บทท่ี 12 เชือ้ เพลิง ซากดึกดาบรรพแ์ ละผลติ ภณั ฑ์ พลงั งานเปน็ ปัจจัยพน้ื ฐานท่สี าคญั ในการดารงชีวติ สตั ว์และพืช เมื่อประชากรเพ่ิมขึน้ อย่างมากสง่ ผลให้มีการใช้เชอ้ื เพลง ในปริมาณมากขึ้นไปด้วย เชื้อเพลิงที่มีการนามาใชม้ ากที่สุด มี 3 ประเภท คือ 1. น้ามนั 2. แก๊สธรรมชาติ 3. ถา่ นหิน เช้ือเพลิงซากดกึ ดาบรรพ์ คือ เชอื้ เพลิงทีเ่ ปลย่ี นสภาพมาจากสิ่งมีชีวิตในยคุ ตา่ งๆ โดยกระบวนกาทางธรณีวิทยาและธรณีเคมี เชน่ น้ามนั แก๊ส ธรรมชาติ และถา่ นหนิ หัวข้อทีจ่ ะใชเ้ รียนในบทน้ี 4. พอลเิ มอร์ ประเภทของพอลิเมอร์ 1. ถา่ นหิน ปฏกิ ริ ิยาพอลิเมอร์ไรเซชัน การเกดิ ถ่านหิน ผลติ ภัณฑ์จากพอลิเมอร์ การใช้ประโยชนจ์ ากถา่ นหนิ พลาสตกิ 2. หนิ น้ามัน เส้นใย การเกดิ หินน้ามัน ยาง การใช้ประโยชนจ์ ากหนิ นา้ มนั ความก้าวหนา้ ทาวเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์พอลิ เมอร์สงั เคราะห์ 3. ปโิ ตรเลยี ม การเกดิ ปิโตรเลยี ม 5. มลภาวะทเ่ี กิดจากการใช้ผลิตภณั ฑจ์ ากเชอื้ เพลิงซาก การสารวจปิโตรเลียม ดึกดาบรรพ์ การกลน่ั นา้ มันดิบ การแยกแก๊สธรรมชาติ มลภาวะทางอากาศ ปโิ ตรเคมภี ัณฑ์ มลภาวะทางนา้ มลภาวะทางดนิ บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
1. ถา่ นหิน เปน็ หินตะกอนทีก่ าเนดิ มาจากซากพชื ลกั ษณะแข็งแต่เปราะ มสี ีน้าตาลถงึ ดา มีทง้ั ชนดิ ผวิ มนั และผิวด้าน องคป์ ระกอบหลกั ในถา่ นหินคอื ธาตุคารบ์ อน และธาตุอน่ื ๆ เช่น ไฮโดรเจน ออกซเิ จน ไนโตรเจน และกามะถัน นอกจากนอ้ี าจพบธาตุทม่ี ปี รมิ าณนอ้ ย เชน่ ปรอท สารหนู ซลี เี นียม โครเมียม นกิ เกิล ทองแดง และแคดเมียม ซึ่ง เปน็ สาเหตสุ าคญั ที่ก่อให้เกดิ ปัญหากบั สุขภาพและสิ่งแวดล้อม การเกดิ ถา่ นหิน ปจั จยั ท่ีมีผลต่อสมบตั ิของถา่ นหิน การที่สมบัติทางกายภาพและทางเคมีของถา่ นหินตามแหลง่ ตา่ ง ๆ แตกต่างกนั เป็นผลจากปัจจัยหลายอย่างดังน้ี 1. ชนดิ ของพืช 2. การเน่าเป่อื ยที่เกดิ ขึน้ การถกู ฝงั กลบ 3. ปรมิ าณสารอนนิ ทรยี ์ทป่ี นเปือ้ นในขั้นตอนการเกดิ 4. อุณหภมู ิและความดันในขณะที่มกี ารเปล่ยี นแปลง บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ประเภทของถ่านหิน 1. พีต (Peat) เป็นข้นั แรกใน กระบวนการเกดิ ถ่านหิน ในระดบั ต่าสดุ 1 ประกอบดว้ ยซากพชื ซ่งึ บางส่วนได้ สลายตวั ไปแล้วสามารถใชเ้ ป็นเชือ้ เพลิง 2. ลกิ ไนต์ (Lignite) มซี ากพืช หลงเหลืออย่เู ล็กน้อย มคี วามชนื้ มาก เป็นถา่ นหินที่ใช้เป็นเชื้อเพลิง 2 3. ซับบทิ ูมนิ สั (Subbituminous) มสี ี 3 ดา เป็นเชอ้ื เพลงิ ที่มคี ุณภาพเหมาะสมใน การผลติ กระแสไฟฟา้ 4 4. บิทูมินสั (Bituminous) เปน็ ถา่ นหนิ เนือ้ แน่น แข็งและมกั จะประกอบด้วยชั้น 5 ถา่ นหนิ สดี าสนทิ เปน็ มันวาวใชเ้ ป็นถา่ น หินเพ่อื การถลุงโลหะได้ 5. แอนทราไซต์ (Anthracite) เป็น ววิ ัฒนาการการเกิดถ่านหินชัน้ สูงสุด ท่ี เปลยี่ นสภาพมาจากบิทมู นิ ัส มคี ุณภาพดี ที่สุด ให้ค่าความร้อนสูง ควันน้อยมาก หรือเกือบไม่มเี ลย ตดิ ไฟแลว้ เผาไหมเ้ ป็น เวลานาน ถา้ มกี ารเผาไหมถ้ ่านหินแตล่ ะชนดิ ทีม่ ีมวลเทา่ กันจะให้พลงั งานแตกตา่ งกนั การเผาไหม้คาร์บอน (แกรไฟต์) จะให้พลังงานความรอ้ น 32. 8 กโิ ล/กรัม แตก่ ารเผาไหม้ถา่ นหินให้ พลังงานความร้อนเฉลีย่ ประมาณ 30.6 กโิ ล/กรัม จึงบอกได้วา่ “พลังงานความร้อนทไ่ี ด้จากการเผาไหม้ ข้ึนอย่กู บั ปริมาณคาร์บอนที่เปน็ องคป์ ระกอบใน ถา่ นหนิ ” ดังนั้นการเผาไหม้ถา่ นหนิ แตล่ ะชนดิ ทมี่ ีมวลเท่ากัน จะใหพ้ ลังงานความร้อนแตกต่างกันตามปริมาณ คาร์บอนท่ีมอี ยู่ในถา่ นหนิ ซึ่งมีลาดับจากน้อยไปมากดังตาราง บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ปริมาณร้อยละของธาตุองค์ประกอบและความชน้ื ของถา่ นหนิ ชนิดต่าง ๆ เทียบกบั ไม้ ชนิดของสาร C ปริมาณขององคป์ ระกอบ (ร้อยละโดยมวล) HO N S ความชนื้ ไม้ 50 6 43 1-* พีต 50 – 60 5 – 6 35 – 40 2 1 75 – 80 ลิกไนต์ 60 – 75 5 – 6 20 – 30 1 1 50 – 70 ซบั บิทูมินัส 75 – 80 5 – 6 15 – 20 1 1 25 – 30 บทิ มู นิ สั 80 – 90 4 – 6 10 – 15 1 5 5 – 10 แอนทราไซต์ 90 – 98 2 – 3 2 – 3 1 1 2–5 * ขึ้นอยู่กับชนดิ ของพนั ธไุ์ ม้ * พลังงานความร้อนที่ได้จากการเผาไหม้ถา่ นหนิ ขนึ้ อยู่กบั ปรมิ าณธาตคุ าร์บอนที่เปน็ องคป์ ระกอบในถา่ นหิน แหลง่ ถา่ นหนิ ในประเทศไทย ประเทศไทยยงั มีทรพั ยากรถา่ นหินเป็นจานวนมากทสี่ ามารถพัฒนาขึ้นมาใช้ประโยชน์ได้ โดยแหล่งถ่านหินท่ีพบ ในประเทศไทยเปน็ ถา่ นหินที่เกดิ ในยคุ เทอรเ์ ชยี รแ่ี ละยุคคาร์บอนิเฟอรัส ประเภทของถ่านหินในประเทศส่วนใหญ่เป็นถ่าน หินลิกไนต์และซับบิทูมินัส โดยมีการพบถ่านหินแอนทราไซต์เพียง 2 แห่งเท่าน้ัน เป็นแหล่งถ่านหินที่มีปริมาณสารอง ค่อนขา้ งนอ้ ย คือ เหมอื งนาดว้ ง จงั หวดั เลย ซึ่งในปจั จุบันน้ีไดห้ ยดุ ทาเหมอื งแล้ว และเหมืองนากลาง จังหวัดหนองบัวลาภู แหล่งถ่านหินของประเทศส่วนใหญ่พบอยู่ในภาคเหนือ เช่น จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ลาพูน พะเยา ตากแพร่ และ เพชรบูรณ์ นอกจากนี้ยังพบในภาคตะวันตก เช่น จังหวัดเพชรบุรีและประจวบคีรีขันธ์ ภาคใต้ เช่น จังหวัด นครศรีธรรมราช สุราษฎรธ์ านี ตรงั สงขลา และกระบ่ี การใช้ประโยชนจ์ ากถ่านหิน 1. ถา่ นหนิ ถูกนามาใช้เปน็ แหลง่ พลังงานมากกว่า 3000 ปี ประเทศจนี เป็นประเทศแรก ๆ ท่นี าถา่ นหินมาใชเ้ ปน็ เช้อื เพลิงในการถลงุ ทองแดง ปจั จบุ ันการใช้ประโยชนจ์ ากถ่านหนิ ส่วนใหญใ่ ช้เปน็ เชอ้ื เพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า การ ถลงุ โลหะ การผลติ ปนู ซเี มนต์ และอุตสาหกรรมทใี่ ช้เคร่ืองจักรไอน้า การผลิตกระแสไฟฟ้าท่วั โลกใช้พลงั งานจากถ่านหนิ ประมาณร้อยละ 39 2. ถ่านหินยังนามาทาเป็น ถา่ นกัมมนั ต์ (Activated carbon) เพือ่ ใชเ้ ป็นสารดูดซบั กลนิ่ ในเครือ่ งกรองน้า เคร่อื ง กรองอากาศ หรอื ในเคร่ืองใช้ตา่ ง ๆ ทาคาร์บอนไฟเบอร์ซงึ่ เป็นวสั ดทุ ่มี ีความแข็งแกร่ง แต่นาหนกั เบา สาหรบั ใชท้ า อุปกรณ์กีฬา เชน่ ด้ามไม้กอลฟ์ ไม้แบดมินตัน ไม้เทนนสิ 3. นกั วทิ ยาศาสตรพ์ ยายามเปลี่ยนถ่านหนิ ใหเ้ ป็นแก๊ส และแปรสภาพถา่ นหนิ ใหเ้ ปน็ ของเหลว เพื่อเพิ่มคณุ ค่า ทางดา้ นพลังงานและความสะดวกในการขนสง่ ด้วยระบบท่อสง่ เช้ือเพลิงแก๊สหรอื ของเหลวนจี้ ะถกู เปล่ียนเป็นผลติ ภัณฑ์ เคมอี นื่ ๆ ที่มีประโยชน์ รวมทัง้ เป็นการชว่ ยเสริมปรมิ าณความตอ้ งการใชเ้ ช้อื เพลิงธรรมชาตจิ ากปโิ ตรเลียมดว้ ย บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
2. หนิ น้ามัน เปน็ หินตะกอนเนื้อละเอียดขนาดตัง้ แตห่ ินทรายแป้งลงมา ท่ีมา : http://www.promma.ac.th ส่วนใหญเ่ ปน็ หนิ ดินดาน มสี นี า้ ตาลอ่อนจนถึงน้าตาลแก่ มอี ินทรียสารทเ่ี รยี กวา่ เคอโรเจน (kerogene) เปน็ สาร น้ามนั ปนอยู่ในเนอ้ื หิน มกั มกี ารเรยี งตวั เป็นชั้นบาง ๆ ถา้ จุดไฟจะติดไฟ ชาวบา้ นเรียก หนิ ตดิ ไฟหรอื หินดินดานน้ามนั ใชป้ ระโยชนใ์ นการกล่นั เอาน้ามันใชเ้ ป็นเชอื้ เพลงิ แหลง่ หินน้ามันทส่ี าคญั ในประเทศไทยไดแ้ ก่ แหลง่ ที่อาเภอ แม่สอด แม่ระมาด และที่อาเภออุ้มผาง จังหวัดตาก แหล่งบ้านป่าคา อาเภอล้ี จงั หวดั ลาพูน และแหลง่ ทีอ่ าเภอเมอื ง จังหวดั กระบ่ี เคอโรเจน (Kerogen) เปน็ สารอินทรียท์ ี่เป็นของแขง็ ลกั ษณะเป็นไข มีขนาดโมเลกลุ ใหญ่ มีมวลโมเลกุลมากกว่า 3000 ประกอบด้วย C 64–89% H 7.1–12.8% N 0.1– 3.1% S 0.1–8.7% O 0.8–24.8% โดยมวล หนิ น้ามนั คุณภาพดีจะมีสีน้าตาลไหม้จนถงึ สดี า มีลักษณะแข็งและเหนียว เม่ือสกัดหินน้ามันด้วยความร้อนท่ีเพียงพอ เคอโร เจน จะสลายตวั ให้ น้ามันหิน ซ่ึงมีลักษณะคล้ายน้ามันดิบ ถ้ามีปริมาณเคอโรเจนมากก็จะ ได้น้ามันหินมาก การเผาไหม้น้ามันหินจะมีเถ้ามากกว่าร้อยละ 33 โดยมวลโดยในขณะที่ ถ่านหินมีเถา้ นอ้ ยกวา่ รอ้ ยละ 3 ลกั ษณะของหินนา้ มันท่ีมีเคอโรเจนอยู่ในช้ันหินตะกอน ทม่ี า : http://www.oknation.net บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การเกิดหินน้ามนั สว่ นประกอบของหินนา้ มนั มี 2 ประเภท ดังน้ี 1. สารประกอบอนินทรีย์ ได้แก่ แรธ่ าตตุ ่าง ๆ ที่ผุพังมาจากช้ันหินโดยกระบวนการทางกายภาพและ ทางเคมี ประกอบดว้ ยแร่ธาตุทสี่ าคญั 2 กลุ่มใหญ่ ๆ คือ กลมุ่ แร่ซิลิเกต ไดแ้ ก่ ควอทซ์ เฟลสปาร์ และเคลย์ กลุม่ แร่คารบ์ อเนต ได้แก่ แคลไซต์ โดโลไมต์ นอกจากนี้ ยังมแี ร่ซลั ไฟด์อ่นื ๆ และฟอสเฟต ปริมาณแร่ธาตุในหินนา้ มนั แตล่ ะแหง่ จะแตกตา่ งกันตามสภาพการ กาเนดิ การสะสมตัวของหนิ น้ามัน และสภาพแวดล้อม 2. สารประกอบอินทรยี ์ ประกอบดว้ ย บิทูเมน ละลายได้ในเบนซีน เฮกเซน และตัวทาละลายอินทรีย์อ่นื ๆ จึงแยกออกจากหินนา้ มันได้งา่ ย และเคอโรเจน ไมล่ ะลายในตัวทาละลาย หินน้ามนั ทม่ี สี ารอินทรียล์ ะลายอยู่ในปริมาณสูงจัดเปน็ หินน้ามนั คณุ ภาพดี เมื่อนามาสกดั ควรให้น้ามันอย่างน้อย ร้อยละ 50 ของปริมาณสารอินทรยี ท์ ีม่ ีอยู่ แตอ่ าจไดน้ า้ มันเพยี งรอ้ ยละ 30 หรอื น้อยกว่า แตถ่ า้ มสี ารอนินทรยี ป์ นอยู่มาก จะเป็นหนิ น้ามันคุณภาพต่า *** ประเทศไทยมีแหล่งหนิ น้ามันอยู่ที่ อ.แม่สอด จ. ตาก แตย่ งั ไม่มกี ารขดุ ขน้ึ มาใชเ้ นอื่ งจากมีปริมาณเคอโรเจน ตา่ กวา่ รอ้ ยละ 10 ยังไมค่ มุ้ กับการลงทุน บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
การใชป้ ระโยชน์จากหินน้ามัน การทาเหมืองเพื่อผลติ หินนา้ มันมคี ่าใชจ้ ่ายสงู กวา่ การใช้เชื้อเพลิงจากปโิ ตรเลยี มโดย ตรง ประเทศ เอสโตเนยี นาหนิ น้ามนั มาใช้ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2463 ปัจจบุ นั เปน็ ประเทศที่ใชห้ ินน้ามนั มากทีส่ ุด สว่ นใหญใ่ ช้เปน็ เชือ้ เพลิงใน การผลติ กระแสไฟฟ้า ผลพลอยไดจ้ ากแรธ่ าตุส่วนน้อย (trace elements) ที่มีอยู่ในหินนา้ มนั และสารประกอบทีเ่ กิดขึน้ จาก กระบวนการสกัดหินน้ามัน คือ ยูเรเนยี ม วาเนเดียม สังกะสี โซเดียมคาร์บอเนต แอมโมเนียมซัลเฟตและกามะถนั นา้ มนั และผลพลอยได้เหลา่ น้ีสามารถนาไปใชผ้ ลิตผลติ ภณั ฑ์ต่าง ๆ หลายชนดิ เชน่ ใยคาร์บอน คารบ์ อนดูดซบั คาร์บอนแบลก็ และปยุ๋ หนิ นา้ มันใชเ้ ปน็ แหลง่ พลังงานไดเ้ ช่นเดียวกับถ่านหนิ หนิ น้ามัน 1000 กโิ ลกรมั เม่ือนามาผ่าน กระบวนการสกดั สามารถสกัดเปน็ นา้ มันหนิ ได้ประมาณ 100 ลติ ร ผลิตภณั ฑท์ ไี่ ด้ประกอบดว้ ยนา้ มนั ก๊าด น้ามันตะเกียง พาราฟิน น้ามันเชอ้ื เพลงิ น้ามนั หล่อลน่ื ไข แนฟทา และผลติ ภณั ฑ์ท่ีเปน็ ผลพลอยได้อนื่ ๆ เช่น แอมโมเนยี มซลั เฟตหิน นา้ มัน หมายถงึ หนิ ตะกอนเน้ือละเอียดทีม่ ีการเรยี งตวั เป็นช้ันบาง ๆ มสี ารประกอบอินทรยี ์ทีส่ าคัญคือ เคอโรเจน (kerogen) แทรกอยู่ระหว่างชนั้ หนิ ตะกอนโดยทว่ั ไปมีความถ่วงจาเพาะ 1.6–2.5 ความรเู้ พิม่ เติม : ปรมิ าณหินน้ามันทีผ่ ลิตได้ในโลกนาไปใช้ ในงานตา่ ง ดังนี้ ร้อยละ 69 ใชเ้ ปน็ เช้ือเพลงิในการผลิตกระแสไฟฟ้า และใหค้ วามร้อน ร้อยละ 6 ใช้ในการผลติ ซเี มนตแ์ ละอ่นื ๆ รอ้ ยละ 25 นาไปสกัดเปน็ น้ามันหินและแกส๊ เพ่ือ นาไปผ่านกระบวนการปรบั ปรุงเปลยี่ นแปลงเป็น เช้ือเพลิงและผลิตภัณฑ์ท่ีมีประสิทธิภาพต่อไป บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
3. ปโิ ตรเลยี ม คาว่า ปิโตรเลียม มีรากศัพท์มาจากภาษาละตินว่า เพทรา ( Petra) แปลว่า หิน และคาว่า โอลิอุม (Oleum) แปลว่า นำ้ มนั รวมความแลว้ ปิโตรเลียมจงึ หมายถึง น้ำมันที่ไดม้ ำจำกหนิ เป็นสารทเี่ กดิ ขน้ึ ตามธรรมชาติ เป็นของผสมของโฮโดรคาร์บอนชนดิ ต่างๆ ท่ยี ุ่งยากและซบั ซ้อน ปโิ ตรเลยี มจะปรากฏอยู่ในสถานะต่างๆ ดังน้ี สถานะของเหลว ได้แก่ น้ามันดิบ นา้ มนั ดบิ มอี งค์ประกอบสว่ นใหญ่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนประเภทแอลเคนและไซโคลแอลเคน อาจมีสารประกอบของกามะถัน ไนโตรเจน และสารประกอบออกไซด์อื่นๆปนอย่ดู ้วยเล็กน้อย สถานะแกส๊ ได้แก่ แกส๊ ธรรมชาติ แก๊สธรรมชาติ มีองค์ประกอบหลักคือสารประเภทไฮโดรคาร์บอนที่มี C 1-5 อะตอม ซ่ึงมีปริมาณร้อย ละ 95 ท่เี หลือเป็นแกส๊ ไนโตรเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ บางครง้ั พบแกส๊ ไฮโดรเจนซลั ไฟตป์ ะปนอยู่ด้วย โดยปกตนิ า้ มนั ดิบและกา๊ ซธรรมชาติมกั จะเกิดร่วมกนั ในแหล่งปิโตรเลยี ม แต่บางแหล่งอาจมีเฉพาะน้ามันดิบ บาง แหล่งอาจมีเฉพาะก๊าซธรรมชาตกิ ็ได้ สว่ นก๊าซธรรมชาติเหลวน้ันหมายถึง ก๊าซธรรมชาติในแหล่งท่ีอยู่ลึกลงไปใต้ดินภายใต้ สภาพอุณหภูมิและความกดดันท่ีสูง เมื่อถูกนาขึ้นมาถึงระดับผิวดินในข้ันตอนของการผลิต อุณหภูมิและความกดดันจะ ลดลง ทาให้กา๊ ซธรรมชาติกลายสภาพไปเปน็ ของเหลว เรยี กว่า ก๊าซธรรมชาตเิ หลว ชนิดของปิโตรเลยี ม ปรมิ าณเปน็ ร้อยละโดยมวล น้ามนั ดบิ C HS N แก๊สธรรมชาติ 82 – 87 0.1 – 1 65 – 80 12 – 15 0.1 – 1.5 1 – 15 1 – 25 0.2 บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
การเกิดปิโตรเลยี ม แหลง่ กกั เก็บปิโตรเลยี ม ปิโตรเลียมท่ีเกิดอยู่ในชั้นหิน จะมีการเคลื่อนตัวออกไปตามรอยแตกและรูพรุนของหินไปสูระดับความลึกน้อยกว่า แล้วสะสมตัวอยู่ในโครงสร้างหินที่มีรูพรุน มีโพรง หรือรอยแตกในเนื้อหินท่ีสามารถให้ปิโตรเลียมสะสมตัวอยู่ได้ ด้านบน เป็นหนิ ตะกอนหรือหินดินดานเนื้อแน่นละเอยี ดปิดกั้นไม่ให้ปิโตรเลียมไหลลอดออกไปได้ โครงสร้างปิดกั้นดังกล่าวเรียกว่า แหลง่ กักเกบ็ ปโิ ตรเลยี ม 1. แหล่งกกั เก็บปโิ ตรเลียมทเ่ี กดิ จากโครงสรา้ งทางธรณวี ิทยา (Structural Trap) เปน็ ลกั ษณะโครงสรา้ งท่ี เกิดจากการเปลยี่ นรูปของชัน้ หิน เชน่ การพบั (Folding) หรือการแตก (Faulting) หรอื ท้ังสองอย่างทเี่ กิดข้นึ กับหินอุ้ม ปิโตรเลยี ม (Reservoir Trap) และหนิ ปดิ กั้นปโิ ตรเลียม (Cap Rock) ท่มี กั จะสะสมน้ามันไว้ ได้แก่ 1.1 ช้ันหินกักเก็บปิโตรเลียมโครงสร้างรูปโค้งประทุนคว่า (Anticline Trap) เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ทาให้ชั้นหินมีรูปร่างโค้งคล้ากระทะคว่าหรือหลังเต่า น้ามันและก๊าซธรรมชาติจะไหลขึ้นไปสะสมตัวอยู่บริเวณจุดสูงสุดของโครงสร้างและมี หินปิดกั้นวางตัวทับอยู่ด้านบน โครงสร้างแบบนี้ถือว่ามีประสิทธิภาพในการกักเก็บ น้ามันได้ดีที่สุด จากสถิติท่ัวโลกพบว่า กว่า 80% ของน้ามันดิบทั่วโลกถูกกักเก็บอยู่ ภายใตโ้ ครงสร้างนี้ 1.2 ช้ันหินกักเก็บปิโตรเลียมโครงสร้างรูปรอยเล่ือนของชั้นหิน (Fault Trap) เกิดจากการหักงอของชั้นหิน ทาให้ช้ันหินเคลื่อนไปคน ละแนว ซึ่งทาหน้าที่ปิดกั้นการเคล่ือนตัวของปิโตรเลียมไปสู่ท่ีสูงกว่า แหล่งน้ามันและก๊าซธรรมชาติในประเทศไทยมักพบในโครงสร้างกัก เกบ็ ชนิดน้ี บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
1.3 ช้ันหินกักเก็บปิโตรเลียมโครงสร้างรูปโดม (Salt Dome Trap) เกิดจากชั้นหินถูกดันให้โก่งตัวด้วยแร่เกลือจนเกิดลักษณะคล้ายกับ โครงสร้างกระทะคว่าอันใหญ่ และปิโตรเลียมจะมาสะสมตัวในชั้นหินกัก เก็บฯ บริเวณรอบๆ โครงสร้างรูปโดม ตัวอย่างเช่น แหล่งน้ามันในอ่าว เปอร์เซยี และตอนกลาง ของประเทศโอมาน เปน็ ต้น 2. แหล่งกกั เก็บปโิ ตรเลียมแบบเนือ้ หนิ เปล่ียนแปลง (Stratigraphic Trap) โดยอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงของหินอุ้มปิโตรเลียมเสียเอง ซึ่งเกิดข้ึนใน ลักษณะที่แนวหินอุ้มปิโตรเลียมดันออกไปเป็นแนวขนานเข้าไปแนวหินทึบ ทา ใหเ้ กิดเป็นแหล่งกักเกบ็ หรืออาจเกิดขึ้นจากหินอุ้มปิโตรเลียมเปล่ียนสภาพและ องคป์ ระกอบกลายเปน็ หนิ ทึบขึ้นมาก และหุม้ ส่วนทเ่ี หลือเป็นแหล่งกกั เก็บไว้ บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การสารวจปิโตรเลยี ม แหล่งปโิ ตรเลียมและการขุดเจาะ ปิโตรเลียมส่วนใหญ่อยู่ใต้ดิน จึงมีการสารวจโดยการขุด เจาะเพือ่ นามาใชป้ ระโยชน์ การสารวจหาแหล่งปิโตรเลียมมีความยุ่งยากและซับซ้อน มาก ต้องใช้เทคโนโลยรี ะดบั สงู และเงนิ ทนุ จานวนมาก ปัจจุบันการสารวจหาแหล่งปิโตรเลียมบริเวณพื้นดินทาได้ จนท่ัวแลว้ จงึ มกี ารขยายการสารวจหาแหล่งปโิ ตรเลยี ม ไปในบริเวณ ทะเลหรอื มหาสมุทร การสารวจตอ้ งใช้หลายวธิ ีการประกอบกันดังนี้ บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การสารวจน้ามันดบิ ในประเทศไทย มีการสารวจคร้ังแรกใน พ.ศ. 2464 พบท่ีอาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ และพบแกส๊ ธรรมชาตทิ ่ีมีปรมิ าณมากพอเชิง พาณิชย์ในอ่าวไทยเม่อื พ.ศ. 2516 ต่อมาพบท่ีอาเภอน้าพอง จังหวัดขอนแกน่ บ่อนา้ น้ามนั \"แหล่งสริ ิกติ ์ิ\" อาเภอลานกระบือ จังหวดั กาแพงเพชร Photo : Boonrawd Wongsawat , October 17, 2008 ปริมาณสารองปิโตรเลียมในประเทศไทย มปี รมิ าณทปี่ ระเมินไดด้ งั นี้ นา้ มนั ดิบ 806 ล้านบารเ์ รล แก๊สธรรมชาติ 32 ล้านลูกบาศก์ฟุต แกส๊ ธรรมชาตเิ หลว 688 ล้านบารเ์ รล แหล่งน้ามันดิบใหญ่ท่ีสุดของประเทศ ได้แก่ น้ามันดิบเพชร จากแหล่งสิริกิติ์ ก่ิงอาเภอลานกระบือ จังหวัด กาแพงเพชร แหล่งผลติ แก๊สธรรมชาติที่ใหญท่ ี่สุดอยู่ในอา่ วไทยช่ือว่า แหล่งบงกช เจาะสารวจพบเม่ือ พ.ศ. 2523 แหลง่ สะสมปโิ ตรเลียมขนาดใหญ่ที่สุดของโลกอยู่ท่ีอ่าวเปอร์เซีย รองลงมาคือบริเวณอเมริกากลาง อเมริกาเหนือ และรัสเซีย ปิโตรเลียมท่ีพบบริเวณประเทศไนจีเรียเป็นแหล่งปิโตรเลียมท่ีมีคุณภาพดีท่ีสุด เพราะมีปริมาณสารประกอบ กามะถนั ปนอยนู่ อ้ ยท่ีสดุ บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
การกล่ันนา้ มันดบิ นา้ มันดิบ จากแหลง่ ต่าง ๆ มีสมบัติต่างกนั กล่าวคอื มสี ีเหลอื ง เขยี ว น้าตาล จนถึงดา เป็นของเหลวข้นจนหนดื ประกอบดว้ ยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนประเภท แอลเคน และไซโคลแอลเคน นอกจากน้ันยงั มี ออกซเิ จน ไนโตรเจน รวมท้งั โลหะตา่ งๆปนอย่ดู ้วย ดังนั้นการนา นา้ มนั ดบิ ไปใช้ตอ้ งผา่ น กระบวนการแยกกอ่ น การแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนในน้ามันดิบใช้ “การกลั่นลาดบั สว่ น” การกลนั่ น้ามนั ดบิ มขี นั้ ตอนดงั น้ี บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การกลั่นลาดบั ส่วนของน้ามันดิบ เปน็ ดังน้ี ปจั จบุ ันตอ้ งการใชน้ ามันเบนซิน (C6 –C12) และ นามันดีเซล ( C14 –C19) ในปริมาณสูงมาก แต่ผลิตภัณฑ์ท่ีกลั่นโดยตรงมีคุณภาพไม่ตรงตามความต้องการ นักวิทยาศาสตร์จึงหาวิธีการปรับปรุงโครงสร้าง ผลติ ภณั ฑใ์ ห้มคี ณุ ภาพตรงตามความต้องการ โดยทาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนท่ีมีโมเลกุลสูง ( C สูง ; เป็นที่ต้องการน้อย) ให้เป็นสารประกอบ ไฮโดรคารบ์ อนทีม่ โี มเลกลุ ต่า ( C ตา่ ; เป็นทีต่ อ้ งการมาก) ถ้ามรี ถเบนซ์น่งั ก็จะดี หล่อและบี จะพาเตา๋ และตอ๋ ยไปเทีย่ ว บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การปรบั ปรุงคณุ ภาพน้ามนั 1. กระบวนการแตกสลาย (Cracking process) เป็นกระบวนการทาให้สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนโมเลกุลใหญ่แตกออกเป็นโมเลกุลเล็กลง โดยใชค้ วามร้อนสงู ประมาณ 500OC และมีตวั เรง่ ปฏกิ ิรยิ าท่ีเหมาะสม C10H22 C8H16 + C2H6 2. กระบวนการรีฟอรม์ มงิ (Reforming process) เปน็ กระบวนการเปลี่ยนสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนโซ่ตรงให้เปน็ ไอโซเมอร์แบบโซ่กิง่ หรือการเปลีย่ น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบบวงให้เปน็ สารอะโรมาตกิ โดยใช้ความรอ้ นสูงและมีตวั เร่งปฏิกิรยิ า CH3–CH2–CH2–CH2–CH2–CH3 CH3 CH3 CH CH CH3 CH3 3. กระบวนการแอลคิเลชนั (Alkylation process) เป็นกระบวนการรวมสารประกอบแอลเคนและแอลคีนโซก่ ิ่งทมี่ มี วลโมเลกุลตา่ เกิดเป็นโมเลกุลสารประกอบแอ ลเคนท่มี โี ครงสร้างเปน็ แบบโซก่ งิ่ ท่ีมโี มเลกลุ ใหญ่ขึน้ CH3 + CH3 H2SO4 CH3 CH3 CH3 C CH2 CH3 CH CH3 CH3 CH CH2 C CH3 CH3 2,2,4–ไตรเมทลิ –เพนเทน (ไอโซออกเทน) บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
4. กระบวนการโอลโิ กเมอไรเซชัน (Oligomerization process) เปน็ กระบวนการรวมสารประกอบแอลคีนโมเลกลุ เลก็ เขา้ ด้วยกัน โดยใช้ความรอ้ นหรือตัวเรง่ ปฏกิ ริ ยิ า เกิดเปน็ สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มจี านวนอะตอมคาร์บอนเพิ่มขน้ึ และมีพันธะคเู่ หลืออยใู่ นผลิตภณั ฑ์ CH3– + CH3 CH3 CH3 CH=CH2 CH3 CH CH CH CH3 CH3 CH CH2 CH CH CH CH3 โพรพนี 4–เมทลิ –2–เพนทีน 4,6–ไดเมทิล–2–เฮปทนี น้ามนั เบนซิน รถที่ใช้นา้ มนั เบนซนิ ไดแ้ ก่ รถจักรยานยนต์ รถยนตข์ นาดเลก็ เป็นตน้ น้ามนั เบนซินหรอื กา๊ ซโซลีน (Gasoline) เปน็ เชื้อเพลิงท่ีระเหยได้ง่าย ได้มาจากการกล่ันน้ามันดิบ ในโรง กล่ัน เหมาะท่ีจะใช้กับเคร่ืองยนต์เบนซิน ปัจจุบันมีน้ามันเบนซินออกเทน 91(เติมสารสีแดง) และน้ามันเบนซินออกเทน 95 (เตมิ สารสีเหลือง) สว่ นใหญเ่ ป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนที่มีโมเลกุลคาร์บอน 6-12 อะตอม ไดจ้ ากการกลั่นลาดับสว่ น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างแบบกิ่งหรืออะโรมาติก จัดเป็นน้ามันเบนซินท่ีมีคุณภาพดีกว่า แบบโซ่ตรง เพราะสารประกอบไฮโดรคาร์บอนทเ่ี ป็นโซ่ตรงจะตดิ ไฟงา่ ย และเกดิ การระเบิดเร็วกว่าจังหวะท่ีควรเป็น ทาให้ เรอ่ื งยนตเ์ กดิ การเดินไมเ่ รียบ หรอื ทเ่ี รียกวา่ “การชิงจุดระเบิด” บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
เลขออกเทน ใช้การกาหนดคุณภาพนา้ มันเบนซนิ กาหนด โดยใช้คา่ ตัวเลขที่แสดงเปน็ ร้อยละโดยมวล ใน ของผสมระหว่างไอโซออกเทนและเฮปเทนซ่งึ เกิดจากการเผาไหม้ กาหนดให้ นา้ มันเบนซนิ ท่ีมสี มบัตกิ ารเผาไหม้เชน่ เดยี วกบั ไอโซออกเทน (การเผาไหมด้ ี) มีเลขออกเทนเท่ากับ 100 น้ามันเบนซนิ ที่มีสมบตั ิการเผาไหมเ้ ชน่ เดียวกบั เฮปเทน (การเผาไหมต้ า่ ) มีเลขออกเทนเท่ากับ 0 ดงั น้ัน น้ามนั ท่มี ีเลขออกเทน 95 หมายถงึ นา้ มนั ที่มสี มบตั ิการเผาไหม้เช่นเดยี วกับเช้ือเพลิงที่ได้จากการ ผสมระหวา่ ง ไอโซออกเทน 95% กับ เฮปเทน 5% ฉะน้ัน นา้ มนั เบนซนิ 91 หมายถงึ น้ามันท่ีมีสมบัตกิ ารเผาไหมเ้ ชน่ เดยี วกับเชอ้ื เพลงิ ท่ไี ด้จากการผสม ระหวา่ ง ไอโซออกเทน 91% กบั เฮปเทน 9% นั่นเอง CH3 CH3 CH3–CH2–CH2–CH2– CH2–CH2–CH3 CH3 C CH2 CH CH3 เฮปเทนโซ่ตรง CH3 เลขออกเทน 0 2,2,4–ไตรเมทิล–เพนเทน (ไอโซออกเทน) เลขออกเทน 100 สารเพิม่ คา่ ออกเทน ในอดตี ทาโดยการเตมิ สารบางชนิดลงไปในนา้ มนั เชน่ เตตระเมทลิ เลด หรอื เตตระเอทลิ เลด แต่สารทง้ั สองชนดิ เมอ่ื เกิดการเผาไหมย้ จะเกดิ ไอของสารปะกอบของตะกวั่ ส่บู รรยากาศ ในปี พ.ศ. 2539 ได้เปล่ียนมาใช้เคมอี ืน่ เชน่ เมทิลเทอรเ์ ทยี รีบิวทิลอีเทอร์ (MTBE) เอทานอล หรอื เมทา นอล และเรียกน้ามันเบนซนิ ชนดิ น้ีวา่ น้ามันไรส้ ารตะกวั่ (ULG : Unlead Gasoline) CH3CH2 Pb CH2CH3 H3C CH3 CH3 CH3CH2 CH2CH3 Pb CH3 C O CH3 เตตระเอทลิ เลด H3C CH3 CH3 เตตระเมทิลเลด เมทิลเทอร์เทียรบี วิ ทิลอีเทอร์ (MTBE) บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
นา้ มนั ดเี ซล รถทีใ่ ช้นา้ มนั ดเี ซล ไดแ้ ก่ รถบรรทุก รถกระบะ รถแทรกเตอร์ เรอื ประมง และเรือโดยสาร เป็นสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนท่มี ีจุดเดอื ดสูงกวา่ นามันเบนซนิ น้ามันดเี ซลได้จาก การกลั่นน้าลาดับส่วนของน้ามันดบิ แบ่งเป็น 2 ชนดิ ได้แก่ 1) ดีเซลหมุนเรว็ หรือ โซล่า เหมาะสาหรบั เคร่ืองยนต์ความเร็วรอบสงู กว่า 1,000 รอบ/นาที 2) ดีเซลหมนุ ช้า หรอื ขโี ล้ เหมาะสาหรับเครื่องยนต์ที่ใชข้ ับเคลอ่ื นเดนิ ทะเล และการผลิต กระแสไฟฟา้ เลขซเี ทน เปน็ ตัวเลขกาหนดคุณภาพน้ามันดีเซล โดยใชค้ ่าตัวเลขที่แสดงเปน็ ร้อยละโดยมวล ในของ ผสมระหว่างซเี ทน และ แอลฟาแนฟทาลนี ซง่ึ เกดิ จากการเผาไหม้ กาหนดให้ น้ามันดีเซลมีสมบตั ิการเผาไหมเ้ ชน่ เดียวกบั ซีเทน (การเผาไหมด้ ี) มเี ลขซเี ทนเทา่ กบั 100 น้ามนั ดเี ซลมีสมบตั ิการเผาไหม้ เช่นเดยี วกับแอลฟาแนฟทาลนี มีเลขซเี ทนเทา่ กับ 0 ดังนน้ั น้ามันดเี ซลท่ีมีเลขซเี ทน 95 หมายถึง น้ามนั ทม่ี สี มบัติการเผาไหม้เช่นเดยี วกับเช้อื เพลิงท่ี ไดจ้ ากการผสมระหว่าง ซีเทน 95% กบั แอลฟาแนฟทาลีน 5% CH3–(CH2)14– CH3 ซเี ทน (เลขซีเทน 100) แอลฟาเมทิลแนฟทาลนี (เลขซีเทน 0) บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การแยกแก๊สธรรมชาติ แก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลว ประกอบด้วยสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดต่าง ๆ เช่น มีเทน (CH4) อเี ทน (C2H6) โพรเพน (C3H8) บิวเทน (C4H10) เพนเทน (C5H12) กับสารที่ไม่ใช่ไฮโดรคาร์บอน ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H2S) ไอปรอท และไอนา้ ดังตาราง สารประกอบ สูตรโมเลกลุ ร้อยละโดยปรมิ าตร มเี ทน CH4 50 – 80 อเี ทน C2H6 5 – 10 โพรเพน C3H8 2–7 บวิ เทน C4H10 1–3 เพนเทน C5H12 นอ้ ยกวา่ 1 คารบ์ อนไดออกไซด์ CO2 10 – 25 ไนโตรเจน N2 1-4 อ่ืน ๆ (เฮกเซน ไอน้า ฮเี ลียม ไฮโดรเจนซัลไฟด์ และปรอท H2S นอ้ ยกวา่ 0.5 แก๊สธรรมชาติและแก๊สธรรมชาติเหลวที่ขุดเจาะขึ้นมาได้ ก่อนจะนาไปใช้ต้องผ่านกระบวนการแยกแก๊สก่อน เพือ่ แยกสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทปี่ ะปนกันอยตู่ ามธรรมชาตอิ อกเปน็ แก๊สชนิดตา่ ง ๆ โดยผา่ นกระบวนการดงั น้ี 1. หน่วยกาจัดสารปรอท เพ่อื ป้องกันการผกุ ร่อนของทอ่ จากการรวมตวั กับปรอท 2. หน่วยกาจัดแก๊ส H2S และ CO2 เนื่องจาก H2S มีพิษและกัดกร่อน ส่วน CO2 ทาให้เกิดการอุดตัน ของท่อ เพราะว่าท่ีระบบแยกแก๊สมีอุณหภูมิต่ามาก การกาจัด CO2 ทาโดยใช้สารละลาย K2CO3ผสมตัวเร่งปฏิกิริยา CO2 ทีไ่ ด้นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นอุตสาหกรรมทานา้ แขง็ แหง้ น้ายาดบั เพลิง และฝนเทยี ม 3. หน่วยกาจัดความชื้น เนื่องจากความชื้นหรือไอน้าจะกลายเป็นน้าแข็งทาให้ท่ออุดตัน ทาโดยการ กรองผา่ นสารทีม่ ีรูพรนุ สงู และสามารถดดู ซับน้าออกจากแก๊สได้ เชน่ ซลิ ิกาเจล 4. แก๊สธรรมชาติที่ผ่านข้ันตอนแยกสารประกอบที่ไม่ใช่สารประกอบไฮโดรคาร์บอนออกไปแล้ว จะถูก ส่งไปลดอุณหภูมิและทาให้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว แก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวและส่งต่อไปยังหอกล่ันเพ่ือแยก แก๊สมีเทนออกจากแก๊สธรรมชาติ ผ่านของเหลวท่ีเหลือซ่ึงเป็นไฮโดรคาร์บอนผสมไปยังหอกล่ัน เพื่อแยกแก๊สอี เทน แก๊สโพรเพน แกส๊ ปิโตรเลียมเหลว (C3+C4) และแกส๊ โซลีนธรรมชาตหิ รือแกส๊ ธรรมชาติหลว (liquefied natural gas) ในประเทศไทยมีโรงแยกแก๊สที่ ต. มาบตาพุด จังหวดั ระยอง และ อ. ขนอม จงั หวัด นครศรธี รรมราช แกส๊ ปโิ ตรเลียมเหลวที่มเี ลขออกเทนประมาณ 130 นามาใชเ้ ปน็ เช้อื เพลิงยานตนต์เพือ่ ทดเทนนา้ มันเบนซิน บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
แผนภาพการแยกก๊าชธรรมชาติและการนาไปใช้ประโยชน์ บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ปิโตรเคมีภณั ฑ์ ผลติ ภณั ฑห์ รือสารเคมี ซึ่งทาจากวัตถุดิบท่ีได้จากปิโตรเลยี ม นอกจากใชเ้ ปน็ เชือ้ เพลิงชนิดต่างๆแล้ว บางชนดิ ได้ นามาใช้เป็นวัตถดุ บิ ในอุตสาหกรรม ปิโตรเคมภี ณั ฑเ์ พ่ือผลติ เคมีภัณฑ์ต่างๆ อตุ สาหกรรมปิโตรเคมี คอื อตุ สาหกรรมที่นาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากการกล่นั น้ามนั ดบิ และจากการ แยกแก๊สธรรมชาติมาใช้เป็นวัตถดุ บิ เพื่อผลิตเคมภี ณั ฑต์ า่ ง ๆ อตุ สาหกรรมปิโตรเคมเี กิดจากการนาสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่ได้จากการกลั่นน้ามันดิบและการแยกแก๊ส ธรรมชาติมาใชเ้ ปน็ วตั ถุดิบเพ่ือผลิตเคมภี ัณฑต์ า่ ง ๆ แบง่ ได้ดงั แผนภาพ แบ่งเป็นขน้ั ตอน ดงั น้ี อุตสาหกรรมปโิ ตรเคมภี ัณฑข์ ้ันต้น (Upstream petrochemical industry) เป็นการนาสารประกอบไฮโดรคารบ์ อนทไี่ ดจ้ ากแก๊สธรรมชาตหิ รือน้ามันดิบ เช่น เมทานอล เอทิลีน และ เบนซีน มาผลิตเป็นสารโมเลกุลขนาดเล็ก เรียกว่า มอนอเมอร์ (monomer) เป็นวัตถุดิบตั้งต้นในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ขั้นต่อไป เช่น C2H6 C2H4 ethane ethene (ethylene) C3H8 propane C3H6 propene (propylene) Naphtha Benzene , Toluene , Xylene ,Styrene บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
2. อตุ สาหกรรมปิโตรเคมภี ัณฑ์ขนั้ กลาง (Intermediate petrochemical industry) เป็นการนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากปิโตรเคมีขั้นต้นมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นกลาง เช่น ฟอร์มอลดีไฮด์ เอทิลีนออกไซด์ เอทิลเบนซีน เพ่ือป้อนให้กับอุตสาหกรรมข้ันปลาย ผลิตภัณฑ์ในขั้นน้ีอาจอยู่ในรูปของพลาสติก วัตถุดิบที่ใช้ผลิตเส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สารซักล้าง สารเคลือบผิว และตัวทาละลาย ผลิตภัณฑ์จาก อตุ สาหกรรมข้นั ต่อเนื่องอาจนาไปใช้เป็นสารตง้ั ตน้ ในอุตสาหกรรม 3. อุตสาหกรรมปิโตรเคมภี ณั ฑ์ขนั้ ปลาย (Downstream petrochemical industry) เป็นการนาผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากปิโตรเคมีข้ันต้นหรือข้ันกลางไปผ่านกระบวนการต่างๆ เพื่อผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ข้ันปลาย ผลิตภัณฑ์ท่ีได้ในขั้นน้ีอาจอยู่ในรูปของพลาสติก วัตถุดิบที่ใช้ผลิตเส้นใยสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์ สารซักล้าง สารเคลือบ ผวิ และตัวทาละลาย ผลติ ภณั ฑ์จากอตุ สาหกรรมขั้นปลายนี้ อาจนาไปใชเ้ ปน็ สารต้ังต้นในอุตสาหกรรมต่างๆ ข้นั ตอนในอุตสาหกรรมปโิ ตรเลยี มและการนาไปใช้ประโยชน์ บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
4. พอลเิ มอร์ พอลิเมอร์ คือ สารประกอบท่ีมีโมเลกุลขนาดใหญ่ และมีมวลโมเลกุลมากประกอบด้วยหน่วยเล็ก ๆ ของสารที่ อาจจะเหมือนกนั หรอื ต่างกันมาเชื่อมตอ่ กนั ด้วยพนั ธะโควาเลนต์ มอนอเมอร์ (Monomer) คือ หนว่ ยเลก็ ๆ ของสารในพอลิเมอร์ ดงั ภาพ มอนอเมอร์ (monomer) พอลิเมอร์ (polymer) ประเภทของพอลิเมอร์ แบง่ ตามการเกดิ เป็นเกณฑ์ เปน็ 2 ชนิด คือ ก. พอลิเมอร์ธรรมชาติเป็นพอลิเมอร์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น โปรตีน แป้ง เซลลูโลส ไกโคเจน กรดนิวคลีอิก และยางธรรมชาติ (พอลีไอโซปรนี ) ข . พอลิเมอร์สังเคราะห์ เป็นพอลิเมอร์ท่ีเกิดจากการสังเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ต่าง ๆ เช่น พลาสติก ไนลอน ดาครอน และลูไซต์ เปน็ ตน้ 2. แบ่งตามชนดิ ของมอนอเมอร์ท่เี ปน็ องคป์ ระกอบ เป็น 2 ชนดิ คือ ก . โฮมอลิเมอร์ (Homopolymer) เป็นพอลิเมอร์ที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ชนิดเดียวกัน เช่น แป้ง (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ท่ีเปน็ กลูโคสท้ังหมด) พอลเิ อทลิ นี PVC (ประกอบด้วยมอนอเมอร์ทีเ่ ป็นเอทิลนี ทัง้ หมด) ข. เฮเทอโรพอลิเมอร์ (Heteropolymer) เป็นพอลิเมอร์ท่ีประกอบด้วยมอนอเมอร์ต่างชนิดกัน เช่น โปรตนี (ประกอบด้วยมอนอเมอรท์ ี่เป็นกรดอะมิโนตา่ งชนดิ กัน) พอลเิ อสเทอร์ พอลเิ อไมด์ เป็นต้น บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
3. แบง่ ตามโครงสร้างของพอลเิ มอร์แบ่งออกเปน็ 3 แบบ คือ ก.พอลิเมอร์แบบเส้น (Chain length polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์สร้าง พันธะต่อกันเป็นสายยาว โซ่พอลิเมอร์เรียงชิดกันมากว่าโครงสร้างแบบอื่น ๆ จึงมีความหนาแน่น และจุดหลอมเหลวสูง มลี ักษณะแข็ง ขนุ่ เหนยี วกวา่ โครงสรา้ งอ่นื ๆ ตวั อย่าง PVC พอลิสไตรนี พอลเิ อทลิ นี ดังภาพ ข.พอลิเมอร์แบบกิ่ง (Branched polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ยึดกันแตก กิ่งก้านสาขา มีท้ังโซ่ส้ันและโซ่ยาว ก่ิงท่ีแตกจาก พอลิเมอร์ของโซ่หลัก ทาให้ไม่สามารถจัดเรียงโซ่พอลิเมอร์ให้ชิดกันได้ มาก จึงมคี วามหนาแน่นและจุดหลอมเหลวต่ายืดหยุ่นได้ ความเหนียวต่า โครงสร้างเปล่ียนรูปได้ง่ายเม่ืออุณหภูมิเพิ่มข้ึน ตัวอยา่ ง พอลิเอทลิ ีนชนดิ ความหนาแนน่ ต่า ดงั ภาพ ค.พอลิเมอร์แบบร่างแห (Croos -linking polymer) เป็นพอลิเมอร์ที่เกิดจากมอนอเมอร์ ต่อเช่ือมกันเป็นร่างแห พอลิเมอร์ชนิดน้ีมีความแข็งแกร่ง และเปราะหักง่าย ตัวอย่างเบกาไลต์ เมลามีนใช้ทาถ้วยชาม ดัง ภาพ *หมายเหตุ : พอลิเมอร์บางชนิดเปน็ พอลเิ มอร์ทีเ่ กิดจากสารอนินทรยี ์ เชน่ ฟอสฟาซนี ซลิ โิ คน บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ปฏกิ ริ ยิ าพอลเิ มอร์ไรเซชัน การเกิดพอลิเมอร์ (Polymerization) เป็นการทาให้โมเลกุลเล็กๆ หรือ มอนอเมอร์ต่อกันเป็นสายโซ่ยาว ดว้ ยพันธะเคมี อาจทาได้ 2 แบบ คอื 1. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์โดยการวมแบบต่อเติม (Addition Polymerization) เป็นปฏิกิริยา เคมีสังเคราะห์พอลิเมอร์จากมอนอเมอร์ที่ไม่อิ่มตัวหรือมีพันธะคู่อยู่ภายในโมเลกุล โดยมอนอเมอร์จะเกิดปฏิกิริยาหรือ เกดิ การเปลย่ี นแปลงตอ่ เปน็ สายพอลิเมอรเ์ มอ่ื มีสภาวะที่เหมาะสมแชน่ มคี วามร้อน ความดนั และต้องมตี วั เร่มิ ปฏกิ ริ ยิ า 2. ปฏิกิริยาการเกิดพอลิเมอร์โดยการรวมแบบควบแน่น (Condensation Polymerization) เป็น ปฏกิ ริ ิยาเคมีสังเคราะหพ์ อลิเมอร์ โดยปฏกิ ริ ยิ าการสังเคราะหแ์ บบนจี้ ะใชก้ บั มอนอเมอร์ ท่ีมีกลุ่มอะตอมท่ีมีความว่องไวใน การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมไี ม่จาเป็นต้องมีตัวเร่ิมปฏิกิริยา และการสังเคราะห์แบบนี้เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมีต่อสายมอนอเมอร์เป็น สายโซ่ยาว แล้วจะมีโมเลกุลเลก็ ๆหลุดออกมาเป็นผลพลอยได้ ตัวอย่างเชน่ ปฏิกริ ิยาการควบแนน่ ของ ไนลอน 6,6 บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ตวั อย่างพอลิเมอร์สงั เคราะห์ทีเ่ ตรียมไดจ้ ากปฏิกิรยิ าการเติม มอนอเมอร์ พอลเิ มอร์ คุณสมบตั ิ การนาไปใชป้ ระโยชน์ 1. เอทลิ นี พอลิเอทิลนี (PE) ภาชนะบรรจุอาหาร ปอ้ งกันการผา่ นของไอน้าไดด้ ี เคร่อื งใช้ในบ้าน เป็นแผน่ ฟิลม์ ใส ของเลน่ เหนยี ว ทอ่ น้า ทนสารเคมี กรด – เบส ฉนวนหมุ้ สายไฟ ถุงซปิ ใสย่ า 2. ไพรพิลนี พอลโิ พรพลิ นี คล้ายพอลิเอทลิ นี แต่แข็งแรงกว่า ภาชนะบรรจสุ ารเคมี เหนยี ว แข็งแรง ผวิ มัน กระเปา๋ เดนิ ทาง 3. ไวนิลคลอไรด์ พอลิไวนลิ คลอไรด์ นา้ หนกั เบา ทนแรงดึง กระบอกฉีดยา ทนการขีดข่วน ถงุ น้ารอ้ นชนิดขุ่น 4. เตตระฟลูออโรเอ พอลิเตตระฟลูออโรเอ แข็งและคงรปู ทอ่ น้า ทิลนี (TFE) ทิลีน (PTEF-Teeflon) ทนความช่ืน หนังเทยี ม ททนสารเคมี เส้อื กันฝน 5. สไตรนี พอลสิ ไตรีน ทดเชอ้ื ราและการกดั แทะ บัตรเครดติ ไมท่ นความรอ้ นและแสง แผน่ เสียง เคลอื บผิวภาชนะหุงต้ม เหนียว ฉนวนไฟฟา้ ทนสารเคมี เคลอื บสายเคเบิล ทนความรอ้ น ไมน่ าไฟฟ้า ภาชนะบรรจุสิ่งของแล้วท้ิง ทนแรงกระแทก ช้นิ ส่วนต้เู ย็น แขง็ มากแต่เปราะ เคร่ืองเขยี น ไมท่ นสารละลายอนิ ทรยี ์ โฟมบรรจอุ าหาร ทนกรด – เบส ฉนวนสาหรับกระติกน้ารอ้ น ใส่ โปร่งแสง ผวิ เรียบ ไมน่ าไฟฟา้ บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
ตัวอยา่ งพอลิเมอรส์ งั เคราะห์ทเ่ี ตรียมได้จากปฏกิ ิรยิ าการควบแนน่ มอนอเมอร์ พอลิเมอร์ คณุ สมบตั ิ การนาไปใชป้ ระโยชน์ 1. เมลามนี + ฟอรม์ าลดีไฮด์ พอลิเมลามีน ทนสารเคมี แผงวงจร ฟอรม์ าลดีไฮด์ (MF) กันนา้ ไดด้ ี เสน้ ใยผา้ เพอื่ กนั นา้ หหู มอ้ หูกระทะ ด้ามภาชนะ 2. ยเู รีย + ฟอรม์ าลดไี ฮด์ พอรยี ูเรยี ฟอร์มาลดีไฮด์ แขง็ เปราะ ถ้วย จาน 3. ฟนี อล + ฟอร์มาลดีไฮด์ (UF) ทนความรอ้ น แผงวงจรอเิ ล็กทรอนิกส์ ทนสารเคมี กาว พอลีฟีนอลฟอร์มาลดีไฮด์ แข็งเปราะ โฟม ทนความรอ้ น กาว 4. 1,4 – บวิ ทาไดออล + พอรยี รู เี ทน (PU) ทนสารเคมี แผงวงจรไฟฟ้า เฮกซะเมทลิ นี ไดไอโซไซยาเนต เป็นฉนวนไฟฟา้ เสน้ ใยทาชุดว่ายนา้ 5. บสิ – ฟนี อล + ฟอสจีน พอลิคารบ์ อเนต (PC) ยืดหยนุ่ ล้อรถเขน็ ทนการขดี ข่วน น้ายาเคลือบผิว 6. เฮกซะเมทิลีนไดเอมีน + พอลิเอไมด์ (PA) ทนตัวทาละลาย โฟมบเุ ก้าอ้ี ทนแรงกระแทก กลอ่ งบรรจเุ ครื่องมอื กรดอะไดปิก (ไนลอน 6,6) เคร่อื งโทรศัพท์ เหนียวใส ขวดนมเดก็ 7. ไดเมทิลเทเรฟทาเลต + พอลเิ อทิลนี เทเรฟทาเลต ทนความรอ้ น ภาชนะใสใชแ้ ทนเครื่องแกว้ เอทิลลนี ไกลคอล (PET) ทนแรงกระแทก ไมช่ น้ื ง่าย เชือก เส้นดา้ ย ตดิ ไฟแลว้ ดบั เอง ถงุ นอ่ ง ชดุ ชน้ั ใน เหนียว ชิ้นส่วนเคร่อื งยนต์ ยดื หดได้ ทนการขดั ถู เส้นใย เอ็น แห เชือก ทาความสะอาดงา่ ย สารเคลอื บกรอบรูป และแหง้ เร็ว เสน้ ใยเทปเพลง แข็ง ง่ายต่อการย้อมสี ทนความช้ืน เหนียว ทนต่อการขัดถู บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
ผลติ ภณั ฑจ์ ากพอลเิ มอร์ ผลติ ภัณฑพ์ อลิเมอร์ทีน่ ามาใชป้ ระโยชนม์ หี ลายประเภท ซ่ึงมที ง้ั พอลิเมอร์ธรรมชาติ และพอลิเมอร์ สงั เคราะห์ โดยแยกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังน้ี พลาสตกิ เสน้ ใย ยาง พลาสติก เป็นสารทส่ี ามารถทาใหเ้ ป็นรูปต่าง ๆ ไดด้ ้วยความร้อน พลาสตกิ เป็นพอลเิ มอร์ขนาดใหญ่ มวลโมเลกุลมาก คณุ สมบัติ เสถยี ร สลายตัวยาก มมี วลนอ้ ย เบา เป็นฉนวนความรอ้ นและไฟฟา้ ทด่ี ี สว่ นมากอ่อนตวั และ หลอมเหลวเม่ือได้รบั ความร้อน จึงเปลยี่ นเปน็ รูปตา่ ง ๆ ได้ตามประสงค์ ประเภทของพลาสตกิ 1. เทอร์มอพลาสติก เมอ่ื ได้รับความร้อนจะอ่อนตัว และเมื่อเย็นลงจะแข็งตัว สามารถเปลี่ยนรูปได้ พลาสติกประเภท น้ีโครงสร้างโมเลกุลเปน็ โซ่ตรงยาว มกี ารเชอ่ื มต่อระหวา่ งโซพ่ อลเิ มอร์น้อยมาก จึงสามารถหลอมเหลว หรือเมื่อผ่านการอัด แรงมากจะไม่ทาลายโครงสรา้ งเดมิ ตัวอย่าง พอลเิ อทลิ นี พอลิโพรพิลีนพอลสิ ไตรีน 2. พลาสติกเทอร์มอเซต จะคงรูปหลังการผ่านความร้อนหรือแรงดันเพียงครั้งเดียว เม่ือเย็นลงจะแข็งมาก ทนความ ร้อนและความดัน ไม่อ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างไม่ได้ แต่ถ้าอุณหภูมิสูงก็จะแตกและไหม้เป็นขี้เถ้าสีดา พลาสติกประเภทน้ี โมเลกลุ จะเชื่อมโยงกันเปน็ ร่างแหจบั กันแนน่ แรงยดึ เหนีย่ วระหวา่ งโมเลกลุ แข็งแรงมาก จึงไม่สามารถนามาหลอมเหลวได้ ตวั อยา่ ง เมลามนี พอลยิ รู ีเทน บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ตาราง แสดงสมบัติบางประการของพลาสตกิ บางชนดิ ชนิดของ ประเภทของ สมบัตบิ างประการ ตัวอย่างการนาไปใช้ พลาสตกิ พลาสตกิ สภาพการไหมไ้ ฟ ข้อสงั เกตอ่นื ประโยชน์ พอลิเอทลิ ีน เทอรม์ อ เปลวไฟสนี ้าเงินขอบ เล็บขีดเปน็ รอย ไม่ ถงุ ภาชนะ ฟิล์มถ่ายภาพ พลาสตกิ เหลอื ง กลิ่นเหมือน ละลายในสารละลาย ของเลน่ เด็ก ดอกไม้ พาราฟนิ เปลวไฟไมด่ ับ ทัว่ ไป ลอยน้า พลาสติก เอง พอลิโพรพิลนี เทอรม์ อ เปลวไฟสีนา้ เงนิ ขอบ ขดี ด้วยเลบ็ ไม่เป็นรอย โตะ๊ เกา้ อี้ เชือก พรม พลาสติก เหลอื ง ควันขาว กลิ่น ไม่แตก บรรจภุ ณั ฑ์อาหาร เหมอื นพาราฟิน ชนิ้ ส่วนรถยนต์ พอลิสไตรนี เทอร์มอ เปลวไฟสเี หลือง เขมา่ เปาะ ละลายไดใ้ น โฟม อปุ กรณไ์ ฟฟ้า เลนส์ พลาสตกิ มาก กลิ่นเหมือนก๊าซจดุ คารบ์ อนเตตระคลอไรด์ ของเลน่ เด็ก อปุ กรณ์กีฬา ตะเกียง และโทลูอีน ลอยน้า เคร่ืองมือสื่อสาร พอลิวินลิ คลอ เทอรม์ อ ตดิ ไฟยาก เปลวสเี หลอื ง อ่อนตัวไดค้ ลา้ ยยาง ลอย กระดาษตดิ ผนงั ภาชนะ ไรด์ พลาสติก ขอบเขยี ว ควนั ขาว กลนิ่ น้า บรรจสุ ารเคมี รองเท้า กรดเกลอื กระเบื้องปูพ้นื ฉนวนหมุ้ สายไฟ ท่อพวี ีซี ไนลอน เทอรม์ อ เปลวไฟสีน้าเงินขอบ เหนยี ว ยืดหยนุ่ ไม่แตก เครอื่ งนุ่งห่ม ถงุ น่องสตรี พลาสติก เหลอื ง กลิน่ คล้ายเขา จมน้า พรม อวน แห สัตวต์ ดิ ไฟ พอลยิ เู รยี พลาสตกิ เทอร์ ตดิ ไฟยาก เปลวสเี หลือง แตกร้าว จมนา้ เต้าเสียบไฟฟา้ วสั ดุเชิง ฟอร์มาลดีไฮด์ มอเซต ออ่ น ขอบฟ้าแกมเขยี ว วศิ วกรรม กลิน่ แอมโมเนีย อพี อกซี พลาสตกิ เทอร์ ตดิ ไฟงา่ ย เปลวสเี หลือง ไม่ละลายในสาร กาว สี สารเคลอื บผิวหน้า มอเซต ควันดา กลน่ คล้ายขา้ ว ไฮโดรคารบ์ อนและน้า วัตถุ คว่ั เทอรม์ อ ติดไฟยาก เปลวสีเหลือง อ่อนตัว ยืดหยนุ่ เส้นใยผ้า พอลเิ อสเทอร์ พลาสตกิ ควันกลิน่ ฉนุ ตวั ถังรถยนต์ ตวั ถังเรือ พลาสตกิ เทอร์ ติดไฟยาก เปลวสเี หลือง เปราะ หรือแข็งเหนยี ว มอเซต ควันดา กลน่ิ ฉนุ ใช้บุภายในเครอ่ื งบิน บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
พลาสตกิ รไี ซเคิล ( Plastic recycle) ปัจจุบันเราใช้พลาสตกิ ฟ่มุ เฟือยมาก แต่ละปปี ระเทศไทยมีขยะพลาสติกจานวนมาก ซึ่งเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมของ โลก จงึ มคี วามพยายามคดิ ค้นทาพลาสติกท่ีย่อยสลายทางชีวภาพ (Biodedradable) มาใช้แทน แต่พลาสติกบางชนิดก้ยัง ไมส่ ามารถย่อยสลายทางชีวภาพได้ ในทางปฏิบัติยังคงกาจดั ขยะพลาสติกด้วยวธิ ฝี ังกลบใตด้ ิน และเผา ซึ่งก่อให้เกิดปัญหา ด้านส่ิงแวดล้อมตามมา วิธที ีด่ ที สี่ ุดในการดแู ลส่ิงแวดลอ้ มเกยี่ วกบั ขยะพลาสติก คือ ลดปริมาณการใช้ให้เหลือเท่าที่จาเป็น และมีการนาพลาสตกิ บางชนดิ กลบั ไปผา่ นบางขน้ั ตอนในการผลิต แลว้ นากลับมาใช้งานใหม่ไดต้ ามเดิม สมาคมอุตสาหกรรมพลาสติก ประเทศสหรัฐอเมริกา (The Society of Plastics Industry ; SPI) ได้กาหนด สญั ลักษณ์เพือ่ บง่ ชปี่ ระเภทของพลาสตกิ รีไซเคิล ซึง่ จะกากับไวใ้ นผลิตภณั ฑ์สนิ ค้าทที่ าด้วยพลาสติก ดงั ภาพในตาราง บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ตาราง แสดงสญั ลักษณเ์ พ่อื บง่ ชี่ประเภทของพลาสตกิ รไี ซเคิล ประเภทของ ช่ือย่อ สญั ลักษณ์ มอนอเมอร์ การนาไปใชง้ าน พลาสติก Polyethylene PETE Terephthalate High Density HDPE Polyethylene Polyvinyl V Chloride (PVC) Low Lensity LDPE Polyethylene Polypropylene PP Polystyrene PS Polycarbonate PC Polymethyl- PMMA Methacrylate Nylon-66 N-66 เสน้ ใย บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
เป็นพอลิเมอร์ชนิดหนึ่งท่ีมีโครงสร้างของโมเลกุลสามารถนามาเป็นเส้นด้าย หรือเส้นใย จาแนกตามลักษณะการ เกดิ ได้ดังน้ี ประเภทของเส้นใย เสน้ ใยธรรมชาติ เส้นใยเซลลูโลส เช่น ลินนิ ปอ เส้นใยสับปะรด เสน้ ใยโปรตีน จากขนสตั ว์ เช่น ขนแกะ ขนแพะ เสน้ ใยไหม เป็นเสน้ ใยจากรงั ไหม เส้นใยสงั เคราะห์ เซลลูโลสแอซีเตด เป็นพอลิเมอร์ที่เตรียมได้จากการใช้เซลลูโลสทาปฏิกิริยากับกรดอซิติกเข้มข้น โดยมี กรอซัลฟูริกเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา การใช้ประโยชน์จากเซลลูโลสอะซีเตด เช่น ผลิตเป้นเส้นใยอาร์แนล 60 ผลิตเป็นแผ่น พลาสตกิ ท่ใี ช้ทาแผงสวิตชแ์ ละห้มุ สายไฟ ไนลอน (Nylon) เปน็ พอลิเมอร์สงั เคราะห์จาพวกเส้นใย เรียกว่า “ เส้นใยพอลิเอไมด์” มีหลายชนิด เช่น ไนลอน 6,6 ไนลอน 6,10 ไนลอน 6 ซง่ึ ตัวเลขท่เี ขยี นกากบั หลังชื่อจะแสดงจานวนคาร์บอนอะตอมในมอนอเมอร์ของเอมีน และกรดคาร์บอกซิลิก ไนลอนจัดเป็นพวกเทอร์มอพลาสติก มีความแข็งมากกว่าพอลิเมอร์แบบเติมชนิดอ่ืน (เพราะมีแรง ดึงดดู ท่แี ขง็ แรงของพันธะเพปไทด์) เป็นสารทตี่ ิดไฟยาก (เพราะไนลอนมีพันธะ C-H ในโมเลกุลน้อยกว่าพอลิเมอร์แบบเติม ชนิดอืน่ ) ไนลอนสามารถทดสอบโดยผสมโซดาลาม (NaOH + Ca(OH) 2) หรือเผาจะใหก้ า๊ ซแอมโมเนี ดาครอน (Dacron) เป็นเสน้ ใยสังเคราะหพ์ วกพอลิเอสเทอร์ ซึ่งเรียกอีกช่ือหน่ึงว่า Mylar มีประโยชน์ทา เส้นใยทาเชือก และฟลิ ม์ Orlon เป็นเสน้ ใยสงั เคราะห์ ท่เี ตรียมไดจ้ าก Polycrylonitrile ยาง(Rubber) บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
สารที่มีสมบัติยืดหยุ่นได้ ทาให้เป็นรูปร่างต่างๆ ได้ เป็นสารประกอบพอลิเมอร์ ประโยชน์ใช้ทายางลบ รองเท้า ยางรถ ตุก๊ ตายาง ประเภทของยาง ยางธรรมชาติ ได้จากต้นยางพารา น้ายางทีไ่ ดเ้ ปน็ ของเหลวสีขาว ชือ่ พอลไิ อโซปรนิ สมบตั ิ มีความยดื หยุน่ เพราะโครงสรา้ งโมเลกลุ ของยางมีลกั ษณะมว้ นงอขดไปมาปิดเป็นเกลียว ได้ แรงยึดเหนี่ยว ระหวา่ งโมเลกุลเป็นแรงแวนเดอรว์ าลส์ สมบตั เิ ปลี่ยนง่ายคือเมื่อร้อนจะอ่อนตัวเหนยี ว แต่เย็นจะแขง็ และเปราะ ยางสังเคราะห์ เปน็ พอลเิ มอร์ทสี่ งั เคราะห์ขน้ึ จากสารผลติ ภัณฑป์ โิ ตรเลยี ม เช่น กระบวนการวัลคาไนเซชัน (Vulcanization process) คือ กระบวนการท่ีใช้ในการเพ่ิมคุณภาพของยาง ธรรมชาติ ( ยางดิบ) ให้มีความยืดหยุ่นได้ดีข้ึน มีความคงตัวสูง ไม่สึกกร่อนง่าย และไม่ละลายในตัวทาละลายอินทรีย์ สมบัตเิ หลา่ น้ีจะยงั คงอยู่ ถึงแมว้ า่ อุณหภูมจิ ะเปลยี่ นแปลงก็ตาม ความกา้ วหน้าทาวเทคโนโลยีของผลติ ภัณฑ์พอลเิ มอรส์ งั เคราะห์ เทคโนโลยีของการผลิตพอลิเมอร์ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว พลาสติกเป็นพอลิเมอร์สังเคราะห์ที่ใช้กันอย่าง แพรห่ ลาย สามารถแปรรูปเปน็ ชิ้นงานได้หลายรปู แบบการข้นึ รปู ชิ้นงานขน้ึ อย่กู ับประเภทของพลาสตกิ มีการเติมสารบางชนิดเพื่อให้พลาสติกมีสมบัติดีขึ้นเช่น เติมสีให้สวยงาม เติมใยแก้วเพื่อเพ่ิมความแข็งแรงเรียก โดยทว่ั ไปว่าไฟเบอรก์ ลาส นอกจากนี้ยังเติมผงแกรไฟตเ์ พ่ือใหน้ าไฟฟ้าได้ โดยทั่วไปพอลิเมอร์มีสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า แต่มีบางชนิดเป็นก่ึงตัวนาหรือสารนาไฟฟ้าได้ นอกจากน้ียังมีการ นาเอาพอลิเมอร์มาใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ เช่นใช้พอลิสไตรีน-บิวทาไดอีน-สไตรีน ผสมกับยางมะตอยไว้เป็นวัสดุเช่ือม คอนกรตี ทางด้านการเกษตรใช้พลาสติกพีวีซีคลุมดินเพื่อรักษาความชุ่มชื้นและป้องกันการถูกทาลายของผิวดิน ใช้ทาตา ข่ายกันแมลงในการปลูกผักปลอดสารพษิ โฟมเป็นพลาสติกท่ีผ่านกระบวนการเติมแก็สมนี ้าหนกั เบามคี วามยืดหยนุ่ กันหรอื เก็บความรอ้ นไดด้ ี 5. มลภาวะทีเ่ กดิ จากการใชผ้ ลติ ภัณฑจ์ ากเชอ้ื เพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
การนาเชือ้ เพลงิ ซากดกึ ดาบรรพ์ข้นึ มาใช้ ทาใหเ้ กิดการขยายตวั ทางดา้ นอุตสาหกรรมตา่ งๆ เช่น การกลนั่ น้ามันการ แยกแก๊สธรรมชาติ การผลติ และการนาปโิ ตรเคมภี ัณฑ์ไปใช้ การขนสง่ การท้ิงกากของเสียและขยะของสารทใ่ี ชแ้ ล้ว อุตสาหกรรมเหล่านีล้ ้วนมผี ลโดยตรงต่อสงิ่ แวดล้อม ทาใหค้ ุณภาพของอากาศ นา้ และดินเปล่ียนแปลงไป เกดิ อนั ตรายท้งั ทางตรงและทางอ้อมต่อสง่ิ มีชีวิต ภาวะแวดลอ้ มท่ีก่อให้เกดิ อนั ตรายเรียกว่า ภาวะมลพิษ และเรียกสารท่กี ่อให้เกิดภาวะ มลพษิ ว่า สารมลพิษ ภาวะมลพษิ ด้านต่างๆ ท่สี าคญั ได้แก่ ภาวะมลพษิ ทางอากาศ ทางนา้ และทางดิน มลภาวะทางอากาศ มลพิษทางอากาศมีสาเหตสุ ่วนใหญ่มาจากการเผาไหมเ้ ชอ้ื เพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือในเคร่ืองยนต์ของ ยานพาหนะ การเผาถ่านหนิ หรอื เชื้อเพลงิ ทม่ี ีกามะถันและสารประกอบของกามะถนั เป็นองคป์ ระกอบ จะมีแกส๊ ซลั เฟอร์ได ออกไซดเ์ กดิ ข้ึน เมือ่ ปะปนมากับน้าฝนทาให้เกดิ เป็นฝนกรด ซ่งึ มผี ลกระทบต่อการดารงชวี ติ ของสัตว์น้า ทาให้สีใบไม้ซดี จางและสงั เคราะหแ์ สงไม่ได้ กดั กร่อนโลหะและอาคารบา้ นเรอื น ถ้ารา่ งกายไดร้ บั แกส๊ นี้จะทาให้เกิดอาการปวดเม่ือยเร้ือรงั โลหติ จาง และเป็นอนั ตรายต่อระบบทางเดนิ หายใจและปอด การเผาไหม้เช้ือเพลงิ ปิโตรเลียมอย่างไม่สมบูรณจ์ ะไดเ้ ขม่า และออกไซด์ของคาร์บอนซึง่ ได้แก่ CO2 และ CO นอกจากนย้ี ังเกดิ แก๊สอืน่ ๆ อีกหลายชนดิ เช่น SO2 NO2 และ H2S รวมท้ังเถา้ ถ่านที่มโี ลหะปริมาณน้อยมากเป็นองคป์ ระกอบ CO2 จะทาหน้าที่คลา้ ยกบั ผา้ หม่ ทหี่ ่อหมุ้ โลกและกักเก็บความร้อนเอาไว้ ทาให้อุณหภูมิของโลกสงู ข้นึ ท่ีเรียกวา่ เกิดภาวะเรือนกระจก ซึ่งสง่ ผลกระทบต่อ มนษุ ย์และสง่ิ แวดลอ้ มอย่างมาก ในบริเวณที่มียวดยานสัญจรไปมาอยา่ งคบั คง่ั หรอื การจราจรตดิ ขัดจะมปี ริมาณของแก๊ส CO สงู แก๊สชนิดน้ีเปน็ แก๊สพิษท่ีไม่มี สแี ละกล่ิน จะฟงุ้ กระจายปะปนอยใู่ นอากาศ เม่ือหายใจเอาแก๊ส CO เข้าไป จะ รวมกับฮีโมโกลบินในเลือดเกิดเป็นคารบ์ อกซีฮีโมโกลบิน ทาใหเ้ ม็ดเลือดแดงไม่ สามารถรับออกซเิ จนได้ตามปกติ จะเกิดอาการเวียนศรี ษะ หายใจอดึ อดั คล่ืนไส้ อาเจยี น ถ้ารา่ งกายไดร้ ับเข้าไปมากทันทีอาจทาใหเ้ สยี ชีวติ ได้ การเผาไหม้ของเชื้อเพลงิ ในเคร่ืองยนต์ต่างๆ มไี ฮโดรคาร์บอนทเ่ี ผาไหม้ไม่ หมดออกมาดว้ ย โดยเฉพาะไฮโดรคารบ์ อนทมี่ ีโมเลกลุ มีพนั ธะคจู่ ะรวมตวั กับ ออกซิเจนหรอื แกส๊ โอโซน เกิดเปน็ สารประกอบแอลดีไฮดซ์ ง่ึ มกี ลน่ิ เหม็นทาให้ เกดิ อาการระคายเคืองเมอื่ สูดดม นอกจากนไ้ี ฮโดรคาร์บอนยงั อาจเกิดปฏกิ ริ ยิ า กบั ออกซเิ จนและไนโตรเจนไดออกไซด์ เกดิ สารประกอบเปอร์ออกซีแอซีติลไน เตรต (PAN) ซ่งึ เปน็ พิษทาให้เกิดการระคายเคอื งตอ่ ดวงตาและระบบทางเดิน หายใจ นอกจากน้ียังมผี ลต่อพชื โดยทาลายเนอ้ื เย่ือที่ใบอีกดว้ ย มลภาวะทางน้า บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธ์ิ เรียบเรียง
สาเหตสุ าคญั ประการหน่งึ ที่ก่อใหเ้ กิดมลพิษทางนา้ คือ การใชป้ โิ ตรเคมีภณั ฑ์ เชน่ ปยุ๋ เคมี สารปราบศัตรพู ชื และ ผงซกั ฟอกแม้วา่ ปยุ๋ เคมแี ละผงซกั ฟอกจะไม่เป็นพิษโดยตรงตอ่ มนุษย์แตก่ ็เปน็ อาหารทดี่ ีของพชื น้าบางชนิด จากการศึกษาวจิ ยั น้าจากแหล่งชุมชนพบวา่ มปี รมิ าณฟอสเฟตสูงมากท้งั น้ีเป็นเพราะนา้ ท้ิงจากอาคารบา้ นเรือนมี ฟอสเฟตในผงซักฟอกปนอยูด่ ้วยสารดงั กล่าวจะกระตนุ้ การเจริญงอกงามของพชื นา้ ไดด้ ีและรวดเรว็ เม่ือพชื นา้ ตายจลุ นิ ทรีย์ ในน้าจะต้องใช้ออกซเิ จนจานวนมากในการย่อยสลายซากพืชเหล่านัน้ เปน็ เหตใุ ห้ปรมิ าณออกซิเจนในนา้ ลดลง จึงทาให้เกิด นา้ เนา่ เสีย สารเคมีและวตั ถุดบิ มีพิษท่ีใชใ้ นการเกษตรเพื่อเพ่ิมผลผลิตในการเพาะปลูกสารกาจดั แมลงและกาจดั วัชพชื เช่น สารประกอบไนไตรตแ์ ละไนเตรต สารประกอบคลอรเิ นเตดไฮโดรคารบ์ อน ออร์แกโนฟอสเฟต คาร์บาเมต เมื่อตกคา้ งอยู่ ในอากาศหรือดินก็จะถูกน้าชะล้างลงสแู่ หลง่ น้า ทาให้แหล่งน้าในบรเิ วณเกษตรกรรม หรือสายนา้ ที่ไหลผ่านมีสารพษิ สะสม หรือปะปนอยู่ การจับสตั วน์ ้าจากแหล่งน้าในบรเิ วณน้นั มาบรโิ ภคกจ็ ะมโี อกาสไดร้ บั พษิ จากสารดังกลา่ วดว้ ย นา้ มันเป็นสารอีกชนดิ หน่ึงทกี่ ่อใหเ้ กิดมลพิษทางนา้ เมอื่ น้ามันรว่ั ไหลลงสทู่ ะเลหรือแม่น้าลาคลองจะเกิดคราบ นา้ มันลอยอยู่ที่ผวิ น้า คราบน้ามันจะเปน็ แผน่ ฟิล์มปกคลมุ ผิวนา้ ทาใหอ้ อกซเิ จนในอากาศไมส่ ามารถละลายลงไปในน้าได้ ทาให้น้าขาดออกซิเจน สตั ว์น้าทีอ่ ยู่ในแหล่งนา้ บรเิ วณนั้นๆ อาจตายได้ ตามปกติน้าในธรรมชาติจะมีออกซิเจนละลายอยู่ ประมาณ 5 - 7 ส่วนในลา้ นส่วน ปรมิ าณออกซเิ จนในน้าหรือ DO (Dissolved Oxygen) จึงมคี วามสาคัญและจาเปน็ อย่าง ยงิ่ สาหรับการดารงชวี ติ ของพืชและสัตว์น้าการบง่ ชค้ี ณุ ภาพน้าอาจทาได้ เช่น ก. หาปริมาณออกซิเจนท่ีจุลนิ ทรีย์ตอ้ งใช้ไปในการย่อยสลายสารอินทรีย์ในนา้ เรียกว่า ค่า BOD (Biochemical Oxygen Demand) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณจลุ นิ ทรยี ์ทีต่ อ้ งใชอ้ อกซเิ จนในน้า ข. หาปรมิ าณความต้องการออกซเิ จนของสารเคมีทีอ่ ย่ใู นน้า เรียกว่า ค่า CDO (Chemical Oxygen Demand) ซงึ่ จะบอกถึงปริมาณของสารเคมีท่ีสามารถทาปฏกิ ิรยิ ากบั ออกซิเจนในน้า มลภาวะทางดนิ ดินเปน็ ปัจจยั ที่สาคัญประการหนึ่งของสงิ่ มชี วี ติ จึงจาเป็นต้องรักษาดนิ ให้ใช้ประโยชนไ์ ด้นานท่ีสุด การกาจดั สารพษิ ดว้ ยวธิ กี ารฝังดนิ รวมทั้งการกาจดั ขยะมูลฝอยและสิง่ ปฏกิ ลู ต่างๆโดยการท้ิงบนดนิ จะเป็นสาเหตุ ทาใหด้ นิ มสี ภาพไม่เหมาะสมสาหรบั การเพาะปลูก และก่อใหเ้ กิดภาวะมลพษิ ทางดิน ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทใ่ี ช้ปราบศัตรพู ชื กเ็ ปน็ อีกสาเหตหุ นง่ึ ที่ทาให้เกิดภาวะมลพษิ ทางดินได้ เคร่ืองมอื เครอ่ื งใชใ้ นชีวิตประจาวัน เชน่ ยางรถยนต์ พลาสติก บรรจุ ภณั ฑ์ ผลิตภัณฑเ์ หลา่ นีส้ ลายตัวยาก มคี วามทนทานต่อน้าแสงแดด และอากาศ จึงตกคา้ งอยู่ในส่ิงแวดลอ้ มทั้งในดินและ น้า นักวิทยาศาสตร์จึงคิดคน้ วธิ ีกาจดั พลาสตกิ ที่ใช้แลว้ รวมทงั้ คน้ ควา้ เพ่ือสงั เคราะหพ์ ลาสติกชนดิ ใหมๆ่ ทสี่ ามารถใช้งาน ไดใ้ นชว่ งระยะเวลาหน่ึง หลงั จากน้นั จะเส่ือมสลายไป หรือสงั เคราะห์พลาสติกทจ่ี ุลนิ ทรียส์ ามารถยอ่ ยสลายได้ ในปจั จบุ นั มีวธิ ีกาจดั พลาสติกทใี่ ชแ้ ลว้ หลายวิธีดังนี้ ก. ใชป้ ฏกิ ิริยาชีวเคมเี น่อื งจากพลาสติกสว่ นใหญ่มีความทนทานตอ่ การย่อยสลายของเอนไซม์จากจุลินทรยี ์ นักวิทยาศาสตรจ์ ึงได้คิดค้นพลาสติกทม่ี ีโครงสรา้ งทางเคมีท่ีสามารถถูกทาลายไดด้ ว้ ยเอนไซม์ของจุลนิ ทรยี ์พวกแบคทีเรีย และเชอ้ื รา ตัวอย่างเชน่ เซลลโู ลสซานเทค และเซลลูโลสแอซีเตต หรือการผสมแป้งขา้ วโพดในพอลเิ อทิลนี แลว้ นามาผลิต วสั ดบุ รรจภุ ัณฑ์ ข. ใช้สมบัติการละลายในน้า พลาสติกบางชนิด เช่น พอลิไวนิลแอลกอฮอล์สามารถละลายในน้าได้เม่ืออยู่ใน สิง่ แวดล้อมท่ีมคี วามชน้ื สูง หรอื อยู่ในนา้ ซงึ่ เปน็ ตัวทาละลายในธรรมชาติ เมอื่ อุณหภูมสิ งู ขึน้ พลาสติกจะละลายได้เพิม่ ขึ้น บทที่ 12 เชื้อเพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
ค. ใชแ้ สงแดด นกั เคมชี าวแคนาดาพบว่าการเติมหมู่ฟังก์ชันที่ไวต่อแสงอัลตราไวโอเลตเข้าไปในโซ่พอลิเมอร์ เมื่อ พลาสตกิ ถูกแสงแดดจะเกิดสารที่ทาปฏกิ ริ ิยากบั ออกซิเจนในอากาศทาให้พลาสตกิ เสอ่ื มคณุ สมบัติ เปราะแตก และหกั ง่าย ง. ใช้ความร้อน พลาสติกพวกที่เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอน เมื่อได้รับความร้อนถึงระดับหนึ่งจะสลายตัวเป็น โมเลกุลขนาดเล็ก ในท่ีสุดจะได้คาร์บอนไดออกไซด์กับน้าหรือสารอ่ืนซึ่งเป็นพิษปนออกมาด้วย ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับชนิดของ พลาสตกิ เชน่ พอลเิ อทลิ นี ติดไฟง่าย พอลิสไตรีนเผาไหม้ให้ควันดาและเขม่ามาก ส่วนพอลิไวนิลคลอไรด์ติดไฟยากต้องให้ ความร้อนตลอดเวลาและมีแก๊สไฮโดรเจนคลอไรด์ซึ่งเป็นแก๊สพิษเกิดข้ึนด้วย การเผาเป็นวิธีกาจัดพลาสติกที่รวดเร็ว แต่มี ข้อเสยี คืออาจเกดิ สารพษิ ทกี่ ่อให้เกดิ ภาวะมลพิษทางอากาศได้ จ. นากลบั มาใชใ้ หม่ พลาสตกิ ประเภทเทอร์มอพลาสติกสามารถนากลับมาใช้ใหม่ได้ โดยล้างทาความสะอาดแล้ว นาเข้าเคร่ืองตัดเป็นชิ้นเล็กก่อนเข้าเครื่องอัดเม็ดเม็ดพลาสติกที่ได้จะสามารถนาไปหลอมเป็นชิ้นงานได้อีก เช่น นาไปใช้ ทาโฟมกันกระแทกในการบรรจุผลติ ภณั ฑ์ ผสมในซีเมนต์เพ่ือให้รับแรงกระแทก ใช้ถมที่ดินชายฝ่ังทะเลแล้วอัดให้แน่นเพ่ือ สร้างท่ีอยู่อาศัย หรืออาจนามาอัดให้แน่นใช้ทาเป็นอิฐหรือวัสดุก่อสร้างซึ่งเป็นวิธีที่เหมาะสมในแง่เศรษฐกิจและเป็นการ สงวนทรพั ยากร นักเรียนได้ทราบปัญหาความเสื่อมโทรมของส่ิงแวดล้อม การเกดิ ภาวะมลพิษทั้งทางอากาศ น้า และดินอันเป็นผล จากการใช้และพัฒนาผลิตภัณฑ์จากเช้ือเพลิง ซากดึกดาบรรพ์ซ่ึงเป็นทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับ ทุกประเทศในโลกโดยเฉพาะกับประเทศอุตสาหกรรม จากผลของการพัฒนาทางด้านสังคม เศรษฐกิจ และอุตสาหกรรม เพื่อสนองความต้องการของประชากรท่ีเพ่ิมข้ึน การป้องกันเพ่ือไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยความร่วมมือกันต้ังแต่ ระดับทอ้ งถิน่ ประเทศและระดบั โลก เนื่องจากปัญหาต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนนั้นเป็นผลมาจากการกระทาของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบของทุกๆ คนท่ีจะต้องช่วยกันดูแลรักษาส่ิงแวดล้อมให้อยู่ในสภาพที่ดี รวมท้ังการใช้ เช้ือเพลิงและผลิตภัณฑ์เหล่าน้ีอย่างประหยัดและรู้คุณค่า รวมท้ังแสวงหาแหล่งพลังงานทดแทน เพ่ือการดารงชีวิตท่ีมี ความสุขและปลอดภยั ร่วมกันตลอดไป บทที่ 12 เชือ้ เพลิงซากดึกดาบรรพ์และผลิตภณั ฑ์ :อรสา พลฤทธิ์ เรียบเรียง
Search
Read the Text Version
- 1 - 37
Pages: