วชิ าการถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร สวัสดคี ะ่ นักสง่ เสริมการเกษตรทุกท่าน และขอต้อนรับเขา้ สกู่ ารเรยี นรู้ ผา่ นสอื่ อิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) หลักสูตรการเสริมสร้างสมรรถนะนกั ส่งเสรมิ การเกษตรระดับปฏิบัติการ ชุดวชิ าการถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร ศนู ยเ์ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
หลักการสง่ เสรมิ การเกษตร ตอนท่ี ๑.1 ความหมายและหลกั การสง่ เสริมการเกษตร • ความหมาย วตั ถุประสงค์ และปรชั ญาของการส่งเสริมารเกษตร • หลกั การสง่ เสริมการเกษตรและสถานการณ์ภายในกรมฯ ตอนท่ี ๑.๒ บทบาทและวิธกี ารสง่ เสริมการเกษตร • บทบาทของนกั ส่งเสริมการเกษตร • ขอบเขตและวิธกี ารสง่ เสริมการเกษตร
ตอนที่ 1.1 ความหมายและหลักการสง่ เสรมิ การเกษตร เร่ืองที่ 1.1.1 ความหมาย วตั ถุประสงค์ และปรัชญาของการส่งเสรมิ การเกษตร 1. ความหมายของการส่งเสริมการเกษตร http://agecon-extens.agri.cmu.ac.th/ การสง่ เสรมิ (Extension) เปน็ การขยายและถาํ ยทอดความรูต๎ ามระบบวิทยาการแผนใหมํ (Innovation System) ซง่ึ กํอประโยชน์ทางการศกึ ษา (Education Advantages) และมีคณุ คาํ ทางการปฏบิ ตั ิ (Practical Values) แกํบคุ คลผู๎พึงได๎รับความชํวยเหลอื ในการเรยี นรห๎ู รือผ๎ูรบั การสํงเสรมิ (People Intended, Clientele, Audience) ใหส๎ ามารถพัฒนาตนเอง โดยการเรียนรท๎ู ส่ี ามารถนาความรูไ๎ ปปรบั ใชใ๎ นการ ประกอบอาชีพเพ่ือความเปน็ อยูํที่ดีขน้ึ (Better Living) เปน็ สาคัญ การสง่ เสรมิ (Extension) หมายถงึ การวางแผนโครงการใดโครงการหน่ึง ในการนาเอาความรู๎ทางด๎าน เทคโนโลยีและการวจิ ัยตํางๆ นาออกไปสปํู ระชาชนในชนบท โดยความรท๎ู ี่นาออกไปนน้ั ประชาชนสามารถรบั ร๎ู และนาไปใช๎ประโยชนไ์ ด๎อยาํ งเต็มเมด็ เตม็ หนวํ ย โดยประยุกต์เข๎ากบั สภาพแวดล๎อมและความเป็นอยูํของ ประชาชนในแตลํ ะท๎องที่ ซึ่งการถํายทอดความรู๎ ต๎องคานงึ ถึงการใช๎เทคโนโลยีท่เี หมาะสม (Appropriate Technology) เพอื่ ใหป๎ ระชาชนมคี วามเป็นอยํทู ่ดี ีขึ้นและเปน็ ประโยชนต์ ํอชมุ ชน อีกทั้งมกี ารพฒั นาทางด๎านเศรษฐกจิ และจริยธรรมควบคํกู ันไป
การส่งเสรมิ การเกษตร (Agricultural Extension) คอื เปน็ กระบวนการในการปรบั ปรุง ประสทิ ธภิ าพการผลติ ของเกษตรกรในชนบท รวมทั้งวถิ ชี วี ติ ใหม้ คี วามเป็นอยูท่ ีด่ ขี นึ้ อีกทงั้ เป็น การให้บรกิ ารแก่ประชาชนดา้ นการเกษตร โดยใหค้ าปรึกษา แลกเปล่ียนความคดิ เหน็ ตลอดจน แก้ไขปัญหาต่างๆ เพื่อให้เขาได้รับความรนู้ าไปปฏิบัติ ด้วยตวั ของเขาเอง จนสามารถช่วยเหลอื ตัวเองได้ เปา้ หมายสดุ ท้าย (Ultimate goal) ของการสง่ เสริมกค็ ือ “การพัฒนาคน”
2. วัตถปุ ระสงค์ของการส่งเสริมการเกษตร มํงุ เนน๎ ทก่ี ลุํมเปูาหมายคอื เกษตรกร แมบํ า๎ นเกษตรกร และ ยุวเกษตรกร จงึ ไดก๎ าหนดวตั ถปุ ระสงคข์ องการสงํ เสริมการเกษตร แบง่ เปน็ 3 ดา้ น ได๎แกํ 1. ดา้ นเกษตรกรและการรวมกลมุ่ 2. ด้านแม่บา้ นเกษตรกรและเคหกิจ 3. ด้านยุวเกษตรกร 2.1 ดา้ นเกษตรกรและการรวมกลมุ่ 2.1.1 เพ่อื กระต๎ุนและสนับสนุนใหเ๎ กษตรกรมีความสามารถในการผลิตทางการเกษตร เพือ่ ใช๎บรโิ ภคใน ครัวเรือนและทาเปน็ อาชพี ไดอ๎ ยํางมีประสิทธภิ าพ 2.1.2 เพื่อแนะนาสงํ เสรมิ ให๎เกษตรกรเขา๎ ใจถงึ กระบวนการพัฒนาการผลติ ที่สมบูรณ์แบบ โดยมีการจัด ใหม๎ กี ารรวํ มมอื และประสานกบั สถาบนั ของรัฐและเอกชนทีเ่ กยี่ วข๎องและเก้ือกลู กัน อันจะอานวยประโยชน์ตอํ การพัฒนาการผลติ และรายได๎ 2.1.3 เพ่ือสร๎างความภาคภมู ใิ จ ความเปน็ อยํู และอาชีพ ความมีอสิ ระและพึง่ ตนเอง มีความรกั ตํอถิ่นทีอ่ ยูํและประเทศชาติ อนั จะสร๎างความเชอ่ื มั่นให๎กับตนเอง 2.1.4 เพือ่ สงํ เสริมใหเ๎ กษตรกรมีการรวบรวมกลุมํ ชวํ ยเหลอื ซง่ึ กนั และกนั ในการประกอบกิจกรรมด๎าน การเกษตร 2.1.5 เพื่อสํงเสรมิ ใหเ๎ กษตรกรรํวมกันแก๎ไขปัญหาการผลติ การแปรรูป และการตลาด 2.1.6 เพื่อเป็นศนู ยก์ ลางรับความรใ๎ู นการถํายทอดความร๎ูไปสํเู กษตรกร 2.1.7 เพ่อื ใช๎กระบวนการกลํมุ ในการพัฒนาการเกษตรกร ใหม๎ ีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ สามารถพงึ่ พาตนเองได๎
2.2 ด้านแมบ่ า้ นเกษตรกรและเคหกิจ 2.2.1 เพอ่ื ใหแ๎ มํบา๎ นเกษตรกรรวมตัวกันเปน็ กลมํุ ใช๎พลังความคิด กาลังกาย กาลังทรัพย์ และจติ ใจ ในการปรับปรงุ ยกระดับฐานะของสังคมเกษตรใหด๎ ีขึ้นทุกวิถีทาง 2.2.2 เพื่อใหแ๎ มบํ า๎ นเกษตรกร ซงึ่ เปน็ ผู๎ประกอบการเกษตรมีความร๎ดู า๎ นการผลติ การจดั การ สามารถเข๎าถึงบรกิ ารของรฐั 2.2.3 เพื่อให๎แมบํ ๎านเกษตรกรมีความรด๎ู ๎านเคหกจิ ในการปรับปรุงความเป็นอยํขู องครอบครัวให๎ดีข้ึน และเพิ่มรายได๎ให๎ครอบครัว 2.2.4 เพื่อให๎กลมํุ แมํบา๎ นเกษตรกรชวํ ยกนั แก๎ไขปญั หาสังคมและดแู ลสิ่งแวดลอ๎ มชมุ ชน ให๎เกดิ การ พัฒนาทย่ี ัง่ ยืน 2.2.5 เพื่อพัฒนาคณุ ภาพชวี ติ ของครวั เรือนเกษตรกรให๎สามารถพัฒนาตนเองและครอบครัวอยาํ ง พ่งึ พาตนเองให๎มีคุณภาพตามความเหมาะสมของทอ๎ งถนิ่ คอื (1) ครอบครัวเกษตรกรมีความมนั่ คงด๎านอาหาร มคี วามเป็นอยํทู ่ีดมี ีการทางานท่มี ีประสิทธิภาพ และมอี าชพี เสริมเพ่ิมรายได๎ (2) กลํมุ มกี ารบรหิ ารจดั การทีด่ ีและมปี ระสทิ ธภิ าพ (3) มีผู๎นาท่สี ามารถนามาเปลี่ยนแปลงของครอบครวั เกษตรกรและชมุ ชน
2.3 ดา้ นยุวเกษตรกร 2.3.1 เพอ่ื ปลูกฝ่งั ให้เด็กและเยาวชน มที ศั นคติท่ดี ตี อ่ อาชพี การเกษตร ยอมรับใน คณุ ค่าความสาคัญของการเกษตร ต่อการดารงชีวิตมนุษย์และวัฒนธรรมที่สบื ทอดในสงั คม 2.3.2 เพอ่ื ใหเ้ ด็กและเยาวชน มีความรู้ ทกั ษะ ความสามารถด้านเทคโนโลยีการเกษตร วทิ ยาศาสตรแ์ ละสงั คมศาสตร์ ทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั การประกอบอาชีพและการดาเนนิ ชวี ติ 2.3.3 เพือ่ สง่ เสรมิ การรวมกล่มุ ของเดก็ และเยาวชน โดยใชก้ ระบวนการ “กล่มุ ยวุ เกษตรกร” ในการพฒั นาภาวะผนู้ า การอยรู่ ว่ มกันในสังคม การบริหารจัดการและ การพัฒนาอาชพี เพือ่ ตนเอง ครอบครัว สงั คมและชมุ ชน
3. ปรัชญาของการส่งเสริมการเกษตร http://agecon-extens.agri.cmu.ac.th/Course_online/ การส่งเสริมไมไ่ ด้เปน็ แคเ่ พยี งการแจกจ่ายปจั จัยการผลติ เช่น เมลด็ พนั ธพ์ุ ืช ปุย๋ ยาฆา่ แมลง เท่าน้ัน แต่มเี ปา้ หมายคือ “การพัฒนาคน” งานทางด้านส่งเสริมการเกษตร มีสว่ นคล้ายคลงึ กบั การศึกษานอกระบบโรงเรยี น เพราะเปน็ การสง่ เสริมการเรยี นรทู้ ่มี ่งุ เนน้ การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรม (Behavior) ของบคุ คลเป้าหมาย ให้ เขามีความเปน็ อยู่และไดร้ ับการพฒั นาทีด่ ีขน้ึ จากเดิม โดยเน้นการให้ความร้ใู นสิ่งท่ีตรงตาม ความต้องการของเขา และใหเ้ ขาสามารถเรยี นรใู้ นเร่ืองน้นั ได้ เพ่อื ใช้ประโยชน์ใน ชวี ิตประจาวัน ซ่ึงเรยี กวา่ ชว่ ยให้เขาได้ช่วยเหลอื ตัวเอง สามารถสรปุ เปน็ ปรัชญาได้ว่าการส่งเสรมิ การเกษตร “เป็นการบรกิ ารของรฐั บาลท่จี ะ บริการระบบการศกึ ษาแบบนอกโรงเรียน (Out of School Education) แก่ประชาชนทอ่ี ย่ใู น ชนบท เมื่อประชาชนได้รับการฝึกอบรมให้สามารถช่วยตวั เองไดแ้ ล้ว จงึ จะเรยี กไดว้ ่าประชาชน ไดเ้ ปลีย่ นแปลง โดยกระบวนการศกึ ษาอย่างแท้จรงิ (Changed Educationally)”
เรอื่ งท่ี 1.1.2 หลกั การสง่ เสริมการเกษตรและสถานการณ์ภายในกรมสง่ เสริมการเกษตร หลักการของการส่งเสริมการเกษตร คอื การสนบั สนุนงานส่งเสริมการเกษตร การใหบ้ ริการ หรือช่วยเหลือเกษตรกร โดยวธิ ีการให้การศึกษา เพอ่ื ปรบั ปรุงวิธีการและเทคนิค ทางการเกษตรเพิ่มประสิทธภิ าพในการผลิตและรายได้ รวมท้งั การปรับปรงุ ระดับความเปน็ อยู่ และสงั คมในพืน้ ท่ีให้ดีขึน้ โดยให้คาปรกึ ษา แลกเปลย่ี นความคดิ เห็น ตลอดจนแก้ไขปัญหา ต่างๆ เพอ่ื ใหเ้ กษตรกรได้รับความรนู้ าไปปฏบิ ตั ดิ ้วยตวั เอง จนสามารถชว่ ยเหลือตวั เองได้ โดย เนน้ ให้เกษตรกรชว่ ยเหลือตนเองบนพน้ื ฐานความต้องการอย่างแทจ้ รงิ ซง่ึ เปา้ หมายสุดท้ายของ การสง่ เสรมิ กค็ ือ “การพฒั นาคน” อนั จะเปน็ ประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ สงั คม และ การปกครองตนเองของเกษตรกร ซึ่งจะสง่ ผลใหเ้ กิดภาวะความเปน็ อยู่ ท่ีดีขึ้น
1. หลกั การส่งเสริมการเกษตรทส่ี าคัญ มี 6 ประการ ดังตํอไปน้ี 1) การส่งเสริมการเกษตรตอ้ งทาร่วมกบั เกษตรกร 2) การสง่ เสริมการเกษตรต้องทางานรว่ มกับองค์กรพัฒนาอน่ื ๆ ในพื้นท่ี 3) การส่งเสรมิ การเกษตรเป็นการแลกเปล่ียนข้อมลู ข่าวสารแบบยคุ ลวถิ ี (Two-Way) 4) การสง่ เสรมิ การเกษตรทางานกบั กลุ่มเป้าหมายทแี่ ตกต่างกัน 5) เกษตรกรควรมีส่วนรว่ มในทุกขัน้ ตอนของงานส่งเสริม 6) การนาปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ในการดาเนินงาน 1.1 การสง่ เสริมการเกษตรต้องทารว่ มกบั เกษตรกร การสํงเสรมิ การเกษตรเปน็ การทางานรํวมกับเกษตรกร เพ่ือให๎มีความรคู๎ วามเขา๎ ใจและสามารถ ปฏิบตั ใิ นสงิ่ ทไ่ี ด๎รับจากนกั สํงเสริมได๎ด๎วยตนเอง การตดั สนิ ใจตํางๆ ในการทาการเกษตร ควรเปน็ การ ตดั สินใจของเกษตรกร เกษตรกรตอ๎ งเปน็ ผูน๎ าในการเปลี่ยนแปลงเอง บทบาทของนกั สํงเสริม กค็ ือ การ ใหข๎ อ๎ มูลขาํ วสารแกเํ กษตรกร ให๎คาแนะนาในการทากิจกรรมตํางๆ ในทิศทางทถ่ี ูกต๎อง เกษตรกรจะ เปน็ ผร๎ู ะบปุ ัญหา วเิ คราะห์ปัญหา กาหนดแนวทางแก๎ไขปญั หา กาหนดวิธีการตํางๆ ทีจ่ ะทาให๎สามารถบรรลุเปาู หมายและวตั ถุประสงค์ที่ต๎องการ เพ่ือใหเ๎ กษตรกรเกดิ ความม่ันใจในตนเอง
1.2 การส่งเสรมิ การเกษตรต้องทางานรว่ มกับองคก์ รพัฒนาอื่นๆ ในพน้ื ท่ี การสงํ เสรมิ การเกษตร มีความจาเปน็ อยาํ งยิ่งทีจ่ ะต๎องรวํ มมอื และประสานงานกบั องค์กร พัฒนาอืน่ ๆ ท้งั องคก์ รของรัฐและเอกชนทใี่ ห๎บริการ ท่มี คี วามชานาญและมที รพั ยากรตาํ งๆ ท่สี ามารถ ชํวยเกษตรกรได๎ ตวั อยาํ งเชํน เจ๎าหน๎าทปี่ กครอง พฒั นากร สาธารณสุข ประมง ปศสุ ตั ว์ องค์กรพัฒนา เอกชน องค์กรธรุ กิจเอกชน ตลอดจนหนํวยวิชาการท่ีทาหน๎าทีส่ ร๎างความรู๎ เทคโนโลยีใหมๆํ 1.3 การส่งเสริมการเกษตรเปน็ การแลกเปลย่ี นขอ้ มลู ข่าวสารแบบยคุ ลวิถี (Two-Way) เทคโนโลยีทเ่ี ก่ียวกับการผลติ พชื และสตั ว์ มคี วามสาคัญอยํางยง่ิ ตอํ การแก๎ปัญหาในการทา การเกษตรของเกษตรกร แตใํ นขณะเดยี วกนั ภมู ิปัญญาของเกษตรก็มคี วามสาคัญตอํ นกั สงํ เสรมิ การเกษตรและนักวจิ ยั ดงั นัน้ การแลกเปลี่ยนขอ๎ มลู ขําวสารซึง่ กันและกนั ระหวํางนักวจิ ยั นกั สํงเสรมิ และเกษตรกร จะทาให๎งานสงํ เสริมเป็นการแลกเปลย่ี นเรียนรซู๎ ึ่งกนั และกนั วธิ กี ารแบบนี้ อาจเรียกวาํ เป็นการแลกเปลย่ี นขอ๎ มลู ขําวสารแบบยคุ ลวถิ ี ซง่ึ การแลกเปลีย่ นขอ๎ มูลแบบนที้ าให๎ตํางฝาุ ยตาํ งได๎ ประโยชนร์ วํ มกนั (win-win Situation)
1.4 การสง่ เสรมิ การเกษตรทางานกับกลุ่มเป้าหมายทีแ่ ตกต่างกนั การทางานสํงเสริมในพ้ืนท่ีตาํ งๆ ตอ๎ งเผชิญกบั ปัญหาของเกษตรกรมากมายหลายอยาํ ง ตามกลมุํ เกษตรกรเปาู หมาย ซ่งึ เกษตรกรกลํมุ ตํางๆ มปี ญั หาและความจาเปน็ แตกตาํ งกันไป นกั สํงเสริมจึงไมํควรจะกาหนดรูปแบบของการสํงเสริมเพียงแบบเดยี ว เพอ่ื นาไปใช๎กับเกษตรกรทกุ คน เหมือนๆ กัน ควรจะพฒั นาโครงการสงํ เสรมิ ให๎เหมาะสมกบั ปญั หา ความต๎องการ และทรพั ยากรที่ เกษตรกรแตํละกลุํมมี แตกตํางกนั ออกไป 1.5 เกษตรกรควรมสี ่วนรว่ มในทุกขัน้ ตอนของงานส่งเสรมิ เพ่อื ให๎เกษตรกรสามารถชํวยเหลือตนเองได๎ เกษตรกรไมํควรเป็นเพยี งผ๎ูรบั การสํงเสรมิ เทํานน้ั แตคํ วรจะมสี ํวนรํวมในทุกกิจกรรมของการสํงเสรมิ เชํน การวเิ คราะห์ปญั หา การกาหนดแผนงาน และ โครงการ การทดสอบ และการปฏิบตั งิ านตามแผน ในขณะเดียวกนั เกษตรกรควรจะมสี วํ นรํวม ในการ เลอื กใช๎เทคโนโลยที ี่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเองด๎วย นอกจากนี้การมีสวํ นรํวมของเกษตรกร ยงั เป็นการเสรมิ สร๎างเกษตรกรใหใ๎ ช๎สตปิ ัญญาของตนเอง คิดเปน็ ตดั สินใจไดด๎ ๎วยตนเอง และสามารถ ปฏิบัตไิ ดด๎ ๎วยตนเอง การทางานของนักสงํ เสริมและเกษตรกรตอ๎ งทารวํ มกนั ไปในทกุ ขัน้ ตอน ไมคํ วรให๎ นกั สํงเสริมเปน็ เพียงผถ๎ู าํ ยทอด และเกษตรกรเป็นเพียงผ๎รู ับการสํงเสริมเทํานัน้
1.6 การนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพยี งมาใช้ในการดาเนินงาน การพฒั นาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คอื การพฒั นาทตี่ ้งั อยบู่ นพืน้ ฐานของทางสาย กลาง และความไมป่ ระมาท โดยคานงึ ถึงความพอประมาณ ความมเี หตผุ ล การสรา้ งภูมิคุ้มกันท่ี ดใี นตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบและคณุ ธรรมประกอบการวางแผนการตดั สินใจและ การกระทา การขบั เคลือ่ นหลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง เชน่ การผ่านการจดั กระบวนการ เรียนร้รู ่วมกนั ระหวา่ งปราชญ์ชาวบ้าน อาสาสมัครเกษตร วทิ ยากรเกษตรกร และนักส่งเสริม การเกษตร เพื่อสรา้ งความรู้ความเขา้ ใจเทคโนโลยกี ารเกษตร เนน้ การพ่ึงพาตนเอง โดยเลอื ก กจิ กรรมการเกษตรท่เี หมาะสมกบั พน้ื ท่ีและแรงงานในครัวเรอื น ตามความรู้ความสามารถของ ตนเอง เพ่ือการบรโิ ภคในครวั เรือนและลดรายจ่าย ควรเลอื กกจิ กรรมการเกษตรท่ีหลากหลาย เพือ่ ลดความเส่ยี งจากภยั ธรรมชาตแิ ละภาวะราคาผลผลิตท่มี คี วามผันผวน เพอ่ื ใหเ้ กษตรกร และชุมชนการเกษตรมีความยงั่ ยืนตอ่ ไป
2. แนวปฏบิ ัติในการส่งเสรมิ การเกษตร ในการสงํ เสริมการเกษตร นกั สงํ เสรมิ เปน็ ตัวจักรสาคญั เนอ่ื งจากเปน็ ผ๎ูนาความเปลี่ยนแปลง (Change Agent) ของบคุ คลเปาู หมายใหเ๎ กิดการยอมรับนวัตกรรม (Innovation) ใหมํๆ และเปน็ การนาไปสํูการเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรม (Behavior) ของบคุ คลเปูาหมายในทส่ี ุด แนวปฏบิ ัตใิ นการ สงํ เสริมการเกษตร มี 9 ประการ ไดแ้ ก่ 2.1 ควรช้ีนาให๎บุคคลเปูาหมายพยายามชํวยตวั เอง ในการสอนหรือใหค๎ าแนะนา เจ๎าหนา๎ ท่ี สํงเสรมิ ควรตอกย้าให๎บุคคลเปาู หมาย พยายามอาศัยตนเองเปน็ หลกั อยํารอคอยใหค๎ นอนื่ มาชวํ ย การชวํ ยตัวเองได๎น้ันจะทาใหม๎ อี ิสระในการตัดสินใจ และภมู ิใจในผลงานของตนเอง 2.2 คอยชักจูงให๎บคุ คลเปาู หมายเข๎ารวํ มกจิ กรรมตํางๆ ดว๎ ยความสมคั รใจ ซึ่งมีผลให๎การ ทางานมีประสิทธภิ าพสูง และทาให๎เกิดความรู๎สกึ รวํ มเป็นเจา๎ ของผลงานน้ันๆ หากผลงานนัน้ ๆ เป็นของชุมชนจะมผี ลตามมาในดา๎ นการประสานผลประโยชน์ซงึ่ กันและกนั และชวํ ยเหลอื เก้ือกูล ซึ่งกนั และกันด๎วย 2.3 ควรใหม๎ กี ารปฏบิ ตั ดิ ๎วยตนเอง ในการสํงเสรมิ นกั สํงเสริมควรใหโ๎ อกาสบุคคลเปูาหมายได๎ ปฏิบัตใิ ห๎เกิดความชานาญ จะได๎มคี วามม่ันใจเมอ่ื เวลาจะนาไปปฏบิ ัตจิ ริง
2.4 กิจกรรมทสี่ ํงเสริมใหด๎ าเนนิ การ ควรสอดคล๎องกับความตอ๎ งการและเป็นประโยชน์แกกํ ลมํุ เปาู หมาย สํวนใหญํ หากงานสํงเสริมได๎กระทาไปในระดับหมูํบ๎านหรือตาบล งานสงํ เสรมิ ท่ีลงไปในทอ๎ งถ่ินนนั้ กต็ อ๎ ง สอดคล๎องกบั ความต๎องการของคนสํวนใหญํในชมุ ชนด๎วย ชวํ ยใหก๎ ารสงํ เสริมบรรลเุ ปาู หมายไดเ๎ ร็ว เพราะตรงกับ ความต๎องการและเกดิ ผลประโยชนแ์ กสํ วํ นใหญขํ องกลมํุ เปูาหมายอยูํแล๎ว ซ่งึ เมอื่ บคุ คลสวํ นใหญเํ ปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมหรือยอมรับไปปฏบิ ัตแิ ลว๎ กม็ ผี ลสาเรจ็ ตามเปาู หมายที่ตงั้ ไว๎เรว็ 2.5 ควรใช๎ทรัพยากรทม่ี ีอยหูํ รอื หาไดใ๎ นท๎องถ่ินมาใชป๎ ระโยชนใ์ นงานสํงเสรมิ ใหม๎ ากทสี่ ดุ ทรัพยากรดังกลาํ ว นี้รวมทง้ั ทรัพยากรธรรมชาติและทรพั ยากรที่มนษุ ย์ผลิตและสรา๎ งขนึ้ เชนํ แหลํงนา้ ธรรมชาติ สิ่งสาธารณปู โภค ท่เี ออื้ อานวยแกํการสํงเสริม รวมท้งั สถาบันตํางๆ ทมี่ ีอยํใู นท๎องถนิ่ หากทรพั ยากรไมํสามารถหาได๎ในท๎องถ่ิน จงึ คอํ ยนาจากภายนอก ทาให๎เกิดประโยชน์แกํท๎องถ่ินเองในแงกํ ารประหยดั ทง้ั เวลาและงบประมาณคําใช๎จําย เพราะหากจัดหาจากภายนอกยอํ มเสียคาํ ใชจ๎ ํายสงู กวําและนําจะเสยี เวลามากกวํา 2.6 ควรสร๎างทัศนคตขิ องบุคคลเปูาหมายใหเ๎ กิดความรูส๎ ึกอยากเปลย่ี นแปลง และเมือ่ เปลย่ี นแปลงและ นาไปปฏิบตั ิแลว๎ กใ็ ห๎คงรกั ษาพฤตกิ รรมน้ันไว๎ตํอเน่อื งจนกวํามีพฤติกรรมใหมํทด่ี กี วาํ มาแทนท่ี เพราะแมว๎ ํา บคุ คลเปาู หมายจะเปล่ียนแปลงทศั นคติและยอมรับไปปฏบิ ัติแลว๎ ก็ตาม ผูเ๎ ปลยี่ นแปลงพฤติกรรมนั้นอาจกลับไป ใช๎พฤตกิ รรมอยาํ งเกําได๎ หากนกั สํงเสริมไมํคอยกระต๎นุ ให๎รกั ษา
2.7 ควรใหบ๎ คุ คลเปาู หมายรวมเป็นกลมุํ หรือเปน็ สถาบัน เพราะเชือ่ วาํ กลุํมมีอิทธิพลตํอ การเปลยี่ นแปลงในดา๎ นมพี ลังตอํ รองในแงํเศรษฐกจิ และสังคม เปน็ ชํองทางในการรับบริการ การสํงเสริมไดด๎ ขี น้ึ 2.8 ควรสรา๎ งผ๎ูนาชมุ ชนและใช๎ความเป็นผนู๎ าชมุ ชนใหเ๎ ป็นประโยชนใ์ นการสํงเสรมิ การสํงเสรมิ จะเขา๎ ไปถงึ บุคคลเปาู หมายทกุ คนนัน้ เปน็ ไปไดย๎ ากมาก แตผํ ู๎นาชุมชนไมวํ าํ จะเป็นผ๎นู าแบบทางการ หรือไมเํ ป็นทางการ มักเป็นผูม๎ อี ิทธพิ ลตอํ ความนึกคดิ ของชาวบา๎ นธรรมดา และชาวบา๎ นชอบ เอาอยํางผนู๎ าอยแูํ ลว๎ ฉะนน้ั หากนกั สํงเสริมรจ๎ู ักคัดเลือกและใช๎ผนู๎ าใหถ๎ กู กาลเทศะ จะชวํ ยให๎ งานสํงเสรมิ บรรลเุ ปาู หมายได๎ดีขึน้ 2.9 ควรดาเนินกจิ กรรมสงํ เสริมแบบผสมผสาน ซึ่งไดร๎ ับความนิยมมากขึน้ ทุกทีในปัจจุบัน เพราะบคุ คลเปาู หมายมักต๎องกระทาการตํางๆ เพื่อประกอบอาชีพและดารงชวี ิตพร๎อมกันไปหลายๆ อยาํ ง ฉะน้นั กิจกรรมท่ีสงํ เสริมที่ต๎องการถาํ ยทอด ควรตอ๎ งมีลกั ษณะผสมผสาน โดยประสานงานกบั ผ๎เู กี่ยวขอ๎ ง เพอื่ ประสานกจิ กรรมสํงเสรมิ ใหส๎ อดคล๎องกันและทางานรํวมกัน ก็จะชํวยให๎งานสงํ เสรมิ สาเร็จลุลํวงไปได๎ และบคุ คลเปาู หมายพอใจ
การยอมรบั (Adoption) เป็นเรอื่ งทีม่ ีความสาคัญเป็นอย่างยง่ิ ในกระบวนการ ส่งเสริมการเกษตร เพราะนกั สง่ เสริมตอ้ งทาให้บคุ คลเป้าหมายเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเขา หลังจากได้เรียนร้ใู นสิง่ ทน่ี กั สง่ เสริมนาไปถา่ ยทอดใหเ้ ขาไดร้ ับรู้ ทาให้เกิดความเข้าใจ มีทกั ษะ และความชานาญ จนสามารถนามาใชใ้ นการปฏิบัติ เช่น บุคคลเปา้ หมายได้เรยี นรเู้ กีย่ วกับการ ใชส้ ารเคมจี นเกดิ การเรยี นรูว้ ่าสารเคมมี ีผลดี ผลเสยี อย่างไร จะมีการปฏิบัติอยา่ งไรในการใช้ สารเคมีที่ถูกต้อง เมอ่ื เรียนรจู้ นเกดิ ความชานาญแล้ว ก็นามาใชป้ ฏิบตั ใิ นชีวติ ประจาวนั สาหรบั การประกอบอาชีพของตนเองได้เปน็ อย่างดี
3. สถานการณภ์ ายในกรมสง่ เสรมิ การเกษตร กรมสํงเสริมการเกษตรไดม๎ ีการปรับเปล่ียนระบบการสํงเสริมการเกษตร จากระบบฝกึ อบรม และ เย่ียมเยียน (Training and Visit System: T & V System) ซึง่ เร่ิมใช๎มาตัง้ แตปํ ี 2520 เปน็ ตน๎ มา และ ไดม๎ ีการพฒั นามาเป็นลาดับจนถงึ ปจั จุบนั มาเปน็ ระบบสงํ เสรมิ การเกษตรมติ ิใหมรํ ปู แบบ MRCF System เนื่องจากปัจจุบนั มีการเปล่ียนแปลงและพัฒนาในหลาย ๆ ด๎าน ท้งั ในดา๎ นเศรษฐกจิ สังคม การสอ่ื สาร โทรคมนาคม โดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สาร ท่มี ีการเปลยี่ นแปลงไป อยํางมากและรวดเรว็ กรมสงํ เสรมิ การเกษตร จงึ ได๎ปรับปรงุ และพฒั นาระบบสงํ เสรมิ การเกษตรเพื่อให๎ ทันตอํ เหตุการณ์ โดยมํุงเน๎นการเปลยี่ นแปลงการทางานสํงเสรมิ การเกษตรไปสสํู ิ่งทีด่ ีท่สี ุด (Change to the Best) เป็นการดาเนนิ งานสงํ เสริมการเกษตรมิตใิ หมํ โดยการนารูปแบบ MRCF System มาใช๎ใน การทางานทกุ ระดบั ท้งั สํวนกลาง เขต จังหวดั อาเภอ ตาบล ให๎สามารถรองรับการเปลย่ี นแปลงและ ภารกจิ ตําง ๆ ปฏิบตั ิงานบนพนื้ ฐานของขอ๎ มลู และขบั เคล่อื นการดาเนินงานดว๎ ยกระบวนการเรียนร๎ู และการมีสวํ นรวํ ม เปูาหมายเพื่อให๎เกษตรกรไดร๎ ับการบรกิ ารจากภาครฐั ท่ีสะดวก รวดเรว็ ทนั สถานการณ์ และท่วั ถงึ
3.1 ปรับบทบาทและอตั ลักษณ์ของนักสงํ เสริมการเกษตรใหช๎ ดั เจนเป็น “ผู๎จัดการเกษตรในพื้นท”่ี และ“ผู๎นาการเปลยี่ นแปลง” เปน็ ทีร่ จ๎ู กั และยอมรบั ของเกษตรกรและคนทั่วไป 3.2 ใหย๎ ดึ พืน้ ทเี่ ปน็ ศูนยก์ ลางการพัฒนา กาหนดขอบเขตพ้ืนทเี่ ปาู หมายการพัฒนาให๎ชดั เจน และ มองภาพพน้ื ท่ี คน สินค๎า เข๎าด๎วยกนั 3.3 ปรับวิธกี ารทางานใหส๎ ามารถรองรับภารกิจตํางๆ ได๎อยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ โดยเร่ิมจากการศึกษา วิเคราะหข์ ๎อมูล เพอ่ื เตรยี มเขา๎ ทางานในพ้ืนที่ โดยเปน็ ข๎อมูลที่ถกู ตอ๎ งสมบูรณ์ เป็นปจั จบุ นั ตรวจสอบได๎ และเปน็ ท่เี ชื่อถอื ยอมรับ โดยเน๎นการใชข๎ ๎อมลู แผนที่หรือแผนภาพ (Mapping) เพ่ือกาหนดเปูาหมาย การพัฒนา ใช๎การตดิ ตอํ สอื่ สารทางไกล เพ่อื การสอ่ื สารและเขา๎ ถงึ ขอ๎ มูล (Remote sensing) ใช๎วิธีการ จดั เวทชี ุมชนรํวมกับเกษตรกร ชมุ ชน และภาคีเครือขาํ ยตํางๆ ทเี่ ก่ยี วขอ๎ งแบบมสี วํ นรํวม (Community Participation) และเข๎าทางานในพ้นื ท่ีแบบมเี ปูาหมายและจุดมํุงหมายทชี่ ดั เจน (Specific Field Service) การสํงเสริมการเกษตรรูปแบบ MRCF เมอื่ นาไปสูกํ ารปฏบิ ตั ิงานในพื้นท่จี ริงแลว๎ ทาใหน๎ กั สงํ เสรมิ สามารถเขา๎ ใจและสามารถขับเคล่อื นงานสงํ เสรมิ การเกษตรไดท๎ นั กับการเปล่ียนแปลงใน ปัจจบุ ัน ขบั เคลื่อนการดาเนินงานด้วยกระบวนการเรยี นรแู้ ละการมีส่วนรว่ ม
M - Mapping (จดั ทาและใชข๎ อ๎ มลู แผนท่ี) คอื การทางานบนพ้ืนฐานของขอ๎ มูลทถี่ ูกตอ๎ ง สมบรู ณ์ โดยเนน๎ การจดั ทาและการใชข๎ อ๎ มูลแผนที่ ในการนาข๎อมูลกายภาพ ชวี ภาพ เศรษฐกจิ สังคม และข๎อมูลอ่นื ๆ ของชุมชน มาวิเคราะหแ์ ละเชือ่ มโยงในรูปแบบแผนท่ีหรือแผนภาพ เพ่ือใหเ๎ กิดการ เรยี นรช๎ู มุ ชน เขา๎ ใจสถานการณแ์ ละศกั ยภาพของชมุ ชนดา๎ นตํางๆ ในการนาไปสูํการกาหนดเปูาหมาย และวางแผนพฒั นาแกไ๎ ขปญั หาของชุมชน หรืออาจกลาํ วได๎วาํ เป็นการแปลงข๎อมูลหรอื ขอ๎ มูลตาราง เป็นข๎อมลู เชิงตาแหนงํ ในแผนที่ R - Remote sensing (การสื่อสารขอ๎ มลู ทางไกล) การเขา๎ ถึงและ/หรือการส่ือสารข๎อมูล ระหวํางเจ๎าหนา๎ ทีก่ ับเกษตรกร หรอื เจ๎าหนา๎ ที่กบั หนํวยงานทางวชิ าการ โดยการใช๎การติดตํอสือ่ สาร ระยะไกลผํานส่ืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เชนํ สมารท์ โฟน แทปเลต็ คอมพวิ เตอร์ผํานอนิ เตอรเ์ นต็ ซึง่ สามารถ เลือกเทคโนโลยกี ารสอ่ื สารมาประยุกต์ใชใ๎ นการดาเนนิ งานได๎อยาํ งถูกตอ๎ ง และเหมาะสมกับ สถานการณ์
C - Community Participation (การทางานแบบมสี วํ นรวํ มกบั ภาคเี ครือขาํ ย) คือ แนวทางของการสํงเสริมการเกษตรท่ใี ห๎เกษตรกร ชมุ ชน รวมทงั้ ภาคเี ครอื ขาํ ย และผทู๎ ี่เกี่ยวข๎อง เข๎ามา มสี วํ นรํวมในกจิ กรรมนั้น ๆ ทกุ ขัน้ ตอนของการมสี วํ นรํวม ได๎แกํ รํวมรบั ร๎ู รํวมคิดตดั สินใจ รํวมลงมอื ปฏิบตั ิ รํวมประเมินผล และรํวมรับผลประโยชน์ ภายใต๎แนวคิดของการได๎รับประโยชน์รวํ มกนั ของทุก ฝุาย (Win – Win Situation) F - Specific Field Service (การใหบ๎ รกิ ารทางการเกษตรแบบเฉพาะเจาะจง มี เปูาหมายชัดเจน) คอื การนาข๎อมูลแผนท่ี ข๎อมูลความต๎องการ หรอื ปัญหาของเกษตรกร มาดาเนินการ เพื่อให๎บรกิ ารเกษตรกรกลมํุ เปูาหมายแบบเฉพาะเจาะจง (Specific Field Service) ซงึ่ อาจเปน็ การ เจาะจงเฉพาะพื้นท่ี กลุมํ รายบุคคล หรอื ประเดน็ ปัญหาการเกษตร โดยนักสํงเสรมิ การเกษตรต๎องเขา๎ พ้นื ท่ีอยํางมีเปาู หมาย ตอ๎ งศึกษาข๎อมลู กอํ นเขา๎ พ้ืนท่ี ตอ๎ งรวู๎ าํ จะเขา๎ ไปทาอะไร ทีไ่ หน กับใคร มขี ๎อมูลอะไรที่เก่ียวข๎องบา๎ ง ต๎องรู๎จักเกษตรกรและรจู๎ กั พ้นื ทเ่ี ป็นอยํางดี และตอ๎ งติดตามข๎อมูลขาํ วสารอน่ื ประกอบดว๎ ย ร๎จู กั ทีจ่ ะ วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ และตอํ ภาพเชื่อมโยงข๎อมูลตํางๆ เขา๎ ดว๎ ยกันเพ่อื ประยุกต์ ใชใ๎ นการปฏบิ ตั งิ าน ให๎ การบรกิ าร กาถํายทอดความรู๎เพอื่ แกป๎ ญั หา หรือพัฒนาการเกษตรในพ้นื ที่
ตอนที่ ๑.๒ บทบาทและวธิ ีการส่งเสริมการเกษตร นักสํงเสริมการเกษตร มีภารกจิ ในการดาเนินงานสํงเสริมการเกษตรในพื้นท่ี ใหเ๎ กิดการพัฒนาในด๎านตํางๆ ท้งั ดา๎ นการผลิตทางการเกษตร และการพัฒนาเกษตรกร องค์กร เกษตรกรและวสิ าหกิจชุมชน ซ่ึงในการดาเนนิ งานสํงเสรมิ การเกษตรในพ้นื ท่นี ั้น นกั สงํ เสรมิ จะต๎องเห็นบทบาท ตัวตน และอัตลกั ษณ์ของ นักสํงเสริมการเกษตรอยาํ งชัดเจนในฐานะของ “ผ๎ูจัดการการเกษตรในพื้นท”่ี และ “ผน๎ู าการเปลย่ี นแปลง” โดยมคี ติประจาใจในการทางาน คือ “การเปลยี่ นแปลงสสํู ง่ิ ทดี่ ีท่ีสุด” หรอื “Change to the Best” ซง่ึ เป็นการทาความเข๎าใจ ในเรื่องบทบาทของนักสงํ เสรมิ การเกษตร อตั ตลกั ษณข์ องนกั สงํ เสริมการเกษตรและคุณสมบัติ ของนักสํงเสริมการเกษตร มีรายละเอียด ดังนี้
เรอ่ื งท่ี 1.2.1 บทบาทของนักสง่ เสรมิ การเกษตร กรมสงํ เสริมการเกษตร (2556) ได๎กลาํ วถึงบทบาทของนักสํงเสรมิ การเกษตรไว๎วํานกั สงํ เสริม การเกษตรสวํ นใหญเํ ป็นบุคคลภายนอกทถ่ี กู สํงไปปฏิบตั งิ านในพนื้ ท่ี ตอ๎ งทางานรํวมกบั เกษตรกรโดยตรง จงึ จาเป็นทจ่ี ะตอ๎ งเข๎าใจบทบาทของตนเองอยาํ งชดั เจน เพอ่ื เตรยี มความพรอ๎ มในการทางานกบั เกษตรกร ให๎เกดิ ประสทิ ธิผลตามทกี่ าหนดเปาู หมายไว๎ ซง่ึ มกี ลํมุ บคุ คลที่จะต๎องทางานด๎วยมอี ยูํ 3 กลุ่ม ท่ีตอ้ งเกยี่ วขอ้ ง ไดแ้ ก่ 1) เกษตรกรกลมุ่ เปา้ หมาย ซ่งึ ถือวําเปน็ “ผูเ้ รียนรรู้ ว่ มกัน” โดยจะเปน็ เกษตรกรกลมํุ เปาู หมายที่ จะต๎องเข๎าไปทางานดว๎ ย เป็นเฉพาะเจาะจงและมีเปูาหมายการทางานทชี่ ัดเจน (Specific Field Service) 2) เจ้าหนา้ ท่ีหน่วยงานภาคีเครือข่าย เชนํ หนวํ ยราชการตํางๆ องค์กรปกครองสวํ นทอ๎ งถน่ิ ครู ฯลฯ ซ่งึ ถือวําเป็น “ผูร้ ว่ มงาน” โดยมกี ารรวํ มกนั ทางานในพื้นทท่ี ท่ี ุกคนได๎รบั ประโยชน์รํวมกนั (Win-Win Situation) 3) ผนู้ าความคดิ เชํน ผ๎ูนาทางศาสนา ผ๎ใู หญบํ ๎าน กานนั ผ๎นู าทอ๎ งถ่ิน ฯลฯ ซึง่ ถือวําเป็น “ผู้มอี ทิ ธพิ ลทางความคิด” ดังนัน้ เมอ่ื มีหลายกลุมํ หลายหนวํ ยงานทน่ี ักสํงเสริมการเกษตรจะตอ๎ งมีปฏสิ ัมพนั ธด์ ๎วยจึงทาใหน๎ ัก สํงเสรมิ การเกษตรตอ๎ งทาหน๎าทีห่ ลายบทบาท เพื่อใหง๎ านสํงเสริมการเกษตรบรรลุเปาู หมาย เชนํ เป็นวทิ ยากร หรือวิทยากรกระบวนการเม่ือทางานกบั กลุํมเปาู หมายที่เป็นเกษตรกร เป็นนักประสานงานเมอ่ื ทางานกับภาคี เครือขาํ ย หรอื เป็นนกั จดั การเมอื่ ตอ๎ งพึ่งพาหรอื แกป๎ ัญหาจากผมู๎ อี ิทธพิ ล
1. บทบาทหลกั ของนกั ส่งเสรมิ กรมสงํ เสรมิ การเกษตร (2556) ได๎กลําวถงึ บทบาทหลักๆ ที่นกั สงํ เสริมการเกษตรตอ๎ งทาหน๎าที่ให๎เหมาะสมกบั สถานการณ์ มี 7 ประการ ได้แก่ 1) ครู ท่ปี รึกษา หรอื วทิ ยากร 2) วทิ ยากรกระบวนการ 3) นกั ประสานงาน 4) นกั จัดการ 5) ผูใ้ ห้บริการ 6) นักวิเคราะห์ 7) นกั วจิ ัยและพัฒนา 1.1 ครู ทป่ี รกึ ษา หรอื วทิ ยากร คอื ผู๎ทต่ี ๎องมจี ิตใจในการให๎ เพ่อื ถาํ ยทอดความรห๎ู รอื ให๎คาแนะนา ดา๎ นการเกษตรท่ีจาเป็นสาหรับการแก๎ไขปญั หาและพฒั นาการเกษตรท่ีตรงกับความจาเป็นในพ้นื ท่ี 1.2 วิทยากรกระบวนการ เพ่ือเออ้ื อานวยให๎เกดิ การแลกเปลี่ยนเรียนรู๎ การแลกเปล่ยี น ประสบการณ์ โดยการจดั เวทชี ุมชน หรือสร๎างโอกาสใหเ๎ กดิ การเรยี นร๎ูระหวาํ งเกษตรกร เจ๎าหน๎าที่ หรอื ผน๎ู าชมุ ชนท่เี กี่ยวข๎อง เชํน การจัดเวทีประชาคม การจดั เวทตี ามระบบสงํ เสรมิ การเกษตร
1.3 นักประสานงาน เพอ่ื สร๎างและพัฒนาเครอื ขํายความรํวมมอื ในพน้ื ท่ี รวมถงึ เครอื ขําย ทกุ ระดับ เพือ่ ขยายโอกาสการทางาน ใหง๎ านสงํ เสริมการเกษตรดาเนินไปไดอ๎ ยํางราบร่ืน ไดร๎ บั การสนบั สนุนจากทุกฝุาย เชํน การประสานงานกับองค์การปกครองสํวนทอ๎ งถิ่น เปาู หมาย ในการประสานงานทไ่ี ด๎ผลควรเป็นลกั ษณะได๎รับประโยชนด์ ๎วยกันทง้ั สองฝุาย 1.4 นักจดั การ เพอ่ื แกป๎ ัญหาตาํ งๆ รวมถึงสร๎างสรรคง์ านการเกษตรทุกดา๎ น จาเป็นท่ี นกั สงํ เสรมิ การเกษตร ต๎องบรหิ ารจดั การงานใหไ๎ ด๎ รวมถึงสามารถบรู ณาการแผนงาน โครงการ งบประมาณ หรือแมแ๎ ตํบูรณาการทรพั ยากรในความรับผดิ ชอบใหเ๎ กิดประโยชนส์ ูงสุด และ สามารถเป็นแบบอยํางที่ดีใหก๎ บั กลุมํ บคุ คลเปูาหมาย เชนํ เกษตรกรในการจดั การทัง้ ด๎านการผลติ และการตลาดด๎านการเกษตร รวมถึงการแก๎ไขปญั หาใดๆ ทอี่ าจเกดิ ขึ้นได๎ในพนื้ ที่ เชนํ ภัยธรรมชาติ การระบาดศตั รพู ืช ฯลฯ 1.5 ผใู้ หบ้ ริการ ซึง่ เป็นภารกิจหลกั ของกรมสงํ เสริมการเกษตรในการถํายทอดความร๎ู และ การบริการการเกษตร เพอ่ื จัดบรกิ ารทตี่ อบสนองการแก๎ไขปญั หาและการพัฒนาที่เหมาะสม ในพ้ืนที่ และเหมาะสมกับเกษตรกรกลุมํ เปูาหมาย เชํน หนวํ ยเคล่อื นทีก่ ารปูองกนั กาจัดศตั รพู ืช คลินิกเกษตร การข้นึ ทะเบียนเกษตรกร (ทบก.) การขึน้ ทะเบียนเกษตรกรผปู๎ ลูกพชื เศรษฐกจิ (ทพศ.) ฯลฯ
1.6 นกั วเิ คราะห์ เพ่ือให๎การปฏบิ ัติงานมปี ระสิทธิภาพ นกั สงํ เสรมิ การเกษตรตอ๎ งวิเคราะห์ข๎อมลู และสถานการณ์ไดอ๎ ยํางถูกตอ๎ งในทุกข้ันตอนของกระบวนการทางาน เพอื่ ให๎มีฐานข๎อมูล ที่ถกู ตอ๎ ง วางแผนกาหนดเปูาหมายได๎ สามารถดาเนนิ การและประเมนิ ผลได๎อยํางเหมาะสม 1.7 นักวจิ ัยและพฒั นา เพ่อื ใหก๎ ารปฏิบัตงิ านมปี ระสทิ ธผิ ล สามารถสร๎างสรรค์องคค์ วามรูใ๎ หมํ หรอื กระบวนการแก๎ปัญหาทีส่ อดคลอ๎ งกับสถานการณ์ นกั สํงเสรมิ การเกษตรต๎องเปน็ นักวิจัยและพฒั นา เพอ่ื คน๎ หาคาตอบในการแกไ๎ ข ปรับปรุง หรอื พฒั นางาน พัฒนาพื้นท่ี ตลอดจนกลุํมเปาู หมายและ องคก์ ร นอกเหนอื จากบทบาทหลักดังกลาํ วแล๎ว ยังมบี ทบาททส่ี าคัญอกี หลายบทบาท เชนํ นกั วางแผน นักประเมินผล นักประชาสัมพันธ์ ฯลฯ ตามแตํเง่อื นไขและสถานการณใ์ นการทางาน แตํไมํวําจะเปน็ บทบาทใด นกั สํงเสริมการเกษตรที่ดี ควรต๎องแสดงบทบาทนั้นภายใตค๎ วามเคารพในความคดิ ของ เกษตรกร ภาคเี ครือขาํ ย และภายใตก๎ ฎ ระเบยี บ ขอ๎ บงั คบั รวมถึงวฒั นธรรมอนั ดงี าม และความสมดลุ ของสภาพแวดลอ๎ มในทอ๎ งถน่ิ เพอ่ื ใหเ๎ กิดการเปล่ียนแปลงความร๎ู ทัศนคติ และพฤติกรรมของเกษตรกร ไปในทางทด่ี ีข้ึนอยํางย่ังยนื
2. อตั ลกั ษณ์ของนกั ส่งเสรมิ การเกษตร อตั ลักษณ์ (Identity) หมายถงึ คุณลกั ษณะเฉพาะตวั ซงึ่ เปน็ ตัวบงํ ชีข้ องลกั ษณะเฉพาะของบคุ คลที่ เป็นผลรวมของลกั ษณะเฉพาะ ทาให๎เป็นท่รี จ๎ู ักหรอื จาได๎ ซ่งึ มีคุณลกั ษณะท่ไี มเํ หมอื นกบั ของคนอ่นื ๆ ดังน้นั อัตลักษณข์ องนักสํงเสริมการเกษตร กค็ ือคุณลกั ษณะเฉพาะตัวของนักสงํ เสริมการเกษตร ท่ีทาให๎ เปน็ ที่ร๎จู ักหรือจาไดข๎ องบคุ คลหรือหนํวยงานอน่ื ๆ นักสงํ เสริมการเกษตร จะต๎องเป็นผด๎ู าเนนิ งาน สงํ เสริมการเกษตรในพน้ื ท่ี ตามบทบาทและหนา๎ ที่อยาํ งจรงิ จงั เพื่อให๎เหน็ บทบาท ตัวตนในฐานะของ “ผู๎จัดการการเกษตรในพื้นท่ี” และ “ผู๎นาการเปลย่ี นแปลง” ดงั น้ี
2.1 การบรหิ ารจัดการงานสํงเสรมิ การเกษตรในพื้นที่ นกั สํงเสริมการเกษตรจะตอ๎ งมีการ บริหารจัดการงานสํงเสรมิ การเกษตรในพ้ืนท่ี ทางานโดยการยดึ พน้ื ทเี่ ปน็ ศนู ย์กลางการพฒั นา กาหนด ขอบเขตพน้ื ทด่ี าเนนิ การและเปูาหมายการพัฒนาให๎ชัดเจน วดั ผลสาเรจ็ ได๎ บูรณาการ พ้นื ท-่ี คน-สินคา๎ เขา๎ ด๎วยกัน ทง้ั ในเชิง Agenda-Based Function-Based และ Area-Based ท้ังในแงํการผลติ และการ เชอื่ มโยงตลาด โดยมเี ปูาหมายหลกั คอื พัฒนาการผลิต (เพ่มิ ประสิทธิภาพการผลิตและปรับเปลยี่ นการ ผลิต) และ พฒั นาเกษตรกร องคก์ รเกษตรกร และวสิ าหกจิ ชมุ ชน ท้ังนี้ นกั สงํ เสริมการเกษตรจะตอ๎ ง เปน็ แกนหลกั ในการประสานผเู๎ กีย่ วขอ๎ งมารวํ มกนั ทางานโดยได๎รับประโยชน์รํวมกัน (Win-Win Situation) 2.2 การบรหิ ารจดั การข๎อมลู นักสํงเสรมิ การเกษตรจะตอ๎ งมกี ารบรหิ ารจดั การข๎อมลู ทางานบนพื้นฐานของขอ๎ มลู ท่ถี ูกตอ๎ ง สมบูรณ์ เป็นปัจจบุ ัน ตรวจสอบได๎ และเปน็ ท่ีเชื่อถอื ยอมรับ สามารถจัดทาและใชข๎ อ๎ มลู โดยเฉพาะอยาํ งย่ิงข๎อมูลแผนที่ (Mapping) ในการวเิ คราะหข์ ๎อมลู ในการ กาหนดกิจกรรมและเปาู หมายการดาเนนิ งาน การเป็นผู๎บริหารจดั การงานสงํ เสรมิ การเกษตรในพ้ืนที่ และมกี ารบริหารจดั การข๎อมูลที่ดขี องนกั สงํ เสรมิ การเกษตร จะสงํ ผลให๎นักสํงเสริมการเกษตร มี ความสามารถในการเป็น “ผจู๎ ดั การการเกษตรในพื้นท”ี่ และ “ผน๎ู าการเปลยี่ นแปลง” ไดร๎ บั การยอมรบั ของภาคเี ครือขาํ ย ซึง่ จะเป็นอัตลักษณ์ ของนกั สํงเสริมการเกษตร ตํอไป
3. คณุ สมบตั ิของนักสง่ เสรมิ การเกษตรท่ีดี งานสงํ เสริมการเกษตรเป็นงานที่เกย่ี วข๎องกบั บคุ คลหลายประเภท นกั สงํ เสริมการเกษตรทด่ี จี งึ ควรเสริมสร๎าง ตนเองให๎มคี ณุ ลกั ษณะดงั นี้ 3.1 เปน็ นกั วเิ คราะห์ นกั วางแผน นกั จดั การและมคี วามเขา๎ ใจงานสํงเสริมการเกษตร 3.2 มีความร๎ูท้ังภาคทฤษฏีและภาคปฏิบตั ิในสาขาวิชาของตนอยาํ งดี และมกี ารพฒั นาตนเองอยาํ งสม่าเสมอ 3.3 รู๎หลกั การถาํ ยทอดความร๎ู คือการฝกึ อบรม การเรยี น การสอน และการแนะนาตาํ งๆไดด๎ ี ดงั นนั้ จงึ ต๎องรู๎ ในเรอ่ื งหลักการตดิ ตํอส่ือสาร การใชโ๎ สตทศั นปู กรณ์ หลักจิตวิทยาและสงั คมชนบทดว๎ ย 3.4 เปน็ ผท๎ู ม่ี ีมนษุ ยสัมพนั ธด์ ี เสยี สละ เออ้ื เฟ้ือเผื่อแผํ และชอบงานท่ีใหบ๎ ริการแกปํ ระชาชน 3.5 เป็นผู๎ประสานงานท่ีดี สามารถประสานงาน ขอความรวํ มมอื กับคนไดท๎ ุกระดบั 3.6 เปน็ ผ๎ูทม่ี คี วามคิดรเิ รมิ่ และชอบดัดแปลงแก๎ไขสิ่งตาํ ง ๆ 3.7 เป็นผ๎ทู ่ีนาเอาทรพั ยากรธรรมชาตใิ นทอ๎ งถ่นิ มาใช๎อยาํ งมปี ระสิทธิภาพ เชนํ สอนใหเ๎ กษตรกรทาปุ๋ยจาก เศษพชื ตํางๆ ทาแกส๏ จากมลู สัตว์ เป็นต๎น 3.8 เปน็ ผูท๎ ก่ี ระต๎นุ ใหเ๎ กษตรกรรู๎จกั ปัญหา และแกไ๎ ขปญั หาด๎วยตัวเอง หรือโดยการทางานเป็นกลํมุ 3.9 เปน็ ผ๎ูสื่อสารระหวาํ งเกษตรกรในชุมชนกับโลกภายนอก 3.10 ต๎องรํวมคดิ รวํ มทา รํวมสุข รํวมทุกข์ กับเกษตรกรด๎วยความสุจรติ ใจ อดทน และหนกั แนนํ
เรอ่ื งท่ี 1.2.2 ขอบเขตและวิธีการสง่ เสรมิ การเกษตร 1. ขอบเขตของการสง่ เสรมิ การเกษตร การสํงเสรมิ การเกษตรเปน็ กระบวนการการศกึ ษานอกระบบท่ตี อ๎ งการให๎เกิดการเปลี่ยนแปลง พฤตกิ รรมของเกษตรกร เพ่ือพัฒนาความรใ๎ู นการผลติ ใหไ๎ ดผ๎ ลผลิตสูงสดุ ซ่ึงหมายรวมไปถึงการพัฒนา ผลผลิตอยํางมีความเหมาะสมตอํ การลงทนุ ทง้ั ในดา๎ นทรัพยากรเงินทนุ ทรพั ยากรมนุษย์ เทคโนโลยี และทรพั ยากรธรรมชาติ อันจะเป็นผลสาเร็จตอํ การพฒั นาการผลิต เพื่อการบริโภคอตุ สาหกรรมแปรรูป และการพาณชิ ยไ์ ด๎ การสํงเสรมิ นอกจากการพฒั นาการผลิต ยงั มีกจิ กรรมในการพัฒนาชนบทดว๎ ย จงึ ไดก๎ าหนดขอบเขตการสงํ เสริมไว๎ 8 ข้อ ดงั นี้ 1) การพัฒนาผลผลิตทางการเกษตร 2) การอนุรกั ษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ 3) การตลาดและการดาเนินการอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตการเกษตร 4) การจดั การไรน่ าและครัวเรอื นเกษตร 5) การพฒั นาคณุ ภาพชวี ิตของเกษตรกรในชนบท 6) การพัฒนาเยาวชน 7) การพฒั นาผ้นู าเกษตรกรและแม่บ้าน 8) การพฒั นาชมุ ชนชนบท
1.1 การพฒั นาผลผลิตทางการเกษตร (Development of Agricultural Production) โดยการ ใชเ๎ ทคโนโลยแี ละภูมิปัญญาเกษตรกรในการเพิม่ ประสทิ ธภิ าพการผลติ การใชป๎ ัจจัยการผลติ เชํน ทด่ี นิ แรงงาน ทุน โดยมงํุ ทจ่ี ะพัฒนาการผลิตอยาํ งมคี ุณภาพ รวมถึงการใช๎ทรัพยากรอยาํ งคม๎ุ คาํ 1.2 การอนรุ กั ษแ์ ละพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ (Natural Resources Conservation and Development) การสงํ เสรมิ การเกษตรเพ่อื มํุงการผลติ เพยี งอยาํ งเดียว พบวํามกี ารใช๎ทรพั ยากร อยํางไมรํ ะมดั ระวังและไมปํ ระหยัด ทาให๎เกิดความเสียหายถึงผลกระทบตํอทรพั ยากรธรรมชาติในการ สนบั สนนุ การผลติ ทางการเกษตร ดังนน้ั การสํงเสริมการเกษตรเพื่อการผลติ จะต๎องคานึงถึงการอนรุ ักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติดว๎ ย เพอื่ เป็นผลตํอการผลติ อยํางยัง่ ยนื ได๎ 1.3 การตลาดและการดาเนินการอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตการเกษตร (Marketing and Industrial of Agricultural Production) การผลติ แตเํ ดิมนนั้ เปน็ การผลติ เพ่อื บรโิ ภคและตลาดสด เทํานัน้ เมอื่ มีการผลิตเพ่อื เปน็ รายได๎ เพอื่ พัฒนาเศรษฐกจิ ยํอมจะต๎องมกี ารผลติ เปน็ จานวนมาก ปริมาณมากยง่ิ ขน้ึ อนั เปน็ ผลตอํ การจดั การผลผลิตไปสตูํ ลาดท่ใี หญํ กวา๎ งและไกล จงึ จาเปน็ อยาํ งย่งิ ทจี่ ะตอ๎ งมกี ารสงํ เสริมในเชิงธรุ กจิ และอตุ สาหกรรมแปรรูป จงึ จะสามารถดาเนินการผลิตอยํางมี ประสิทธภิ าพได๎
1.4 การจดั การไร่นาและครัวเรือนเกษตร (Farm’s and Household Management) การสํงเสริมการเกษตร จะต๎องดาเนนิ การในสวํ นที่เก่ียวข๎องกับเกษตรกร ครอบครัว และไรํนา ดังน้ัน จาเปน็ ตอ๎ งดาเนินการในการถาํ ยทอดความร๎ู ในการจดั การไรนํ า และครัวเรอื นเกษตรกรใหด๎ าเนนิ การไปในทางที่ดที ีส่ ุด ทง้ั ในด๎านธรุ กจิ รายได๎ รายจําย การดาเนนิ การผลติ และการพัฒนาชวี ติ ครอบครัวเกษตรกร โดยสามารถดาเนนิ การวางแผนกาหนดแนวทางในการแกไ๎ ขปญั หา และ พฒั นาการจัดการไรนํ า และครวั เรอื นเกษตรกรในทสี่ ุด 1.5 การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของเกษตรกรในชนบท (Quality of Farmer Life and Living) การสงํ เสรมิ การเกษตรตอ๎ งสนบั สนนุ สํงเสริมเกษตรกรและครอบครวั ให๎มีชวี ติ ที่ดี ทัง้ ในสิ่งแวดลอ๎ มและความสมั พนั ธข์ องสมาชกิ ใน ครอบครวั และรวมไปถงึ ชีวติ ในชุมชนชนบทดว๎ ย 1.6 การพัฒนาเยาวชน (Youth Development) ภารกิจสาคัญของการสํงเสรมิ การเกษตรสาหรบั อนาคต คอื การพฒั นาเยาวชนทางการเกษตรหรอื ยุวเกษตรกร ซึ่งถอื วําเป็นทรัพยากรมนุษย์ทส่ี าคญั และจะมีบทบาทมากในการ พัฒนาการเกษตรในอนาคตดว๎ ย การสํงเสริมการเกษตรจงึ มหี นา๎ ท่คี วามรับผดิ ชอบท่จี ะต๎องดาเนนิ การพฒั นา ยุวเกษตรกร โดยกาหนดแนวทางพน้ื ฐานความเข๎าใจตํองานเกษตร การผลิต การใชท๎ รัพยากรธรรมชาติ เทคโนโลยี และภมู ิปัญญาเกษตร เพอ่ื พัฒนาผลผลิตในอนาคตอยาํ งชาญฉลาดดว๎ ย 1.7 การพัฒนาผู้นาเกษตรกรและแมบ่ ้าน (Leadership Development for Farmer and Housewife) การสงํ เสรมิ การเกษตรจาเปน็ ตอ๎ งพัฒนาทรัพยากรมนษุ ย์ โดยเฉพาะทรัพยากรมนษุ ยท์ จ่ี ะเป็นหลกั ในการผลิตและการ จัดการผลผลติ ทางการเกษตร เกษตรกรและแมบํ ๎านจงึ เป็นกลมุํ บคุ คลเปาู หมาย และการมงุํ พัฒนาเพ่อื ใหเ๎ กษตรกรและ แมํบ๎าน สามารถเป็นผนู๎ าการพัฒนาได๎เป็นอยํางดี ซง่ึ จาเป็นตอ๎ งดาเนนิ การพฒั นาภาวะผ๎ูนาแกํเกษตรกรและแมบํ า๎ นและ ดาเนินการคดั เลือกผ๎นู าเพือ่ จะสามารถนาการผลิตและจัดการผลผลติ อยาํ งดตี อํ ไป
1.8 การพฒั นาชุมชนชนบท (Rural Community Development) การสง่ เสรมิ การเกษตรเป็นการพฒั นาเกษตรเพ่อื พฒั นาผลผลิตในชนบท ดังน้ัน ย่อมจะต้องดาเนินการ พัฒนาความเปน็ อยแู่ ละสถานภาพในชมุ ชน ใหอ้ ยู่ในสภาพทดี่ ี และสามารถสรา้ งสภาวะ แวดล้อมให้เป็นทนี่ า่ อย่แู ละปลอดภยั ในชวี ติ ทรัพยส์ นิ ด้วย ยังผลตอ่ คณุ ภาพชวี ิตของคนใน ชนบทดว้ ย สรปุ ไดว้ า่ การสง่ เสรมิ การเกษตรนนั้ มีภารกิจและความรับผดิ ชอบนอกเหนอื จากการผลติ ผลผลิตทางการเกษตร โดยจาเป็นตอ้ งดาเนินการในสว่ นทสี่ ัมพันธ์กบั การผลติ ชีวิต และ ครัวเรือนเกษตรกรในชุมชนในชนบท เพื่อเป้าหมายสาคัญคือการมชี วี ิตท่ดี ีนนั่ เอง
2. วิธีการสง่ เสรมิ การเกษตร http://www.thaikasetsart.com/การส่งเสรมิ การเกษตร การท่นี ักสงํ เสริมการเกษตรจะชํวยให๎บุคคลเปาู หมายยอมรับความร๎ใู หมหํ รือวทิ ยาการใหมํ ๆ จาเปน็ อยาํ งยงิ่ ที่จะตอ๎ งพิจารณาเลอื กใชว๎ ธิ กี ารสงํ เสริมหรอื วิธีการถํายทอดความรู๎ไปสํูบคุ คล เปาู หมายอยํางเหมาะสม กรมสงํ เสรมิ การเกษตรไดแ๎ บงํ วิธกี ารสงํ เสรมิ ออกเปน็ 3 ลกั ษณะด้วยกัน ดงั นี้ 2.1 วิธีการส่งเสริมรายบคุ คล (Individual Methods) 2.2 วธิ กี ารส่งเสรมิ แบบกลุ่ม (Group Methods) 2.3 วิธกี ารส่งเสรมิ มวลชน (Mass Methods) 2.1 วธิ ีการส่งเสรมิ รายบคุ คล (Individual Methods) เปน็ การสงํ เสริมบคุ คลเปาู หมายในคร้ังหนง่ึ เพยี งคนเดยี ว เป็นวิธกี ารสงํ เสรมิ ท่ีชํวยให๎บุคคล เปูาหมายยอมรับไดม๎ าก และจะไดร๎ ับประโยชนม์ ากหากบคุ คลเปูาหมายเปน็ ผ๎นู าท๎องถิ่น ประธาน กลํุมตาํ งๆ การสํงเสริมรายบุคคล อาจใชว๎ ิธีการดงั ตํอไปน้ี
2.1.1 การเย่ยี มเยือนท่ีบ้านหรอื ไรน่ า (Farm Visits) เป็นการทน่ี ักสงํ เสริมออกไปเยีย่ มเยือนบุคคลเปูาหมายถงึ บ๎าน หรอื ทีไ่ รํนาเกษตรกร Mosher (1978) กลาํ ววํา การเยี่ยมเยอื นทบ่ี า๎ นหรือไรนํ า เปน็ วิธีการสงํ เสรมิ ทไ่ี ด๎ผลมากท่สี ดุ และใชอ๎ ยําง แพรหํ ลายในประเทศทด่ี ๎อยพฒั นา หรอื กาลงั พฒั นา วิธกี ารสํงเสรมิ วธิ นี ้ี มขี ๎อเสยี คอื ตอ๎ งใช๎เวลา มากและลงทนุ สูง และได๎บุคคลเปาู หมายน๎อย 2.1.2 การติดต่อทสี่ านกั งาน (Office Calls) โดยนักสํงเสริมนัดหมายบุคคลเปาู หมายไปติดตํอทสี่ านักงาน เพ่ือใหค๎ าแนะนาหรอื เอกสารเผยแพรตํ าํ ง ๆ การติดตํอแบบน้ีบุคคลเปูาหมายต๎องมคี วามกระตอื รอื รน๎ และมคี วามสนใจ ในการใฝหุ าความรู๎ เพราะบุคคลเปาู หมายตอ๎ งท้งิ กิจกรรมที่ไรนํ าและต๎องเสยี เวลาจากการเดินทาง ไปทส่ี านกั งานดว๎ ยตนเอง
2.1.3 การติดต่อทางจดหมาย (Letters) การเขียนจดหมายตดิ ตอํ กนั เปน็ อีกวธิ ีหนงึ่ ของการสํงเสริมรายบุคคล เกษตรกรอาจ เขยี นจดหมายไปยังนักสงํ เสริมหรือนกั วิชาการเกษตร ณ สานักงาน เพ่ือขอคาแนะนาหรอื ถาม ปญั หาเก่ียวกบั การเกษตร อาจเป็นด๎านการปลูกพชื การเล้ยี งสัตว์ การประมง หรือด๎านอ่นื นอกจาก กรมสํงเสรมิ การเกษตรแลว๎ ยังมีหนํวยราชการอีกหลายหนํวยงาน ซึ่งจดั บริการทางด๎านนี้ แตวํ ิธีน้จี ะช๎าไปบ๎างเพราะตอ๎ งผาํ นข้ันตอนการดาเนินงานและการจดั สํง ไมรํ วดเรว็ เหมือน การพบดว๎ ยตนเอง 2.1.4 การติดตอ่ ทางโทรศพั ท์ (Telephone Calls) การใชโ๎ ทรศัพทต์ ดิ ตํอสอบถามปัญหาหรือขอความชํวยเหลอื ตํางๆ นบั วําเปน็ วิธีการท่ี สะดวกรวดเร็ว และใชก๎ ันมากในประเทศทพ่ี ฒั นาแลว๎ แตํสาหรับประเทศเรายังมขี ีดจากัดอยมํู าก ในดา๎ นความสะดวกและการขอตดิ ต้งั และราคาที่ยังสงู อยํู มกี ารใชก๎ ันในเขตเมือง ซง่ึ รวมถึงตาบลที่ พัฒนาแลว๎ เป็นสํวนใหญํ สาหรบั ชนบทท่ีหาํ งไกลในบางตาบลนัน้ โทรศัพทย์ ังเขา๎ ไปไมถํ ึง
2.2 วธิ ีการสง่ เสริมแบบกลุ่ม (Group Methods) วิธีการสํงเสรมิ แบบกลมุํ จะแตกตํางกับการสํงเสริมแบบรายบุคคล เนื่องจากตอ๎ งกระทา กับบคุ คลเปูาหมายตัง้ แตํ 2 คนขึน้ ไป ซึง่ นักสงํ เสรมิ ต๎องใช๎เทคนคิ การสงํ เสริม เพอื่ ทาความเข๎าใจ และถํายทอดความรใู๎ ห๎กบั บคุ คลเปูาหมายเปน็ จานวนมาก เชนํ กลมุํ แมบํ า๎ น ผน๎ู าท๎องถนิ่ กลุํมเยาวชน เปน็ ตน๎ การสํงเสริมแบบกลํุม มีขอ๎ ดคี อื เข๎าถงึ บคุ คลเปูาหมายได๎เปน็ จานวนมาก ประหยัดคาํ ใชจ๎ ํายและเวลา สํวนข๎อเสยี คอื นกั สํงเสรมิ อาจไมํสามารถจงู ใจให๎บุคคลเปูาหมาย ท้งั หมดนาความรูไ๎ ปปฏบิ ตั ิได๎ และไมํสามารถเขา๎ ไปแกไ๎ ขปญั หาของบุคคลเปูาหมายได๎ทกุ คน วิธกี ารสํงเสรมิ การเกษตรแบบกลํุม มีหลายวธิ ี เชนํ 2.2.1 การประชุม (Meeting) เปน็ วธิ ีที่นักสํงเสรมิ ตอ๎ งการแนะแนวทางในการประกอบอาชพี และรับทราบปญั หาของ บคุ คลเปาู หมาย เพอื่ จะหาแนวทางในการแกป๎ ญั หาและติดตามผล สวํ นใหญจํ ะจัดขน้ึ เฉพาะกลํมุ อาชพี เชํน กลมํุ แมํบา๎ น กลุํมผู๎นาหมํบู า๎ น หรอื กลํมุ ผ๎ทู านา เป็นตน๎ ซ่งึ รูปแบบการประชุมอาจจะใช๎ การบรรยาย (Lecture) การอภิปรายกลมํุ (Group Discussion) การอภิปรายเปน็ คณะ (Panel Discussion) หรอื การประชมุ เชงิ ปฏิบัติการ (Workshop) กไ็ ด๎ ขึน้ อยกํู ับวตั ถุประสงคข์ องการ ประชมุ นนั้ ๆ
2.2.2 การสาธิต (Demonstration) เปน็ วธิ ีท่นี กั สงํ เสริมใชใ๎ นการถํายทอดความร๎ูโดยการแสดงให๎แกกํ ลํมุ บุคคลได๎ชมพรอ๎ ม กับบรรยายประกอบ ทาใหบ๎ คุ คลเปาู หมายไดเ๎ ข๎าใจเรื่องทจ่ี ะสํงเสริม ตลอดจนทราบข้นั ตอนตําง ๆ ได๎ ชัดเจนยง่ิ ขน้ึ การสาธติ อาจแบํงไดเ๎ ป็น 2 วธิ ี คือ การสาธติ วิธี (Methods Demonstration) เพือ่ สอน วิธีการหรอื ทักษะในการปฏบิ ตั ิงานอยาํ งใดอยาํ งหนงึ่ เป็นขั้นๆ ไป ตามลาดับ และการสาธติ ผล (Result Demonstration) เพ่อื เป็นการพิสจู น์โดยการแสดงใหเ๎ หน็ จรงิ หรอื เห็นผลวาํ วิธกี ารทไี่ ด๎ แนะนาไป สามารถกระทาไดใ๎ นท๎องถนิ่ หรือเหน็ ผลท่ีดกี วําเทคนคิ เดิม 2.2.3 การจดั ทศั นศกึ ษา (Field Trip) เป็นวธิ ีที่นักสํงเสริมจดั บคุ คลเปาู หมาย อาจจะเปน็ กลํมุ อาชพี ไปดกู ิจกรรมหรือเหตุการณ์ที่ มอี ยํจู ริง ทีอ่ ยูตํ ํางสถานท่ี เพื่อใหบ๎ ุคคลเปาู หมายไดเ๎ กิดความรูแ๎ ละนามาประยกุ ตใ์ ชใ๎ นไรนํ าของตนเอง เชํน การนาเกษตรกรแกนนาผู๎ปลกู ขา๎ ว ตาบลศรถี ๎อย อาเภอแมํใจ จังหวัดพะเยา ไปดูงานการใช๎ปุย๋ ชวี ภาพในไรํนาของเกษตรกรตวั อยํางทอ่ี าเภอสนั ปาุ ตอง จังหวัดเชียงใหมํ เป็นตน๎ ขอ๎ ดีของการสํงเสรมิ วธิ นี ้คี อื บุคคลเปาู หมายสามารถเหน็ ในสภาพความเป็นจรงิ ซง่ึ จะเป็นปจั จัยสาคญั ในการทีท่ าให๎เกดิ การ ยอมรบั นาไปปฏิบตั ิ สวํ นข๎อเสียคอื ตอ๎ งเสียคาํ ใช๎จาํ ยในการเดนิ ทางมาก
2.2.4 การจดั ฝึกอบรมพิเศษ (Special Training Course) การจัดหาหลักสูตรระยะสัน้ เพือ่ ฝึกอบรมเกษตรกร แมบํ ๎าน หรือกลมํุ ทส่ี นใจ เฉพาะเรื่อง เป็นวธิ ีหนึ่งของการสงํ เสริมแบบกลุํม อาจใช๎เวลา 1 วัน หรอื 2 – 3 วนั หวั ขอ๎ ทน่ี ามา พดู หรือบรรยายตอ๎ งเหมาะสม เปน็ ท่สี นใจ ตรงกับความตอ๎ งการของกลมํุ อาจมีการฝกึ ภาคปฏบิ ตั ิ ในเรื่องทไ่ี ด๎แนะนา เพ่ือใหเ๎ กดิ ความเขา๎ ใจและเช่ือมน่ั วําสามารถกระทาได๎ 2.2.5 การทดสอบในทอ้ งถิน่ (Verification Trials) การทดสอบในทอ๎ งถนิ่ เปน็ กระบวนการวจิ ยั ที่ทดลองทาสิง่ หนึง่ สง่ิ ใดหลายๆ วธิ ใี นไรํ นาของเกษตรกรท๎องถิ่น เพอ่ื จะหาวาํ วธิ ไี หนจะดที ี่สุดหรอื ได๎ผลดที ส่ี ดุ เชํน ทดลองปลูกพืชโดยใช๎ เมล็ดพันธตุ์ ํางกัน การใช๎ปุ๋ยตํางกัน หรือการเลอื กวันหวํานพชื ตํางกนั
2.2.6 การจดั งานวนั เกษตร (Field Days) การจดั งานวันเกษตร โดยปกตอิ าจจดั ในบริเวณไรนํ าของเกษตรกรท่ีประสบความสาเรจ็ ตามคาแนะนาของนกั สํงเสรมิ ที่สถานที ดลองเกษตร หรือบรเิ วณศูนย์ทที่ าการของทางราชการใน ท๎องถิน่ โดยหวงั จะเผยแพรผํ ลแหงํ ความสาเรจ็ ไปยงั บคุ คลอ่ืน การจดั งานวันเกษตรขึ้น ก็เพอื่ เป็นจุดเริม่ ต๎นของการสาธิต เพ่ือตรวจสอบดผู ล ความกา๎ วหนา๎ หรอื เพื่อให๎ประชาชนสังเกตการสาธิตผล (Result Demonstration) เรามักจดั งานวัน เกษตรสาหรับกลมํุ เปูาหมายไมํใหญํโตนัก ทัง้ น้เี พ่ือให๎มีเวลาสาหรับการอภิปราย ซกั ถาม และชมกจิ การ ด๎านเกษตรของฟารม์ หรือสถานที ดลองโดยท่ัวถึง
2.3 วิธีการสง่ เสริมมวลชน (Mass Methods) วธิ กี ารสํงเสริมแบบน้ี เปน็ วธิ ีที่นักสํงเสริมสามารถเผยแพรขํ ๎อมลู ขาํ วสารไปสูบํ คุ คลเปาู หมาย ไดค๎ รั้งละมากๆ โดยไมํจากดั จานวนและไมจํ าเพาะเจาะจงวาํ เปน็ บคุ คลใด สามารถแยกวิธกี ารสํงเสริม มวลชนโดยผาํ นสื่อตาํ งๆ ได๎ดงั น้ี 2.3.1 ส่งิ พิมพ์ (Publications) ซ่งึ สามารถแยกออกเป็น - หนงั สือพมิ พ์ (Newspaper), บทความในหนังสือพิมพ์ - แผํนปลวิ หรอื ใบปลวิ (Leaflets) - เอกสารเผยแพรํแบบเลํม (Pamphlets), โบรชวั ร์ (Brochure) หรอื บุ๏คเล็ท (Booklet) - หนังสือเวยี น จดหมายเวียน (Circular Letters) - หนังสือพมิ พต์ ดิ ผนงั (Wall Newspapers) 2.3.2 นทิ รรศการ (Exhibits) นทิ รรศการ หมายถงึ การจดั แสดงสิ่งของ อาจจะเป็นของจริง ของจาลอง เชนํ วัสดุ อปุ กรณต์ ําง ๆ สตั ว์ พืช ฯลฯ หรอื แสดงแนวความคิด ความเห็น มคี วามมงํุ หมายทจ่ี ะสรา๎ งความสนใจ ให๎ความรู๎ ความเขา๎ ใจ อาจเป็นการประชาสมั พันธก์ จิ กรรมของหนวํ ยงานหรือโฆษณาขายสนิ ค๎าอยาํ งใด อยํางหนงึ่
2.3.3 วทิ ยกุ ระจายเสียง (Radio Programs) วิทยกุ ระจายเสียงทาหนา๎ ทีค่ อื เป็นแหลํงเผยแพรขํ าํ วสารและเปน็ เครอ่ื งกระตุ๎นความสนใจให๎ เกิดความเปลย่ี นแปลง การจัดทารายการวิทยุกระจายเสียงทน่ี ยิ มกนั ไดแ๎ กํ จัดทาขําวท่ใี ห๎ความรท๎ู างดา๎ น เกษตร ในปจั จุบนั มักจดั ทารายการใหค๎ วามรท๎ู างดา๎ นการเกษตรกับเปดิ เพลงลูกทุํง ซง่ึ ไดร๎ ับความนยิ มอยาํ ง สูงจากบคุ คลเปาู หมาย ขอ๎ เสยี ของการใชว๎ ิทยกุ ระจายเสียงคอื ผ๎ูฟงั ไมสํ ามารถซกั ถามปญั หาได๎ในขณะนนั้ ข๎อควรระวังในการใชส๎ ื่อประเภทนคี้ อื หากมกี ารสมั ภาษณส์ ดและถํายทอดความรู๎ ผ๎ูที่ทาหนา๎ ทถี่ าํ ยทอด ความรู๎ต๎องมขี อ๎ มลู ท่ีถกู ต๎อง เพราะหากให๎ความรทู๎ ไ่ี มถํ ูกต๎องแกํบุคคลเปูาหมาย อาจทาให๎บุคคลเปาู หมาย จดจาส่ิงทผ่ี ิด ๆ ไปปฏบิ ตั ิได๎ จะทาให๎เกดิ ผลเสยี หายในการสงํ เสริมการเกษตรเป็นอยาํ งมาก 2.3.4 รายการโทรทศั น์ (Television Programs) การจัดทารายการโทรทัศน์ คลา๎ ยกบั วิทยุกระจายเสยี ง เพียงแตํเพิม่ สํวนรบั รูใ๎ นการมองเห็น เข๎าไปดว๎ ย ทาใหเ๎ กิดความเขา๎ ใจมากขึ้น 2.3.5 ภาพยนตร์ (Films) มใี ชก๎ นั แพรหํ ลายในอดตี สํวนปัจจบุ ันมักนิยมใช๎เทปโทรทศั น์หรือวดี ีทศั น์ (Video Tape) เน่อื งจากการผลิตภาพยนตรต์ ๎องใชต๎ ๎นทุนสูง
2.3.6 การประกวด (Contest) การประกวดหรือการแขงํ ขันในดา๎ นใดด๎านหนึ่ง เป็นกจิ กรรมท่สี ร๎างความสนใจและความ ต่ืนเตน๎ ให๎กับผ๎ูมารํวมงานตลอดทั้งผูช๎ มดว๎ ย สวํ นใหญจํ ะเกิดขน้ึ ในการจัดนทิ รรศการทเี่ ก่ียวข๎องกบั การเกษตร เชํน การประกวดพืช ประกวดสัตว์ หรือการประกวดแขงํ ขันอน่ื ๆ เปน็ วธิ ีการสํงเสริมและ เผยแพรคํ วามรูท๎ นี่ ิยมใชก๎ นั มากในปจั จบุ นั 2.3.7 การรณรงค์ (Campaigns) การรณรงค์ เปน็ การประสานการใช๎วธิ กี ารสงํ เสริมหลายๆ อยํางรวมกนั ตามแผนและ กาหนดการทีว่ างไว๎ มีความมํงุ หมายท่จี ะดึงความสนใจของเกษตรกรหรือประชาชนมายงั ปัญหาใด ปัญหาหนงึ่ โดยเฉพาะที่กระทบคนหมมํู าก และวธิ ที ี่จะแก๎ปญั หาโดยปกติจะมีการวางแผนการรณรงค์ และการสัง่ การจากระดับชาติ ระดับภาค หรือจงั หวดั วธิ กี ารรณรงค์จะถกู นามาใช๎เมอ่ื มปี ัญหาสาคญั เกดิ ขึ้นกบั ประชาชนสํวนมากและเปน็ ปัญหาทส่ี ามารถแกไ๎ ขได๎ โดยทีเ่ กษตรกรไมตํ ๎องไปคดิ ปรบั แก๎กัน ตามลาพัง ดว๎ ยวิธีการท่ีต๎องลงทนุ ลงแรงมาก การรณรงคต์ อ๎ งอาศัยคนจานวนมาก เนื่องจาก วตั ถุประสงคข์ องการรณรงค์มเี ฉพาะงานชั่วระยะเวลาหนึง่ เทาํ น้นั ตวั อยํางการรณรงค์ดา๎ นสํงเสริม การเกษตร ได๎แกํ การรณรงคก์ ารปราบตกั๊ แตนปาทงั ก๎า การปราบหนนู าท่ีระบาดอยาํ งชกุ ชมุ การสํงเสริมการใชป๎ ุย๋ การปลูกปุา เปน็ ตน๎
การสํงเสริมแตลํ ะวธิ ีจะทาใหเ๎ กษตรกรยอมรบั ในขนั้ ทแี่ ตกตํางกนั กลาํ วคอื ถ๎าใช๎วิธีสํงเสริมแบบมวลชน จะทาให๎ เกษตรกรยอมรบั ในขน้ั ต่นื ตนและสนใจ แตถํ า๎ ใช๎วิธีสํงเสริมแบบรายบคุ คลน้ัน สามารถทาใหเ๎ กษตรกรยอมรบั ถึงข้นั การ ยอมรับหรอื นาไปใช๎ในการปฏบิ ัติ วิธีการส่งเสรมิ มวลชน มํงุ ทีจ่ ะเผยแพรํสร๎างการรับรู๎ (Awareness) ความสนใจ (Interest) ในเรือ่ งใหมํ ๆ แนวความคิดใหมๆํ ใหบ๎ คุ คลเปูาหมายรว๎ู ําเรือ่ งนเ้ี กิดข้ึนแลว๎ หากสนใจก็จะหารายละเอยี ดตอํ ไป วิธกี ารส่งเสรมิ แบบกลุ่ม จะชํวยบุคคลเปูาหมายให๎ได๎รายละเอยี ดในเรอื่ งท่เี ขาสนใจมากขึ้น และนาไปสูํ การ ไตรํตรอง (Evaluation) วําจะลองทาดู (Trial) หรือไมํ หากทดลองทา กเ็ ป็นการพสิ ูจนด์ ๎วยตนเองวําผลจะออกมาดหี รือไมดํ อี ยํางไร วธิ กี ารสง่ เสรมิ รายบคุ คล มุงํ สํงเสริม ชวํ ยเหลือ แนะนาเฉพาะบคุ คลแตํละรายในด๎านเทคนคิ และรายละเอยี ด เฉพาะอยําง เมื่อเกษตรกรตดั สนิ ใจรบั วิธีการใหมๆํ ไปปฏิบตั ิ (Adoption) นักสํงเสรมิ กต็ อ๎ งชวํ ยเหลอื ติดตามแนะนา เพอื่ ให๎ งานเปน็ ไปอยํางถกู วธิ ีและแก๎ปัญหาตาํ งๆ ท่ีอาจเกิดขึ้น ท้ังนี้เพอ่ื ให๎เขาบรรลุผลสาเรจ็ และเกิดความพอใจเมือ่ งานสาเร็จ ตามที่คาดหวงั
ทกุ วธิ กี ารของการสํงเสริม ไมมํ วี ธิ กี ารใดท่ดี ที ี่สุด การสํงเสริมทป่ี ระสบผลสาเร็จ มีปัจจยั และองค์ประกอบหลาย อยาํ งด๎วยกนั ซง่ึ ปจั จยั และองค์ประกอบเหลําน้นั อาจข้นึ อยกํู บั ตวั เกษตรกรหรือกลมุํ เปูาหมาย หรืออาจข้ึนอยํูกบั นักสงํ เสรมิ หรืออาจจะเป็นสือ่ ในการถาํ ยทอดความรไ๎ู ปยังกลมํุ เปูาหมายก็ได๎ ดังนน้ั จึงจาเป็นอยาํ งย่ิงที่นักสงํ เสรมิ จะต๎องเตรียมพร๎อมใน เรอ่ื งขอ๎ มูลตํางๆ เกี่ยวกับบุคคลเปูาหมาย เตรยี มพร๎อมในการเลอื กวธิ ใี นการสงํ เสริม ตลอดจนเตรียมความพร๎อมเกีย่ วกบั ตัว ของนักสํงเสรมิ เองในการทาหนา๎ ท่เี ปน็ ผู๎นาการเปลยี่ นแปลง (Change Agent) อยํางดที ส่ี ุด กอํ นลงมือปฏิบัติงาน หมายเหตุ การสงํ เสริมเกษตรโดยวธิ ีใด ๆ กต็ ามดังกลาํ วมาแลว๎ ขา๎ งตน๎ นี้ ยังมผี ลทางอ๎อมทจ่ี ะทาให๎เกษตรกรขา๎ งเคียงไดร๎ บั ประโยชน์ไปด๎วย กลําวคือ เกษตรกรขา๎ งเคียงอาจจะยอมรับ ปฏบิ ตั วิ ทิ ยาการแผนใหมํดว๎ ยทงั้ ๆ ที่ตวั เองไมํได๎รบั ฟังจากปาก ของนกั สงํ เสรมิ โดยตรง แตํทวําเขาเหลาํ น้ันไดส๎ นทนากับเพ่ือนเกษตรกรดว๎ ยกนั นกั สํงเสรมิ การเกษตร จงึ ต๎องเลือกใช๎วธิ ีการ สํงเสริมใหเ๎ หมาะสมกบั เนอื้ เร่ือง เวลา สถานที่ อุปกรณ์ กลมํุ เปาู หมาย โดยถอื หลักงําย ๆ วาํ ถา๎ คนฟงั มมี าก แตํมเี วลานอ๎ ย เรอ่ื งท่จี ะพูดกย็ าว จงใช๎วธิ ีการบรรยาย แตํถา๎ คนฟังมีน๎อย และมเี วลามาก ควรใช๎การสงํ เสรมิ แบบกลมุํ เชํน ประชุม อภิปราย สาธิต ปฏบิ ตั ิ ฝึกในไรํ ฯลฯ ในการทีน่ กั สงํ เสริมจะเลอื กใชว๎ ิธหี นึ่งวิธใี ด ให๎นกึ ถึงหลักความจริงเกี่ยวกบั การจาของ มนษุ ย์วํา การอาํ น เพียงครั้งเดียว มนุษยจ์ ะจาได๎ 10% การฟงั เพียงคร้ังเดียว มนุษย์จะจาได๎ 20% การเหน็ เพยี งครง้ั เดยี ว มนษุ ยจ์ ะจาได๎ 30% การฟงั และเห็นคํูกนั มนษุ ยจ์ ะจาได๎ 60%
3. หลกั เกณฑ์ในการเลือกใช้วิธีการส่งเสริม http://www.thaikasetsart.com/การส่งเสริมการเกษตร การสํงเสรมิ และพัฒนางานด๎านการเกษตรใหป๎ ระสบความสาเร็จ นกั สํงเสรมิ ตอ๎ งเลือกใช๎วธิ ี การสงํ เสรมิ ใหเ๎ หมาะสมตามสถานการณ์ โดยพิจารณาได๎จาก 3.1 นโยบายท่ัว ๆ ไปของราชการ 3.2 กลมุ่ เป้าหมาย 3.3 เนือ้ หาของเรอ่ื งทจ่ี ะส่งเสรมิ 3.4 วธิ ีการสอน
3.1 นโยบายทัว่ ๆ ไปของราชการ เชนํ ความจาเป็นรบี ดวํ นของเรื่องที่จะสํงเสริม ปญั หาของ เกษตรกร จานวนของเกษตรกร จานวนของเจ๎าหน๎าท่ี เครอื่ งอานวยความสะดวกตําง ๆ เชนํ ในระหวาํ ง เดอื นมนี าคม เปน็ ระยะท่หี นอู อกทาลายข๎าวในนาอยาํ งหนัก การสํงเสริมแนะนาเรอ่ื งการปราบหนูนา อาจจะขอให๎ระดมกาลงั กันทาอยํางรวดเรว็ โดยใชก๎ ารประชุม สาธิต การแถลงขําวทางน.ส.พ. วิทยุ โทรทศั น์ ตลอดจนการใชโ๎ สตอุปกรณ์ชวํ ยด๎วย 3.2 กล่มุ เปา้ หมาย เช่น 3.2.1 แมบํ ๎านท่ีมีลกู มาก งานยงุํ ยํอมจะไมํมีเวลาไปนงั่ ประชมุ ดงั นนั้ จงึ ควรใชจ๎ ดหมาย เวียน เอกสารสง่ิ พมิ พ์ วิทยุโทรทศั นต์ าํ ง ๆ 3.2.2 ชนกลมํุ นอ๎ ย เชํน ชาวเขาเผําตําง ๆ ตลอดจนชาวไทยมสุ ลิม ทม่ี วี ัฒนธรรมแตกตาํ ง ออกไปอาจต๎องใชภ๎ าษาและผน๎ู าของเขาเอง 3.2.3 เกษตรกรทีม่ กี ารศกึ ษาตา่ ยากจนและอยูํในท่ีทุรกันดาร ควรใช๎วธิ ีการไปเยีย่ มเยยี น การใหด๎ ผู ลสาธิต และการใชเ๎ อกสารสงิ่ พิมพท์ ี่งําย ๆ 3.2.4 วทิ ยุ โทรทัศน์ น.ส.พ.และการจัดนทิ รรศการ เหมาะสาหรับเกษตรกรที่ทาเปน็ งาน อดเิ รก และผ๎ูท่อี ยูใํ กล๎ ๆ หรอื ผูท๎ ีอ่ ยํูในเมือง 3.2.5 คนที่มกี ารศึกษาดีและรักก๎าวหน๎า ควรใชว๎ ธิ ีการประชมุ อภิปราย การสาธิตวิธีทา และเอกสารตาํ ง ๆ
3.3 เนอ้ื หาของเรือ่ งท่จี ะสง่ เสรมิ เชน่ 3.3.1 ถ๎าวิธีใหมทํ ่กี าลงั สงํ เสริมเป็นวธิ ีท่งี าํ ยหรอื คล๎ายๆ กับวธิ เี กาํ ควรใชน๎ .ส.พ. วิทยุ จดหมายเวียน แตํถ๎าเป็นเรอ่ื งยากซบั ซ๎อน ควรใชก๎ ารติดตอํ เป็นรายบคุ คลหรอื เอกสารสงิ่ พมิ พ์ 3.3.2 ถา๎ เร่อื งนั้นเป็นของใหมํ และเพ่งิ เริม่ ทาการสงํ เสริมเป็นครง้ั แรก ควรแนะนาสํงเสริม โดยใชก๎ ารสาธติ วิธี การเยี่ยมเยียนทบี่ ๎านเกษตรกร และการให๎ดผู ลสาธติ 3.3.3 ถา๎ เนอ้ื เรือ่ งนน้ั ต๎องการใหเ๎ กิดทกั ษะในตวั ผ๎ูชม กค็ วรใช๎การสาธิตวธิ ี และการแสดงทาง โทรทศั น์ 3.4 วิธกี ารสอน 3.4.1 การท่นี กั สํงเสริมไปเยย่ี มบ๎านของเกษตรกร จะสรา๎ งความสมั พันธอ์ ยํางดีเยี่ยมทาให๎ เจา๎ หน๎าท่ีร๎ูปญั หาของเกษตรกร ควรใช๎กับเกษตรกรท่ีหัวดอ้ื หรอื ไมํคอํ ยสนใจตํอของใหมํ ๆ 3.4.2 เม่ือเกษตรกรไปเยย่ี มเจา๎ หน๎าท่ี จะประหยัดเงนิ ของทางราชการ แตเํ รือ่ งนต้ี ๎องกระตน๎ุ ใหเ๎ ขาปฏิบตั ิ เพราะปกติเกษตรกรจะไมํคอํ ยไปหาเจ๎าหนา๎ ที่ 3.4.3 การตดิ ตอํ ทางโทรศัพท์ สะดวกดีใหป๎ ระโยชน์เหมือนการเยี่ยมเยยี น แตํทวําใชก๎ นั น๎อย เพราะเกษตรกรไมํมโี ทรศพั ท์ 3.4.4 การตดิ ตํอทางจดหมายอาจใช๎ได๎ ถ๎าผู๎รับผส๎ู ํงเป็นคนขยันเขยี น 3.4.5 การสาธิตวธิ ี มีประโยชนท์ สี่ ดุ ในการสอนทกั ษะภาคปฏิบัติ
3.4.6 การสาธติ ผล มปี ระโยชน์ในการนาเสนอผลสาเร็จให๎เกษตรกรเชื่อถอื แตทํ วาํ ลงทนุ แพงมาก 3.4.7 การประชุมตาํ งๆ ชวํ ยในการกระจายขําวโดยการบรรยายและอภิปราย สมาชกิ ไดเ๎ รียน พรอ๎ ม ๆ กนั และลดต๎นทุนของการไปเย่ียมเป็นรายตวั 3.4.8 โสตอุปกรณ์ ชวํ ยในการจา เสรมิ สรา๎ งความเขา๎ ใจ ดึงดดู ผ๎ฟู ัง และทาใหก๎ ารเสนอเร่อื ง เปน็ ขั้นตอนดี 3.49 เอกสารสงิ่ พิมพ์ ปาู ยประกาศตําง ๆ ชวํ ยแสดงตวั เลขข๎อมูลตาํ ง ๆ เพ่ือการอ๎างองิ เหมาะท่ีจะใช๎เสรมิ พวกภาพยนตร์ สไลด์ วิทยแุ ละโทรทศั น์ 3.4.10 บทความในหนงั สือพิมพ์ดเี พราะถงึ ชนกลุมํ ใหญํ ลงทนุ ไมํแพง 3.4.11 จดหมายเวียน ชํวยในการสงํ ขาํ วเฉพาะเร่ืองไปยงั เกษตรกรเฉพาะคน 3.4.12 วิทยุ เปน็ วิธสี ํงเสริมที่รวดเร็วท่ีสุด ใชเ๎ พ่ือการประกาศขําวสารสาหรับชนหมํมู าก และ ใช๎ในการออกคาสงั่ คาเตือน ขาํ วโรคระบาด อทุ กภัย วาตภยั ตําง ๆ 3.4.13 โทรทศั น์ ทาใหผ๎ ๎ูชมได๎เหน็ ไอ๎ฟังสิ่งของท่จี ะแสดง เหมาะสมกบั ชาวเมอื ง แตอํ าจไมํถึง คนในชนบทไกล ๆ 3.4.14 งานนทิ รรศการและงานออกรา๎ น ชวํ ยในการเผยแพรโํ ฆษณา มากกวําท่จี ะสอน วทิ ยาการแผนใหมํแกํผ๎ชู ม
จากผลการศึกษาเรื่องประสทิ ธิภาพของวธิ ีการส่งเสรมิ พบว่า การสาธติ วิธี เปน็ วธิ ที ี่ดที ่สี ดุ
Search