Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย

Published by ปัญญา ภู่ขวัญ, 2021-11-21 03:44:54

Description: ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับกฎหมาย

Search

Read the Text Version

1 ความรู้พน้ื ฐานทางกฎหมาย รวบรวม โดย. ปัญญาภขู่ วญั

2 ความรู้พนื้ ฐานท่ัวไปทางกฎหมาย รวบรวมและนาเสนอความรเู้ ก่ยี วกับกฎหมายเบอื้ งต้นใหป้ ระชาชนท่ัวไปรับทราบ Permalink : http://oknation.nationtv.tv/blog/knownledgelaw วันเสาร์ ท่ี 1 กนั ยายน 2550 ความรเู้ บ้ืองต้นเก่ยี วกับกฎหมาย ความหมายของกฎหมาย กฎหมายคืออะไร? เชอ่ื ได้เลยว่าทกุ คนหรือแทบจะทุกคนในสังคมคงจะรู้จกั คาๆนี้เปน็ อยา่ งดี แต่หากจะให้ อธิบายความหมายของคาน้ี หลายๆคนคงไมส่ ามารถบรรยายออกมาเป็นคาพูดได้ ซง่ึ จริงๆแลว้ แมแ้ ต่ในทาง วิชาการก็มีการให้นิยามความหมายแตกตา่ งกนั ออกไปมากมาย เนือ่ งจากเป็นการยากทีจ่ ะนิยามความหมาย ออกมาใหค้ รอบคลมุ ไดท้ งั้ หมด แต่พอจะสรปุ ได้ดงั นี้ กฎหมาย คอื กฎเกณฑ์ คาสง่ั หรือข้อบงั คบั ที่ถูกตงั้ ข้ึนโดยรฐั หรือผม็ อี านาจสงู สดุ เพือ่ ใชเ้ ปน็ เครอื่ งมือสาหรบั ดาเนินการใหบ้ รรลุเป้าหมายอยา่ งหนง่ึ อย่างใดของสงั คม และมสี ภาพบังคบั เปน็ เครื่องมอื ในการทาให้บคุ คลใน สังคมตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑ์ คาส่ัง หรือข้อบงั คบั นนั้ มนษุ ยถ์ ือได้วา่ เปน็ สัตวส์ งั คมจาเปน็ ตอ้ งพง่ึ พาอาศยั ซงึ่ กนั และกนั แตเ่ นอ่ื งจากความคดิ อปุ นิสยั สภาพแวดลอ้ ม เพศ ฯลฯ ทแ่ี ตกตา่ งกันไป จงึ จาเปน็ จะต้องมีกฎหมายเพ่ือควบคุมใหส้ ังคมมคี วามสงบเรียบรอ้ ย กฎหมายบางอย่างกก็ าหนดข้ึนเปน็ ขน้ั ตอนหรือวธิ ปี ฏิบัตเิ พ่อื ให้ไดม้ าซง่ึ ความสงบเรยี บร้อย หรอื เพ่อื ตอบสนอง ความต้องการของมนษุ ย์ นอกจากน้ีการบญั ญตั กิ ฎหมายเพ่ือเปน็ บรรทดั ฐานใหค้ นในสงั คมปฏิบัตติ ามใน แนวทางเดยี วกัน ก็จะสรา้ งความเปน็ ระเบยี บใหเ้ กดิ ข้นึ อีกดว้ ย เหลา่ นี้ถือเป็นเปา้ หมายอนั สาคญั ของสงั คม ซึ่ง เป้าหมายดงั กลา่ วน้ีเม่อื คดิ ย้อนกลบั ไปแล้ว กจ็ ะมาจากคนในสงั คมนนั่ เอง

3 ลักษณะของกฎหมาย เราสามารถแยกลกั ษณะของกฎหมายออกได้เปน็ 5 ประการ คอื 1.กฎหมายต้องเปน็ คาส่งั หรอื ขอ้ บงั คบั ซง่ึ จะแตกตา่ งกบั การเชอ้ื เชญิ หรือขอความรว่ มมือให้ปฏบิ ตั ติ าม คาสั่งหรอื ขอ้ บงั คบั นน้ั มลี กั ษณะให้เราตอ้ งปฏิบัติตาม แต่ถ้าเป็นการเชือ้ เชญิ หรือขอความรว่ มมอื เราจะปฏบิ ตั ิ ตามหรือไมก่ ็ได้ เชน่ นีเ้ รากจ็ ะไมถ่ อื เปน็ กฎหมาย เชน่ การรณรงคใ์ ห้เลิกสบู บหุ รี่ หรือช่วยกันอนรุ กั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ ฯลฯ 2.กฎหมายต้องมาจากรัฐาธปิ ตั ย์หรอื ผทู้ มี่ ีกฎหมายใหอ้ านาจไว้ รฐั าธปิ ัตย์คอื ผูม้ อี านาจสงู สุดของประเทศ ในระบอบเผด็จการหรอื ระบอบการปกครองทีอ่ านาจการปกครองประเทศอยใู่ นมอื ของบุคคลใดบคุ คลหน่ึงกถ็ ือ ว่าผูน้ ้ันเป็นผู้มอี านาจสงู สดุ มีอานาจออกกฎหมายได้ เช่น ระบอบสมบรู ณาญาสทิ ธิราชยซ์ ง่ึ พระมหากษัตรยิ ์ เป็นผู้มีอานาจสงู สดุ พระบรมราชโองการหรือคาส่งั ของพระมหากษัตริยก์ ็ถือเป็นกฎหมาย ส่วนในระบอบ ประชาธิปไตยของเรา ถอื วา่ อานาจสงู สุดเปน็ ของประชาชน กฎหมายจงึ ต้องออกโดยประชาชน คาถามมอี ยวู่ า่ ประชาชนออกกฎหมายได้อยา่ งไร ก็ออกโดยที่ประชาชนเลอื กตัวแทนเข้าไปทาหนา้ ท่ใี นการออกกฎหมาย ซง่ึ ก็ คอื สมาชกิ วฒุ ิสภา(ส.ว.)และสมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร(ส.ส.)นัน่ เอง ดังนัน้ การเลือก ส.ส. ในการเลอื กท่ัวไปนัน้ นอกจากจะเปน็ การเลือกคนเขา้ มาบริหารประเทศแลว้ ยงั เป็นการเลอื กตวั แทนของประชาชนเพอ่ื ทาการออก กฎหมายด้วย นอกจากดังกลา่ วมาขา้ งต้น อาจมีบางกรณีทกี่ ฎหมายให้อานาจเฉพาะแกบ่ ุคคลในการออกกฎหมายไว้ เช่น พระราชกฤษฎีกาหรอื กฎกระทรวงทอี่ อกโดยฝา่ ยบริหาร(คณะรฐั มนตร)ี ฯลฯ 3.กฎหมายตอ้ งใช้บงั คบั ได้โดยท่ัวไป คือเมอื่ มกี ารประกาศใช้แลว้ บุคคลทกุ คนตอ้ งอยภู่ ายใต้กฎหมายโดย เสมอภาค จะมใี ครอยู่เหนือกฎหมายไม่ได้ หรอื ทาให้เสยี ประโยชน์หรอื เอ้ือประโยชนใ์ หแ้ กบ่ คุ คลใดโดย เฉพาะเจาะจงไมไ่ ด้ แตอ่ าจมขี ้อยกเวน้ ในบางกรณี เช่น กรณีของฑตู ตา่ งประเทศซงึ่ เขา้ มาประจาในประเทศไทย อาจได้รบั การยกเว้นไมต่ อ้ งอย่ภู ายใตก้ ฎหมายภาษีอากร หรือหากได้กระทาความผดิ อาญา กอ็ าจได้รับเอกสทิ ธิ์ ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศไมต่ ้องถกู ดาเนนิ คดใี นประเทศไทย โดยตอ้ งให้ประเทศซึ่งสง่ ฑูตน้นั มาประจาการ ดาเนนิ คดีแทน ฯลฯ

4 4.กฎหมายต้องใช้บงั คบั ได้จนกวา่ จะมกี ารยกเลิกหรอื เปลย่ี นแปลง เม่อื มกี ารประกาศใช้แลว้ แมก้ ฎหมายนัน้ จะไม่ได้ใชม้ านาน กถ็ อื วา่ กฎหมายน้นั ยงั มีผลใชบ้ งั คับได้อยตู่ ลอด กฎหมายจะสน้ิ ผลก็ต่อเมื่อมีการยกเลิก กฎหมายนนั้ หรือมกี ารเปลยี่ นแปลงเปน็ อย่างอน่ื เทา่ น้ัน 5.กฎหมายจะตอ้ งมีสภาพบังคับ ถามว่าอะไรคือสภาพบงั คับ น่นั กค็ ือการดาเนนิ การลงโทษหรอื กระทาการ อย่างหนงึ่ อยา่ งใดตอ่ ผูท้ ่ฝี ่าฝนื กฎหมายเพือ่ ให้เกิดความเขด็ หลาบหรือหลาบจา ไม่กล้ากระทาการฝ่าฝืน กฎหมายอกี และรวมไปถึงการบงั คบั ใหก้ ระทาการ งดเว้นกระทาการหรือบงั คบั ใหส้ ง่ มอบทรพั ยส์ นิ ดว้ ย ตามกฎหมายอาญา สภาพบงั คับกค็ อื การลงโทษตามกฎหมาย เชน่ การจาคุกหรือการประหารชีวิต ซงึ่ มงุ่ หมายเพ่ือจะลงโทษผ้กู ระทาความผดิ ให้เขด็ หลาบ แตต่ ามกฎหมายแพง่ ฯน้นั สภาพบงั คับจะมุ่งหมายไปทกี่ าร เยยี วยาให้แกผ่ เู้ สยี หายเพื่อให้เกดิ ความเสยี หายน้อยที่สุด เช่น การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือการบังคบั ให้ กระทาการตามสัญญาทต่ี กลงกนั ไว้ ฯลฯ ซ่ึงบางกรณผี ทู้ ฝ่ี า่ ฝืนกฎหมายกอ็ าจตอ้ งตอ้ งถกู บงั คับทง้ั ทางอาญา และทางแพง่ ฯในคราวเดยี วกันกไ็ ด้ แตก่ ฎหมายบางอย่างกอ็ าจไม่มสี ภาพบงั คับกไ็ ด้ เนือ่ งจากไมไ่ ดม้ ุ่งหมายให้ผคู้ นต้องปฏบิ ตั ติ าม แตอ่ าจ บัญญตั ขิ นึ้ เพ่ือรบั รองสิทธใิ หแ้ กบ่ คุ คล หรอื ทาให้เสยี สิทธอิ ยา่ งใดอยา่ งหนึง่ เช่น กฎหมายกาหนดใหผ้ ู้ท่บี รรลุนติ ิ ภาวะแล้วสามารถทานิตกิ รรมไดเ้ องโดยไมต่ ้องไดร้ ับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรอื บคุ คลที่มอี ายุ 15 ปแี ลว้ สามารถทาพนิ ยั กรรมได้ ฯลฯ หรอื ออกมาเพอ่ื ใช้เป็นเคร่อื งมือในการพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมใน ประเทศ ซ่งึ กฎหมายประเภทนีจ้ ะไม่มโี ทษทางอาญาหรือทางแพง่ แต่อยา่ งใด ทมี่ าของกฎหมาย 1.ศลี ธรรม คอื กฎเกณฑ์ของความประพฤติ คาๆนฟี้ งั เขา้ ใจงา่ ยแตอ่ ธิบายออกมาไดย้ ากมาก เพราะเป็นสิ่งที่ แต่ละคนเขา้ ใจไดใ้ นตัวเองและมคี วามหมายท่ีแตกตา่ งกนั ไป ข้ึนอยู่กบั ปจั จยั หลายๆอย่าง เชน่ เชอื้ ชาติ ศาสนา สภาพแวดล้อม ฯลฯ แตอ่ ยา่ งไรกค็ วามหมายของศลี ธรรมของแตล่ ะคนกจ็ ะมีมาตรฐานใกล้เคียงกัน แมอ้ าจจะ แตกตา่ งกันออกไปบา้ ง แตโ่ ดยหลกั แล้วกจ็ ะหมายถึง ความรสู้ ึกผดิ ชอบหรือความดงี ามตา่ งๆท่ที าใหค้ นเรา สามารถใชช้ ีวติ ในสังคมไดโ้ ดยสงบสขุ ดังนน้ั การบญั ญตั กิ ฎหมายจงึ ต้องใชศ้ ีลธรรมเป็นรากฐาน เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบสุขแกส่ งั คมให้มากท่ีสดุ น่ันเอง 2.จารตี ประเพณี คือแบบแผนทคี่ นในสังคมยอมรับและถือปฏบิ ัติมาเป็นเวลาชา้ นาน แต่ละสังคมกม็ จี ารตี ประเพณีที่แตกต่างกันออกไป ตามแต่สภาพแวดลอ้ ม ศาสนา เชือ้ ชาติ ฯลฯ เช่นเดยี วกบั ศลี ธรรม การกระทาท่ฝี ่า ฝืนตอ่ จารีตประเพณี คนในสังคมน้นั ๆก็จะมองว่าเปน็ ส่งิ ท่ไี ม่ถูกต้องไมส่ มควรกระทา จึงนามาใชเ้ ปน็ รากฐานใน

5 การบญั ญัตกิ ฎหมาย เนือ่ งจากเปน็ สง่ิ ท่คี นในสงั คมน้ันๆยอมรับ ตัวอยา่ งที่สาคัญกค็ อื กฎหมายในประเทศ อังกฤษน้ัน ผูพ้ พิ ากษาจะใช้จารตี ประเพณีมาพจิ ารณาพพิ ากษา ซงึ่ คาพพิ ากษานน้ั ถอื เป็นกฎหมาย สว่ น ประเทศอนื่ ๆกม็ กี ารนาจารตี ประเพณีมาใช้เปน็ รากฐานในการบญั ญตั กิ ฎหมายเช่นกนั เชน่ กฎหมายของประเทศ ไทยในเร่ืองของการหม้นั การแบง่ มรดก ฯลฯ 3.ศาสนา คือหลักการดาเนินชีวติ หรอื ข้อบงั คบั ที่ศาสดาของแตล่ ะศาสนาบัญญตั ิขึ้นเพื่อสอนใหค้ นทุกคนเปน็ คนดี เมือ่ พดู ถงึ ศาสนาเราก็อาจนึกไปถงึ ศีลธรรม เพราะสองคานม้ี กั จะมาคกู่ ัน แต่คาวา่ ศีลธรรมจะมีความหมาย กว้างกวา่ คาว่าศาสนา เพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลกั คาสอนของทกุ ศาสนามารวมไวแ้ ละความดี งามตา่ งๆไวใ้ นคาๆเดยี วกัน เมอื่ เรากล่าวถงึ คาสอนของศาสนาอสิ ลาม น่ันหมายถงึ ศลี ธรรม เมื่อเรากลา่ วถงึ คา สอนของศาสนาพุทธ น่นั หมายถงึ เรากล่าวถึงศีลธรรมเช่นกัน กฎหมายของแตล่ ะประเทศกจ็ ะบญั ญตั ิขน้ึ โดย อาศยั ศาสนาเป็นรากฐานด้วย เชน่ ในประเทศไทยเราในทางอาญากจ็ ะนาศีล 5 มาใชใ้ นการบัญญตั กิ ฎหมาย เชน่ ห้ามฆา่ ผู้อน่ื หา้ มลักทรพั ย์ หา้ มประพฤติผดิ ในกาม ฯลฯ 4.คาพพิ ากษาของศาล มเี ฉพาะบางประเทศเทา่ นั้นทถ่ี อื เอาคาพพิ ากษาของศาลมาจดั ทาเปน็ กฎหมาย เช่น ประเทศอังกฤษ คอื ใช้จารตี ประเพณมี าพิจารณาพิพากษาคดีและเพ่ือไม่ใหม้ กี รณเี ดยี วกันน้ีเกิดขน้ึ ซ้าอีกก็จะนา คาพิพากษานนั้ มาจัดทาเป็นกฎหมายเพื่อใหท้ กุ คนปฏบิ ัติตาม หากมคี ดที ม่ี ขี อ้ เท็จจริงเหมอื นกันเกดิ ขึ้นอีก ศาล กจ็ ะตดั สินเหมอื นกับคดกี ่อนๆ แต่ในหลายๆประเทศคาพิพากษาเป็นเพยี งแนวทางในการพิจารณาพิพากษาของ ศาลเทา่ นัน้ ศาลอาจใช้ดลุ พนิ จิ พจิ ารณาพิพากษาตา่ งจากคดกี อ่ นๆได้ จงึ ไม่ถอื คาพพิ ากษาของศาลเป็น กฎหมาย เชน่ ประเทศไทยเราเปน็ ต้น 5.หลกั ความยุตธิ รรม(Equity) หลักความยุตธิ รรมนจี้ ะตอ้ งมาควบคกู่ บั กฎหมายเสมอ เพยี งแตค่ วามยุตธิ รรม ของแตล่ ะคนก็อาจไม่เทา่ กนั แตอ่ ยา่ งไรกด็ ีผ้บู ัญญัติและผใู้ ชก้ ฎหมายก็จะต้องคานึงถงึ หลักความยตุ ิธรรมดว้ ย และความยุตธิ รรมน้คี วรจะอยใู่ นระดบั ที่คนในสงั คมสว่ นใหญย่ อมรบั เพราะถา้ เป็นความยตุ ิธรรมโดยคานงึ ถึง คนสว่ นน้อยมากกว่า กจ็ ะเปน็ การเออ้ื ประโยชน์ใหค้ นเพียงบางกลมุ่ เทา่ นนั้ ทาใหไ้ ม่เกดิ ความยุตธิ รรมแกส่ ังคม โดยแทจ้ รงิ ตวั อยา่ งท่สี าคัญคอื ในองั กฤษนั้นแต่กอ่ นการฟ้องเรยี กคา่ เสยี หายน้นั จะฟอ้ งเรียกได้เฉพาะจานวน เงินเทา่ นั้น จะฟอ้ งใหป้ ฏบิ ตั ติ ามสญั ญาท่ตี กลงกนั ไม่ได้ จึงทาใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็นธรรมแก่ผูเ้ สียหาย เนื่องจากใน บางรายผูเ้ สยี ไมไ่ ดต้ อ้ งการเงนิ คา่ เสยี หาย แตต่ อ้ งการใหค้ ูส่ ญั ญาปฏิบัตติ ามขอ้ ตกลงท่ที าต่อกัน ดงั น้นั จึงไดม้ ี การนาเอาหลักความยตุ ธิ รรมาใชโ้ ดยอนุญาตใหม้ ีการชาระหน้ีโดยการปฏบิ ัตติ ามสญั ญาทตี่ กลงกันไว้ตามความ ม่งุ หมายของผทู้ ่ีเสียหายได้ ทาให้เกดิ ความเปน็ ธรรมในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดยี ่งิ ขน้ึ

6 6.ความคดิ เห็นของนกั ปราชญ์ กค็ อื ผทู้ รงความรใู้ นทางกฎหมายน่ันเอง อาจจะเปน็ นกั วชิ าการ หรอื อาจารย์ สอนกฎหมายกต็ าม เน่อื งจากนกั ปราชญ์เหลา่ น้ีจะเปน็ ผู้คน้ ควา้ หลักการและทฤษฎตี า่ งๆเพือ่ สนบั สนุนหรือ โต้แยง้ กฎหมายหรอื คาพิพากษาของศาลอยูเ่ สมอ ทาใหเ้ กดิ หลกั การหรอื ทฤษฎใี หม่ๆทเี่ ปน็ แนวทางในการ บญั ญัตกิ ฎหมายได้ เชน่ แนวความคดิ ของ คารล์ มาร์กซ์ ในประเทศรสั เซยี ฯลฯ ระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายหลักๆในโลกนีม้ อี ยู่ 4 ระบบใหญๆ่ ดว้ ยกัน คอื 1.ระบบกฎหมายซวี ิล ลอว์(Civil Law) หรือกค็ อื ระบบกฎหมายแบบลายลกั ษณอ์ กั ษร จดุ กาเนดิ อยทู่ ี่ อาณาจักรโรมัน ระบบกฎหมายนีจ้ ะมลี ักษณะเป็นการรวมรวมเอาจารตี ประเภณีหรือกฎหมายตา่ งๆหรือบญั ญตั ิ กฎหมายขึน้ ใหม่ โดยบันทกึ เป็นลายลักษณอ์ กั ษรและจดั ไวเ้ ป็นหมวดหมู่อยา่ งเป็นระเบียบ ซงึ่ เรียกว่าประมวล กฎหมาย ซง่ึ แตเ่ ดมิ นั้นไมม่ กี ารบัญญตั ไิ วเ้ ปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร ชนชั้นทถี่ กู ปกครองในโรมนั จงึ มีการเรยี กร้องให้ ชนชนั้ สงู ทาการเขยี นกฎหมายเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร เพอื่ ให้ชนชั้นทถ่ี ูกปกครองไดร้ กู้ ฎหมายดว้ ย ซงึ่ ระบบ กฎหมายน้กี ็ไดม้ ีการพัฒนาขึ้นมาเรอ่ื ยๆอยา่ งตอ่ เนอ่ื งจนถงึ ปจั จบุ นั ในประเทศไทยกใ็ ชร้ ะบบกฎหมายซวี ลิ ลอว์ ตัวอยา่ งก็เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ 2.ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว(์ Common Law) หรือก็คอื ระบบกฎหมายจารตี ประเพณี จดุ กาเนิดอยทู่ ี่ องั กฤษ เน่อื งจากแตเ่ ดมิ นัน้ ประเทศอังกฤษมชี นเผ่าอยมู่ ากมายหลายชนเผา่ ดว้ ยกนั ตอ่ มาไดม้ กี ารจดั ต้งั ศาล หลวงหรือศาลพระมหากษตั ริยข์ น้ึ โดยคดั เลอื กผ้พู พิ ากษาทีม่ คี วามรู้จากสว่ นกลางไปพจิ ารณาคดีในแต่ละ ท้องถิน่ ซงึ่ แตล่ ะชนเผา่ กม็ จี ารตี ประเพณที ่ีแตกตา่ งกันออกไป ทาใหเ้ กดิ ปญั หาในการพิจารณาคดมี ากมาย แต่ ในภายหลงั ปัญหากค็ ่อยๆหมดไปเพราะเรม่ิ มจี ารีตประเพณที ี่มลี กั ษณะเปน็ สามญั ขึ้นโดยศาลหลวงไดใ้ ชจ้ ารีต ประเพณเี หลา่ นใี้ นการพจิ ารณาคดี ในระบบคอมมอน ลอว์แตเ่ ดมิ จะไมม่ กี ารบญั ญตั กิ ฎหมายไว้เป็นลายลกั ษณ์ อักษร เมือ่ ศาลใชจ้ ารตี ประเพณีในการพิพากษาตดั สินคดแี ล้ว กจ็ ะมกี ารบนั ทึกคาพิพากษานั้นเอาไว้ เพอื่ ใชเ้ ป็น บรรทัดฐานในการพจิ ารณาคดตี อ่ ๆไป หาข้อเทจ็ จรงิ ในคดตี อ่ ๆมาเหมอื นกับคดีก่อน ศาลก็จะพิพากษาไปตามที่ ไดม้ ีการบันทกึ ไวแ้ ลว้ ถอื ไดว้ ่าคาพิพากษาของศาลกค็ อื กฎหมายนัน่ เอง แต่ปจั จบุ นั นใ้ี นประเทศองั กฤษกใ็ ช้ท้งั ระบบกฎหมายแบบซีวลิ ลอว์และคอมมอน ลอว์ ควบค่กู ันไป 3.ระบบกฎหมายสงั คมนิยม(Socialist Law) จุดกาเนดิ ของระบบกฎหมายนอ้ ย่ทู ่รี ัสเซีย แต่เดมิ รสั เซยี ใช้ ระบบกฎหมายซวี ลิ ลอว์ แตใ่ นภายหลังเมื่อพรรคคอมมวิ นสิ ตค์ รองอานาจ ก็ไดม้ กี ารนาหลกั การและ แนวความคดิ ของ คาร์ล มาร์กซ์ และ เลนิน มาใชโ้ ดยเชอ่ื วา่ กฎหมายเปน็ เคร่ืองมือในการขดั ระเบยี บและกลไกใน สังคม เพอ่ื ให้คนในสงั คมมคี วามเทา่ เทยี มกัน ปราศจากการกดขีข่ ม่ เหง ปราศจากชนช้ันวรรณะ ประชาชนทกุ คน

7 เปน็ เจา้ ของทรัพย์สินทัง้ หมดรว่ มกนั กฎหมายมีอยเู่ พ่อื ความเท่าเทยี ม เมอื่ ใดทีส่ ังคมเกิดความเทา่ เทยี มกนั แล้ว กฎหมายก็ไมม่ ีความจาเปน็ อีกตอ่ ไป ส่วนลกั ษณะของกฎหมายสงั คมนิยมนน้ั จะมกี ารผสมผสานระหวา่ ง กฎหมายลายลักษณอ์ ักษรกับจารตี ประเพณเี ขา้ ดว้ ยกัน โดยมกี ารบัญญตั ิกฎหมายเปน็ ลายลักษณ์อกั ษร สว่ น จารีตประเพณนี นั้ เป็นตวั ชว่ ยในการตคี วามและอุดช่องวา่ งของกฎหมายเมอ่ื ไม่มกี ฎหมายบญั ญตั ไิ ว้เป็นลาย ลกั ษณอ์ กั ษร และที่สาคัญกค็ อื กฎหมายในระบบสังคมนยิ มน้นั ตอ้ งแฝงหลกั การหรอื แนวคดิ ของคารล์ มารก์ ซ์ และ เลนิน ดว้ ยเสมอ 4.ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณนี ิยม ลักษณะของกฎหมายในระบบนี้ โดยเนอ้ื หาของกฎหมายแล้วก็ จะอาศยั ศาสนาหรือประเพณีนยิ มเปน็ ฐานในการบัญญัตกิ ฎหมายขึ้นมา เชน่ กฎหมายศาสนาอิสลามกาหนด หนา้ ที่ของชาวมสุ ลิมทม่ี ีต่อพระผเู้ ปน็ เจา้ ในปจั จบุ ันประเทศท่ีนบั ถอื ศาสนาอิสลาม กฎหมายอิสลามมสี ่วน สาคัญเปน็ อยา่ งยิง่ ในการบัญญตั กิ ฎหมายทเี่ กยี่ วกับครอบครวั และมรดก แต่สว่ นกฎหมายในเร่ืองอนื่ ๆกจ็ ะใช้ แนวทางของกฎหมายของทางโลกตะวันตก หรือใน 4 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ไดแ้ กจ่ งั หวดั สตลู ยะลา ปตั ตานี นราธิวาส ในเรื่องครอบครัวและมรดกกจ็ ะตอ้ งนากฎหมายศาสนาอิสลามมาใช้บังคบั ซึ่งถอื เป็นขอ้ ยกเว้นเฉพาะ 4 จงั หวัดดงั กลา่ วเทา่ น้ัน ส่วนในเร่อื งอน่ื ๆทุกจังหวดั กจ็ ะใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั รวมไปถงึ 4 จงั หวัดชายแดน ภาคใตด้ ว้ ย เชน่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ เปน็ ต้น ส่วนประเพณนี ยิ มนัน้ คอื สิ่งทคี่ นในสงั คมยอมรับและปฏิบตั สิ ืบตอ่ กันมา เช่นในประเทศจนี กม็ ีการนา ประเพณนี ิยมของนักปราชญอ์ ยา่ ง ขงจอื้ มาเป็นแนวทางในการบญั ญัตกิ ฎหมาย หรือประเภณีโบราณของลัทธิ ชนิ โตกใ็ ชเ้ ป็นแนวทางในการบญั ญัติกฎหมายในประเทศญป่ี นุ่ ดว้ ยเช่นกัน ฯลฯ ววิ ฒั นาการกฎหมายในประเทศไทย เดมิ กฎหมายของประเทศไทยน้ันมที ี่มาจากจารตี ประเพณี ศาสนา รวมไปถงึ พระราชโองการของ พระมหากษัตริย์ ในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยามีกฎหมายท่เี รยี กวา่ “พระราชศาสตร”์ ซึ่งพระมหากษตั รยิ ์ทรงตราขน้ึ โดย อาศยั หลกั ใน “คมั ภีรพ์ ระธรรมศาสตร์” จนกระทงั่ การเสียเมืองครง้ั ท่ี 2 ใหแ้ กป่ ระเทศพมา่ เอกสารสาคัญทาง กฎหมายไดม้ ีการถกู ทาลายและสูญหายไปเปน็ จานวนมาก ตอ่ มาในสมัยของรัชการที่ 1 แหง่ กรงุ รตั นโกสินทร์ แมจ้ ะมกี ารรวบรวมกฎหมายขนึ้ ใหม่แตก่ เ็ หลอื เพยี งหน่งึ ในสบิ ของกฎหมายทมี่ อี ยู่เดมิ ในสมยั กรงุ ศรีอยุธยา อีก ทั้งยงั มเี น้ือหาทผ่ี ิดเพ้ยี นไปจากเดิม ทาใหก้ ฎหมายที่มีอยูไ่ มส่ ามารถตดั สนิ คดีไดอ้ ยา่ งยุติธรรม รชั กาลท่ี 1 จึง ทรงชาระสะสางกฎหมายเสยี ใหมก่ ลายเป็น “กฎหมายตราสามดวง” ถือเป็นกฎหมายทีม่ คี วามสาคญั ของไทย เรา นักวชิ าการทงั้ หลายถือวา่ แมจ้ รงิ แลว้ กฎหมายตราสามดวงนกี้ ค็ อื กฎหมายในสมัยกรุงศรอี ยธุ ยานนั่ เอง

8 คดสี าคัญท่ีก่อให้เกดิ กฎหมายตราสามดวงกค็ ือ “คดอี าแดงปอ้ ม” (อาแดง เป็นคานาหนา้ ชื่อของผ้หู ญิงใน สมัยก่อน) คดีนี้มขี อ้ เท็จจรงิ คอื นายบญุ ศรี ชา่ งเหลก็ หลวง ไดร้ อ้ งทกุ ข์กลา่ วโทษพระเกษมและนายราชาอรรถ เนื่องจาก อาแดงป้อม ภรรยาของนายบุญศรีเป็นชกู้ บั นายราชาอรรถ แตอ่ าแดงปอ้ มกลบั มาฟอ้ งหยา่ นายบุญศรี นายบุญศรีไมย่ อมหยา่ แตพ่ ระเกษมกลับพจิ ารณาเขา้ ขา้ งอาแดงป้อมแล้วคัดขอ้ ความสง่ ให้ลกู ขนุ ณ ศาลหลวง มคี าตัดสนิ ใหอ้ าแดงปอ้ มกับนายบญุ ศรขี าดจากการเปน็ สามีภรรยาตามกฎหมาย เม่อื รัชการท่ี 1 ทรงทราบเร่ือง จงึ ตรสั วา่ หญิงนอกใจชายแลว้ มาฟอ้ งหยา่ ลกู ขุนปรึกษากันแแลว้ ใหห้ ยา่ ตามคาฟอ้ งน้นั ไมเ่ ป็นการยุติธรรม จึงมี พระราชโองการตรสั สัง่ ใหเ้ จา้ พระยาคลังตรวจสอบกฎหมายดงั กลา่ ว ปรากฎไดค้ วามวา่ ชายไม่ผดิ หญิงมาขอ หยา่ กส็ ามารถหยา่ ได(้ ตามทบ่ี ันทกึ ใชค้ าวา่ ชายหาผิดมไิ ดห้ ญงิ ขอหย่า ทา่ นวา่ เป็นหญิงหยา่ ชายหยา่ ได้) จึงทรง เห็นวา่ แม้แต่พระไตรปิฎกผิดเพย้ี นไป กย็ ังอาราธนาพระราชาคณะทงั้ ปวงใหท้ าสงั คายนาชาระพระไตรปิฎกให้ ถูกต้องได้ ดงั นั้นเม่อื กฎหมายผิดเพี้ยนไปกค็ วรตอ้ งชาระสะสางใหถ้ ูกตอ้ ง พระองคจ์ ึงทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ โปรกกระหมอ่ มตงั้ คณะกรรมการขึน้ มา ประกอบดว้ ยอาลักษณ์ 4 ลูกขนุ 3 ราชบณั ฑติ 4 จดั การชาระบท กฎหมายให้ถูกตอ้ ง โดยอาศยั “คัมภีรพ์ ระธรรมศาสตร”์ (เช่อื กนั วา่ เปน็ คมั ภีรท์ ีผ่ ู้ทรงอิทธฤิ ทธิ์ หรอื ผมู้ อี านาจ เหนอื คนธรรมดาแตง่ ขน้ึ เดมิ นัน้ เป็นของชาวฮินดู เปน็ หนงั สือในศาสนาพราหม์ ) เปน็ หลกั ในการบญั ญัติ กฎหมาย เชน่ เดยี วกับในสมยั กรงุ ศรีอยธุ ยา เกดิ เปน็ กฎหมายตราสามดวงขึน้ ในเวลาต่อมาเกดิ การล่าอาณานิคมจากประเทศซีกโลกตะวนั ตก เช่น ประเทศฝรั่งเศสและประเทศอังกฤษ ทา ใหเ้ กดิ เหตกุ ารณ์สาคญั ขนึ้ กค็ อื การเสียเอกราชทางศาล เนอื่ งจากต่างประเทศเหน็ วา่ ประเทศไทยเรากฎหมายป่า เถื่อน ไม่เป็นธรรม เม่อื มปี ญั หาหรือคดเี กดิ ข้ึนกจ็ ะไม่ยอมข้ึนศาลไทย และบีบบังคบั ให้รฐั บาลของไทยทา สนธิสัญญาซึ่งเรียกว่า “สิทธสิ ภาพนอกอาณาเขต” ไดม้ ีการจดั ตั้งศาลกงศุล และศาลตา่ งประเทศขน้ึ เพอื่ ใชใ้ น การพิจารณาคดสี าหรบั คนชาตนิ นั้ ๆโดยเฉพาะ ไมใ่ ช้กฎหมายของไทยและไมข่ นึ้ ศาลไทย ในสมยั รชั กาลที่ 5 ทรง มพี ระราชดารทิ ี่จะนาเอาเอกราชทางศาลกลับคนื มา โดยการแก้ไขกฎหมายให้ทดั เทยี มกบั นานาประเทศ จึงไดม้ ี ส่งขา้ ราชการและพระบรมวงศานุวงศ์ไปศกึ ษากฎหมายท่ตี า่ งประเทศเพอื่ นาความรูม้ าพฒั นากฎหมาย รวมถึง จ้างผเู้ ชย่ี วชาญดา้ นกฎหมายจากตา่ งประเทศมาเปน็ ทีป่ รึกษา ตอ่ มาทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯให้มกี ารตรวจ แกไ้ ขและปรับปรงุ กฎหมายขน้ึ ใหม่ โดยต้ังตณะกรรมการซง่ึ มพี ระบรมวงศเ์ ธอพระองค์เจ้ารพีพฒั นศักด์ิ กรม หลวงราชบุรดี เิ รกฤทธิ(์ พระบดิ าแห่งกฎหมายไทย) เปน็ ประธาน โดยรา่ งประมวลกฎหมายอาญาเสรจ็ กอ่ น(ใน สมัยน้นั คือ กฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127) อีกทั้งไดม้ กี ารตั้งคณะกรรมการข้นึ รา่ งกฎหมายอน่ื ๆด้วย ต่อมา ในสมยั รัชการท่ี 6 ก็ทรงแตง่ ตงั้ คณะกรรมการขึน้ ร่างประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยแ์ ละปรกาศใชใ้ นปี พ.ศ. 2468 แรกเรมิ่ เดมิ ทีมเี พยี ง 2 บรรพ คอื บรรพ 1 วา่ ดว้ ยบทเบด็ เสรจ็ ทั่วไป และบรรพ 2 วา่ ดว้ ยหนี้ หลังจากนั้นก็มี การร่างบรรพอืน่ ๆขน้ึ จนครบ 6 บรรพในภายหลัง

9 ในการปฏิรูประบบกฎหมายจากระบบเดิมท่ลี ้าสมยั มาเป็นระบบใหมน่ น้ั ไทยไดร้ บั เอาระบบซวี ลิ ลอว์มาใช้ซง่ึ เปน็ ระบบเดยี วกับทฝี่ รง่ั เศสและเยอรมันใช้กนั โดยระบบนี้มตี น้ กาเนดิ มาจากอาณาจกั รโรมัน เริม่ แรกเดิมทีนน้ั คณะกรรมการร่างกฎหมายประสงคท์ ่ีจะนาเอาระบบกฎหมายคอมมอน ลอวม์ าใชบ้ ังคับ แต่เนอื่ งจากระบบ กฎหมายนเ้ี ปน็ ระบบกฎหมายทไี่ มส่ ามารถลอกเลียนแบบได้ เพราะระบบกฎหมายนเี้ ป็นระบบกฎหมายท่พี ฒั นา มาเปน็ เวลาช้านานจากจารีตประเพณีและระบบสงั คมโดยเฉพาะ ตวั บทกฎหมายกไ็ ม่มกี ารรวบรวมเอาไวเ้ ปน็ หมวดหม่ทู าใหย้ ากแก่การศกึ ษา ซึ่งแตกตา่ งกับระบบซวี ิล ลอว์ ทม่ี ีการรวบรวมกฎหมายไวเ้ ป็นหมวดหมู่อย่างมี ระเบียบ ทาใหง้ ่ายแกก่ ารศกึ ษาและนามาใชเ้ ปน็ แบบอยา่ ง อกี ทง้ั ประเทศส่วนใหญน่ อกจากฝร่งั เศสและเยอรมนั แล้ว ต่างก็ใช้ระบบกฎหมายน้ที ้ังสิ้ง การที่ประเทศไทยใช้ระบบเดยี วกับนานาประเทศกจ็ ะทาใหก้ ฎหมายของไทย มคี วามเป็นสากลและเป็นทย่ี อมรับ ซง่ึ ก็จะมีผลทาใหไ้ ทยอาจไดร้ บั เอกราชทางศาลคนื ไดง้ า่ ยขน้ึ ดงั นัน้ ประเทศไทยจงึ นาเอาระบบซิวิล ลอว์มาใช้ โดยนากฎหมายของประเทศอื่นๆมาผสานเขา้ กนั กับ กฎหมายไทยดง้ั เดมิ และมกี ารปรบั ปรงุ ใหท้ ันสมยั เป็นทยี่ อมรบั ของนานาประเทศ จนในทสี่ ดุ ก็ไดร้ บั เอกราชทาง ศาลคนื มา และกฎหมายไทยกย็ งั มีการพัฒนาขึน้ มาอีกเรือ่ ยๆเพ่อื สามารถใช้แกป้ ญั หาทเ่ี กดิ ขนึ้ ในสังคมได้ จนถงึ ปจั จุบัน ลาดบั ชน้ั ของกฎหมายในประเทศไทย(ศกั ด์ิกฎหมาย) ลาดับชน้ั ของกฎหมายมีไวเ้ พอื่ บ่งบอกถงึ ระดบั สูงตา่ และความสาคัญของกฎหมายแต่ละประเภทรวมไปถงึ ภาพรวมของกฎหมายท่ีใชก้ ัน กฎหมายท่มี ลี าดบั ช้ันตา่ กว่าจะมผี ลยกเลิกหรอื ขัดตอ่ กฎหมายที่มลี าดบั ชัน้ สูงกวา่ ไมไ่ ด้ ซ่งึ เราจดั ลาดบั ได้ดงั นี้ 1.กฎหมายแมบ่ ททีม่ ีศกั ดส์ิ ูงท่สี ุด ไดแ้ ก่ รฐั ธรรมนญู รัฐธรรมนญู เปน็ กฎหมายสูงสดุ ที่ใชใ้ นการปกครองประเทศ เปน็ กฎหมายทวี่ างหลกั เกณฑ์การปกครองและ กาหนดโครงสรา้ งในการจดั ตง้ั องคก์ รบริหารของรฐั กาหนดสทิ ธิและหน้าทขี่ องประชาชนรวมไปถงึ ให้ความ คุม้ ครองสิทธแิ ละหนา้ ทด่ี ังกล่าว กฎหมายอน่ื ๆทีอ่ อกมาจะตอ้ งออกใหส้ อดคล้องกบั รัฐธรรมนูญ กฎหมายใดที่ ขัดกับรฐั ธรรมนูญจะกจ็ ะไมม่ ผี ลใช้บงั คับได้ เราอาจเปรียบเทยี บอย่างง่ายๆโดยนกึ ไปถงึ ผ้วู า่ จา้ งคนหน่งึ จ้าง ผู้รับจา้ งใหก้ อ่ สรา้ งบา้ น โดยให้หวั ขอ้ มาวา่ ตอ้ งการบา้ นทม่ี โี ครงสรา้ งแขง็ แรงมน่ั คง รูปแบบบ้านเปน็ ทรงไทย ผ้รู บั จ้างกต็ ้องทาการออกแบบและกอ่ สรา้ งให้โครงสร้างบา้ นแขง็ แรงและออกเป็นแบบทรงไทย ถ้าบา้ นออกมาไม่ ตรงตามท่ีผูว้ า่ จ้างตอ้ งการ กอ็ าจถือได้ว่าผรู้ บั จา้ งผดิ สัญญาได้ หวั ขอ้ ที่ผู้วา่ จ้างใหม้ าอาจเปรยี บไดก้ ับ รัฐธรรมนูญ ซ่ึงเพยี งแต่กาหนดกฎเกณฑ์หรอื รปู แบบเอาไว้เป็นแนวทางหรอื เป้าหมาย ส่วนการออกแบบและการ ก่อสรา้ งอาจเปรยี บไดก้ ับกฎหมายอน่ื ๆทีต่ ้องออกมาให้สอดคลอ้ งกับรัฐธรรมนูญ ถา้ ออกแบบมาหรือสรา้ งไมต่ รง

10 กบั ความต้องการกเ็ ปรยี บเทยี บไดก้ บั การออกกฎหมายอน่ื ๆมาโดยไมส่ อดคลอ้ งกับรฐั ธรรมนญู ก็จะมผี ลเปน็ การ ผิดสัญญาหรอื อาจเปรียบเทยี บในทางกฎหมายไดว้ ่ากฎหมายนน้ั ๆใชไ้ ม่ได้ 2.กฎหมายทรี่ ฐั ธรรมนญู ใหอ้ านาจแกฝ่ า่ ยนติ ิบญั ญัติหรือฝา่ ยบรหิ ารเปน็ ผู้ออก ได้แก่ ประมวลกฎหมาย พระราชบญั ญัติ พระราชกาหนด กฎหมายเหล่านถ้ี ือว่ามีศักด์เิ ปน็ ลาดบั ที่สองรองจากรฐั ธรรมนญู -ประมวลกฎหมาย คอื เปน็ การรวมรวบเอาหลักกฎหมายในเรอื่ งใหญๆ่ ซ่งึ เปน็ เรื่องทวั่ ไปมาจัดเปน็ หมวดหมู่ ให้เป็นระเบยี บ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและเพาณิชย์ ฯลฯ ประมวลกฎหมายตา่ งๆ ถือเป็นกฎหมายที่เป็นหลกั ทว่ั ๆไป ทีก่ ล่าวถงึ สทิ ธิและหนา้ ทข่ี องบคุ คลแต่ละคน บคุ คลในสังคมต้องประพฤติ ปฏิบตั ิตนอยา่ งไรและห้ามประพฤตปิ ฏบิ ัติตนอยา่ งไรบ้าง และรวมไปถึงการใหค้ วามคุ้มครองตอ่ สทิ ธติ ่างๆของ บุคคลแตล่ ะคนดว้ ย ซงึ่ ทงั้ หมดนอี้ ยู่ภายใตก้ ฎเกณฑ์ตา่ งๆที่รฐั ธรรมนญู วางไว้ -พระราชบัญญตั ิ เปน็ กฎหมายเฉพาะเรอื่ งใดเรอื่ งหนึง่ คือเปน็ กฎหมายท่ีออกมาใชเ้ พ่อื วตั ถุประสงคอ์ ยา่ ง หน่งึ อยา่ งใด เช่น พระราชบญั ญตั ิล้มละลาย กจ็ ะเปน็ เรื่องเฉพาะเก่ียวกบั การลม้ ละลาย หรอื พระราชบญั ญัติ สัญชาติ กจ็ ะเกยี่ วข้องเฉพาะกับเร่อื งสญั ชาตขิ องบคุ คล ฯลฯ ซึ่งพระราชบัญญตั ินจี้ ะมสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกับฝ่าย บริหารหรือก็คอื รัฐบาลค่อนขา้ งมาก เพราะฝ่ายบริหารจะเปน็ ผู้กาหนดนโยบายในการบรหิ ารประเทศ และเสนอ กฎหมายเฉพาะเรอ่ื งท่ีเก่ยี วขอ้ งกบั นโยบายนัน้ ๆให้สภานติ ิบญั ญัตทิ าการออกนัน่ เองและกฎหมายท่ีออกมาน้นั แมจ้ ะมกี ารเปลี่ยนฝ่ายบริหารหรอื ฝ่ายรัฐบาลแลว้ ก็จะมีผลใชบ้ ังคบั อยู่ จนกว่ากฎหมายนั้นจะถกู ยกเลกิ หรือมี การแกไ้ ขเปลีย่ นแปลง -พระราชกาหนด เป็นกฎหมายที่ออกโดยฝา่ ยบรหิ ารหรือก็คือรฐั บาล เป็นกฎหมายท่ีออกใชไ้ ปพลางก่อนใน กรณีท่ีมจี าเป็นเรง่ ดว่ น หลงั จากมีการใชไ้ ปพลางกอ่ นแล้ว ในภายหลงั พระราชกาหนดนั้นก็อาจกลายเปน็ พระราชบญั ญัตซิ ึ่งจะมผี ลบังคบั เปน็ การถาวรได้ ถา้ สภานิตบิ ัญญตั ใิ ห้การอนมุ ตั ิ แตถ่ ้าสภาไม่อนมุ ตั ิพระราช กาหนดน้ันกต็ กไป แตจ่ ะไม่ทระทบกระเทอื นถึงกจิ การท่ีไดก้ ระทาไปในระหวา่ งใช้พระราชกาหนดนน้ั ซึง่ พระราช กาหนดจะออกไดเ้ ฉพาะกรณตี ่อไปน้ีเท่านน้ั คอื กรณที ่มี ีความจาเปน็ เรง่ ดว่ นเพ่ือรกั ษาความปลอดภัยของ ประเทศ หรือความปลอดภัยสาธารณะ หรอื เพ่ือรกั ษาความม่นั คงในทางเศรษฐกจิ ของประเทศ หรอื เพือ่ จะ ป้องกันภยั พิบัตสิ าธารณะ หรอื มคี วามจาเป็นต้องมกี ฎหมายเกยี่ วด้วยภาษอี ากรหรอื เงนิ ตรา 3.กฎหมายทฝี่ า่ ยบรหิ ารเป็นผอู้ อก ไดแ้ ก่ พะราชกฤษฎกี า กฎกระทรวง (ก).พระราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายทีอ่ อกโดยฝา่ ยบรหิ าร ซ่ึงจะออกได้เฉพาะในกรณีตอ่ ไปนค้ี ือ

11 -รัฐธรรมนูญกาหนดให้ตราเปน็ พระราชกฤษฎกี าในกจิ การอนั สาคัญที่เกย่ี วกบั ฝา่ ยบริหารและฝ่ายนติ ิ บัญญัติ เชน่ พระราชกฤษฎีกาเรยี กประชุมรฐั สภา พระราชกฤษฎกี ายบุ สภาผู้แทนราษฎร ฯลฯ -โดยอาศัยอานาจตามกฎหมายแม่บทซึ่งก็คือ พระราชบัญญัติ หรอื พระราชกาหนด คอื จะต้องมี พระราชบัญญตั หิ รือพระราชกาหนดใหอ้ านาจในการออกไว้ เช่น พระราชบญั ญัตจิ ดั ตง้ั ศาลภาษอี ากร พ.ศ. 2528 กาหนดวา่ หากจะเปิดศาลภาษอี ากรจงั หวดั เมอื่ ใด ตอ้ งประกาศโดยพระราชกฤษฎีกา ฯลฯ ดว้ ยการทีพ่ ระ ราชกฤษฎีกาเป็นกฎหมายทม่ี ศี กั ดต์ิ ่ากวา่ พระราชบญั ญตั ิและพระราชกาหนด ดงั นน้ั จะออกมาขดั กบั พระราชบญั ญตั ิหรือพระราชกาหนดซึ่งเปน็ กฎหมายแมบ่ ทน้ันไมไ่ ด้ -กรณีท่ีจาเปน็ อ่นื ๆในเรือ่ งใดก็ได้ แตต่ อ้ งไมข่ ัดต่อกฎหมาย (ข).กฎกระทรวง เปน็ กฎหมายที่รัฐมนตรแี ตล่ ะกระทรวงเป็นผอู้ อก โดยอาศยั อานาจจากกฎหมายแม่บทซงึ่ ก็ คอื พระราชบัญญตั ิหรอื พระราชกาหนดฉบับใดฉบับหนึ่ง เพอื่ ดาเนนิ การใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมายนัน้ ๆ พระราชบัญญัตหิ รือพระราชกาหนดจะกาหนดกฎเกณฑก์ วา้ งๆเอาไว้ ส่วนกฎกระทรวงกจ็ ะมากาหนด รายละเอยี ดอกี ช้ันหน่งึ เชน่ ในพระราชบญั ญตั วิ ธิ ปี ฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 ไดก้ าหนดวา่ ในกรณีท่ี ใชม้ าตรการบงั คับทางปกครองโดยการยึดหรืออายดั ทรพั ยส์ ินของบุคคลใดเพือ่ ขายทอดตลาด ผ้ทู มี่ ีอานาจส่งั ให้ ยดึ อายดั หรอื ขายทอดตลาดทรพั ยส์ นิ นน้ั ให้เป็นไปตามทก่ี าหนดไว้ในกฎกระทรวง เรากต็ อ้ งไปศกึ ษาใน กฎกระทรวงอกี ชนั้ หน่ึงว่าผทู้ ่มี ีอานาจสั่งนัน้ คือใครบา้ ง ฯลฯ 4.กฎหมายทอ่ี งคก์ ารปกครองสว่ นทอ้ งถิ่นเป็นผูอ้ อก ได้แก่ เทศบญั ญตั ิ ข้อบัญญัตจิ ังหวัด ข้อบังคับ สขุ าภิบาล ข้อบัญญตั กิ รุงเทพมหานคร ข้อบญั ญัติเมืองพทั ยา เป็นกฎหมายท่ีออกมาใช้บงั คบั โดยเฉพาะในแต่ละองคก์ ารปกครองส่วนท้องถิ่น เพ่อื ใหเ้ ปน็ ไปตามหนา้ ทขี่ อง องคก์ ารปกครองส่วนท้องถน่ิ นัน้ หรือในกรณที ่ีกฎหมายให้อานาจไวก้ ็ทาการออกไดเ้ ชน่ กัน เช่น ขอ้ บญั ญัติ กรงุ เทพมหานคร เปน็ กฎหมายทก่ี รุงเทพมหานครตราขนึ้ เพอื่ ใช้บงั คับในเขตกรงุ เทพมหานครเท่านน้ั หรอื เทศ บัญญัติ ก็เป็นกฎหมายทเี่ ทศบาลบญั ญัติขึ้นใช้บงั คบั เฉพาะในเขตเทศบาลของตน

12 ประเภทของกฎหมาย การแบ่งแยกประเภทกฎหมายทน่ี ิยมใช้กนั มอี ยู่ 2 ประเภท คอื 1.การแบง่ แยกประเภทของกฎหมายตามลกั ษณะแห่งการใช้ เปน็ การแบ่งแยกโดยพจิ ารณาถงึ ลักษณะการใช้ กฎหมายเป็นหลัก ได้แก่ -กฎหมายสารบญั ญตั ิ คือกฎหมายทีบ่ ญั ญตั ถิ งึ เนือ้ หาหรอื เรอ่ื งท่ัวๆไป เป็นกฎหมายที่ใชค้ วบคมุ ความ ประพฤตริ วมไปถงึ กาหนดสิทธิและหนา้ ทตี่ า่ งๆของพลเมอื งไว้ เชน่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ประมวล กฎหมายอาญา -กฎหมายวิธีสบัญญัติ คือกฎหมายท่บี ัญญตั ถิ งึ กระบวนการหรือวธิ กี ารทจี่ ะบงั คับหรือดาเนนิ การใหเ้ ปน็ ไป ตามกฎหมายสารบัญญัตนิ ่ันเอง ไดแ้ กป่ ระมวลกฎหมายวิธพี ิจารณาความแพง่ หรือประมวลกฎหมายวธิ ี พิจารณาความอาญา ฯลฯ ตวั อยา่ งเชน่ ในประมวลกฎหมายอาญาบญั ญัตวิ า่ ผู้ใดฆ่าผ้อู ่นื ผนู้ ้นั มคี วามผิด แต่ ไม่ไดก้ าหนดว่ามีจะนาตวั ผกู้ ระทาความผิดมาลงโทษได้อยา่ งไร ไม่มขี ้นั ตอนการดาเนนิ การกาหนดไว้ เรากต็ ้อง อาศยั บทบัญญตั ิในประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความอาญา ในการจบั ตวั ผกู้ ระทาความผิดมาลงโทษ เราอาจ เปรยี บเทยี บเป็นตวั อย่างงา่ ยๆไดว้ ่า หากเราเปรียบเทยี บวา่ กฎหมายสารบญั ญัตเิ ปรยี บได้กับเคร่ืองกรองนา้ ที่ใช้ ในการกรองน้าใหส้ ะอาด กฎหมายวธิ ีสบญั ญตั ิกจ็ ะหมายถงึ วธิ กี ารใชเ้ ครือ่ งกรองนา้ นัน้ หรือกระบวนการการ ทางานของเครอื่ งกรองนา้ ซึ่งเป็นท่มี าของนา้ สะอาดใหเ้ ราใชด้ ม่ื กนิ นั่นเอง ถา้ เราไม่รวู้ ธิ ีใช้หรือไม่มกี ระบวนการ การกรองนา้ ตดิ ตั้งอยใู่ นเครื่อง เราก็จะทาการกรองนา้ ใหส้ ะอาดไมไ่ ด้ เชน่ เดยี วกันนี้ถ้าไมม่ ีกฎหมายวธิ ีสบัญญตั ิ การบงั คบั ให้เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญัติกจ็ ะทาไดย้ าก เพราะไม่มแี บบแผนและวิธีการแน่นอน ขาดความ เปน็ ระเบยี บและไรป้ ระสิทธภิ าพ 2.แบ่งแยกประเภทของกฎหมายตามลักษณะของความสัมพันธ์ของคกู่ รณี ไดแ้ ก่ -กฎหมายเอกชน เป็นกฎหมายทกี่ าหนดถึงความสมั พันธ์ระหวา่ งเอกชนดว้ ยกนั เอง ซ่ึงกาหนดถงึ สิทธแิ ละ หนา้ ทข่ี องแตล่ ะเอกชน รวมไปถึงสทิ ธิและหน้าทีข่ องเอกชนท่ีมตี อ่ เอกชนดว้ ยกันด้วย กฎหมายเอกชนกไ็ ด้แก่ กฎหมายแพง่ และกฎหมายพาณิชย์ กฎหมายแพ่งจะกาหนดถงึ สิทธแิ ละหน้าท่ีรวมไปถงึ ความสมั พนั ธ์ของ บคุ คลต้งั แต่เกดิ จนตาย สว่ นกฎหมายพาณชิ ย์ก็จะกาหนดสทิ ธิและหน้าทีร่ ะหว่างบุคคลทเี่ ข้ามามคี วามสัมพนั ธ์ ทางเศรษฐกิจตอ่ กัน เชน่ กาหนดถงึ สทิ ธแิ บะหนา้ ทรี่ ะหว่างคสู่ ัญญาซอื้ ขาย คู่สญั ญากยู้ มื เงนิ ฯลฯ

13 -กฎหมายมหาชน เปน็ กฎหมายทใี่ ชบ้ งั คับความสัมพันธร์ ะหวา่ งรัฐ หน่วยงานของรฐั หรือเจา้ หนา้ ท่ีของรฐั ดว้ ยกนั หรือความสัมพันธร์ ะหวา่ งรฐ หน่วยงานของรัฐ หรอื เจา้ ที่ของรฐั กบั ประชาชน เช่น รฐั ธรรมนญู กฎหมาย ปกครอง กฎหมายอาญา พระธรรมนญู ศาลยตุ ิธรรม ประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณาความอาญา ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ -กฎหมายระหว่างประเทศ เปน็ กฎหมายที่กาหนดถงึ กฎเกณฑค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งประเทศ เนอื่ งจาก ประเทศตา่ งๆในโลกตอ้ งมกี ารตดิ ต่อมคี วามสัมพันธ์กับประเทศอน่ื ๆ ทั้งในการค้า เศรษฐกจิ และการ ประสานงานชว่ ยเหลือในเร่ืองตา่ งๆ ซ่งึ กฎหมายระหวา่ งประเทศอาจมาในรูปของสนธสิ ญั ญา จารตี ประเพณีหรือ ความตกลงกันระหวา่ งประเทศ กฎหมายระหวา่ งประเทศอาจไมม่ สี ภาพบงั คับท่ีชัดเจน แต่กถ็ อื เป็นกฎหมายได้ เนอื่ งจากเป็นกฎเกณฑ์ทตี่ ั้งขน้ึ มาเพื่อใชเ้ ป็นเคร่ืองมือสาหรับดาเนนิ การใหเ้ ป็นไปตามเปา้ หมายอยา่ งหนง่ึ อยา่ ง ใดของรัฐ เช่นกฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดีเมือง กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดอี าญา ฯลฯ การใชบ้ ังคบั กฎหมาย การท่จี ะทาให้กฎหมายมผี ลบังคับใช้ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพนน้ั จาเปน็ ตอ้ งมีหลักเกณฑด์ ังตอ่ ไปน้ี 1.การประกาศใช้กฎหมายเพอื่ ให้ประชาชนทราบ เพอื่ ใหป้ ระชาชนได้รับทราบวา่ มกี ฎหมายใดออกมาใช้ บังคับแลว้ กจ็ ะมกี ารจดั พมิ พ์ “ราชกจิ จานุเบกษา” ซ่ึงจัดพิมพ์ข้ึนเผยแพร่ทุกๆสัปดาหเ์ พอื่ ประกาศให้ประชาชน และหนว่ ยงานราชการทราบถงึ กฎหมาย คาสง่ั ระเบยี บขอ้ บงั คบั รวมไปถึงขอ้ เท็จจรงิ ท่ีสาคญั อยา่ งใดๆหรือ ขอ้ เทจ็ จรงิ ซงึ่ มกี ฎหมายกาหนดไว้วา่ จะมีผลสมบรู ณ์กต็ ่อเมื่อมกี ารประกาศลงในราชกจิ จานเุ บกษา เม่อื มกี าร ประกาศแลว้ ใหถ้ ือว่าประชาชนทกุ คนทราบโดยถ้วนหนา้ กัน ประชาชนจะอา้ งวา่ ไมร่ ู้กฎหมายไมไ่ ด้ ดังทม่ี ีหลกั ทว่ั ไปในการใชบ้ งั คบั กฎหมายว่า “ความไม่รูก้ ฎหมาย ไมเ่ ปน็ ขอ้ แก้ตวั ” 2.วนั เร่ิมใชก้ ฎหมาย กค็ อื วนั ท่กี าหนดใหก้ ฎหมายที่ได้ประกาศลงในราชกจิ จานุเบกษาแล้วมผี ลบงั คับใช้ น่ันเอง โดยปกตเิ ม่อื มกี ารประกาศใชก้ ฎหมายกจ็ ะมกี ารกาหนดวนั ใช้บงั คับไวใ้ นกฎหมาย ซง่ึ กม็ ีดงั นี้ -กาหนดให้ใชต้ ง้ั แตว่ นั ท่ปี ระกาศในราชกจิ จานเุ บกษา คือมีการประกาศลงในราชกจิ จานเุ บกษาเมื่อใดกม็ ผี ล ใช้บงั คับในวันน้นั ทนั ที ใชใ้ นกรณที ่ีจาเป็นเร่งดว่ นหากใชบ้ งั คบั ลา่ ชา้ ไปอาจทาให้มผี ลเสยี หายเกดิ ขึน้ ได้ -ใหใ้ ชต้ ง้ั แตว่ นั ถัดจากวันที่ประกาศในราชกิจจานเุ บกษา คือมผี ลใช้บังคบั ถดั ในวนั ถดั ไปหลงั จากวนั ท่ไี ด้ ประกาศลงในราชกจิ จานเุ บกษา เพอ่ื ใหป้ ระชาชนไดม้ ีโอกาสทราบล่วงหนา้ ก่อนหนง่ึ วัน ซงึ่ เป็นวิธที ่ใี ช้ปฏิบัติอยู่ เปน็ ประจา

14 -กาหนดให้ใชใ้ นอนาคต คอื กาหนดใหม้ ีผลใชบ้ งั คับภายหลงั ท่มี ีการประกาศลงในราชกจิ จานุเบกษาหลายๆ วนั เพื่อใหท้ างราชการ เจา้ พนักงานและประชาชนเตรยี มพรอ้ มหรอื ทจ่ี ะปฏิบตั ติ ามกฎหมายนน้ั -ในกรณที ไี่ มไ่ ด้กาหนดวันใชบ้ งั คบั ไว้ คือมกี ารประกาศใหป้ ระชาชนทราบแต่ไม่ไดก้ าหนดวา่ กฎหมายที่ ประกาศน้ันจะให้มผี ลใช้บังคบั เมอ่ื ใด วนั ทีม่ ผี ลใชบ้ ังคับอาจกาหนดขน้ึ ตามมาภายหลัง ***กฎหมายจะไมม่ ีผลย้อนหลังในทางเป็นโทษ คอื เม่อื มกี ฎหมายใหม่ออกมาหรอื มกี ารแก้ไขกฎหมายในทาง ที่เป็นโทษแก่บคุ คลใด กจ็ ะมีผลตั้งแตว่ นั ที่กาหนดใหม้ ีผลใช้บงั คบั เป็นตน้ ไปเท่านัน้ จะไมม่ ีผลย้อนไปกอ่ นวันท่ี กาหนดใหก้ ฎหมายน้นั มีผลใช้บังคบั เช่น ก่อนวนั ท่ี 1 มกราคม 2539 การขบั รถโดยไม่คาดเข็มขดั นริ ภัยไม่เป็น ความผิด ตอ่ มาตงั้ แตว่ นั ที่ 1 มกราคม 2539 มกี ฎหมายประกาศใช้บังคบั วา่ ผู้ขบั ขร่ี ถยนตจ์ ะต้องคาดเขม็ ขดั นริ ภยั หากไมป่ ฏบิ ัติตตามจะมีความผิด เชน่ น้กี ฎหมายจะไมม่ ผี ลย้อนไปเอาผดิ แกบ่ คุ คลท่ีกระทาการฝ่าฝืนกอ่ น วนั ท่ี 1 มกราคม 2539 จะมผี ลเอาผดิ กบั บุคคลท่ีฝ่าฝืนนบั แต่วันที่ 1 มกราคม 2539 เทา่ นัน้ แต่กฎหมายจะมีผลย้อนหลังในทางทเี่ ป็นคณุ คือ เมือ่ มกี ฎหมายใหมอ่ อกมาหรือมกี ารแก้ไขกฎหมายในทาง ทีเ่ ปน็ ประโยชนแ์ ก่บคุ คล ก็จะมีผลใชบ้ ังคับย้อนหลงั ไปกอ่ นวันทก่ี าหนดใหก้ ฎหมายนน้ั มีผลใชบ้ งั คบั ด้วย เชน่ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บญั ญตั วิ า่ “ถา้ กฎหมายทใ่ี ชใ้ นขณะกระทาความผิดแตกตา่ งกบั กฎหมายท่ี ใชใ้ นภายหลงั การกระทาความผดิ ใหใ้ ชก้ ฎหมายในสว่ น ทเ่ี ป็นคณุ แก่ผูก้ ระทาความผดิ ไม่วา่ ในทางใด...” ฯลฯ 3.สถานทีใ่ ชก้ ฎหมาย กฎหมายย่อมใชบ้ งั คับได้ทวั่ ราชอาณาจักรเว้นแตจ่ ะมบี ทบญั ญัตเิ ปน็ การเฉพาะวา่ กฎหมายใดใหใ้ ชเ้ ฉพาะในท้องทใ่ี ด หรือใหใ้ ช้บังคับแกก่ ารกระทาหรอื เหตุการณท์ เ่ี กดิ ขน้ึ นอกราชอาณาจกั ร เชน่ ตามบทบัญญตั ิของพระราชบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยการใชก้ ฎหมายอิสลามในเขตจงั หวดั ปัตตานี นราธิวาส ยะลา สตลู พ.ศ. 2498 กาหนดวา่ ในการพจิ ารณาวนิ ิจฉัยคดแี พง่ เก่ียวกับเรอ่ื งครอบครัวและมรดกของผทู้ ่ีนับถือศาสนา อิสลามของศาลชน้ั ต้นในเขต 4 จังหวดั ใหก้ ฎหมายอสิ ลามวา่ ดว้ ยครอบครวั และมรดกแทนประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณชิ ย์ หรือการกระทาความผดิ บางประเภทที่ได้กระทาขึ้นนอกราชอาณาจักร กอ็ าจถกู ลงโทษในราช อาณจกั รได้ เชน่ ความผิดฐานปลอมแปลงเงินตรา ฯลฯ 4.บุคคลท่ีกฎหมายใชบ้ งั คับ โดยท่ัวไปแล้วกฎหมายย่อมใชบ้ ังคับแก่บุคคลในสงั คม แตก่ ม็ ขี ้อยกเว้นแก่ บคุ คลบางประเภทซึง่ กฎหมายไม่อาจใชบ้ งั คับดว้ ยได้ แต่บคุ คลเหล่านน้ั ตอ้ งมกี ฎหมายบัญญตั ิยกเว้นไวโ้ ดยชดั แจ้ง เชน่

15 -ตามกฎหมายไทย รฐั ธรรมนญู กาหนดวา่ กฎหมายจะไมใ่ ช้บงั คับแก่พระมหากษตั ริย์ เพราะถือว่าทรงดารง อยใู่ นฐานะอนั เปน็ ทเี่ คารพสกั การะ ผู้ใดจะล่วงละเมดิ ไม่ได้ ผู้ใดจะฟ้องพระมหากษัตรยิ ์เป็นคดีแพง่ หรอื คดีอาญาไม่ได้ทงั้ สน้ิ ฯลฯ -ตามกฎหมายอืน่ เชน่ ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศกาหนดวา่ จะไมใ่ ชก้ ฎหมายภายในประเทศของตน บังคับแก่ ฑตู บุคคลในคณะฑตู หรือประมขุ ของรฐั ต่างประเทศ เพ่ือเปน็ การใหเ้ กยี รติแกบ่ คุ คลดงั กล่าว ฯลฯ 5.การใช้กฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ ก็คือการนาบทบญั ญัตขิ องกฎหมายไปปรบั เขา้ กับข้อเทจ็ จรงิ ทีเ่ กิดขึน้ และ สรปุ ออกมาวา่ จะมีผลทางกฎหมายอยา่ งไรบ้างน่นั เอง ซง่ึ จะกล่าวโดยละเอยี ดในภายหลงั ข้อคดิ บางประการเก่ยี วกับกฎหมาย กฎหมายเป็นเครื่องมอื อยา่ งหนงึ่ เพอื่ ทาใหส้ งั คมมคี วามเป็นระเบยี บและสงบสุข ซง่ึ ด้วยขอ้ จากัดหลายๆ ประการทาใหก้ ฎหมายไม่อาจแกไ้ ขปญั หาได้ในทุกๆเรอ่ื ง เป็นผลทาใหเ้ ราคดิ วา่ กฎหมายไม่ดบี า้ ง กฎหมายไม่ ศักด์สิ ทิ ธบิ์ ้าง ไมม่ ใี ครเกรงกลัวกฎหมายบา้ ง และมีการแก้ไขกันอย่เู รอ่ื ยไป แต่เรากาลงั มองขา้ มจดุ สาคญั ไปอยา่ งหนึง่ กค็ อื กฎหมายกเ็ ปน็ เพียงข้อความหรือตวั หนังสอื ธรรมดาๆถา้ ไม่มี ผู้นากฎหมายนน้ั มาใช้ กฎหมายอาจกลายเปน็ อาวธุ ป้องกันตัวทดี่ ีเยย่ี มถา้ เราใชม้ ันโดยถกู ตอ้ ง แต่กฎหมายก็ อาจเปน็ อาวธุ ทาร้ายผูอ้ ่ืนไดเ้ ชน่ กันถา้ ใช้มนั ผดิ วิธี ดงั นนั้ จดุ สาคญั ไมไ่ ด้อย่ทู ่วี ่ากฎหมายดีหรอื ไมด่ ีเพียงอยา่ ง เดียว แตผ่ ู้ใชก้ ฎหมายก็ตอ้ งใช้กฎหมายในทางทถี่ ูกตอ้ งเหมาะสมดว้ ย จะขาดปัจจัยอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดไปไมไ่ ด้ จริงๆแลว้ กฎหมายนนั้ ไมจ่ าเปน็ ตอ้ งมีกไ็ ด้ ถา้ คนในสังคมอยู่กันอยา่ งเป็นระเบยี บและสงบสขุ แตส่ งั คมแบบนั้น เปน็ เพียงสังคมทอี่ ยู่ในอดุ มคติเทา่ นั้น ในความเป็นจรงิ แล้วตรงกนั ข้ามกนั อย่างมาก ดังนั้นกฎหมายจึงยังมคี วาม จาเปน็ ตราบเทา่ ท่ียงั มสี งั คมอยู่ ส่ิงทส่ี ังคมเราต้องชว่ ยกันดาเนนิ การในตอนน้เี ป็นอันดับแรก ไม่ใชก่ ารแกไ้ ขกฎหมายเพอื่ ใหส้ ามารถใชเ้ ป็น เครื่องมอื ในการแก้ไขปญั หาไดท้ กุ เรือ่ ง เพราะปัญหาจะเกิดขึ้นมาใหมเ่ รื่อยๆตามสภาพสงั คมและกาลเวลา แต่ เราตอ้ งพัฒนาตัวบคุ คลในสงั คม พฒั นาตวั ผ้ใู ชก้ ฎหมาย ใหม้ คี วามรูแ้ ละมศี ลี ธรรมควบค่กู นั ไป กฎหมายน้ัน ออกโดยคนในสงั คมและผใู้ ชก้ ค็ อื คนในสงั คม ดงั น้ันถา้ คนในสังคมมคี ุณภาพแลว้ กฎหมายและการใช้บงั คับกจ็ ะ ดีตามไปด้วยน่นั เอง และน่ีคอื การแกไ้ ขปัญหาสงั คมทีเ่ กดิ ข้ึนท่ีตน้ เหตโุ ดยแทจ้ ริง

16 รวบรวมจาก 1.คาบรรยายหลักกฎหมายเอกชน รศ.ณัฐพงศ์ โปษกะบุตร,รศ.พรชยั สนุ ทรพนั ธุ์ 2.ประวตั ิศาสตร์กฎหมายไทยและระบบกฎหมายหลัก รศ.กาธร กาประเสรฐิ ,รศ.สุเมธ จานประดับ 3.คาอธบิ ายรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย(พ.ศ.2540) ผชู้ ว่ ยศาสตราจารยม์ านิตย์ จมุ ปา คณะ นิตศิ าสตร์ จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลยั 4.ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ รวบรวมโดย พิชัย นิลทองคา ผพู้ ิพากษา 5.พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 http://oknation.nationtv.tv/blog/knownledgelaw/2007/09/01/entry-2 (8 พ.ย. 2564)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook