Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์

เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์

Published by Thunyalukka84, 2022-05-28 10:35:52

Description: suyj

Search

Read the Text Version

ÃÒÂÇªÔ ÒÇÔ·ÂÒÈÒʵÏ 3 ÃËÊÑ ÇªÔ Ò Ç22102 ª´Ø ¡Ô¨¡ÃÃÁ¡ÒÃàÃÂÕ ¹Ãnj٠·Ô ÂÒÈÒʵÏ àÃè×ͧ àªé×Íà¾Å§Ô «Ò¡´¡Ö ´Òí ºÃþ ªé¹Ñ Á¸Ñ ÂÁÈ¡Ö ÉÒ»‚·Õè 2 ¹ÒÂÍØ¡ÄÉ® ÁÒÃСŠµÒí á˹‹§ ¹¡Ñ ÈÖ¡ÉÒ½¡ƒ »¯ÔºµÑ Ô¡ÒÃÊ͹ã¹Ê¶Ò¹ÈÖ¡ÉÒ 2 âçàÃÕ¹ķ¸ÔÂÐÇÃóÒÅÑ á¢Ç§¤Åͧ¶¹¹ ࢵÊÒÂäËÁ ¨Ñ§ËÇ´Ñ ¡Ãا෾ÁËÒ¹¤Ã 椄 ¡Ñ´ ÊíÒ¹¡Ñ §Ò¹à¢µ¾×¹é ·Õè¡ÒÃÈ¡Ö ÉÒÁ¸Ñ ÂÁÈ¡Ö ÉÒ à¢µ 2

¡ÅѺ˹ŒÒ ¤íÒ¹Òí ¡ ÊÒúÞÑ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร รหัสวิชา ว22102 กลุมสาระการเรียนรู วทิ ยาศาสตร ชั้นมัธยมศึกษาปที่ 2 เร่ือง เช้ือเพลิงซากดึกดําบรรพ จัดทําข้ึนเพื่อใช ในการประกอบกิจกรรมการเรียนการสอนรวมกับแผนการจัดการเรียนรูโดยเปนชุด กิจกรรมทเ่ี นน ผูเรียนสืบเสาะหาความรู และสามารถสรางองคความรูดวยตนเองใน การจัดทําชุดกิจกรรมการเรียนรูวิทยาศาสตร เร่ือง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ ประกอบดวยกจิ กรรมยอย 3 กิจกรรมดงั นี้ 1.1 ถานหิน 1.2 หนิ น้ํามนั และปโ ตรเลยี ม 1.3 ผลกระทบจากการใชเ ชือ้ เพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ ขอขอบคุณคณะที่ปรึกษาในการจัดทําชุดกิจกรรมการเรียนรูวิทยาศาสตร ผูชวยศาสตราจารยฐาปนา จอยเจริญ และขอบคุณคณะผูเช่ียวชาญในการ ตรวจสอบ พิจารณาปรับปรุงแกไขชุดกิจกรรมการเรียนรูวิทยาศาสตร และคณะครู โรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย ที่เปนกําลังใจในการจัดทําชุดกิจกรรมการเรียนรู วิทยาศาสตร ในครัง้ น้สี ําเรจ็ ไปดว ยดี อุกฤษฎ มาระกล ชุดกจิ กรรมการเรียนรวู ิทยาศาสตร เรอ่ื ง เชอื้ เพลิงซากดึกดาํ บรรพ ครอู กุ ฤษฎ มาระกล

¢ ÊÒúÑÞ ¡ÅѺ˹ŒÒ ÊÒúÞÑ เรอ่ื ง หนา คาํ นํา สารบญั ก สารบัญตาราง ข สารบญั ภาพ ค คาํ ชีแ้ จงแนะนาํ การใชชดุ กิจกรรมสาํ หรับนักเรียน ง ชดุ กิจกรรมการเรียนรูว ิทยาศาสตร เรอ่ื ง เช้อื เพลิงซากดกึ ดําบรรพ จ แบบทดสอบกอ นเรยี น 1 ใบความรูท่ี 1 เรอ่ื ง ถา นหิน 3 5 แบบบันทึกกจิ กรรมท่ี 1.1 เร่อื ง ถา นหนิ 8 ใบความรทู ่ี 2 เร่ือง หนิ นา้ํ มนั และปโ ตรเลียม 9 12 แบบบันทกึ กิจกรรมที่ 2.1 เรือ่ ง หนิ น้ํามัน 13 แบบบันทึกกิจกรรมที่ 2.2 เร่อื ง ปโตรเลียม 14 ใบความรูท่ี 3 เรื่อง ผลกระทบจากการใชเชอื้ เพลิงซากดึกดําบรรพ แบบบันทึกกจิ กรรมที่ 3.1 เร่อื ง ผลกระทบจากการใชเชอ้ื เพลงิ ซาก 17 ดึกดําบรรพ บรรณานุกรม 18 ชุดกจิ กรรมการเรยี นรวู ิทยาศาสตร เรอื่ ง เชือ้ เพลงิ ซากดึกดําบรรพ ครูอุกฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹Ҍ ¤ ÊÒúÞÑ ÊÒúÑÞµÒÃÒ§ เรื่อง หนา ตารางท่ี 1 แสดงชนดิ ของถานหนิ ลักษณะ และแหลงท่พี บถา นหินใน 5 ประเทศไทย ชุดกิจกรรมการเรียนรูวทิ ยาศาสตร เร่อื ง เชอื้ เพลิงซากดกึ ดําบรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

§ ÊÒúÑÞÀÒ¾ ¡ÅѺ˹Ҍ ÊÒúÞÑ ภาพที่ เรอ่ื ง หนา 1. การเกิดหินนาํ้ มัน 9 9 2. หนิ นาํ้ มัน 10 11 3. กระบวนการเกิดปโ ตรเลยี ม 14 15 4. ลกั ษณะโครงสรา งชน้ั หินของแหลงกกั เกบ็ ปโ ตรเลยี ม 15 5. ผลติ ภณั ฑปโ ตรเลยี ม 17 6. การใชป ระโยชนจากน้ํามันดิบ โดยการกล่ันลาํ ดบั สวน 7. การใชป ระโยชนจากแกส ธรรมชาติ 8. สดั สว นการปลอยแกสคารบอนไดออกไซดจ ากการใชพลังงาน ในภาคสวนตา ง ๆ ชุดกิจกรรมการเรียนรูวิทยาศาสตร เร่ือง เช้ือเพลิงซากดึกดาํ บรรพ ครูอกุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ ¨ ÊÒúÑÞ ¤Òí ªáéÕ ¨§á¹Ð¹Òí ¡ÒÃ㪪Œ ´Ø ¡¨Ô ¡ÃÃÁÊíÒËÃѺ¹¡Ñ àÃÂÕ ¹ ชุดกิจกรรมการเรียนรูที่นักเรียนจะไดศึกษาตอไปน้ี เปนชุดกิจกรรมการเรียนรู เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ มุงเนนใหนักเรียนไดรับการพัฒนาความรูและความเขาใจ เกี่ยวกับกระบวนการเกิดเช้ือเพลิงซากดึกดําบรรพ สมบัติของเช้ือเพลิงซากดึกดําบรรพ และผลกระทบจากการใชเ ชื้อเพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ โดยฝกการใชคําถามและทักษะการสืบ เสาะหาความรูเพ่ือใหนักเรียนไดคิด และลงมือปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีกําหนดใหดวยท่ี กําหนดใหดวยตนเองการใชเอกสารนี้ใหเกิดประโยชนสูงสุด นัดเรียนควรปฏิบัติตาม ขน้ั ตอนท่ีกาํ หนดไวใ นชุดกจิ กรรมการรูต ามลาํ ดับ ดังนี้ 1. นักเรียนอา นคาํ แนะนําการใชช ุดกจิ กรรมการเรียนรู และปฏิบัตติ ามอยางตั้งใจ 2. นกั เรียนทาํ แบบทดสอบกอ นเรยี นในชุดกิจกรรมการเรียนรูเรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ จํานวน 20 ขอ 3. นักเรียนแบงกลมุ กลุมละ 5-6 คน โดยคละความสามารถนักเรยี นเกง ปานกลาง และออ น เพ่ือใหน ักเรียนไดช ว ยเหลอื กันและแลกเปลี่ยนประสบการณกันภายในกลุม และแบงหนาท่ี ในกลมุ ของนักเรียนอาจเปน ดังนี้ คนท่ี 1 อานข้นั ตอนการทํากิจกรรมและอธิบายรายละเอียดใหเพ่ือนรบั ทราบ คนท่ี 2 เปน ผูนําในการทาํ กจิ กรรม คนที่ 3 จัดเตรียมอุปกรณเกบ็ อปุ กรณ คนท่ี 4 จดบนั ทึกและเขยี นขอสรปุ ท่ไี ดจากการทํากิจกรรม คนที่ 5 เปน ผูน ําวเิ คราะห สรปุ ผลการทาํ กจิ กรรม คนที่ 6 เปนผนู ําเสนอผลงาน กลุมท่ีมสี มาชกิ 5 คน ใหคนที่ 5 ทาํ หนาทเ่ี พม่ิ เตมิ เปน ผนู ําเสนอผลงาน 4. นักเรียนรว มกนั อภปิ รายซกั ถามใหเ ขาใจเกี่ยวกับวิธีการ ข้ันตอนและบทบาทของนักเรียน ตลอดจนขอสงสยั อื่น ๆ 5. ขณะเรยี น นักเรียนตองปฏิบัติกิจกรรมตามลําดับทุกข้ันตอนที่กําหนด ใหความรวมมือใน การปฏบิ ัติตามขอตกลงของกลุม รับผิดชอบปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีไดรับมอบหมาย โดยสมาชิกทุกคน ในกลุมตองมีสวนรวมในการปฏิบัติกิจกรรมใหบรรลุผลสําเร็จตามวัตถุประสงค หากมีขั้นตอนใดไม เขาใจใหส อบถามครู ชดุ กิจกรรมการเรยี นรวู ิทยาศาสตร เรือ่ ง เชื้อเพลงิ ซากดกึ ดาํ บรรพ ครูอุกฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ © ÊÒúÞÑ 6. นกั เรยี นสามารถศึกษาดวยตนเองโดยอาศัยความซ่ือสัตยตอตนเอง ไมเขาใจให ยอนกลับไปศึกษาเน้ือหาใหม จะทําใหนักเรียนเขาใจบทเรียนยิ่งข้ึน แลวกลับมาทําใบ กิจกรรม หรือศกึ ษาใบความรอู ีกครัง้ 7. นักเรียนตองรักษาเวลาในการทาํ กจิ กรรมแตล ะขน้ั ตอนใหทันเวลาท่ีกาํ หนด 8. สําหรบั ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู เรื่อง เช้ือเพลิงซากดึกดําบรรพ ครูประเมินผลงานนักเรียน จากแบบบันทึกใบกิจกรรมที่ 1.1 – 3.1 9. นักเรียนทําแบบทดสอบหลังเรียนชุดกิจกรรมการเรียนรู เร่ืองเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ จํานวน 20 ขอ ซ่งึ อยูทา ยชดุ กิจกรรมการเรยี นรู 10. นักเรยี นประเมนิ ตนเองโดยตอ งพยายามตอบคาํ ถามดวยความตง้ั ใจ เพราะคําถามใน ชุดกจิ กรรมการเรียนรไู มใ ชขอสอบแตเ ปน สวนหนึง่ ของการเรียนรู º·ºÒ·¢Í§¹Ñ¡àÃÕ¹ 1. บทบาทของผนู าํ กลมุ 1.1 ควบคมุ ดแู ลการดําเนินกจิ กรรมในกลมุ ใหเ ปน ไปตามข้นั ตอนทกี่ าํ หนด 1.2 เปน ผูนําในการวางแผนการศึกษาชดุ กิจกรรมการเรียนรูรว มกันในกลมุ 1.3 รับชุดกิจกรรมการเรยี นรแู จกสมาชกิ ในกลุม และเกบ็ สงครเู มอื่ ใชเ สรจ็ แลว 1.4 เปนผปู ระสานงานกบั ครเู ม่ือพบปญ หาหรอื ขอสงสยั 2. บทบาทสมาชกิ ในกลุม 2.1 ปฏิบตั กิ จิ กรรมดว ยความตัง้ ใจ เพ่ือใหเสร็จทันเวลาทีก่ าํ หนด 2.2 ทาํ กิจกรรมตามแบบบนั ทึกกิจกรรมที่ 1.1 และศึกษาใบความรูท่ี 1 ทําใบกิจกรรมท่ี 2.1- 2.2 และศึกษาใบความรูที่ 2 แลวทําใบกิจกรรมท่ี 3.1 ศึกษาใบความรูท่ี 3 และทําแบบทดสอบหลัง เรียนชุดกิจกรรมการเรยี นรู เร่ือง เช้ือเพลงิ ซากดกึ ดาํ บรรพ ดวยความต้ังใจและเต็มความสามารถโดย ไมร บกวนเพอ่ื นในกลมุ 2.3 ในการทาํ งานนกั เรยี นสามารถปรกึ ษากนั ได รวมมือในการปฏิบัติกิจกรรมกลุมและเสนอ ความคิดเห็นในการอภปิ รายความรไู ดอ ยา งเต็มท่ี ชดุ กิจกรรมการเรียนรูวทิ ยาศาสตร เรอ่ื ง เชอื้ เพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ ครูอุกฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹Ҍ 1 ÊÒúÞÑ ªØ´¡Ô¨¡ÃÃÁ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒÇ·Ô ÂÒÈÒʵÏ àÃèÍ× § àªÍ×é à¾ÅÔ§«Ò¡´¡Ö ´Òí ºÃþ มาตรฐานการเรียนรู มาตรฐาน ว 3.2 เขาใจองคประกอบและความสัมพันธของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลกและบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการ เปลยี่ นแปลงลมฟาอากาศและภูมิอากาศโลก รวมท้ังผลตอ สงิ่ มีชวี ิตและสิง่ แวดลอ ม ตวั ช้วี ดั ว 3.2 ม.2/1 เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบัติและการใชประโยชน รวมท้งั อธิบายผลกระทบจากการใชเ ชอื้ เพลิงซากดกึ ดําบรรพจ ากขอ มูลที่รวบรวมได ว 3.2 ม.2/2 แสดงความตระหนักถึงผลจากการใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ โดยนําเสนอแนวทางการใชเชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดําบรรพ สาระการเรยี นรูแกนกลาง เชือ้ เพลิงซากดึกดําบรรพเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพของซากสิ่งมีชีวิตใน อดีตโดยกระบวนการทางเคมีและธรณีวิทยา เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพไดแกถานหิน หินน้ํามัน และปโตรเลียมซ่ึงเกิดจากวัตถุตนกําเนิด และสภาพแวดลอมการเกิดที่ แตกตางกันทําใหไดชนิดของเช้ือเพลิงซากดึกดําบรรพที่มีลักษณะ สมบัติและการ นําไปใชประโยชนแตกตางกันสําหรับปโตรเลียมจะตองมีการผานการกล่ันลําดับสวน กอ นการใชงานเพ่ือใหไ ดผลิตภัณฑทีเ่ หมาะสมตอการใชประโยชนเช้ือเพลิงซากดึกดํา บรรพเปนทรัพยากรท่ีใชแลวหมดไปเนื่องจากตองใชเวลานานหลายลานปจึงจะ เกดิ ข้นึ ใหมได ชุดกจิ กรรมการเรยี นรูวิทยาศาสตร เรื่อง เชื้อเพลงิ ซากดึกดําบรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 2 ÊÒúÑÞ การเผาไหมเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพในกิจกรรมตาง ๆ ของมนุษยจะทําให เกดิ มลพิษทางอากาศซ่ึงสง ผลกระทบตอ สิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดลอมนอกจากน้ีแกสบาง ชนดิ ท่เี กิดจากการเผาไหมเชื้อเพลิงซากดกึ ดําบรรพเชนแกสคารบอนไดออกไซดและ ไนตรัสออกไซดยังเปนแกสเรือนกระจกซ่ึงสงผลใหเกิดการเปล่ียนแปลงภูมิอากาศ ของโลกรุนแรงขึ้น ดังน้ันจึงควรใชเชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพโดยคํานึงถึงผลท่ีเกิดขึ้น ตอสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดลอม เชน เลือกใชพลังงานทดแทน หรือเลือกใชเทคโนโลยีที่ ลดการใชเช้ือเพลงิ ซากดึกดําบรรพ จดุ ประสงคก ารเรยี นรู 1. อธิบายกระบวนการเกดิ สมบตั ิ และการใชป้ ระโยชนข์ องถ่านหินได้ 2. เปรยี บเทียบสมบตั ิของถ่านหินแต่ละประเภทได้ 3. เปรียบเทียบกระบวนการเกิด สมบตั ิ และการใชป้ ระโยชน์ของหิน นา้ํ มนั และปิโตรเลยี มได้ 4. สบื คน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั ประเภทของถา่ นหินได้ 5. สืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกบั หินนาํ้ มนั และปิโตรเลยี มได้ ชดุ กจิ กรรมการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร เร่ือง เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดาํ บรรพ ครูอกุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 3 ÊÒúÞÑ áºº·´Êͺ¡‹Í¹àÃÂÕ ¹ ªØ´¡Ô¨¡ÃÃÁ¡ÒÃàÃÂÕ ¹ÃÙŒ àÃèÍ× § àªÍé× à¾Å§Ô «Ò¡´Ö¡´Òí ºÃþ ÃдºÑ ª¹éÑ ÁѸÂÁÈ¡Ö ÉÒ»‚·èÕ 2 คาํ ชีแ้ จง 1. แบบทดสอบนีเ้ ปน แบบปรนยั เลือกตอบ 4 จํานวน 20 ขอ 2. ทําเครื่องหมาย x ลงในคาํ ตอบท่ีถกู ตอ งที่สดุ เพียง 1 ขอ 1. ถา นหนิ เกิดจากการทับถมจากสง่ิ ใด 6. ขอ ใดเรยี งลําดบั ถา นหินทใ่ี หพ ลงั งานนอยทีส่ ุดไปหา ก. เกิดจาการทบั ถมของซากพืช มากสดุ ไดถ ูกตอง ข. เกิดจาการทับถมของซากสตั ว ค. เกิดจาการทบั ถมของหนิ และแรต าง ๆ ก. ลิกไนต ซบั บิทูมินัส บทิ ูมินัส แอนทราไซต พตี ง. เกดิ จาการทบั ถมของสาหรายและซากสัตว ข. ลกิ ไนต ซับบทิ มู นิ ัส บทิ ูมนิ ัส พีต แอนทราไซต ค. พีต ลกิ ไนต ซบั บิทมู นิ สั บิทมู นิ สั แอนทราไซต 2. ถา นหนิ มีก่ีประเภท ง. พตี ลิกไนต ซับบทิ มู นิ สั แอนทราไซต บิทมู นิ สั ก. 3 ประเภท 7. ถา นหินในขอ ใดทเ่ี มอ่ื เกิดการเผาไหมแ ลว จะเกิดเขมา ข. 4 ประเภท ควนั มาก ค. 5 ประเภท ก. พีต ง. 6 ประเภท ข. ลกิ ไนต ค. บิทมู ินัส 3. ถานหนิ มีธาตใุ ดเปน องคประกอบหลกั ง. แอนทราไซต ก. คารบ อน 8. ถานหนิ ขอใดมคี ุณภาพดีทีส่ ุด ข. ไนโตรเจน ก. ลิกไนต ค. ออกซเิ จน ข. บิทมู ินสั ง. ไฮโดรเจน ค. ซับบิทมู นิ สั ง. แอนทราไซต 4. แหลงถา นหินในประเทศไทยทพ่ี บมากทส่ี ดุ ท่ีจงั หวัดใด 9. ปรมิ าณความรอ นของถา นหินขน้ึ อยกู ับปจ จยั ใด ก. จังหวัดขอนแกน ก. อายขุ องถา นหิน ข. จงั หวัดลาํ ปาง ข. ชนดิ ของถา นหนิ ค. จังหวัดกระบ่ี ค. ความช้ืนของถานหนิ ง. จงั หวัดระยอง ง. ปรมิ าณธาตุคารบ อน 10. สารประกอบอนิ ทรียที่แทรกอยูช ้ันตะกอนของหนิ 5. เพราะเหตุใด ถา นหนิ แอนทราไซตจ ึงใหพ ลังงานมาก นํา้ มนั คอื สารใด ท่ีสดุ ก. เคอโรเจน ข. ควอตซ ก. มีจํานวนคารบ อนมากทสี่ ุด ค. เคลย ข. มีจํานวนคารบอนนอ ยท่สี ุด ง. แคลไซต ค. ไมม จี าํ นวนคารบอน ง. มีประจไุ ฟฟามาก ชุดกิจกรรมการเรียนรวู ิทยาศาสตร เร่ือง เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดําบรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹Ҍ 4 ÊÒúÞÑ 11. ปโตรเลียมประกอบดวยสง่ิ ใดบา ง 16. ขอใดไมใ ชเชื้อเพลงิ ซากดึกดาํ บรรพ ก. น้ํามันดิบกบั ถา นหนิ ก. ถานหิน ข. นํ้ามนั ดบิ กับหนิ น้ํามัน ข. นา้ํ มันดิบ ค. ถา นหินกับแกสธรรมชาติ ค. แกสธรรมชาติ ง. นํ้ามันดบิ กบั แกสธรรมชาติ ง. ถา นกมั ถนั ต 12. ในแหลงกกั เกบ็ ปโตรเลียมทีม่ ที ้ังนํ้ามนั ดบิ แกส 17. ขอ ใดเปน ทรพั ยากรธรรมชาติทีใ่ ชแ ลว หมดส้ิน ธรรมชาติ และน้ําเราจะพบวา มีการแยกชนั้ กนั อยา งไร ก. ถา นหิน เรียงลาํ ดับจากบนลงลาง ข. แกสธรรมชาติ ค. นํ้ามนั ปโตรเลียม ก. แกส นํา้ นํ้ามัน ง. ถกู ทกุ ขอ ข. แกส นา้ํ มัน นาํ้ ค. นํ้ามนั แกส นา้ํ 18. ประเทศไทยใชป ระโยชนจากถานหนิ ในดานใด ง. นํ้ามนั น้ํา แกส มากที่สดุ 13. องคป ระกอบหลักของเชอ้ื เพลงิ ธรรมชาติคือขอใด ก. ธาตไุ นโตรเจนและคารบอน ก. ใชในการขนสง ข. ธาตุไฮโดรเจนและคารบ อน ข. ใชผลิตกระแสไฟฟา ค. ธาตอุ อกซเิ จนและคารบอน ค. ใชผลติ เปนถานกมั มนั ต ง. ธาตุกํามะถันและคารบอน ง. ใชเ ปนเชื้อเพลิงในอตุ สาหกรรม 14. การแยกปโตรเลียมโดยใชส มบตั ิของจุดเดือด 19. ขอ ใดคือผลทเ่ี กดิ จากการเผาไหมท ไ่ี มส มบรู ณ เรียกวา อะไร ของน้าํ มันเช้อื เพลงิ ในรถยนต ก. การกล่นั ทาํ ลายปโ ตรเลยี ม ก. เกดิ แกสซลั เฟอรไ ดออกไซด ข. การกล่ันลําดับสวน ข. เกดิ แกส คารบ อนมอนอกไซด ค. การสลายนาํ้ มนั ค. เกิดแกสคารบ อนไดออกไซด ง. การกลัน่ ธรรมดา ง. เกดิ แกสไนโตรเจนไดออกไซด 15. ผลิตภณั ฑจ ากปโตรเลยี มใดทีม่ จี ุดเดือดสงู ท่ีสดุ 20. ขอใดเปน สาเหตหุ ลักสาํ คัญที่มนษุ ยเ สาะหา ก. นํา้ มันเตา แหลง พลังงานทดแทน ข. นํ้ามนั กา ด ก. เกิดปญหามลพิษจากการใชถ านหินและ ค. ยางมะตอย ปโตรเลยี ม ง. น้าํ มันหลอ ล่นื ข. พลงั งานทดแทนเปนพลังงานที่สะอาด และไมหมดส้ิน ค. เกดิ ภาวะขาดแคลนน้ํามันเช้ือเพลงิ และ ปริมาณสาํ รองเหลือนอ ยมาก ง. เทคโนโลยปี จจุบันมีความกา วหนา สําหรบั การนําพลังงานทดแทนมาใช ชดุ กิจกรรมการเรียนรูวทิ ยาศาสตร เรอื่ ง เชื้อเพลงิ ซากดึกดําบรรพ ครอู กุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 5 ÊÒúÞÑ ãº¤ÇÒÁ÷ŒÙ èÕ 1 àÃ×èͧ ¶‹Ò¹Ë¹Ô เชอื้ เพลิงธรรมชาติ หมายถึง แรเ ชือ้ เพลงิ ที่เกิดจากสารอินทรยี  มธี าตคุ ารบ อนและ ธาตุ ไฮโดรเจนเปนองคป ระกอบหลกั เช้อื เพลงิ ธรรมชาตมิ ีหลายชนิด เชน ถานหนิ หินนํา้ มนั และปโตรเลียม ถานหิน ถา นหิน (coal) เปน เช้อื เพลิงที่เกดิ จากการทับถมของซากพืชในแองน้ําต้ืน ซึ่งสวนใหญจะ มี ลกั ษณะเปนหนองนา้ํ บงึ หรือพรุทมี่ ีนํ้าขัง มีพืชปกคลุมหนาแนนมาก เมื่อพืชตายลงหรือท้ิงกิ่ง ใบสะสม ตวั อยูใ นน้าํ จะเกิดการผพุ ังสลายตวั เหลอื สว นทีส่ ะสมตวั ทบั ถมกนั อยูใ นท่ลี ุมช้ืนแฉะ เม่ือ ถูกอัดทับถม เปนเวลานานหลายลานปภายใตแรงกดดันและอุณหภูมิท่ีสูง ซากพืชจะเกิดการ แปรเปล่ียนเปน สารประกอบไฮโดรคารบอนเปนสว นประกอบหลกั มีสถานะทีเ่ ปนของแขง็ เกดิ เปน ถา นหนิ แบง ชนิดและคุณภาพของถานหินโดยใชปรมิ าณคารบ อน เปน เกณฑได 5 ประเภทดังน้ี ตารางที่ 1 แสดงชนดิ ของถา นหิน ลักษณะ และแหลงท่ีพบถานหนิ ในประเทศไทย ชนิดของถา นหนิ ลักษณะและสว นประกอบของถา นหิน แหลงท่ีพบ ในประเทศไทย 1. พตี (peat) พตี เปนถา นหนิ ท่ีมคี ารบอนอยูนอ ยกวา 60 % พบ ท่ีราบน้ําข้ึนถึงปาชายเลน พรุ 2. ลกิ ไนต (lignite) เปนลําดับแรกของถานหินและมีอายุนอยท่ีสุด และหนองน้ํา พีตท่ีเปน ช้ันหนา เปนถานหินที่ยังเห็นเปนลักษณะของซากพืช มีสี มักจะพบในปาพรุ เชน พรุทา น้ําตาลถึงสีดํา มีความช้ืนสูง เมื่อแหงจะติดไฟ ได สะทอน จังหวัด สุราษฎรธานี ดี ใหคาความรอนนอย มีควันมากใชผลิตไฟฟา พรุท่ีอําเภอ เชียรใหญ จังหวัด ขอดีของพีต คือมีรอยละของกํามะถันตํ่ากวา นครศรธี รรมราช น้ํามัน หรือถา นหินชนิดอืน่ ๆ ลกิ ไนตเ ปนถานหินท่ีมีคารบอนอยู 60-70 % เกิด พบมากทีอ่ ําเภอแมเมาะ จังหวัด จากซากพืชในพีตสลายตัวเกือบหมด เนื้อเหนียว ลาํ ปาง ที่คลองขนาน คลองทอม มีผิวดาน สีน้ําตาลเขม มีความชื้นรอยละ 30-70 อํ าเภอ เมื อ ง จั ง หวั ดก ร ะ บ่ี ใชเ ปน เชอ้ื เพลงิ ในการบมใบยาสูบ หมอไอนํ้าและ อําเภอสะ บ า ย อย จั ง หวั ด ผลติ กระแสไฟฟา เมื่อนํามาเผาเปนเช้ือเพลิงจะมี สงขลา อําเภอ เวียงแหง จังหวัด มีควันมาก เกิดแกสหลายชนิดท่ีเปนมลพิษ เชน เชียงใหม และอําเภอเคียนซา ไ น โ ต ร เ จ น อ อ ก ไ ซ ด ซั ล เ ฟ อ ร ไ ด อ อ ก ไ ซ ด จงั หวัด สรุ าษฎรธานี คารบอนมอนอกไซด ฝุนและเถา เบา ชุดกจิ กรรมการเรยี นรูวิทยาศาสตร เรื่อง เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดาํ บรรพ ครอู กุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 6 ÊÒúÞÑ ตารางที่ 1 (ตอ) แสดงชนิดของถานหนิ ลกั ษณะ และแหลงที่พบถานหนิ ในประเทศไทย ชนดิ ของถานหิน ลักษณะและสว นประกอบของถา นหนิ แหลงที่พบ ในประเทศไทย 3. ซับบทิ ูมินสั ซับบิทูมินัสเปนถานหินท่ีมีคารบอน 71-77 % ใช อําเภอแมเมาะ จังหวัดลําปาง (sub- bituminous) เวลาในการเกิดมากกวาลิกไนต มีสีน้ําตาลถึงสีดํา อาํ เภอล้ี จงั หวัดลําพนู มที ้งั ผิวมนั และผิวดา น มที ้ังเนอ้ื แขง็ และเน้ือออนมี ความช้ืนประมาณ 25-30 % เปนเชื้อเพลิงท่ีมี คุณภาพ เหมาะสมในการผลิตกระแสไฟฟาและใช ในอตุ สาหกรรม 4. บิทูมนิ สั บิทูมินัสเปนถานหินท่ีมีคารบอน 77-87%มี อําเภอลี้ จังหวัดลําพูน และ (bituminous) ลักษณะเนื้อแนน แข็ง สีดําสนิทเปนมันวาว อาํ เภอแมร ะมาด จงั หวดั ตาก เปลีย่ นสภาพมาจากลิกไนต เมื่อเผาไหมแลวจะให คาความรอนสงู แตมีสารระเหิดอยูดวยเม่ือเผาจะ ใ ห ค วั น ม า ก ใ ช เ ป น เ ช้ื อ เ พ ลิ ง ใ น โ ร ง ง า น อตุ สาหกรรมและโรงไฟฟา 5. แอนทราไซต แอนทราไซตเปนถานหินที่มีคารบอนอยูมากกวา ในประเทศไทยไมพบ แอนทรา (anthracite) 87 % มีความแข็งแรงมากที่สุด สีดํา มันวาวแบบ ไซต แตจะพบเซมิแอนทราไซต กึ่งโลหะ มีรอยแตกแบบกนหอยเปนถานหินท่ีมี ซ่ึงพบท่ีอําเภอนาดวง จังหวัด คณุ ภาพดีท่ีสุด เปลยี่ นสภาพมาจากบิทูมินัส ใหคา เลย และอําเภอนากลาง จังหวัด ความรอนสูง มีควันนอยมากหรือเกือบไมมีเลย หนองบัวลําภู ติดไฟแลวเผาไหมเปนเวลานาน ใหเปลวไฟสีน้ํา เงิน สวนใหญม ีการใชถานหินเปนเชื้อเพลิงในการ ผลิตกระแสไฟฟาอุตสาหกรรมปูนซีเมนตและ อุตสาหกรรมที่ใชหมอไอน้ํา เชน โรงงานกระดาษ เปนตน ในประเทศไทยพบถานหินทกุ ช้นั คณุ ภาพตั้งแตต ํ่าสุดไปถงึ สงู สดุ แตท ่มี มี ากที่สุดไดแก ลิกไนตและ ซับบิทูมินัส สวนมากถานหินมักจะใชเปนเชื้อเพลิงแทนน้ํามันในการผลิตกระแสไฟฟา ถานหินพบมากที่ เหมอื งแมเมาะ อาํ เภอแมเมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ชุดกจิ กรรมการเรยี นรูวทิ ยาศาสตร เร่ือง เชื้อเพลิงซากดกึ ดําบรรพ ครูอกุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹Ҍ 7 ÊÒúÞÑ การใชประโยชนจากถานหิน มีดังตอ ไปนี้ 1. ถานหิน ถูกนํามาใชเปนแหลงพลังงานมากกวา 3,000 ป ประเทศจีนเปนประเทศแรก ๆ ที่นํา ถานหนิ มาใชเปนเช้ือเพลงิ ในการถลุงทองแดง ปจจบุ ันการใชประโยชนจ ากถา นหินสวนใหญใ ชเ ปน เช้ือเพลิง ในการผลิตกระแสไฟฟา อตุ สาหกรรมบมใบยาสูบ การถลงุ โลหะ การผลิตปูนซีเมนต และ อุตสาหกรรมที่ใช เครื่องจักรไอนํ้า 2. แหลง ถานหนิ ในประเทศไทยมีมากท่ีเหมืองแมเมาะ จังหวัดลําปาง คิดเปน 97 % ของ ปริมาณ สํารองทีม่ ีอยใู นประเทศไทย รองลงมาคือเหมืองกระบี่ จังหวัดกระบ่ี สวนใหญเปนลิกไนตและ ซับบิทูมินัส ซึ่งมีคุณภาพตํา่ ใหป รมิ าณความรอ นไมสูงมากนกั 3. ใชทาํ คารบอนไฟเบอรซ ึ่งเปนวัสดุที่มีความแข็งแกรง แตนํ้าหนักเบา สําหรับใชทํา อุปกรณกีฬา เชน ดามไมก อลฟ ไมแ บดมินตนั ไมเ ทนนิส ไมแบดมนิ ตนั เครอ่ื งรอน ถา นหนิ ยงั นาํ มา ทําเปน ถานกัมมันต (Activated carbon) เพื่อใชเปนสารดูดซับกล่ินในเครื่องกรองนํ้า เครื่องกรอง อากาศ หรือในเครื่องใช ตา ง ๆ ปโตรเลียม ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรูวิทยาศาสตร เรือ่ ง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ ครอู กุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 8 ÊÒúÑÞ áºººÑ¹·¡Ö ¡¨Ô ¡ÃÃÁ·èÕ 1.1 àÃ×èͧ ¶Ò‹ ¹Ë¹Ô คําชี้แจง : ใหนกั เรยี นสืบคนขอ มูล เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดําบรรพเกี่ยวกบั ถา นหนิ โดยสืบคน ขอ มลู จากใบความรู หรอื แหลง เรยี นรอู น่ื ๆ และนําขอ มูลที่ไดจากการสบื คน เติมลงในชอ งวา งใหถ กู ตอ ง การเกดิ ถา นหิน ประเภทของถา นหิน พีต ………………………………………………………………......................................... ลิกไนต …………………………………………………………........................................ ซับบทิ มู นิ ัส …………………………………………………………………......................... บทิ มู ินัส ……………………………………..………………………………....................... แอนทราไซต ……………………………………….………………………......................... แหลง ท่ีพบ การนําไปใชประโยชน ชอื่ – สกุล………………………………………………………ชนั้ ……………เลขท…ี่ ………….. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร เรือ่ ง เชื้อเพลงิ ซากดึกดําบรรพ ครูอกุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹ŒÒ 9 ÊÒúÑÞ ãº¤ÇÒÁ÷ٌ èÕ 2 àÃÍ×è § Ë¹Ô ¹íÒé ÁѹáÅл⁠µÃàÅÕÂÁ หินน้ํามนั (oil shale) หินน้ํามนั (Oil shale) เกิดจากการสะสมและทับถมตัวของซากพืชพวกสาหราย และสัตวพวกแมลง ปลา และสตั วเล็กอืน่ ๆ ภายใตแ หลงนํ้าท่มี ีปรมิ าณออกซิเจนจํากดั มอี ณุ หภูมสิ งู และถกู กดทับจากการทรุดตัว ของเปลือกโลกเปนเวลานับลานปทําใหสารอินทรียในซากพืชและซากสัตวเกิดการเปล่ียนแปลงเปน สารประกอบเคอโรเจนแลวผสมคลกุ เคลากับตะกอนดินทรายทถ่ี ูกอดั แนนจนกลายเปน หินนาํ้ มัน 4 1 แพลงกตอน 2 3 ดนิ เหนียว 3-600 ลา นป ภาพที่ 1 การเกิดหนิ น้าํ มัน ปจจุบัน หนิ น้ํามนั มลี ักษณะแขง็ และเหนยี ว มกั มสี ีนาํ้ ตาลไหมจนถึงสีดาํ เมอ่ื นํามาสกัดดวยความรอน เคอโร เจนจะสลายตัวใหน้าํ มนั หิน ซึ่งมลี กั ษณะคลายนา้ํ มันดบิ ภาพท่ี 2 หนิ น้ํามนั สว นประกอบของหนิ นาํ้ มนั มี 2 ประเภท ดงั นี้ สารประกอบอนนิ ทรยี  ไดแก แรธาตตุ า งๆ ทีผ่ พุ ังมาจากชนั้ หิน โดยกระบวนการทางกายภาพและ ทางเคมปี ระกอบดว ย แรธาตทุ ี่สาํ คัญ 2 กลุม ใหญๆ ดงั นี้กลุมแรซ ิลิเกต ไดแ ก ควอตซ เฟลสปาร เคลย กลุมแรคารบอเนต ไดแกแคลไซตโ ดโลไมตน อกจากน้ยี งั มีแรซลั ไฟดอ่นื ๆ และฟอสเฟต สารประกอบอนิ ทรยี  ประกอบดวย บิทูเมน และเคอโรเจน บทิ ูเมนละลายไดในเบนซีน เฮกเซน และ ตัวทําละลายอินทรียอื่นๆ จึงแยกออกจากหินน้ํามันไดงาย สวนเคอโรเจนไมละลายในตัวทําละลาย แตจะ สลายตัวท่ีอุณหภูมิสูงหินนํ้ามันที่มีคุณภาพดีจะตองมีสวนประกอบเปนสารอินทรียในปริมาณสูง เมื่อนํามา สกัดควรไดนํ้ามันอยา งนอ ยรอยละ 50 ของปรมิ าณสารอินทรียที่มอี ยูใ นหิน สําหรับประเทศไทยสํารวจพบหิน นาํ้ มนั ทีอ่ าํ เภอแมสอดจังหวัดตาก ชดุ กิจกรรมการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร เรื่อง เชือ้ เพลงิ ซากดึกดาํ บรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹Ҍ 10 ÊÒúÑÞ การใชประโยชนจากหินน้ํามัน ใชเปนเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟาและใหความรอน เชนเดยี วกับถา นหินโดยน้ํามนั ทไี่ ดจากการกลนั่ หนิ นาํ้ มันสวนใหญเปนนํ้ามันดีเซล น้ํามันเตา ยางมะตอย ถานโคก แอมโมเนยี และสวนประกอบของกํามะถนั ซงึ่ นาํ ไปผลิตปยุ แอมโมเนียมซัลเฟต ปโตรเลียม (petroleum) ปโ ตรเลยี ม (Petroleum) เกิดจากการทบั ถมและสลายตัวของอนิ ทรยี สารจากพืชและสัตวทีค่ ลกุ เคลา อยูกบั ตะกอนในชัน้ กรวด ทราย และโคลนตมใตพ นื้ ดิน เมอ่ื เวลาผา นไปนบั ลา นปตะกอนจะจมตวั ลงเร่อื ย ๆ และถกู อดั แนน ดว ยความดันและความรอนสงู และมีปริมาณออกซเิ จนจํากดั จงึ สลายตัวกลายเปน แกสธรรมชาติ และน้าํ มันดิบแทรกอยรู ะหวา งช้ันหนิ ที่มีรพู รุน ปโตรเลียมเปนสารผสมของสารประกอบไฮโดรคารบ อนและสารอนิ ทรียหลายชนดิ ทเี่ กิดขึ้น ตามธรรมชาตมิ ีท้งั สถานะของเหลวและแกส ไดแ ก นาํ้ มนั ดบิ (Crude oil) และแกสธรรมชาติ (Natural gas) โดยนาํ้ มันดิบมีองคป ระกอบสวนใหญเปนสารประกอบไฮโดรคารบอน และอาจมีสารประกอบของไนโตรเจน ซัลเฟอรและสารประกอบออกไซดอ่ืน ๆ ปนอยูเล็กนอย แกสธรรมชาติมีองคประกอบหลักเปนสารประกอบ ไฮโดรคารบอนท่ีมีคารบอนในโมเลกุล 1-5 อะตอม ประมาณรอยละ 95 ท่ีเหลือเปนแกสไนโตรเจนและ คารบอนไดออกไซดอาจมแี กสไฮโดรเจนซัลไฟดปนอยูดวย แกสธรรมชาติอาจมีสถานะเปนของเหลว เรียกวา แกส ธรรมชาติเหลว(Condensate) ประกอบดวยสารประกอบไฮโดรคารบอนเชนเดียวกับแกสธรรมชาติแตมี จํานวนอะตอมคารบอนมากกวา กระบวนการเกดิ ปโตรเลียม ปโตรเลียมทเี่ กดิ ขนึ้ ในแหลง ตา งกนั จะมปี รมิ าณสารประกอบไฮโดรคารบอนและปริมาณสารประกอบ ของกํามะถัน ไนโตรเจน และออกซิเจนตางกัน ทั้งนี้ข้ึนอยูกับชนิดของซากพืชซากสัตวที่เปนตนกําเนิด ปโตรเลยี มทอี่ ยูในชัน้ หินจะเคลอื่ นตัวไปตามรอยแตกและรูพรุนของหินไปสูระดับความลึกนอยกวาแลวสะสม ตัวอยูในโครงสรางหินท่ีมีรูพรุน มีโพรง หรือรอยแตกในเนื้อหินท่ีสามารถใหปโตรเลียมสะสมตัวอยูได โดย ดา นบนมักเปน หินตะกอนหรือหินดินดานเนื้อแนนละเอียดปดก้ันไมใหปโตรเลียมไหลออกไปได ซึ่งโครงสราง ปดกัน้ ดังกลา วเรียกวา “แหลงกกั เก็บปโตรเลยี ม” 300-400 50-100 ปจจุบนั ลานปทีแ่ ลว ลา นปทแี่ ลว 1. เม่อื สงิ่ มีชีวิตตายลง จะตกตะกอนลงสูกนทะเลหรือทะเลสาบ และถูกทับ ภาพท่ี 3 กระบวนการเกิดปโ ตรเลียม ถมดวยตะกอนดินโคลนและทราย 4. ในธรรมชาติบรเิ วณหน่ึง ๆ อาจมชี ัน้ หนิ กักเก็บปโตรเลียมไดห ลายชัน้ 2. แมน ํา้ จะพดั พาชุดใหมลงสทู ะเลหรอื ทะเลสาบ เมือ่ ระยะเวลานานข้ึน ขน้ึ อยกู บั กระบวนการตา ง ๆ ทางธรณวี ิทยาและปจจยั ตาง ๆ ตาม ตะกอนที่ทับถมจะมคี วามหนามากข้ึนเร่ือย ๆ และคอ ย ๆ จมลงภายใต ธรรมชาติ และช้ันหนิ ตาง ๆ อาจโคงงอไดถา มแี รงตาง ๆ มากระทํา ตะกอนท่ีทับถมกนั จมลงใตผ วิ โลก ภายใตอณุ หภูมิความดันสงู ขึน้ ทําให ซากสงิ่ มีชีวติ ท่ีสะสมตัวอยใู นชัน้ ตะกอนแปรสะภาพเปนเคอโรเจนและ ปโตรเลยี มในที่สดุ 3. ปโ ตรเลยี มทเ่ี กดิ ขึน้ จะไหลซึมออกจากหนิ ตนกําเนิดปโ ตรเลียมไปสชู ้ันหนิ กักเก็บปโ ตรเลยี ม ซึ่งหากมีชัน้ หินมาปด กัน้ ชน้ั หนิ กกั เก็บปโตรเลียมและมี สภาพโครงสรางทเ่ี หมาะสม ปโ ตรเลียมจะถกู กกั เกบ็ อยูในชนั้ หนิ กักเกบ็ น้ี ชุดกิจกรรมการเรียนรวู ิทยาศาสตร เรอ่ื ง เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพ ครูอุกฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹ŒÒ 11 ÊÒúÞÑ ภาพท่ี 4 ลักษณะโครงสรางชน้ั หนิ ของแหลง กกั เกบ็ ปโตรเลยี ม (ที่มา : https://petroleum581.wordpress.com) ปโ ตรเลียมอาจอยใู นรูปนาํ้ มันดิบ (Crude oil) และแกสธรรมชาติ (Natural gas) จะไหลซึมออกจาก ช้ันหินตะกอน ตนกําเนิดไปตามรอยเล่ือนรอยแตกรอยแยกและรูพรุนของหิน ไปสะสมอยูใตชั้นหินท่ีมี โครงสรางปดกั้น เรียกวา แหลงปโตรเลียม โดยชั้นหินที่ปดกั้นดานบนตองมีเน้ือละเอียดเพื่อกั้นไมให ปโ ตรเลยี มรัว่ ไหลออกไปได ซง่ึ สว นมากจะเปนหินดินดานและมีโครงสรางเปนรูปโดม โดยทั่วไปภายในแหลง กกั เก็บปโตรเลียมจะมีท้งั น้าํ มนั ดบิ และแกส ธรรมชาติ แกส ธรรมชาติมคี วามหนาแนนนอยกวา น้ําจะอยูสวนบน สุด ถัดลงไปจะเปน ชั้นของนํ้ามนั ดบิ สว นน้ําจะอยูช ัน้ ลา งสดุ ปโตรเลียมเปนแหลงพลังงานที่สําคัญโดยเฉพาะการใชเปนเชื้อเพลิงในการคมนาคมขนสงและ ในภาคอุตสาหกรรมตาง ๆ รวมทั้งการผลิตกระแสไฟฟาและใชเปนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมปโตรเคมี แหลงปโตรเลยี มที่สําคญั บนบก ไดแ ก แหลง ฝาง อ.ฝาง จ.เชียงใหม แหลงสิริกิติ์จ.กําแพงเพชร แหลงวิเชียร บรุ ี จ.เพชรบรู ณ แหลง อทู อง จ.สพุ รรณบรุ ี นอกจากน้ียังพบแหลงแกสธรรมชาติที่แหลงน้ําพอง จ.ขอนแกน เปนตน สวนแหลง ปโ ตรเลยี มในทะเลอา วไทย สวนใหญเ ปน แหลงแกสธรรมชาตแิ ละแกสธรรมชาติเหลว เชน แหลง เอราวณั แหลงบงกช แหลงไพลิน เปนตน และมแี หลงนํ้ามนั ดบิ เชน แหลง เบญจมาศ แหลงทานตะวัน แหลง จสั มิน เปนตน ชดุ กจิ กรรมการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร เร่อื ง เชื้อเพลงิ ซากดึกดาํ บรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 12 ÊÒúÞÑ áººº¹Ñ ·Ö¡¡¨Ô ¡ÃÃÁ·Õè 2.1 àÃ×èͧ Ë¹Ô ¹íÒé Áѹ คาํ ช้ีแจง : ใหน ักเรียนสบื คน ขอมูล เชอื้ เพลงิ ซากดึกดําบรรพเกี่ยวกับหินน้ํามัน และปโตรเลียม โดยสืบคนขอมูล จากใบความรู หรือแหลง เรียนรูอนื่ ๆ และนาํ ขอมูลท่ีไดจ ากการสืบคนเตมิ ลงในชอ งวา งใหถูกตอ ง การเกิดหนิ นํ้ามนั ลกั ษณะทางกายภาพของหนิ น้ํามนั องคป ระกอบของหนิ นํ้ามนั สารประกอบอนนิ ทรีย สารประกอบอนิ ทรยี  เคอโรเจน การนําไปใชประโยชน แหลงทพ่ี บ ชื่อ – สกุล………………………………………………………ชั้น……………เลขที…่ ………….. ชดุ กจิ กรรมการเรียนรวู ิทยาศาสตร เรอ่ื ง เชือ้ เพลงิ ซากดกึ ดําบรรพ ครูอกุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹ŒÒ 13 ÊÒúÞÑ áººº¹Ñ ·Ö¡¡Ô¨¡ÃÃÁ·Õè 2.2 àÃ×èͧ »âµÃàÅÕÂÁ คําชีแ้ จง : ใหนักเรียนสืบคนขอมูล เชื้อเพลิงซากดึกดําบรรพเกี่ยวกับหินนํ้ามัน และปโตรเลียม โดยสืบคนขอมูล จากใบความรู หรือแหลง เรียนรูอืน่ ๆ และนําขอ มลู ทไี่ ดจากการสืบคนเติมลงในชองวางใหถ กู ตอ ง การเกดิ ปโตรเลียม ปโตรเลียม ประกอบ สารประกอบ ไฮโดรคารบ อน กระบวนการเกดิ ปโตรเลียม นักเรยี นอา นขนั้ ตอนแสดงกระบวนการเกดิ ปโ ตรเลียมทีก่ ําหนดใหดา นลาง แลว ตอบคําถาม 1. สิง่ มชี ีวิตตายลง ตกตะกอนใตทะเล ถูกดนิ โคลนทับถม 2. ตะกอนท่ีทับถมกนั จมลงใตผวิ โลก ภายใตอ ณุ หภูมิ ความดนั สงู 3. ตะกอนแปรสภาพเปนเคอโรเจน และปโตรเลียม 4. ปโตรเลียมไหลซมึ จากหนิ ตน กําเนิดไปสชู ัน้ กกั เกบ็ ปโตรเลียม ใหนกั เรยี นนําหมายเลข 1-4 มาเรียนลาํ ดบั เพือ่ แสดงขนั้ ตอนกระบวนการเกิดปโ ตรเลียม ลาํ ดบั ขั้นตอนกระบวนการเกดิ ปโตรเลีย่ ม เปน ดงั น้…ี …………………………………………………… การนําไปใช ประโยชน ชอ่ื – สกุล………………………………………………………ชั้น……………เลขท่ี…………….. ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูว ิทยาศาสตร เรือ่ ง เชอ้ื เพลงิ ซากดกึ ดําบรรพ ครูอุกฤษฎ มาระกล

14 㺤ÇÒÁ÷ٌ Õè 3 ¡ÅѺ˹ŒÒ ÊÒúÞÑ àÃè×ͧ ¼Å¡Ãзº¨Ò¡¡ÒÃãªàŒ ªéÍ× à¾Å§Ô «Ò¡´Ö¡´íÒºÃþ ตัวอยา งการใชป ระโยชนจากผลติ ภัณฑป โตรเลียม 1. แกสธรรมชาติ ทส่ี าํ รวจไดจากอาวไทย สามารถนํามาแยกแกสไดเปน แกสมีเทน (CH4 ) แกสอเี ทน (C2H6 ) แกส โพรเทน (C3H8 ) แกส บิวเทน (C4H10) แกส LPG แกส NGL และแกส CO2 1.1 แกส มีเทน ใชเ ปน เชอื้ เพลงิ ในการผลติ กระแสไฟฟา และใชเปน เชือ้ เพลิงรถยนตในรูปของ แกส NGV 1.2 แกสอเี ทนและโพรเทนใชเปนวัตถดุ บิ สาํ หรบั อตุ สาหกรรมปโตรเลยี ม 1.3 แกส LPG ใชเ ปนแกส หงุ ตมในครวั เรือน 1.4 แกส NGLนาํ มาควบแนนเปนของเหลวสงขายโรงกลนั่ และเปนวตั ถุดิบสําหรับอุตสาหกรรม ปโตรเคมี 1.5 แกสคารบ อนไดออกไซดใ ชในอตุ สาหกรรมถนอมอาหาร 2. นาํ้ มนั ดิบ เมอ่ื นาํ มากลนั่ จะไดแกสเชอื้ เพลิง แกส หุงตม กํามะถนั เหลว นาํ้ มันเบนซินไรส ารตะกว่ั นาํ้ มนั เครื่องบนิ นํ้ามันกา ด นํ้ามันดีเซลและน้ํามันเตา 2.1 แกส NGV ใชเ ปนแกส เชอื้ เพลงิ ในโรงไฟฟาและใชเ ปน เชื้อเพลงิ รถยนต 2.2 แกส LPG ใชเปนแกสหุงตมในครัวเรือน 2.3 นาํ้ มนั เบนซนิ และน้ํามนั ดีเซล ใชเปนเชื้อเพลงิ รถยนตและเครอื่ งยนตต า ง ๆ ภาพที่ 5 ผลติ ภัณฑปโตรเลียม (ทีม่ า : https://sites.google.com/site/resourcemanagemen00/phlitphanth-ca-kark-lan-pitorleiym) เกรด็ นารู : แกสหุงตม (LPG) เกิดจากการผสมกันระหวางแกส บวิ เทนและโพรเพน โดยมีอตั ราสวนประมาณ 30 : 70 เพ่อื ใหมีความรอนสงู และความดันเหมาะสม แกสหุงตม นี้ไมมีสี ไมมีกลิ่น แตมกี ารเตมิ สารที่ มีกลนิ่ ฉนุ ลงไปเพ่อื ชวยเตือนภัยกรณเี กดิ การรวั่ ไหลของแกส ชดุ กิจกรรมการเรยี นรูวิทยาศาสตร เร่ือง เชือ้ เพลงิ ซากดกึ ดําบรรพ ครูอุกฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹Ҍ 15 ÊÒúÑÞ ภาพท่ี 6 การใชป ระโยชนจากนา้ํ มันดบิ โดยการกลั่นลําดับสว น (ท่ีมา : http://www.lesa.biz/earth/lithosphere/fuel/fuel-utility) ภาพที่ 7 การใชประโยชนจากแกส ธรรมชาติ (ทีม่ า : http://www.lesa.biz/earth/lithosphere/fuel/fuel-utility) ชุดกิจกรรมการเรยี นรวู ิทยาศาสตร เรือ่ ง เชอ้ื เพลิงซากดึกดาํ บรรพ ครูอกุ ฤษฎ มาระกล

¡ÅºÑ ˹ŒÒ 16 ÊÒúÞÑ สรปุ เชือ้ เพลงิ ธรรมชาติ ไดแก ถานหิน แกสธรรมชาติและน้ํามันดิบ ลวนเปนแหลงพลังงานจากใต ดินเม่อื ใชห มดแลวไมสามารถสรางข้ึนมาใหม กวาจะเกิดขึ้นมาใหมตองใชเวลานับลานป ซึ่งไมสามารถ หามาทดแทนไดทันทีตามความตองการในเวลาอันรวดเร็ว จึงจัดอยูในกลุมพลังงานส้ินเปลือง ใน ธรรมชาตยิ ังมีแหลง พลงั งานอกี กลมุ หน่งึ ทส่ี ามารถใชไ ดไ มม ีวันหมดสามารถสรางข้ึนเองได เรียกพลังงาน กลุม นีว้ า พลังงานหมนุ เวียน ไดแ ก พลังงานแสงอาทิตย พลงั งานลม พลังงานนํ้า พลังงาน คลื่นในทะเล พลังงานชีวมวล พลงั งานความรอนใตพภิ พเปน ตน พลังงานเหลานี้ เรยี กวา พลงั งาน สะอาด การใชป โตรเลยี มประหยัดและถูกวิธี 1. เลือกใชเชอ้ื เพลงิ ใหถกู ประเภทกบั กําลังเครอ่ื งยนต หลีกเลย่ี งเชื้อเพลิงที่อาจกอใหเกิดอันตราย 2. หมัน่ บาํ รงุ รักษาเครือ่ งจักรกล เครื่องยนตอยเู สมอๆ ใชผ ลิตภัณฑหลอ ลนื่ ใหเหมาะสม ใชงานตาม ความสามารถและถนอม 3. หลีกเลีย่ งการใชวสั ดุตดิ ไฟหรอื กระทําการใด ๆ ทอ่ี าจกอ ใหเ กิดเพลิงไหมได และควรกาํ หนดสถานที่ เก็บเชื้อเพลิงใหป ลอดภัยทสี่ ุด 4. การใชแ กสหุงตม ควรเลือกถัง และหวั เตาทีไ่ ดม าตรฐาน หมัน่ ตรวจสอบรอยร่ัว และปด วาลว ให เรยี บรอยหลังจากการใชงาน 5. การใชพ ลังงานปโตรเลยี มทางออม เชน การนําพลังงานปโ ตรเลยี มมาผลติ กระแสไฟฟา มีหลักการที่ สําคญั ๆ ดงั นคี้ อื 5.1 ควรทราบชนดิ และจาํ นวนของเครือ่ งใชไฟฟาทีม่ ภี ายในครัวเรือนของตน เพ่ือประเมิน ปรมิ าณการใชไฟฟา ที่เหมาะสม 5.2 เลอื กเครื่องใชไฟฟา ทม่ี คี ณุ ภาพ มขี นาดท่ีเหมาะสมกบั การใชง านในบาน เชน การใช หลอดฟลอู อเรสเซนตแ ทนการใชห ลอดไสเนอ่ื งจากกนิ ไฟนอ ยกวา ปดสวติ ชห รอื ถอดปลก๊ั ทนั ทีเม่อื เลกิ ใชไฟฟา 5.3 ไมควรใชเ คร่ืองใชไฟฟา พรอมกันหลายตัว เพราะจะทําใหเ สียคาไฟฟาเพม่ิ ขึน้ และอาจ กอ ใหเ กดิ เพลงิ ไหมไ ด หากสายไปรอนจนไหม 5.4 บํารุงรกั ษาและหมัน่ ทําความสะอาดอุปกรณเคร่อื งใชไฟฟา อยูเสมอๆ เกร็ดนารู : ผลิตภณั ฑจากปโ ตรเลียม เชน แกสธรรมชาติ แกสหุงตม น้ํามันเบนซิน ดีเซล พลาสติก โฟม และอ่ืน ๆ มีประโยชนในการดําเนินชีวิตของมนุษย แตก็มีผลกระทบตอสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดลอมได ซึ่งเปน ผลกระทบท่ีเกิดจากการใชนํ้ามันเชื้อเพลิงในรถยนต เน่ืองจากการเผาไหมท่ีไมสมบูรณของนํ้ามัน เช้ือเพลิง จะ กอใหเกิดเขมาควัน และแกสที่เปนอันตราย คือ แกสคารบอนมอนนอกไซด (CO) เปน แกสท่ีสามารถจับตัวกับ ฮโี มโกลบนิ ในเมด็ เลือดแดงไดดีทําใหเม็ดเลือดแดงไมสามารถรับออกซิเจนได รางกายจึงรับออกซิเจนไมเพียงพอ จะเกิดอาการเวยี นศรี ษะ อาเจียน การสูดดมเขาไปในปริมาณมาก และติดตอกันเปนเวลานานอาจทําใหหมดสติ และเสียชวี ติ ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรวู ิทยาศาสตร เร่อื ง เชอ้ื เพลิงซากดกึ ดาํ บรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹ŒÒ 17 ÊÒúÞÑ áºººÑ¹·¡Ö ¡Ô¨¡ÃÃÁ·èÕ 3.1 àÃ×Íè § ¼Å¡Ãзº¨Ò¡¡ÒÃ㪌àª×Íé à¾Å§Ô «Ò¡´¡Ö ´íÒºÃþ คําช้ีแจง : ใหนักเรียนสืบคนขอมูล เช้ือเพลิงซากดึกดําบรรพเกี่ยวกับผลกระทบจากการใชเชื้อเพลิง ซากดึกดําบรรพ โดยสืบคนขอมูลจากใบความรู หรือแหลงเรียนรูอ่ืน ๆ และนําขอมูลที่ไดจากการ สืบคน มาตอบคําถามใหถ ูกตอง ภาพที่ 8 สดั สวนการปลอยแกสคารบ อนไดออกไซดจากการใชพลงั งานในภาคสวนตา ง ๆ (ทม่ี า : หนังสือวทิ ยาศาสตร ม.2 เลม 2) 1. ถาตอ งการลดปรมิ าณการปลอ ยแกสคารบ อนไดออกไซดจ ากการใชพ ลงั งาน ควรมีแนวทางอยา งไรบา ง ? 2. การใชเ ชื้อเพลิงซากดกึ ดําบรรพส ง ผลกระทบอยางไรบา ง ? 3. แนวทางการใชเ ชอื้ เพลิงซากดกึ ดาํ บรรพควรเปนอยางไร ? ชอ่ื – สกลุ ………………………………………………………ชั้น……………เลขท…ี่ ………….. ชุดกจิ กรรมการเรยี นรูวิทยาศาสตร เรอื่ ง เช้ือเพลงิ ซากดกึ ดําบรรพ ครอู ุกฤษฎ มาระกล

¡ÅѺ˹Ҍ 18 ÊÒúÑÞ ºÃóҹءÃÁ ฐิตวิ รดา ศรสี วุ รรณ. (ม.ป.ป). ชุดกจิ กรรมการเรียนรวู ทิ ยาศาสตร ชุดท่ี 5 เช้ือเพลงิ ธรรมชาต.ิ (ออนไลน) . เขา ถงึ ไดจาก : https://issuu.com/titiworada1981/docs/____________________e- book_. (สืบคนเมอ่ื วันที่ 28 มกราคม 2564). พรววิ าห กกึ กอ ง. (ม.ป.ป.). ประโยชนของผลิตภัณฑป โ ตรเลยี ม. (ออนไลน) . เขา ถึงไดจาก : https://sites.google.com/site/resourcemanagemen00/phlitphanth-ca-kark-lan- pitorleiym. (สบื คน เม่ือวนั ท่ี 28 มกราคม 2564). วิกิพเี ดียสารานุกรมเสร.ี (ม.ป.ป.). หินน้ํามนั . [ออนไลน] . เขาถงึ ไดจาก : https://upload. wikimedia.org/wikipedia/commons/a/a3/Oilshale.jpg. (สืบคน เมื่อวันท่ี 28 มกราคม 2564). ศนู ยก ารเรียนรูวทิ ยาศาสตรโ ลกและดาราศาสตร. (2554). การใชป ระโยชนจ ากเช้อื เพลิง ธรรมชาต.ิ (ออนไลน) . เขาถงึ ไดจาก : http://www.lesa.biz/earth/lithosphere/fuel/fuel-utility. (สบื คนเม่อื วนั ที่ 28 มกราคม 2564). _______. (2554). ถานหิน. (ออนไลน). เขาถงึ ไดจาก : http://www.lesa.biz/earth/ lithosphere/fuel/coal. (สืบคน เมอ่ื วันที่ 28 มกราคม 2564). _______. (2554). ปโตรเลยี ม. (ออนไลน). เขาถึงไดจาก : http://www.lesa.biz/earth/ lithosphere/fuel/oil. สถาบันสงเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร. (2562). หนังสอื เรียน รายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท ี่ 2 เลม 2. กรุงเทพฯ : ศูนยห นงั สอื แหงจุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรวู ทิ ยาศาสตร เรือ่ ง เชอื้ เพลิงซากดึกดําบรรพ ครอู กุ ฤษฎ มาระกล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook