Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore บทที่ 6 เทคนิคและวิธีการการจัดการเรียนรู้

บทที่ 6 เทคนิคและวิธีการการจัดการเรียนรู้

Published by Kanyarat Kenprom, 2021-01-30 14:40:39

Description: บทที่ 6 เทคนิคและวิธีการการจัดการเรียนรู้

Search

Read the Text Version

การจดั การเรยี นรูแ้ บบใหผ้ ูเ้ รยี นรายงานในชน้ั (Report in Classrrom Method) การจดั การเรยี นรูน้ อกจากจะม่งุ ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรูต้ ามวตั ถุประสงคใ์ นเน้ือหา น้นั แลว้ ควรจะพฒั นาใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถคน้ หาความรู้ จดั ระบบความรูแ้ ละนาเสนอ ความรูน้ ้นั ใหผ้ ูอ้ น่ื เกดิ การเรยี นรูไ้ ด้ ควรดาเนินการดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การเลอื กเรอ่ื งเพอ่ื คน้ ควา้ และรายงาน ควรใหผ้ ูเ้ รยี นเลอื กเองภายในขอบข่าย ของเน้ือหาสาระในวชิ าน้นั 2. ผูส้ อนตอ้ งคน้ ควา้ วา่ มีแหลง่ ความรูจ้ ากแหลง่ ใดบา้ ง 3. ผูร้ ายงานตอ้ งเตรยี มการนาเสนอมาอย่างดี 4. ใชก้ จิ กรรมท่คี วบคมุ ความสนใจโดยกาหนดใหผ้ ูฟ้ งั ทากจิ กรรมท่ีทาใหค้ ดิ ตาม การนาเสนอ Footer Text

การประเมนิ คณุ ภาพของการเสนอรายงาน กจิ กรรมน้ีผูฟ้ งั ตอ้ งสงั เกต ตดิ ตาม พจิ ารณาตีราคาหรอื คณุ ค่าของการเสนอ รายงานโดยตลอด เพอ่ื ใหส้ ามารถตดั สนิ ลงความเหน็ ไดก้ ารใหพ้ จิ ารณาจุดเด่น จดุ ออ่ นของรายงานกจิ กรรมน้ีทาใหผ้ ูฟ้ ังตอ้ งสงั เกต ตดิ ตามพจิ ารณา การเสนอ รายงานโดยตลอด เพอ่ื ใหส้ ามารถวเิ คราะหถ์ งึ จุดเด่น และจดุ ออ่ นของการรายงาน ในครง้ั น้ันได้ Footer Text

Footer Text

การจดั การเรยี นรูแ้ บบอปุ นัย (Inductive Method) ความหมาย วธิ สี อนแบบอปุ นยั เป็นการจดั การเรยี นรูจ้ ากรายละเอยี ดปลกี ย่อยไปหา กฎเกณฑก์ ลา่ วคอื เป็นการจดั การเรยี นรูจ้ ากสว่ นยอ่ ยไปหาสว่ นรวมหรอื สอนจาก ตวั อยา่ งไปหากฎเกณฑ์ ความม่งุ หมายของวธิ สี อนแบบอปุ นยั เพอ่ื ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นไดค้ น้ พบกฎเกณฑห์ รอื ความจรงิ ท่สี าคญั ๆ ดว้ ยตนเอง กบั ใหเ้ ขา้ ใจความหมายและความสมั พนั ธข์ องความคดิ ต่างๆ ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรูแ้ บบอปุ นยั 1. ขน้ั เตรยี ม คอื การเตรยี มตวั ผูเ้ รยี น เป็นการทบทวนความรูเ้ ดิมกาหนด จดุ ม่งุ หมาย และอธบิ ายความม่งุ หมายใหผ้ ูเ้ รยี นไดเ้ ขา้ ใจอย่างแจม่ แจง้ 2. ขน้ั สอนหรอื ขน้ั แสดง คอื การเสนอตวั อย่างหรอื กรณีต่างๆ Footer Text

ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรูแ้ บบอปุ นยั (ตอ่ ) 4. ขน้ั สรุป คอื การนาขอ้ สงั เกตต่างๆ 5. ขน้ั นาไปใช้ คอื ขน้ั ทดลองความเขา้ ใจของผูเ้ รยี นเกย่ี วกบั กฎเกณฑ์ ขอ้ ดี 1. จะทาใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจไดอ้ ยา่ งแจม่ แจง้ และจาไดน้ าน 2. ฝึกใหผ้ ูเ้ รยี นรูจ้ กั คดิ ตามตรรกศาสตรแ์ ละหลกั วทิ ยาศาสตร์ 3. ใหผ้ ูเ้ รยี นเขา้ ใจวธิ กี ารในการแกป้ ญั หา และรูจ้ กั วธิ ที างานท่ถี กู ตอ้ ง ขอ้ จากดั 1. ไม่เหมาะสมทจ่ี ะใชส้ อนวชิ าท่มี คี ณุ ค่าทางสนุ ทรยี ะ 2. ใชเ้ วลามาก อาจทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความเบอ่ื หน่าย 3. ทาใหบ้ รรยากาศการเรยี นเป็นทางการเกนิ ไป Footer Text 4. ผูส้ อนตอ้ งเขา้ ใจในเทคนิควธิ สี อนแบบน้ีอย่างดี จงึ จะไดผ้ ลสมั ฤทธ์ิ

การจดั การเรยี นรูแ้ บบนิรนัย (Deductive Method) ความหมาย วธิ ีสอนแบบนิรนยั เป็นการจดั การเรยี นรูท้ ่เี ร่มิ จากกฎ หรอื หลกั การ ต่างๆ แลว้ ใหผ้ ูเ้ รยี นหาหลกั ฐานเหตผุ ลมาพสิ ูจน์ยนื ยนั ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรูแ้ บบนิรนัย 1. ขน้ั อธิบายปญั หา ระบสุ ง่ิ ท่จี ะสอนในแงข่ องปญั หา 2. ขน้ั อธบิ ายขอ้ สรุป ไดแ้ ก่ การเอาขอ้ สรุปกฎมาอธบิ าย 3. ขน้ั ตกลงใจ ผูเ้ รยี นจะเลอื กขอ้ สรุป 4. ขน้ั พสิ ูจน์ หรอื อาจเรยี กวา่ ขน้ั ตรวจสอบ เป็นขน้ั ท่ีสรปุ กฎ Footer Text

การจดั การเรยี นรูแ้ บบนิรนัย (ต่อ) ขอ้ ดแี ละขอ้ จากดั ขอ้ ดี 1. วธิ ีสอนแบบน้ีเหมาะสมท่ีจะใชส้ อนเน้ือหาวชิ างา่ ยๆ จะสามารถอธบิ าย 2. ฝึกใหเ้ ป็ นคนมีเหตผุ ล ไม่เช่ืออะไรงา่ ยๆ โดยไม่มกี ารพสิ ูจนใ์ หเ้ หน็ จริ ขอ้ จากดั 1. ใชส้ อนไดเ้ ฉพาะบางเน้ือหา 2. เป็นการจดั การเรยี นรูท้ ่ผี ูเ้ รยี นไม่ไดเ้ กดิ ความคิดรวบยอดดว้ ยตนเอง เพราะผูส้ อนกาหนดความคิดรวบยอดให้ Footer Text

การจดั เรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็ นฐาน (Problem-based learning: PBL) เป็นเทคนิคการจดั การเรยี นรูอ้ กี รูปแบบหน่ึงท่สี ง่ เสรมิ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดล้ งมือ ปฏบิ ตั ิดว้ ยตนเองทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ทกั ษะในการคดิ อยา่ งมีวจิ ารณญาณและคดิ สรา้ งสรรค์ การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน เป็นระบบการจดั การเรยี นรู้ ท่เี ร่มิ ใช้ ในปี ค.ศ. 1950 เป็นหลกั สูตรท่นี ิยมใชใ้ นสถานศึกษาแพทย์ องคป์ ระกอบท่สี าคญั ของการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 1. ใชเ้ ทคนิคการจดั การเรยี นรูก้ ลมุ่ ยอ่ ย มีผูเ้ รยี นเป็นกลมุ่ ประมาณ 6-8 คน 2. เนน้ ผูเ้ รยี นเป็นสาคญั กลา่ วคือ การเรยี นรูเ้ กดิ ข้ึนท่ผี ูเ้ รยี นดว้ ยตนเอง 3. เนน้ การบูรณาการในเน้ือหาวชิ า ทง้ั น้ีปญั หาท่ีจะนามาใชเ้ ป็ นสอ่ื ในการเรยี น 4. ผูเ้ รยี นควบคมุ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง โดยกาหนดเน้ือหาวชิ าท่ีจะเรยี น Footer Text 5. ประเมินผลสมั ฤทธ์ไิ ดด้ ว้ ยตนเอง ในขน้ั ตอนของการเรยี นผูเ้ รยี น

แนวคิดและหลกั การพ้นื ฐานของการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็ นฐาน การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐานมที ฤษฎกี ารเรยี นรูท้ ่ีเก่ยี วขอ้ งคอื 1. ทฤษฎมี นุษยนิยมของโรเจอร์ (Roger) มคี วามเช่ือวา่ เป้ าหมายของ การศึกษา คอื การอานวยความสะดวกใหผ้ ูเ้ รยี นเหน็ การเปล่ยี นแปลงในโลก แหง่ การเรยี นรู้ หลกั การพ้นื ฐานของมนุษยนิยม ท่ที าใหผ้ ูเ้ รยี นประสบผลสาเรจ็ สรุป ได้ ดงั น้ี 1) ผูเ้ รยี นจะเรยี นรูไ้ ดด้ ตี ่อเม่อื ความจาเป็นพ้นื ฐาน 2) ความรูส้ กึ (Feeling) มีความสาคญั เท่ากบั ความจรงิ (Fact) 3) ผูเ้ รยี นจะเรยี นรูก้ ต็ ่อเม่ือบทเรยี นท่ีผูเ้ รยี นสนใจ และตอ้ งการจะเรยี นรู้ 4) การเรยี นรูเ้ ร่อื งกระบวนการเรยี นรู้ มคี วามสาคญั มากกวา่ การFเoรoยี teนr Tรeูเ้xนt ้ือหา

แนวคดิ และหลกั การพ้นื ฐานของการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็ นฐาน (ตอ่ ) 5) การเรยี นรูจ้ ะเกดิ ข้ึนไดต้ ่อเม่ือผูเ้ รยี นไม่รูส้ กึ ว่าตนถูกคกุ คามหรอื หวาดกลวั 6) การประเมินผลการเรยี นรู้ 2. การเรยี นรูแ้ บบเอกตั ภาพ (Individualized Learning) เป็ นการ จดั การเรยี นรูท้ ่นี าไปสูว่ ตั ถปุ ระสงคข์ องผูเ้ รยี นเป็นรายบคุ คล ดงั น้ันในการ เรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐานจะตอ้ งใหผ้ ูเ้ รยี นผ่านกลไกพ้นื ฐานในการเรยี นรู้ โดยใชป้ ญั หาเป็นหลกั อย่างครบถว้ น 3 ประการ คอื 1. การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 2. การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง 3. การเรยี นรูเ้ ป็นกลมุ่ ยอ่ ย Footer Text

ลกั ษณะท่สี าคญั ของการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 1. ผูเ้ รยี นเป็นศูนยก์ ลางของการเรยี นรูอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ 2. การเรยี นรูเ้ กดิ ข้ึนในกลมุ่ ผูเ้ รยี นท่มี ีขนาดเลก็ 3. ผูส้ อนเป็นผูอ้ านวยความสะดวก หรอื ผูใ้ หค้ าแนะนา 4. ใชป้ ญั หาเป็นตวั กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การเรยี นรู้ 5. ปญั หาท่ีนามาใชม้ ีลกั ษณะคลมุ เครอื ไม่ชดั เจน ปญั หาเพยี งหน่ึง ปญั หาอาจมคี าตอบไดห้ ลายคาตอบหรอื แกไ้ ขปญั หาไดห้ ลายทาง 6. ผูเ้ รยี นเป็นคนแกป้ ญั หาโดยการแสวงหาขอ้ มูลใหม่ดว้ ยตนเอง 7. ประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ โดยดูจากความสามารถในการปฏบิ ตั ิ Footer Text

กระบวนการของการเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 1. เตรยี มความพรอ้ มผูเ้ รยี น ผูส้ อนทาการปฐมนิเทศ 2. เสนอสถานการณ์ของปญั หา ผูส้ อนเกร่นิ นาเพ่อื เช่ือมโยงประสบการณ์ 3. กาหนดกรอบการศึกษา เรยี นวเิ คราะหส์ ถานการณ์ปญั หารว่ มกนั 4. สรา้ งสมมติฐาน ผูเ้ รยี นระดมสมอง 5. คน้ ควา้ ขอ้ มูลเพ่อื พสิ ูจน์สมมติฐาน ผูเ้ รยี นทง้ั กลมุ่ คน้ ควา้ หาขอ้ มูล 6. ตดั สนิ ใจเลอื กแนวทางแกป้ ญั หา สมาชิกในกลมุ่ ประชมุ ร่วม 7. สรา้ งผลงาน หรอื ปฏบิ ตั ติ ามทางเลอื ก นาแนวทางท่เี ลอื กไปทดลอง 8. ประเมนิ ผลโดยวธิ ีท่หี ลากหลาย โดยกลมุ่ นาเสนอผลการแกFoป้oญtั erหTeาxt

บทบาทของผูเ้ รยี นและผูส้ อน บทบาทผูเ้ รยี น 1. ความรูค้ วามสามารถ (Competency) 2. ความสามารถในการสอ่ื สารกบั ผูอ้ น่ื (Communication) 3. ความตระหนกั ในความสาคญั (Concern) 4. ความกลา้ ในการตดั สนิ ใจ (Courage) 5. ความคิดรเิ ร่มิ สรา้ งสรรค์ (Creativity) บทบาทของผูเ้ รยี นในกลมุ่ ย่อย เป็นกระบวนการหน่ึงของการจดั การเรยี นรู้ แบบใชป้ ญั หาเป็นฐานโดยผูเ้ รยี น จะตอ้ งมีบทบาทรว่ มกนั เพอ่ื แกป้ ญั หา Footer Text

บทบาทผูส้ อน การจดั การเรยี นรู้ โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน ผูส้ อนผูส้ อนจะมบี ทบาทท่ีแตกต่าง ไปจากการจดั การเรยี นรูแ้ บบเดมิ ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน ขอ้ ดี 1. ผูเ้ รยี นไดเ้ รยี นรูก้ ารแกป้ ญั หาโดยตรง ทาใหพ้ ฒั นาทกั ษะการแกป้ ญั หา สามารถถ่ายโยงไปสูก่ ารแกป้ ญั หาท่ีซบั ซอ้ น ในวชิ าชีพและชีวติ ประจาวนั ได้ 2. พฒั นาทกั ษะการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง 3. พฒั นาทกั ษะในการเรยี นรู้ การติดต่อสอ่ื สาร และการทางานร่วมกบั ผูอ้ น่ื 4. พฒั นาทกั ษะในการคิดวเิ คราะหแ์ ละการสงั เคราะห์ Footer Text

บทบาทผูส้ อน (ต่อ) 5. ช่วยเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรูส้ ง่ิ ใหม่ 6. ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ ความรูอ้ ย่างมโี ครงสรา้ งงา่ ยต่อการระลกึ ได/้ นามาใช้ ขอ้ จากดั 1. ผูส้ อนผูส้ อนจะตอ้ งเปลย่ี นรูปแบบการจดั การเรยี นรูใ้ หม่ เปล่ยี นบทบาท เป็นผูอ้ านวยการจดั การเรยี นรู้ จาเป็นตอ้ งมีการอบรมก่อนท่จี ะวางแผน และจดั กจิ กรรมการจดั การเรยี นรู้ โดยใชป้ ญั หาเป็นฐาน 2. ผูส้ อนตอ้ งมคี วามชานาญในการเตรยี ม และเลอื กสอ่ื 3. มีการเปลย่ี นแปลงสง่ิ อานวยความสะดวกต่างๆ Footer Text

การจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (Web-Based Learning) การใชเ้ วบ็ เพ่อื การเรยี นรูเ้ ป็นการนาเอาคณุ สมบตั ิของ อนิ เทอรเ์ น็ต มา ออกแบบเพอ่ื ใชใ้ นการศึกษา การจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (Web-Based Learning) มีช่ือเรยี กหลายลกั ษณะ เช่นการจดั การจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (Web-Based Instruction) เวบ็ การเรยี น (Web-Based Learning) ฯลฯ ในปจั จบุ นั เทคโนโลยคี อมพวิ เตอร์ และอนิ เทอรเ์ น็ตไดพ้ ฒั นาเตบิ โตอย่างรวดเรว็ คณุ สมบตั ิของการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ การจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (WBI) เป็ นระบบการพฒั นาสอ่ื การจดั การเรยี นรูท้ ่ี ประยกุ ตใ์ ชค้ ณุ สมบตั แิ ละทรพั ยากรของเวลิ ด์ ไวด์ เวบ็ Footer Text

คณุ สมบตั ิของเครอื ข่ายเวลิ ดไ์ วดเ์ วบ็ หมายถงึ การเปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถปฏสิ มั พนั ธก์ บั ผูส้ อนหรอื ผูเ้ รยี น อน่ื เพ่อื การเรยี นรู้ โดยไม่จาเป็นตอ้ งอยู่ในเวลาเดียวกนั เปิ ดหวั ขอ้ การสนทนา ผ่านโปรแกรมประเภท ต่างๆ เช่น MSN, Yahoo Messenger หรอื ผูเ้ รยี น สามารถเรยี นตามหวั ขอ้ และรว่ มการสนทนาในเวลาท่ตี นเองสะดวก ผ่าน โปรแกรมประเภท Asynchronous Conferencing System เช่น e-Mail หรอื กระดานสนทนา (Web board)การปฏสิ มั พนั ธเ์ ช่นน้ีเป็ นไปไดท้ ง้ั ลกั ษณะบคุ คลต่อบคุ คล ผูเ้ รยี นกบั กลมุ่ หรอื กลมุ่ ต่อกลมุ่ Footer Text

คณุ สมบตั ิของสอ่ื หลายมิตใิ นการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเครอื ข่าย หมายถงึ การสนับสนุนศกั ยภาพการเรยี นดว้ ยตนเอง คอื ผูเ้ รยี นสามารถ เลอื กสรรเน้ือหาบทเรยี นท่นี าเสนออยูใ่ นรูปแบบสอ่ื หลายมิติ ประเภทของการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (แบ่งตามลกั ษณะของการสอ่ื สาร) 1. รูปแบบการเผยแพร่ รูปแบบน้ีสามารถแบ่งไดอ้ อกเป็น 3 ชนิด คอื 1) รูปแบบหอ้ งสมดุ (Library Model) 2) รูปแบบหนงั สอื เรยี น (Textbook Model) 3) รูปแบบการสอนท่ีมปี ฎสิ มั พนั ธ์ (Interactive Instruction Model) 2. รูปแบบการสอ่ื สาร (Communication Model) 3. รูปแบบผสม (Hybrid Model) Footer Text 4. รูปแบบหอ้ งเรยี นเสมอื น (Virtual Classroom Model)

ประเภทของการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (แบง่ ตามลกั ษณะของการสอ่ื สาร) 1. รูปแบบการเผยแพร่ รูปแบบน้ีสามารถแบ่งไดอ้ อกเป็น 3 ชนิด 1) รูปแบบหอ้ งสมดุ (Library Model) 2) รูปแบบหนงั สอื เรยี น (Textbook Model) 3) รูปแบบการสอนท่มี ปี ฎสิ มั พนั ธ์ (Interactive Instruction Model) 2. รูปแบบการสอ่ื สาร (Communication Model) เป็ นรูปแบบท่อี าศยั คอมพวิ เตอรม์ าเป็นสอ่ื 3. รูปแบบผสม (Hybrid Model) เป็ นการนาเอารูปแบบ 2 ชนิด คอื รูปแบบ การเผยแพรก่ บั รูปแบบการสอ่ื สาร 4. รูปแบบหอ้ งเรยี นเสมอื น (Virtual Classroom Model) เอาลกั ษณะ เด่นของรูปแบบต่าง ๆ มาใช้

สภาพการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ มลี กั ษณะการจดั สภาพการจดั การเรยี นรูท้ แ่ี ตกตา่ งจากการจดั การ เรยี นรูใ้ นชน้ั เรยี นปกติ ผูเ้ รยี นจะเรยี นผ่านจอคอมพวิ เตอรท์ เ่ี ช่ือมโยงกบั เครอื ข่าย ซ่งึ ขน้ั ตอนการจดั การเรยี นรูด้ งั ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี 1. ผูเ้ รยี นท่เี ป็นสมาชิกอนิ เทอรเ์ น็ตเขา้ สูร่ ะบบดว้ ยการบนั ทกึ เขา้ (Login) 2. พมิ พท์ ่อี ยู่ของเวบ็ เพจท่ตี อ้ งการเขา้ ไปศึกษา 3. เม่อื เขา้ สูเ่ วบ็ เพจแลว้ ทต่ี อ้ งการแลว้ ผูเ้ รยี นศึกษาเน้ือหาบทเรยี นทน่ี าเสนอ ผ่านทางหนา้ จอคอมพวิ เตอร์ 4. ในบางช่วงบางตอนของบทเรยี น ผูเ้ รยี นจะถกู กระตนุ้ ใหม้ ีปฏกิ ริ ิยาสนอง 5. ผูเ้ รยี นสามารถศกึ ษาเน้ือหาเทา่ ท่กี าหนดในเวบ็ เพจหน่ึงๆ หรอื อาจเขา้ สูเ่ วบ็ เพจอน่ื ๆ

องคป์ ระกอบของการสอ่ื สารของการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเครอื ข่าย WBI 1. E-mail ใชต้ ดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ งเฉพาะ ผูท้ เ่ี ป็นสมาชิกอนิ เทอรเ์ น็ต ลกั ษณะการใชง้ านใน WBI 1) ใชต้ ดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ งอาจารย์ หรอื เพอ่ื นรว่ มชน้ั เรยี นดว้ ยกนั 2) ใชส้ ง่ การบา้ น หรอื งานทไ่ี ดร้ บั มอบหมาย 2. Web board ใชต้ ดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ ง ผูเ้ รยี น อาจารย์ และผูเ้ รยี น (Three Way) ลกั ษณะการใชง้ านใน WBI 3. Chat ใชต้ ดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ ง ผูเ้ รยี น อาจารย์ และผูเ้ รยี น (Three Way) โดยการ สนทนาแบบ Real Time มที ง้ั Text Chat และ Voice Chat 4. Conference ใชต้ ดิ ต่อสอ่ื สารระหวา่ ง ผูเ้ รยี น อาจารย์ และผูเ้ รยี น (Three Way) 5. อน่ื ๆ อกี มากมาย ตามท่ีเทคโนโลยอี นิ เทอรเ์ น็ตจะคดิ พฒั นาข้ึนมา

1. การสอ่ื สารผ่านคอมพวิ เตอร์ การสอ่ื สารผ่านคอมพวิ เตอรเ์ ป็นวธิ ีการท่ีขอ้ มูลหรอื ขอ้ ความถูกสง่ หรอื ไดร้ บั ทางคอมพวิ เตอรก์ ารใชอ้ นิ เทอรเ์ น็ตจะทาใหส้ ามารถใชค้ วามสามารถ ของอนิ เทอรเ์ น็ตไดห้ ลายอยา่ ง เพ่อื จุดประสงคด์ า้ นการจดั การเรยี นรู้ เช่น การใชอ้ เี มลแ์ ละการประชมุ ทางไกล ท่ที าใหผ้ ูเ้ รยี นสามารถสอ่ื สารกนั ได้ ในทนั ที

หลกั การออกแบบบทเรยี นบนเวบ็ 1. ใหแ้ รงจูงใจแก่ผูเ้ รยี น 2. การบอกใหผ้ ูเ้ รยี นทราบวา่ จะไดเ้ รยี นรูอ้ ะไรบา้ ง 3. การเช่ือมโยงความรูเ้ กา่ กบั ความรูใ้ หม่ 4. การนาเสนอเน้ือหาใหม่ 5. สรา้ งความกระตอื รอื รน้ ของผูเ้ รยี น 6. การใหข้ อ้ เสนอแนะ และขอ้ มูลยอ้ นกลบั 7. การทดสอบ 8. ใหข้ อ้ มูลท่เี ก่ยี วขอ้ งเพม่ิ เตมิ หรอื การซ่อมเสรมิ

ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ 1. ตดั สนิ ใจลกั ษณะในการสอนบนเวบ็ 2. กาหนดวตั ถปุ ระสงคแ์ ละเป้ าหมายของหลกั สูตรท่จี ดั การสอนบนเวบ็ 3. ศึกษาคณุ ลกั ษณะของผูเ้ รยี น 4. ออกแบบโครงสรา้ งของเวบ็ โดยการกาหนดโครงสรา้ งของเวบ็ คร่าวๆ ก่อนท่ีจะกาหนดรายละเอยี ด 5. หาความรูแ้ ละทกั ษะการใชโ้ ปรแกรมต่างๆ ท่ีจาเป็นดงั ต่อไปน้ี โปรแกรมช่วยในการ

ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (ต่อ) 6. เตรยี มเน้ือหาในรูปการสอนบนเวบ็ ซง่ึ ครอบคลมุ เพจ ต่างๆ ดงั น้ี 1) โฮมเพจ หรอื เวบ็ เพจแรกของเวบ็ ไซต์ 2) เวบ็ เพจแสดงภาพรวมของคอรส์ 3) เวบ็ เพจแสดงสง่ิ จาท่เี ป็นในการเรยี น เช่น เอกสาร ตารา 4) เวบ็ เพจทแ่ี สดงขอ้ มูลสาคญั ๆ เช่น การตดิ ต่อผูส้ อน 5) เวบ็ เพจแสดงบทบาทหนา้ ท่คี วามรบั ผิดชอบของผูท้ เ่ี กย่ี วขอ้ ง 6) เวบ็ เพจกจิ กรรมทม่ี อบใหท้ าการบา้ น แสดงงานท่มี อบหมาย 7) เวบ็ เพจท่แี สดงกาหนดการเรยี น 8) เวบ็ เพจสนบั สนุนการเรยี น 9) เวบ็ เพจการอภปิ รายสาหรบั การสนทนา แลกเปลย่ี นความคดิ เหน็ 10) เวบ็ เพจคาถามคาตอบทพ่ี บบอ่ ย

ขน้ั ตอนในการจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ (ตอ่ ) 7. การออกแบบและพฒั นากจิ กรรมการสอน ท่ีเหมาะสมกบั การจดั การ เรยี นรูบ้ นเวบ็ 8. ออกแบบการประเมินผลการเรยี นของผูเ้ รยี น 9. เตรยี มความพรอ้ มในดา้ นปญั หาเทคนิค 10. เตรยี มความพรอ้ มในดา้ นการเขา้ ถงึ เครอื ข่ายสาหรบั ผูเ้ รยี น 11. ทดลองใชง้ าน เพอ่ื หาขอ้ ผิดพลาด และปรบั ปรุงแกไ้ ขกอ่ นทจ่ี ะนาไปใช้ 12. หลงั จากท่ีไดจ้ ดั การสอนบนเวบ็ จรงิ แลว้ ควรประเมนิ ผลการจดั การ จดั การเรยี นรูเ้ พ่อื ใหไ้ ดข้ อ้ มูลท่เี ป็นประโยชน์

ลกั ษณะของกจิ กรรมการเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ 1. การนาเสนอ (Presentation) เป็ นไปในแบบเว็บไซด์ 1) การนาเสนอแบบสอ่ื ทางเดียว เช่น เป็นขอ้ ความ 2) การนาเสนอแบบสอ่ื คู่ เช่น ขอ้ ความภาพกราฟฟิ ก 3) การนาเสนอแบบมลั ตมิ เี ดีย 2. การสอ่ื สาร (Communication) 1) การสอ่ื สารทางเดยี ว โดยดูจากเวบ็ เพจ 2) การสอ่ื สารสองทาง 3. การกอ่ ใหเ้ กดิ ปฏสิ มั พนั ธ์ (Dynamic Interaction) 1) การสบื คน้ 2) การหาวธิ ีการเขา้ สูเ่ ว็บ 3) การตอบสนองของมนุษยใ์ นการใชเ้ วบ็

ประโยชน์การจดั การเรยี นรูผ้ ่านเวบ็ 1. เกดิ การปฏสิ มั พนั ธ์ (Interactive) ระหวา่ งผูเ้ รยี นกบั ผูส้ อน 2. สามารถนาเสนอเน้ือหาในรูปแบบของสอ่ื ประสม (Multimedia) 3. ผูใ้ ชม้ อี สิ ระในการเขา้ ถงึ ขอ้ มูลไดท้ วั่ โลก 4. ไม่มขี อ้ จากดั ทางสถานท่ีและเวลาของการสอนบนเวบ็ 5. ผูเ้ รยี นเป็นผูค้ วบคมุ ผูเ้ รยี นสามารถเรยี นตามความพรอ้ มความถนดั 6. สามารถจดั กระบวนการจดั การเรยี นรูท้ ง้ั หมดผ่านเวบ็ ได้

เกณฑใ์ นการพจิ ารณาเลอื กใชว้ ธิ กี ารจดั การเรยี นรูม้ ีดงั น้ี 1. วธิ กี ารจดั การเรยี นรูท้ ่นี ามาใช้ เหมาะสมกบั ความสามารถ 2. วธิ ีการจดั การเรยี นรูท้ ่ผี ูส้ อนพจิ ารณาเลอื กมาใช้ 3. วธิ กี ารจดั การเรยี นรูท้ ่นี ามาใช้ ตอ้ งพจิ ารณาใหเ้ หมาะสม 4. วธิ สี อนตอ้ งพจิ ารณาเลอื กใหเ้ หมาะสมกบั เน้ือหา 5. เลอื กใชว้ ธิ ีสอนใหเ้ หมาะสมกบั อปุ กรณ์และสภาพแวดลอ้ ม วธิ ีสอนแบบต่างๆ เป็นแนวทางท่ผี ูส้ อนตอ้ งเรยี นรูแ้ ละตอ้ งนามาปรบั ใชส้ อนผูเ้ รยี นใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพมากท่ีสดุ

แบบทดสอบทา้ ยบท 1.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook