Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Teerapat

Teerapat

Published by Teerapat Banbasak, 2020-09-09 00:49:59

Description: Teerapat

Search

Read the Text Version

ประวติ ิ ความเป็นมาของรฐั ศาสตร์

ความหมายคาว่า “รัฐศาสตร”์  คาวา่ รัฐศาสตร์ หากพิจารณาโดยแยกศพั ทภ์ าษาองั กฤษท่ใี ชว้ า่ “POLITICAL SCIENCE” เพ่ือกาหนดความหมายพ้ืนฐานของรฐั ศาสตรแ์ ลว้ จะเห็นไดว้ า่ “POLITICS” ซ่ึงหมายความวา่ การเมือง นั้น มีรากศพั ทม์ าจากคาวา่ “polis” ใน ภาษากรีก หมายถึงนครรัฐ เป็นการจดั องคก์ รทางการเมืองรูปแบบหน่ึงท่ีไดบ้ งั เกิดข้ึนมา หลายพนั ปีแลว้ ในขณะท่ี “SCIENCE” ก็คือศาสตร์ หรือวิชาในการแสวงหาความรู้ รฐั ศาสตร์ตามรากศพั ทน์ ้ี จึงเป็นวิชาการท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั การกระทาหรือการสรา้ งบา้ นเมือง หรือการสถาปนาชุมชน/เมืองขนาดใหญ่ ท่ีมีจุดประสงคเ์ พ่ือใหค้ นใชเ้ ป็นท่ีอยูอ่ าศยั ดว้ ย ความสนั ติสุข

ประวัตคิ วามเป็ นมาของวชิ ารัฐศาสตร์  กอ่ นคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 ยงั ไมม่ ีการศึกษาถึงพฤติกรรมทางการเมืองของมนุษยอ์ ยา่ ง กวา้ งขวาง เป็นเพียงศึกษารฐั ศาสตรท์ ่เี นน้ หนักไปในแงข่ องศาสนา ปรชั ญา ศีลธรรม ของ มนุษยใ์ นสงั คมเทา่ น้ัน เม่ือเขา้ มาในคริสตศ์ ตวรรษท่ี 19 นักปรชั ญาทงั้ หลายจึงไดร้ วบรวม เน้ือหาสาระและขอบขา่ ยของวิชารฐั ศาสตร์ไวม้ ากข้ึนเพ่ือใหเ้ ป็นเอกลกั ษณ์ของตนเองและ ในขณะเดียวกนั วิชารัฐศาสตรก์ ็เป็นแขนงวิชาหน่ึงในกลุม่ สงั คมศาสตร์ (Social Sciences) แตว่ ิชารฐั ศาสตร์ก็ไดม้ ีผูศ้ ึกษารวบรวมและพฒั นามาโดยลาดบั ซ่ึง สามารถแบง่ ยุคแหง่ วิชารฐั ศาสตร์ไดเ้ ป็น 4 ยุค คือ ยุคกรีกโบราณ ยุคโบราณโรมนั ยุค กลาง ยุคพ้ืนฟู

1. ยคุ กรกี โบราณ (Ancient Greeks)  การศึกษาเร่ืองรฐั และการเมืองนนั้ ไดเ้ ร่ิมตน้ มาตงั้ แตส่ มยั กรีกโบราณ คือ ประมาณ 500 ถึง 300 ปีกอ่ นคริสตกาล อาจเรียกปราชญเ์ พลโต (Plato) ไดว้ า่ เป็นบิดาของวิชาทฤษฎีการเมือง และ ปราชญอ์ ริสโตเติล (Aristotle) ควรจะไดร้ ับการยกยอ่ งวา่ เป็นบิดาของวิชารฐั ศาสตร์ ปราชญท์ ง้ั สองทา่ นไดพ้ ิจารณารฐั ในแงค่ ิดปรชั ญา ซ่ึงถือวา่ ความรูท้ ุกอยา่ งเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั หมด ยงั มิไดแ้ ยกศึกษาวิชารัฐศาสตรอ์ อกมาโดยเฉพาะอยา่ งชดั เจน คือวิชาการน้ียงั รวมอยูก่ บั ศาสตรอ์ ่ืน ๆ โดยเฉพาะปรัชญาศีลธรรมทางศาสนา เพราะความเช่ือของคนในยุคนัน้ ฝังแนบแน่น อยูก่ บั ศาสนา จึงทาใหค้ าสอนของศาสนามีอิทธิพลตอ่ การเป็นอยูข่ องคนในสงั คม ความคิดท่ีจะ พ่ึงพาอาศยั ผูป้ กครองจึงมีนอ้ ย ซ่ึงเป็นผลทาใหข้ าดการรวบรวมเน้ือหาสาระของรัฐศาสตรข์ ้ึนเป็น หมวดหมูข่ องตนเองอยา่ งชดั เจนดงั กลา่ วแลว้

2. ยุคโบราณโรมัน (Ancient Roman)  ในยุคน้ีไดม้ ีนักปราชญห์ นั มาสนใจศึกษาวิเคราะหว์ ิชารัฐศาสตรอ์ ยา่ งจริงจงั มากข้ึน โดยเฉพาะหลกั นิติศาสตรแ์ ละ หลกั ในทางรฐั ประศาสนศาสตร์ จึงทาใหจ้ กั รวรรดิโรมนั ไดถ้ า่ ยทอดมรดกทางรฐั ศาสตร์ อนั ไดแ้ กค่ วามคิดในทาง กฎหมาย หลกั นิติศาสตร์ และหลกั ในทางรฐั ประศาสนศาสตรใ์ หก้ บั ชาวโลก สว่ นนักปราชญค์ นสาคญั ในยุคน้ีคือ J. W. Burgess ผูไ้ ดห้ นั มาศึกษาวิเคราะหว์ ิชารฐั ศาสตรอ์ ยา่ งแทจ้ ริง แตย่ งั จากดั อยูเ่ พียงในวงแคบ ๆ เฉพาะ ในแบบท่ียึดตวั บทกฎหมายเป็นหลกั ตอ่ มาในระยะหลงั ๆ จึงไดม้ ีการศึกษาคน้ ควา้ ตาราทางรฐั ศาสตรข์ ้ึนมาอยา่ ง จริงจงั ทง้ั น้ีก็เพ่ือใหป้ ระชาชนไดร้ ูส้ าระสาคญั ตา่ ง ๆ คือ  1. เร่ืองกฎหมาย  2. เร่ืองรูปแบบโครงสรา้ งการปกครอง  3. เร่ืองอานาจของรัฐบาล รัฐสภาและศาล  4. เร่ืองนโยบายเป้าหมายของการปกครองแตล่ ะรูปแบบ

3. ยุคกลาง (The Middle Ages)  ในยุคน้ีความสาคญั ของรฐั หรือฝ่ายอาณาจกั รลดนอ้ ยลงกวา่ ฝ่ายศาสนจกั ร เพราะการ ปกครองยงั แนบแน่นอยูก่ บั ผูน้ าทางศาสนา จึงทาใหฝ้ ่ายศาสนจกั รเขา้ มามีอิทธิพลตอ่ การ ออกระเบียบขอ้ บงั คบั กาหนดนโยบายของรัฐ รวมทงั้ การแตง่ ตง้ั ถอดถอนกษตั ริยห์ รือ ประมุขของรัฐ “ทฤษฎีการเมือง (political Theory) ไดก้ ลายเป็นสาขาหน่ึง ของศาสนศาสตร์ (Theology) นอกจากนั้นศาสนายงั มีอานาจในการวินิจฉัยขอ้ โตแ้ ยง้ ทางการเมืองโดยไมจ่ าเป็นตอ้ งพิจารณาดว้ ยวิธีการรวบรวมขอ้ เท็จจริง (Empirical) และทางปฏิบตั ิแตป่ ระการใด”

4. ยคุ พนื้ ฟู (The Renaissance)  แนวความคิดความเช่ือของคนในยุคน้ีพยายามท่ีจะลดอิทธิพลของฝ่ายศาสนจกั ร หนั มาใหค้ วาม สนใจเก่ยี วกบั รัฐมากกวา่ เป็นตน้ วา่ ความมน่ั คงของรฐั ผลประโยชน์ของรัฐและเอกภาพของชาติ จึงทาใหย้ ุคน้ีเกิดภาวะแหง่ รฐั ชาติ (National State) กลุม่ คนท่ีมีเช้ือชาติศาสนาตา่ ง ๆ ก็ พยายามรวมตวั กนั สรา้ งชาติข้ึนมาดว้ ยความรูส้ ึกนึกคิดแบบชาตินิยม (Nationalism) การศึกษารัฐศาสตรส์ มยั น้ีเนน้ ศึกษาพฤติกรรมศาสตรม์ ากกวา่ ทฤษฎี โดยพยายามศึกษาคน้ ควา้ หาวิธีวิเคราะหว์ ิจยั ทฤษฎีเพ่ือนาไปสูก่ ารปฏิบตั ิใหไ้ ด้ สว่ นนกั ปราชญค์ นสาคญั ในยุคน้ีมีหลายทา่ น เชน่ Wallas ไดศ้ ึกษาขอ้ มูลเหตุจูงใจทางการเมือง Lasswel ศึกษาอิทธิพลท่ีกลอ่ มเกลา จิตใจของมนุษยท์ างการเมือง Lasswel ไดน้ าเทคนิคมาวิเคราะหศ์ ึกษาอิทธิพลของมนุษยต์ อ่ กิจกรรมทางการเมือง เป็นตน้

นายธีรภทั ร บรรดาศักดิ์ 621106419


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook