Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ออม

ออม

Published by Aom Aomsub, 2021-03-14 05:55:58

Description: ออม

Search

Read the Text Version

สาระที่ สง่ิ มีชวี ิตกบั สิ่งแวดล้อม สาระท่ี 2 ชีวิตกบั สง่ิ แวดลอ้ ม มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสิ่งแวดล้อมในทอ้ งถน่ิ ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งส่งิ แวดลอ้ มกบั ส่งิ มชี ีวิต ความสัมพันธ์ ระหวา่ งสิ่งมีชวี ิตต่างๆ ในระบบนิเวศ มีกระบวนการสบื เสาะหาความรู้ และจิตวทิ ยาศาสตร์ ส่อื สารสิ่งทเ่ี รียนรู้และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ตัวช้วี ัด 1. สารวจและอภปิ รายความสมั พันธ์ของกลุม่ สิ่งมีชีวติ ในแหล่งท่อี ยู่ต่างๆ 2. อธิบายความสัมพันธข์ องสิ่งมชี ีวติ กบั ส่งิ มีชีวติ ในรปู ของโซอ่ าหารและสายใยอาหาร 3. สืบคน้ ขอ้ มูลและอธิบายความสมั พนั ธ์ระหว่างการดารงชีวิตของสิ่งมีชวี ิตกบั สภาพแวดลอ้ มใน ทอ้ งถ่นิ มาตรฐาน ว 2.2 เขา้ ใจความสาคญั ของทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ทรพั ยากรธรรมชาติในระดับทอ้ งถ่นิ ประเทศ และโลก นาความรู้ไปใช้ในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มในทอ้ งถิน่ อยา่ งยงั่ ยืน ตวั ชว้ี ดั 1. สืบค้นข้อมูลและอภิปรายแหล่งทรพั ยากรธรรมชาตใิ นแต่ละทอ้ งถน่ิ ที่เป็นประโยชนต์ อ่ การ ดารงชวี ิต 2. วเิ คราะห์ผลของการเพมิ่ ขึ้นของประชากรมนษุ ยต์ ่อการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติ 3. อภิปรายผลต่อส่งิ มชี ีวิตจากการเปลีย่ นแปลงสิ่งแวดลอ้ มทง้ั โดยธรรมชาติและโดยมนุษย์ 4. อภิปรายแนวทางในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดลอ้ ม 5. มสี ว่ นรว่ มในการดแู ลรักษาสิง่ แวดลอ้ มในท้องถ่ิน 1

สิง่ มีชีวติ กบั ส่ิงแวดลอ้ ม ชีวิตกับสงิ่ แวดลอ้ ม 1. สงิ่ แวดล้อมในท้องถ่ินของเราเปน็ อย่างไร แนวความคิดหลัก สง่ิ ต่างๆ ทอี่ ย่รู อบตวั เรามที ัง้ ส่ิงมีชวี ิตและส่งิ ไมม่ ีชีวติ มที งั้ ส่ิงท่ีเกิดข้ึนเองตามธรรมชาตแิ ละส่งิ ที่มนุษย์ สร้างขน้ึ สิ่งมชี วี ิตทอ่ี าศยั อยูใ่ นแต่ละแหลง่ ทอ่ี ยู่ มีหลากหลายชนิดทั้งพืช สัตว์และสิง่ มีชวี ติ ขนาดเล็กรวม เรียกว่า กลมุ่ ส่ิงมีชีวติ กลุ่มของส่งิ มีชวี ิตจะมคี วามสัมพนั ธ์กับส่ิงแวดล้อม สาระสาคัญ กลุม่ ส่งิ มีชีวติ ในแต่ละส่งิ ท่อี ยู่ สิ่งตา่ งๆ ทอี่ ยู่รอบตวั เรามีทั้งสง่ิ มชี วี ติ ไดแ้ ก่ พืช สตั ว์ และส่งิ มีชวี ติ เลก็ ๆ และสิ่งไม่มีชีวติ เช่น ดิน หนิ นา้ และอากาศ เป็นตน้ ทั้งสองกลมุ่ น้ีเปน็ ส่งิ ท่ีเกดิ ขน้ึ เองตามธรรมชาติ นอกจากนีม้ สี ่ิงไม่มชี วี ิตท่ีมนุษย์สรา้ งข้นึ เพอ่ื การดารงชวี ิตไดแ้ ก่ ตกึ บ้าน ถนน เสาไฟ รถยนต์และ ศลิ ปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณตี า่ งๆ ท่มี นุษยส์ รา้ งขึ้นเพอ่ื การอยูร่ ่วมกนั ในสังคม ส่งิ ตา่ งๆ เหล่านี้ เรยี กวา่ สง่ิ แวดล้อม สิง่ มชี ีวิตหลายๆ ชนดิ ท้ังพชื สัตว์ และส่ิงมชี วี ติ ขนาดเลก็ ทอ่ี าศยั อยรู่ วมกันในแหล่งทอ่ี ยู่ใดทีอ่ ยหู่ นึง่ เรยี กวา่ กลุม่ ส่งิ มีชีวิต กล่มุ สง่ิ มีชีวติ ในแหลง่ ทอ่ี ยู่หนงึ่ จะมคี วามสัมพันธ์กบั สง่ิ แวดลอ้ ม เช่น เป็นทีอ่ ยู่ อาศยั เปน็ ทเ่ี ลีย้ งดูลกู อ่อนและเป็นแหล่งอาหาร ฯลฯ ระบบนเิ วศ หมายถงึ หนว่ ยของความสมั พันธ์ของสิง่ มีชวี ติ ในแหลง่ ท่อี ยูแ่ หล่งใดแหล่งหน่ึง ความสมั พนั ธ์นม้ี ี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพนั ธ์ ระหวา่ ง สิ่งมชี วี ิต กบั ส่งิ ไม่มชี ีวิต ที่แวดลอ้ ม อยแู่ ละในขณะเดียวกนั กจ็ ะมีความสัมพนั ธ์อีก ลกั ษณะหนงึ่ คอื ความเกยี่ วโยง พง่ึ พากนั หรอื การส่งผลต่อกันระหว่างสง่ิ มชี ีวิตด้วยกนั เอง รปู ที่ 1 ระบบนิเวศ 2

2. สง่ิ มชี ีวติ ในแหล่งท่ีอยู่ต่างๆ มคี วามสมั พันธก์ ันอย่างไร แนวความคดิ หลกั กลุ่มสง่ิ มีชีวติ สมั พนั ธก์ บั สิง่ ไม่มชี ีวิตในเรือ่ งของการกินตอ่ กนั เปน็ ทอดๆ สามารถเขียนแผนภาพแสดง การกนิ ต่อกันเป็นทอดๆ ในรปู โซ่อาหาร สาระสาคัญ ความสมั พนั ธข์ องส่งิ มชี ีวิตกบั สิง่ แวดลอ้ ม สิง่ มีชีวติ จะสมั พันธก์ บั สิ่งมีชวี ิตในเรอ่ื งของการกนิ ตอ่ กันเปน็ ทอด ๆ จากผู้ผลติ สูผ่ ู้บรโิ ภค รูปต้นข้าว รปู ไก่ รูปงู รูปเหยย่ี ว ผูผ้ ลิต ผบู้ ริโภคพชื ผูบ้ ริโภคสตั ว์ลาดบั ท่ี 1 ผบู้ รโิ ภคสัตว์ ลาดับท่ี 2 รูปที่ 2 โซอ่ าหาร จากภาพเราจะพบวา่ ไก่กินขา้ วเป็นอาหาร งกู นิ ไกเ่ ปน็ อาหาร และเหย่ียวกนิ งเู ปน็ อาหารอีกทอดหนึ่ง การกินตอ่ กนั เปน็ ทอดๆ เช่นนเี้ รยี กว่า โซ่อาหาร ความสัมพันธ์ระหวา่ งสงิ่ มีชีวิตทีอ่ าศัยอยรู่ ว่ มกนั ในระบบนเิ วศ ในระบบนิเวศหน่งึ ๆ จะมีสิง่ มชี ีวิตหลากหลายชนดิ อาศัยอยู่รว่ มกนั เปน็ กล่มุ สิง่ มชี วี ติ และมี ความสมั พนั ธ์ซึง่ กนั และกัน ท่สี าคญั คอื การกินเปน็ อาหาร ทาให้มกี ารถ่ายทอดพลงั งานในโมเลกุลของ อาหารต่อเนื่องเป็นลาดบั จากพืช ซงึ่ เปน็ ผผู้ ลิต (producer) สู่ ผู้บรโิ ภคพืช (herbivore) ผู้บริโภคสตั ว์ (carnivore) กลุ่มผบู้ รโิ ภคทงั้ พชื และสัตว์ (omnivore) ผู้ยอ่ ยอนิ ทรยี ส์ าร (decomposer) เชน่ เห็ด รา ยีตส์ แบคทีเรยี ข้อเสนอแนะ หากมีบตั รภาพสตั ว์หรอื ห่นุ สัตว์ต่างๆ อยู่แลว้ ครูอาจให้นกั เรยี น นามาใชแ้ สดงในรปู หว่ งโซ่อาหาร 3

3. ส่งิ มีชวี ติ ทอี่ าศยั อย่รู ว่ มกนั มีความสัมพนั ธก์ ันอยา่ งไร แนวความคิดหลัก สิ่งมชี วี ิตทอ่ี าศัยอยูร่ ่วมกัน จะมีความสัมพันธก์ ันในรปู แบบต่างๆ ได้แก่ แบบปรสิต แบบพึ่งพากนั แบบองิ อาศยั และแบบไดป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั สาระสาคญั ส่ิงมชี วี ติ ท่อี าศยั อยรู่ ว่ มกันจะมีความสมั พันธ์กนั ในรูปแบบต่างๆ ส่ิงมีชีวติ บางชนิดมีการพงึ่ พาอาศยั กนั ได้ประโยชน์ร่วมกนั เช่น นกเอี้ยงกับควาย มดดากับเพล้ยี ออ่ น สง่ิ มชี วี ิตบางชนิดเบยี ดเบยี นกนั ได้ ประโยชน์ฝา่ ยเดียวและยังทาลายสิ่งมีชีวติ ทีอ่ าศยั อย่รู ่วมกนั กนั อกี ดว้ ย แบบน้เี รียกว่า แบบปรสิต เช่น พยาธิกบั คน กาฝากกบั ต้นไมใ้ หญ่ สิ่งมชี วี ิตบางชนดิ อยูร่ ่วมกันได้ประโยชนฝ์ ่ายเดยี ว แต่ไม่ทาลายสงิ่ มีชวี ิต ทีอ่ าศยั อยดู่ ว้ ยกนั แบบน้ี เรยี กว่า แบบอิงอาศัย เช่น เหาฉลามกบั ปลาฉลาม กล้วยไมก้ บั ต้นไมใ้ หญ่ เฟินกับต้นไมใ้ หญ่ ส่ิงมชี วี ิตบางชนดิ ทอี่ าศยั อยู่ ร่วมกนั ตลอดชีวติ แยกจากกนั ไม่ได้ แบบน้ีเรียกวา่ แบบ พึ่งพาอาศัยกัน เชน่ ไลเคน ตอ่ ไทรกับไทร ภาพ รูปแบบความสัมพนั ธ์ ความสัมพนั ธ์ ลกั ษณะความสมั พันธ์ สง่ิ มชี ีวติ ส่ิงมีชวี ิต ไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั + นกเอี้ยงเกาะบนหลงั ควาย + เพื่อคอยกินเห็บหรือแมลงอื่นๆ บนหลงั ควายทาให้ควายสบายตัว นกเอี้ยงกับควาย พ่ึงพาอาศัยกัน + ไลเคนเปน็ สิง่ มชี ีวิต 2 ชนิดที่อาศัย ไลเคน อย่รู ว่ มกนั คือ รากบั สาหรา่ ย + สาหร่ายจะทาหนา้ ทสี่ ร้างอาหาร โดยการสงั เคราะหแ์ สง ส่วนราจะใหค้ วามชมุ ชนื้ แก่สาหร่าย 4

3. สิ่งมีชวี ติ ทอ่ี าศยั อย่รู ว่ มกนั มคี วามสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร (ต่อ) ภาพ รูปแบบความสมั พนั ธ์ ความสมั พันธ์ ลักษณะความสัมพนั ธ์ ส่ิงมีชวี ิต สง่ิ มชี วี ติ อิงอาศยั เหาฉลามเป็นปลาชนิดหนึง่ ที่เกาะตดิ + 0 กบั ปลาฉลามคอยอาศัยเศษอาหาร จากปลาฉลามท่ีเลด็ ลอดออกมา เหาฉลามกับปลาฉลาม กาฝากเป็นพชื ที่อาศัยบนตน้ ไม้อ่ืน ปรสติ +- และเบยี ดเบียนต้นไม้อ่นื กาฝากกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ โดยชอนไชรากเข้าไปดดู นา้ เล้ียง จากต้นไมท้ ี่อาศยั อยู่ + คือ หมายเหตุ - คอื ได้ประโยชน์ 0 คือ เสียประโยชน์ ไม่ไดแ้ ละไม่เสยี ผลประโยชน์ 5

4. ส่งิ มชี วี ติ สัมพันธก์ บั สงิ่ แวดล้อมอย่างไร แนวความคดิ หลัก สงิ่ มีชวี ติ มคี วามสมั พันธ์กับสิง่ แวดล้อมและพง่ึ พาอาศัยส่งิ แวดลอ้ มเพ่ือการดารงชีวิต สาระสาคญั สวนขวด สวนขวดเป็นการจดั สวนเลียนแบบสวนจริงในธรรมชาติ โดยใชว้ ัสดอุ ุปกรณ์ในการจดั สวนขวด เหมอื นกบั การจัดสวนจริง เพยี งแต่มีขนาดเล็กลงและจัดอยใู่ นภาชนะจากดั เชน่ ขวด ถาด โถ ฯลฯ เปรยี บเทียบสวนขวดระบบปดิ กับโลก หากเปรยี บเทยี บสวนขวดระบบปิดกบั โลกในรปู ของการดารงชีวติ อยู่ได้ของส่ิงมีชวี ิตตา่ งๆ บนพืน้ โลก จะพบวา่ มสี ภาพคล้ายคลึงกนั ท้งั นี้เพราะสง่ิ มีชีวติ ต่างๆ บนพืน้ โลกจะมีการถา่ ยทอดพลงั งานไปกบั โซ่ อาหาร และอาศยั การหมนุ เวยี นของสาร เช่น การหมนุ เวียนของนา้ การหมนุ เวยี นของแกส๊ ตลอดจนการ หมนุ เวยี นของสารอินทรียต์ า่ งๆ รูปที่ 4 สวนขวด ขอ้ เสนอแนะ ครูอาจให้นกั เรียนออกแบบสร้างสวนขวดแบบต่างๆ ท้งั ท่ปี ิดฝาและไม่ปดิ ฝา อาจสร้างจาลองในจาลองในรูป ของทะเลทราย ป่าดิบช้ืน หรือแหล่งนา้ 6

5. ส่ิงมชี ีวิตดารงชวี ติ ในสภาพแวดลอ้ มต่างๆ ไดอ้ ย่างไร แนวความคิดหลัก สงิ่ มชี วี ติ จะดารงชวี ิตในสงิ่ แวดล้อมได้ตอ้ งมีความสมั พนั ธ์กบั สิง่ แวดลอ้ มและมีโครงสร้างท่เี หมาะสม กับสภาพแวดล้อมหรือแหลง่ ท่อี ยอู่ าศัยทส่ี ง่ิ มชี วี ิตน้ันอาศัยอยู่ สาระสาคัญ สงิ่ มชี วี ิตจะต้องมโี ครงสรา้ งท่เี หมาะสมกับสภาพแวดล้อมหระแหล่งที่อยู่ เพอ่ื การดารงชวี ติ ใน สิ่งแวดล้อมนัน้ การโนม้ ใบเขา้ หาแสง หรอื การปดิ ปากใบตามสภาพแวดลอ้ มทีเ่ ปลย่ี นแปลงไปเปน็ การตอบสนองต่อส่งิ เรา้ ความเหมาะสมตอ่ การดารงชวี ติ ของพชื แต่ทอ่ี ูฐมโี หนก หรือหมขี าวขว้ั โลกมขี นหนา ไม่ใชก่ ารตอบสนอง ต่อสิ่งแวดลอ้ ม แต่เป็นโครงสร้างท่ีเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมทไี่ ด้รบั การถ่ายทอดทางพนั ธกุ รรม หมขี วั้ โลก หมขี ้วั โลก จะมขี นหนาฟู อุง้ เท้าหนา ลาตวั อ้วนกลม มีไขมนั มาก ท้ังนี้เพือ่ ความอบอนุ่ ของร่างกาย รูปที่ 5 หมขี ัว้ โลก รูปท่ี 6 อูฐ อูฐ อูฐมีขายาว คอยาว มีโหนกบนหลัง ท่เี ตม็ ไปดว้ ยไขมัน ท้ังนี้เพื่อใหส้ ามารถ ดารงชีวติ ในทะเลทรายที่มีอุณหภูมิสงู ได้ 7

รปู ที่ 7 ตน้ โกงกาง โกงกาง พืชที่มรี ากค้าจุลลาตน้ ไมใ่ หล้ ม้ โค่นลง เนื่องจากบริเวณนน้ั มีน้าทะเลขึ้น - ลง ตลอดเวลา รูปที่ 8 กระบองเพชร พชื ทม่ี ีลาตน้ และรูปใบเปน็ หนาวเพ่ือลดการคายนา้ 8

6. ทาไมส่ิงมชี ีวติ บางชนิดถึงต้องพรางตัว แนวความคดิ หลกั สง่ิ มีชีวติ ที่อาศยั อย่ใู นแต่ละแหล่งทอ่ี ยู่จะมีโครงสร้างทีเ่ หมาะสมต่อการดารงชีวติ ในแหล่งทอ่ี ยู่นั้น เชน่ มีลักษณะโครงสร้างท่กี ลมกลนื กบั ธรรมชาติทอี่ าศยั อยู่ หรือมีการพรางตวั มโี ครงสรา้ งของร่างการที่ เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ ม เชน่ สตั วใ์ นบริเวณที่อากาศหนาวจะมีขนหนา มไี ขมันมาก เปน็ ต้น สาระสาคัญ สิ่งมีชวี ติ ทีอ่ าศยั ในแหล่งทีอ่ ยู่ต่างๆ เช่น ขว้ั โลกเหนอื ทะเลทราย สระนา้ ฯลฯ จะมลี ักษณะ โครงสร้างพิเศษท่เี หมาะสมตอ่ การดารงชวี ติ ของสิ่งมชี วี ติ เชน่ รูปท่ี 9 ตก๊ั แตนกิ่งไม้ ต๊ักแตนก่งิ ไม้ มลี ักษณะรา่ งกายคลา้ ยกบั กิ่งไม้ทอี่ าศยั อยู่ เพ่อื การพรางศตั รู และลอ่ เหย่อื ใหเ้ ขา้ มาใกล้ ทัง้ น้เี พื่อการอยู่รอดในธรรมชาติ รูปที่ 10 ต้นโกงกาง ต้นโกงกาง มีรากคา้ จุลไวห้ ายใจในยามทนี่ า้ ทะเลทว่ มถึง 9

วาดรูปหมีขาว หมีขาวอาศยั บรเิ วณขัว้ โลกทมี่ ีอากาศหนาวเย็นจัดได้ เพราะรา่ งกายมขี นปกคลุมหนา และมีไขมนั สะสมมาก ให้ความอบอุ่นแกร่ ่างกายดี วาดรูปอูฐ อูฐมีโหนกท่เี ต็มไปดว้ ยไขมนั สะสมอาหารไว้ใช้ มีขายาวสงู จากพ้นื ดนิ และขนเกรียนระบายความรอ้ นไดด้ ี วาดรปู ตน้ กระบองเพชร ต้นกระบองเพชร จะลดรปู ใบกลายเป็นหนามแหลมเพื่อลดการคายน้า 10

7. ประชากรมนษุ ย์กับทรัพยากรธรรมชาติ แนวความคดิ หลัก การเพมิ่ ขึน้ ของประชากรมนุษย์ ทาใหท้ รพั ยากรธรรมชาตติ ่างๆ ถกู ใชม้ ากขนึ้ โดยเฉพาะพืน้ ที่ปา่ ไม้ สาระสาคัญ มนุษย์เปน็ ส่วนหน่งึ ของสิ่งแวดล้อมและพง่ึ พาอาศยั ส่งิ แวดล้อม เพ่ือการดารงชวี ติ ทัง้ อาหาร เครอ่ื งนงุ่ ห่มที่อยู่อาศยั และยารกั ษาโรค รวมไปถึงสิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ ทีม่ นุษยส์ รา้ งขึ้น แต่หาก มองย้อนกลบั ไป กจ็ ะพบวา่ สงิ่ ตา่ งๆ ทที่ าให้มนุษยด์ ารงชวี ิตอยไู่ ดน้ น้ั มาจากทรพั ยากรธรรมชาตแิ ทบท้งั ส้ิน มนุษย์ใช้ทรัพยากรธรรมชาติทกุ วันไม่ว่าจะเปน็ อากาศ นา้ ป่าไม้ แร่ธาตุ ปโิ ตเลียมและแกส๊ ธรรมชาติ อากาศ น้า ป่าไม้ สัตว์ป่า ทรพั ยากรธรรมชาติเหล่านี้ถงึ แม้วา่ จะสามารถหมุนเวียนกลบั มาใหม้ นุษย์ ได้มีใช้อีก แต่ระยะเวลาในการกลับมาใหม้ ีสภาพเช่นเดมิ นน้ั จะใช้ระยะเวลานานมาก (วาดรูปธรรมชาตทิ ีส่ มบรู ณ์ ปา่ ไม้ สัตว์ปา่ ) 11

8. ปา่ ไมก้ ับความหลากหลายของสงิ่ มชี ีวิต แนวความคดิ หลัก ปา่ ไมเ้ ป็นทรพั ยากรธรรมชาติทมี่ คี วามหลากหลายของส่งิ มชี วี ติ ทั้งพันธพ์ ชื และสัตว์ สาระสาคัญ ประเทศไทยต้ังอยู่ในเขตร้อนชืน้ มภี ูมอิ ากาศเหมาะสมต่อการเจรญิ เตบิ โตของพชื จึงอุดมไปด้วยป่า ไมห้ ลากหลายชนดิ ทั้งปา่ ผลัดใบ และป่าไม่ผลดั ใบ ป่าผลัดใบ ได้แก่ ปา่ เตง็ รงั ปา่ เบญจพรรณ ป่าไม่ ผลดั ใบได้แก่ ปา่ ดบิ ชื้น ปา่ ดิบเขา ปา่ ชายเลน สิง่ มีชวี ิตทีอ่ ยู่ในปา่ มมี ากมายหลายชนดิ ทง้ั พนั ธ์ุพืช พนั ธ์สุ ตั ว์ พนั ธ์ุพืชมีทงั้ ไมย้ นื ต้น ไม้ล้มลุก และพันธ์ุสัตว์ มที ัง้ สตั วม์ กี ระดูกสนั หลงั และสัตว์ไมม่ ีกระดูกสนั หลัง รปู ที่ 11 ชนดิ ของป่าไมต้ ามระดับความสูงจากระดับน้าทะเล 12

9. ปา่ ไม้กับสัตวป์ ่า แนวความคิดหลกั สัตว์ปา่ เปน็ ทรัพยากรธรรมชาตทิ มี่ คี ุณคา่ ยง่ิ สัตว์ป่ากับปา่ ไมเ้ ปน็ ของคู่กนั เมอ่ื ป่าไมล้ ดลงเหลอื ไว้ สาระสาคญั ป่าไมเ้ ปน็ แหล่งที่อยขู่ องสตั ว์ป่านานาชนดิ สัตวป์ ่าช่วยรักษาสมดุลธรรมชาตไิ ว้ใหพ้ อดี อนั จะเปน็ ประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น นกช่วยกระจายพันธ์พุ ชื และช่วยกาจัดแมลง และหนอนที่เปน็ ศัตรูของการ เกษตรกรรม แมลงช่วยผสมเกสรและกระจายพนั ธพ์ุ ชื สตั ว์ป่าช่วยให้เกดิ กิจกรรมในป่า นอกจากนส้ี ัตว์ปา่ จะเปน็ องคป์ ระกอบทท่ี าให้ธรรมชาติมีความงดงามและสมบูรณ์ในตวั เอง ปจั จุบันจานวนประชากรมนษุ ย์ เพิม่ ข้นึ มากแต่พน้ื ที่ป่าไมก้ ลับลดลง ป่าไม้ถกู ทาลายทาใหม้ ีผลต่อปริมาณและชนดิ ของสัตว์ป่าด้วย สัตวป์ ่า บางชนดิ มีจานวนนอ้ ยและบางชนิดสูญพนั ธไุ์ ปจงึ มกี ารกาหนด สัตว์ปา่ สงวน หมายถึง สัตวป์ ่าที่หายาก 15 ชนดิ ตามพระราชบัญญัตสิ งวนและค้มุ ครองสัตวป์ า่ พ.ศ. 2535 ไดแ้ ก่ แมวลายหินออ่ น พะยูน เกง้ หม้อ นกกระเรียน เลียงผา กวางผา ละองหรือละม่ัง สมนั กปู รี ควายปา่ แรด กระซู่ สมเสร็จ นกแต้วแลว้ ท้องดา และนกเจา้ ฟา้ หญงิ สิรนิ ธร รปู ที่ 12 สตั ว์ป่าสงวน 13

3.2 คุณภาพสิ่งแวดล้อมกบั ชวี ิต 10. คณุ ภาพแหลง่ นา้ ในท้องถิ่น แนวความคิดหลกั น้าเสยี เปน็ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มทีส่ ่งผลต่อการดารงชีวติ ของมนษุ ย์ น้าเสียเกิดจากการปะปนของสง่ิ ปฏกิ ูลต่างๆ จนทาให้สขุ ภาพของนา้ เปล่ียนแปลงไป สาระสาคญั น้าทงิ้ จากอาคารบ้านเรอื น โรงงานอุตสาหกรรม โรงพยาบาล หรอื จากการเกษตรตา่ ง ๆ หากน้าท้ิง ขาดการบาบัดกอ่ นปล่อยออกสแู่ หล่งน้าตามธรรมชาติ ทาให้แหล่งน้าตามธรรมชาตเิ นา่ เสยี ได้ สารตา่ ง ๆ ทส่ี ามารถทาใหน้ า้ เน่าเสยี ไดแ้ ก่ สิ่งปฏกิ ูลต่าง ๆ ทง้ั ปัสสาวะ อุจจาระ นา้ ลา้ งถ้วย- ชาม นา้ แกง นา้ เชือ่ ม น้าหวาน ตลอดจนขยะมลู ฝอย สารซักฟอกและสารต่างๆ สารเหลา่ นีเ้ มื่อถูกท้ิง ลงในแหล่งน้า จุลนิ ทรีย์ทอ่ี ย่ใู นแหล่งน้าจะทาหน้าทีย่ ่อยสลายสารเหล่านั้น และจาเปน็ ต้องใชก้ า๊ ซ ออกซิเจนในน้าในกระบวนการย่อยสลาย ทาให้แก๊สออกซิเจนในแหลง่ น้าลดลง ส่งผลตอ่ การดารงชีวติ ของสง่ิ มีชวี ิตในแหล่งนา้ นา้ ในแหลง่ น้าทีอ่ ยูใ่ นสภาพเนา่ เสยี จากการสงั เกตจะพบว่า นา้ ในแหล่งน้าจะสง่ กล่ินเหมน็ สภาพของน้าเป็นสดี า มีฟองแกส๊ และอุณหภมู ิสูง ดงั น้ัน เราทุกคนควรตระหนกั และชว่ ยกันเฝ้าระวงั คุณภาพของแหลง่ น้าในทอ้ งถิ่นของเราใหอ้ ย่ใู น สภาพดอี ยเู่ สมอ นา้ ท้งิ จากแหล่งตา่ ง ๆ ควรได้รบั การบาบัดและปรบั สภาพของนา้ ใหก้ ลายเป็นน้าทมี่ ี คุณภาพและไม่สง่ ผลต่อการดารงชีวิตของสิ่งมีชวี ติ ในแหลง่ น้า จึงปลอ่ ยออกสู่แหล่งนา้ ตามธรรมชาติตอ่ ไป รูปท่ี 13 แหล่งนา้ ดีและน้าเสีย 14

11. ขยะกับคณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ ม แนวความคดิ หลัก ปัญหาขยะมลู ฝอยเป็นปญั หาสิ่งแวดล้อมทม่ี นุษย์ทกุ คนตอ้ งช่วยกันดแู ลรกั ษาสิ่งแวดลอ้ ม ขยะมลู ฝอย มหี ลายประเภทท้งั ประเภทท่ียอ่ ยสลายตามธรรมชาตแิ ละย่อยสลายได้ยาก รไี ซเคลิ เป็นการนาเอาวสั ดุทใ่ี ช้ แลว้ กลบั ไปเข้ากระบวนการผลิตใหม่ ไดว้ ัสดุใหม่ทส่ี ามารถนาไปใช้เป็นประโยชนต์ ่อไป สาระสาคัญ ขยะหรือมูลฝอยท่ีทงิ้ จากบา้ นเรอื น โรงงานอตุ สาหกรรม หรือการเกษตรกรรมตา่ ง ๆ จะมีทงั้ ขยะที่ ยอ่ ยสลายได้ตามธรรมชาติ ขยะทย่ี ่อยสลายได้ยาก หรือไมย่ อ่ ยสลายและขยะที่เป็นอนั ตราย ขยะหรือมูลฝอยที่ยอ่ ยสลายไดต้ ามธรรมชาตใิ นเวลาอันรวดเร็ว ได้แก่ เศษอาหาร เศษผัก เปลือก ผลไม้ ซากพชื ซากสตั ว์ ตลอดจนเศษกระดาษต่าง ๆ สว่ นขยะทีย่ ่อยสลายไดย้ ากหรอื ใช้เวลาในการยอ่ ยสลายนาน ได้แก่ ถว้ ยกระเบื้องเคลอื บ ก้นกรอง บหุ ร่ี รองเท้าหนงั กระป๋องอะลมู ิเนยี ม ถุงพลาสติก ส่วนโฟมมขี ้อมลู ว่าไมย่ อ่ ยสลายตามธรรมชาติ ดังนั้นเราควรหลกี เลยี่ งการใชว้ สั ดุหีบหอ่ ที่ทาจากโฟมหรอื ใช้ใหน้ อ้ ยทีส่ ุดหากจาเป็น ระยะเวลาทขี่ ยะแตล่ ะชนิดย่อยสลายตามธรรมชาติ เศษกระดาษ 2 – 5 เดือน เปลือกสม้ 6 เดอื น ถว้ ยกระดาษเคลอื บ 5 ปี ก้นกรองบุหรี่ 12 ปี รองเท้าหนงั 25 - 40 ปี กระปอ๋ งอลูมเิ นียม 85 - 100 ปี ถุงพลาสติก 450 ปี โฟม ไม่ย่อยสลาย ขอ้ มลู จาก : กรมสง่ เสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม กระทรวงวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิง่ แวดลอ้ ม 15

ถงั สีเขียว ถงั ขยะเปยี ก สาหรับขยะที่ยอ่ ยสลายไดส้ ามารถนา กลับมาทาเปน็ ปุ๋ยหมักได้ เชน่ ผัก ผลไม้ เศษอาหาร ใบไม้ ถังสีเหลือง ถงั ขยะแหง้ สาหรบั ขยะที่สามารถนากลบั มา รไี ซเคลิ หรอื ขายได้ เช่น แกว้ กระดาษ พลาสตกิ โลหะ ถังสีเทาฝาแดง สาหรบั ขยะที่มีอันตรายต่อสิ่งมีชีวติ และ ส่งิ แวดล้อม เชน่ หลอดฟลูออเรสเซนต์ ขวดยา ถ่านไฟฉาย กระป๋องสีสเปรย์ กระปอ๋ งยาฆ่าแมลง ถังสีฟา้ สาหรับขยะทัว่ ไปทีย่ อ่ ยสลายไม่ได้ ไมเ่ ปน็ พิษ เชน่ พลาสตกิ หอ่ ลูกอมซองบะหมีส่ าเร็จรูป ถุงพลาสติก โฟม ฟอล์ย ห่ออาหาร รูปท่ี 14 ถงั ขยะสีต่าง ๆ สาหรบั แยกประเภทขยะ 16

12. อากาศกับคุณภาพชีวิต แนวความคดิ หลัก ฝนุ่ ละอองเปน็ ปัญหาสงิ่ แวดล้อมท่สี ่งผลกระทบต่อสขุ ภาพและการดารงชวี ิตของมนุษย์ และมนษุ ย์ทุก คนตอ้ งตระหนักและช่วยกนั เฝ้าระวัง สาระสาคญั ปจั จบุ ันฝุ่นละอองเป็นมลพิษทางอากาศท่ีเป็นปญั หาส่งิ แวดล้อมอย่างมากในชุมชนเมอื งขนาดใหญ่ เช่น กรงุ เทพมหานคร มีท้ังฝุน่ ละอองท่มี องเหน็ ได้ดว้ ยตาเปล่าและฝุน่ ละอองทีต่ ้องใชก้ ล้องจุลทรรศน์สอ่ ง ดู แหล่งทีม่ าของฝ่นุ ละอองอาจเกิดข้นึ ได้หลายสาเหตุ เช่น จากการก่อสรา้ ง การขนส่ง การจราจร การอุตสาหกรรม การทากิจกรรมต่าง ๆ เชน่ กวาดถนน ทาสี ทาอาหาร ตลอดจนฝุ่นละอองทเ่ี กดิ ขึ้น ตามธรรมชาติ เชน่ ฝุ่นจากดนิ ทราย หนิ อนั เน่อื งจากกระแสลม เขม่า ควันจากการเผาไหม้ และ ละอองเกสรดอกไมท้ ี่ลอยปะปนอยู่ในอากาศ ผลของฝุ่นละออง ฝุ่นละอองหากมมี ากในบรรยากาศ จะทาให้ทศั นวิสยั ในการมองเห็นเส่ือมลง นอกจากน้ียังทาให้สิ่ง ต่าง ๆ เกิดความสกปรกและเกดิ การสึกกร่อนของผวิ หนา้ ส่ิงก่อสร้าง และทีส่ าคญั ที่สุดหากฝุ่นละอองเขา้ สู่ ระบบทางเดินหายใจของมนษุ ย์จะกอ่ ใหเ้ กิดการระคายเคืองและการเสยี หายของเน้อื เย่ืออวยั วะตา่ ง ๆ เช่น เน้ือเยือ่ ปอด หลอดลม ถงุ ลม ทาให้ประสิทธภิ าพในการทางานของปอดลดลง และมีโอกาสเกดิ โรคระบบ ทางเดนิ หายใจได้ รูปที่ 15 มลพษิ ทางอากาศ 17

บรรณานกุ รม กรมวิชาการ. (2546). หนงั สอื เรียน กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 6. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว. กระทรวงศึกษาธิการ. (2552). ตวั ชวี้ ดั และสาระการเรียนรแู้ กนกลางกลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑. กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พ์ครุ ุสภาลาดพรา้ ว. สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2547). คมู่ อื ครู วทิ ยาศาสตร์ สาหรับ ช้ันประถมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพฯ : สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) 18

คณะกรรมการดาเนินงาน คณะกรรมการท่ีปรกึ ษา ผอู้ านวยการสานกั งานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2 รองผ้อู านวยการสานักงานเขตพนื้ ท่กี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาบรุ ีรมั ย์ เขต 2 นายสมศกั ดิ์ ชอบทาดี ผู้อานวยการกลุ่มนเิ ทศ ตดิ ตามและประเมินผลการจดั การศึกษา นายนฐั นันต์ ลไิ ธสง นายยทุ ธนา ศรวี งษช์ ัย คณะผู้จัดทาเนื้อหา ครู โรงเรยี นวดั บ้านโคกเหลก็ นางสาวจติ จานงค์ สังเฉวก ครู โรงเรยี นบ้านหนองไมง้ าม 2 ครู โรงเรียนบ้านสายโท 1 นายปณธิ าน ชานาญ ครู โรงเรยี นบ้านเกต นางสาวสริ มิ ณี ประเจรญิ ครู โรงเรยี นบา้ นหนองม่วง นางประนอม นกุ าศรัมย์ ครู โรงเรียนวัดพลับพลา นายสุบิน เอ่ียมสิริ นางวรรณี สรอ้ ยสวุ รรณ ครู โรงเรยี นจระเข้มาก ครู โรงเรยี นบ้านโคกชุม นางจาริณี เสาเกลยี ว นางฉววี รรณ เพ็งดี ครู โรงเรียนชมุ ชนบา้ นโนนเจริญ ครู โรงเรียนอนุบาลประโคนชยั นางสภุ าพร เชาวม์ ะเรงิ รอง ผอ.โรงเรียนอนุบาลหว้ ยราช นางสมจติ ศรีวงษ์ชยั นายสกั ศษิ ฐ์ ศรีสุระวโิ รฒ ครู โรงเรียนอนบุ าลประโคนชยั ครู โรงเรยี นวดั บา้ นเมอื งโพธิ์ นางวาสนา ทรงประโคน นางสธุ าดา สัตตบษุ ย์ ครู โรงเรยี นประโคนชยั วทิ ยา ศึกษานิเทศก์ สพป.บร.2 นางพรรณี หวงั สขุ กลาง ศึกษานเิ ทศก์ สพป.บร.2 นายชศู ักด์ิ ช่ืนเย็น นายเกยี รติ เขม็ บุบผา ศึกษานิเทศก์ สพป.บร.2 นางสาวราตรี สงวนรมั ย์ ออกแบบ/กราฟกิ นายมนตช์ ยั เล้ยี งรกั ษา ศึกษานิเทศก์ สพป.บร.2 นางสาวราตรี สงวนรมั ย์ ศึกษานิเทศก์ สพป.บร.2 นางสาวรฐสร แสนดัง ครู โรงเรียนวัดบา้ นประทัดบุ นายนิสติ ประเสริฐศรี ครู โรงเรยี นอนุบาลห้วยราช นางกรรณกิ า ปกั เสติ ครู โรงเรยี นนคิ มสรา้ งตนเอง 5 นายวรี พล ปักเสติ ครู โรงเรยี นนคิ มสร้างตนเอง 5 นายวฒุ ิกร อนิ กะสังข์ ครู โรงเรยี นบา้ นไม้แดง 19


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook