แนวคิด หลกั การ และทฤษฎกี ารถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร 1. แนวคิดและหลกั การถ่ายทอดเทคโนโลยี การเกษตร 1.1 แนวคิดของการถา่ ยทอดเทคโนโลยีการเกษตร ความหมาย การถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร หมายถึง การดาเนนิ การใดๆ เพื่อให้เทคโนโลยีการเกษตร ไม่วา่ จะเปน็ ความรู้ ขา่ วสาร ขอ้ มลู แนวคดิ ขอ้ แนะนา ตัวอย่างหรอื ข้อปฏิบัติต่างๆไปยังผู้รับเปา้ หมาย ปลายทาง คอื เกษตรกร และผูส้ นใจ ดาเนินการโดยนักวชิ าการสง่ เสริมการเกษตร ดว้ ยวิธกี าร ส่งเสรมิ การเกษตรเพื่อใหเ้ กิดผลหลกั ๆ 2 ประการ ได้แก่ 1) ตอบสนองความตอ้ งการและความจาเป็นเฉพาะของบุคคลเปา้ หมายคือเกษตรกรเปน็ สว่ นใหญ่ 2) บคุ คลเป้าหมายหลกั ได้แก่ เกษตรกร เกดิ การเรียนรูแ้ ละสามารถนา เทคโนโลยีการเกษตร หรอื ความรนู้ ้ันไปประยุกต์ใชภ้ ายใตส้ ถานการณ์ของตนเองให้เกิด ประสทิ ธิภาพสูงสุด ตามความหมายของการถ่ายทอดเทคโนโลยดี งั กล่าวข้างตน้ จะเห็นว่าการ ถา่ ยทอดเทคโนโลยีการเกษตร มอี งค์ประกอบหลักๆไดแ้ ก่ - นักวิชาการส่งเมการเกษตร เปน็ ผ้ถู า่ ยทอด - นักวชิ าการส่งเสริมการเกษตร เปน็ ผ้ถู า่ ยทอด - เกษตรกร เป็น บุคคลเปา้ หมายผรู้ ับการถา่ ยทอด - เทคโนโลยีการเกษตร เป็น เนอ้ื หาของการถ่ายทอด เช่น ความรู้ขา่ วสาร ขอ้ มลู ฯลฯ ท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การเกษตร - วธิ กี ารถา่ ยทอดเทคโนโลยี ในทน่ี ห้ี มายถึงวธิ ีการสง่ เสริมการเกษตรต่างๆ ท่ีทาให้ เกษตรกรเรียนรู้เทคโนโลยีการเกษตรและสามารถนาไปประยุกต์ใชไ้ ด้ เชน่ การให้คาแนะนา เกษตรกรเปน็ รายบคุ คล การฝกึ อบรมหรือศกึ ษาดูงานสาหรับเกษตรกรกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงการให้ คาแนะนาข่าวสาร ข้อมลู ความรูผ้ า่ นสอื่ ต่างๆ เพือ่ ถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารเกษตรไปยังเกษตรกร จานวนมาก (มวลชน) การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรท่เี หมาะสม ในปจั จุบนั เป็นการถ่ายทอด 2 ทาง บคุ คลเป้าหมาย ดังแสดงในภาพองคป์ ระกอบของการถา่ ยทอดเทคโนโลยี
องค์ประกอบการถ่ายทอดเทคโนโลยี เทคโนโลยีการเกษตร นักวชิ าการสง่ เสรมิ การเกษตร เกษตรกร วธิ ีการ จากองคป์ ระกอบดงั กลา่ ว จะเกิดผลหลักๆ ตามท่กี ลา่ วข้างต้นไดจ้ าเปน็ ต้องดาเนนิ การ ถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรในเชงิ ระบบกลา่ วคือต้องให้ความสาคญั และใสใ่ จกันทกุ ขนั้ ตอนของ กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีเริ่มตัง้ แตป่ ัจจัยนาเข้า (Input) กระบวนการเปลีย่ นแปลง (Process) ผลลัพธ์ (Output) ข้อมูลยอ้ นกลบั (Feed back) และสภาพแวดล้อม แนวคิดนเ้ี น้นประเดน็ สาคญั ว่า ถ้าต้องการผลลัพธค์ ุณภาพกจ็ าเปน็ ตอ้ งใส่ปจั จยั นาเข้าท่ีสมบูรณแ์ ละมีคณุ ภาพเขา้ ไปในระบบพร้อม ดแู ลให้ไปสู่กระบวนการเปล่ียนแปลงดงั นน้ั การจัดการถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร จึงควร จะตอ้ งพิจารณาทั้งกระบวนการว่ามีขน้ั ตอนและภารกจิ ทจ่ี ะตอ้ งทาอะไรบา้ ง ซ่งึ กระบวนการ ถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร ตามแนวคิดขา้ งตน้ สามารถเขยี นเปน็ แผนภูมไิ ด้ดงั ภาพท่ี 1
ภาพท่ี 1 : แผนภูมิกระบวนการถา่ ยทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร ปจั จยั นาเขา้ กระบวนการเปล่ยี นแปลง ผลผลติ (Input) (Process) (Output) ทรัพยากรตา่ งๆ กระบวนการถา่ ยทอด ผลสมั ฤทธ์ิ (Result = Output +Outcome) ในการถา่ ยทอด วิเคราะห์/สรุปความ วตั ถปุ ระสงค์ จดั ทาหลกั สูตร ประเมนิ ผล เนอ้ื หาสาระ จัดการถา่ ยทอด การดาเนินการ ตดิ ตามประเมนิ ผล หลักการสง่ เสริมการเกษตร มงุ่ เน้นให้เกษตรกรมีความรู้ความสามารถในการทาการเกษตรไดอ้ ยา่ ง มีประสิทธิภาพ บนพืน้ ฐานการพึง่ ตนเองเพอ่ื พฒั นาคุณภาพชีวิตของตนเองและชุมชนเกษตรอยา่ ง ย่งั ยนื ซึง่ การทจ่ี ะไปถงึ เปา้ หมายตามหลักการดงั กลา่ วได้ จาเปน็ ต้องสง่ เสริมให้เกษตรกรมีความรู้ ความเข้าใจทีถ่ กู ต้องเหมาะสมกบั สถานการณแ์ ละปญั หาของตนเองและชุมชนและสามารถ ประยุกตใ์ ชค้ วามรู้น้ันใหเ้ กดิ ประสทิ ธภิ าพสงู สดุ การส่งเสรมิ ดังกลา่ ว ไดแ้ ก่ การถา่ ยทอด เทคโนโลยีการเกษตรในรปู แบบและวธิ กี ารต่างๆ เช่น การฝึกอบรม ศึกษาดูงาน การสอน การสาธิต
ทดสอบ รวมถงึ การให้คาแนะนาและการเผยแพร่ผา่ นสอื่ ตา่ งๆ ซึ่งเป็นสิง่ สาคญั อยา่ งยิ่งในการสรา้ ง ความเขา้ ใจ ทักษะ และความเชือ่ มนั่ ให้เกษตรกรเพื่อผลในการพฒั นาการเกษตรและชุมชนเกษตรท่ี ยั่งยนื 1.2 หลักการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร การถ่ายทอดเทคโนโลยีน้ันจัดได้ว่าเป็นลักษณะหนึ่งของการสอ่ื สารหรืออาจกลา่ วได้ว่าการ ถ่ายทอดเทคโนโลยีใช้การสื่อสารเป็นเคร่อื งมือทางานทสี่ าคญั องค์ประกอบหลักของการถ่ายทอด เทคโนโลยจี งึ เปน็ องคป์ ระกอบเชน่ เดยี วกบั การสื่อสาร ได้แก่ ผ้สู ่ง ผูร้ ับ เนอ้ื หา (สาร) และชอ่ งทาง (วธิ ีการ)โดยการถ่ายทอดเทคโนโลยีนน้ั จะดาเนินการภายใตเ้ ป้าหมายที่ชดั เจนเพอื่ ตอบสนองความ ตอ้ งการของบุคคลเป้าหมาย โดยใชก้ ารถ่ายทอดเทคโนโลยีที่เหมาะสม (Appropriate Technology) ซึ่งบคุ คลเป้าหมายได้รับการถ่ายทอดไปแลว้ สามารถนาไปใช้ประโยชน์ต่อการประกอบอาชพี หรือ การดารงชีวิตได้อยา่ งแทจ้ รงิ กล่าวโดยสรุปได้วา่ หลกั การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร ประกอบด้วยสาระสาคัญ ดังต่อไปนี้ 1) การถา่ ยทอดเทคโนโลยมี ีเปา้ หมายที่ชดั เจนเพ่ือตอบสนองความต้องการและความ จาเป็นเฉพาะของบุคคลเปา้ หมาย ไดแ้ ก่ เกษตรกรและผสู้ นใจ 2) องค์ประกอบการถา่ ยทอดเทคโนโลยีการเกษตรมีความครบถว้ นสมบรู ณ์ ทั้งผู้สง่ ผู้รับ เนือ้ หาและช่องทาง 3) การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรเป็นการถา่ ยทอดเทคโนโลยีท่ีเหมาะสม ทัง้ ด้านเน้ือหา องคค์ วามรู้ ข่าวสารท่จี ะถา่ ยทอด ความพร้อมของผู้ส่ง ผรู้ ับ ตลอดจนชอ่ งทางวิธีการถา่ ยทอด ทง้ั หมดท่ีกล่าวมาตอ้ งมีความสอดคล้องและเหมาะสมต่อสถานการณ์ เงื่อนไข ตลอดจน สภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มอี ยู่ 4) เกษตรกรเปา้ หมายสามารถนาเทคโนโลยีหรือความรู้นั้นไปประยกุ ตใ์ ชไ้ ดจ้ ริง ภายใต้ เงอ่ื นไขของเกษตรกรเปา้ หมายใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพสูงสดุ การถา่ ยทอดเทคโนโลยีเปน็ ส่วนหนง่ึ ของการส่งเสรมิ การเกษตรมิใชเ่ ปน็ เพยี งการนา ความร้ไู ปถา่ ยทอดให้แกบ่ ุคคลเปา้ หมายเท่านั้น แตต่ อ้ งมงุ่ เน้นในดา้ นการเรียนรู้ (Learning) ใหเ้ กิด การเปลีย่ นแปลงพฤติกรรมของบุคคลเป้าหมายด้านตา่ งๆ ได้แก่ ความรู้ Knowledgeจากไมร่ ู้ ไม่เขา้ ใจ เปน็ รู้และเขา้ ใจ ทัศนคติ(Attitude)จากเชงิ ลบ เปน็ เชิงบวก ทักษะ (Skill) หรือการปฎิบัติ(Pratice)จากทาไมไ่ ด้ เปน็ ทาได้
การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตรจึงเป็นสิ่งท่ีต้องทาควบคู่ไปกบั งานวจิ ยั และงานพฒั นาทง้ั ระบบ เพอ่ื การพัฒนาการเกษตรและชมุ ชนเกษตรให้เปน็ ฐานที่ม่ันคงของสงั คมไทย 2. ทฤษฎีท่ีเก่ียวข้องกบั การถ่ายทอดเทคโนโลยกี ารเกษตร 2.1 ทฤษฎีการเรยี นรู้ การเรียนรู้เป็นกระบวนการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมในลักษณะที่คอ่ นขา้ งถาวร ภายใต้สถานการณ์และเงอ่ื นไขท่ีเหมาะสม อันเปน็ ผลจากประสบการณ์ที่คนเรามปี ฏสิ ัมพันธ์กบั สง่ิ แวดลอ้ ม การเรยี นร้เู กิดข้ึนตลอดตงั้ แต่เกิดจนตาย การเรยี นร้ขู องคนเราเกิดขึน้ ไดต้ ลอดชีวติ ตง้ั แต่เกิดจนตายตราบใดที่คนเรายังมีปฏิสมั พันธ์ กับส่งิ แวดล้อมท้งั จากประสบการณต์ รงและประสบการณ์อ้อม และจากการฝึกฝน โดยไมร่ วมการ เปล่ียนแปลงที่เปน็ ผลจากวฒุ ิภาวะหรือแนวโนม้ การตอบสนองของเผา่ พนั ธุ์ การเรยี นรู้จะเกิดข้ึนได้ มากนอ้ ยเพียงใด ขนึ้ อยกู่ ับเชาว์ปญั ญาของแตล่ ะบคุ คลและแต่ละวัย การกาหนดช่วงวัยของมนุษย์ เป็นความพยายามอย่างหน่งึ ทจ่ี ะใช้“ชว่ งวยั ” เป็น “เกณฑ์” ในการอธบิ ายการเรยี นรู้และพฒั นาการ ของมนุษย์ 2.2 ทฤษฏกี ารเรียนรขู้ องผู้ใหญ่ การศกึ ษาทฤษฏีเก่ียวกบั การปรับตัวของผใู้ หญแ่ ละทฤษฏี พฤตกิ รรมที่พัฒนาตามวัยทาใหไ้ ดข้ ้อสรปุ การเรยี นรขู้ องผู้ใหญล่ กั ษณะหนงึ่ คือ การเรียนรโู้ ดยการ นาตนเอง (Self-directed learning) เปน็ การเรียนรู้ท่ีเน้นความเป็นปจั เจกบุคคลและการพฒั นา ตนเองทม่ี พี ืน้ ฐานจากการยึดผู้เรยี นและประสบการณ์ของผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง ผู้เรียนเป็นผวู้ าง แผนการเรียนเอง ดงั นนั้ การจัดการเรยี นรู้และการเรยี นการสอนผใู้ หญ่เนน้ การจดั การท่ีพยายามให้ ผ้เู รียนเปน็ ผูน้ าตนเอง เนือ่ งจากขอ้ สรุปเก่ียวกับพัฒนาการของผู้ใหญ่ว่าเมื่อคนเรามวี ุฒิภาวะมากขน้ึ เราจะพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้นาตนเองมากข้ึน มคี วามเป็นตวั ของตัวเองมากขึน้ ซึ่งเป็นพัฒนาการขั้น สงู สุดของมนษุ ย์ การเรียนรู้โดยการนาตัวเองนี้ มัลคัม โนลส์ กลา่ ววา่ เปน็ กระบวนการท่บี ุคคลมี ความคิดริเร่มิ ด้วยตนเองในการวินจิ ฉัยความต้องการในการเรยี น กาหนดจดุ มุ่งหมาย เลือกวิธกี าร เรียน จนถงึ การประเมินความก้าวหน้าในการเรยี นรกู้ ารจัดการเรยี นร้ใู ห้แก่เกษตรกรกลุม่ เปา้ หมาย จาเปน็ ต้องคานงึ ถงึ ผู้เรียนได้แก่เกษตรกรเป็นลาดบั แรก เกษตรกรส่วนใหญ่ในปัจจุบันเป็นชว่ งวยั ผู้ใหญ่ ดงั นน้ั การกาหนดรูปแบบวิธกี ารถ่ายทอด จงึ ควรใช้ลักษณะของการจดั การเรยี นรู้ของผู้ใหญ่ โดยมุง่ เน้นใหเ้ กษตรกรเปน็ ศูนยก์ ลางของการเรียนรู้ 2.3 ทฤษฏกี ารยอมรับ กระบวนการยอมรับ (Adoption Process) “เปน็ ทฤษฏีหรอื กระบวนการทางจติ ใจของบุคคลซง่ึ เร่ิมด้วยการเริ่มรู้หรอื ไดย้ นิ เกยี่ วกบั แนวความคิดใหม่ แลว้ ไป สน้ิ สุดลงดว้ ยการตัดสินใจยอมรบั ไปปฏบิ ัติ”
กระบวนการยอมรับ แตกต่างจากกระบวนการแพรก่ ระจายนวตั กรรมหรอื แนวคดิ ใหม่ (diffusion process) กลา่ วคอื กระบวนการแพรก่ ระจายน้ันเปน็ การแพร่แนวความคิด ระหว่างบคุ คลต่อบคุ คลหรือระหว่างแหล่งท่ีมาของความคดิ กบั บุคคลท่ีจะรับแนวคิดนั้น ซ่งึ เปน็ ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งผสู้ ง่ กับผู้รบั โดยเฉพาะ สว่ นกระบวนการยอมรบั นั้น แต่ละขั้นตอนของ กระบวนการเกิดขึ้นในตัวบุคคลเดยี ว (บญุ ธรรม จติ ต์อนันต์,2536)บุญธรรม จิตต์อนันต์ (2536) ได้ ใหค้ าจากดั ความของทฤษฏีการยอมรับหรือกระบวนการยอมรับว่าเปน็ กระบวนการที่เกีย่ วข้องกับ การเรยี นรูแ้ ละการตดั สนิ ใจของบคุ คล ซง่ึ จากการวจิ ยั พบว่าการทบ่ี คุ คลจะยอมรบั แนวความคิดใหม่ ไปปฏิบตั ิจะผา่ นข้นั ตอนท่ีสาคญั 5 ขั้นตอนด้วยกนั โดยเรมิ่ เป็นลาดบั ขัน้ ตอนดงั นี้ คือ ขน้ั ท่ี 1 ขัน้ ตื่นตวั หรือเรม่ิ รบั รู้ ข้ันท่ี 2 ขน้ั สนใจ ขั้นที่ 3 ขั้นประเมนิ ผลหรือการไตรต่ รอง ขั้นท่ี 4 ขน้ั ทดลองทา และ ขน้ั ท่ี 5 ข้ันยอมรบั นาไปปฏิบัติ ดเิ รก ฤกษห์ รา่ ย (2538) ไดอ้ ธบิ ายประเด็นสาคญั ของ 5 ขั้นตอนกระบวนการยอมรบั ดังกลา่ วใน ขา้ งต้นโดยมเี น้ือหาทเี่ ก่ยี วข้องดังต่อไปน้ีคอื การต่นื ตัวหรือเริม่ รับรู้ (Awareness) ความสนใจหาขอ้ มูลขา่ วสารเพมิ่ เตมิ (Interest of Information) เปน็ ขัน้ ตอนแรกท่ีกลุ่มบุคคลเป้าหมายหรอื เกษตรกรอาจตื่นตวั เองหรือนักวิชาการ ส่งเสริมการเกษตรจะเป็นผกู้ ระตุ้น ก็ได้ ผลของการตื่นตวั น้ันเกษตรกรตอ้ งเกิดภาวะความไมส่ มดุล (Imbalance) และมองหาสิ่งใหม่ที่ดีกวา่ เข้ามาทดแทนของเดมิ การกระต้นุ ให้เกดิ การตื่นตัวโดย ตนเองน้ันส่ือและชอ่ งทางการส่ือสารจะมบี ทบาทสาคญั อย่างย่ิงโดยเฉพาะสื่อวิทยุโทรทัศนเ์ มอ่ื เกษตรกรตนื่ ตวั เตม็ ที่กจ็ ะสนใจหาขอ้ มูลขา่ วสารเพิม่ เติมนักวชิ าการส่งเสริมการเกษตร จะมบี ทบาท มากในขน้ั ตอนน้ี ในการชีแ้ นะแหล่งข้อมลู ทมี่ ใี ห้เพ่ิมเตมิ จากท่กี ลมุ่ เป้าหมายรู้อยู่แตเ่ ดิมแลว้ นท่ี 3 การประเมินผลหรือการไตร่ตรอง (Evaluation) การทดลอง (Trial) การยอมรับนาไปปฏิบัติ (Adoption) เปน็ การประเมนิ หรือการไตร่ตรองวา่ จะยอมรบั เทคโนโลยีหรอื ไม่ข้อมูลทนี่ ักวิชาการ ส่งเสรมิ การเกษตรจะต้องให้ในขัน้ ตอนนี้ก็คือ ขอ้ มูลทจี่ ะทาใหเ้ กษตรกรเกดิ ความเชอ่ื ม่ันวา่ เมือ่ เกษตรกรรบั ไปแลว้ จะเกดิ ผลประโยชน์แก่เขาอย่างเต็มท่ี การที่จะรับการเปลีย่ นแปลงนั้นสามารถที่ จะระดมปจั จยั การผลิตหรือมีสนิ เชื่อและบริการอืน่ ๆ จากนักวชิ าการส่งเสริมการเกษตร
ในการสนับสนุนได้อยา่ งเต็มท่ขี ั้นตอนน้เี กษตรกรจะลองทาในพน้ื ที่ขนาดเล็กเพื่อดวู า่ คุ้มกับการ ลงทนุ หรอื ไม่เพียงใด มคี วามเสีย่ งอย่างไร แค่ไหนและจะกาจัดความเสยี่ งในการประกอบการได้ หรือไม่ การทดลองทาในข้ันตอนน้ีนักวชิ าการสง่ เสริมการเกษตรจะมีบทบาทในการช่วยยืนยันและ จะต้องบ่งชี้ใหก้ ลมุ่ บุคคลเปา้ หมายหรือเกษตรกรทราบอย่างชัดเจนไดว้ ่ามีความเป็นไปได้ในการ ประกอบการในพน้ื ท่ีน้นั ตามสภาพแวดล้อมและสอดคล้องกบั ปัจจัยการผลติ ท่ีมีอยกู่ ารยอมรับจะ เกดิ ขนึ้ เต็มท่ีและต่อเนื่อง ขน้ึ อยู่กบั ปริมาณผลประโยชน์ท่ีเกษตรกรไดร้ บั ในหว้ งเวลาหนึง่ ๆ และ ตราบเท่าทไ่ี มม่ ีนวัตกรรมใดท่ดี ีกว่าส่ิงทยี่ อมรบั อยู่แลว้ ในปจั จุบนั โดยสรปุ กระบวนการยอมรับเปน็ กระบวนการทางจิตใจของบคุ คลแตล่ ะคนซง่ึ เริ่มตง้ั แต่ การไดร้ บั รู้ข่าวสารเก่ยี วกับนวัตกรรมไปจนรบั นวตั กรรมและนาไปใช้ อีกทงั้ ยังเป็นกระบวนการที่ เกยี่ วขอ้ งกับการรบั รแู้ ละการตัดสินใจของบุคคล ดงั นัน้ กระบวนการยอมรับนวตั กรรมหรอื แนวคดิ ใหมไ่ ปปฏิบัตติ ามนัน้ จะเกดิ ขน้ึ เปน็ ขนั้ ตอนในตัวบคุ คลหรอื เกษตรกรเรมิ่ ต้งั แต่ขั้นแรก คอื ข้ัน ตน่ื ตัวหรอื รับร้ไู ปสขู่ ั้นสนใจหาขอ้ มูลข้ันประเมินผลหรอื การไตรต่ รอง ขั้นทดลองทา และขั้น สุดท้ายคอื การยอมรบั นาไปปฏิบัติแมว้ า่ ขน้ั ตอนตามกระบวนการยอมรับ (adoption process) จะ เกิดขน้ึ เป็นลกู โซ่กต็ าม แตใ่ นความเปน็ จรงิ แล้วแตล่ ะข้ันตอนอาจทง้ิ ชว่ งเวลา และบุคคลหรือ เกษตรกรอาจปฏิเสธ (rejection) นวตั กรรมหรือแนวคดิ ใหม่ไดใ้ นระหว่างทกุ ขั้นตอน โดยเฉพาะ ขั้นตอนท่ี 1 ถึงข้ันตอนที่ 4หากแตล่ ะขั้นน้นั ตวั นวตั กรรม (Innovation) ไมไ่ ดส้ รา้ งความประทบั ใจ จงู ใจหรือสร้างความม่นั ใจให้เกดิ ขน้ึ ในตวั เขา ขณะที่ในขั้นตอนสดุ ท้ายคอื ขน้ั ตอนการยอมรบั บุคคลหรอื เกษตรกรก็อาจจะมที ้ังที่ยอมรับนาไปปฏบิ ตั ิอย่างตอ่ เน่ือง (continue) และก็อาจจะมี บคุ คลหรอื เกษตรกรท่ียอมรับนาไปปฏบิ ตั ิแล้วเลิกนานวัตกรรมหรอื แนวความคดิ ใหมไ่ ปปฏบิ ตั ิ อย่างตอ่ เนือ่ ง(discontinue) กไ็ ด้ เน่ืองจากปจั จัยหรือคณุ สมบตั ขิ องนวตั กรรมนั้นมิได้มี ประโยชน์ ไมส่ อดคลอ้ งกบั วัฒนธรรมในสังคมทจ่ี ะรบั มีความสลับซบั ซ้อนมาก ไม่สามารถแบง่ ทดลองครั้งละน้อยๆ ได้ อีกทั้งยังพบว่าไม่เข้าใจ ไม่สามารถมองเหน็ หรือเหน็ ผลไดโ้ ดยงา่ ยอยา่ งท่ี นกั วิชาการสง่ เสริมการเกษตรได้แนะนาในเบ้ืองต้น ดิเรก ฤกษ์หร่าย (2538) ได้กลา่ ววา่ การจาแนกกล่มุ บุคคลเป้าหมายในกระบวนการยอมรบั นั้นยัง จาเป็นต้องวิเคราะห์อย่างมีระบบวา่ ใครเปน็ บคุ คลทีย่ อมรับเรว็ ปานกลางหรือยอมรับช้า การจาแนกกลุ่มเปา้ หมายในกระบวนการยอมรับน้ี กระทาเพ่ือนกั วิชาการส่งเสริมการเกษตรจะได้ สง่ เสริมเฉพาะบคุ คลยอมรับเร็วเป็นอันดับแรก ในฐานะที่คนกล่มุ ยอมรบั เร็วนั้นจะเป็นตัวแทนของ เกษตรกรและมอบหมายใหก้ ลุ่มยอมรบั เร็วน้ันเป็นผ้สู บื ทอด ขยายผลตอ่ ไปยงั กลุ่มสมาชิกของตน การจาแนกกลุ่มของผู้ยอมรบั ใช้เวลาในการตัดสนิ ใจยอมรับนวตั กรรมซง่ึ โรเจอร์ (Rogers, 1971) และเบอทรานด์ (Bertrand,
1976) ในดเิ รก ฤกษห์ รา่ ย (2538) ได้จาแนกไว้ 5 กลุ่มไดแ้ ก่ (1) กลุม่ หัวก้าวหน้าหรือพวกนาการ เปล่ยี นแปลง (innovators)หรอื “หัวไวใจสู้” ยอมรบั นวัตกรรมเรว็ มาก มีลกั ษณะกล้าเสย่ี ง กล้าได้ กล้าเสีย มคี วามพรอ้ มในการคิดริเร่ิมนาสงิ่ ใหม่ แนวคิดใหม่มาปรบั ใช้ เพ่อื ประโยชนส์ งู สดุ ลา้ หนา้ คนอน่ื ๆในสังคม (2) กล่มุ ยอมรบั เรว็ (early adopters) หรอื “ขอดูทที า่ ” เป็นพวกท่ียอมรับ นวตั กรรมเร็ว แตใ่ ช้ระยะเวลาในการตัดสินใจทจี่ ะยอมรับนวตั กรรมมากกว่าพวกหวั ก้าวหน้า เป็น กล่มุ ที่มกี ารตืน่ ตวั มคี วามพรอ้ มในการรับสิง่ ใหม่ๆ และแนวคดิ ใหม่มาปรับใชใ้ ห้ทนั เหตกุ ารณ์และ ทันกบั ความตอ้ งการในชมุ ชน จัดเป็นผ้นู าชุมชน (3) กลม่ ุ ยอมรบั ปานกลาง (early majority) หรอื “เบง่ิ ตาลงั เล”เป็นพวกท่ียอมรับนวัตกรรมแตใ่ ช้ระยะเวลาในการตดั สนิ ใจมากกวา่ พวกยอมรับเร็ว พวกยอมรับปานกลางเปน็ พวกทีมคี วามละเอียดรอบคอบรดั กมุ ในการคาดคะเนและการตดั สินใจ กอ่ นนานวตั กรรมมาปรบั ใช้ ต้องการคาแนะนาพอสมควร (4) กล่มุ ยอมรับช้า (late majority) หรือ “หนั เหหวั ด้ือ” เป็นพวกท่ยี อมรบั นวตั กรรมแต่ต้องใชร้ ะยะเวลาในการตดั สนิ ใจนานมาก เป็นผูต้ าม อยา่ งคนอนื่ ตอ้ งการการชแ้ี นวทางและการกากบั อย่างใกล้ชิดให้เหน็ ตัวอย่างของคนหมู่มากใน สงั คมก่อนทจี่ ะยอมรับนวตั กรรม (5) กลมุ่ ลา้ หลัง (laggards หรือ late adoption) หรอื “งอมอื จบั เจ่า หรอื ไม่เอาไหนเลย” เปน็ พวกท่ียอมรับนวัตกรรมช้ามากหรอื อาจไม่ยอมรบั นวัตกรรม เป็น ผู้ยดึ ตดิ กบั พฤติกรรมดั้งเดมิ ต้องการขนบธรรมเนยี มประเพณี อยูใ่ นแวดวงสงั คมปดิ ท่ีไมย่ อมรับ สง่ิ ใหม่หรือแนวความคดิ ใหม่ๆ 2.4 หลกั การการศกึ ษานอกระบบการศกึ ษานอกระบบ หมายถงึ มวลความรู้ ประสบการณ์ และกจิ กรรมการศึกษาในรปู แบบต่างๆท่จี ดั ใหบ้ รกิ ารแก่ประชาชนท่ีอยู่นอกระบบโรงเรียนทัง้ หมด ไมว่ า่ จะเปน็ ผเู้ รียนในวัยใด มีอาชีพใด มีประสบการณ์อย่างไร การศกึ ษานอกระบบโรงเรียนมี จุดมงุ่ หมายทีจ่ ะใหผ้ ู้เรียนได้รบั ความร้ทู ้ังในดา้ นที่เป็นพื้นฐานแก่การดารงชวี ิต การอ่าน การเขียน การคานวณเบอื้ งตน้ ความรู้ทางดา้ นทกั ษะการประกอบอาชีพ ตลอดจนความรู้และข่าวสารข้อมูลท่ี เป็นปจั จบุ นั ในดา้ นตา่ งๆ เพือ่ เป็นพื้นฐานในการดารงชวี ิต และปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กับสภาพสงั คม สงิ่ แวดล้อมทเ่ี ปล่ยี นแปลงอยู่ตลอดเวลาอย่างเหมาะสม หลักการของการศกึ ษานอกระบบ มลี กั ษณะสาคัญ 6 ประการไดแ้ ก่ 1 ผเู้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง เป็นผู้กาหนดเปา้ หมาย ขอบเขตเนื้อหาของการเรียนใหต้ รงกบั ความจาเป็นในแตล่ ะช่วงเวลา เชน่ การเรียนรกู้ ารปอ้ งกันกาจดั ศตั รูพชื ดว้ ยวิธเี พื่อแก้ปัญหาศตั รพู ชื ระบาด 2 หลักสูตรมีความยืดหยุ่น มีทางเลอื กท่ีหลากหลายสอดคล้องความต้องการ หรอื ความ จาเป็นของผู้เรยี นท้งั ดา้ น เนื้อหา เวลา สถานที่ ฯลฯ
3 ผู้สอนและผู้เรียน มคี วามสัมพนั ธ์อย่างเปน็ กันเองในลกั ษณะของการแลกเปลยี่ นเรยี นรู้ ท้ังระหว่างศิษยก์ ับครู พ่กี ับนอ้ ง เพ่อื นกบั เพอื่ น 4 การจดั การเรียนรู้พง่ึ พาทรัพยากรในทอ้ งถนิ่ เปน็ หลักทงั้ ดา้ นครู วิทยากร ตวั อย่างของจริง ที่ใชใ้ นการเรียนการสอน ตลอดจนการมีส่วนรว่ มสนับสนุนของคนในชมุ ชน 5 ผลการเรียนรสู้ ามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ทนั ที เช่นการเรียนรู้การป้องกันกาจัดศตั รูพืช ดว้ ยศตั รูตามธรรมชาติ เช่น แตนเบียน เม่ือเรียนแลว้ สามารถนาไปแกไ้ ขปญั หาแมลงศตั รูพชื ระบาด ไดท้ ันที 6 โครงสร้างการเรยี นรู้ที่มีกฎระเบยี บ ความเข้มงวดด้านการจัดการน้อยกว่าในระบบ โรงเรียนไม่มีข้อจากัดเร่ืองวัย เพศ พืน้ ฐานการศึกษา ฯลฯ
Search
Read the Text Version
- 1 - 9
Pages: