หลกั สตู รตา้ นทจุ ริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education) และแผนการจัดการเรยี นรู้ “การปอ้ งกันการทุจรติ ” หลักสตู รการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี ๒ ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๖ โรงเรียนบา้ นบัวถนน สำนักงานเขตพื้นทก่ี ารศึกษาประถมศึกษาบรุ รี ัมย์ เขต ๒ สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พืน้ ฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร
ก ประกาศโรงเรยี นบ้านบัวถนน เรือ่ ง ให้ใช้หลกั สตู รต้านทจุ ริตศึกษา Anti-Corruption Education ในสถานศกึ ษา ปกี ารศึกษา ๒๕๖๖ ----------------------------------------------------------- ยทุ ธศาสตรช์ าตวิ ่าดว้ ยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ -๒๕๖๔) ยุทธศาสตร์ ท่ี ๑ “สร้างสังคมที่ไม่ทนตอ่ การทุจริต” ได้มุ่งเน้นใหค้ วามสำคัญในกระบวนการปรบั สภาพ สงั คมให้เกิดภาวะที่ “ไมท่ นต่อการทุจริต” โดยเร่มิ ตง้ั แต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทกุ ระดับ ชว่ งวยั ตง้ั แตป่ ฐมวยั เพื่อสรา้ งวฒั นธรรมตอ่ ตา้ นการทุจริต และปลกู ฝงั ความพอเพียง มวี นิ ยั ซื่อสัตย์ สจุ ริตยดึ ประโยชนส์ ่วนรวมมากกว่าประโยชนส์ ่วนตน เป็นการดำเนนิ การผ่านสถาบนั หรือกลุม่ ตวั แทนที่ ทำหน้าทใ่ี นการกล่อมเกลาสงั คมใหม้ ีความเปน็ พลเมอื งที่ดี มีจิตสาธารณะ เสียสละเพือ่ ส่วนรวมและ เสริมสรา้ งให้ทุกภาคส่วนมีพฤตกิ รรมท่ีไม่ยอมรบั และต่อต้านการทจุ รติ ในทุกรูปแบบ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จงึ ไดม้ ีคำสั่งท่ี ๖๔๖/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ แต่งต้ังคณะอนุกรรมการจัดทำ หลกั สูตร หรือชุดการเรยี นรู้และส่อื ประกอบการเรียนรู้ ดา้ นการป้องกนั การทจุ รติ เพ่ือดำเนนิ การจัดทำ หลักสูตรหรอื ชดุ การเรยี นรแู้ ละสื่อประกอบการเรยี นรู้ ดา้ นการป้องกนั การทจุ รติ นำไปใช้ในการเรยี น การสอนให้กบั นักเรียน นกั ศึกษาในทุกระดับช้ันเรยี นท้ังในส่วนของการศกึ ษาตัง้ แตร่ ะดบั ปฐมวัยอนบุ าล ประถมศกึ ษา มธั ยมศึกษา และอุดมศึกษา ทง้ั ภาครัฐและเอกชน รวมทงั้ อาชีวศกึ ษาและการศกึ ษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั นอกจากน้ี ยงั รวมถึงสถาบนั การศึกษาอ่ืนทเี่ กย่ี วข้อง เพ่ือให้ครอบคลุม กลุ่มเป้าหมายทเ่ี กี่ยวข้องกบั การศึกษาทั้งระบบ รวมท้ังบคุ ลากรภาครัฐและรฐั วิสาหกิจ รวมท้ังภาค ประชาชน เพื่อเป็นการปลูกฝังจิตสานึกในการแยกแยะประโยชน์ส่วนตนกบั ประโยชนส์ ่วนรวม จติ พอเพยี งตา้ นทุจริต และสร้างพฤติกรรมท่ีไมย่ อมรบั และไม่ทนต่อการทุจริต โรงเรยี นบ้านบวั ถนน จงึ ได้จดั ทำหลกั สูตรหลกั สูตรตา้ นทจุ ริตศึกษา Anti-Corruption Education ในสถานศกึ ษา ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ข้นึ คณะกรรมการบริหารหลกั สตู รและคณะกรรมการ สถานศึกษาขัน้ พ้ืนฐานโรงเรียนไดต้ รวจสอบผูเ้ รียนสามารถนำไปใชใ้ นการดำรงชีวิตประจำวันอย่างมี คณุ ค่าต่อสังคม จงึ เห็นสมควรแลว้ วา่ มคี วามเหมาะสม สอดคลอ้ งกับนโยบายข้างตน้ จงึ อนุญาตให้ใช้ หลักสตู รได้
ข ท้งั นหี้ ลักสูตรโรงเรียนได้รับความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้นื ฐาน เม่ือวนั ท่ี ๑เดือน พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๖๖ จึงประกาศใหใ้ ช้ใช้หลักสูตรต้านทุจริตศึกษา Anti-Corruption Education ในสถานศกึ ษา ปีการศึกษา ๒๕๖๖ ตงั้ แตบ่ ัดนี้เปน็ ตน้ ไป ประกาศ ณ วนั ท่ี ๖ เดือน พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ลงชอ่ื ........................................ ลงช่ือ.............................. (นายพิน สุบินรมั ย)์ (นายจรญั วารินทร์) ประธานคณะกรรมการสถานศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน ผูอ้ ำนวยการโรงเรยี นบ้านบัวถนน
ค คำนำ ยุทธศาสตร์ชาติวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต ระยะท่ี ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ ๑ สร้างสังคมที่ไม่ทนตอ่ การทุจรติ อนั มกี ลยุทธ์วา่ ดว้ ยเรอื่ งของการปรบั ฐาน ความคดิ ทุกช่วงวัยตงั้ แต่ปฐมวัยใหส้ ามารถแยกระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม สง่ เสรมิ ใหม้ รี ะบบและกระบวนการกลอ่ มเกลาทางสังคมเพื่อต้านทจุ รติ ประยุกต์หลักปรชั ญาของ เศรษฐกิจพอเพียงเป็นเคร่อื งมือตา้ นทจุ ริต เสรมิ พลังการมสี ว่ นร่วมของชมุ ชน (Community) และบูรณา การทกุ ภาคส่วนเพอื่ ต่อต้านการทจุ รติ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) จึงไดม้ ีคำส่ังแตง่ ตงั้ คณะอนุกรรมการจัดทำหลกั สตู รหรือชดุ การเรยี นรแู้ ละส่ือ ประกอบการเรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกันการทุจริตขนึ้ เพื่อศึกษา วิเคราะห์ และรวบรวมข้อมลู กำหนด แนวทางและขอบเขตในการจัดทำหลกั สูตร ยกร่างและจัดทำเนอื้ หาหลกั สตู รหรือชุดการเรยี นรู้และสอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ พจิ ารณาให้ความเห็นเพ่ิมเติม กำหนดแผนหรอื แนวทางการนำหลักสตู รไปใช้ใน หนว่ ยงานที่เก่ยี วข้อง และดำเนนิ การอ่ืนๆ ตามท่ีคณะกรรมการ ป.ป.ช. มอบหมาย คณะอนกุ รรมการจดั ทำหลกั สูตรหรอื ชุดการเรียนรู้และสื่อประกอบการเรียนรู้ ดา้ นการป้องกนั การทจุ รติ ได้ร่วมกันสรา้ งหลักสตู รตา้ นทุจริตศึกษา (Anti-Corruption Education) ประกอบด้วย ๕ หลกั สตู ร ดงั น้ี ๑. หลักสตู รการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน (รายวชิ าเพิ่มเตมิ การปอ้ งกนั การทจุ ริต) ๒. หลักสตู ร อดุ มศึกษา (วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart”) ๓. หลักสตู รตามแนวทางรบั ราชการ กลุ่มทหารและตำรวจ ๔. หลกั สตู รสร้างวทิ ยากรผู้นำการเปลีย่ นแปลงสสู่ งั คมท่ีไม่ทนต่อการทุจริต และ ๕. หลักสูตรโค้ชเพือ่ การรูค้ ิดต้านทจุ รติ หลักสูตรดังกลา่ วได้ผ่านกระบวนการนำไปทดลองใช้ เพื่อ ปรบั ปรุงใหม้ ีประสิทธิภาพ สำหรับการใชใ้ นกลมุ่ เป้าหมายต่อไป นอกจากน้ี คณะอนุกรรมการจัดทำ หลักสตู รหรอื ชุดการเรยี นรู้และส่ือประกอบการเรยี นรู้ ดา้ นการป้องกนั การทุจริตยงั ได้คดั เลอื กส่ือการ เรียนรู้ จากแหล่งต่างๆ ทั้งในประเทศและตา่ งประเทศ เพ่ือประกอบการเรยี นการสอนต่อไป โรงเรียนบา้ นบวั ถนน จงึ จดั ทำหลักสูตรต้านทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) เพอ่ื สรา้ งความรู้ความเขา้ ใจและทักษะให้แก่ผู้เรยี นในเร่ืองการคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกับ ผลประโยชนส์ ่วนรวม ความอายและความไม่ทนต่อการทจุ ริต STRONG : จิตพอเพียงต้านทุจริต และ พลเมอื งกบั ความรับผดิ ชอบต่อสงั คม เพ่ือรว่ มกันป้องกันหรือต่อต้านการทจุ ริต มิให้มีการทุจริตเกิดข้นึ ใน สังคมไทย รว่ มสรา้ งสงั คมไทยท่ไี ม่ทนต่อการทจุ ริตต่อไป โรงเรยี นบา้ นบวั ถนน
ง สารบัญ หน้า ประกาศโรงเรียน……………………………………………………………………………………........................................ก คำนำ……………………………………………………………………………………………………….....................................ข สารบญั ....................................................................................................................... ...............................ค หลกั สูตรตา้ นทจุ รติ ศึกษา…………………………………………………………………………...........….........................๑ รายละเอยี ดของหลักสตู รตา้ นทจุ รติ ศึกษา…………………………………………………….....................................๒ หลกั สูตรการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐาน..………………………………………………………………….......................................๓ ช่อื หลักสูตร..................……………………………………………………………………………………...…........................๓ จุดมงุ่ หมายของรายวชิ า……………………………………………………………………………………...…........................๓ คำอธบิ ายรายวชิ า…………………………………………………………………………………………………........................๔ ผลการเรยี นรู้……………………………………………………………………………………………………….........................๔ โครงสร้างรายวิชา…………………………………………………………………………………….………….........................๔ กจิ กรรมการเรยี นรู้…………………………………………………………………………………………….…........................๖ ส่อื การเรยี นร้แู ละแหลง่ เรียนรู้………………………………………………………………………………..........................๖ การวัดและประเมนิ ผล…………………………………………………………………………………………..........................๖ ตารางช่วั โมงการจดั การเรยี นการสอน…………………………………………………………………….........................๗ แผนการจดั การเรยี นรู้ หนว่ ยท่ี ๑…………………………………………………………………………………………...............................๘ หน่วยที่ ๑-๘…………………………………………………………………………………………..๙-๑๕๐ หน่วยที่ ๒………………………………………………………………………………………….........................๑๕๑ หนว่ ยที่ ๑-๗…………………………………………………………………………………..…๑๕๒-๒๐๒ หนว่ ยท่ี ๓………………………………………………………………………………………….........................๒๐๓ หนว่ ยท่ี ๑-๖………………………………………………………………………………….....๒๐๔-๒๗๑ หนว่ ยท่ี ๔………………………………………………………………………………………….........................๒๗๒ หน่วยที่ ๑-๕.................................................................................................๒๗๓-๓๑๔ ภาคผนวก…………………………………………………………………………………………......................................๓๑๕ เอกสารอา้ งอิง…………………………………………………………………………………………................................๓๑๖ คำสง่ั โรงเรยี น………………………………………………………………………………………….................................๓๑๗
1 หลกั สตู รต้านทุจริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education) ยทุ ธศาสตรช์ าติวา่ ด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต ระยะที่ ๓ (พ.ศ. ๒๕๖๐ -๒๕๖๔) ยทุ ธศาสตร์ ที่ ๑ “สรา้ งสังคมท่ีไม่ทนต่อการทุจรติ ” ไดม้ ุ่งเนน้ ใหค้ วามสำคญั ในกระบวนการปรับสภาพ สังคมให้เกิดภาวะท่ี “ไมท่ นต่อการทุจรติ ” โดยเร่ิมต้งั แต่กระบวนการกล่อมเกลาทางสังคมในทุกระดบั ชว่ งวยั ตง้ั แต่ปฐมวยั เพ่อื สร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทจุ รติ และปลกู ฝงั ความพอเพียง มีวนิ ยั ซ่ือสัตย์ สุจริตยึดประโยชน์สว่ นรวมมากกวา่ ประโยชนส์ ว่ นตน เป็นการดำเนินการผ่านสถาบนั หรือกล่มุ ตัวแทนท่ี ทำหนา้ ที่ในการกล่อมเกลาสงั คมให้มีความเป็นพลเมอื งท่ดี ี มีจติ สาธารณะ เสียสละเพอื่ ส่วนรวมและ เสรมิ สร้างใหท้ กุ ภาคส่วนมีพฤติกรรมที่ไม่ยอมรับและต่อตา้ นการทจุ ริตในทุกรปู แบบและไดก้ ำหนดกล ยทุ ธ์ ๔ กลยุทธ์ กลา่ วคอื กลยทุ ธท์ ี่ ๑ ปรบั ฐานความคดิ ทุกช่วงวยั ตง้ั แตป่ ฐมวยั ให้สามารถแยกระหวา่ ง ผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม กลยุทธ์ที่ ๒ สง่ เสรมิ ใหม้ ีระบบและกระบวนการกล่อมเกลา ทางสงั คมเพ่ือตา้ นทจุ ริต กลยุทธ์ท่ี ๓ ประยกุ ตห์ ลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี งเปน็ เครอื่ งมือตา้ นทุจรติ และกลยุทธท์ ี่ ๔ เสรมิ พลงั การมีส่วนรว่ มของชมุ ชน(Community)และบรู ณาการทุกภาคส่วนเพือ่ ต่อต้าน การทุจริต คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไดม้ ีคาสัง่ ท่ี ๖๔๖/๒๕๖๐ ลงวนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ แตง่ ต้ัง คณะอนกุ รรมการจัดทำหลกั สูตร หรือชุดการเรียนรแู้ ละสื่อประกอบการเรยี นรู้ ด้านการปอ้ งกันการทจุ ริต ซึ่งประกอบดว้ ยผู้ทรงคุณวุฒิหรือผูเ้ ชีย่ วชาญจากหน่วยงานดา้ นการศึกษา และหนว่ ยงานท่เี กยี่ วข้องใน การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอน จากทง้ั ภายในและภายนอกหน่วยงาน รวมท้งั ผู้ทรงคณุ วฒุ ิจาก องค์กรภาคเอกชนเพื่อดำเนนิ การจดั ทำหลกั สตู รหรือชดุ การเรยี นรู้และสอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ ดา้ นการ ปอ้ งกนั การทจุ รติ นำไปใช้ในการเรียนการสอนใหก้ บั นักเรียน นกั ศึกษาในทุกระดับชนั้ เรยี นท้งั ในสว่ นของ การศึกษาต้งั แต่ระดับปฐมวัยอนุบาล ประถมศึกษา มธั ยมศกึ ษา และอุดมศึกษา ท้งั ภาครัฐและเอกชน รวมทั้งอาชวี ศกึ ษาและการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย นอกจากน้ี ยังรวมถึง สถาบันการศึกษาอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น สถาบันการศึกษาในสังกัดสำนกั งานตำรวจแหง่ ชาติ สถาบนั การศึกษาทางทหาร เป็นต้น เพื่อให้ครอบคลุมกลมุ่ เปา้ หมายทเี่ กีย่ วขอ้ งกับการศกึ ษาทงั้ ระบบ รวมท้งั บุคลากรภาครัฐและรฐั วิสาหกิจ รวมท้ังภาคประชาชน เพื่อเปน็ การปลูกฝังจติ สานึกในการ แยกแยะประโยชน์ส่วนตนกบั ประโยชนส์ ่วนรวมจติ พอเพียงต้านทจุ รติ และสร้างพฤติกรรมทไ่ี ม่ยอมรับ และไม่ทนต่อการทจุ ริต เพื่อเป็นการปอ้ งกนั การทจุ ริต โดยเรม่ิ ปลกู ฝงั นกั เรียนต้ังแต่ปฐมวัยจนถงึ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๖ สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน จึงจดั ทำรายวชิ าเพ่ิมเติม “การป้องกนั การทจุ รติ ” ให้สถานศึกษาทุกแหง่ นำไปใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนเพ่ือปลูกฝงั และสร้างวฒั นธรรม ตอ่ ตา้ นการทุจรติ ให้แก่นกั เรียนสรา้ งความตระหนักให้นกั เรียน ยึดถอื ประโยชนส์ ว่ นรวมมากกวา่ ประโยชน์สว่ นตน มจี ิตพอเพียงตา้ นทุจรติ ละอายและเกรงกลัวทีจ่ ะไมท่ ุจรติ และไม่ทนต่อการทุจริตทุก รูปแบบ เพ่ือเป็นการป้องกันการทุจริต โดยเริ่มปลูกฝังนักเรียนตั้งแต่ปฐมวัยจนถึงมัธยมศึกษาปีท่ี ๖ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน จึงจัดทำรายวิชาเพ่ิมเติม “การป้องกันการทุจริต” ให้ สถานศึกษาทุกแห่งนำไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อปลูกฝังและสร้างวัฒนธรรมต่อต้านการทุจริต ให้แก่นักเรียนสร้างความตระหนักให้นักเรียน ยึดถือประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน มีจิต พอเพียงตา้ นทจุ ริต ละอายและเกรงกลัวท่จี ะไม่ทุจริตและไม่ทนต่อการทจุ รติ ทกุ รปู แบบ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน ในฐานะองค์กรรบั ผิดชอบการจดั การศึกษาให้แก่ นกั เรยี น ต้งั แต่ระดบั ปฐมวัย จนถงึ ช้นั มัธยมศกึ ษาปีที่ ๖ จึงไดจ้ ดั ทำรายวชิ าเพิ่มเติม “การป้องกันการ
2 ทจุ รติ ”ประกอบด้วย เน้ือหา ๔ หนว่ ยการเรียนรู้ ได้แก่ ๑) การคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตน และผลประโยชน์ส่วนรวม ๒) ความละอายและความไมท่ นตอ่ การทุจริต ๓) STRONG / จติ พอเพียงต่อต้านการทจุ รติ และ ๔) พลเมืองและความรับผดิ ชอบต่อสงั คม ซงึ่ ทั้ง ๔ หน่วย นี้ จะจัดทำเปน็ แผนการจดั การเรียนรู้ ตง้ั แต่ชนั้ ปฐมวัย จนถงึ ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๖ เพ่ือให้สถานศึกษา ทุกแห่งนำไปใชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน เพ่ือปลกู ฝังและป้องกันการ ทุจริตให้แกน่ ักเรียนทุกระดับ ทง้ั น้ี เปน็ การสร้างพลเมืองทซ่ี ื่อสัตย์สุจริตให้แกป่ ระเทศชาติ ปญั หาคอรบั ชันลดลง และดัชนีภาพลักษณ์ คอรบั ชันของประเทศไทย มีค่าคะแนนสูงขน้ึ บรรลุตามเป้าประสงค์ของยุทธศาสตร์ชาตวิ า่ ดว้ ย การ ป้องกันและปราบปรามการทุจรติ ระยะที่ ๓ (พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๔) โรงเรียนบ้านบวั ถนน หวงั เปน็ อย่างยงิ่ วา่ หลักสูตรตา้ นทจุ ริตศึกษา : Anti-Corruption Education จะสรา้ งความรูค้ วามเข้าใจและทักษะใหแ้ ก่ผูเ้ รียนในเร่ืองการคิดแยกแยะระหวา่ ง ผลประโยชน์สว่ นตน กับผลประโยชนส์ ว่ นรวม ความอายและความไมท่ นต่อการทจุ รติ STRONG : จิต พอเพียงต้านทจุ ริต และพลเมือง กับความรบั ผิดชอบต่อสังคม เพ่ือรว่ มกนั ป้องกนั หรือต่อตา้ นการทจุ รติ มิ ให้มกี ารทจุ รติ เกิดขึ้นในสงั คมไทย ร่วมสรา้ งสงั คมไทยที่ไม่ทนตอ่ การทุจรติ ต่อไป รายละเอยี ดของหลักสูตรตา้ นทจุ ริตศกึ ษา (Anti-Corruption Education) กรอบการจดั ทำหลกั สูตรหรือชดุ การเรียนรูแ้ ละสอ่ื ประกอบการเรียนรู้ ด้านการป้องกันการทจุ รติ โดยทีป่ ระชุม ได้เห็นชอบร่วมกนั ในการจัดทำหลักสูตรหรือชุดการเรียนรูแ้ ละสื่อประกอบการเรียนรู้ ดา้ น การป้องกนั การทจุ ริต หัวข้อวิชา ๔ วชิ า ประกอบดว้ ย ๑) การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์สว่ นตนกับผลประโยชน์สว่ นรวม ๒) ความอายและความไม่ทนตอ่ การทุจริต ๓) STRONG : จิตพอเพียงตา้ นทจุ ริต ๔) พลเมอื งและความรบั ผดิ ชอบตอ่ สงั คม เน้อื หาหลกั สูตรหรือชดุ การเรียนรู้ ดา้ นการป้องกนั การทุจริต โดยได้แบ่งกลมุ่ ตามการเรียนการ สอนในแต่ละชว่ งชนั้ และการฝึกอบรมในแตล่ ะกลมุ่ เป้าหมาย เป็น ๕ กล่มุ ดงั น้ี กลมุ่ ๑ หลกั สตู รการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ระดับปฐมวัย และป.๑-ม.๖) มชี ่ือหลกั สตู รวา่ “รายวิชา เพิ่มเติม การป้องกันการทุจริต กลุ่ม ๒ หลกั สตู รอดุ มศกึ ษา มีช่อื หลกั สตู ร “วัยใส ใจสะอาด “Youngster with good heart” กลมุ่ ๓ หลักสูตรกลุ่มทหารและตำรวจ มีช่ือหลกั สตู ร “หลกั สตู รตามแนวทางรับราชการ กลมุ่ ทหารและตำรวจ” กล่มุ ๔ หลักสตู รวิทยากร มชี อ่ื หลักสตู ร “สร้างวิทยากรผู้นำการเปลี่ยนแปลงส่สู งั คมที่ไม่ทนต่อ การทจุ ริต” กลมุ่ ๕ หลักสตู รโค้ช มชี ื่อหลกั สตู ร “โค้ชเพื่อการรคู้ ิดตา้ นทจุ รติ ” หลักสตู รการศกึ ษาข้นั พื้นฐาน ดำเนินการจัดทำเป็นแผนการจดั การเรยี นร้โู ดยแยกเป็น ๑๓ ระดับชน้ั ปี ได้แก่ ระดับปฐมวัย ระดบั ประถมศึกษาช้นั ปที ี่ ๑ - ๖ และระดบั มธั ยมศึกษาช้ันปที ี่ ๑ - ๖ ใน แต่ละระดับชน้ั ปี จะใชเ้ วลาเรยี นท้ังปี จำนวน ๔๐ ชั่วโมง ต้องจัดทำเนื้อหาและกจิ กรรมการเรียนการ สอนให้แตกต่างกนั ตามความเหมาะสมและการเรยี นร้ใู นแตล่ ะชว่ งวยั
3 หลักสูตรการศึกษาขนั้ พื้นฐาน ชื่อหลักสูตร “รายวชิ าเพ่มิ เติม การป้องกันการทจุ ริต” ตามทีส่ ำนกั งานคณะกรรมการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ ริตแหง่ ชาติ ร่วมกับสำนักงาน คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และหนว่ ยงานท่เี ก่ียวข้อง ดำเนนิ การจัดทำหลักสูตรหรอื ชุดการ เรยี นรูแ้ ละส่ือประกอบการเรียนรู้ ด้านการปอ้ งกนั การทุจริต สำหรับใช้เป็นเน้อื หามาตรฐานกลางให้ สถาบันการศึกษาหรือหนว่ ยงานทเ่ี กยี่ วข้องนำไปใชใ้ นการเรยี นการสอนให้กับกล่มุ เป้าหมายครอบคลุมทุก ระดับชัน้ เรียน เพ่ือปลกู ฝังจิตสำนกึ ในการแยกประโยชนส์ ว่ นบุคคลและประโยชนส์ ว่ นรวม จติ พอเพยี ง การไม่ยอมรบั และไม่ทนต่อการทจุ ริต โดยใช้ช่อื ว่าหลักสตู รต้านทจุ ริตศึกษา (Anti-Corruption Education) หลักสตู รที่ ๑ หลกั สูตรการศึกษาขัน้ พ้ืนฐาน โดยมีแนวทางการนำไปใชต้ ามความเหมาะสม ของแตล่ ะโรงเรยี น ดังน้ี ๑.นำไปจัดเปน็ รายวชิ าเพมิ่ เติมของโรงเรยี น ๒.นำไปจัดในชวั่ โมงลดเวลาเรยี นเพิ่มเวลารู้ ๓.นำไปบรู ณาการกบั การจดั การเรียนการสอนในกลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ วัฒนธรรม (สาระหนา้ ทพี่ ลเมอื ง) หรือนำไปบรู ณาการกับกลมุ่ สาระการเรยี นรอู้ ่ืน ๆ จดุ มุ่งหมายของรายวิชา เพื่อให้นกั เรยี น ๑ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกับผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒ มคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับความละอายและความไม่ทนต่อการทจุ รติ ๓ มีความรู้ ความเข้าใจเก่ียวกับ STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ รติ ๔ มีความรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกับพลเมืองและมีความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม ๕ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนกับผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๖ ปฏิบัตติ นเป็นผลู้ ะอายและไมท่ นต่อการทจุ รติ ทุกรปู แบบ ๗ ปฏิบตั ติ นเปน็ ผู้ท่ี STRONG / จติ พอเพียงตอ่ ต้านการทุจริต ๘ ปฏิบัติตนตามหน้าทพ่ี ลเมอื งและมีความรบั ผิดชอบต่อสังคม คำอธิบายรายวิชา ศึกษาเกย่ี วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ความละอาย และความไมท่ นต่อการทุจรติ STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทจุ ริต รหู้ นา้ ทขี่ องพลเมืองและ รับผดิ ชอบตอ่ สังคมในการตอ่ ต้านการทุจรติ โดยใช้กระบวนการคิด วเิ คราะห์ จำแนก แยกแยะ การฝึกปฏิบัตจิ ริง การทำโครงงาน กระบวนการเรียนรู้ ๕ ขัน้ ตอน (๕ STEPs) การอภิปราย การสบื สอบ การแกป้ ัญหา ทักษะการอ่านและ การเขียน เพื่อให้มคี วามตระหนกั และเหน็ ความสำคัญของการต่อตา้ นและการป้องกนั การทจุ รติ ผลการเรียนรู้ ๑. มีความรู้ ความเขา้ ใจเกยี่ วกับการแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กบั ผลประโยชน์ สว่ นรวม ๒. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ยี วกับความละอายและความไม่ทนต่อการทุจรติ
4 ๓. มคี วามรู้ ความเข้าใจเกย่ี วกับ STRONG / จิตพอเพียงต่อตา้ นการทุจริต ๔. มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกย่ี วกับพลเมืองและมีความรบั ผดิ ชอบต่อสงั คม ๕. สามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตน กับผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๖. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผู้ละอายและไม่ทนต่อการทจุ ริตทุกรปู แบบ ๗. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผู้ท่ี STRONG / จติ พอเพยี งตอ่ ตา้ นการทุจรติ ๘. ปฏบิ ัตติ นตามหนา้ ท่พี ลเมืองและมีความรบั ผิดชอบตอ่ สังคม ๙. ตระหนกั และเห็นความสำคัญของการต่อต้านและป้องกันการทจุ รติ รวมทงั้ หมด ๙ ผลการเรยี นรู้ ระดับมธั ยมศึกษา โครงสร้างรายวชิ า ระดบั มธั ยมศึกษาช้นั ปีที่ ๒ ลำดบั ที่ หนว่ ยการเรยี นรู้ เรื่อง รวมช่วั โมง ๑๒ ๑ การคิดแยกแยะ - การคิดแยกแยะ ระหว่างผลประโยชน์ - ระบบคดิ ฐาน ๒ สว่ นตนและ - ระบบคดิ ฐาน ๑๐ ผลประโยชนส์ ว่ นรวม - ความแตกต่างระหว่าง จรยิ ธรรมและการทจุ ริต (ชุมชน สงั คม)
5 โครงสรา้ งรายวิชา ระดับมัธยมศกึ ษาชนั้ ปีท่ี ๒ ลำดบั หนว่ ยการเรียนรู้ เร่ือง รวมชว่ั โมง ท่ี ๘ - ประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ ส่วนรวม ๒. ความละอายและ (ชุมชน สงั คม) ความไม่ทนตอ่ การ ทจุ รติ - การขัดแย้งกนั ระหว่างประโยชน์สว่ นตน และผลประโยชนส์ ่วนรวม (ชมุ ชน สังคม) - ผลประโยชน์ทบั ซ้อน (ชุมชน สงั คม) - รูปแบบของผลประโยชนท์ บั ซ้อน(ชุมชน สังคม) - การทำการบา้ น/ชน้ิ งาน - รู้หน้าทกี่ ารทำเวร/การทำความสะอาด - การสอบ - การแต่งกาย - การเข้าแถว มารยาทคนดี - การเลอื กตั้ง - เรามารวมกลุ่มเพอื่ สรา้ งสรรคต์ า้ นทุจริต ๓ STRONG / จติ - ความพอเพียง ๑๐ ๑๐ พอเพยี งต่อต้านการ - ความโปร่งใส ๔๐ ทจุ ริต - ความตน่ื รู้ / ความรู้ - ต้านทุจริต - มุง่ ไปขา้ งหนา้ - ความเออื้ อาทร ๔. พลเมืองกับความ - การเคารพสิทธิหน้าทต่ี ่อตนเองและผู้อืน่ รบั ผดิ ชอบต่อสงั คม - ระเบยี บ กฎ กตกิ า กฎหมาย - ความรบั ผิดชอบตอ่ ตนเองและผ้อู ืน่ / สงั คม - ความเปน็ พลเมอื ง - ความเปน็ พลโลก รวม กิจกรรมการเรียนรู้ แนวคิดและแนวการสอน กิจกรรมการเรียนรทู้ ่ใี ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน เน้นการใชท้ ฤษฎกี ารเรียนรู้ การสร้างความรู้ ไดแ้ ก่ ๑) ทฤษฎีคอนสตรัคติวิสต์ (Construction Theory) ๒) ทฤษฎคี อนสตรคั ตวิ สิ ตเ์ ชงิ สังคม (Social
6 Constructivism Theory) ๓) ทฤษฎีคอนสตรัคตวิ ิสต์เชงิ ปัญญา (Cognitive Constructivism) ๔) ทฤษฎีประมวลผลขอ้ มลู (Information Processing Theory) ๕) ทฤษฎพี หุปญั ญา (Theory of Multiple Intelligences) ๖) ทฤษฎีการเรยี นร้แู บบร่วมมือ (Cooperative Learning Theory) ในการ จัดการเรียนการสอน โดยภาพรวมจะใช้กลยุทธก์ ารสอนทเ่ี นน้ ผ้เู รียนเปน็ สำคญั คอื จัดตามความแตกต่าง ของเด็กแต่ละคน ดว้ ยการสอนโดยใชก้ ระบวนการคิดวเิ คราะห์ คดิ สังเคราะห์ การฝึกปฏบิ ตั ิจรงิ การทำ โครงงานสบื สวนสอบสวน กระบวนการเรียนรู้ ๕ ขั้นตอน (๕ STEPs)การอภิปรายการแก้ปัญหาตลอดจน ใชเ้ ทคนิคการสอนทีห่ ลากหลายเหมาะกบั ผเู้ รียนแต่ละวยั สอื่ การเรียนรู้และแหลง่ เรยี นรู้ จดั กิจกรรมดว้ ยสือ่ การเรียนรู้ทเ่ี กย่ี วกับการป้องกันและปราบปรามการทจุ ริต เชน่ วดี ิโอ ขา่ ว VTR นทิ าน การต์ นู ภาพยนตรส์ ้นั เอกสารแก้ทุจริตคิดฐานสอง ส่ือสงิ พิมพ์ต่าง ๆ ใบความรู้ ใบงาน วัสดุ อปุ กรณ์ตา่ ง ตลอดจนแหลง่ เรียนร้ทู ใ่ี ช้คอมพวิ เตอร์ในการสืบคน้ การวดั และประเมนิ ผล ๑ การประเมนิ การเรียนรู้ โดยใชเ้ ครื่องมือประเมนิ การเรยี นรู้ในดา้ น -ความรคู้ วามเขา้ ใจ -การปฏบิ ัติ -คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์ เคร่อื งมือทใี่ ชป้ ระเมนิ -แบบสอบ -แบบประเมินการปฏิบตั งิ าน -แบบสังเกตพฤติกรรมการปฏิบัตงิ าน ๒ การประเมนิ ผล นักเรียนผา่ นการประเมินทุกกิจกรรม รอ้ ยละ ๘๐ ขึ้นไป จงึ จะถือว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมิน ตารางชัว่ โมงการจดั การเรยี นการสอน ประกอบด้วย ๔ หน่วยการเรียนรู้ คือ ๑) การคิดแยกแยะผลประโยชนส์ ่วนตนกับผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒) ความไม่ทนและความอายต่อการทุจรติ ๓) STRONG : จิตพอเพยี งต้านทุจริต และ ๔) พลเมอื งกับ ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม โดยกำหนดช่วั โมงการจดั การเรียนการสอนดังนี้ ที่ หน่วยการเรียนรู้ ปฐมวยั ระดับการศึกษา ม.๑-ม.๓ (ชัว่ โมง) ป.๑-๓ ป.๔-๖ (ชวั่ โมง) ๑ การคิดแยกแยะระหว่าง (ช่ัวโมง) (ชวั่ โมง) ผลประโยชน์สว่ นตนและ ๑๔ ๑๖ ๑๔ ๑๒ ประโยชน์ส่วนรวม ๑๒ ๑๐ ๑๐ ๘ ๒ ความไม่ทนและความอายตอ่ การทุจริต
7 ๓ STRONG : จติ พอเพียงตอ่ ต้าน ๙ ๔ ๖ ๑๐ ๑๐ การทุจรติ ๔๐ ๔ พลเมอื งกบั ความรับผิดชอบต่อ ๕ ๑๐ ๑๐ สงั คม รวม ๔๐ ๔๐ ๔๐ โดยหลกั สูตรรายวิชาเพ่ิมเตมิ การปอ้ งกันการทจุ ริต การศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน กำหนดเปน็ ๑ หลกั สูตร และแยกเปน็ แผนการจัดการเรยี นรู้ ไดแ้ ก่ ระดับปฐมวัย ระดบั ประถมศึกษาชั้นปที ี่ ๑ - ๖ ระดับมธั ยมศึกษาปที ี่ ๑-๓ ท้ังน้ี ในแต่ละระดบั ช้ันปี จะใช้เวลาเรียนทง้ั ปี จำนวน ๔๐ ชวั่ โมง ซึ่งจะมี เน้ือหาและกจิ กรรมการเรยี นการสอนท่ีแตกตา่ งกัน ตามความเหมาะสมและการเรียนร้ใู นแต่ละชว่ งวยั
8 หนว่ ยที่ ๑ การคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตน และผลประโยชนส์ ว่ นรวม
9 แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยท่ี ๑ ชอื่ หน่วยการคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ว่ นรวม ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒ แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี ๑ เรอ่ื ง การคดิ แยกแยะ เวลา ๒ ชั่วโมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ มคี วามรู้ความเข้าใจเก่ยี วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ ส่วนรวม ๑.๒ สามารถคิดแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชน์ส่วนรวมได้ ๑.๓ ตระหนักและเห็นความสำคญั ของการต่อต้านและป้องกนั การทจุ รติ ๒. จุดประสงค์การเรียนรู้ ๒.๑ นกั เรียนมคี วามรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกบั การแยกแยะระหว่างผลประโยชนส์ ว่ นตนและ ผลประโยชน์ สว่ นรวม ๒.๒ นกั เรยี นสามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒.๓ นกั เรยี นตระหนกั และเหน็ ความสำคญั ของการต่อต้านและป้องกันการทจุ ริต ๓. สาระการเรียนรู้ ๓.๑ ความรู้ ๑) สาเหตขุ องการทจุ ริตและทิศทางการป้องกนั การทจุ ริตในประเทศไทย ๒.) ทฤษฎี ความหมาย และรปู แบบของการขดั กันระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและ ประโยชน์ ส่วนรวม (Conflict of interest) ๓) แก้ “ทุจรติ ” ตอ้ งคิดแยกแยะปรับวธิ ีคิด พฤติกรรมเปลีย่ น สงั คมเปล่ยี น ประเทศชาติ เปลยี่ น โลกเปลี่ยน ๔) การคดิ แยกแยะผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์ส่วนรวม ๓.๒ ทักษะ / กระบวนการ (สมรรถนะท่เี กดิ ) ๑) ความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ ๑).ทกั ษะการสังเกต ๒).แยกแยะ ๒) ความสามารถในการสอ่ื สาร (ฟงั พดู เขียน อ่าน) ๓) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (วเิ คราะห์ จดั กลมุ่ สรุป) ๓.๑ คุณลกั ษณะทพี่ ึงประสงค์ / ค่านิยม ๑) มคี วามรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ๒) ซ่ือสตั ย์ เสยี สละ อดทน มีอดุ มการณ์ในส่งิ ท่ดี ีงามเพ่ือส่วนรวม ๔. กิจกรรมการเรียนรู้ ๔.๑ ขั้นตอนการเรยี นรู้ ชว่ั โมงที่ ๑ ๑) ครูนำขา่ ว อวสานแผงค้ารมิ ทางหลวง ล่ัน ภายใน ๒ ปี รอื้ เกล้ยี ง มาใหน้ ักเรยี นอ่าน
10 จากนนั้ ครใู หน้ ักเรยี นจบั คู่สนทนาทไี่ ด้อา่ นขา่ วว่าเกิดอะไรในข่าว เพราะเหตุ ถ้านกั เรยี นเป็นแมค่ า้ รมิ ทาง จะคดิ อยา่ งไรกบั เหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น ๒) ครูนำภาพแม่ค้าทขี่ ายของริมทาง มาใหน้ กั เรียนดทู ่ีหน้าช้ันเรียนแลว้ ให้นักเรยี นช่วยกนั คิด จำแนกแยกแยะ เกี่ยวกับ ประโยชนเ์ พอ่ื ส่วนตนหรือเห็นต่อประโยชน์สว่ นรวม ๓) ครูอธบิ ายถึงความหมายของคำว่า การแยกแยะถงึ ประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์สว่ นรวม โดยนำตัวอยา่ งรปู ภาพ “จากแมค่ า้ รมิ ทาง”มาพูดอธบิ ายให้ชดั เจน ๔) แบง่ นกั เรียนออกเปน็ ๔ กลุ่ม ครูแจกใบความรทู้ ่ี ๑-๔ ให้นักเรยี นศกึ ษาโดยกลุ่มท่ี ๑ ศกึ ษาใบความรู้ท่ี ๑ กลมุ่ ท่ี ๒ ศกึ ษาใบความร้ทู ี่ ๒ กลมุ่ ที่ ๓ ศกึ ษาใบความรทู้ ่ี ๓ กลุ่มที่ ๔ ศกึ ษาใบ ความร้ทู ี่ ๓ ๕) นักเรียนแต่ละกล่มุ ชว่ ยกนั ระดมความคิด แยกแยะจากใบความรู้ แล้วเขียนเป็นแผนผงั ความคิดสง่ ครูตรวจ ชัว่ โมงท่ี ๒ ๖) นักเรียนแต่ละกลุ่มสง่ ตวั แทน ออกมานำเสนองานพรอ้ มทงั้ นำผลงานไปจดั ป้ายนเิ ทศ ๗) ครใู หข้ ้อเสนอแนะกับนักเรียน ในเรอ่ื ง การคิดแยกแยะ ระหว่างประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์ ส่วนรวม ๘) ให้นักเรียนศึกษาความรเู้ รอ่ื ง ความเสือ่ มโทรมของชมุ ชนท่เี กิดจากการเหน็ ประโยชน์เพอ่ื สว่ นตนหรอื เห็นต่อประโยชน์สว่ นรวม และผลกระทบจาก ความเสือ่ มโทรมการเหน็ ประโยชนเ์ พือ่ สว่ น ตนหรอื เหน็ ต่อประโยชนส์ ว่ นรวม จากหนงั สือเรียน ขา่ ว วดี ที ศั น์ ๙) ให้นกั เรียนรว่ มกันแสดงความคิดเห็น เกี่ยวกับสาเหตทุ ่จี ะต้องแก้ “ทุจรติ ” ต้องคิดแยกแยะ ปรบั และผลท่ีเกิดขึ้นจากการเปลีย่ นแปลงการขดั กันระหว่างประโยชน์สว่ นตนกบั ประโยชนส์ ว่ นรวมใน รปู แบบตา่ งๆ ๔.๒ สื่อการเรียนรู้ / แหล่งการเรยี นรู้ ๑) ข่าว อวสานแผงคา้ ริมทางหลวง ลนั่ ภายใน ๒ ปี ร้อื เกลีย้ ง ในเว็บไซต์ ๒) หนงั สือเรยี น/หนงั สอื พมิ พ์ ฯลฯ อะไรบอกช่อื ๓) รปู ภาพแมค่ า้ ขายของริมทาง ๔) วดี โี อ/คลปิ วดี โี อ ฯลฯ (แก้ทจุ ริตคดิ ฐาน ๒) ๕) แหล่งเรียนรใู้ นโรงเรียน ชมุ ชน /สถานการณ์ทีพ่ บได้ในชุมชน ๖) ห้องสมดุ โรงเรียน ๗) ห้องเทคโนโลยใี นโรงเรยี น ๘) ใบความรู้ เรือ่ ง การแยกคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนกบั ผลประโยชนส์ ว่ นรวม ๕. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ ๕.๑ วิธีการประเมิน ๑) ประเมินการนำเสนอผลงาน ๒) ประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ๕.๒ เครอื่ งมอื ทีใ่ ช้ในการประเมนิ ๑) แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ๒)แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๕.๓ เกณฑ์การตัดสิน
11 นักเรียนผ่านเกณฑ์การประเมนิ ระดับดขี ้ึนไป ถือว่าผ่าน ๖. บันทกึ หลังการจัดการเรยี นรู้ ................................................................................................................................................... ......... ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................... ......................................................... ลงชอ่ื ........................................ครูผสู้ อน (..................................................) ๗. ความคดิ เห็นผู้บรหิ าร ............................................................................................................................. ......................................... .......................................................................................... ........................................................ ลงชอ่ื .....................................ผ้บู ริหาร (นายจรญั วารินทร์) ผู้อำนวยการโรงเรยี นบา้ นบวั ถนน ๘. ภาคผนวก ๑) ใบความรูท้ ่ี ๑ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ๒) ใบความรทู้ ี่ ๒ ทฤษฎี ความหมาย และรูปแบบของการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนกับ ประโยชน์สว่ นรวม ๓) ใบความรูท้ ี่ ๓ แก้ “ทุจรติ ”ต้องคดิ แยกแยะปรบั วิธีคิด พฤติกรรมเปลีย่ นสงั คมเปลีย่ น ประเทศชาตเิ ปลยี่ น โลกเปล่ยี น ๔) ใบความรู้ ๔ ตวั อย่างการขัดกันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนกบั ประโยชนส์ ว่ นรวมในรปู แบบ ตา่ งๆ ๕) ใบความรูท้ ่ี ๕ กฎหมายทเ่ี กยี่ วข้องกับการป้องกนั การขัดกนั ระหว่างประโยชน์สว่ นตนกับ ประโยชนส์ ว่ นรวม
12 ใบความร้ทู ี่ ๑ การคดิ แยกแยะระหวา่ งผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม ๑ สาเหตุของการทุจรติ และทิศทางการป้องกนั การทุจรติ ในประเทศไทย การทจุ รติ เปน็ หน่ึงในประเดน็ ทท่ี วั่ โลกแสดงความกังวล อนั เนื่องมาจากเป็นปญั หาท่มี ีความ ซบั ซอ้ น ยากตอ่ การจดั การและเกีย่ วข้องกับทกุ ภาคสว่ น เปน็ ที่ยอมรับกันว่าการทุจริตนัน้ มคี วามเป็น สากล เพราะมีการ ทุจริตเกิดขึน้ ในทกุ ประเทศ ไมว่ ่าจะเป็นประเทศที่พฒั นาแลว้ หรือประเทศท่ีกำลงั พฒั นา การทจุ ริตเกิดข้ึนท้ังในภาครฐั และภาคเอกชน หรือแม้กระทัง่ ในองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไรหรอื องค์กรเพ่ือการกุศล ในปัจจบุ ันการกล่าวหาและการฟ้องร้องคดี การทุจริตยังมีบทบาทสำคัญในดา้ น การเมืองมากกวา่ ชว่ งทีผ่ ่านมา รัฐบาลในหลายประเทศมผี ลการปฏบิ ัติงานท่ีไม่โปรง่ ใสเท่าท่ีควร องคก์ ร ระดับโลก หลายองคก์ รเสอ่ื มเสียช่ือเสียง เนอื่ งมาจาก เหตุผลด้านความโปรง่ ใส สอื่ มวลชนท่ัวท้งั โลกตา่ ง เฝา้ รอท่จี ะได้นำเสนอข่าวอ้ือฉาวและการประพฤติผดิ จริยธรรม ดา้ นการทุจริต โดยเฉพาะบุคคลซึ่งดำรง ตำแหนง่ ระดบั สูงต่างถูกเฝ้าจับจ้องวา่ จะถูกสอบสวนเมือ่ ใด อาจกลา่ ว ได้ว่าการทจุ ริตเป็นหน่ึงในปญั หา ใหญท่ ีจ่ ะขัดขวางการพฒั นาประเทศให้เป็นรฐั สมัยใหม่ ซึง่ ต่างเป็นที่ทราบกัน ดวี า่ การทุจริตควรเปน็ ประเด็นแรก ๆ ทค่ี วรใหค้ วามสำคัญในวาระของการพัฒนาประเทศของทุกประเทศ เห็นไดช้ ัดวา่ การทุจรติ สง่ ผลกระทบอยา่ งมากกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ใน ประเทศทีก่ ำลงั พัฒนา เชน่ เดียวกันกับกลมุ่ ประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟกิ ก็มคี วามกงั วลในปัญหาการ ทจุ ริตดว้ ยเชน่ เดียวกัน โดยเห็นพ้องต้องกันว่าการทุจริตเป็นปญั หาใหญ่ท่ีกำลังขัดขวางการพฒั นา เศรษฐกจิ การเมอื ง และ สังคม ให้ก้าวไปสู่รัฐสมยั ใหม่ และควรเป็นปญั หาท่ีควรจะต้องรีบแก้ไขโดยเร็ว ที่สุด การทจุ รติ นนั้ อาจเกิดข้นึ ได้ในประเทศทม่ี สี ถานการณ์ ดงั ตอ่ ไปน้ี ๑) มีกฎหมาย ระเบยี บ หรือข้อกำหนด จำนวนมากที่เกีย่ วข้องกบั การดำเนินการทางธุรกิจ ซงึ่ จะ เป็นโอกาสทจ่ี ะทำให้เกิดเศรษฐผล หรอื มูลคา่ เพิม่ หรือกำไรสว่ นเกนิ ทางเศรษฐกิจ และโดยเฉพาะอย่าง ยิง่ หากมาตรการหรอื ขอ้ กำหนดดังกลา่ วมีความซบั ซ้อน คลุมเครือ เลอื กปฏบิ ัติ เป็นความลบั หรอื ไม่ โปรง่ ใส ๒) เจ้าหน้าทผ่ี ู้มีอำนาจมสี ิทธิ์ขาดในการใชด้ ลุ ยพนิ จิ ซงึ่ ให้ อิสระในการเลอื กปฏบิ ตั ิเปน็ อยา่ ง มากว่าจะเลือกใช้อำนาจใด กับใครก็ได้ ๓) ไม่มีกลไกท่ีมปี ระสิทธภิ าพหรอื องค์กรท่ีมีหน้าทค่ี วบคุมดูแลและจัดการต่อการกระทำใด ๆ ของเจ้าหน้าท่ที มี่ ีอำนาจโดยเฉพาะอย่างยงิ่ ประเทศที่ กำลังพัฒนา การทจุ รติ มแี นวโนม้ ทจ่ี ะเกิดข้ึนได้ อย่างมาก โดยไม่ใช่เพยี ง เพราะวา่ ลกั ษณะประชากรนนั้ แตกตา่ ง จากภมู ภิ าคอน่ื ท่ีพฒั นาแล้ว หากแตเ่ ปน็ เพราะกลมุ่ ประเทศทก่ี ำลังพัฒนานัน้ มปี จั จัยภายในตา่ งๆท่ีเอ้อื หรือสนบั สนนุ ต่อการเกดิ การทจุ ริต อาทิ ๑) แรงขับเคลื่อนท่ีอยากมีรายได้ เป็นจำนวนมากอนั เปน็ ผลเนอ่ื งมาจาก ความจน ค่าแรงใน อัตราทต่ี ่ำ หรือมสี ภาวะความเส่ยี งสงู ในดา้ นต่าง ๆ เช่น ความเจ็บป่วย อบุ ัติเหตุ หรือการว่างงาน ๒) มสี ถานการณ์หรอื โอกาสท่อี าจกอ่ ใหเ้ กดิ การทุจรติ ไดเ้ ป็นจำนวนมาก และมีกฎระเบยี บตา่ งๆ ทอ่ี าจนำไปสู่ การทุจริต ๓) การออกกฎหมายและกระบวนการยตุ ธิ รรมทไ่ี มเ่ ข้มแข็ง ๔) กฎหมายและประมวลจริยธรรม ไม่ไดร้ บั การพัฒนาให้ทันสมยั ๕) ประชากรในประเทศยงั คงจำเปน็ ตอ้ งพง่ึ พาทรัพยากรธรรมชาตอิ ยูเ่ ป็นจำนวนมาก
13 ๖) ความไม่มเี สถยี รภาพทางการเมือง และเจตจำนงทางการเมอื งทไ่ี ม่เข้มแข็ง ปจั จยั ตา่ ง ๆ ดงั กล่าว จะนำไปสู่ การทจุ รติ ไมว่ า่ จะเปน็ ทจุ ริตระดับบนหรือระดบั ลา่ งกต็ าม ซ่ึงผลทต่ี ามมาอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั เจนมีด้วยกนั หลายประการ เชน่ การทุจรติ ทำให้ภาพลกั ษณข์ องประเทศดา้ นความโปรง่ ใสน้นั เลวร้ายลง การลงทุนในประเทศโดยเฉพาะอย่างยง่ิ จากนักลงทุนต่างชาตลิ ดนอ้ ยลง สง่ ผลกระทบทำให้ การเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ลดน้อยลงไปดว้ ย เชน่ กนั หรอื การทุจรติ ทำใหเ้ กดิ ช่องวา่ งของความไมเ่ ท่าเทียมท่ี กว้างขน้ึ ของประชากรในประเทศหรืออกี นัยหนง่ึ คือระดับความจนน้นั เพิม่ สูงขึน้ ในขณะท่กี ลุ่มคนรวย กระจุกตัวอย่เู พียงกล่มุ เล็ก ๆ กลุ่มเดยี ว นอกจากน้ี การทจุ ริต ยงั ทำให้การสรา้ งและปรบั ปรุง สาธารณปู โภคตา่ ง ๆ ของประเทศน้ันลดลงท้ังในด้านปรมิ าณและคุณภาพ รวมท้ังยงั อาจนำ พาประเทศไปสวู่ กิ ฤติทางการเงินทีร่ า้ ยแรงไดอ้ ีกดว้ ย การเปล่ียนแปลงวธิ คี ดิ (Paradigm Shift) จงึ เปน็ เรอื่ งสำคัญอย่างมาก ต่อการดำเนินงานดา้ น การ ตอ่ ตา้ นการทจุ รติ ตามค าปราศรยั ของประธานท่ไี ด้กล่าวตอ่ ที่ประชมุ องคก์ ารสหประชาชาติ ณ นคร นิวยอรก์ สหรัฐอเมริกา เมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๕๘ วา่ “การทจุ ริตเปน็ หนึง่ ในความทา้ ทายที่มคี วามสำคัญมากใน ศตวรรษที่ ๒๑ ผ้นู ำโลกควรจะเพิ่มความพยายามข้ึนเป็นสองเทา่ ท่ีจะสรา้ งเคร่ืองมือท่ีมีความเข้มแข็งเพ่ือ รอ้ื ระบบการทุจรติ ท่ี ซ่อนอยู่ออกให้หมดและนำทรัพย์สินกลบั คนื ให้กับประเทศ ตน้ ทางท่ีถูกขโมยไป…” ท้ังนีไ้ ม่เพียงแต่ผู้นำโลก เทา่ น้ันที่ตอ้ งจริงจังมากขึน้ กบั การต่อต้านการทจุ ริตเราทุกคนในฐานะประชากร โลกกม็ คี วามจำเปน็ ทจี่ ะต้องเอา จริงเอาจังกับการตอ่ ตา้ นการทุจริตเชน่ เดียวกัน โดยท่วั ไปอาจมองวา่ เป็น เร่ืองไกลตัว แต่แท้ที่จรงิ แลว้ การ ทจุ รติ น้ันเปน็ เรื่องใกล้ตัวทุกคนในสังคมมากการเปลี่ยนแปลงระบบ วธิ กี ารคิดเปน็ เรื่องสำคัญ หรือความสามารถ ในการการแยกแยะระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนออกจาก ประโยชน์ส่วนรวม เปน็ สิ่ง จำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้นกบั ทุกคนในสงั คม ต้องมคี วามตระหนักไดว้ ่าการกระทำ ใดเป็นการล่วงล้ำสาธารณประโยชน์ การกระทำใดเป็นการกระทำท่ีอาจเกิดการทับซ้อนระหวา่ ง ผลประโยชน์สว่ นตน และประโยชน์ส่วนรวม ต้องคำนงึ ถงึ ประโยชนข์ อง ประเทศชาติเป็นอนั ดบั แรก ก่อนทจ่ี ะคำนึงถึงผลประโยชนส์ ว่ นตนหรอื พวกพ้อง การทุจริตในสังคมไทยระหวา่ งช่วงกวา่ ทศวรรษทผี่ ่านมาสง่ ผลเสียต่อประเทศอย่างมหาศาลและ เปน็ อุปสรรคสำคญั ต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ รปู แบบการทจุ ริตจากเดิมท่ีเป็นการทุจริตทางตรงไม่ ซับซอ้ น อาทิ การรับสนิ บน การจดั ซอ้ื จดั จา้ ง ในปัจจบุ นั ได้ปรับเปลย่ี นเป็นการทจุ ริตที่ซับซอ้ นมากขึน้ ตัวอย่างเชน่ การทจุ ริตโดยการทำลายระบบการตรวจสอบการใชอ้ ำนาจรฐั การกระทำท่ีเป็น การขัดกัน แห่งผลประโยชน์ หรือผลประโยชน์ทับซอ้ น และการทจุ รติ เชงิ นโยบาย สำหรับประเทศไทยไดก้ ำหนดทิศทางการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริตซึง่ มีความสอดคล้อง กับ สถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกจิ สังคม วฒั นธรรม และความรนุ แรง รวมถึงการสร้างความ ตระหนกั ในการประพฤติปฏิบตั ติ นดว้ ยความซอ่ื สัตย์สจุ รติ ของคนในสังคม ท้ังน้ี สำนักงาน ป.ป.ช. ใน ฐานะองค์กรหลักด้าน การดำเนนิ งานปอ้ งกันและปราบปรามการทุจรติ รวมทั้งบูรณาการการทำงานด้าน การตอ่ ต้านการทจุ รติ เขา้ กบั ทุกภาคสว่ น ดังนน้ั สาระสำคัญทม่ี คี วามเชื่อมโยงกบั ทิศทางการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต ที่สำนักงาน ป.ป.ช. มดี งั น้ี ๑. รฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ ๒. วาระการปฏิรูปท่ี ๑ การป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ และประพฤตมิ ิชอบของสภา ปฏริ ูปแห่งชาติ ๓. ยุทธศาสตรช์ าติระยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) ๔. แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๖๐ – ๒๕๖๔)
14 ๕. โมเดลประเทศไทยสคู่ วามมนั่ คง มงั่ ค่ัง และยั่งยืน (Thailand ๔.๐) ๖. ยุทธศาสตร์ชาตวิ า่ ด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตระยะท่ี ๓ (พ.ศ.๒๕๖๐– ๒๕๖๔) รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ กำหนดในหมวดที่ ๔ หนา้ ทขี่ องประชาชน ชาวไทยว่า“...บคุ คลมีหนา้ ที่ ไม่รว่ มมอื หรือสนับสนุนการทุจริต และประพฤติมิชอบทุกรูปแบบ” ถือได้ว่า เปน็ ครัง้ แรกที่รฐั ธรรมนูญได้กำหนดให้การป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ เป็นหนา้ ทข่ี องประชาชนชาว ไทยทุกคน นอกจากนี้ ยงั กำหนดชัดเจนในหมวดที่ ๕ หนา้ ทข่ี องรัฐวา่ “รฐั ต้องสง่ เสริม สนบั สนุน และให้ ความร้แู กป่ ระชาชนถงึ อันตรายทเี่ กดิ จากการทุจรติ และประพฤติมิชอบทงั้ ภาครฐั และภาคเอกชนและจัด ให้มมี าตรการและ กลไกทม่ี ีประสทิ ธภิ าพเพื่อป้องกนั และขจดั การทจุ รติ และประพฤติมิชอบดงั กล่าว อย่างเข้มงวด รวมทงั้ กลไกใน การส่งเสรมิ ใหป้ ระชาชนรวมตวั กนั เพือ่ มีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ความรู้ ต่อต้านการทจุ ริต หรอื ชเ้ี บาะแส โดย ได้รบั ความคุม้ ครองจากรัฐตามที่กฎหมายบัญญตั ิ ” การบรหิ าร ราชการแผ่นดนิ รัฐตอ้ งเสรมิ สรา้ งให้ประชาชน ได้รับบริการท่สี ะดวก มีประสิทธิภาพทีส่ ำคัญ คอื ไมเ่ ลือก ปฏิบัติตามหลกั การบรหิ ารกิจการบา้ นเมืองทด่ี ี ซงึ่ การบริหารงานบุคคลของหน่วยงานของรฐั ต้องเปน็ ไป ตามระบบคณุ ธรรมตามท่กี ฎหมายบัญญตั ิ โดยอย่างนอ้ ย ต้องมีมาตรการป้องกันมิให้ผใู้ ดใชอ้ ำนาจหรอื กระทำการโดยมชิ อบแทรกแซงการปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ี หรือกระบวนการแต่งตั้ง หรือการพจิ ารณาความดี ความชอบของเจ้าหน้าท่ีของรัฐ และรฐั ตอ้ งจัดให้มีมาตรฐานทางจริยธรรม เพื่อใหห้ นว่ ยงานใช้เป็นหลกั ใน การกำหนดประมวลจรยิ ธรรมสำหรบั เจ้าหนา้ ท่ใี นหน่วยงาน ซ่งึ ต้องไม่ต่ำกว่า มาตรฐานทางจรยิ ธรรม ดังกลา่ ว การทีร่ ฐั ธรรมนญู ได้ให้ความสำคัญต่อการบริหารราชการท่มี ีประสิทธภิ าพและการบรหิ ารบคุ คล ที่มคี ณุ ธรรมน้นั สืบเนื่องมาจากช่วงระยะเวลาทผี่ า่ นมาได้เกิดปญั หาทีเ่ กย่ี วข้องกบั การบริหารบุคคล มกี าร โยกย้ายแตง่ ต้ังท่ีไม่เปน็ ธรรม บงั คบั หรือช้ีนำให้ข้าราชการหรอื เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐปฏิบัติงานโดยไมย่ ึด ม่นั ในหลักผลประโยชนแ์ ห่งรัฐ รวมถึงการมงุ่ เนน้ การแสวงหาผลประโยชนใ์ หก้ บั ตนเองรวมถึงพวกพ้อง รัฐธรรมนญู แห่งราชอาณาจักรไทย พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ จงึ ไดม้ ีความพยายามท่ีจะแสดงให้เห็นอย่าง ชัดเจนว่าตอ้ งการสรา้ ง ประสิทธภิ าพในระบบการบริหารงานราชการแผน่ ดินและเจา้ หน้าท่ีของรฐั ตอ้ ง ยดึ ม่ันในหลักธรรมาภิบาลและมีคุณธรรมจริยธรรมตามที่กำหนดเอาไว้ วาระการปฏิรูปที่ ๑ การป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ และประพฤติมชิ อบของสภาปฏิรปู แหง่ ชาตสิ ภาปฏริ ปู แห่งชาตใิ นฐานะองคก์ รท่ีมีบทบาทและอำนาจหนา้ ทใ่ี นการปฏิรูปกลไก และ ปฏบิ ัตงิ านด้านการบริหารราชการแผน่ ดิน ได้มีขอ้ เสนอเพ่ือปฏิรูปดา้ นการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตและประพฤตมิ ิชอบ เพื่อแก้ไขปัญหาดงั กลา่ วให้เปน็ ระบบ มปี ระสิทธิภาพ ยงั่ ยนื เปน็ รูปธรรม ปฏิบัตไิ ด้ สอดคล้องกับ มาตรฐานสากลและบริบทของสงั คมไทย โดยเสนอให้มยี ทุ ธศาสตร์ การแก้ไข ปญั หา ๓ ยทุ ธศาสตร์ ประกอบด้วย (๑) ยุทธศาสตร์การปลกู ฝัง “คนไทย ไมโ่ กง ”เพื่อปฏิรปู คนให้มีจติ สำนึก สร้างจติ สำนึกท่ตี วั บุคคลรบั ผดิ ชอบชว่ั ดอี ะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ มองว่าการทจุ รติ เปน็ เร่อื งน่ารงั เกยี จเปน็ การเอาเปรยี บ สงั คมและสังคมไมย่ อมรับ (๒) ยทุ ธศาสตร์การปอ้ งกนั ด้วยการเสรมิ สรา้ งสังคมธรรมาภิบาล เพ่อื เป็นระบบปอ้ งกันการทจุ รติ เสมอื นการสรา้ งระบบภมู ติ ้านทานแก่ทุกภาคส่วนในสงั คม (๓) ยุทธศาสตรก์ ารปราบปราม เพื่อปฏิรูประบบ และกระบวนการจัดการต่อกรณกี ารทจุ ริตใหม้ ี ประสิทธภิ าพ ใหส้ ามารถเอาตัวผกู้ ระทำความผิดมาลงโทษได้ ซง่ึ จะทำาใหเ้ กิดความเกรงกลวั ไมก่ ลา้ ทจ่ี ะ กระทำการทจุ รติ ข้ึนอีกในอนาคต
15 ยทุ ธศาสตร์ชาตริ ะยะ ๒๐ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๐ - ๒๕๗๙) สภาขับเคล่อื นการปฏริ ูปประเทศได้ กำหนดให้กฎหมายวา่ ด้วยยุทธศาสตรช์ าติมผี ลบงั คบั ภายในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ หรอื ภายในรฐั บาลน้ี และ กำหนดให้หน่วยงาน ของรัฐทุกหนว่ ยงานนำยุทธศาสตร์ชาติ ยุทธศาสตรด์ ้านต่างๆ แผนพฒั นาด้านต่างๆ มาเป็นแผนแมบ่ ทหลกั ใน การกำหนดแผนปฏิบัตกิ ารและแผนงบประมาณ ยุทธศาสตรช์ าตดิ งั กล่าวเปน็ ยทุ ธศาสตร์ทย่ี ดึ วัตถุประสงค์ หลักแหง่ ชาตเิ ป็นแม่บทหลกั ทศิ ทางดา้ นการป้องกันและปราบปรามการ ทจุ รติ การสร้างความโปรง่ ใสและ ธรรมาภิบาลในการบริหารราชการแผ่นดนิ ของหน่วยงานภาครัฐทุก หน่วยงานจะถูกกำหนดจากยุทธศาสตรช์ าติ สภาขบั เคลอ่ื นการปฏริ ูปแห่งชาติ วางกรอบยุทธศาสตร์ชาติ ในระยะ ๒๐ ปี โดยมีกรอบ วิสยั ทัศน์ “ประเทศไทยมคี วามม่นั คง ม่ังคง่ั ยงั่ ยืน เปน็ ประเทศพฒั นาแลว้ ด้วยการพฒั นาตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง”คตพิ จนป์ ระจำชาตวิ ่า“ม่นั คงม่งั ค่ังย่ังยนื ”ประกอบดว้ ย๖ยุทธศาสตร์ คอื ยุทธศาสตรท์ ี่ ๑ ความมัน่ คง ยทุ ธศาสตร์ที่ ๒ การสรา้ งความสามารถในการแขง่ ขัน ยทุ ธศาสตรท์ ่ี ๓ การพฒั นาและเสรมิ สร้างศกั ยภาพคน ยุทธศาสตรท์ ่ี ๔ การสร้างโอกาสความเสมอภาคและ เทา่ เทยี มกนั ทางสงั คม ยทุ ธศาสตร์ที่ ๕ การ สรา้ งการเตบิ โตบนคุณภาพชีวิตท่ีเป็นมติ รตอ่ สิง่ แวดล้อม และยทุ ธศาสตรท์ ี่ ๖ การปรบั สมดุลและพฒั นา การ บรหิ ารจดั การภาครฐั ในยุทธศาสตร์ท่ี ๖ ได้ กำหนดกรอบแนวทางทีส่ ำคัญ ๖ แนวทาง ประกอบด้วย (๑) การปรบั ปรงุ การบรหิ ารจัดการรายได้และรายจ่ายของภาครัฐ (๒) การพัฒนาระบบ การให้บริการประชาชนของ หนว่ ยงานภาครฐั (๓) การปรบั ปรงุ บทบาท ภารกิจ และโครงสรา้ งของหน่วยงานภาครัฐใหม้ ขี นาดท่ีเหมาะสม (๔) การวางระบบบริหารงานราชการแบบบรู ณาการ (๕) การพฒั นาระบบบริหารจัดการกำลงั คนและพัฒนา บคุ ลากรภาครฐั ในการปฏิบตั ิราชการ (๖) การต่อตา้ นการทุจริตและประพฤตมิ ิชอบ (๗) การปรบั ปรุงแก้ไข กฎหมาย ระเบียบ และข้อบงั คบั ให้มคี วามชัดเจน ทนั สมัย เป็นธรรม และ สอดคลอ้ งกับข้อบงั คบั สากลหรือ ขอ้ ตกลงระหวา่ งประเทศ ตลอดจนพฒั นาหน่วยงานภาครัฐและ บคุ ลากรทมี่ หี น้าทเ่ี สนอความเหน็ ทางกฎหมาย ให้มีศกั ยภาพ แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ฉบับท่ี ๑๒ (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๖๔) กำหนดใน ยทุ ธศาสตร์ท่ี ๖การบริหารจัดการภาครัฐ การป้องกนั การทุจริตและประพฤติมชิ อบและธรรมาภบิ าลใน สังคมไทย ในยุทธศาสตร์น้ี ได้กำหนดกรอบ แนวทางการการป้องกนั และปราบปรามการทจุ ริตและคอร์ รปั ชนั มุ่งเน้นการสง่ เสรมิ และพัฒนาปลูกฝงั ค่านยิ ม วัฒนธรรม วธิ ีคดิ และกระบวนทัศน์ใหค้ นมคี วาม ตระหนกั มีความร้เู ทา่ ทันและมีภมู ติ ้านทานต่อโอกาสและการชกั จงู ให้เกดิ การทุจรติ คอรร์ ัปชันและมี พฤติกรรมไม่ยอมรบั การทจุ ริตประพฤติมชิ อบ รวมทง้ั สนับสนุนทกุ ภาคส่วน ในสังคมไดเ้ ข้ามามสี ่วนร่วม ในการป้องกันและปราบรามการทุจริต และมงุ่ เน้นให้เกดิ การสง่ เสริมธรรมาภิบาลในภาคเอกชน เพื่อเป็น การตัดวงจรการทุจรติ ระหว่างนักการเมือง ข้าราชการ และนกั ธรุ กจิ ออกจากกนั ทงั้ น้ี การบรหิ ารงาน ของสว่ นราชการต้องมีความโปรง่ ใสและตรวจสอบได้ โมเดลประเทศไทยสูค่ วามมั่นคงมั่งคัง่ และยั่งยนื (Thailand ๔.๐)เปน็ โมเดลที่น้อมนำหลัก ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวคิดหลกั ในการบริหารประเทศถอดรหัสออกมาเปน็ ๒ยุทธศาสตร์ สำคัญ คือ
16 (๑) การสรา้ งความเขม้ แข็งจากภายใน (StrengthfromWithin)และ (๒) การเช่อื มโยงกบั ประชาคมโลกในยุทธศาสตร์ การสร้างความเขม้ แขง็ จากภายใน Thailand ๔.๐ เน้นการปรับเปลี่ยน ๔ ทศิ ทางและเนน้ การ พฒั นาที่สมดลุ ใน ๔ มิติ มิติท่ีหยิบยก คือ การยกระดบั ศักยภาพและคุณค่าของ มนุษย์ (Human Wisdom) ด้วยการพัฒนาคนไทยใหเ้ ป็น “มนุษย์ที่สมบรู ณ”์ ผา่ นการปรบั เปล่ียน ระบบนิเวศน์ การเรยี นรู้เพือ่ เสริมสร้าง แรงบันดาลใจบม่ เพาะความคิดสรา้ งสรรค์ ปลูกฝังจิตสาธารณะ ยึดประโยชน์ส่วนรวมเป็นท่ีตั้งมคี วามซื่อสตั ย์ สุจรติ มวี ินัย มีคุณธรรมจรยิ ธรรม มีความรับผิดชอบ เนน้ การสร้างคณุ คา่ ร่วม และค่านิยมทด่ี ี คือ สงั คมท่ีมีความหวงั (Hope) สังคมที่เป่ยี มสุข (Happiness) และ สงั คมทีม่ ีความสมานฉนั ท์ (Harmony) ยุทธศาสตรช์ าติว่าดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ ระยะท่ี ๓ (พ.ศ.๒๕๖๐-๒๕๖๔) ท่ี กำหนดวิสยั ทัศน์“ประเทศไทยใสสะอาดไทยทัง้ ชาติต้านทุจรติ ”(ZeroTolerance& Clean Thailand) กำหนดยุทธศาสตร์หลกั ออกเปน็ ๖ยุทธศาสตรค์ ือยุทธศาสตรท์ ่ี๑สรา้ งสงั คมท่ีไม่ทนตอ่ การทจุ รติ เปน็ ยุทธศาสตร์ทีม่ งุ่ เน้นการกระบวนการปรับสภาพทางสังคมให้เกดิ ภาวะ“ไม่ทนต่อการทุจริต”โดยเรมิ่ ตัง้ แต่ กระบวนการกล่อมเกลาทางสงั คมสร้างวัฒนธรรมตอ่ ต้านการทจุ รติ ปลูกฝงั ความพอเพยี ง มวี ินยั ซ่ือสตั ย์ สุจรติ มีจติ สาธารณะ จติ อาสา และความเสยี สละเพื่อส่วนรวมปลกู ฝงั ความคิดแบบดจิ ทิ ลั (DigitalThinking) ใหส้ ามารถคดิ แยกแยะระหวา่ งประโยชน์สว่ นตัวและประโยชนส์ ว่ นรวม และประยุกต์ หลักปรัชญา ของเศรษฐกจิ พอเพียงเป็นเคร่ืองมือตา้ นทุจริตสาระสำคัญทั้ง ๖ ด้านดงั กล่าวจะเปน็ เคร่อื งมอื ช้นี ำทิศทางการปฏบิ ัตงิ านและการบูรณาการดา้ นต่อต้านการทจุ ริตของประเทศโดยมีสำนกั งาน ป.ป.ช. เปน็ องค์กรหลักในการบูรณาการงานของภาคสว่ นต่าง ๆ เขา้ ดว้ ยกนั และเพ่ือให้เปน็ ไปในทิศทาง เดียวกนั
17 ใบความรทู้ ่ี ๒ ๒.ทฤษฎี ความหมาย และรูปแบบของการขัดกันระหว่างประโยชนส์ ่วนตนกับประโยชน์สว่ นรวม (Conflict of interest) คำวา่ Conflict of Interest มผี ใู้ หค้ ำแปลเปน็ ภาษาไทยไว้หลากหลายเชน่ “การขัดกนั แห่ง ผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชน์สว่ นรวม”หรือ“การขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์ สว่ นรวม”หรอื “การขัดกนั ระหว่างผลประโยชนส์ าธารณะและผลประโยชน์สว่ นตน”หรอื “ประโยชน์ทบั ซ้อน”หรือ“ผลประโยชนท์ ับซ้อน”หรอื “ผลประโยชน์ขดั กนั ”หรอื บางท่านแปลวา่ “ผลประโยชนข์ ดั แยง้ ” หรอื “ความขัดแย้ง ทางผลประโยชน์” การขัดกนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกบั ประโยชนส์ ่วนรวม หรอื ทีเ่ รียกวา่ Conflict of Interest นั้นก็ มลี ักษณะทำนองเดียวกันกบั กฎศลี ธรรม ขนบธรรมเนียมจารีตประเพณี หลกั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม กลา่ วคือ การกระทำใด ๆ ที่เปน็ การขัดกนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชนส์ ว่ นรวม เป็นส่ิงท่ีควร หลกี เลย่ี งไม่ควรจะ กระทำ แตบ่ ุคคล แตล่ ะคน แต่ละกลมุ่ แตล่ ะสงั คม อาจเหน็ วา่ เรือ่ งใดเปน็ การขดั กนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตน กบั ประโยชนส์ ว่ นรวมแตกต่างกันไป หรือเมื่อเห็นวา่ เป็นการขัดกนั แลว้ ยงั อาจมี ระดบั ของความหนักเบา แตกตา่ งกนั อาจเห็นแตกต่างกนั ว่าเร่อื งใดกระทำได้กระทำไม่ได้แตกต่างกัน ออกไปอกี และในกรณีที่มีการฝ่าฝนื บางเร่ืองบางคนอาจเหน็ ว่าไมเ่ ป็นไร เปน็ เรื่องเลก็ น้อย หรอื อาจเห็น เป็นเรอื่ งใหญ่ ต้องถกู ประณาม ตำหนิ ตฉิ ิน นนิ ทา วา่ กล่าว ฯลฯ แตกต่างกนั ตามสภาพของสังคม โดยพืน้ ฐานแล้ว เรอ่ื งการขัดกนั ระหวา่ งประโยชน์ ส่วนบุคคลและประโยชนส์ ว่ นรวม เปน็ กฎ ศลี ธรรม ประเภทหน่ึงที่บุคคลไม่พึงละเมดิ หรือฝ่าฝืน แตเ่ นอื่ งจากมกี ารฝ่าฝืนกันมากข้ึน และบคุ คล ผูฝ้ ่าฝืนก็ไมม่ ีความเกรงกลัวหรือละอายตอ่ การฝา่ ฝืนน้นั สงั คมก็ไม่ลงโทษหรือลงโทษไม่เพียงพอที่จะมผี ล เป็นการหา้ มการกระทำดงั กล่าว และในท่สี ดุ เพ่อื หยุดย้งั เรื่องดงั กลา่ วน้ี จงึ มกี ารตรากฎหมายทีเ่ กย่ี วข้อง กบั การขัดกนั แหง่ ผลประโยชน์ มากข้ึน ๆ และเป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจมากขึ้นตามลำดบั ๒.๒.๑ ความสัมพนั ธ์ระหว่าง“การขดั กันระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับประโยชนส์ ว่ นรวม ” “จริยธรรม” และ “การทุจรติ การขัดกนั ระหว่างประโยชน์ส่วนตนกบั ประโยชนส์ ่วนรวม หมายถึง การท่ีเจา้ หน้าท่ขี องรัฐ กระทำการใดๆตามอำนาจหน้าที่เพ่ือประโยชนส์ ่วนรวมแต่กลับเขา้ ไปมีส่วนไดเ้ สียกับกิจกรรมหรอื การ ดำเนินการ ท่เี ออื้ ผลประโยชนใ์ หก้ ับตนเองหรือพวกพ้อง ทำใหก้ ารใช้อำนาจหนา้ ท่ีเปน็ ไปโดยไม่สุจริต กอ่ ให้เกดิ ผลเสยี ตอ่ ภาครฐั จริยธรรมเป็นกรอบใหญท่ างสงั คมท่เี ป็นพน้ื ฐานของแนวคดิ เก่ียวกบั การขดั กัน ระหว่างประโยชน์สว่ นตนกับ ประโยชนส์ ว่ นรวมและการทุจรติ การกระทำใดทผ่ี ดิ ต่อกฎหมายการขัดกัน ระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชนส์ ว่ นรวมและการทจุ รติ ยอ่ มเป็นความผิดตอ่ จริยธรรมด้วยแต่ ตรงกนั ข้ามการกระทำใดท่ีฝา่ ฝืน จรยิ ธรรมอาจไมเ่ ป็นความผดิ เกย่ี วกับการขดั กนั ระหว่างประโยชน์สว่ น ตนกบั ประโยชนส์ ว่ นรวมและการทจุ ริต เช่น การมีพฤติกรรมส่วนตวั ท่ีไมเ่ หมาะสม การมีพฤติกรรมชู้สาว เปน็ ตน้ ๒.๒.๒ รปู แบบของการขดั กนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชนส์ ่วนรวม การขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์สว่ นรวมมไี ดห้ ลายรูปแบบไม่จำกดั อยเู่ ฉพาะใน รปู แบบของตัวเงิน หรอื ทรัพย์สนิ เท่านน้ั แต่รวมถึงผลประโยชน์อน่ื ๆ ที่ไม่ได้อยู่ในรปู แบบของตัวเงนิ หรือ ทรพั ย์สินดว้ ย ทง้ั น้ี John Langford และ Kenneth Kernaghan ได้จำแนกรปู แบบของ การขดั กนั ระหว่างประโยชนส์ ่วนตนและประโยชนส์ ่วนรวม ออกเป็น ๗ รูปแบบ คอื ๑) การรบั ผลประโยชน์ตา่ ง ๆ (Accepting Benefits) เชน่ การรบั ของขวัญจาก
18 บรษิ ัทธุรกิจ บรษิ ทั ขายยาหรืออุปกรณ์การแพทยส์ นับสนุนคา่ เดินทางให้ผ้บู รหิ ารและเจ้าหนา้ ที่ไปประชุม เรอื่ งอาหาร และยาทต่ี า่ งประเทศ หรอื หนว่ ยงานราชการรับเงินบรจิ าคสร้างสำนักงานจากธุรกจิ ท่เี ป็น ลกู คา้ ของหน่วยงาน หรือแม้กระท่งั ในการใช้งบประมาณของรฐั เพ่อื จัดซื้อจดั จา้ งแลว้ เจา้ หน้าท่ีได้รบั ของ แถม หรอื ประโยชน์อน่ื ตอบแทน เปน็ ตน้ ๒) การทำธุรกิจกับตนเอง (Self - Dealing) หรอื เป็นคสู่ ัญญา (Contracts) หมายถึง สถานการณ์ทีผ่ ู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะ มสี ่วนได้เสยี ในสัญญาท่ที ำกบั หน่วยงานทีต่ นสงั กัด ตัวอยา่ งเชน่ การใช้ ตำแหน่งหน้าที่ทำใหห้ นว่ ยงานทำสัญญา ซอ้ื สนิ คา้ จากบรษิ ัทของตนเอง หรอื จ้างบริษัทของตน เปน็ ทีป่ รึกษา หรือซ้ือท่ีดนิ ของตนเองในการจดั สร้างสำนักงาน สถานการณเ์ ชน่ นเี้ กิดบทบาททีข่ ัดแย้ง เช่น เป็นท้ังผู้ซอ้ื และผขู้ ายในเวลาเดยี วกนั ๓) การทำงานหลงั จากออกจากตำแหนง่ หน้าที่สาธารณะหรือหลงั เกษียณ (Post - Employment) หมายถงึ การท่บี คุ คลลาออกจากหน่วยงานของรัฐ และไปทำงานในบริษัทเอกชนท่ี ดำเนนิ ธรุ กิจประเภทเดยี วกนั เช่น ผบู้ ริหารหรอื เจา้ หนา้ ที่ขององค์การอาหารและยา ลาออกจากงาน ราชการและไปทำงานในบริษัทผลติ หรอื ขายยา หรือผบู้ รหิ ารกระทรวงคมนาคมหลังเกษียณออกไป ทำงานเปน็ ผบู้ รหิ ารของบริษัทธุรกจิ สอ่ื สาร ๔) การทำงานพิเศษ (Outside Employment or Moonlighting) ในรูปแบบน้มี ีได้ หลายลกั ษณะ เชน่ ผูด้ ำรงตำแหน่งสาธารณะตงั้ บริษัทดำเนนิ ธุรกจิ ทีเ่ ป็นการแขง่ ขันกบั หนว่ ยงานหรือ องค์การสาธารณะท่ตี นสงั กัด หรือการรับจ้างเป็นทป่ี รึกษาโครงการ โดยอาศัยตำแหน่งในราชการสร้าง ความนา่ เชื่อถือว่าโครงการของผวู้ ่าจ้างจะไม่มปี ญั หาตดิ ขัดในการพจิ ารณาจากหนว่ ยงานทท่ี ่ปี รกึ ษาสงั กดั อยู่ หรือในกรณีท่ี เปน็ ผู้ตรวจสอบบญั ชีของกรมสรรพากร กร็ บั งานพเิ ศษเป็นทปี่ รึกษาหรอื เปน็ ผู้ทำบัญชี ให้กบั บริษัทท่ีต้องถูกตรวจสอบ ๕) การรูข้ ้อมูลภายใน (Inside Information) หมายถงึ สถานการณ์ท่ีผู้ดำรงตำแหน่ง สาธารณะใช้ประโยชน์จากการรู้ขอ้ มลู ภายในเพือ่ ประโยชน์ของตนเอง เช่น ทราบวา่ มีการตัดถนนผา่ น บรเิ วณใด กจ็ ะเข้าไปซอื้ ที่ดินนน้ั ในนามของภรรยา หรือทราบว่าจะมกี ารซือ้ ขายท่ีดนิ เพื่อทำโครงการของ รฐั ก็จะเขา้ ไปซื้อทด่ี ินน้ันเพ่ือเก็งกำไรและขายให้กับรฐั ในราคาที่สูงข้นึ ๖) การใช้ทรัพย์สนิ ของราชการเพื่อประโยชนธ์ รุ กิจส่วนตัว (Using your Employer’s Property for Private Advantage)เชน่ การนำเครื่องใช้สำนกั งานตา่ งๆ กลับไปใช้ท่ีบ้าน การนำรถยนต์ ราชการไปใชใ้ นงานส่วนตวั ๗) การนำโครงการสาธารณะลงในเขตเลือกตัง้ เพื่อประโยชนท์ างการเมือง(Pork -Barreling)เช่น การท่รี ฐั มนตรีอนุมตั โิ ครงการไปลงพื้นทีห่ รือบา้ นเกิดของตนเอง หรือการใช้งบประมาณ สาธารณะเพ่ือหาเสยี ง เมอื่ พจิ ารณา “รา่ งพระราชบัญญตั วิ ่าด้วยความผดิ เกยี่ วกบั การขัดกนั ระหวา่ งประโยชน์ ส่วนตนกับประโยชนส์ ว่ นรวม พ.ศ. ....” ทำให้มรี ปู แบบเพิ่มเติมจาก ทีก่ ลา่ วมาแลว้ ข้างตน้ อกี ๒ กรณี คอื ๘) การใช้ตำแหนง่ หนา้ ทีแ่ สวงหาประโยชนแ์ กเ่ ครือญาตหิ รือพวกพ้อง (Nepotism) หรืออาจจะเรียกวา่ ระบบอุปถัมภ์พเิ ศษ เช่น การทีเ่ จ้าหนา้ ท่ีของรัฐ ใชอ้ ิทธิพลหรอื ใช้อำนาจหน้าทที่ ำให้ หน่วยงานของตนเข้าทำสญั ญากับบริษทั ของพ่ีน้องของตน ๙) การใช้อทิ ธิพลเขา้ ไปมีผลตอ่ การตัดสินใจของเจ้าหน้าทรี่ ฐั หรอื หนว่ ยงานของรัฐอ่นื (Influence) เพื่อใหเ้ กดิ ประโยชนแ์ กต่ นเองหรือพวกพ้อง เช่น เจา้ หน้าทข่ี องรัฐใชต้ ำแหน่งหน้าทีข่ ม่ ขผู่ ู้ ใต้บังคับ บัญชาใหห้ ยุดทำการตรวจสอบบริษัทของเครอื ญาติของตน
19 ดังนั้น จึงสามารถสรปุ รปู แบบของการกระทำทเี่ ข้าข่ายเปน็ การขดั กนั ระหว่างประโยชนส์ ่วนตน กับ ประโยชน์สว่ นรวม (Conflict of Interest) เป็น ๙ รูปแบบ ดังน้ี การรบั ผลประโยชนต์ า่ งๆ (Accepting benefits) การทำธรุ กิจกับตนเอง (Self – dealing) หรือเปน็ คสู่ ัญญา (Contracts) การทำงานหลงั จากออกจากตำแหน่งหนา้ ท่ีสาธารณะ หรือหลังเกษยี ณ (Post – employment) การทำงานพเิ ศษ (Outside employment or moonlighting) การรูข้ ้อมลู ภายใน (Inside information) การใชท้ รัพยส์ ินของราชการเพือ่ ประโยชนธ์ รุ กจิ ส่วนตวั (Using your employer’s property for private advantage) การนำโครงการสาธารณะลงในเขตเลอื กตั้งเพ่ือประโยชนท์ างการเมือง (Pork - barreling) การใชต้ ำแหน่งหน้าที่แสวงหาประโยชนแ์ กเ่ ครือญาติหรือพวกพ้อง (Nepotism) การใช้อิทธิพลเขา้ ไปมผี ลต่อการตดั สนิ ใจของเจ้าหนา้ ท่ีรฐั หรอื หน่วยงานของรัฐอน่ื (influence)
20 ใบความร้ทู ่ี ๓ ๓ แก้ “ทจุ ริต”ต้องคิดแยกแยะปรบั วิธคี ดิ พฤติกรรมเปลีย่ นสงั คมเปล่ียนประเทศชาตเิ ปลี่ยน โลกเปลย่ี น คดิ ได้ คดิ เปน็ คิดดี คิดแบบไหนไม่ทุจริต การที่ประโยชน์สว่ นตนขดั กบั ประโยชนส์ ่วนรวมทำให้ประโยชน์สว่ นรวมต้องตกไปเปน็ ประโยชนส์ ว่ นตน ซึ่งเป็นสาเหตุมาจากการท่มี ี ระบบการคิด ทีไ่ มถ่ ูกต้อง - ไม่สามารถแยกประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ส่วนรวมได้ - ไมแ่ ยกเรอ่ื งตำแหน่งหน้าท่ีกับเร่อื งส่วนตนออกจากกนั จึงใชร้ ะบบเลขฐานสบิ (Analog) และระบบเลขฐานสอง (Digital)มาใช้แยกแยะการแก้“ทจุ ริต” ทำไม เรามาเขา้ ใจและมาคดิ แบบระบบเลขกันเถอะ Analog Thinking ระบบเลข “ฐานสิบ ” (decimal number system) หมายถึง ระบบ เลขท่ีมตี ัวเลข ๑๐ ตัว คือ ๐ , ๑ , ๒ , ๓ , ๔ , ๕ , ๖ , ๗ , ๘ , ๙ เป็นระบบคดิ เลขที่เราใชใ้ นชวี ติ ประจำวนั กันมาต้ังแต่จำความ กันได้ ไม่ Analogวา่ จะเปน็ การใช้บอกปริมาณหรือบอกขนาด ชว่ ยใหเ้ กิดความเขา้ ใจท่ี ตรงกันในการสื่อ ความหมายสอดคล้องกบั ระบบ “Analog” ทใ่ี ชค้ า่ Thinking ตอ่ เน่ืองหรือสัญญาณซ่ึงเปน็ คา่ ตอ่ เนื่อง หรือแทนความหมายของข้อมูล โดยการใช้ฟังกช์ ่ันทต่ี ่อเน่ืองหรือ Continuous Digital Thinking ระบบเลข “ฐานสอง ” (binary number system) หมายถึง ระบบเลขท่ีมีสญั ลักษณเ์ พยี งสอง ตวั คือ ๐ (ศูนย)์ กับ (หนึง่ ) Digital Thinking สอดคลอ้ งกับการทำงานระบบ Digital ทม่ี ีลักษณะการ ทำงานภายในเพยี ง ๒ จังหวะ คือ ๐ กบั ๑ หรอื ON กับ OFF ตดั เดด็ ขาด หรอื Discret เม่ือนำระบบเลข “ฐานสบิ Analog” และ ระบบเลข “ฐานสอง Digital”มาปรับใชเ้ ป็นแนวคิด คือระบบคดิ “ฐานสบิ Analog” และ ระบบคดิ “ฐานสอง Digital” จะเหน็ ไดว้ ่า...ระบบคดิ “ฐานสิบ Analog ” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูลท่มี ีตัวเลขหลายตัว และอาจหมายถึง โอกาสทจี่ ะเลอื กได้ หลายทาง เกดิ ความคิดท่ีหลากหลาย ซับซ้อนหากนำมาเปรียบเทยี บกบั การปฏิบตั งิ านของ เจ้าหน้าท่ี ของรัฐ จะทำใหเ้ จ้าหนา้ ที่ของรฐั ต้องคดิ เยอะ ต้องใชด้ ุลยพินิจเยอะ อาจจะนำประโยชน์ส่วนตนและ ประโยชน์สว่ นรวมมาปะปนกันได้ แยกประโยชน์ส่วนตนและประโยชน์สว่ นรวมออกจากกันไม่ได้ ระบบคิด “ฐานสอง Digital” เป็นระบบการคดิ วิเคราะห์ขอ้ มูลทส่ี ามารถเลือกไดเ้ พยี ง ๒ทาง เทา่ นัน้ คือ ๐ (ศูนย์) กบั ๑ (หน่งึ ) และอาจหมายถึงโอกาสทจี่ ะเลอื กได้เพยี ง ๒ ทาง เช่น ใช่ กบั ไมใ่ ช่, เทจ็ กับ จริง, ทำได้ กบั ทำไม่ได้, ประโยชนส์ ่วนตนกับประโยชนส์ ่วนรวม เปน็ ตน้ จึงเหมาะกบั การนำมา เปรยี บเทียบกับการปฏิบัตงิ านของเจา้ หน้าท่ีของรฐั ที่ต้องสามารถแยกเรือ่ งตำแหนง่ หนา้ ที่กบั เร่อื งสว่ นตวั ออกจากกันได้อย่าง เด็ดขาด และไม่กระทำการท่เี ป็นการขัดกนั ระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนและประโยชน์ สว่ นรวม ระบบความคิดแยกแยะใหไ้ ด้เร่อื งการขดั กันระหวา่ งประโยชนส์ ่วนบคุ คลกับประโยชน์ส่วนรวม ระบบคดิ
21 สังคมโลกสมัยก่อน ยคุ Analog - ยอมรับกบั คำพูดท่วี า่ ทุจรติ บา้ งไมเ่ ปน็ ไร ถา้ เราได้ประโยชน์ - ไมส่ ามารถแยกประโยชน์สว่ นตนออกจากประโยชนส์ ว่ นรวมได้ - ประโยชน์ทับซอ้ น/สนิ บน/ทจุ รติ คอรร์ ับชั่น - ระบบอปุ ถมั ภ์ นำความสัมพนั ธ์สว่ นตัวมาใช้อยา่ งไม่ถูกต้อง สงั คมโลกสมยั ใหม่ ยุค Digital - ไม่ยอมรับกับคำพูดท่ีวา่ ทุจรติ บา้ งไมเ่ ปน็ ไร ถ้าเราไดป้ ระโยชน์ - แยกประโยชนส์ ว่ นตนออกจากประโยชน์สว่ นรวมได้ - เหน็ ประโยชนส์ าธารณมาก่อนประโยชน์ส่วนตน ตัวอยา่ ง ระบบคดิ ฐานสิบ & ระบบคิดฐานสอง ระบบคิดฐานสบิ ระบบคดิ ฐานสอง เอาวัสดุครภุ ณั ฑห์ ลวงไปใชท้ ี่บา้ น ไม่รบั ของขวัญจากผู้มาติดติอราชการ เอารถยนต์หลวงมาใชใ้ นธุระส่วนตัว ไมใ่ ช้รถหลวงในเร่ืองสว่ นตวั เอาโทรศัพทห์ ลวงมาโทรติดต่อธรุ ะสว่ นตวั ไม่ใช้โทรศัพท์หลวงโทรธรุ ะส่วนตัว เอาอุปกรณ์ไฟฟ้าสว่ นตัวมาชาร์จท่บี ้าน ไม่นำอุปกรณ์ไฟฟา้ ส่วนตวั มาชาร์จที่ทำงาน ใช้นำประปาหลวงมาล้างรถส่วนตวั ไม่นำวัสดคุ รภุ ัณฑ์หลวงไปใช้ที่บ้าน คดิ ใหไ้ ด้ คิดใหด้ ี คิดใหเ้ ป็น คดิ ได้ ๑. คดิ ก่อนทำ (กอ่ นกระทำการทจุ ริต) ๒. คิดถึงผลเสียผลกระทบต่อประเทศชาติ (ความเสียหายทเ่ี กิดข้นึ กบั ประเทศในทุกๆ ดา้ น) ๓. คิดถงึ ผู้ไดร้ บั บทลงโทษจากการกระทำการทจุ ริต (เอามาเป็นบทเรยี น) ๔. คดิ ถงึ ผลเสยี ผลกระทบท่จี ะเกิดข้นึ กบั ตนเอง (จะต้องอยู่กับความเสี่ยงที่จะถูกรอ้ งเรียน ถูก ลงโทษไลอ่ อก และติดคุก) ๕. คดิ ถึงคนรอบข้าง (เสือ่ มเสียต่อครอบครวั และวงศ์ตระกลู ) คิดดี ๑. คิดแบบพอเพียงไม่เบียดเบยี นตนเอง ไมเ่ บียดเบียนผู้อืน่ และไม่เบยี ดเบียนประเทศชาติ ๒. คดิ อยา่ งรับผิดชอบตามบทบาทหนา้ ท่ี กฎระเบยี บ ๓. คดิ ตามคณุ ธรรมวา่ “ทำดไี ด้ดี ทำชว่ั ได้ชวั่ ”
22 คิดเป็น ๑. คิดแยกเรื่องประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์สว่ นรวมออกจากกัน อยา่ งชดั เจน ๒. คดิ แยกเรื่องตำแหนง่ หนา้ ที่ กบั เรื่องส่วนตวั ออกจากกนั ๓. คิดทจี่ ะไม่นำประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชนส์ ่วนรวมมาปะปนกนั มาก้าวก่ายกนั ๔. คิดท่จี ะไมเ่ อาประโยชน์ส่วนรวมมาเปน็ ประโยชนส์ ่วนตน ๕. คิดท่จี ะไม่เอาผลประโยชน์ส่วนรวมมาตอบแทนบุญคุณสว่ นตน ๖. คดิ เห็นแกป่ ระโยชน์สว่ นรวมมากกวา่ ประโยชน์สว่ นตน เครอื ญาติ และพวกพ้อง
23 ใบความรู้ ๔ ๔. ตวั อยา่ งการขดั กนั ระหวา่ งประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวมในรปู แบบต่างๆ ๑. การรบั ผลประโยชนต์ า่ ง ๆ ๑.๑ นายสจุ ริต ขา้ ราชการช้นั ผู้ใหญ่ ไดเ้ ดินทางไปปฏบิ ตั ริ าชการในพ้ืนที่จังหวดั บุรีรัมย์ ซ่งึ ในวนั ดังกล่าว นายรวย นายก อบต. ไดม้ อบงาช้างจำนวนหนึ่งคูใ่ หแ้ ก่ นายสจุ ริต เพื่อเป็นของทร่ี ะลึก นาย สุจรติ ได้ มอบงานช้างดงั กล่าวใหห้ นว่ ยงานตน้ สังกัด ตรวจสอบมลู ค่าพรอ้ มทัง้ ดำเนนิ การใหถ้ ูกต้องตาม ระเบยี บและกฎหมาย แต่ต่อมา นายสจุ ริต พจิ ารณาแลว้ เหน็ ว่า ไมส่ มควรรบั งาช้างดังกลา่ วไว้ จงึ เรง่ ให้ หน่วยงานต้นสงั กดั คนื งาช้างใหแ้ กน่ ายรวย ตามพระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทจุ ริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๓ ประกอบประกาศคณะกรรมการ ป.ป.ช. เรอื่ ง หลักเกณฑก์ ารรบั ทรัพยส์ ินหรอื ประโยชน์อน่ื ใดโดยธรรมจรรยาของ เจ้าหนา้ ที่ของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๓ ข้อ ๗ ประกอบขอ้ ๕ (๒) ได้กำหนด ว่า เจา้ หน้าทีข่ องรฐั ผ้ใู ดไดร้ ับทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อื่นใดจากบุคคลอนื่ ที่มใิ ช่ญาติซง่ึ มีมูลคา่ เกนิ กวา่ สามพันบาท แลว้ ประสงคจ์ ะรับทรพั ย์สนิ นน้ั ไว้เปน็ สทิ ธขิ องตน จะตอ้ งแจง้ รายละเอียดข้อเทจ็ จริง เก่ียวกบั การรบั ทรัพย์สินนั้นต่อผบู้ ังคับบญั ชาหรือผ้มู ีอำนาจแตง่ ตง้ั ถอดถอนหรือคณะกรรมการ ป.ป.ช. หรือประธานสภาผแู้ ทนราษฎร หรือประธาน วุฒสิ ภา หรอื ประธานสภาท้องถิน่ แล้วแต่กรณี ในทันทที ่ี สามารถกระทำได้ เพื่อใหว้ นิ จิ ฉยั วา่ มเี หตุผลความจำเป็น ความเหมาะสม และสมควรทจ่ี ะใหเ้ จา้ หน้าที่ ของรฐั ผนู้ น้ั รับทรพั ย์สินนัน้ ไวเ้ ปน็ สทิ ธขิ องตนหรอื ไม่ เมอื่ ข้อเทจ็ จรงิ ในเรือ่ งนี้ปรากฏวา่ เม่ือนายสจุ รติ ขา้ ราชการชัน้ ผ้ใู หญ่ ได้รับงาช้างแล้ว ได้สง่ ให้ หนว่ ยงานตน้ สังกดั ตรวจสอบมูลค่าพร้อมทงั้ ดำเนนิ การใหถ้ ูกต้องตามระเบยี บและกฎหมาย แตต่ ่อมา นายสุจรติ พจิ ารณาเห็นว่า ไม่สมควรรบั งาช้างดงั กลา่ วไว้ จึงส่งคืนใหน้ ายรวยไป โดยใช้ระยะเวลาในการ ตรวจสอบ ระเบียบแนวทางปฏิบัตแิ ละข้อมลู ท่ีเกยี่ วขอ้ งเพื่อความรอบคอบ และสง่ คืนงาชา้ ง แก่นายรวย ภายใน ๓ วนั จากข้อเทจ็ จริง จึงฟงั ได้วา่ นายสจุ รติ มิได้มเี จตนาหรอื มคี วามประสงค์ทจ่ี ะรับงาชา้ งน้ันไว้ เป็นสทิ ธิของตน แต่อย่างใด ๑.๒ การทีเ่ จา้ หนา้ ที่ของรัฐรบั ของขวญั จากผบู้ ริหารของบริษทั เอกชน เพื่อช่วยให้บรษิ ทั เอกชน รายน้ัน ชนะการประมลู รับงานโครงการขนาดใหญข่ องรัฐ ๑.๓ การทบ่ี ริษทั แห่งหนึ่งให้ของขวญั เปน็ ทองคำมูลคา่ มากกว่า ๑๐ บาท แก่เจ้าหนา้ ทใี่ นปที ่ี ผา่ นมา และปนี ้เี จ้าหน้าทเี่ ร่งรัดคนื ภาษีให้กบั บริษทั นนั้ เป็นกรณีพิเศษ โดยลดั ควิ ให้ก่อนบรษิ ทั อืน่ ๆ เพราะคาดว่าจะไดร้ ับของขวญั อกี ๑.๔ การทเ่ี จา้ หน้าท่ขี องรัฐไปเปน็ คณะกรรมการของบริษทั เอกชน หรอื รัฐวสิ าหกิจและได้รับ ความบันเทิงในรูปแบบต่าง ๆ จากบริษัทเหล่านั้น ซ่ึงมผี ลต่อ การให้คำวินจิ ฉัยหรอื ข้อเสนอแนะท่ีเป็น ธรรมหรือเป็นไปในลักษณะท่เี อือ้ ประโยชน์ ตอ่ บริษทั ผ้ใู หน้ ้ัน ๆ ๑.๕ เจ้าหน้าทขี่ องรฐั ไดร้ ับชุดไมก้ อล์ฟจากผ้บู ริหารของบริษัทเอกชน เมื่อตอ้ งทำงานท่ี เกีย่ วขอ้ งกับ บรษิ ัทเอกชนแห่งน้นั กช็ ่วยเหลือให้บรษิ ทั น้ันได้รับสมั ปทาน เนือ่ งจากรู้สึกว่าควรตอบ แทนที่เคยได้รบั ของขวัญมา ๒. การทำธุรกิจกบั ตนเองหรือเปน็ คูส่ ญั ญา ๒.๑ นติ ิกร ฝ่ายกฎหมายและเร่งรัดภาษีอากรค้าง สำนกั งานสรรพากรจงั หวัดในสว่ นภมู ิภาคหา รายไดพ้ เิ ศษโดยการเป็นตัวแทนขายประกันชวี ติ ของบรษิ ทั เอกชน ได้อาศัยโอกาสท่ีตนปฏิบัตหิ นา้ ท่ี เรง่ รดั ภาษอี ากรคา้ งผปู้ ระกอบการรายหนึ่งหาประโยชน์ใหแ้ ก่ตนเองด้วยการขายประกนั ชีวิตให้แก่
24 หนุ้ สว่ นผจู้ ัดการของผู้ประกอบการดังกลา่ ว รวมทงั้ พนักงานของผู้ประกอบการนนั้ อกี หลายคน ในขณะที่ ตนกำลังดำเนนิ การเรง่ รดั ภาษอี ากรค้าง พฤติการณ์ของเจ้าหนา้ ท่ดี งั กลา่ วเป็นการอาศยั ตำแหนง่ หน้าท่ี ราชการของตนหาประโยชนใ์ ห้แก่ ตนเอง เป็นความผดิ วนิ ัยอย่างไมร่ า้ ยแรง ตามมาตรา ๘๓ (๓) ประกอบ มาตรา ๘๔ แหง่ พระราชบัญญตั ิระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒.๒ การทเี่ จ้าหนา้ ท่ีในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างทำสัญญาให้หน่วยงานต้นสงั กัดซื้อ คอมพิวเตอร์ สำนักงานจากบริษทั ของครอบครวั ตนเอง หรือบริษัททตี่ นเองมหี ้นุ ส่วนอยู่ ๒.๓ ผ้บู รหิ ารหนว่ ยงานทำสญั ญาเชา่ รถไปสัมมนาและดงู านกบั บริษัท ซ่งึ เป็นของเจ้าหนา้ ท่หี รือ บริษทั ทผ่ี บู้ ริหารมหี นุ้ ส่วนอยู่ ๒.๔ การทผ่ี ู้ตรวจสอบบญั ชภี าครัฐรับงานพิเศษเป็นท่ีปรกึ ษา หรือเป็นผทู้ ำบัญชใี หก้ ับบริษทั ที่ ตอ้ งถูกตรวจสอบ ๒.๕ ภรรยาอดตี นายกรัฐมนตรี ประมูลซื้อทดี่ นิ ย่านถนนรัชดาภิเษกใกล้กบั ศูนยว์ ฒั นธรรมแหง่ ประเทศไทย จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟแู ละพฒั นาระบบสถาบนั การเงินในการกำดแู ลของธนาคารแห่ง ประเทศไทย กระทรวงการคลัง โดยอดตี นายกรัฐมนตรี ซ่ึงในขณะนน้ั ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ฐานะเจ้าพนักงาน มีหน้าท่ีดูแลกิจการของกองทนุ ฯ ไดล้ งนามยนิ ยอมในฐานะคู่สมรสให้ภรรยาประมลู ซือ้ ทดี่ ินและทำสญั ญาซ้ือขายท่ีดนิ ส่งผลให้เปน็ คสู่ ัญญาหรือมีสว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในสญั ญาซื้อทีด่ ินโฉนดแปลง ดงั กล่าว อันเป็นการขัดกนั ระหวา่ งประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชนส์ ่วนรวม เป็นการฝา่ ฝืนตอ่ กฎหมาย มี ความผดิ ตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐๐ (๑) ๓. การทำงานหลงั จากออกจากตำแหน่งหนา้ ทสี่ าธารณะหรือหลงั เกษียณ ๓.๑ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลแห่งหนง่ึ เพง่ิ เกษียณอายุราชการไปทำงานเป็นทีป่ รกึ ษา ในบริษทั ผลติ หรือขายยา โดยใช้อิทธิพลจากท่เี คยดำรงตำแหน่งในโรงพยาบาลดังกล่าว ให้โรงพยาบาลซ้อื ยาจากบรษิ ทั ทีต่ นเองเปน็ ที่ปรกึ ษาอยู่ พฤติการณ์เช่นนี้มมี ูลความผดิ ทัง้ ทางวินัยและทางอาญาฐานเปน็ เจ้าหน้าทีข่ องรัฐ ปฏิบัติหรือละเวน้ การปฏบิ ัตอิ ย่างใดในพฤตกิ ารณท์ ี่อาจทำให้ผ้อู ่ืนเชื่อวา่ ตนมีตำแหนง่ หรอื หนา้ ท่ี ทัง้ ทีต่ นมิไดม้ ตี ำแหน่งหรือหน้าท่ีน้นั เพ่อื แสวงหาประโยชน์ท่ีมิควรไดโ้ ดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองหรอื ผู้อ่ืนตาม พระราชบัญญัตปิ ระกอบรัฐธรรมวา่ ด้วยการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๒๓ ๓.๒ การท่ผี ูบ้ รหิ ารหรอื เจ้าหน้าท่ีขององค์กรด้านเวชภัณฑแ์ ละสุขภาพออกจากราชการไป ทำงานในบริษัทผลิตหรอื ขายยา ๓.๓ การท่ีผ้บู ริหารหรือเจ้าหนา้ ทีข่ องหนว่ ยงานทเี่ กษียณแลว้ ใชอ้ ทิ ธิพลท่เี คยดำรงตำแหน่ง ในหน่วยงานรัฐ รับเปน็ ที่ปรึกษาให้บริษทั เอกชนทีต่ นเคยติดตอ่ ประสานงาน โดยอา้ งว่าจะได้ติดตอ่ กบั หนว่ ยงาน รัฐไดอ้ ยา่ งราบรืน่ ๓.๔ การว่าจา้ งเจา้ หนา้ ทผี่ ู้เกษียณมาทำงานในตำแหนง่ เดมิ ท่หี น่วยงานเดิมโดยไมค่ มุ้ ค่ากับ ภารกจิ ท่ี ได้รับมอบหมาย ๔. การทำงานพิเศษ ๔.๑ เจ้าหน้าทต่ี รวจสอบภาษี ๖ สำนักงานสรรพากรจงั หวัดในสว่ นภูมิภาค ได้จัดต้ังบริษัท รับจ้างทำบัญชีและใหค้ ำปรึกษาเกย่ี วกบั ภาษีและมผี ลประโยชน์เกี่ยวข้องกบั บรษิ ทั โดยรับจ้างทำบญั ชี และย่ืนแบบแสดงรายการให้ผู้เสียภาษใี นเขตจังหวัดทร่ี บั ราชการอยแู่ ละจังหวดั ใกลเ้ คยี ง กลับมี
25 พฤติการณ์ช่วยเหลือผู้เสยี ภาษีให้ เสียภาษีน้อยกวา่ ความเป็นจริง และรบั เงินค่าภาษีอากรจากผู้เสียภาษี บางรายแลว้ มิได้นำไปยน่ื แบบแสดงรายการชำระภาษีให้ พฤติการณข์ องเจา้ หน้าท่ดี งั กลา่ ว เป็นการไม่ ปฏิบตั ิตามข้อบงั คบั กรมสรรพากรวา่ ดว้ ย จรรยาข้าราชการ กรมสรรพากร พ.ศ. ๒๕๕๙ ข้อ ๙ (๗) (๘) และอาศยั ตำแหน่งหนา้ ทร่ี าชการของตน หาประโยชนใ์ ห้แก่ตนเอง เปน็ ความผดิ วนิ ยั อย่างไมร่ ้ายแรงตาม มาตรา ๘๓ (๓) แห่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บ ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ อกี ทั้งเป็นการปฏบิ ัติหนา้ ที่ ราชการโดยมิชอบ เพ่ือใหเ้ กดิ ความเสียหายแก่ ทางราชการโดยร้ายแรง และปฏิบัติหน้าที่ราชการโดย ทจุ ริต และยังกระทำการอนั ไดช้ ือ่ ว่าเปน็ ผูป้ ระพฤตชิ ั่ว อย่างรา้ ยแรงเปน็ ความผดิ วินัยอย่างรา้ ยแรง ตาม มาตรา ๘๕ (๑) และ (๔) แห่งพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บ ข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑ ๔.๒ การท่เี จ้าหน้าท่ีของรฐั อาศยั ตำแหน่งหน้าท่ที างราชการรบั จ้างเปน็ ท่ีปรึกษาโครงการ เพอ่ื ใหบ้ รษิ ัทเอกชนท่วี ่าจ้างนั้นมีความน่าเชือ่ ถอื มากกว่าบริษัทค่แู ขง่ ๔.๓ การทเ่ี จา้ หนา้ ที่ของรัฐไม่ทำงานที่ได้รับมอบหมายจากหนว่ ยงานอยา่ งเต็มท่ี แตเ่ อา เวลาไปรับ งานพเิ ศษอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนืออำนาจหน้าทที่ ี่ได้รบั มอบหมายจากหนว่ ยงานตามกฎหมาย ๕. การรู้ขอ้ มูลภายใน ๕.๑ นายชา่ ง ๕ แผนกชมุ สายโทรศพั ท์เคลอ่ื นท่ี องค์การโทรศัพทแ์ ห่งประเทศไทย ได้นำ ขอ้ มลู เลข หมายโทรศัพทเ์ คลื่อนทร่ี ะบบ ๔๗๐ MHZ และระบบปลดล็อคไปขายใหแ้ กผ่ ู้อื่น จำนวน ๔๐ หมายเลข เพ่ือนำไป ปรบั จูนเขา้ กบั โทรศัพท์ เคล่ือนที่ทนี่ ำไปใชร้ ับจา้ งใหบ้ รกิ ารโทรศัพท์แกบ่ คุ คลท่วั ไป คณะกรรมการ ป.ป.ช. มมี ติ ชม้ี ูลความผดิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๑ มาตรา ๑๕๗ และ มาตรา ๑๖๔ และมีความผิดวินัย ขอ้ บงั คับองค์การโทรศัพท์แหง่ ประเทศไทยวา่ ดว้ ยการพนกั งาน พ.ศ. ๒๒๕๓๖ ข้อ ๔๔ และ ๔๖ ๕.๒ การที่เจา้ หน้าท่ขี องรฐั ทราบข้อมลู โครงการตัดถนนเข้าหมู่บา้ น จึงบอกใหญ้ าติพ่นี ้องไป ซือ้ ที่ดนิ บริเวณโครงการดังกล่าว เพื่อขายใหก้ บั ราชการในราคาทีส่ ูงขึน้ ๕.๓ การทีเ่ จ้าหน้าท่ีหนว่ ยงานผู้รบั ผิดชอบโครงข่ายโทรคมนาคมทราบมาตรฐาน (Spec) วสั ดอุ ปุ กรณ์ท่จี ะใช้ในการวางโครงข่ายโทรคมนาคม แลว้ แจง้ ขอ้ มลู ใหก้ ับบรษิ ัทเอกชนที่ตนรจู้ กั เพื่อให้ ได้เปรยี บในการประมลู ๖. การใช้ทรัพยส์ นิ ของราชการเพือ่ ประโยชน์สว่ นตน ๖.๑ คณบดีคณะแพทยศ์ าสตร์ ใช้อ านาจหน้าทโ่ี ดยทุจรติ ดว้ ยการสงั่ ใหเ้ จ้าหนา้ ทนี่ ำเก้าอี้ พรอ้ มผ้าปลอกคุมเก้าอ้ี เครอ่ื งถ่ายวิดีโอ เคร่ืองเล่นวิดีโอ กล้องถ่ายรปู และผ้าเต็นท์ นำไปใช้ในงานมงคล สมรสของบตุ รสาว รวมทัง้ รถยนต์ รถตูส้ ่วนกลาง เพื่อใชร้ บั สง่ เจ้าหน้าท่เี ข้ารว่ มพธิ ี และขนยา้ ยอปุ กรณ์ ทั้งท่บี ้านพกั และงานฉลองมงคลสมรสที่โรงแรม ซง่ึ ล้วนเป็นทรัพยส์ ินของทางราชการการกระทำของ จำเลยนบั เป็นการใชอ้ ำนาจ โดยทุจริต เพ่ือประโยชน์ส่วนตนอันเป็นการเสยี หายแก่รฐั คณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ชมี้ ลู ความผดิ วนิ ยั และอาญา ต่อมาเร่ืองเข้าสกู่ ระบวนการในช้ันศาล ศาลพิเคราะห์ พยานหลักฐานโจทก์แล้วเหน็ วา่ การกระทำของจำเลย เป็นการทุจริตต่อตำแหน่งหน้าทีฐ่ านเป็นเจ้า พนักงานมหี นา้ ท่ีซื้อทำจัดการหรือรักษาทรพั ย์ใดๆ ใช้อำนาจใน ตำแหน่งโดยทจุ รติ อนั เป็นการเสียหายแก่ รัฐและเป็นเจ้าพนักงานปฏบิ ตั ิหน้าทโ่ี ดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมาย อาญา มาตรา ๑๕๑ และ ๑๕๗ จึง พพิ ากษาใหจ้ ำคกุ ๕ ปี และปรบั ๒๐,๐๐๐ บาท คำใหก้ ารรบั สารภาพ เป็นประโยชน์แกก่ ารพจิ ารณา คดี ลดโทษให้กง่ึ หน่ึง คงจำคุกจำเลยไว้ ๒ ปี ๖ เดือนและปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท ๖.๒ การทเี่ จ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้มีหน้าท่ขี ับรถยนตข์ องสว่ นราชการ นำนำ้ มัน ในรถยนต์ไป
26 ขาย และนำเงินมาไว้ใชจ้ า่ ยส่วนตวั ทำใหส้ ว่ นราชการตอ้ งเสยี งบประมาณ เพ่ือซ้ือน้ำมันรถมากกว่าทค่ี วร จะเป็นพฤตกิ รรม ดังกลา่ วถือเปน็ การทจุ รติ เบียดบงั ผลประโยชนข์ องสว่ นรวมเพ่ือประโยชนข์ องตนเอง และมีความผิดฐานลักทรัพย์ ๖.๓ การทีเ่ จ้าหนา้ ทรี่ ัฐ ผู้มอี ำนาจอนุมัตใิ ห้ใช้รถราชการหรือการเบิกจ่าย ค่าน้ำมนั เชื้อเพลิงนำรถยนต์ของสว่ นราชการไปใช้ในกิจธุระสว่ นตวั ๗. การนำโครงการสาธารณะลงในเขตเลอื กตัง้ เพ่ือประโยชนใ์ นทางการเมือง ๗.๑ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแหง่ หนึ่งร่วมกบั พวก แก้ไขเปล่ียนแปลงรายละเอียด โครงการปรับปรุงและซอ่ มแซมถนนคนเดินใหม่ ในตำบลที่ตนมฐี านเสียงโดยไม่ผา่ นความเห็นชอบจาก สภาฯ และตรวจรับงานทัง้ ที่ไม่ถูกต้องตามแบบรูปรายการท่กี ำหนด รวมทั้งเมือ่ ดำเนนิ การแลว้ เสร็จไดต้ ิด ปา้ ยชือ่ ของตนและพวกการกระทำดังกลา่ วมีมูลเป็นการกระทำการฝ่าฝืนตอ่ ความสงบเรียบร้อย หรอื สวัสดิภาพของประชาชน หรอื ละเลยไมป่ ฏิบัตติ าม หรือปฏิบัตกิ ารไมช่ อบดว้ ยอำนาจหน้าท่ี มมี ูล ความผิดทงั้ ทางวนิ ยั อยา่ งร้ายแรงและทางอาญา คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของ คณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้ผู้มอี ำนาจ แตง่ ตง้ั ถอดถอน และสำนกั งานคณะกรรมการการเลอื กตง้ั ทราบ ๗.๒ การทน่ี กั การเมืองในจังหวัด ขอเพิ่มงบประมาณเพื่อนำโครงการตดั ถนน สร้าง สะพานลงในจังหวดั โดยใช้ชอื่ หรอื นามสกลุ ของตนเองเป็นช่ือสะพาน ๗.๓ การท่รี ฐั มนตรอี นุมัติโครงการไปลงในพ้ืนทีห่ รือบ้านเกิดของตนเอง ๘. การใชต้ ำแหน่งหนา้ ทแ่ี สวงหาประโยชนแ์ กเ่ ครือญาติ พนกั งานสอบสวนละเวน้ ไม่นำบนั ทึกการจับกุมทเี่ จ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกมุ ทำขึน้ ในวนั เกิดเหตุ รวมเข้าสำนวน แต่กลับเปล่ียนบันทกึ และแก้ไขข้อหาในบนั ทึก การจับกุม เพ่ือชว่ ยเหลอื ผตู้ ้องหาซงึ่ เป็น ญาติ ของตนใหร้ บั โทษน้อยลง คณะกรรมการ ป.ป.ช. พจิ ารณาแล้วมมี ลู ความผดิ ทางอาญาและทางวินัย อยา่ งร้ายแรง ๙. การใชอ้ ทิ ธพิ ลเข้าไปมีผลต่อการตดั สินใจของเจ้าหน้าทีร่ ฐั หรอื หน่วยงานของรัฐอน่ื ๙.๑ เจา้ หน้าทข่ี องรัฐใช้ตำแหนง่ หน้าทใี่ นฐานะผู้บริหาร เข้าแทรกแซงการปฏบิ ัติงานของ เจ้าหน้าท่ี ให้ปฏิบตั ิหน้าทโี่ ดยมิชอบด้วยระเบยี บ และกฎหมายหรือฝ่าฝืนจริยธรรม ๙.๒ นายเอ เป็นหวั หน้าส่วนราชการแหง่ หน่ึงในจงั หวดั ร้จู กั สนทิ สนมกับ นายบี หวั หนา้ ส่วน ราชการ อีกแห่งหนง่ึ ในจังหวัดเดยี วกัน นายเอ จึงใชค้ วามสัมพันธส์ ่วนตัวฝากลูกชาย คือ นายซี เขา้ รบั ราชการภายใต้ สงั กัดของนายบี ๑๐. การขดั กนั แห่งผลประโยชน์ส่วนบุคคลกบั ประโยชนส์ ว่ นรวมประเภทอ่ืนๆ ๑๐.๑ การเดนิ ทางไปราชการตา่ งจังหวดั โดยไม่คำนึงถงึ จำนวนคน จำนวนงาน และจำนวนวัน อย่างเหมาะสม อาทิ เดินทางไปราชการจำนวน ๑๐ วัน แต่ใชเ้ วลาในการทำงานจรงิ เพียง ๖ วนั โดยอกี ๔ วนั เปน็ การ เดินทางท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ ๑๐.๒ เจ้าหนา้ ทผี่ ้ปู ฏบิ ตั ิไม่ใชเ้ วลาในราชการปฏิบัตงิ านอย่างเตม็ ท่ี เนื่องจากตอ้ งการปฏบิ ตั งิ าน นอกเวลาราชการ เพราะสามารถเบิกเงนิ งบประมาณคา่ ตอบแทนการปฏิบตั ิงานนอกเวลาราชการได้ ๑๐.๓ เจา้ หน้าที่ของรฐั ลงเวลาปฏบิ ตั ิงานนอกเวลาราชการ โดยมไิ ด้อยู่ปฏิบัตงิ านในชว่ งเวลานนั้ อย่างแทจ้ รงิ แต่กลบั ใช้เวลาดังกล่าวปฏบิ ตั กิ ิจธรุ ะส่วนตวั
27 ใบความร้ทู ่ี ๕ ๕. กฎหมายท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั การปอ้ งกันการขัดกันระหว่างประโยชนส์ ว่ นตนกับประโยชน์ส่วนรวม พระราชบญั ญัตปิ ระกอบรัฐธรรมนญู ว่าด้วยการปอ้ งกนั และปราบปรามการทจุ รติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และทแ่ี กไ้ ขเพ่ิมเติม มาตรา ๑๐๐ ห้ามมิใหเ้ จา้ หน้าที่ของรฐั ผู้ใดดำเนินกิจการดังต่อไปนี้ (๑) เปน็ ค่สู ญั ญาหรือมสี ่วนได้เสยี ในสัญญาที่ทำกับหนว่ ยงานของรฐั ทเี่ จ้าหน้าที่ของรฐั ผ้นู ้นั ปฏิบัติหนา้ ที่ ในฐานะทเ่ี ปน็ เจ้าหน้าทข่ี องรฐั ซง่ึ มีอำนาจกำกับ ดแู ล ควบคมุ ตรวจสอบ หรอื ดำเนนิ คดี (๒) เป็นหุ้นสว่ นหรอื ผ้ถู ือห้นุ ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษทั ที่เขา้ เป็นคูส่ ญั ญากบั หน่วยงานของรัฐท่ี เจา้ หนา้ ท่ีของรัฐผนู้ ้นั ปฏบิ ัตหิ น้าที่ในฐานะท่ีเป็นเจ้าหนา้ ที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกบั ดูแล ควบคมุ ตรวจสอบ หรอื ดำเนนิ คดี (๓) รับสัมปทานหรอื คงถอื ไว้ซ่ึงสัมปทานจากรัฐ หน่วยราชการ หนว่ ยงานของรฐั รัฐวิสาหกิจ หรอื ราชการสว่ นท้องถิ่น หรือเขา้ เป็นคสู่ ญั ญากับรัฐ หน่วยราชการ หน่วยงานของรฐั รัฐวิสาหกจิ หรอื ราชการสว่ น ส่วนถน่ิ อนั มีลักษณะเปน็ การผูกขาดตดั ตอน ทัง้ น้ี ไม่ว่าโดยทางตรงหรอื ทางออ้ ม หรอื เป็น หนุ้ สว่ นหรอื ผถู้ อื หนุ้ ในหา้ งหุ้นสว่ นหรือบริษทั ที่รบั สัมปทานหรอื เขา้ เป็นคสู่ ัญญาในลักษณะดงั กลา่ ว (๔) เขา้ ไปมีส่วนได้เสยี ในฐานะเป็นกรรมการ ท่ีปรกึ ษา ตัวแทน พนกั งานหรือลูกจ้างในธุรกิจ ของเอกชนซง่ึ อยู่ภายใต้การกำกบั ดูแล ควบคมุ หรือตรวจสอบของหนว่ ยงานของรัฐท่เี จ้าหน้าท่ขี องรัฐผู้ นัน้ สงั กดั อยู่หรือปฏิบตั หิ น้าที่ในฐานะเป็นเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ซึ่งโดยสภาพของผลประโยชน์ของธุรกจิ ของ เอกชนนัน้ อาจขัด หรือ แย้งต่อประโยชนส์ ว่ นรวม หรอื ประโยชนข์ องทางราชการ หรือกระทบต่อความมี อิสระในการปฏิบตั ิหน้าท่ีของเจา้ หน้าทข่ี องรัฐผนู้ ั้น เจา้ หน้าทีข่ องรัฐตำแหนง่ ใดทต่ี ้องห้ามมใิ หด้ ำเนนิ กิจการตามวรรคหนึง่ ให้เปน็ ไปตามท่ี คณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนดโดยประกาศในราชกจิ จานุเบกษา ใหน้ ำบทบญั ญัติตามมาตรา ๑๐๐ มาใช้ บังคบั กับคูส่ มรสของเจา้ หน้าท่ี รฐั ตามวรรคสอง โดยให้ถือว่าการดำเนินกจิ การของคูส่ มรสดังกลา่ ว เป็น การดำเนนิ กิจการของเจา้ หนา้ ที่ของรฐั มาตรา ๑๐๓ ห้ามมใิ หเ้ จา้ หนา้ ที่ของรัฐผใู้ ดรบั ทรัพย์สินหรอื ประโยชน์อนื่ ใดจากบุคคล นอกเหนือจากทรพั ยส์ ิน หรอื ประโยชน์อนั ควรได้ตามกฎหมาย หรอื กฎ ข้อบงั คับทีอ่ อกโดยอาศยั อำนาจ ตามบทบญั ญัติแห่งกฎหมายเวน้ แตก่ ารรับทรัพย์สินหรือประโยชนอ์ นื่ ใดโดยธรรมจรรยา ตามหลักเกณฑ์ และจำนวนทคี่ ณะกรรมการ ป.ป.ช. กำหนด บทบัญญัตใิ นวรรคหน่ึงให้ใชบ้ งั คับกับการรบั ทรพั ย์สนิ หรือประโยชนอ์ ืน่ ใดของผซู้ งึ่ พน้ จากการ เปน็ เจ้าหนา้ ท่ีของรฐั มาแล้วยังไม่ถึงสองปีด้วยโดยอนุโลม มาตรา ๑๐๓/๑ บรรดาความผิดทีบ่ ัญญตั ิไวใ้ นหมวดน้ใี หถ้ อื เป็นความผิดฐานทุจริตตอ่ หนา้ ท่ี หรอื ความผิดต่อตำแหน่งหนา้ ทร่ี าชการหรือความผดิ ตอ่ ตำแหนง่ หนา้ ท่ใี นการยุติธรรมตามประมวล กฎหมายอาญาดว้ ย
28 ประกาศคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจรติ แห่งชาติ เรื่อง หลกั เกณฑ์การรบั ทรัพย์สินหรือประโยชนอ์ ืน่ ใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๓ อาศยั อำนาจตามความในมาตรา ๑๐๓ แหง่ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนูญ วา่ ด้วยการ ปอ้ งกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. ๒๕๔๒ คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาติ จงึ กำหนด หลักเกณฑ์และจำนวนทรัพย์สินหรือประโยชนอ์ ่ืนใดท่เี จ้าหน้าท่ีของรฐั จะรบั จากบุคคลได้โดย ธรรมจรรยาไวด้ งั น้ี ขอ้ ๓ ในประกาศน้ี “การรบั ทรัพย์สนิ หรอื ประโยชนอ์ ่ืนใดโดยธรรมจรรยา ” หมายความวา่ การรับทรพั ยส์ นิ หรือ ประโยชน์อ่ืนใดจากญาตหิ รือจากบคุ คลท่ีให้กนั ในโอกาสตา่ ง ๆ โดยปกติตามขนบธรรมเนียม ประเพณี หรือ วัฒนธรรม หรอื ให้กนั ตามมารยาทท่ีปฏิบตั กิ ันในสังคม “ญาติ” หมายความว่า ผ้บู ุพการี ผสู้ ืบสนั ดาน พี่น้องรว่ มบิดามารดาหรือ ร่วมบิดาหรือมารดา เดยี วกัน ลุง ปา้ น้า อา คูส่ มรส ผบู้ ุพการีหรือผู้สบื สนั ดานของคสู่ มรส บตุ รบญุ ธรรมหรือผรู้ ับบุตรบุญ ธรรม “ประโยชน์อื่นใด” หมายความวา่ ส่ิงทมี่ ูลค่า ได้แก่ การลดราคา การรับความบันเทิง การรับ บริการการรับการฝกึ อบรม หรือส่ิงอนื่ ใดในลกั ษณะเดียวกัน ขอ้ ๔ หา้ มมใิ ห้เจ้าหน้าที่ของรฐั ผใู้ ด รบั ทรพั ย์สินหรือประโยชนอ์ นื่ ใด จากบคุ คลนอกเหนอื จาก ทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อนั ควรได้ตามกฎหมาย หรือกฎ ข้อบังคับ ทอ่ี อกโดยอาศัยอำนาจตามบทบัญญัติ แหง่ กฎหมาย เว้นแต่การรับทรัพยส์ ินหรอื ประโยชนอ์ ื่นใดโดยธรรมจรรยาตามที่กำหนดไวใ้ นประกาศน้ี ขอ้ ๕ เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐจะรบั ทรพั ย์สินหรือประโยชนอ์ ืน่ ใดโดยธรรมจรรยาได้ ดังตอ่ ไปนี้ (๑) รับทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อ่ืนใดจากญาตซิ ่งึ ใหโ้ ดยเสน่หาตามจำนวนที่เหมาะสมตาม ฐานานุรปู (๒) รบั ทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชน์อ่ืนใดจากบุคคลอ่ืนซง่ึ มิใช่ญาตมิ ีราคาหรือมลู ค่าในการรับจากแต่ ละบุคคล แต่ละโอกาสไมเ่ กินสามพันบาท (๓) รับทรพั ย์สินหรือประโยชนอ์ ่ืนใดท่ีการให้นนั้ เป็นการใหใ้ นลกั ษณะให้กับบคุ คลท่ัวไป ข้อ ๖ การรบั ทรพั ย์สินหรือประโยชนอ์ ่นื ใดจากต่างประเทศ ซง่ึ ผูใ้ ห้มิไดร้ ะบุให้เปน็ ของส่วนตัว หรือมรี าคาหรือมูลค่าเกนิ กวา่ สามพันบาท ไมว่ ่าจะระบเุ ปน็ ของส่วนตัวหรือไม่ แต่มเี หตุผลความจำเป็นที่ จะต้องรับไว้ เพื่อรกั ษาไมตรี มิตรภาพ หรอื ความสัมพนั ธ์อันดรี ะหว่างบคุ คล ให้เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ผูน้ น้ั รายงานรายละเอยี ดข้อเท็จจริงเกย่ี วกบั การรบั ทรพั ยส์ ินหรือประโยชน์ดังกลา่ วใหผ้ ูบ้ ังคับบญั ชาทราบ โดยเรว็ หากผู้บงั คบั บัญชาเหน็ วา่ ไมม่ ีเหตทุ ี่จะอนุญาตใหเ้ จ้าหน้าท่ผี ู้นั้นยดึ ถือทรพั ยส์ ินหรอื ประโยชน์ ดงั กล่าวน้ันไวเ้ ปน็ ประโยชนส์ ่วนตน ใหเ้ จา้ หน้าท่ขี องรัฐ ผนู้ น้ั สง่ มอบทรัพย์สินให้หน่วยงานของรฐั ท่ี เจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐผนู้ ้ันสังกดั ทันที ข้อ ๗ การรับทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์อื่นใดทไี่ ม่เป็นไปตามหลกั เกณฑ์ หรอื มรี าคาหรือมีมูลคา่ มากกวา่ ทกี่ ำหนดไวใ้ นข้อ ๕ ซึง่ เจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั ได้รับมาแล้วโดยมีความจำเป็นอยา่ งยงิ่ ทตี่ อ้ งรบั ไว้เพ่ือ รกั ษา ไมตรี มิตรภาพ หรือความสมั พันธ์อนั ดีระหวา่ งบุคคล เจ้าหนา้ ทขี่ องรัฐผู้น้ันตอ้ งแจ้งรายละเอียด ขอ้ เท็จจริง เกี่ยวกับการรับทรัพยส์ นิ หรอื ประโยชน์น้นั ต่อผู้บงั คับบญั ชา ซึง่ เปน็ หวั หน้าส่วนราชการ ผบู้ รหิ ารสูงสุดของรัฐวิสาหกจิ หรอื ผบู้ ริหารสงู สุดของหนว่ ยงาน สถาบัน หรอื องค์กรทีเ่ จ้าหน้าทข่ี องรัฐผู้
29 นั้นสงั กดั โดยทนั ทที ่ี สามารถกระทำได้ เพอื่ ใหว้ ินจิ ฉัยวา่ มีเหตุผลความจำเป็น ความเหมาะสม และ สมควรท่ีจะให้เจา้ หน้าทีข่ องรัฐผู้นั้นรบั ทรัพย์สินหรอื ประโยชน์นัน้ ไว้เปน็ สิทธขิ องตนหรือไม่ ในกรณีทผี่ ู้บงั คบั บัญชาหรอื ผู้บรหิ ารสงู สุดของรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานหรือสถาบนั หรือองคก์ รท่ี เจ้าหน้าทีข่ องรัฐผู้น้ันสังกดั มีคำส่งั ว่าไม่สมควรรบั ทรพั ยส์ นิ หรอื ประโยชนด์ งั กล่าว ก็ให้คืนทรัพย์สนิ หรือ ประโยชน์นัน้ แก่ผ้ใู ห้โดยทันที ในกรณที ี่ไมส่ ามารถคนื ให้ได้ ใหเ้ จ้าหนา้ ท่ขี องรัฐผูน้ น้ั ส่งมอบทรัพยส์ นิ หรือ ประโยชนด์ งั กลา่ วให้เป็นสิทธิของหนว่ ยงานท่ีเจา้ หน้าทข่ี องรัฐผนู้ นั้ สงั กดั โดยเรว็ เม่ือไดด้ ำเนนิ การตามความในวรรคสองแล้ว ใหถ้ ือวา่ เจา้ หน้าทีข่ องรฐั ผนู้ ัน้ ไม่เคยไดร้ บั ทรัพย์สินหรอื ประโยชน์ดงั กล่าวเลย ในกรณีที่เจา้ หนา้ ที่ของรัฐผไู้ ด้รบั ทรพั ย์สนิ ไวต้ ามวรรคหนงึ่ เปน็ ผู้ดำรงตำแหน่งผ้บู งั คบั บญั ชา ซงึ่ เปน็ หัวหนา้ สว่ นราชการระดับกระทรวงหรอื เทียบเท่า หรอื เป็นกรรมการหรือผบู้ ริหารสูงสดุ ของ รัฐวิสาหกิจ หรอื เป็นกรรมการหรอื ผ้บู รหิ ารสงู สุดของหน่วยงานของรฐั ให้แจ้งรายละเอียดข้อเท็จจริง เกี่ยวกบั การรับทรพั ย์สินหรอื ประโยชนน์ ้ันตอ่ ผมู้ อี ำนาจแต่งตง้ั ถอดถอน ส่วนผูท้ ่ดี ำรงตำแหน่งประธาน กรรมการและกรรมการในองค์กรอสิ ระตามรฐั ธรรมนูญหรือผู้ดำรงตำแหน่งท่ไี ม่มีผบู้ งั คับบญั ชาทม่ี อี ำนาจ ถอดถอนให้แจง้ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทงั้ นี้ เพ่อื ดำเนนิ การตามความในวรรคหน่งึ และวรรคสอง ในกรณีท่เี จา้ หน้าที่ของรฐั ผไู้ ด้รบั ทรพั ย์สินตามวรรคหนงึ่ เป็นผดู้ ำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทน ราษฎรหรอื สมาชิกวฒุ ิสภา หรือสมาชิกสภาท้องถนิ่ ใหแ้ จ้งรายละเอยี ดข้อเทจ็ จริงเกีย่ วกับการรับ ทรัพย์สนิ หรือประโยชน์เทา่ นั้นต่อประธาน สภาผูแ้ ทนราษฎร ประธานวฒุ ิสภา หรือประธานสภา ท้องถิน่ ที่เจ้าหนา้ ที่ของรัฐผู้นั้น เปน็ สมาชิก แลว้ แตก่ รณี เพ่ือดำเนินการตามวรรคหน่ึงและวรรคสอง ข้อ ๘ หลกั เกณฑ์การรบั ทรพั ยส์ นิ หรือประโยชนอ์ ื่นใดของเจ้าหน้าที่ของรฐั ตามประกาศฉบับ นใี้ หใ้ ช้บังคบั แกผ่ ซู้ ง่ึ พ้นจากการเปน็ เจา้ หนา้ ที่ของรฐั มาแล้วไม่ถงึ สองปีด้วย ระเบยี บสำนักนายกรฐั มนตรวี า่ ด้วยการให้หรือรับของขวัญของเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั พ.ศ. ๒๕๔๔ โดยท่ที ีผ่ ่านมาคณะรฐั มนตรีได้เคยมีมติคณะรัฐมนตรีเก่ยี วกบั แนวทางปฏิบัติในการให้ของขวัญ และรบั ของขวัญของเจ้าหนา้ ทข่ี องรัฐไว้หลายครง้ั เพ่ือเปน็ การเสรมิ สรา้ งค่านยิ มใหเ้ กิดการประหยดั มใิ หม้ ี การเบยี ดเบียนข้าราชการโดยไม่จำเป็นและสร้างทัศนคติที่ไม่ถกู ต้องเนื่องจากมกี ารแขง่ ขันกนั ใหข้ องขวัญ ในราคา แพงทัง้ ยังเป็นชอ่ งทางให้เกดิ การประพฤติมิชอบอ่ืน ๆ ในวงราชการอีกดว้ ยและในการกำหนด จรรยาบรรณของเจา้ หน้าทข่ี องรัฐประเภทตา่ ง ๆ ก็มกี ารกำหนดในเรอ่ื งทำนองเดียวกัน ประกอบกบั คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจรติ แหง่ ชาตไิ ด้ประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และจำนวนท่ี เจ้าหนา้ ที่ของรฐั จะรบั ทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่นื ใดโดยธรรมจรรยาได้ ฉะนั้นจึงสมควรรวบรวมมาตรการ เหล่าน้นั และกำหนดเปน็ หลักเกณฑ์การปฏิบตั ขิ องเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ในการให้ของขวญั และรับของขวญั ไว้ เป็นการถาวรมีมาตรฐานอย่างเดียวกัน และมีความชัดเจนเพือ่ เสรมิ มาตรการของคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทจุ ริตแห่งชาติให้เปน็ ผลอยา่ งจรงิ จัง ท้ังน้ี เฉพาะในส่วนทคี่ ณะกรรมการป้องกนั และ ปราบปรามการทุจรติ แห่งชาตไิ ม่ได้กำหนดไว้ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ (๘) แหง่ พระราชบญั ญัติระเบียบบรหิ ารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีโดยความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรี จึงวางระเบียบไว้ดงั ต่อไปน้ี ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ \"ของขวัญ\"หมายความวา่ เงิน ทรัพยส์ ิน หรือประโยชนอ์ ืน่ ใดทใ่ี หแ้ ก่กนั เพอ่ื อัธยาศยั ไมตรี และ
30 ใหห้ มายความรวมถึงเงนิ ทรัพย์สนิ หรอื ประโยชน์อื่นใดทใ่ี หเ้ ป็นรางวัล ให้โดยเสน่หาหรอื เพ่ือการ สงเคราะห์ หรอื ให้เป็นสินน้ำใจ การใหส้ ทิ ธิพเิ ศษซ่ึงมใิ ช่เป็นสิทธิท่จี ดั ไวส้ ำหรับบคุ คลทัว่ ไปในการไดร้ ับ การลดราคาทรัพยส์ ิน หรอื การให้สิทธิพิเศษในการได้รบั บริการหรือความบันเทงิ ตลอดจนการออก คา่ ใชจ้ ่ายในการเดนิ ทาง หรือ ทอ่ งเที่ยวค่าที่พัก คา่ อาหาร หรือสง่ิ อนื่ ใดในลักษณะเดียวกนั และไม่ว่าจะ ใหเ้ ป็นบัตร ต๋วั หรอื หลกั ฐานอืน่ ใด การ ชำระเงนิ ให้ลว่ งหนา้ หรือการคนื เงนิ ใหใ้ นภายหลงั \"ปกติประเพณนี ิยม\" หมายความว่า เทศกาลหรือวนั สำคัญซง่ึ อาจมกี ารให้ของขวญั กนั และให้ หมายความรวมถึงโอกาสในการแสดงความยินดี การแสดง ความขอบคณุ การต้อนรับ การแสดงความ เสยี ใจ หรือการให้ความชว่ ยเหลอื ตามมารยาท ท่ถี ือปฏบิ ัติกันในสังคมด้วย \"ผบู้ งั คับบัญชา\"ใหห้ มายความรวมถึง ผซู้ ง่ึ ปฏิบัติหน้าท่หี วั หนา้ หน่วยงาน ท่ีแบง่ เป็นการภายใน ของ หนว่ ยงานของรฐั และผซู้ ึ่งดำรงตำแหนง่ ในระดบั ท่สี งู กวา่ และได้รบั มอบหมายให้มีอำนาจบงั คับบัญชา หรือกำกบั ดแู ลดว้ ย \"บคุ คลในครอบครัว\"หมายความวา่ คสู่ มรส บตุ ร บดิ า มารดา พ่นี ้องร่วมบดิ ามารดาหรือร่วม บิดาหรือมารดาเดียวกนั ขอ้ ๔ ระเบียบน้ไี ม่ใช้บังคับกับกรณีการรับทรพั ย์สินหรอื ประโยชน์อ่นื ใดของเจ้าหน้าทข่ี องรฐั ซึ่งอยภู่ ายใต้บงั คับกฎหมายประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขอ้ ๕ เจ้าหนา้ ท่ีของรฐั จะให้ของขวญั แกผ่ บู้ ังคับบัญชาหรือบคุ คลในครอบครวั ของ ผู้บังคบั บัญชา นอกเหนือจากกรณปี กติประเพณีนยิ มที่มีการให้ของขวญั แก่กันมิได้ การใหข้ องขวญั ตามปกติประเพณนี ิยมตามวรรคหนึง่ เจา้ หน้าทขี่ องรัฐจะให้ของขวญั ท่ีมรี าคา หรอื มลู คา่ เกนิ จำนวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทจุ รติ แห่งชาติกำหนดไว้ สำหรับการรบั ทรพั ย์สนิ หรอื ประโยชน์อ่นื ใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าทขี่ องรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการปอ้ งกัน และปราบปรามการทจุ ริตมไิ ด้ เจ้าหนา้ ท่ขี องรัฐจะทำการเรี่ยไรเงนิ หรอื ทรัพยส์ นิ อืน่ ใดหรอื ใชเ้ งินสวสั ดิการใด ๆ เพื่อมอบให้ หรือจดั หาของขวญั ใหผ้ ู้บงั คับบญั ชาหรือบคุ คลในครอบครัวของผู้บังคับบญั ชาไมว่ ่ากรณีใด ๆ มิได้ ขอ้ ๖ ผบู้ ังคับบญั ชาจะยินยอมหรอื รเู้ ห็นเป็นใจใหบ้ ุคคลในครอบครัวของตนรับของขวญั จาก เจ้าหนา้ ท่ีของรัฐซง่ึ เปน็ ผ้อู ยู่ในบงั คบั บัญชามิได้ เวน้ แตเ่ ปน็ การรับของขวัญตามข้อ ๕ ข้อ ๗ เจ้าหนา้ ท่ีของรฐั จะยินยอมหรือรเู้ หน็ เปน็ ใจใหบ้ ุคคลในครอบครัวของตนรบั ของขวญั จาก ผูท้ เ่ี ก่ยี วขอ้ งในการปฏบิ ตั ิหน้าทขี่ องเจา้ หน้าท่ีของรฐั มิได้ ถ้ามิใช่เป็นการรับของขวัญตามกรณีที่กำหนดไว้ ใน ข้อ ๘ ผู้ท่เี กย่ี วข้องในการปฏบิ ตั ิหนา้ ที่ของเจ้าหน้าท่ีของรฐั ตามวรรคหนึ่ง ได้แก่ ผู้มาติดตอ่ งานหรือผู้ ซึ่ง ได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติงานของเจ้าหนา้ ทีข่ องรัฐ ในลักษณะดังต่อไปน้ี (๑) ผซู้ งึ่ มีคำขอให้หน่วยงานของรัฐดำเนนิ การอย่างหน่ึงอย่างใด เช่นการขอใบรบั รอง การ ขอให้ออกคำสั่งทางปกครอง หรอื การร้องเรยี นเปน็ ต้น (๒) ผซู้ ึง่ ประกอบธรุ กจิ หรือมีส่วนไดเ้ สยี ในธรุ กิจท่ีทำกบั หน่วยงานของรัฐเช่น การจดั ซอ้ื จัดจา้ ง หรือ การได้รับสัมปทาน เป็นตน้ (๓) ผซู้ ่งึ กำลังดำเนินกิจกรรมใด ๆ ท่ีมหี นว่ ยงานของรฐั เปน็ ผู้ควบคุมหรือกำกับดแู ล เช่น การ ประกอบกจิ การโรงงานหรือธุรกิจหลักทรัพย์ เปน็ ตน้ (๔) ผซู้ ึง่ อาจได้รับประโยชน์หรือผลกระทบจากการปฏิบัตหิ นา้ ที่หรือละเวน้ การปฏบิ ัตหิ นา้ ที่ ของเจ้าหน้าทีข่ องรัฐ
31 ข้อ ๘ เจ้าหน้าท่ีของรฐั จะยินยอมหรือรู้เหน็ เปน็ ใจให้บคุ คลในครอบครวั ของตนรับของขวญั จาก ผทู้ ี่เกี่ยวข้องในการปฏิบตั ิหน้าท่ีของเจา้ หนา้ ท่ีของรัฐได้เฉพาะกรณี การรับของขวัญท่ใี ห้ตามปกติ ประเพณนี ยิ มและของขวัญน้ันมรี าคาหรอื มูลค่าไม่เกินจำนวนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ กำหนดไว้สำหรบั การรบั ทรัพย์สนิ หรือประโยชน์อื่นใดโดยธรรมจรรยาของเจ้าหนา้ ท่ี ของรัฐ ตามกฎหมาย ประกอบรัฐธรรมนูญวา่ ด้วยการปอ้ งกันและปราบปรามการทุจริต ข้อ ๙ ในกรณีทีบ่ คุ คลในครอบครวั ของเจ้าหน้าท่ีของรัฐรับของขวญั แลว้ เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ทราบ ในภายหลงั ว่าเป็นการรบั ของขวัญโดยฝา่ ฝนื ระเบยี บน้ี ใหเ้ จา้ หน้าทขี่ องรัฐปฏิบตั ิตามหลักเกณฑท์ ่ี คณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาตกิ ำหนดไวส้ ำหรบั การรับทรัพย์สนิ หรือ ประโยชน์ อื่นใด โดยธรรมจรรยาของเจ้าหน้าที่ของรัฐทม่ี ีราคาหรือมูลค่าเกนิ กวา่ ท่ีกำหนดไว้ ตาม กฎหมายประกอบรฐั ธรรมนญู ว่าดว้ ยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ขอ้ ๑๐ ในกรณีทเี่ จา้ หนา้ ท่ขี องรฐั ผใู้ ดจงใจปฏิบตั ิเก่ยี วกับการให้ของขวัญหรอื รับของขวญั โดย ฝา่ ฝนื ระเบยี บนี้ ใหด้ ำเนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ในกรณที ีเ่ จา้ หนา้ ที่ของรฐั เป็นขา้ ราชการการเมอื ง ให้ถือวา่ เจา้ หน้าทข่ี องรัฐผ้นู น้ั ประพฤติ ปฏิบตั ไิ ม่เปน็ ไปตามคุณธรรมและจริยธรรม และให้ดำเนินการตาม ระเบยี บท่ีนายกรฐั มนตรีกำหนดโดย ความเหน็ ชอบของคณะรฐั มนตรีวา่ ดว้ ยมาตรฐานทางคุณธรรมและจริยธรรมของข้าราชการการเมือง (๒) ในกรณที เ่ี จา้ หนา้ ท่ขี องรัฐเปน็ ขา้ ราชการประเภทอืน่ นอกจาก (๑) หรือพนักงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิน่ หรือพนักงานของรฐั วสิ าหกิจให้ถือว่า เจ้าหนา้ ทขี่ องรฐั ผนู้ นั้ เป็นผู้กระทำความผิดทางวินัยและให้ผู้บังคับบัญชามหี นา้ ทีด่ ำเนินการให้มกี าร ลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าท่ีของรัฐผนู้ น้ั ข้อ ๑๑ ใหส้ ำนักงานปลัดสำนกั นายกรฐั มนตรมี ีหน้าท่ีสอดสอ่ ง และให้คำแนะนำในการปฏบิ ตั ิ ตามระเบียบนี้แก่หน่วยงานของรัฐ ในกรณีทีม่ ีผูร้ อ้ งเรยี น ต่อสำนักงานปลดั สำนักนายรฐั มนตรีวา่ เจ้าหนา้ ท่ขี องรฐั ผใู้ ดปฏิบัตใิ นการให้ของขวญั หรือรับของขวัญฝา่ ฝืนระเบยี บน้ี ให้สำนกั งานปลัดสำนกั นายกรัฐมนตรแี จ้งไปยงั ผบู้ งั คับบญั ชาของเจ้าหน้าท่ขี องรฐั ผนู้ ้ันเพอ่ื ดำเนินการตามระเบียบนี้ ข้อ ๑๒ เพอ่ื ประโยชนใ์ นการเสรมิ สรา้ งให้เกิดทัศนคติในการประหยัดแกป่ ระชาชนท่ัวไปในการ แสดงความยนิ ดี การแสดงความปรารถนาดี การแสดงการตอ้ นรับ หรอื การแสดงความเสยี ใจในโอกาส ต่างๆ ตามปกติ ประเพณีนยิ มใหเ้ จ้าหน้าทข่ี องรฐั พยายามใชว้ ธิ กี ารแสดงออกโดยใช้บตั รอวยพร การลง นามในสมุดอวยพร หรอื ใชบ้ ตั รแสดงความเสยี ใจ แทนการใหข้ องขวญั ใหผ้ ู้บังคบั บัญชามีหนา้ ท่เี สริมสร้างค่านิยมการแสดงความยินดี การแสดงความปรารถนาดี การ แสดงการต้อนรบั หรอื การแสดงความเสยี ใจ ด้วยการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างแนะนำหรือกำหนด มาตรการจงู ใจ ทีจ่ ะพฒั นาทัศนคติ จติ สำนกึ และพฤตกิ รรมของผู้อยู่ในบงั คับบญั ชาใหเ้ ป็นไปในแนวทาง ประหยดั ระเบียบสำนกั นายกรฐั มนตรีว่าด้วยการเรยี่ ไรของหนว่ ยงานของรัฐ พ.ศ. ๒๕๔๔ ขอ้ ๔ ในระเบยี บน้ี “การเรี่ยไร” หมายความวา่ การเก็บเงนิ หรือทรัพย์สิน โดยขอร้องให้ช่วยออกเงินหรือทรพั ยส์ นิ ตามใจสมคั ร และให้หมายความรวมถึงการซื้อขาย แลกเปล่ียน ชดใชห้ รอื บริการซ่ึงมีการแสดงโดยตรง
32 หรือโดยปริยายว่า มิใชเ่ ปน็ การซ้ือขาย แลกเปล่ยี น ชดใชห้ รือบริการธรรมดา แต่เพื่อรวบรวมเงนิ หรือ ทรัพยส์ นิ ท่ีได้มาทงั้ หมดหรือบางส่วนไปใช้ในกจิ การอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ นัน้ ดว้ ย “เขา้ ไปมีสว่ นเก่ยี วข้องกบั การเร่ยี ไร” หมายความว่า เขา้ ไปชว่ ยเหลือโดยมีสว่ นร่วมในการจดั ให้ มี การเรยี่ ไรในฐานะเปน็ ผรู้ ว่ มจดั ใหม้ ีการเร่ยี ไร หรือเป็นประธานกรรมการ อนกุ รรมการ คณะทำงาน ท่ี ปรึกษาหรือในฐานะอ่นื ใดในการเรี่ยไรนั้น ขอ้ ๖ หน่วยงานของรฐั จะจัดให้มกี ารเรยี่ ไรหรือเข้าไปมสี ่วนเก่ยี วขอ้ งกบั การเรย่ี ไรมไิ ด้ เวน้ แต่ เป็นการเร่ยี ไร ตามข้อ ๑๙ หรอื ได้รับอนุมตั ิจาก กคร. หรือ กคร. จงั หวัด แล้วแต่กรณี ท้ังนี้ ตาม หลกั เกณฑ์ที่กำหนดไว้ในระเบยี บนี้ หนว่ ยงานของรฐั ซึง่ จะตอ้ งได้รบั อนุญาตในการเรี่ยไรตามกฎหมายว่าดว้ ย การควบคุมการเร่ียไร นอกจากจะต้องปฏิบัตติ ามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการเรย่ี ไรแลว้ จะต้องปฏบิ ัติตามหลกั เกณฑ์ท่ี กำหนดไว้ ในระเบียบนีด้ ้วย ในกรณีน้ี กคร. อาจก าหนดแนวทางปฏบิ ตั ขิ องหน่วยงานรัฐดงั กล่าวให้ สอดคล้องกบั กฎหมายว่าด้วยการควบคมุ การเรยี่ ไรก็ได้ ขอ้ ๘ ให้มีคณะกรรมการควบคุมการเรยี่ ไรของหน่วยงานของรฐั เรียกโดยย่อวา่ “กคร.” ประกอบด้วย รองนายกรฐั มนตรที ีน่ ายกรัฐมนตรมี อบหมาย เป็นประธานกรรมการ ผ้แู ทนสำนัก นายกรฐั มนตรี ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผูแ้ ทนกระทรวงการคลงั ผแู้ ทนกระทรวงมหาดไทย ผู้แทน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ผแู้ ทน กระทรวงสาธารณสขุ ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ผแู้ ทน สำนกั งานคณะกรรมการป้องกนั และ ปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผูแ้ ทนสำนกั งานการตรวจเงินแผ่นดิน และผู้ทรงคุณวฒุ ิซึง่ นายกรฐั มนตรแี ตง่ ตัง้ อีก ไมเ่ กนิ สี่คนเป็นกรรมการ และผู้แทนสำนักงานปลัดสำนกั นายกรฐั มนตรเี ป็นกรรมการและเลขานกุ าร กคร. จะแตง่ ตง้ั ข้าราชการในสำนักงานปลัดสำนักนายกรฐั มนตรีจำนวนไม่เกินสองคนเป็น ผูช้ ว่ ยเลขานุการกไ็ ด้ ขอ้ ๑๘ การเรย่ี ไรหรือเข้าไปมสี ว่ นเกย่ี วข้องกับการเรยี่ ไรท่ี กคร. หรือ กคร. จังหวัด แล้วแต่ กรณี จะพจิ ารณาอนมุ ัติให้ตามขอ้ ๖ ไดน้ ้นั จะต้องมีลกั ษณะและวัตถปุ ระสงค์อย่างหน่ึงอย่างใด ดังต่อไปน้ี (๑) เปน็ การเร่ยี ไรที่หน่วยงานของรฐั เปน็ ผูด้ ำเนินการเพื่อประโยชนแ์ ก่หน่วยงานของรัฐน้นั เอง (๒) เปน็ การเรี่ยไรทหี่ น่วยงานของรฐั เปน็ ผ้ดู ำเนนิ การเพื่อประโยชนแ์ ก่การป้องกันหรอื พัฒนา ประเทศ (๓) เปน็ การเรย่ี ไรที่หน่วยงานของรฐั เปน็ ผดู้ ำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ (๔) เปน็ กรณที ีห่ นว่ ยงานของรัฐเขา้ ไปมีส่วนเกย่ี วข้องกับการเร่ียไรของบคุ คลหรือนติ ิบคุ คลที่ ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการเรย่ี ไรตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการควบคุมการเร่ียไรแล้ว ข้อ ๑๙ การเรยี่ ไรหรอื เข้าไปมีส่วนเกีย่ วข้องกับการเรีย่ ไรดงั ต่อไปน้ีใหไ้ ด้รบั ยกเว้นไม่ตอ้ งขอ อนุมตั ิ จาก กคร. หรือ กคร. จงั หวดั แลว้ แตก่ รณี (๑) เปน็ นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และมีมติคระรฐั มนตรใี ห้เรย่ี ไรได้ (๒) เป็นการเรี่ยไรท่รี ฐั บาลหรือหน่วยงานของรฐั จำเปน็ ตอ้ งดำเนนิ การ เพือ่ ช่วยเหลือผเู้ สียหาย หรือบรรเทาความเสยี หายทีเ่ กิดจากสาธารณภัยหรอื เหตุการณใ์ ดที่สำคญั (๓) เปน็ การเรย่ี ไรเพื่อร่วมกนั ทำบญุ เน่ืองในโอกาสการทอดผา้ พระกฐินพระราชทาน (๔) เปน็ การเรย่ี ไรตามขอ้ ๑๘ (๑) หรือ (๓) เพ่ือใหไ้ ดเ้ งินหรอื ทรัพยส์ ินไมเ่ กินจำนวนเงนิ หรือ มลู คา่ ตามท่ี กคร. กำหนดโดยประกาศในราชกิจจานเุ บกษา
33 (๕) เปน็ การเขา้ ไปมีส่วนเก่ยี วข้องกับการเรย่ี ไรตามข้อ ๑๘ (๔) ซึ่ง กคร. ได้ประกาศในราช กจิ จานเุ บกษายกเว้นให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการไดโ้ ดยไมต่ ้องขออนมุ ตั ิ (๖) เป็นการใหค้ วามรว่ มมอื กับหนว่ ยงานของรัฐอน่ื ที่ไดร้ บั อนุมัติหรอื ไดร้ บั ยกเว้นในการขอ อนมุ ัติตามระเบยี บนี้แล้ว ข้อ ๒๐ ในกรณที ่หี น่วยงานของรัฐไดร้ บั อนุมัตหิ รือไดร้ ับยกเวน้ ตามข้อ ๑๙ ให้จดั ให้มีการเรย่ี ไร หรือเขา้ ไปมสี ว่ นเก่ียวข้องกบั การเรีย่ ไร ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการดงั ต่อไปนี้ (๑) ให้กระทำการเรี่ยไรเป็นการทวั่ ไป โดยประกาศหรอื เผยแพรต่ อ่ สาธารณชน (๒) กำหนดสถานท่หี รอื วธิ กี ารทจี่ ะรบั เงนิ หรอื ทรัพยส์ ินจากการเรี่ยไร (๓) ออกใบเสรจ็ หรือหลักฐานการรบั เงนิ หรือทรัพยส์ นิ ให้แกผ่ บู้ ริจาคทกุ ครัง้ เวน้ แต่โดยลกั ษณะ แหง่ การเรีย่ ไรไมส่ ามารถออกใบเสร็จหรอื หลักฐานดงั กล่าวได้ กใ็ หจ้ ดั ทำเป็นบญั ชีการรับเงินหรอื ทรพั ย์สินนน้ั ไว้ เพื่อใหส้ ามารถตรวจสอบได้ (๔) จดั ทำบญั ชีการรับจ่ายหรอื ทรพั ย์สินทีไ่ ดจ้ ากการเร่ยี ไรตามระบบบญั ชขี องทางราชการ ภายใน เก้าสิบวนั นับแตว่ ันที่ส้นิ สดุ การเร่ยี ไร หรอื ทกุ สามเดือน ในกรณีทเี่ ปน็ การเรี่ยไรท่ีกระทำอยา่ ง ตอ่ เน่อื งและปดิ ประกาศเปดิ เผย ณ ที่ทำการของหน่วยงานของรฐั ที่ได้ทำการเร่ียไรไมน่ ้อยกวา่ สามสบิ วัน เพอื่ ให้บุคคลท่ัวไป ได้ทราบและจดั ใหม้ ี เอกสารเกยี่ วกบั การดำเนนิ การเร่ียไรดังกล่าวไว้ ณ สถานท่ี สำหรับประชาชนสามารถใช้ในการค้นหาและศึกษาขอ้ มลู ข่าวสารของราชการด้วย (๕) รายงานการเงินของการเรี่ยไรพรอ้ มท้งั ส่งบัญชตี าม (๔) ให้สำนกั งานการตรวจเงินแผน่ ดิน ภายในสามสบิ วนั นับแต่วันทไ่ี ด้จดั ทำบัญชตี าม (๔) แล้วเสร็จ หรือในกรณีที่เปน็ การเร่ียไรทีไ่ ดก้ ระทำ อยา่ ง ตอ่ เน่อื ง ใหร้ ายงานการเงนิ พร้อมทั้ง สง่ บัญชีดงั กลา่ วทุกสามเดือน ข้อ ๒๑ ในการเร่ยี ไรหรือเข้าไปมีส่วนเกีย่ วขอ้ งกับการเรย่ี ไร ห้ามมิใหห้ น่วยงานของรัฐ ดำเนนิ การดงั ต่อไปนี้ (๑) กำหนดประโยชน์ที่ผบู้ ริจาคหรอื บุคคลอน่ื จะไดร้ บั ซง่ึ มิใชป่ ระโยชน์ท่หี นว่ ยงาน ของรัฐได้ประกาศไว้ (๒) กำหนดให้ผู้บรจิ าคตอ้ งบริจาคเงนิ หรือทรพั ย์สินเป็นจำนวนหรือมูลคา่ ท่แี น่นอน เวน้ แต่ โดยสภาพมคี วามจำเป็นตอ้ งกำหนดเป็นจำนวนเงนิ ทแ่ี น่นอน เชน่ การจำหน่ายบัตรเข้าชมการ แสดงหรอื บตั รเข้ารว่ มการแข่งขัน เปน็ ตน้ (๓) กระทำการใด ๆ ที่เป็นการบังคับให้บุคคลใดทำการเรีย่ ไรหรอื บริจาค หรอื กระทำ การในลกั ษณะทท่ี ำใหบ้ คุ คลนั้นต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมไม่สามารถปฏิเสธหรอื หลีกเลยี่ งท่ีจะไมช่ ว่ ยทำ การเร่ยี ไรหรือบรจิ าคไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางออ้ ม (๔) ให้เจ้าหน้าทีข่ องรฐั ออกทำการเร่ียไร หรือใช้ สงั่ ขอรอ้ ง หรอื บังคับให้ ผู้ใตบ้ ังคบั บัญชาหรือบคุ คล อื่นออกทำการเรีย่ ไร ข้อ ๒๒ เจา้ หนา้ ท่ขี องรัฐท่เี ขา้ ไปมีส่วนเกี่ยวข้องกบั การเรย่ี ไรของบคุ คลหรอื นิตบิ คุ คลท่ีไดร้ ับ อนุญาตจากคณะกรรมการควบคุมการเร่ียไรตามกฎหมายว่าด้วยการควบคมุ การเร่ียไรซงึ่ มิใชห่ นว่ ยงาน ของรัฐจะต้องไม่กระทำการดังตอ่ ไปน้ี (๑) ใชห้ รอื แสดงตำแหนง่ หน้าท่ีให้ปรากฏในการดำเนนิ การเร่ยี ไรไมว่ ่าจะเปน็ การ โฆษณาดว้ ยส่ิงพิมพ์ตามกฎหมายวา่ ด้วยการพิมพห์ รือส่ืออยา่ งอืน่ หรอื ดว้ ยวิธีการอ่ืนใด (๒) ใช้ สงั่ ขอร้อง หรือบงั คบั ให้ผูใ้ ต้บังคับบัญชา หรือบคุ คลใดชว่ ยทำการเร่ยี ไรให้ หรือ กระทำใน ลักษณะท่ที ำให้ผใู้ ต้บังคบั บญั ชาหรอื บุคคลอ่นื นนั้ ตอ้ งตกอยใู่ นภาวะจำยอมไม่สามารถปฏิเสธ
34 หรือหลกี เลยี่ งทจี่ ะไม่ชว่ ยทำการเร่ยี ไรให้ได้ ไม่วา่ โดยทางตรงหรือทางอ้อม
35 แผนการจดั การเรียนรู้ หนว่ ยที่ ๑ ชอื่ หนว่ ย การคิดแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชนส์ ่วนรวม ชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ ๒ แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี ๒ เรอ่ื ง ระบบคดิ ฐาน ๒ เวลา ๒ ชว่ั โมง ๑. ผลการเรยี นรู้ ๑.๑ มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกีย่ วกบั การแยกแยะระหวา่ งผลประโยชนส์ ่วนตนและผลประโยชน์ สว่ นรวม ๑.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์สว่ นรวมได้ ๑.๓ ตระหนักและเห็นความสำคญั ของการต่อตา้ นและป้องกันการทจุ รติ ๒. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ ๒.๑ มีความรู้ ความเข้าใจเก่ยี วกับการแยกแยะระหว่างผลประโยชน์สว่ นตนและผลประโยชน์ ส่วนรวม ๒.๒ สามารถคดิ แยกแยะระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนและผลประโยชนส์ ่วนรวมได้ ๒.๓ ตระหนักและเห็นความสำคญั ของการต่อตา้ นและป้องกนั การทุจริต ๓. สาระการเรยี นรู้ ๓.๑ ความรู้ ระบบคิด “ฐานสอง( Digital)” เป็นระบบการคิดวิเคราะห์ข้อมูล ท่ีสามารถเลือกได้เพียง ๒ ทางเท่าน้นั คือ ๐ (ศนู ย์) กบั ๑ (หนง่ึ ) และอาจหมายถึงโอกาส ท่ีจะเลือกได้เพียง ๒ ทาง เช่น ใช่ กบั ไมใ่ ช่, จริง กบั เทจ็ , ทำได้ กบั ทำไม่ได,้ ประโยชน์ ส่วนบุคคล กบั ประโยชน์ส่วนรวม เป็นต้น ๓.๒ ทกั ษะ / กระบวนการ (สมรรถนะทีเ่ กิด) ๑) ความสามารถในการสอื่ สาร ทกั ษะการอ่าน ทกั ษะการฟัง ทกั ษะการพดู ทักษะการเขียน ๒) ความสามารถในการคิด ทักษะการวเิ คราะห์ ทักษะการจัดกลุ่ม ทกั ษะการสรุป ๓.๒ คณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ / ค่านยิ ม ๑) มีความรกั ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ๒) อยอู่ ย่างพอเพยี ง ๔. กจิ กรรมการเรียนรู้ วธิ ีสอนโดยการจัดการเรยี นร้แู บบซปิ ปา (CIPPA MODEL) ๔.๑ ข้ันตอนการเรยี นรู้ ขั้นท่ี ๑ ทบทวนความรู้เดิม ๑) ผสู้ อนใหผ้ ู้เรียนร่วมกนั แสดงความคิดเหน็ เกีย่ วกับการคดิ ระบบฐานสอง ๒) ครูอธบิ ายและยกตัวอย่างการคดิ ระบบฐานสอง ขัน้ ท่ี ๒ การแสวงหาความรู้ใหม่ ๑) ผูส้ อนแบง่ กลมุ่ นักเรียนออกเปน็ ๕ กลุ่ม และให้น่งั เป็นกลมุ่ ๒) ผู้สอนเปิดวีดีทศั น์เรื่อง “แก้ทุจริต คดิ ฐานสอง” ๓) ผ้เู รยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกนั ศึกษาความรู้ ระบบคดิ ฐานสอง จากวดี ีทัศน์
36 ๔) ผู้สอนแจกใบความรู้ ให้กับผู้เรยี นแต่ละกล่มุ นักเรยี น ๕) ให้ผู้เรียนศกึ ษาคน้ คว้าข้อมลู เพ่มิ เติม โดยสามารถค้นได้จากแหล่งข้อมูล สารสนเทศ และห้องสมดุ จากเว็บไซด์ ขั้นที่ ๓ การศกึ ษาทำความเข้าใจข้อมลู ความรใู้ หมแ่ ละเชอ่ื มโยงความรูใ้ หม่กับความรู้ เดิม ๑) ผเู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ รว่ มกันศึกษาค้นคว้าข้อมูลและสนทนาแลกเปล่ยี นความคดิ เหน็ เกี่ยวกับ ระบบคดิ ฐานสอง Digital Thinking ตามประเดน็ ทก่ี ำหนดดงั นี้ - Discrete - Merit System (ระบบคณุ ธรรม) - Ethic (จรยิ ธรรม) - Good Governance (ธรรมาภิบาล) - Legal State (นติ ริ ัฐ) - Rule of Law (นติ ิธรรม) - กฎหมายสมัยใหม่ กฎหมายฐานสอง - Modem Stae (รัฐสมัยใหม)่ ๒) ผู้เรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มกันทำใบงานท่ี๑ เรื่องระบบคดิ ฐานสอง โดยใหผ้ ้เู รียนแต่ละ คนในกลุ่มชว่ ยกันคิดหาคำตอบว่าสิ่งไหนถูกสิ่งไหนผิด และช่วยกันอธบิ ายคำตอบให้เพือ่ นในกลุม่ ฟังจน ทกุ คนในกลุ่มมีความรู้ความเข้าใจทถ่ี ูกตอ้ งชดั เจน ๓) ผูส้ อนให้ผเู้ รยี นจดั ทำแผนผังความคิดเก่ียวกบั Digital Thinking ขัน้ ท่ี ๔ การแลกเปล่ียนความรคู้ วามเข้าใจกับกล่มุ ๑) ผสู้ อนสมุ่ เลอื กผ้เู รยี น ๒ คน ของแต่ละกลุ่ม นำเสนอคำตอบในใบงานที่ ๑ หน้าชนั้ เรยี น ๒) เปิดโอกาสใหผ้ เู้ รียนกล่มุ อน่ื ซักถามและเสนอแนะแลกเปล่ียนความคิดเห็นเพิม่ เตมิ เพอ่ื เปน็ การแลกเปลยี่ นเรยี นรูร้ ะหวา่ งกลุ่มซ่ึงกันและกัน ๓) ผสู้ อนเป็นผ้ตู รวจสอบความถูกตอ้ ง และอธิบายเพ่มิ เตมิ ในส่วนท่บี กพร่อง ขัน้ ท่ี ๕ การสรปุ และจัดระเบียบความรู้ ๑) ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมกันสรุป การนำความรูเ้ ก่ียวกบั ระบบคิดฐานสอง Digital Thinking ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวติ ประจำวนั ของตนเองและผูอ้ ืน่ ขน้ั ที่ ๖ การปฏบิ ัติและ/หรอื แสดงผลงาน ๑) ผูเ้ รยี นทุกคนทำแบบทดสอบหลงั เรียนหน่วยการเรยี นรูห้ นว่ ยที่ ๑ ๒) ผสู้ อนและผ้เู รยี นรว่ มกนั ประเมนิ แบบทดสอบหลังเรียนหน่วยการเรยี นรู้หนว่ ยที่ ๑ ขั้นที่ ๗ การประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ ๑) ผสู้ อนถามผเู้ รยี นเกย่ี วกับการนำความร้ทู ี่ได้ไปประยุกตใ์ ชก้ ับตนเองและครอบครวั ๒) ผสู้ อนและผูเ้ รียน รว่ มกันสรปุ แนวทางวิธกี ารนำความรไู้ ปประยกุ ต์ใชเ้ พื่อปอ้ งกัน และแกไ้ ขปัญหาการทุจริต ๔.๒ ส่ือการเรียนรู้ / แหล่งการเรียนรู้ ๔.๒.๑ ส่ือการเรยี นรู้ ๑) ใบความรู้ เร่ืองระบบคิดฐานสอง
37 ๒) ใบงานท่ี ๑ หลงั เรยี น (ควรมีแนวตอบดว้ ย) เร่ืองระบบคิดฐานสอง ๓) แบบทดสอบ ๔) วดี ที ัศน์ เร่ือง แกท้ ุจริต คดิ ฐานสอง ๕) เคร่อื งคอมพวิ เตอรท์ ่เี ช่ือมต่อระบบอนิ เตอร์เน็ต ๔.๒.๒ แหลง่ เรียนรู้ ๑) ห้องสมุดโรงเรียน ๒) แหล่งขอ้ มูลสารสนเทศ - http://web.uprightschool.net/ - https://www.nacc.go.th/more_news.php?cid - https://youtu.be/FEfrARhWnGc ๕. การประเมินผลการเรยี นรู้ ๕.๑ วธิ กี ารประเมนิ ๕.๑.๑ ตรวจใบงานที่ ๑ ๕.๑.๒ ประเมนิ การนำเสนองาน ๕.๑.๓ สังเกตพฤตกิ รรมการทำงานรายบุคคล ๕.๑.๔ สังเกตคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๕.๑.๕ ตรวจแบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรียนรูท้ ี่ ๑ ๕.๒ เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ ๕.๒.๑ ใบงานที่ ๑ ๕.๒.๒ แบบประเมินการนำเสนอผลงาน ๕.๒.๓ แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล ๕.๒.๔ แบบประเมินคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ ๕.๒.๕ แบบทดสอบหลงั เรยี น หน่วยการเรียนรูท้ ่ี ๑ ๕.๓ เกณฑ์การตัดสิน ๕.๓.๑ ใบงานที่ ๑ - นกั เรียนตอ้ งผา่ นเกณฑ์การประเมิน ใน ระดับดีข้ึนไป ๕.๓.๒ แบบประเมินการนำเสนอผลงาน - นกั เรยี นตอ้ งผ่านเกณฑ์การประเมิน ใน ระดบั ดขี ึ้นไป ๕.๓.๓ แบบสงั เกตพฤติกรรมรายบุคคล - นกั เรียนตอ้ งผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ใน ระดับดขี นึ้ ไป ๕.๓.๔ แบบประเมนิ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ - นักเรยี นตอ้ งผ่านเกณฑ์การประเมนิ ใน ระดบั ดขี น้ึ ไป ๕.๓.๕ แบบทดสอบหลังเรียน หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี ๑ - นักเรยี นต้องผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ใน ระดบั ดีขน้ึ ไป ๖. บนั ทึกหลังการจัดการเรยี นรู้ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ...............................
38 ลงชอื่ ........................................ครผู ้สู อน (..................................................) ๗. ความคดิ เห็นผู้บริหาร ............................................................................................................................. ......................................... ............................................................................................................................. ..................... ลงชอื่ .....................................ผู้บรหิ าร (นายจรัญ วารินทร์) ผู้อำนวยการโรงเรยี นบา้ นบวั ถนน ๘.ภาคผนวก ๑) ใบความรู้ เร่ือง ระบบคิดฐานสอง (Digital) ๒) ใบงานท่ี ๑ เรือ่ ง ระบบคิดฐานสอง (Digital) ๓) แบบประเมินการนำเสนอผลงาน เรอ่ื ง ระบบคิดฐานสอง ๔) แบบสงั เกตพฤติกรรมการทำงานของผู้เรยี นเปน็ รายบุคคล ๕) แบบประเมนิ คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของนักเรียน ๖) แบบทดสอบหลงั เรียน หน่วยการเรยี นรู้ที่ ๑ “ระบบการคดิ ฐานสอง”
39 ใบความรู้ เรอื่ ง ระบบคิดฐานสอง (Digital) ความหมาย ระบบคดิ “ฐานสอง(Digital)” เป็นระบบการคิดวิเคราะหข้อมูล ท่ีสามารถเลือกได้ เพียง ๒ ทางเทา่ นั้น คือ ๐ (ศูนย) กับ ๑ (หนง่ึ ) และอาจ หมายถงึ โอกาส ทจ่ี ะเลอื กได้ เพียง ๒ ทาง เช่น ใช่ กบั ไมใ่ ช่, จรงิ กบั เท็จ, ทำได้ กบั ทำไม่ได,้ ประโยชน์ ส่วนบุคคลกบั ประโยชน์ ส่วนรวม เปน็ ต้น จงึ เหมาะกับการนำมา เปรียบเทยี บกบั การปฏบิ ตั ิงาน ของเจ้าหน้าท่ีของรฐั ทต่ี ้อง สามารถแยกเรือ่ งตำแหนง่ หน้าที่กับเร่อื งส่วนตัวออกจาก กนั ได้อย่าง เด็ดขาด และไม่กระทำการทีเ่ ป็นการขดั กนั ระหว่างประโยชน์ ส่วนบุคคลและประโยชน์ ส่วนรวม “การปฏิบตั ิงานแบบใช้ระบบคิดฐานสอง (Digital)” คอื การท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐ มีระบบการคิด ท่สี ามารถแยกเรื่อง ตำแหน่งหน้าท่ีกับเรื่องส่วนบุคคลออกจากกันได้อย่างชดั เจน ว่าส่ิงไหนถกู ส่ิงไหนผดิ สงิ่ ไหนทำได้สงิ่ ไหนทำไม่ได้ ส่ิงไหนคือประโยชน์ส่วนบุคคลสงิ่ ไหน คือประโยชน์ส่วนรวม ไมน่ ำมาปะปน กัน ไมน่ ำบุคลากรหรือทรพั ยสนิ ของราชการมาใช้ เพื่อ ประโยชน์ส่วนบคุ คล ไมเ่ บียดบงั ราชการ เหน็ แก่ ประโยชน์ส่วนรวมหรอื ของหน่วยงานเหนือกว่า ประโยชน์ของส่วนบุคคล เครือญาติ และพวกพ้อง ไม่ แสวงหาประโยชน์จากตำแหน่งหน้าที่ ราชการไมรับทรัพยสินหรือประโยชนอื่นใดจากการปฏบิ ตั ิหน้าท่ี กรณเี กดิ การขัดกันระหว่าง ประโยชน์ส่วนบคุ คลและประโยชน์ส่วนรวม ก็จะยดึ ประโยชน์ส่วนรวมเป็น หลัก
40 ใบงานท่ี ๑ เรอื่ ง ระบบคิดฐานสอง (Digital) คำสัง่ ๑. ใหผ้ ู้เรียนจดั ทำแผนผงั ความคดิ เกย่ี วระบบคิดฐานสอง Digital Thinking ใหถ้ ูกต้องสมบูรณ์ Digital Thinking
41 แบบประเมินการนำเสนอผลงาน เรอื่ ง ระบบคิดฐานสอง คำชแี้ จง ให้ผสู้ อน ประเมนิ การนำเสนอผลงานของนักเรียนตามรายการท่กี ำหนด แลว้ ขดี √ ลงในชอ่ ง ที่ ตรงกับคะแนน ลำดับ รายการประเมิน ระดบั คะแนน ที่ ๔ ๓ ๒๑ ๑ เนื้อหาละเอียดชัดเจน ๒ ความถกู ต้องของเน้ือหา ๓ ภาษาที่ใชเ้ ข้าใจงา่ ย ๔ ประโยชนท์ ี่ได้จากการนำเสนอ ๕ วิธกี ารนำเสนอผลงาน รวม ลงช่ือ ............................................... ผู้ประเมิน . ........./............................./......... เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมสมบูรณ์ชัดเจน ให้ ๔ คะแนน ผลงานหรอื พฤตกิ รรมมีข้อบกพรอ่ งบางสว่ น ให้ ๓ คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมขี ้อบกพร่องเปน็ ส่วนใหญ่ ให้ ๒ คะแนน ผลงานหรือพฤตกิ รรมมีข้อบกพรอ่ งมาก ให้ ๑ คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ชว่ งคะแนน ระดับคุณภาพ ๑๘ – ๒๐ ดีมาก ๑๔ – ๑๗ ดี ๑๐ – ๑๓ พอใช้ ต่ ากวา่ ๑๐ ปรับปรุง
42 แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานของผเู้ รียนเป็นรายบุคคล กลมุ่ ที่…….......... คำช้แี จง ผสู้ อนสงั เกตการณ์ทำงานของผ้เู รียน โดยทำเคร่ืองหมายถกู ลงในช่องทีต่ รงกบั ความเปน็ จริง พฤติกรรม ความสนใจใน การมีสว่ นรว่ ม การรับฟัง การตอบ ความ รวม การเรยี น แสดงความ ความคิดเหน็ คำถาม รบั ผดิ ชอบตอ่ คะแนน คิดเห็นในการ ของผู้อนื่ งานท่ีได้รบั อภปิ ราย ๒๑๐ มอบหมาย ๑๐ ชอ่ื สกุล ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒ ๑ ๐ ๒๑๐ ๑ ให้ ๒ คะแนน ให้ ๑ คะแนน ๒ ให้ ๐ คะแนน ๓ ระดบั คุณภาพ ดีมาก ๔ ดี พอใช้ ๕ ปรบั ปรุง ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรอื พฤติกรรมสมบรู ณช์ ดั เจน ผลงานหรือพฤตกิ รรมมขี ้อบกพร่องบางสว่ น ผลงานหรือพฤตกิ รรมมีข้อบกพรอ่ งมาก เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ๙ – ๑๐ ๗–๘ ๕–๖ ๐–๔
43 แบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน เลข พฤติ ๑.มีความ ๒.ซอื่ สตั ย์ ๓.ใฝห่ า ๔.มีศลิ ๕.มี ๖.มคี วาม หม ท่ี กรรม รักชาติ เสยี สละ ความรู้ ธรรมรักษา ระเบียบ เข้มแข็งทั้ง าย อดทนมี หมนั่ ศกึ ษา ความสตั ย์ วินัย ร่างกาย เหตุ ศาสนา อดุ มการณ์ เลา่ เรยี น หวังดีตอ่ เคารพ และจติ ใจ พระ ในส่งิ ท่ดี ี ทงั้ ทางตรง ผูอ้ นื่ เผ่ือแผ่ กฎหมาย ไมย่ อมแพ้ มหากษ งามเพื่อ และ และ ผนู้ อ้ ยรู้จกั ตอ่ อำนาจ ตริย์ สว่ นรวม ทางอ้อม แบง่ ปนั การเคารพ ฝา่ ยต่ำหรือ ผู้ใหญ่ กเิ ลสมี ความ ละอาย เกรงกลัว ชอ่ื ตอ่ บาป สกลุ ตามหลกั ของศาสนา ๓๒๑๐๓๒๑๐๓๒๑๐๓๒๑๐๓๒๑๐๓๒๑๐ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ลงช่อื ……………………………………………………ผปู้ ระเมิน (…………………………………………………..) เกณฑ์การให้คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมสมบรู ณช์ ัดเจน ให้ ๓ คะแนน ผลงานหรือพฤติกรรมมขี ้อบกพร่องบางสว่ น ให้ ๒ คะแนน ผลงานหรอื พฤติกรรมมีข้อบกพร่องเป็นส่วนใหญ่ ให้ ๑ คะแนน ผลงานหรอื พฤติกรรมมีข้อบกพร่องมาก ให้ ๐ คะแนน
44 เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ ระดบั คุณภาพ ช่วงคะแนน ดมี าก ๑๖-๑๘ ดี ๑๓-๑๕ พอใช้ ๑๐-๑๒ ปรับปรุง ตำ่ กว่า ๑๐
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305