกรณี เพื่อประเมินความกา้ วหน้าของเด็ก ครอบครวั ส่ิงแวดล้อม และชมุ ชน ผู้จดั การรายกรณีเป็น ผูร้ บั ผดิ ชอบการประเมินโดยใช้เอกสารแบบประเมนิ ความก้าวหน้า แบบที่ 2 เปน็ การประเมินผลการดาเนนิ งาน การใหบ้ ริการช่วยเหลอื เฉพาะครอบครวั ท้งั หมดท่ี ศูนย-์ การศึกษาพเิ ศษไดด้ าเนินงานในแต่ละภาคเรียน คณะทางานเป็นผรู้ ับผดิ ชอบการประเมิน โดยใช้ CIPP Model การใหบ้ รกิ ารช่วงเชือ่ มต่อของผ้เู รยี นท่ีมคี วามตอ้ งการพิเศษ (Transition Services) การเปล่ียนผ่าน (Transition) ในความหมายทั่วไป คือ การเปล่ียนจากระดับหน่ึงไปสู่อีกระดับ หนึ่ง เช่น การเปล่ียนแปลงจากสถานที่ สภาพแวดล้อม ระยะเวลา จากท่ีหนึ่งไปสู่ท่ีหนึ่ง โดยมีเปูาหมาย อยู่ขา้ งหน้าท่มี สี ภาพดกี ว่าปัจจบุ ัน ดงั น้นั การเปลี่ยนผ่านสาหรับผู้เรียนจึงอาจหมายถึงกระบวนการเลื่อน ระดับการดาเนินชีวิต จากระดับหน่ึงไปสู่อีกระดับหน่ึง เช่น จากบ้านสู่ศูนย์เตรียมความพร้อมก่อนวัย เรียน/ศูนย์การศึกษาพิเศษ/โรงเรียน จากช้ันเรียนสู่ช้ันเรียน และจากโรงเรียนสู่ชุมชน เป็นต้น โดยการดาเนินการเปล่ียนผ่านต้องมีการวางแผนและจัดทาแผนการเปล่ียนผ่านเป็นลายลักษณ์อักษร

30 เพื่อเป็นหลักประกันว่า ผู้เรียนจะได้รับการเตรียมความพร้อมในการเปล่ียนผ่าน เช่นเดียวกับการมี แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล แผนการเปล่ียนผา่ น (Transition Plan) เป็นแผนที่มีเนื้อหาสาระสะท้อนถึงการพัฒนาผู้เรียน ระบุจุดแข็ง หรือความต้องการจาเป็นท่ีสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงของชีวิต โดยความร่วมมือของ ผูเ้ กยี่ วขอ้ งในการจัดทาแผน ในสหรัฐอเมริกามกี ฎหมายที่เก่ียวข้องกับการเปล่ียนผ่านสาหรับนักเรียนที่มีความต้องการจาเป็น พเิ ศษทใี่ ห้ดาเนินการทนั ทเี มอ่ื นกั เรียนอายุ 16 ปี หรือทันทที ่เี ห็นว่าเหมาะสม (IDEA, 2004) เพ่ือเตรียม ให้เด็กที่จบการศึกษาในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้รับบริการเพ่ือประกันกับครอบครัวว่าผู้เรียนที่มี ความต้องการจาเป็นพิเศษจะมีความพร้อมไปอยู่ในสังคมต่อไป ซ่ึงผู้ที่เก่ียวข้องจะต้องร่วมกันดาเนินการ จัดทาแผนการเปลี่ยนผ่านตามความต้องการจาเป็นและเปูาหมายในอนาคตของผู้เรียน แต่อย่างไรก็ตาม พบว่า การเปลี่ยนผ่านต้องเร่ิมให้เร็วที่สุดตั้งแต่อายุ 3 ปี โดยบรรจุไว้ในแผนบริการเฉพาะครอบครัว (Individualized Family Service Plan: IFSP) เพื่อช่วยเหลือเด็กท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษก้าว ผ่านบริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่มไปสู่บริการอ่ืนๆ เช่น การศึกษาพิเศษในระดับปฐมวัย ดังน้ัน กระบวนการจัดทาแผนการเปลี่ยนผ่านสาหรับผู้เรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ จึงควรดาเนินการ ให้แก่ผู้เรียนทุกช่วงวัยและทุกระดับการศึกษาเพื่อให้บุคคลเหล่านี้ได้รับบริการท่ีเหมาะสม และพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ การวางแผนการเปลี่ยนผ่านเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชน ว่าสถานศึกษาได้จัดการศึกษาท่ีสอดคล้องกับเปูาหมายการดารงชีวิตของผู้เรียน และไดเ้ ตรียมตัวให้ผ้เู รยี นมคี วามพร้อมสาหรับก้าวไปสชู่ ่วงชีวติ ตอ่ ไป การวางแผนการเปลี่ยนผ่าน คือการดาเนินการร่วมกันระหว่างตัวผู้เรียน ครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น บุคลากรทางการศึกษา และรัฐบาล เพื่อสนับสนุนการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนได้ผ่านกิจกรรมที่ สอดคลอ้ งกับเปาู หมายของตนเองในชว่ งวัยต่าง ๆ ตัง้ แตว่ ยั เรยี นจนเข้าสู่วัยผู้ใหญ่โดยผู้เรียนจะมีแผนการ เปล่ียนผา่ นเฉพาะบุคคล (Individual Transition Plan: ITP) ท่ีผู้เกี่ยวขอ้ งจะทางานรว่ มกนั การวางแผนการเปล่ียนผ่านเป็นการบริการท่ีมีความจาเป็นอย่างยิ่งในการสร้างโอกาสให้แก่ ผเู้ รียนพบความสาเร็จต่อการดาเนินชีวิตในอนาคต เป็นการเตรียมผู้เรียนให้สามารถเข้าสู่สังคม และการ พ่ึงพาตนเอง เปรียบเสมือนการสร้างสะพานเชื่อมระหว่างชีวิตในวัยเรียนไปสู่การดารงชีวิตในวัยผู้ใหญ่ สอดคล้องกับพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซ่ึงให้ความหมายของ การสง่ เสริมและพฒั นาคุณภาพชีวิตว่า คือการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การจัดสวัสดิการ การส่งเสริม และพิทักษ์สิทธิ การสนับสนุนให้คนพิการสามารถดารงชีวิตอิสระ มีศักด์ิศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และ เสมอภาคกับบุคคลท่ัวไป มีส่วนร่วมกับสังคมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมท่ีคน พิการสามารถเข้าถงึ และใชป้ ระโยชน์ได้ ดงั น้นั การวางแผนการเปล่ียนผ่าน จึงมีประโยชน์และสอดรับกับ หลักการดังกล่าว เพื่อให้ผู้เรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ สามารถผ่านขั้นตอนในระยะต่าง ๆ ของชีวิตได้ และสามารถอยูร่ ว่ มในสังคมตามศักยภาพสูงสุด

31 แนวทางการจดั ทาแผนการเปลย่ี นผา่ น การนาหลักการดงั กล่าวขา้ งต้นมาเป็นแนวทางการจัดทาแผนการเปลี่ยนผา่ นสามารถกาหนดเป็น ขน้ั ตอน ดงั น้ี ข้ันตอนที่ 1 การศึกษานโยบาย และหลกั การ การศึกษากฎหมายและนโยบายที่เก่ียวข้องกับการจัดการศึกษาเพ่ือคนพิการ กฎหมายและ พระราชบัญญัติทางการศึกษาของประเทศไทย ได้กล่าวถึงการสนับสนุนให้คนพิการสามารถดารงชีวิต อิสระ มศี ักดิศ์ รแี หง่ ความเป็นมนุษย์ และมีหลกั เกณฑ์กาหนดใหผ้ ูเ้ รยี นทม่ี ีความต้องการจาเป็นพิเศษต้อง มีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล โดยแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลระบุถึงแนวทางจัดการศึกษา ท่นี ามาเชือ่ มต่อสู่การวางแผนการเปลีย่ นผ่านได้ ดังนัน้ การวางแผนการเปลี่ยนผ่านจึงสามารถทาควบคู่ไป กบั การวางแผนการจัดการศกึ ษาเฉพาะบคุ คล ขนั้ ตอนที่ 2 การรว่ มกันใหค้ าปรึกษา ก า ร ว า ง แ ผ น ก า ร เ ป ล่ี ย น ผ่ า น จ า เ ป็ น ต้ อ ง ใ ห้ ผู้ เ กี่ ย ว ข้ อ ง ม า ป ร ะ ชุ ม ใ ห้ ค า ป รึ ก ษ า ร่ ว ม กั น เพื่อวางเปูาหมายในอนาคตตามความต้องการของผู้เรียน และจัดหาทรัพยากรสนับสนุนการดาเนินงาน ตามแผนใหบ้ รรลุเปาู หมายท่กี าหนดไว้ ขน้ั ตอนที่ 3 กระบวนการวางแผนการเปลย่ี นผ่าน ในขั้นตอนน้ี เปน็ กระบวนการรวบรวมขอ้ มลู ไปสกู่ ารวางแผน การนาไปใช้ และการตดิ ตามผล ขั้นตอนท่ี 4 การจัดทาแผนการเปลีย่ นผ่านเฉพาะบคุ คล เป็นแผนทีก่ าหนดเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร เช่นเดียวกบั แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลหรือแผน ให้บรกิ ารชว่ ยเหลือเฉพาะครอบครัว (IEP/IFSP) โดยผ่านกระบวนการขั้นตอนที่ 1-3 จนมีแผนการเปล่ียน ผ่านเฉพาะบุคคล ดงั รปู ท่ี 1 แสดงถงึ ข้นั ตอนทนี่ าไปสู่แผนการจดั การศกึ ษาเฉพาะบคุ คล ดังน้ี แผนการเปลีย่ นผ่านเฉพาะบุคคล Individual Transition Plan กระบวนการวางแผนการเปลี่ยนผ่าน Transition planning process การร่วมกันให้คาปรึกษา Collaborative consultation การศกึ ษานโยบายและหลักการ Policy and guiding principles รูปท่ี 1 แผนภาพขน้ั ตอนการวางแผนการเปลยี่ นผา่ น

32 แนวทางการพฒั นาแผนการเปล่ียนผ่าน การเริ่มต้นการจัดทาแผนการเปล่ียนผ่าน เป็นการดาเนินการต่อเน่ืองจากการจัดทาแผนการจัด การศึกษาเฉพาะบุคคล โดยสามารถนาข้อมูลจากการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลมาใช้ รว่ มกัน คณะกรรมการที่รว่ มกนั จดั ทาแผนการจดั การศึกษาเฉพาะบุคคลสามารถดาเนินการวางแผนการ เปลย่ี นผา่ นรว่ มด้วยได้ การพัฒนาแผนการเปล่ียนผ่านจะมีกิจกรรมต่าง ๆ หลายขั้นตอน ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับการศึกษา วิเคราะหข์ องแต่ละหน่วยงานที่รับผิดชอบ อย่างไรก็ตามแนวทางการพัฒนาแผนการเปลี่ยนผ่านจะต้องมี องค์ประกอบอย่างน้อย 5 กิจกรรม ได้แก่ การแต่งต้ังคณะกรรมการจัดทาแผนการเปล่ียนผ่าน การเก็บ รวบรวมข้อมลู การพฒั นาแผนการเปล่ียนผา่ น การนาแผนการเปลี่ยนผ่านไปสู่การปฏิบัติ การปรับหรือ ทบทวนแผนการเปลี่ยนผ่าน และการจัดประชุมก่อนผู้เรียนจบการศึกษา ในการวางแผนการเปลี่ยนผ่าน ของผูเ้ รยี นทีม่ ีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษ มหี ลกั การสาหรับผู้เกี่ยวขอ้ งดงั รายละเอยี ดต่อไปนี้ 1. การเรมิ่ ตน้ วางแผนแตเ่ น่นิ ๆ (Begin Planning Early) การวางแผนการเปลี่ยนผ่านสู่วัยผู้ใหญ่ ในต่างประเทศจะเร่ิมต้นวางแผนเม่ือเด็กมีอายุ 16 ปี และทาต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 19 ปี อย่างไรก็ตาม การวางแผนการเปลย่ี นผา่ นสามารถทาไดท้ ุกช่วงอายุ เชน่ การเปลี่ยนผ่านจากระดับการศึกษาหนึ่งไปยัง อีกระดับการศกึ ษาหนง่ึ จากชน้ั หนง่ึ ไปยังชน้ั ท่ีสงู ขนึ้ และจากโรงเรียนหนึ่งไปยังอีกโรงเรียนหน่ึง เป็นต้น การวางแผนการเปลี่ยนผ่านร่วมกับการวางแผน IEP/IFSP จัดเป็นการเร่ิมต้นที่รวดเร็วและสามารถ เชื่อมโยงข้อมูลจากการวางแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลและนาไปปรับปรุงโปรแกรมการให้ การศกึ ษาไดท้ ันท่วงที 2. การวางแผนพัฒนาเฉพาะบุคคลและแผนสู่อนาคต (Develop an Individualized and Future - oriented Plan) ใชห้ ลกั การของการใหค้ วามสาคัญกบั บุคคล (Person-Centered Approach) โดยการเน้นความต้องการของผเู้ รยี นเป็นตวั ขับเคลอ่ื นการวางแผนตา่ งๆ 3. การเน้นจุดแข็งและความสามารถ (Focus on Strengths and Abilitis/ Competencies) ในการวางแผนการเปล่ียนผ่านต้องระบุความสามารถท่ีเป็นจุดแข็งของผู้เรียน และ ดาเนินการประเมิน ความสามารถของผู้เรียนโดยสหวชิ าชีพ 4. การสื่อสารและการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพ (Foster Effective Communication and Collaboration) การทาให้แผนการเปลี่ยนผ่านประสบความสาเร็จนั้น จาเป็นต้องอาศัยการส่ือสาร และการทางานร่วมกันอย่างมปี ระสิทธิภาพ ประกอบด้วยบุคคลต่อไปน้ี ผู้เรียน ผู้ปกครอง ครู ผู้ให้บริการ ต่าง ๆ ต้องมกี ารส่อื สารเพ่อื ให้ไดข้ ้อเทจ็ จรงิ ตรงไปตรงมาอยา่ งครบถว้ น 5. การจดั หาบริการตอบสนอง (Provide Responsive Services) แนวทางการวางแผนที่มีบุคคล เป็นศูนย์กลางอยู่บนพื้นฐานของการช่วยให้บุคคลประสบผลสาเร็จตามเปูาหมายและตามแรงบันดาลใจ ของบุคคลน้ัน การวางแผนการเปลี่ยนผ่านเป็นการช่วยให้ผู้เรียนบรรลุเปูาหมายส่วนบุคคล ดังน้ัน การ จัดหาบริการเพื่อตอบสนองดังกล่าว จึงต้องมีการปรับเปล่ียน หรือทบทวนการให้บริการ เพื่อให้การ บริการนน้ั มคี วามเปน็ ไปได้ และตรงตามความตอ้ งการของผู้เรยี น 6. การใช้ประโยชน์และการสนับสนุนจากชุมชน (Utilize Existing Community Support) ในโปรแกรมวางแผนการเปลี่ยนผ่าน จาเป็นต้องระบุแหล่งสนับสนุนในชุมชน หรือแหล่งทรัพยากรต่างๆ โดยผู้ร่วมวางแผนต้องแสวงหาแหล่งสนับสนุนจากเพ่ือนบ้านใกล้เคียง ผู้ร่วมงาน ชุมชนท่ีสามารถ สนบั สนนุ ผเู้ รยี นได้

33 การเปลีย่ นผา่ นกบั ผเู้ รียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ ผู้เรียนที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษ มักมีความยากลาบากในการดาเนินชีวิต และต้องการ บริการที่หลากหลาย เพ่ือช่วยเหลือให้ผู้เรียนบรรลุถึงศักยภาพ การเปล่ียนผ่านจึงเป็นการบริการหน่ึงท่ี รองรับการเช่ือมโยงจากการศึกษาไปสู่การดาเนินชีวิต เด็กที่มีความต้องการจาเป็นพิเศษทุกประเภท จึงจาเป็นต้องมีแผนการเปล่ียนผ่าน ยกตัวอย่าง เช่น ผู้เรียนออทิสติก อาจมีความยากลาบากในการ ปรบั ตวั เมอื่ มีการเปลยี่ นแปลงสิง่ แวดล้อมใหม่ ทั้งช้ันเรียนใหม่ หรือโรงเรียนใหม่ หากไม่ได้มีการเตรียม ความพร้อมแก่ผู้เรียนอาจเกิดปัญหาด้านพฤติกรรมการต่อต้านของผู้เรียนออทิสติก และการจัดการกับ พฤตกิ รรมต่าง ๆ ของผู้เรียนจะยากลาบากมากข้ึน เพ่ือให้การเปล่ียนแปลงในแต่ละช่วงวัยของผู้เรียนที่มี ความต้องการจาเป็นพิเศษเป็นไปอย่างราบร่ืนในการปรับตัวเม่ือมีการเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ การเตรียมความพร้อมจากการศึกษาหน่ึงไปสู่อีกระดับการศึกษาหน่ึง จึงจาเป็นต้องเตรียมบุคคลที่ เก่ียวข้องและตัวของผู้เรียนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงในช่วงวัยน้ันรวมไปถึงการจัดสรรทรัพยากรให้ พร้อม เพื่อตอบสนองตอ่ ความต้องการจาเปน็ ของผ้เู รียน ลักษณะการเปล่ียนผ่านสาหรบั ผู้เรยี นที่มคี วามต้องการจาเปน็ พเิ ศษ 1. การเปล่ียนผ่านในระบบโรงเรียน (Transition into the school system) ครอบครัวของ ผู้เรียนท่ีมีความต้องการจาเป็นพิเศษ เมื่อรับทราบถึงความต้องการของบุตรหลานท่ีต้องเข้าเรียน จาเป็นต้องแสวงหาสถานทีเ่ รียนสาหรับบุตรหลานเพื่อเข้าสู่ระบบการศึกษาหรือระบบการช่วยเหลือระยะ แรกเริ่ม ผู้ปกครองจึงเป็นบุคคลแรกที่แสวงหาบริการแก่บุตรหลาน โดยการไปพบปะผู้เก่ียวข้อง เชน่ ครู นักวชิ าชพี หรอื แสวงหาขอ้ มลู จากแหลง่ ตา่ งๆ เพ่ือเขา้ รับการศึกษา 2. การเปลี่ยนผ่านระหว่างช้ันเรียนและการเล่ือนช้ัน (Transitions between grade levels and class transfers) เมอ่ื ผ้เู รียนจบการศกึ ษาในแตล่ ะระดบั ช้นั และต้องเข้าสู่การศึกษาในช้ันที่สูงขึ้น จึงมีความจาเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมผู้เรียนและครูผู้รับการส่งต่อในชั้นถัดไป ท้ังน้ีเพ่ือท่ีครูที่รับ การส่งต่อจะได้รับทราบข้อมูลและความต้องการจาเป็นของผู้เรียน เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง ครผู รู้ บั สง่ ตอ่ ผเู้ รียนจึงควรมาเยีย่ มช้ันเรียนของผู้เรียน สงั เกตพฤตกิ รรม สภาพแวดล้อมของผู้เรียน และ นาขอ้ มลู มาเตรยี มความพร้อมในการจดั ชน้ั เรียนใหผ้ ้เู รียนได้อย่างเหมาะสม 3. การเปลี่ยนผ่านระหว่างโรงเรียน (Transitions between schools) เม่ือผู้เรียนจบการศึกษา จากสถาบันการศึกษาหนง่ึ แลว้ หรอื มีการย้ายสถานศกึ ษาจาเป็นต้องมีการส่งต่อข้อมูลจากสถานศึกษาเดิม ให้ สถานศึกษาใหม่ทร่ี บั สง่ ตอ่ โดยสถานศึกษาใหม่อาจตง้ั ผู้ประสานงานทใี่ ห้ผ้เู รียนสามารถติดต่อสอบถาม ได้ รวมถึงการให้ข้อมูลแก่ผู้ปกครองและผู้เรียนอื่นในโรงเรียนใหม่ รับสมัครเพื่อนอาสาเป็นพี่เล้ียงแก่ ผเู้ รียนท่มี คี วามตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษ และเตรียมพร้อมความรู้ทักษะท่ีจาเป็นในการดาเนินชีวิตในโรงเรียน ใหม่แก่ผู้เรียนที่มีความตอ้ งการจาเปน็ พิเศษ 4. การเปลี่ยนผา่ นจากระดบั มัธยมศกึ ษา สกู่ ารศึกษาในระดับสูงข้ึน และวัยผู้ใหญ่ (Transition from secondary school to higher education or adult life) เม่ือผู้เรียนสาเร็จการศึกษาระดับ มัธยมศึกษา แล้วต้องการศึกษาต่อในรูปแบบต่างๆ เช่น การฝึกอาชีพ วิชาชีพเฉพาะทาง การเรียนต่อ ระดับอาชีวศึกษา และระดับอุดมศึกษา จาเป็นต้องได้รับการเตรียมความพร้อมในการศึกษาท่ีสูงข้ึน เช่น การศึกษาในระดับอุดมศึกษา จาเป็นต้องวางแผนเลือกโปรแกรมการศึกษาให้สอดคล้องกับศักยภาพ และความตอ้ งการของผ้เู รยี นมากทีส่ ุดเตรียมทุนการศกึ ษาสาหรับการใช้จ่ายในการเรียนและบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง

34 การเปล่ยี นผา่ นในระยะนี้ เปน็ ระยะสาคัญท่ีนาไปสู่การพึ่งพาตนเองในการดาเนินชีวิต จึงต้องมี การเตรียมแผนการบริการและแหล่งสนับสนุนต่าง ๆ ซ่ึงต้องอาศัยข้อมูลการเปล่ียนผ่านที่ดาเนินการมา ทงั้ หมดมาพจิ ารณาจดุ แข็งและเปาู หมายของผเู้ รียนท่ีควรส่งเสริม เพื่อนาไปสู่การวางแผนการเปล่ียนผ่าน สาหรบั การศึกษาตอ่ ในระดับสูงและการดาเนนิ ชวี ิตในวัยผใู้ หญ่ สรปุ การวางแผนการเปล่ียนผ่าน เป็นกระบวนการที่ทาร่วมไปกับการจัดทาแผนการศึกษาเฉพาะ บุคคล โดยใช้หลักการบุคคลเป็นศูนย์กลาง (Person-Centered Approach) ซ่ึงสามารถวางแผนการ เปล่ียนผ่านได้ทันทีท่ีเห็นว่าเหมาะสม การวางแผนการเปล่ียนผ่านต้องอาศัยความร่วมมือของผู้ปกครอง ตัวผู้เรียน บุคลากรทางการศึกษา องค์กร ชุมชน การวางแผนการเปล่ียนผ่านเป็นกระบวนการ สนับสนุนให้ผู้เรียนได้รับบริการที่ต่อเนื่องสอดคล้องกับความต้องการในปัจจุบันและอนาคตท่ีเป็น หลักประกันทางการศึกษาว่าในอนาคตผู้เรียนสามารถพึ่งพาตนเองในอนาคตได้ตามศักยภาพ ฉะน้ันการ วางแผนการเปลย่ี นผ่านจึงต้องมตี รวจสอบกบั เปูาหมายที่เป็นจริงเป็นระยะ เพื่อให้การดาเนินงานของทุก ภาคส่วนปรับเปลี่ยนได้ตรงกับความต้องการจาเป็นพิเศษของผู้เรียน ซ่ึงจะช่วยให้ผู้เรียนบรรลุถึง เปาู หมายตามศักยภาพของตนเองไดม้ ากทีส่ ุด

35 ศูนย์บรกิ ารสนับสนุนผูเ้ รียนท่ีมคี วามต้องการพเิ ศษ SSSC (Student Support Services Center) ศูนย์บริการสนับสนุนผูเ้ รยี นท่มี ีความตอ้ งการพิเศษในประเทศไทยท่ีมีการดาเนินการและเผยแพร่ โดยทั่วไปจะมีการจัดในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาเป็นส่วนใหญ่ อาทิ ศูนย์บริการนักศึกษา พกิ าร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศนู ย์บริการนกั ศกึ ษาพกิ ารมหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช ศูนย์บริการนักศึกษาพิการมหาวิทยาลัยรามคาแหง ศูนย์บริการสนับสนุนนักศึกษาพิการเรียนร่วม มหาวิทยาลัยราชภฏั สวนดสุ ิต ฝาุ ยบริการสนับสนุนนักศกึ ษาพกิ าร มหาวิทยาลยั ราชภฏั พบิ ูลสงคราม หน่วยบริการสนบั สนุนสาหรับบคุ คลพกิ าร มหาวทิ ยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ศูนย์บริการนักศึกษาพิการ DSS มหาวทิ ยาลัยราชมงคลธญั บรุ ี ศูนย์บริการสนับสนุนผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษควรจัดบริการท่ีครอบคลุมต่อความต้องการ จาเปน็ พเิ ศษ (Special Needs) เฉพาะบคุ คลของผเู้ รียน ดงั น้ี 1. ขอ้ มูลสารสนเทศ ธรุ การ 2. สื่อ 3. สิง่ อานวยความสะดวก 4. บริการ 5. ความชว่ ยเหลอื อื่นใด สาหรับช้ันระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐานยังไม่ปรากฏหรือเผยแพร่ว่า มีการดาเนินการอย่างจริงจัง ในสถานศึกษาใด ซึ่งโรงเรียนเรียนร่วมท่ัวไปมักจัดบริการในลักษณะห้องเสริมวิชาการ (Resource Room) เป็นส่วนใหญ่ และปัจจุบนั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพื้นฐานได้มีนโยบายให้โรงเรียน จัดการศึกษาในลักษณะเรียนรวม ซ่ึงโรงเรียนอาจดาเนินการจัดศูนย์บริการสนับสนุนบุคคลที่มีความ ต้องการพเิ ศษในโรงเรียน โดยอาจจัดกจิ กรรม ดังนี้ 1. จดั ทาฐานข้อมลู เก่ียวกบั นกั เรียนพกิ ารทั้งหมดของโรงเรียน ตลอดจนกิจกรรม โครงการต่างๆ 2. เป็นศูนย์กลางของแหล่งเอกสาร หนังสือ ตารา แบบฝึกหัด สื่อ ส่ิงอานวยความสะดวกท่ี จาเปน็ สาหรบั ผู้เรียนและผสู้ อน 3. สนับสนุนและช่วยเหลือพร้อมทั้งจัดให้บริการและช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษาและ ประสานงานกบั ทุกงานทุกฝุายในโรงเรยี น 4. ร่วมเป็นเครือข่ายกับหน่วยราชการ องค์กรภาคเอกชน มูลนิธิ และสมาคมคนพิการ ต่าง ๆ ภายนอกโรงเรยี นในการพัฒนา ช่วยเหลือ และให้บริการแกน่ กั เรยี นพิการ 5. จัดสภาพแวดล้อมและการก่อสร้างทางกายภาพให้เหมาะสมกับการใช้ชีวิตประจาวัน และ การศึกษา 6. ดาเนินการให้นกั เรียนพิการสามารถเขา้ ถึงสถานทเ่ี รยี น 7. ดาเนินการใหน้ กั เรยี นพิการสามารถเขา้ ถงึ การเรยี น ไดแ้ ก่ การจดั ทาบทเรยี นอกั ษรเบรลล์ 8. อานวยความสะดวกในการเข้าถงึ การเดินทาง และท่พี กั อาศัย 9. ชว่ ยลดปัญหาและอปุ สรรคที่ขัดขวางการศึกษา เชน่ การขาดเงนิ ทุนในการเลา่ เรยี นดูแล สุขภาพจติ และเปน็ ท่ีปรกึ ษาทางการศกึ ษา การปรับตวั การใช้ชีวติ ประจาวัน

หน่วยท่ี 3 นวัตกรรมการจัดการศึกษาสาหรบั ผู้เรียนที่มีความตอ้ งการพิเศษ การตอบสนองตอ่ การชว่ ยเหลอื (Responsiveness to Intervention: RTI) ปจั จบุ นั จานวนคนพิการมแี นวโนม้ เพมิ่ ขึ้นอย่างตอ่ เนอื่ ง ทกุ กลุม่ อายุ การจัดการศึกษาสาหรับคน พิการ ควรส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาครอบคลุมคนพิการทุกคนอย่างเท่าเทียม และมีมาตรฐานทุกระบบ ทุกระดับการศึกษาแก่คนพิการทุกประเภทคนพิการให้ชัดเจน โดยมีระบบการ วินิจฉัย คัดกรองความพิการหรือความบกพร่องต้ังแต่แรกเกิด พัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาการ สนับสนุนเทคโนโลยีส่งิ อานวยความสะดวก บรกิ ารและความช่วยเหลืออ่ืนใดทางการศึกษา มีกระบวนการ ติดตามการช่วยเหลือคนพิการ โดยสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน ภาครัฐ เอกชนและองค์กรภาคี เครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการในท้องถิ่นเพื่อบริการทางการศึกษาเหมาะสมกับความต้อ งการจาเป็น พเิ ศษ มคี ุณภาพรวมทงั้ การจดั สภาพแวดล้อมให้เอื้อตอ่ การพัฒนาตนเองและจัดการเรียนการสอนของครู การเพ่ิมจานวนของนักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ในโรงเรียนเรียนร่วม นาไปสู่การ วิพากษ์วิจารณ์กระบวนการ ข้ันตอนและเกณฑ์การคัดกรอง คัดแยกความพิการทางการศึกษาว่าเป็นไป เพ่อื การวางแผนการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับความตอ้ งการจาเป็นพเิ ศษของนักเรียนรายบุคคลหรือไม่ อย่างไรก็ตามทาให้สถานศึกษาต่ืนตัวให้การช่วยเหลือนักเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่าหรือเป็นการ ลดจานวนนักเรียนกลุ่มเสี่ยงท่ีจะมีปัญหาทางการเรียนรู้หรือพฤติกรรม ซึ่งนักเรียนท่ีมีปัญหาพฤติกรรม หรือมีข้อจากัดในการอ่าน การเขียน อาจจะไม่ใช่นักเรียนท่ีได้รับการวินิจฉัยว่ามีความบกพร่องทางการ เรียนรู้หรือมีปัญหาพฤติกรรมอารมณ์ก็ได้ ถ้าหากนักเรียนได้รับการช่วยเหลือก่อนหน้านั้นอย่างเหมาะสม ตัง้ แตก่ ระบวนการประเมนิ กระบวนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ การวัดประเมินผลท่ีเหมาะสม ตาม หลักสูตรแกนกลางหรือหลักสูตรสถานศึกษาสาหรับนักเรียนท่ัวไปและหลักสูตรเร่งรัดเฉพาะบุคคล (Individual intensive curriculum) สาหรับนักเรียนที่เปน็ กลุ่มเสีย่ งหรือมีความต้องการจาเป็นพิเศษทาง การศึกษา กระบวนการประเมิน คดั กรอง การให้ความชว่ ยเหลอื ตรวจสอบพฒั นาการของนักเรียนอย่างเป็น ระบบ การตัดสนิ ใจใหบ้ รกิ ารตา่ งๆ ทเ่ี ป็นความจาเป็นสาหรบั นักเรียน เช่น การปรับเปล่ียนการเรียนการ สอนรวมถึงการให้บริการภายใต้ข้อมูลการคัดกรองและข้อมูลการให้บริการ จากการตรว จสอบ ความกา้ วหน้าทางการเรยี นร้อู ยา่ งตอ่ เนือ่ ง เพ่ือใหน้ กั เรียนประสบความสาเร็จตามเปูาหมายของหลักสูตร แกนกลาง เรยี กว่าการตอบสนองต่อการชว่ ยเหลือ (Responsiveness to Intervention: RTI) มีหลักการ พ้ืนฐาน ดังน้ี 1. กระบวนการตรวจคดั กรองของโรงเรยี น ซึง่ ในโรงเรียนท่ัวไปจะมีการศึกษาผลสัมฤทธ์ิทางการ เรียนจากสมุดรายงานผลการเรียนของนักเรียน ซ่ึงจะเป็นข้อมูลคัดกรองเบื้องต้นของครูประจาช้ันหรือ ประจาวิชาในระดับช้ันที่นักเรียนจะเรียนต่อไป ในขั้นตอนน้ีครูจะได้รับข้อมูลท้ังจากรายงานผลการเรียน การสัมภาษณ์ สอบถามผู้เก่ียวข้อง เพ่ือระบุนักเรียนที่มีความเสี่ยงท่ีจะมีปัญหาทางการเรียนและ พฤติกรรม โรงเรียนควรมีการต้ังคณะกรรมการคัดกรองนักเรียนทาหน้าท่ีกาหนดเกณฑ์ ตัวช้ีวัดหรือ คุณลักษณะของนักเรียนที่จะต้องได้รับการช่วยเหลือทางการเรียนในระดับต่างๆ เช่น การสอนเสริมหรือ การใหเ้ วลาในการเรียนเพม่ิ ข้ึน การปรบั หลกั สตู รแกนกลางบางด้านหรือการใชเ้ ทคโนโลยี สิ่งอานวยความ

37 สะดวกเพ่อื ลดขอ้ จากัดทางการเรยี น การใช้หลกั สูตรเร่งรัดเฉพาะบุคคลหรือการทาแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบคุ คลในกรณที น่ี ักเรียนมคี วามต้องการจาเปน็ พิเศษทางการศกึ ษา การตรวจคดั กรอง เป็นการประเมนิ ทมี่ ลี ักษณะอยา่ งง่าย รวดเรว็ และต้นทุนตา่ โดยใช้การทดสอบ การทาซ้าในทักษะที่สาคัญที่เหมาะสมกับวัย เช่น การระบุตัวอักษร การอ่านคา ความเข้าใจการคิด คานวณเบ้ืองต้นในชีวิตประจาวัน หรือการสังเกตความถ่ีของพฤติกรรม เช่น ความงุ่มง่าม การอยู่ไม่นิ่ง การขาดสมาธิ หรอื การทางานไมเ่ สร็จตามเวลา ในกระบวนการคัดกรองนี้ไม่ใช่การวินิจฉัยโรค นักเรียน ควรไดร้ ับการตดั สนิ วา่ เปน็ \"ความเสยี่ ง\" ตวั อย่างเช่น ครูพยาบาลประจาโรงเรียนใช้แบบคัดกรองสายตา (Snellen chart) เพื่อต้องการตัวบ่งชี้อย่างรวดเร็วเก่ียวกับปัญหาการมองเห็นของนักเรียนท่ีอาจมีจาก ระยะการมองไกล หากนักเรียนมีปัญหาในการอ่านแบบคัดกรองสายตา ครูพยาบาลจะส่งต่อโรงพยาบาล หรอื แพทยเ์ ฉพาะทางเพื่อประเมนิ ในเชิงลึกมากข้ึน ในทานองเดียวกันครูในห้องเรียนใช้มาตรการตรวจคัด กรองเพ่ือระบุนักเรียนท่ีมีคุณสมบัติตามเกณฑ์การคัดกรอง ความเป็นไปได้สาหรับกลุ่มที่มีความเส่ียง ซึ่งนักเรียนจะได้รับการประเมินในเชิงลึกต่อไป และนักเรียนกลุ่มเสี่ยงจะได้รับการตรวจสอบ ความก้าวหน้าในช่วงถัดไปหกสัปดาห์กับการประเมินที่เฉพาะเจาะจง นักเรียนบางคนอาจมีพัฒนาการดี ขึ้นหรือปัญหาทางการเรียนหมดไปในหกสัปดาห์ก็ได้เนื่องจากในช่วงเวลาการคัดกรอง นักเรียนอาจไม่มี ความพร้อมหรืออยู่ระหว่างการปรับตัวกับช้ันเรียนใหม่ เม่ือนักเรียนทราบข้อมูลการคัดกรองจากครู นักเรียนจะพยายามปรับตัวมากข้ึนและผู้ปกครองให้ความสาคัญและมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาของ นกั เรียนสาหรับกระบวนการการคดั กรองทจ่ี ะมปี ระโยชน์ควรมีลักษณะ ดงั นี้ 1. สามารถระบุนักเรียนทตี่ อ้ งการประเมินในเชงิ ลกึ และเฉพาะเจาะจงต่อไปได้ชัดเจน 2. กระบวนการคดั กรองต้องมีการปฏบิ ัติหรอื เกิดจากความสามารถท่แี ท้จริงของนักเรียน 3. การตรวจคัดกรองเป็นไปในทางสร้างสรรค์เพ่ือลดข้อจากัดทางการเรียนรู้ซึ่งนามาซ่ึงการ สนับสนุนทรพั ยากรและการช่วยเหลอื ตา่ งๆ กระบวนการตรวจ คัดกรอง ที่ต้องตัดสินระบุนักเรียนท่ีเป็นกลุ่มเส่ียงทางการศึกษาจาเป็นต้อง ทาในรูปแบบของคณะกรรมการ เน่ืองจากถ้าการระบุนักเรียนผิดพลาดจะทาให้สูญเสียทรัพยากรและมี ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เช่น การตรวจประเมินในเชิงลึกซึ่งต้องได้รับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญหรือแพทย์ เฉพาะทาง ในขณะเดียวกันถ้านักเรียนท่ีมีปัญหาไม่ได้รับการระบุว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง จะส่งผลให้ นักเรียน เหล่านั้นพลาดโอกาสท่ีจะได้รับประโยชน์จากการให้บริการการช่วยเหลือ ดังนั้นคณะกรรมการคัดกรอง นักเรยี น ควรร่วมกนั กาหนดตัวชว้ี ัด ท่ีมคี วามเหมาะสมถูกต้อง ชัดเจน มีประสิทธิภาพและเปน็ ทย่ี อมรบั ได้ การคัดกรองเป็นส่ิงสาคัญท่ีแสดงให้เห็นก่อนการแนะนาบริการข้ันต่อไป ซึ่งต้องทาซ้าแล้วซ้าอีก ในระหวา่ งปกี ารศกึ ษา ขา้ มระดบั ชน้ั และในระหว่างหลักสูตรของการเรียนการสอนตั้งแต่ปฐมวัยจนระดับ ประถมศกึ ษา ซึง่ นกั เรียนที่ได้รับการคัดกรองว่าเป็นกลุ่มเส่ียงอาจจะได้รับการประเมินอย่างต่อเนื่องอย่าง น้อย 2 ปกี ารศึกษา และต้องมีการระบุครผู รู้ ับผดิ ชอบนักเรียนแต่ละคนเพ่ือให้การติดตามตรวจสอบข้อมูล มีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ เกณฑ์การช้ีวัดระดับการช่วยเหลือควรสอดคล้องกับระดับความต้องการจาเป็นพิเศษทาง การศกึ ษาทง้ั วสั ดปุ ระกอบหลกั สูตร สถานที่ อุปกรณ์และบุคคลในโรงเรียน เช่น 1) กาหนดว่านักเรียน ท่ไี ดร้ ับคะแนนตา่ กว่ารอ้ ยละ 15 ของคะแนนเต็มแตล่ ะวชิ า จะได้รับการช่วยเหลือ คือ การจัดทาหลักสูตร เร่งรัดเฉพาะบุคคลหรือการจัดทาแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลท่ีมีครูการศึกษาพิเศษช่วยเหลือ

38 2) กาหนดว่านักเรียนที่ได้รับคะแนนต่ากว่าร้อยละ 15 – 25 ของคะแนนเต็มแต่ละวิชาจะได้รับการ ช่วยเหลือ คือ การสอนเสริมหลังเวลาเรียน การสนับสนุนเทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก การเชิญ ผู้ปกครองให้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา 3) นักเรียนท่ีได้คะแนนระหว่าง ร้อยละ 25 – 50 จะได้รับการ ช่วยเหลือ คือ การเพ่ิมเวลาในการทาข้อสอบ เพิ่มเวลาเรียน จัดสภาพแวดล้อมในห้องเรียนหรือที่บ้าน สนับสนุนเทคโนโลยีสิ่งอานวยความสะดวก โดยในข้อ 2) และ 3) มุ่งเน้นให้นักเรียนบรรลุเปูาหมายตาม หลักสูตรของโรงเรียน ซึ่งการคัดกรองจะดาเนินการต้นปีการศึกษาและให้การช่วยเหลือ ติดตามความก้าวหน้า ประจาสัปดาห์ เป็นเวลา 5 – 8 สัปดาห์ พบว่า จานวนนักเรียนกลุ่มเสี่ยง จะลดลงถึงร้อยละ 50 นักเรียนที่ ไม่จาเปน็ ตอ้ งรบั การช่วยเหลอื อีก 2. การตดิ ตามตรวจสอบความก้าวหน้าของการตอบสนองการช่วยเหลือนักเรียน เป็นขั้นตอนการ ประเมินเพ่ือกาหนดขอบเขตที่นักเรียนจะได้รับประโยชน์จากการเรียนการสอนในชั้นเรียนและการ ตรวจสอบประสิทธภิ าพของหลกั สตู ร โดยมีสมมตฐิ านพืน้ ฐาน คอื นกั เรยี นจะได้รับประโยชน์จากการเรียน การสอนที่มีคุณภาพสูง ได้เรียนรู้ทักษะ ประสบความสาเร็จในการเรียนการสอนของห้องเรียน สาหรับ นักเรียนท่ีตอบสนองต่อการเรียนการสอนไม่เป็นไปตามเกณฑ์ นักเรียนจะได้รับทางเลือกใหม่จาก การช่วยเหลอื เพ่อื ใหน้ ักเรียนสามารถตอบสนองได้เหมาะสม กระบวนการตรวจสอบความก้าวหน้าของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง เป็นเคร่ืองมือจาเป็นที่ใช้วัด ประสิทธิภาพการเรียนการสอนซึ่งครูได้ปรับเปล่ียนและยังเป็นข้อมูลสาคัญสาหรับตัดสินใจกาหนดระดับ การช่วยเหลือท่ีเหมาะสมสาหรับนักเรียนเป็นรายบุคคล ขึ้นอยู่กับข้อกาหนดของคณะกรรมการคัดกรอง นกั เรยี น มหี ลายระดับ ยกตัวอยา่ ง เชน่ การตรวจสอบความก้าวหน้าในข้ันท่ี 1 เป็นวิธีการตรวจคัดกรองท่ัวไปสาหรับนักเรียนทุกคนการ ตรวจคัดกรอง และการตรวจสอบความก้าวหน้า ในข้ันท่ี 1 ข้ันตอนการตรวจสอบความก้าวหน้าแต่ละ ช่วงเวลาเพ่ือกาหนดนักเรียนที่อาจมีความเสี่ยงและเพ่ือตรวจสอบว่านักเรียนมีความก้าวหน้าตามท่ี คาดหวังไว้ในหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งวัดประเมินผลโดยใช้หลักสูตรเป็นฐาน (Curriculum Based Measurement) เป็นการประเมินทักษะท่ีแตกต่างกันครอบคลุมหลักสูตรประจาปีในลักษณะท่ีการ ทดสอบรายสัปดาห์เพ่ือเทียบเคียงในความยากลาบาก เช่น ในเดือนกันยายนทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ เร่ืองการคานวณเงินกราฟ แผนภูมิและทักษะการแก้ปัญหาซ่ึงครอบคลุมในช่วงเวลาเรียนตลอดทั้งปี ในเดือนพฤศจิกายนและหรือเดือนกุมภาพันธ์และหรือพฤษภาคมก็ทดสอบหลักสูตรประจาปี ในตรงเรื่อง เดียวกันแต่มีรายการทดสอบที่แตกต่างออกไปเพ่ือดูความก้าวหน้า ถ้าคะแนนที่เพ่ิมขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีการพัฒนาเพิ่มขึ้น ถ้าคะแนนเท่าเดิมหรือลดลงแสดงให้เห็นว่านักเรียนจาเป็นต้องได้รับการ ช่วยเหลือโดยการปรบั หลกั สูตร หรอื ปรบั เปลี่ยนกระบวนการเรียนการสอนและต้องได้รับการช่วยเหลือใน ระดับต่อไป ในข้ันท่ี 2 การตรวจสอบความก้าวหน้าท่ีมีการกาหนดการช่วยเหลือให้นักเรียนประสบ ความสาเร็จ จะต้องมีการสร้างหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจข้ึนมาเพื่อตรวจสอบให้นักเรียนสามารถกลับไป เรียนในห้องเรียนทั่วไป อย่างน้อยสองคร้ังต่อสัปดาห์รวมท้ังการปรับเปล่ียนหลักสูตรหรือออกแบบการ เรียนการสอนท่ีตอบสนองความต้องการของนักเรียนรายบุคคล ติดตามความก้าวหน้าของนักเรียนตาม วตั ถปุ ระสงคร์ ะยะส้นั และเปาู หมายประจาปีท่ีระบุในแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล (Individualized Education Plan: IEP) ในการดาเนินงานให้สาเร็จน้ันโรงเรียนอาจต้องเปลี่ยนแปลงโครงสร้างรวมทั้ง กาหนดคณะกรรมการทางานอย่างเป็นรูปธรรม

39 3. การให้ความช่วยเหลือทางการศึกษาพิเศษ ตามเกณฑ์ที่คณะกรรมการในโรงเรียนร่วมกัน กาหนด เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนในระดับต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรม โดยกาหนดเปูาหมาย ตามความต้องการจาเป็นพเิ ศษเฉพาะบคุ คล เช่น ระดับน้อยสาหรับนักเรียนที่มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนต่า ระดับปานกลางสาหรับนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและระดับมากสาหรับนักเรียนพิการ ประเด็นที่ควรนามาใช้ กาหนดเกณฑ์เพ่ือออกแบบกลยุทธ์การเรียนการสอนการและวิธีการในระดับตา่ งๆ ดังนี้ 3.1 ขนาดของกลุม่ การเรียนการสอน หรือการสอนรายบคุ คล 3.2 ข้อกาหนดของเนื้อหาหรอื มาตรฐานการเรียนรใู้ นแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้ 3.3 ระยะเวลาของการช่วยเหลือ ควรนับเปน็ สัปดาห์ 3.4 ความถ่ขี องการสนบั สนนุ ความช่วยเหลือ 3.5 ความถ่ขี องการตรวจสอบความกา้ วหน้า 3.6 ระดบั ความสามารถหรอื ทักษะของผสู้ อน 3.7 วัตถุประสงค์การสอนเน้นพุทธพิ สิ ัยหรอื ทักษะพสิ ัย การออกแบบกลยุทธก์ ารเรียนการสอนการและวิธกี ารวดั ประเมนิ ผลน้ันขึ้นอย่กู บั ความชัดเจนของ กระบวนการคัดกรองการตรวจสอบความก้าวหน้าของการตอบสนองต่อการช่วยเหลือนักเรียนของครูหรือ ผู้ให้ความชว่ ยเหลอื 4. การใหค้ วามชว่ ยเหลืออย่างจริงใจ เป็นการสร้างความมั่นใจว่านักเรียนจะได้รับการเรียนการ สอนในห้องเรียนที่เหมาะสมในช้ันเรียนท่ัวไปตามกฎหมาย ส่วนประกอบสาคัญท่ีนาไปสู่ความจริงใจใน การใหค้ วามช่วยเหลือนกั เรยี นทม่ี คี วามตอ้ งการจาเปน็ พเิ ศษทางการศกึ ษาตอ้ งการจากโรงเรียน มดี งั น้ี 4.1 ระบบการนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติบนพ้ืนฐานข้อมูลท่ีสอดคล้องกับนักเรียนทุกคน ในโรงเรยี น 4.2 กระบวนการจดั การเรยี นการสอนทม่ี ปี ระสิทธิภาพ 4.3 การใชร้ ปู แบบการสอนตรง (Direct instruction model) 4.4 การระบุวัสดุการเรียนการสอนในแต่ละเน้ือหาสาระท่ีมีการปรับเปลี่ยนสาหรับ นักเรียน 4.5 การตรวจสอบองคป์ ระกอบการเรียนการสอนท่ีเนน้ นกั เรียนสาคัญ 4.6 การวัดประเมินโดยใช้หลักสูตรเป็นฐาน (Curriculum Based Measurement: CBM) 4.7 การใชว้ ีดีโอหรอื บันทึกขอ้ สังเกตของการเรียนการสอนเป็นแนวทางการปรับปรุงการ เรยี นการสอนแตล่ ะครัง้ 4.8 ตรวจสอบความกา้ วหน้าของนกั เรยี นเปน็ รายสัปดาห์ หรอื รายเดอื น 4.9 การเปรยี บเทียบผลลัพธ์กับเปูาหมายการให้ความช่วยเหลือทุกสัปดาห์เป็นเส้นกราฟ การใหค้ วามชว่ ยเหลอื นกั เรียนอย่างมีประสทิ ธิภาพ มคี วามจาเปน็ ตอ้ งพฒั นาระบบสนับสนุนการ ช่วยเหลือของโรงเรียนด้วย ซึ่งควรมุ่งเน้นท่ีครูต้องมีความรู้เร่ืองหลักสูตรและอ่านหลักสูตรของโรงเรียน เป็นประจาจนมีความคุ้นเคยกับหลักการและข้ันตอนของการนาหลักสูตรสู่การเรียนการสอน มีความรู้ ความเขา้ ใจในหลักการการวัดผล การตรวจสอบความก้าวหน้า โดยใช้หลักสูตรเป็นฐาน ดังนั้นโรงเรียนจึง ควรดาเนินการ ดังนี้

40 1. การฝกึ อบรมครใู ห้มีความรู้ ความเข้าใจหลักสูตรของโรงเรียนและให้บริการช่วยเหลือ นกั เรียนแบบมืออาชีพ 2. การจัดสรรทรัพยากร ถ้าครูไม่มีทรัพยากรท่ีเหมาะสมที่จะใช้การช่วยเหลือ ซ่ึงเป็น หน้าท่ีของผู้บริหารท่ีจะได้รับหรือแจกจ่ายทรัพยากรที่จาเป็นต่อการช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเส่ียงให้ได้รับ การพฒั นาตามเปาู หมายของหลักสูตรสถานศึกษา 5. ความเที่ยงตรงในการดาเนินการ Responsiveness to Intervention: RTI วิธีการช่วยเหลือ และกระบวนการรวบรวมข้อมลู การปรับเปลี่ยนวิธกี ารเรียนการสอน การสนับสนุนทรัพยากร การปฏิบัติ อย่างมืออาชีพ ควรมีการตรวจสอบและพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพ่ือให้กระบวนการ มีความสอดคล้องกับ นักเรียนและบริบท สถานการณ์ปัจจุบันมากท่ีสุด การดาเนินงานที่ทาให้แน่ใจว่านักเรียนตอบสนองต่อ การช่วยเหลือในทางทด่ี ี เช่น กาหนดการช่วยเหลือในโครงสร้างของโรงเรียน มีผู้รับผิดชอบโดยตรง มีการ ปรับปรุงกระบวนการช่วยเหลือหลังการประเมินความก้าวหน้าของนักเรียน อธิบายเทคนิค วิธีการ ช่วยเหลือที่ชัดเจนมีระบบการรวบรวมข้อมูล ข้อเสนอแนะ การตัดสินใจกาหนดมาตรการรับผิดชอบ ชดั เจน และระบุโทษหากไมป่ ฏิบตั ติ ามข้อกาหนด กล่าวโดยสรุปการตอบสนองต่อการช่วยเหลือหรือ Responsiveness to Intervention: RTI เป็นกระบวนการ ท่ีปูองกันความล่าช้าในการเรียนรู้ ลดปัญหาพฤติกรรม อารมณ์ ปูองกันความล้มเหลว ทางการเรียนของนักเรียน กระบวนการ ควรเริ่มตั้งแต่ ชั้นอนุบาลหรือประถมศึกษา เพ่ือให้ครูสามารถ ชว่ ยเหลือนักเรียนกลุ่มเส่ียงได้ทันท่วงที เช่น การปรับเปลี่ยนทัศนคติ กระบวนการเรียนการสอน การใช้ เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวก หรือการสอนเสริม ซึ่งครูควรมีข้อมูลเพียงพอในการตัดสินใจเลือก เนอ้ื หา สาระ เทคนิค วธิ ีการสอน สอ่ื การเรียนการสอน วิธีการวัดประเมินผลท่ีตรงกับเปูาหมายหลักสูตร และสอดคล้องกับปญั หาการเรยี นของนักเรียน ให้ความสาคัญกับการตรวจสอบความก้าวหน้าทุกสัปดาห์ และโรงเรียนมีระบบการสนับสนุน เช่น พัฒนาครูให้มีความรู้ความเข้าใจหลักสูตรสถานศึกษา การนา หลักสูตรสู่การปฏิบัติเพื่อพัฒนานักเรียนทุกคนในโรงเรียน สนับสนุนทรัพยากรสนับสนุนการเรียนการ สอน สภาพแวดล้อม บริการเทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก ส่ือ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทาง การศึกษาท่ีเพียงพอแก่ครูในการให้ความช่วยเหลือนักเรียน อย่างจริงจัง เพื่อช่วยให้นักเรียนท่ีมีความ ต้องการจาเป็นพิเศษทางการศึกษาประสบความสาเร็จในการเรียนร่วมและได้รับการศึกษา ที่มีมาตรฐาน ตามท่กี ฎหมายกาหนด เทคโนโลยีสงิ่ อานวยความสะดวก (Assistive Technology: AT) พระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสาหรับคนพิการ พ.ศ. 2551 ให้คาจากัดความ “เทคโนโลยี ส่ิงอานวยความสะดวก” (Assistive Technology: AT) ไว้ว่าเป็นเครื่องมือ อุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์ หรือ บริการท่ีใช้สาหรับคนพิการโดยเฉพาะ หรือที่มีการดัดแปลงหรือปรับใช้ให้ตรงกับความต้องการจาเป็น พเิ ศษของคนพกิ ารแตล่ ะบุคคล เพอื่ เพิม่ รกั ษา คงไว้ หรือพฒั นาความสามารถและศักยภาพที่จะเข้าถึง ข้อมูล ข่าวสาร การส่ือสาร รวมถึงกิจกรรมอืน่ ใดในชีวิตประจาวันเพ่ือการดารงชีวิตอิสระ เทคโนโลยีส่ิงอานวยความสะดวกมีระดับการใช้งานท่ีซับซ้อนแตกต่างกัน ซึ่งอาจจัดแบ่งเป็น 3 ระดบั ใหญๆ่ ไดด้ งั นี้ 1. เทคโนโลยสี ิง่ อานวยความสะดวกท่ีไม่ใช้เทคโนโลยี (No Technology) เช่น ด้ามจับดินสอ กระดาษขนาดพเิ ศษ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook