ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม โดย อาจารย์ปัญญา ภูข่ วัญ ครู ชานาญการพเิ ศษ คณุ วฒุ กิ ารศกึ ษา กษ.ม. (ส่งเสริมการเกษตร) สส.บ. (สง่ เสริมการเกษตร) ศษ.บ. (การศึกษานอกระบบโรงเรียน)
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจติ วทิ ยาและประโยชนข์ องจิตวิทยาการเรยี นรู้ 1.1ความหมายของจิตวทิ ยา 1) จิตวทิ ยา -จอหน์ บี วัตสัน จิตวิทยาเปน็ สาขาหนง่ึ ของวทิ ยาศาสตร์ ธรรมชาติทม่ี ่งุ ศึกษาเฉพาะธรรมชาตขิ องพฤตกิ รรมของมนุษย์ คลอบคลุมถงึ การลงมือกระทากจิ และการพูดจา เปน็ พฤตกิ รรมตง้ั แต่เกดิ และพฤตกิ รรมทเ่ี กิด จากการเรยี นรู้
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจติ วิทยาและประโยชนข์ องจติ วทิ ยาการเรียนรู้ 1.1ความหมายของจติ วิทยา -เคนเนช คลาค และยอรช์ มลิ เลอร์ จิตวิทยาเป็นการศึกษาเชงิ วทิ ยาศาสตร์ในเรอื่ งพฤตกิ รรม รวมไปถึงขบวนการพฤติกรรมท่สี ังเกตได้งา่ ย เช่น ท่าทาง คาพดู การเปลย่ี นแปลงทางสรรี ภาพและขบวนพฤตกิ รรมทสี่ ังเกต ยาก ต้องศกึ ษาโดยวิธีอนมุ าน เชน่ ความคดิ และความฝัน
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจิตวทิ ยาและประโยชน์ของจิตวิทยาการเรียนรู้ 1.1 ความหมายของจิตวทิ ยา - เดโช สวนานนท์ คือวิทยาศาสตรแ์ ขนงหนึง่ ทศ่ี ึกษาเร่อื งราว พฤติกรรมของมนษุ ยห์ มายถึงกระบวนการของจติ ใจหรอื ศกึ ษาถงึ กระบวนการ ตัวตนหรอื การกระทากไ็ ด้ สรปุ จิตวิทยา หมายถึงวทิ ยาศาสตรแ์ ขนงหนึ่งท่ศี กึ ษาพฤติกรรมของมนษุ ย์
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจิตวทิ ยาและประโยชนข์ องจติ วทิ ยาการเรยี นรู้ 1.1 ความหมายของจติ วทิ ยา สรุป (Psychology of learning) หมายถึงจิตวิทยาทีใ่ ชใ้ นการ ถ่ายทอดความรู้ โดยการเรียนรจู้ ะเกดิ ขึ้นได้นนั้ ต้องเกิดจากพฤติกรรมท่ี เปลี่ยนแปลงไปอยา่ งถาวรหรือเกิดจากการฝึกฝน ซ่ึงกระบวนการ เรยี นรู้จะเกดิ ไดจ้ ากขั้นตอนหลัก 4 ขัน้ ตอนคือ ต้งั ใจจะรู้ กาหนดวธิ ี ปฏบิ ัตเิ พ่ือให้รู้ ลงมอื ปฏบิ ัติ และไดร้ ับผลประจกั ษ์
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจิตวิทยาและประโยชนข์ องจิตวิทยาการเรยี นรู้ 1.1 ความหมายของจติ วิทยา 2) การเรียนรู้ -พจนานุกรมการศกึ ษา การเรียนร้คู อื การเปลี่ยนแปลงอาการ ตอบสนอง หรือพฤตกิ รรมแต่เพียงบางส่วนหรอื ทง้ั หมดอันเป็นผลมาจาก ประสบการณ์ - สารานกุ รมอเมริกานา คอื การที่มนษุ ยแ์ ละสตั วส์ ามารถ ปรับตวั ใหเ้ ข้ากับสถานการณ์ใหมๆ่ ของสง่ิ แวดลอ้ มและมกี ารแสดงออกในแนว ใหมซ่ ึ่งไม่ไดเ้ กิดจากสญั ชาตญาณ
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจติ วทิ ยาและประโยชนข์ องจติ วิทยาการเรียนรู้ 1.1 ความหมายของจิตวทิ ยา 2) การเรียนรู้ - เบอร์ตัน สรุปความหมายของการเรยี นรู้ เกยี่ วกบั การเรียน การสอนทด่ี ี การเรยี นรูเ้ ปน็ การเปลย่ี นแปลงของบุคคลอนั เนอื่ งมาจากการมี ปฏสิ ัมพนั ธร์ ะหวา่ งตัวบคุ คลกับส่ิงแวดลอ้ มซึง่ เป็นการตอบสนองตอ่ ความ ต้องการและทาให้บคุ คลสามารถปรับเปลย่ี นพฤติกรรม
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจิตวิทยาและประโยชนข์ องจติ วิทยาการเรียนรู้ 1.1 ความหมายของจติ วิทยา 2) การเรยี นรู้ - สมบรู ณ์ ศาลยาชวี ิน การเรียนรู้เป็นขบวนการเปลีย่ นแปลง พฤตกิ รรมอนั เกดิ จากการฝกึ หดั หรอื ประสบการณข์ องแตล่ ะบคุ คล หรือการ เปล่ยี นแปลงทีเ่ กดิ จากการทผ่ี เู้ รียนปรบั ตนเองเพ่อื ตอบสนองส่ิงเลา้ เพื่อให้บรรลุ ถึงเปา้ หมายในขบวนการปรับเปลย่ี นนค้ี ลอบคลมุ ถึงระบบการทางานของ รา่ งกาย รวมทั้งดา้ นอารมณ์ ทัศนคติ การปรบั ตัวด้านสงั คม
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจิตวทิ ยาและประโยชนข์ องจิตวทิ ยาการเรยี นรู้ 1.1 ความหมายของจิตวทิ ยา 2) การเรียนรู้ สรปุ การเรียนรู้หมายถึง การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมของบคุ คลอันมผี ลสืบ เน่อื งมาจากไดร้ บั ประสบการณ์ หรือการฝึกฝน และการเปลยี่ นแปลงนั้นเปน็ เหตุ ให้บคุ คลปรบั ตัวเผชิญกับสถานการณ์ใหม่ไดด้ ขี ้ึน
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 1.ความหมายของจิตวทิ ยาและประโยชนข์ องจิตวิทยาการเรียนรู้ 1.2 ประโยชน์ของจิตวิทยาการเรียนรู้ 1) ช่วยใหเ้ ขา้ ใจตนเอง 2) ช่วยให้เขา้ ใจผู้อ่ืน 3) ชว่ ยใหก้ ารทางานและการอยรู่ ว่ มกันของบคุ คลราบรนื่ ยง่ิ ขึ้น 4) ชว่ ยให้ผสู้ อนสามารถจัดกจิ กรรมและสิง่ แวดล้อมในการ เรยี นการสอนได้เหมาะสมและสง่ เสริมการเรียนรู้
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 2. ปัจจยั ทม่ี ผี ลตอ่ การเรียนรู้ 2.1 อายขุ องผ้เู รยี น 2.2 สุขภาพ 2.3 อารมณ์ 2.4 ประสบการณ์ 2.5 ความพรอ้ ม 2.6 ความตอ้ งการ
ทฤษฎกี ารเรยี นรแู ้ ละการฝึ กอบรม 2. ปจั จัยทมี่ ีผลตอ่ การเรียนรู้ 2.7 แรงจูงใจ 2.8 การเสริมแรง 2.9 ความแตกต่างของการรบั รู้
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ทางด้านจติ วิทยามี 3 กลมุ่ 1. กลุ่มทฤษฎีการเรยี นรู้พฤตกิ รรมนยิ ม นักจิตวิทยาท่อี ยูใ่ นกลุ่มนี้ คอื 1.1 อีวาน พาฟลอฟ (Ivan Pavlov, 1849-1936) นักสรีรวิทยา ชาวรัสเซยี ทฤษฎีการเรียนรกู้ ารวางเงอ่ื นไขแบบคลาสสกิ (Classical Conditioning Theory) หรอื แบบสิง่ เร้า 1.2 จอห์น บี วัตสัน (John B Watson คศ.1878 -1958) ทฤษฎีการเรยี นรู้การวางเง่อื นไขแบบคลาสสคิ ท่เี กดิ ข้ึนกบั มนษุ ย์
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรียนรูท้ างดา้ นจติ วิทยามี 3 กลมุ่ 1. กลุม่ ทฤษฎกี ารเรยี นร้พู ฤติกรรมนิยม นกั จิตวิทยาทอี่ ยูใ่ นกลุ่มนี้ คอื 1.3 เบอร์รัส สกินเนอร์ (Burrhus Skinner) ทฤษฎกี ารเรียนรู้ การวางเง่ือนไขแบบการกระทา (Operant Conditioning theory) 1.4 เพยี เจท์ (Jean Piaget) การจดั การเรยี นรู้ทีค่ รเู ปน็ ผู้ให้ ขอ้ มลู และนักเรียนเปน็ ผรู้ ับขอ้ มูล ครยู งิ่ ใหข้ อ้ มูลมากเท่าไร นักเรียนก็ยิง่ รับ ขอ้ มูลไดม้ ากเท่านั้น
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ างด้านจติ วิทยามี 3 กลุ่ม 1. กลุ่มทฤษฎกี ารเรียนรู้พฤติกรรมนิยม นักจิตวทิ ยาที่อยู่ในกลมุ่ น้ี คอื 1.5 กาเย่ (Gagne) ทฤษฎีการเรียนรู้ 8 ขนั้ (1) การจงู ใจ ( Motivation Phase) การคาดหวงั ของผู้เรียนเป็นแรงจูงใจ ในการเรยี นรู้ (2) การรบั รตู้ ามเปา้ หมายทต่ี ั้งไว้ (Apprehending Phase) ผู้เรยี นจะรบั รู้ สิ่งท่สี อดคลอ้ งกบั ความต้ังใจ
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎีการเรียนรทู้ างดา้ นจติ วทิ ยามี 3 กลุ่ม 1. กลุ่มทฤษฎกี ารเรยี นรูพ้ ฤตกิ รรมนิยม นักจิตวทิ ยาทอ่ี ยูใ่ นกลมุ่ นี้ คอื 1.5 กาเย่ (Gagne) ทฤษฎกี ารเรียนรู้ 8 ข้นั (3) การปรงุ แตง่ สิง่ ที่รบั รไู้ วเ้ ป็นความจา (Acquisition Phase) เพือ่ ใหเ้ กิด ความจาระยะสนั้ และระยะยาว (4) ความสามารถในการจา (Retention Phase) (5) ความสามารถในการระลึกถงึ สิ่งทไ่ี ดเ้ รยี นรู้ไปแล้ว (Recall Phase) (6) การนาไปประยุกต์ใช้กบั สงิ่ ทเี่ รียนรู้ไปแลว้ (Generalization Phase) (7) การแสดงออกพฤตกิ รรมทเ่ี รยี นรู้ (Performance Phase)
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรยี นรทู้ างด้านจิตวทิ ยามี 3 กลุ่ม 1. กลุ่มทฤษฎีการเรียนรู้พฤตกิ รรมนยิ ม นักจติ วทิ ยาทีอ่ ยูใ่ นกลมุ่ นี้ คอื 1.5 กาเย่ (Gagne) ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 8 ขนั้ (8) การแสดงผลการเรียนรู้กลบั ไปยังผู้เรยี น (Feedback Phase) ผ้เู รยี นได้รบั ทราบผลเรว็ จะทาใหม้ ผี ลดีและประสิทธิภาพสูง 1.6 ธอรน์ ไดค์ ทฤษฎีการเชื่อมโยง
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎีการเรียนรู้ทางดา้ นจิตวทิ ยามี 3 กลุ่ม 2. ทฤษฎีการเรียนรกู้ ลุ่มปญั ญานิยม นักจติ วทิ ยาทีอ่ ย่ใู น กลมุ่ นี้ คอื 2.1 เดวิค พี ออซุเบล ทฤษฎกี ารเรยี นรอู้ ย่างมี ความหมาย 2.2 Gestalt Psychologist ทฤษฎีการใช้ความ เขา้ ใจ (CognitiveTheory)
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรียนรทู้ างดา้ นจติ วทิ ยามี 3 กลมุ่ 2. ทฤษฎกี ารเรียนรูก้ ลมุ่ ปญั ญานยิ ม นกั จติ วิทยาทอ่ี ยใู่ นกลุ่มน้ี คือ 2.3 โคท์เลอร์ (Kohler, 1925) การเรียนรโู้ ดยการหยัง่ รู้ (Insight Learning) 2.4 Jero Brooner ทฤษฏีการเรยี นรู้แบบค้นพบ 2.5 Piaget ทฤษฎพี ัฒนาการทางสตปิ ัญญา
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางดา้ นจิตวิทยามี 3 กลุ่ม 3. ทฤษฎกี ารเรียนรกู้ ลมุ่ มนุษยนยิ ม นกั จติ วิทยาทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ นี้ คือ 3.1 ศาสตราจารยบ์ ันดูรา แหง่ มหาวทิ ยาลัยสแตนฟอร์ด (Stanford) ประเทศสหรัฐอเมริกา การเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการ เลยี นแบบ (Observational Learning หรือ Modeling)
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางด้านจิตวทิ ยามี 3 กล่มุ 3. ทฤษฎีการเรียนรกู้ ลุ่มมนษุ ยนิยม นักจติ วิทยาที่อยูใ่ นกล่มุ นี้ คือ 3.2 Anthony Grasha กบั Sheryl Riechmann ทฤษฎี การสังเกตจากปฏิสัมพันธ์ระหวา่ งนกั เรียนกับครูผสู้ อน และสังเกตจาก ปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งนักเรียนกับเพ่ือนร่วมหอ้ ง 3.3 เลวิน (Lawin) ทฤษฎีสนาม
ทฤษฎกี ารเรยี นรทู ้ างดา้ นจติ วทิ ยา ทฤษฎกี ารเรียนรู้ทางดา้ นจิตวิทยามี 3 กลมุ่ 3. ทฤษฎกี ารเรียนร้กู ลุ่มมนุษยนิยม นกั จติ วิทยาที่อยูใ่ นกลุ่มนค้ี อื 3.4 Robert Slavin และคณะทฤษฎีการเรียนรู้แบบรว่ มกัน เรยี นรู้ 3.5 David Johnson และคณะทฤษฎีการเรยี นรู้แบบร่วมมือ กันเรยี นรู้ 3.6 Shlomo และ Yael Sharan ทฤษฎีการเรยี นรู้แบบรว่ มมือ กันเรียนรใู้ นงานเฉพาะอยา่ ง
แนวคดิ หลกั การ และทฤษฎกี ารถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร แนวคดิ ของการถา่ ยทอดเทคโนโลยีการเกษตร การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร หมายถงึ การดาเนินการใดๆ เพื่อให้ เทคโนโลยีการเกษตร ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ข่าวสาร ขอ้ มูล แนวคิด ข้อแนะนา ตัวอยา่ งหรอื ขอ้ ปฏบิ ตั ิตา่ งๆไปยังผรู้ บั เป้าหมายปลายทาง คอื เกษตรกร และ ผู้สนใจ ดาเนินการโดยนกั วชิ าการส่งเสริมการเกษตร ดว้ ยวธิ ีการสง่ เสริม การเกษตรเพือ่ ให้เกิดผลหลักๆ 2 ประการ ได้แก่
แนวคดิ หลกั การ และทฤษฎกี ารถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร แนวคดิ ของการถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร ดาเนินการโดยนกั วชิ าการส่งเสรมิ การเกษตร ดว้ ยวิธีการส่งเสรมิ การเกษตรเพือ่ ให้เกดิ ผลหลักๆ 2 ประการ ได้แก่ 1) ตอบสนองความตอ้ งการและความจาเป็นเฉพาะของบุคคลเปา้ หมาย คอื เกษตรกรเป็นส่วนใหญ่ 2) บคุ คลเป้าหมายหลัก ไดแ้ ก่ เกษตรกร เกิดการเรยี นรู้และสามารถนา เทคโนโลยกี ารเกษตร หรอื ความรนู้ ้นั ไปประยุกตใ์ ช้ภายใต้สถานการณ์ของ ตนเองใหเ้ กิดประสทิ ธิภาพสูงสุด
แนวคดิ หลกั การ และทฤษฎกี ารถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร แนวคดิ ของการถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร องค์ประกอบการถา่ ยทอดเทคโนโลยี เทคโนโลยกี ารเกษตร เกษตรกร นักวิชาการสง่ เสรมิ การเกษตร วธิ กี าร
ภาพท่ี 1 : แผนภูมกิ ระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ปัจจัยนาเขา้ กระบวนการเปลี่ยนแปลง ผลผลิต (Input) (Process) (Output) ทรพั ยากรต่างๆ กระบวนการถา่ ยทอด ผลสัมฤทธิ ในการถ่ายทอด (Result = Output +Outcome) วิเคราะห์/สรปุ ความ วัตถุประสงค์ จัดทาหลกั สูตร ประเมินผล เน้อื หาสาระ จดั การถ่ายทอด การดาเนินการ ตดิ ตามประเมินผล
ทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยทอด เทคโนโลยกี ารเกษตร 1. ทฤษฎีการเรยี นรู้ การเรยี นรู้เป็นกระบวนการเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมในลักษณะทค่ี อ่ นขา้ ง ถาวรภายใตส้ ถานการณ์และเงื่อนไขทเี่ หมาะสม อนั เปน็ ผลจากประสบการณท์ ่ี คนเรามปี ฏิสมั พนั ธก์ บั สง่ิ แวดล้อม การเรยี นร้เู กิดขึ้นตลอดต้งั แตเ่ กดิ จนตาย
ทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยทอด เทคโนโลยกี ารเกษตร 2. ทฤษฏีการเรยี นรขู้ องผูใ้ หญ่ การศึกษาทฤษฏีเกีย่ วกบั การปรับตัวของผใู้ หญ่และทฤษฏพี ฤตกิ รรมท่ี พฒั นาตามวัยทาให้ไดข้ ้อสรุปการเรียนรขู้ องผ้ใู หญ่ลักษณะหนง่ึ คอื การเรยี นรู้โดย การนาตนเอง (Self-directed learning) เปน็ การเรยี นรูท้ เ่ี นน้ ความเปน็ ปัจเจก บคุ คลและการพฒั นาตนเองท่มี พี น้ื ฐานจากการยึดผเู้ รียนและประสบการณข์ อง ผู้เรียนเปน็ ศูนย์กลาง
ทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยทอด เทคโนโลยกี ารเกษตร 2. ทฤษฏกี ารเรียนรู้ของผู้ใหญ่ ผเู้ รียนเป็นผูว้ างแผนการเรียนเอง ดงั นัน้ การจดั การเรยี นร้แู ละการเรียน การสอนผ้ใู หญเ่ นน้ การจดั การทีพ่ ยายามให้ผเู้ รียนเป็นผ้นู าตนเอง เนอื่ งจาก ข้อสรปุ เกี่ยวกบั พฒั นาการของผูใ้ หญว่ า่ เมอ่ื คนเรามีวุฒิภาวะมากขนึ้ เราจะพัฒนา ไปสู่ความเป็นผูน้ าตนเองมากข้นึ มีความเป็นตวั ของตวั เองมากข้นึ ซ่งึ เป็น พัฒนาการขน้ั สูงสดุ ของมนุษย์
ทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยทอด เทคโนโลยกี ารเกษตร 3.ทฤษฏกี ารยอมรบั กระบวนการยอมรบั (Adoption Process) “เป็นทฤษฏหี รือกระบวนการ ทางจิตใจของบุคคลซึ่งเริม่ ดว้ ยการเริ่มรู้หรอื ได้ยนิ เกยี่ วกบั แนวความคดิ ใหม่ แลว้ ไปสิ้นสดุ ลงด้วยการตัดสนิ ใจยอมรบั ไปปฏบิ ตั ิ”
ทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยทอด เทคโนโลยกี ารเกษตร 3.ทฤษฏีการยอมรบั กระบวนการยอมรับแนวความคดิ ใหมไ่ ปปฏิบตั จิ ะผา่ นขนั้ ตอนท่ี สาคัญ 5 ขนั้ ตอนโดยเรม่ิ เป็นลาดับขัน้ ตอนดังน้ี คือ ขัน้ ที่ 1 ขัน้ ต่นื ตัวหรือเร่มิ รับรู้(Awareness) ขนั้ ที่ 2 ขน้ั สนใจ(Interest of Information) ข้นั ที่ 3 ขน้ั ประเมนิ ผลหรือการไตร่ตรอง(Evaluation)
ทฤษฎที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั การถา่ ยทอด เทคโนโลยกี ารเกษตร 3. ทฤษฏกี ารยอมรบั กระบวนยอมรบั แนวความคิดใหมไ่ ปปฏิบตั จิ ะผ่านขั้นตอนทส่ี าคญั 5 ขนั้ ตอนโดยเริม่ เป็นลาดับข้ันตอนดงั น้ี คือ ข้นั ที่ 4 ขน้ั ทดลองทา(Trial) และ ข้นั ท่ี 5 ข้นั ยอมรับนาไปปฏิบตั ิ(Adoption)
สวสั ดคี รบั สวสั ดคี รบั
Search
Read the Text Version
- 1 - 33
Pages: