Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย

Published by ปัญญา ภู่ขวัญ, 2021-11-21 04:00:24

Description: ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับกฎหมาย

Search

Read the Text Version

1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกบั กฎหมาย รวบรวม โดย. ปญั ญา ภขู่ วญั

2 ความรเู้ บ้อื งตน้ เกยี่ วกบั กฎหมาย ทาไมต้องมกี ฎหมาย มนุษยเ์ ป็นสตั ว์ทีอ่ ยรู่ วมกนั เปน็ กลุ่ม หรือคานยิ ามท่เี รยี กวา่ สตั วส์ งั คม การที่มารว่ มกันอยู่เป็นจานวนมาก จะต้องเกดิ มีเห็นท่ีแตกตา่ งกัน เกดิ การขดั แยง้ ดังนั้นจงึ ตอ้ งมีการต้งั กฎและระเบยี บข้ึนเพ่ือจากดั สิทธิบางอยา่ ง และให้มีเสรภี าพเทา่ ทีจ่ าเป็น เพอ่ื ท่มี นษุ ยจ์ ะไดอ้ ย่รู ว่ มกันอย่างมคี วามสขุ ไมใ่ หเ้ กิดความขัดแยง้ เข่นฆา่ กนั ขึน้ กฎและระเบยี บตา่ งๆ ในโลกน้ี มีคู่กบั มนษุ ยม์ านานแลว้ ตง้ั แตม่ นษุ ยเ์ ร่ิมรวมตวั กันเป็นกลุ่ม โดยใหน้ ึกยอ้ นกลบั ไปเมื่อสมยั พันๆ ปที ี่แล้วท่ีมนษุ ยย์ ังอาศัยอยตู่ ามถา้ ตามปา่ อยู่แบบหากินตวั ใครตัวมนั และยังไมส่ ือ่ สารกันรู้ เรอ่ื ง แต่เมอ่ื มกี ารววิ ัฒนาการสื่อสารกันเขา้ ใจ กเ็ กดิ การรวมตัวกนั เป็นกลมุ่ เปน็ เหลา่ เป็นสงั คม จากนัน้ กม็ ีเกดิ ผู้ มีอานาจ มีกาลงั ท่ีเหนือกวา่ คนอน่ื ต้ังตัวเป็นหัวหนา้ หรือผนู้ า แลว้ ออกกฎระเบยี บ เพอ่ื ปกครองกลุ่มของตน ให้ อยู่รว่ มกันได้ หรือออกมาในรปู แบบพ่อมด แม่มด หรอื หมอผี ซ่งึ ระเบยี บข้อกาหนดดงั กลา่ วจะถูกสร้างขน้ึ มาโดย ถอื เอาความกลวั หรอื ความไมร่ ูข้ องมนุษยเ์ ปน็ ตวั ตงั้ จากน้ันต่อมามนษุ ยก์ ็พยายามคน้ หาวธิ ีทจี่ ะชนะความกลวั คน้ หาความไม่รู้ กบั สิง่ ตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ บน โลกใบน้ี แต่โดยเน้ือหาแทๆ้ มนษุ ยพ์ ยายามสรา้ งระเบยี บแบบแผน ที่ไม่ใชน่ ามากาหนดแตก่ ารเฉพาะจากการ กระทาของมนุษย์ มนษุ ยไ์ ดพ้ ยามยามสรา้ งระเบียบข้ึนมาเพือ่ จากดั ความคิด สามญั สานกึ อันมีผลสาคัญที่จะ เชื่อมโยงไปถงึ การรกระทาท่ีจะแสดงออกมาภายนอก โดยใช้หลกั ธรรมชาติเปน็ ท่ตี งั้ โดยหลักการที่ว่า \"ทาดไี ดด้ ี ทาชวั่ ไดช้ ั่ว\" ทาให้เกดิ เป็นหลักศาสนาหรอื ลัทธิตา่ งๆ เกดิ ขึน้ มาบนโลกใบน้ี จึงถอื ไดว้ า่ ศาสนาหรือลิทธกิ ค็ อื หลักขอ้ บังคบั หรือระเบียบของโลก ท่ีควบคมุ จิตใจมนุษย์ เพือ่ ใหม้ นุษยอ์ ยู่ รว่ มกนั อยา่ งมีความสขุ ไม่ให้เกดิ การเบียดเบยี น หรือเกิดความขดั แย้งกนั ขนึ้ โดยกฎหมายทเี่ ราใชท่ กุ วันนไี้ มว่ า่ จะเปน็ กฎหมายใด ของประเทศใด ก็ถูกย่อยลงมาจากหลักศาสนาท้ังสนิ้ บนพ้ืนฐานของคาสอนของศาสดา ของ ศาสนาหรือคาสอนของเจา้ ของลทั ธินั้นๆ หากเรามองย้อนกลับไปยงั อดีต หากเราไม่มพี ระพุทธเจา้ ไมม่ พี ระเยซู ไม่มี นบมี ฮู มั มัด หรือผนู้ าศาสนาอน่ื ๆ หรอื นาลัทธิ บนโลกใบนี้ ไมม่ ศี าสนา ไมม่ ีหลกั คาสอนของทา่ นเหลา่ นั้น เพอื่ เปน็ หลักคาสอน จรรโลงจติ ใจ หรือ เพื่อควบคุมจติ ใจมนษุ ยใ์ นการดารงคช์ วี ติ อะไรจะเกดิ ข้นึ กบั มนษุ ย์ มนษุ ยอ์ าจจะไม่ใชเ่ จ้าโลกก็ได้ หรืออาจสูญ พนั ธ์ุไปนานแลว้ เพราะมนษุ ยจ์ ะเข่นฆา่ กนั เอง ถ้าเป็นอย่างนั้นจรงิ สัตวท์ ีเ่ ป็นเจา้ โลกอาจจะเปน็ นก หนู กา ไก่ ก็ เป็นได้ แตถ่ ึงแมจ้ ะมีหลักศาสนาหลักคาสอนของลัทธิ มนษุ ยก์ ย็ ังเข่นฆ่าแยง่ ชงิ ผลประโยชน์อยไู่ ม่จบสน้ิ ตามที่ เหน็ อย่ทู กุ วนั นี้

3 ความหมายของกฎหมาย ทีม่ า จุดประสงคแ์ ละความสาคญั ของกฏหมาย ความหมายของกฎหมาย ได้มผี ู้ให้ความหมายของกฏหมายไว้ดงั นี้ - กรมหลวงราชบุรีดเิ รกฤทธ์ิ พระบดิ าแห่งกฏหมายไทย \"กฏหมาย คือ คาส่งั ทั้งหลายของผู้ปกครองว่า การแผน่ ดนิ ต่อราษฏรท้ังหลาย เมอ่ื ไม่ทาตาม ธรรมดาตอ้ งลงโทษ\" - ดร.สายหยดุ แสงอทุ ัย\"กฏหมาย คือขอ้ บงั คับของรัฐทกี่ าหนดความประพฤติของมนษุ ย์ ถา้ ฝา่ ฝืนจะ ได้รับผลรา้ ยหรือถูกลงโทษ\" กฏหมาย สามารถแยกไดเ้ ปน็ 2 คาคือ คาวา่ กฏซง่ึ แผลงมาจากคาวา่ กด หรอื กาหนดความประพฤตขิ องมนุษย์ ถา้ ฝา่ ฝืนจะได้รับผลรา้ ยและถูกลงโทษ จากคาจากดั ความของกฏหมายข้างต้น สามารถสรปุ ความหมายของกฏหมายไดว้ า่ หมายถงึ ระเบยี บ ข้อบงั คับ บทบัญญตั ิซง่ึ ผ้มู ีอานาจสูงสดุ ในรฐั หรอื ประเทศ ได้กาหนดมาเพ่ือใช้ในการบรหิ ารกจิ การบ้านเมอื งหรือ บังคับความประพฤติของ ประชาชนในรัฐหรอื ประเทศนน้ั ใหป้ ฏบิ ตั ติ าม เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความสงบสุขในสังคม หาก ผใู้ ดฝ่าฝืนจะได้รับผลอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ตามกฏหมาย ลกั ษณะสาคญั ของกฏหมาย กฏหมายมลี กั ษณะสาคญั สรปุ ได้ดงั นี้ 1.กฏหมายมลี กั ษณะเปน็ ข้อบงั คบั ซึ่งแบ่งไดเ้ ปน็ 2 ลกั ษณะ คือ บงั คบั ไมใ่ หก้ ระทา เชน่ ห้ามลกั ทรพั ย์ หา้ มทารา้ ยรา่ งกาย ห้ามเสพสง่ิ เสพย์ติด บงั คับใหก้ ระทา เชน่ ประชาชนชาวไทยเมือ่ มอี ายุ 15 ปี ต้องมบี ตั รประจาตวั ประชาขน ผ้มู ีรายไดต้ อ้ งเสียภาษี อากร เป็นต้น 2. กฏหมายมลี กั ษณะเปน็ คาสัง่ หรอื ขอ้ บังคบั ทีเ่ กดิ มีขนึ้ โดยผมู้ อี านาจสงู สุดใน รัฐ เช่น ในระบอบสมบูรณาญา สิทธริ าช พระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ผ้อู อกกฏหมาย ส่วนประเทศทมี่ กี ารปกครองระบอบประชาธิปไตย มีรฐั สภา เปน็ ผู้ออกกฏหมาย และพระราชบัญญัติ มีรัฐบาลเป็นผู้ออกพระราชกาหนด พระราชกฤษฏีกาและกฏกระทรวง 3. กฏหมายจะตอ้ งเปน็ คาสง่ั หรอื ข้อบงั คับที่ใชก้ บั บุคคลทุกคนในรฐั โดยไม่มขี ้อยกเวน้ อยา่ งเสมอภาคไมว่ า่ คน น้นั จะถือสัญชาติใดกต็ าม 4. กฏหมายมีผลบังคบั ใชต้ ลอดไป จนกวา่ จะมคี าส่ังยกเลิก

4 5. ผู้ใดฝ่าฝนื กฏหมายต้องได้รบั โทษ การปฏิบตั ติ ามกฏหมายไม่ได้เกิดจากความสมคั รใจของผูป้ ฏบิ ตั ิ แตเ่ กดิ จากการถกู บงั คับ ดังนนั้ เพ่ือใหก้ ารบังคับเปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ จึงมบี ทลงโทษแก่ผฝู้ ่าฝืน ไดแ้ ก่ ความผิดทางอาญากาหนดโทษไว้ 5 สถาน คอื ประหารชีวติ จาคกุ กักขงั ปรบั และริบทรพั ยส์ ิน วิธีการ เพื่อความปลอดภัย เป็นมาตรการเพอ่ื ให้สงั คมปลอดภยั จากการกระทาของผกู้ ระทาผดิ ทตี่ ดิ เป็นนสิ ยั ไม่ มีความเขด็ หลาบ โดยไมถ่ อื วา่ เปน็ โทษทางอาญา ตามประมวลกฏหมายอาญากาหนดไว้ 5 ประการ คือ การ กกั กนั หา้ มเขา้ เขตกาหนด เรียกประกันทณั ฑ์บน คมุ ตวั ไวใ้ นสถานพยาบาล และห้ามประกอบอาชีพบางอย่าง กฏหมายต้องมาจากรฏั ฐาธปิ ตั ย์ คือ กฏหมายทบี่ ัญญตั อิ อกมาตอ้ งมาจากรฐั ทีม่ เี อกราช พนกั งาน ของรฐั เปน็ ผู้บงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปตามกฏหมาย หมายความวา่ เมื่อมกี ารกระทาผิดท่ฝี า่ ฝืนกฏหมาย จะมี เจา้ หนา้ ท่ีของรฐั เปน็ ผู้ดาเนินการลงโทษผกู้ ระทาผดิ ผู้เสยี หายจะแก้แคน้ หรอื ลงโทษกนั เองไมไ่ ด้บคุ คลเหล่านี้ ได้แก่ เจา้ หน้าทตี่ ารวจ ผพู้ ิพากษา เปน็ ต้น ทม่ี าของกฏหมาย แหล่ง ทีม่ าของกฏหมายมอี ยมู่ ากมายหลายทาง และมวี วิ ฒั นาการหรอื เปล่ียนแปลงมาโดยตลอด ทงั น้ี สามารถแบง่ แหลง่ ทมี่ าของกฏหมายไดด้ ังนี้ -จารีตประเพณี เป็นแนวปฏบิ ัติทใี่ ชใ้ นการควบคมุ ความประพฤตขิ องมนษุ ยซ์ ง่ึ ไมไ่ ดบ้ ญั ญตั ิไว้ เปน็ ลาย ลกั ษณ์อักษร เปน็ เร่ืองของการยดึ ถอื และปฏิบัติสบื ทอดกนั มาเปน็ เวลานาน การออก กฏหมายของฝา่ ยนติ บิ ญั ญัติ ในการปกครองระบอบราชาธิปไตย การออกกฏหมายจะเปน็ พระบรมราช โองการของกษตั รยิ ์ ต่อมาอานาจในการออกกฏหมายเปน็ ของสถาบันทเ่ี ก่ียวข้องกบั การออกกฏหมายโดย เฉพาะ ท่สี าคัญคอื สถาบันรัฐสภาหรือสภานติ ิบัญญตั ิ ปัจจบุ ันรฐั ทีม่ กี ารปกครองระบอบประชาธปิ ไตย รัฐสภา เป็นแหลง่ ออกกฏหมายโดยตรง -คาสัง่ และกฤษฏกี าทอ่ี อกโดยฝ่ายบริหาร เป็นกฏหมายท่ฝี ่ายบรหิ ารเปน็ ผู้ออกมาบังคบั ใช้ คา พิพากษาของศาล คาพิพากษาของศาลคือแหลง่ ที่มาของกฏหมายน้นั ๆ เชน่ กรณีท่ผี พู้ ิพากษาเคยตดั สินคดี ในลักษณะเดยี วกนั นม้ี ากอ่ น เมอื่ มีคดลี กั ษณะเชน่ เดียวกันเกดิ ขน้ึ มาอกี ผูพ้ พิ ากษาจะยึดเอาคาตดั สินท่ีแลว้ มา เป็นหลกั

5 ความคดิ เห็นของนักวิชาการ นกั วชิ าการกฏหมายมีสว่ นชว่ ยให้เกดิ กฏหมายใหมๆ่ ข้นึ บงั คบั ใชใ้ นสงั คม หรอื นาไปสู่การแก้ไขปรบั ปรุงกฏหมายตา่ งๆ ทีไม่มีความยุตธิ รรมหรือไม่มคี วามเทา่ เทียมกันในสังคม ให้มคี วาม เหมาะสมกับสภาพสงั คมทีเ่ ปลี่ยนแปลงไป เช่น กฏหมายคมุ้ ครองทรัพยส์ นิ ทางปญั ญา กฏหมายเลือกต้งั ท่ี เปลี่ยนแปลงอายขุ องผมู้ ีสทิ ธเิ์ ลือกต้ังจาก 20 ปี เปน็ 18 ปี จุดประสงค์และความสาคญั ของกฏหมาย จดุ ประสงคข์ องการบัญญัติกฏหมายขึ้นมากเ็ -เพ่อื จัดระเบยี บให้กบั สงั คม ท้ังยังชว่ รกั ษาความม่ันคงให้รฐั ระงบั ข้อพิพาท ประสานผลประโยชน์ท้งั ส่วนบคุ คลและส่วนรวม ช่วยพัฒนาสงั คมใหก้ า้ วหนา้ โดยใชก้ ฏหมายเปน็ เคร่อื งมอื ในการรกั ษาระเบียบของ สงั คม เม่ือสงั คมมรี ะเบยี บจะทาให้ง่ายตอ่ การพัฒนาใหเ้ จริญกา้ วหนา้ ตอ่ ไป จากจุดประสงคข์ องการบญั ญตั กิ ฏหมายขน้ึ มาขา้ งต้น สามารถสรุปความสาคญั ของกฏหมายได้ ดังน้ี -เปน็ เครอ่ื งมือในการควบคุมและกาหนดแนวทางพฤตกิ รรมของคนในสังคมใหเ้ ปน็ ระเบยี บและเพอ่ื ความสงบเรยี บรอ้ ย -เปน็ เครอ่ื งมอื ในการกาหนดและปกป้องคุ้มครองสทิ ธเิ สรีภาพทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมแก่ ประชาชนในรฐั -เปน็ เครอ่ื งมือในการแก้ปญั หาความขัดแยง้ ตา่ งๆ ภายในรัฐ -เปน็ เครือ่ งมือในการรกั ษาความปลอดภัยและปกป้องอันตรายและภยั พิบตั ทิ ี่จะเกดิ ขน้ึ กับสงั คมหรอื รฐั -เป็นเคร่ืองมือในการสรา้ งสรรค์และพฒั นาสงั คมใหเ้ จรญิ รุง่ เรอื งฯ ความรเู้ บือ้ งต้นเกยี่ วกบั กฎหมาย ความหมายของกฎหมาย กฎหมายคืออะไร? เช่อื ไดเ้ ลยวา่ ทุกคนหรอื แทบจะทุกคนในสังคมคงจะรจู้ กั คาๆนี้เป็นอยา่ งดี แต่หาก จะใหอ้ ธิบายความหมายของคาน้ี หลายๆคนคงไม่สามารถบรรยายออกมาเปน็ คาพดู ได้ ซึ่งจริงๆแล้วแม้แต่

6 ในทางวชิ าการกม็ กี ารให้นิยามความหมายแตกตา่ งกันออกไปมากมาย เนื่องจากเปน็ การยากทจ่ี ะนิยาม ความหมายออกมาใหค้ รอบคลมุ ได้ทงั้ หมด แตพ่ อจะสรุปได้ดงั น้ี -กฎหมาย คือ กฎเกณฑ์ คาสง่ั หรอื ขอ้ บังคับทถี่ ูกตั้งข้ึนโดยรัฐหรือผม็ ีอานาจสูงสุดเพือ่ ใชเ้ ป็นเครอ่ื งมือ สาหรับดาเนนิ การใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายอยา่ งหนึ่งอยา่ งใดของสังคม และมีสภาพบงั คบั เป็นเครอ่ื งมอื ในการทาให้ บุคคลในสงั คมตอ้ งปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ คาสง่ั หรือขอ้ บังคับนนั้ มนษุ ยถ์ อื ได้วา่ เป็นสตั ว์สงั คมจาเป็นตอ้ งพ่ึงพา อาศยั ซ่ึงกันและกัน แตเ่ นอ่ื งจากความคิด อุปนสิ ัย สภาพแวดล้อม เพศ ฯลฯ ทีแ่ ตกต่างกนั ไป จงึ จาเปน็ จะต้องมี กฎหมายเพอ่ื ควบคมุ ให้สังคมมีความสงบเรียบร้อย กฎหมายบางอยา่ งก็กาหนดขน้ึ เป็นข้ันตอนหรือวธิ ปี ฏบิ ตั ิ เพอื่ ใหไ้ ด้มาซง่ึ ความสงบเรยี บร้อย หรือเพอ่ื ตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์ นอกจากน้กี ารบัญญัตกิ ฎหมาย เพอื่ เปน็ บรรทดั ฐานใหค้ นในสังคมปฏิบตั ติ ามในแนวทางเดยี วกนั กจ็ ะสรา้ งความเปน็ ระเบยี บใหเ้ กดิ ขึน้ อีกดว้ ย เหล่าน้ีถอื เป็นเปา้ หมายอนั สาคญั ของสังคม ซ่งึ เปา้ หมายดังกล่าวนเ้ี ม่อื คิดยอ้ นกลบั ไปแล้ว ก็จะมาจากคนใน สังคมน่นั เอง ลกั ษณะของกฎหมาย เราสามารถแยกลกั ษณะของกฎหมายออกได้เปน็ 5 ประการ คือ 1.กฎหมายต้องเป็นคาสง่ั หรือขอ้ บงั คบั ซงึ่ จะแตกตา่ งกบั การเชือ้ เชิญหรือขอความรว่ มมอื ใหป้ ฏบิ ตั ิ ตาม คาสั่งหรอื ขอ้ บงั คบั น้ันมลี กั ษณะใหเ้ ราตอ้ งปฏบิ ัตติ าม แตถ่ า้ เปน็ การเชอ้ื เชญิ หรอื ขอความรว่ มมอื เราจะ ปฏบิ ัตติ ามหรือไม่กไ็ ด้ เชน่ น้ีเรากจ็ ะไม่ถอื เปน็ กฎหมาย เช่น การรณรงค์ใหเ้ ลกิ สูบบหุ ร่ี หรือชว่ ยกนั อนุรกั ษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ ฯลฯ 2.กฎหมายตอ้ งมาจากรฐั าธปิ ัตยห์ รือผทู้ ่ีมกี ฎหมายให้อานาจไว้ รฐั าธิปตั ย์คอื ผมู้ อี านาจสงู สดุ ของ ประเทศ ในระบอบเผดจ็ การหรือระบอบการปกครองท่อี านาจการปกครองประเทศอยใู่ นมอื ของบคุ คลใดบุคคล หนึง่ ก็ถือว่าผ้นู น้ั เปน็ ผมู้ อี านาจสูงสุด มอี านาจออกกฎหมายได้ เชน่ ระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชยซ์ ่ึง พระมหากษตั ริยเ์ ปน็ ผูม้ อี านาจสงู สดุ พระบรมราชโองการหรือคาส่ังของพระมหากษัตรยิ ก์ ็ถอื เปน็ กฎหมาย สว่ น ในระบอบประชาธิปไตยของเรา ถอื ว่าอานาจสูงสดุ เป็นของประชาชน กฎหมายจงึ ต้องออกโดยประชาชน คาถามมีอยู่วา่ ประชาชนออกกฎหมายไดอ้ ยา่ งไร ก็ออกโดยทปี่ ระชาชนเลอื กตวั แทนเขา้ ไปทาหน้าที่ในการออก กฎหมาย ซง่ึ กค็ ือสมาชกิ วฒุ ิสภา(ส.ว.)และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)นนั่ เอง ดังนน้ั การเลือก ส.ส. ในการ เลอื กท่ัวไปน้นั นอกจากจะเป็นการเลอื กคนเขา้ มาบรหิ ารประเทศแล้ว ยังเป็นการเลือกตวั แทนของประชาชนเพื่อ ทาการออกกฎหมายดว้ ย

7 นอกจากดงั กลา่ วมาข้างต้น อาจมีบางกรณีที่กฎหมายใหอ้ านาจเฉพาะแกบ่ ุคคลในการออกกฎหมายไว้ เช่น พระ ราชกฤษฎีกาหรอื กฎกระทรวงท่ีออกโดยฝา่ ยบริหาร(คณะรฐั มนตร)ี ฯลฯ 3.กฎหมายตอ้ งใชบ้ งั คบั ได้โดยทวั่ ไป คอื เมอื่ มกี ารประกาศใชแ้ ลว้ บคุ คลทุกคนต้องอยภู่ ายใตก้ ฎหมาย โดยเสมอภาค จะมใี ครอยเู่ หนือกฎหมายไม่ได้ หรือทาใหเ้ สยี ประโยชน์หรือเออ้ื ประโยชนใ์ หแ้ ก่บคุ คลใดโดย เฉพาะเจาะจงไมไ่ ด้ แตอ่ าจมีขอ้ ยกเวน้ ในบางกรณี เช่น กรณีของฑูตตา่ งประเทศซึ่งเขา้ มาประจาในประเทศไทย อาจได้รบั การยกเวน้ ไมต่ ้องอยูภ่ ายใตก้ ฎหมายภาษอี ากร หรอื หากไดก้ ระทาความผดิ อาญา กอ็ าจได้รบั เอกสทิ ธิ์ ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศไมต่ อ้ งถกู ดาเนินคดใี นประเทศไทย โดยต้องให้ประเทศซึ่งสง่ ฑตู น้นั มาประจาการ ดาเนนิ คดแี ทน ฯลฯ 4.กฎหมายตอ้ งใชบ้ งั คับไดจ้ นกวา่ จะมกี ารยกเลกิ หรือเปลย่ี นแปลง เม่อื มกี ารประกาศใช้แลว้ แม้ กฎหมายนัน้ จะไมไ่ ด้ใช้มานาน กถ็ ือวา่ กฎหมายนั้นยงั มีผลใชบ้ งั คบั ได้อยตู่ ลอด กฎหมายจะสิ้นผลก็ตอ่ เมือ่ มีการ ยกเลิกกฎหมายนน้ั หรือมกี ารเปล่ียนแปลงเป็นอยา่ งอื่นเทา่ นั้น 5.กฎหมายจะต้องมสี ภาพบงั คับ ถามวา่ อะไรคือสภาพบังคับ น่นั ก็คือการดาเนินการลงโทษหรอื กระทา การอยา่ งหน่ึงอย่างใดตอ่ ผูท้ ฝี่ า่ ฝนื กฎหมายเพ่ือใหเ้ กิดความเข็ดหลาบหรือหลาบจา ไม่กลา้ กระทาการฝา่ ฝนื กฎหมายอกี และรวมไปถึงการบงั คบั ใหก้ ระทาการ งดเว้นกระทาการหรือบงั คับให้สง่ มอบทรัพยส์ ินด้วย ตามกฎหมายอาญา สภาพบังคบั กค็ ือการลงโทษตามกฎหมาย เชน่ การจาคกุ หรือการประหารชวี ติ ซึ่งมงุ่ หมาย เพื่อจะลงโทษผู้กระทาความผดิ ใหเ้ ขด็ หลาบ แตต่ ามกฎหมายแพง่ ฯนนั้ สภาพบังคบั จะมงุ่ หมายไปทีก่ ารเยยี วยา ใหแ้ ก่ผเู้ สียหายเพอ่ื ให้เกดิ ความเสียหายนอ้ ยที่สดุ เชน่ การชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทน หรือการบังคบั ใหก้ ระทาการ ตามสญั ญาท่ตี กลงกันไว้ ฯลฯ ซ่งึ บางกรณีผ้ทู ฝี่ ่าฝืนกฎหมายก็อาจตอ้ งต้องถกู บงั คับทงั้ ทางอาญาและทางแพง่ ฯ ในคราวเดียวกนั ก็ได้ แตก่ ฎหมายบางอยา่ งก็อาจไมม่ สี ภาพบงั คบั กไ็ ด้ เนอ่ื งจากไมไ่ ดม้ ุ่งหมายใหผ้ ้คู นต้องปฏิบัตติ าม แต่อาจบัญญตั ิ ข้นึ เพื่อรับรองสทิ ธิใหแ้ กบ่ คุ คล หรอื ทาใหเ้ สียสทิ ธิอย่างใดอยา่ งหน่งึ เชน่ กฎหมายกาหนดใหผ้ ูท้ ่บี รรลนุ ติ ิภาวะ แล้วสามารถทานติ ิกรรมไดเ้ องโดยไม่ตอ้ งได้รบั ความยนิ ยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม หรือบุคคลทมี่ อี ายุ 15 ปี แลว้ สามารถทาพินยั กรรมได้ ฯลฯ หรอื ออกมาเพอื่ ใชเ้ ป็นเครอ่ื งมอื ในการพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมในประเทศ ซึ่งกฎหมายประเภทนจี้ ะไม่มีโทษทางอาญาหรือทางแพง่ แตอ่ ยา่ งใด

8 ที่มาของกฎหมาย 1.ศลี ธรรม คอื กฎเกณฑ์ของความประพฤติ คาๆนฟ้ี งั เขา้ ใจง่ายแต่อธิบายออกมาได้ยากมาก เพราะ เปน็ ส่งิ ทแ่ี ต่ละคนเขา้ ใจไดใ้ นตวั เองและมีความหมายทแ่ี ตกตา่ งกนั ไป ขน้ึ อยกู่ ับปัจจัยหลายๆอยา่ ง เช่น เชอื้ ชาติ ศาสนา สภาพแวดล้อม ฯลฯ แตอ่ ยา่ งไรกค็ วามหมายของศลี ธรรมของแตล่ ะคนกจ็ ะมีมาตรฐานใกลเ้ คียงกนั แม้ อาจจะแตกต่างกนั ออกไปบา้ ง แตโ่ ดยหลกั แลว้ กจ็ ะหมายถึง ความรสู้ กึ ผดิ ชอบหรือความดีงามตา่ งๆทท่ี าให้ คนเราสามารถใชช้ ีวติ ในสงั คมไดโ้ ดยสงบสขุ ดังนั้นการบัญญัตกิ ฎหมายจึงตอ้ งใชศ้ ลี ธรรมเป็นรากฐาน เพื่อให้ เกิดความสงบสุขแก่สงั คมใหม้ ากท่ีสดุ น่ันเอง 2.จารตี ประเพณี คอื แบบแผนทค่ี นในสงั คมยอมรบั และถือปฏบิ ัตมิ าเป็นเวลาช้านาน แตล่ ะสังคมก็มี จารีตประเพณีทแี่ ตกต่างกนั ออกไป ตามแต่สภาพแวดลอ้ ม ศาสนา เชื้อชาติ ฯลฯ เชน่ เดียวกับศีลธรรม การ กระทาที่ฝา่ ฝนื ตอ่ จารตี ประเพณี คนในสังคมนน้ั ๆกจ็ ะมองวา่ เป็นสง่ิ ทีไ่ ม่ถกู ตอ้ งไมส่ มควรกระทา จงึ นามาใช้เป็น รากฐานในการบัญญตั กิ ฎหมาย เนอ่ื งจากเป็นสิง่ ทคี่ นในสังคมน้นั ๆยอมรบั ตวั อย่างท่ีสาคญั กค็ อื กฎหมายใน ประเทศองั กฤษนั้น ผพู้ ิพากษาจะใชจ้ ารีตประเพณีมาพิจารณาพพิ ากษา ซง่ึ คาพพิ ากษาน้นั ถอื เปน็ กฎหมาย สว่ นประเทศอน่ื ๆกม็ ีการนาจารตี ประเพณมี าใชเ้ ป็นรากฐานในการบญั ญตั ิกฎหมายเชน่ กนั เช่นกฎหมายของ ประเทศไทยในเร่อื งของการหมั้น การแบ่งมรดก ฯลฯ 3.ศาสนา คอื หลักการดาเนนิ ชวี ติ หรือข้อบังคับที่ศาสดาของแต่ละศาสนาบัญญตั ิข้นึ เพอ่ื สอนใหค้ นทกุ คนเปน็ คนดี เมอ่ื พดู ถงึ ศาสนาเราก็อาจนึกไปถงึ ศลี ธรรม เพราะสองคานมี้ กั จะมาค่กู นั แตค่ าวา่ ศลี ธรรมจะมี ความหมายกว้างกว่าคาว่าศาสนา เพราะศีลธรรมอาจหมายความรวมเอาหลักคาสอนของทกุ ศาสนามารวมไว้ และความดงี ามต่างๆไวใ้ นคาๆเดยี วกัน เมอื่ เรากลา่ วถึงคาสอนของศาสนาอสิ ลาม นั่นหมายถงึ ศีลธรรม เม่อื เรา กล่าวถงึ คาสอนของศาสนาพทุ ธ น่นั หมายถงึ เรากลา่ วถงึ ศีลธรรมเช่นกัน กฎหมายของแตล่ ะประเทศก็จะบญั ญตั ิ ขึน้ โดยอาศยั ศาสนาเป็นรากฐานด้วย เชน่ ในประเทศไทยเราในทางอาญากจ็ ะนาศีล 5 มาใชใ้ นการบัญญัติ กฎหมาย เช่นหา้ มฆ่าผู้อ่ืน หา้ มลกั ทรพั ย์ หา้ มประพฤตผิ ิดในกาม ฯลฯ 4.คาพพิ ากษาของศาล มเี ฉพาะบางประเทศเทา่ น้ันที่ถอื เอาคาพพิ ากษาของศาลมาจดั ทาเปน็ กฎหมาย เช่น ประเทศองั กฤษ คอื ใช้จารตี ประเพณมี าพจิ ารณาพพิ ากษาคดแี ละเพ่อื ไมใ่ ห้มีกรณเี ดยี วกนั นี้ เกิดขึน้ ซ้าอกี ก็จะนาคาพิพากษานนั้ มาจดั ทาเปน็ กฎหมายเพอ่ื ใหท้ กุ คนปฏบิ ตั ติ าม หากมีคดีทมี่ ีขอ้ เท็จจรงิ เหมอื นกนั เกดิ ขึ้นอกี ศาลกจ็ ะตดั สนิ เหมอื นกับคดกี อ่ นๆ แตใ่ นหลายๆประเทศคาพิพากษาเป็นเพยี งแนวทางใน การพิจารณาพพิ ากษาของศาลเท่านนั้ ศาลอาจใช้ดุลพนิ ิจพจิ ารณาพิพากษาตา่ งจากคดีก่อนๆได้ จึงไมถ่ ือคา พิพากษาของศาลเป็นกฎหมาย เชน่ ประเทศไทยเราเป็นตน้

9 5.หลกั ความยุตธิ รรม(Equity) หลกั ความยตุ ธิ รรมนี้จะตอ้ งมาควบคกู่ บั กฎหมายเสมอ เพยี งแตค่ วาม ยุตธิ รรมของแตล่ ะคนก็อาจไมเ่ ทา่ กัน แตอ่ ยา่ งไรกด็ ีผู้บญั ญตั ิและผู้ใช้กฎหมายกจ็ ะต้องคานงึ ถงึ หลักความ ยุติธรรมดว้ ยและความยตุ ิธรรมนค้ี วรจะอยใู่ นระดบั ท่คี นในสงั คมสว่ นใหญ่ยอมรับ เพราะถา้ เป็นความยตุ ธิ รรม โดยคานงึ ถึงคนส่วนนอ้ ยมากกวา่ ก็จะเป็นการเอือ้ ประโยชนใ์ หค้ นเพียงบางกลมุ่ เทา่ น้นั ทาใหไ้ มเ่ กดิ ความ ยตุ ธิ รรมแกส่ งั คมโดยแทจ้ รงิ ตัวอย่างที่สาคญั คือ ในองั กฤษนนั้ แตก่ ่อนการฟอ้ งเรียกค่าเสยี หายนั้นจะฟอ้ งเรยี ก ไดเ้ ฉพาะจานวนเงนิ เทา่ นัน้ จะฟอ้ งให้ปฏิบัตติ ามสัญญาทีต่ กลงกนั ไม่ได้ จงึ ทาใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็นธรรมแก่ ผ้เู สียหาย เน่อื งจากในบางรายผเู้ สียไมไ่ ดต้ ้องการเงินคา่ เสยี หาย แต่ต้องการใหค้ สู่ ญั ญาปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลงทที่ า ต่อกัน ดังนั้นจึงได้มกี ารนาเอาหลักความยตุ ธิ รรมาใชโ้ ดยอนุญาตใหม้ กี ารชาระหน้โี ดยการปฏิบัตติ ามสัญญาที่ ตกลงกันไวต้ ามความม่งุ หมายของผู้ที่เสียหายได้ ทาใหเ้ กิดความเปน็ ธรรมในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดียง่ิ ขึ้น 6.ความคดิ เห็นของนักปราชญ์ กค็ ือผูท้ รงความรใู้ นทางกฎหมายนน่ั เอง อาจจะเป็นนักวชิ าการ หรอื อาจารยส์ อนกฎหมายก็ตาม เนื่องจากนักปราชญ์เหลา่ นจ้ี ะเปน็ ผคู้ น้ ควา้ หลกั การและทฤษฎตี า่ งๆเพือ่ สนบั สนุน หรือโตแ้ ยง้ กฎหมายหรอื คาพิพากษาของศาลอย่เู สมอ ทาใหเ้ กดิ หลกั การหรอื ทฤษฎใี หมๆ่ ทเี่ ป็นแนวทางในการ บญั ญัติกฎหมายได้ เชน่ แนวความคดิ ของ คาร์ล มารก์ ซ์ ในประเทศรสั เซีย ฯลฯ ระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายหลักๆในโลกนม้ี อี ยู่ 4 ระบบใหญๆ่ ดว้ ยกนั คอื 1.ระบบกฎหมายซีวลิ ลอว(์ Civil Law) หรือกค็ ือระบบกฎหมายแบบลายลกั ษณอ์ กั ษร จดุ กาเนดิ อยทู่ ่ี อาณาจกั รโรมัน ระบบกฎหมายนจี้ ะมลี กั ษณะเป็นการรวมรวมเอาจารตี ประเภณีหรือกฎหมายตา่ งๆหรือบัญญตั ิ กฎหมายขนึ้ ใหม่ โดยบันทึกเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษรและจดั ไวเ้ ปน็ หมวดหมู่อย่างเปน็ ระเบียบ ซง่ึ เรยี กว่าประมวล กฎหมาย ซงึ่ แตเ่ ดมิ นนั้ ไมม่ กี ารบญั ญัติไว้เป็นลายลักษณอ์ กั ษร ชนชนั้ ท่ถี ูกปกครองในโรมันจึงมกี ารเรียกร้องให้ ชนชน้ั สงู ทาการเขียนกฎหมายเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร เพื่อให้ชนชั้นทีถ่ ูกปกครองไดร้ ้กู ฎหมายดว้ ย ซง่ึ ระบบ กฎหมายนก้ี ไ็ ดม้ กี ารพัฒนาข้ึนมาเรอ่ื ยๆอยา่ งต่อเน่ืองจนถงึ ปจั จบุ ัน ในประเทศไทยกใ็ ชร้ ะบบกฎหมายซีวลิ ลอว์ ตัวอยา่ งกเ็ ช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ประมวลกฎหมายอาญา ฯลฯ 2.ระบบกฎหมายคอมมอน ลอว์(Common Law) หรือก็คือระบบกฎหมายจารีตประเพณี จุดกาเนดิ อยู่ที่องั กฤษ เน่ืองจากแตเ่ ดมิ น้ันประเทศองั กฤษมีชนเผ่าอยมู่ ากมายหลายชนเผา่ ด้วยกนั ต่อมาไดม้ กี ารจดั ตง้ั ศาลหลวงหรือศาลพระมหากษตั ริย์ขึน้ โดยคัดเลือกผพู้ ิพากษาทม่ี คี วามรจู้ ากส่วนกลางไปพจิ ารณาคดใี นแตล่ ะ ทอ้ งถนิ่ ซงึ่ แตล่ ะชนเผ่ากม็ ีจารตี ประเพณที แ่ี ตกต่างกันออกไป ทาใหเ้ กดิ ปัญหาในการพจิ ารณาคดมี ากมาย แต่

10 ในภายหลังปญั หากค็ อ่ ยๆหมดไปเพราะเรมิ่ มีจารตี ประเพณที มี่ ีลกั ษณะเปน็ สามัญขนึ้ โดยศาลหลวงไดใ้ ช้จารตี ประเพณีเหล่านใ้ี นการพจิ ารณาคดี ในระบบคอมมอน ลอว์แตเ่ ดมิ จะไมม่ กี ารบัญญตั กิ ฎหมายไวเ้ ปน็ ลายลกั ษณ์ อักษร เมื่อศาลใช้จารีตประเพณีในการพิพากษาตดั สินคดีแล้ว กจ็ ะมีการบนั ทกึ คาพิพากษานั้นเอาไว้ เพื่อใชเ้ ป็น บรรทัดฐานในการพจิ ารณาคดตี อ่ ๆไป หาขอ้ เท็จจรงิ ในคดีตอ่ ๆมาเหมอื นกับคดีกอ่ น ศาลก็จะพิพากษาไปตามที่ ไดม้ ีการบนั ทึกไวแ้ ลว้ ถือไดว้ า่ คาพพิ ากษาของศาลกค็ อื กฎหมายนั่นเอง แต่ปัจจุบันนีใ้ นประเทศองั กฤษกใ็ ช้ท้งั ระบบกฎหมายแบบซีวิล ลอว์และคอมมอน ลอว์ ควบค่กู ันไป 3.ระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม(Socialist Law) จุดกาเนดิ ของระบบกฎหมายนอ้ ยูท่ ่รี สั เซยี แตเ่ ดมิ รสั เซยี ใช้ระบบกฎหมายซวี ิล ลอว์ แตใ่ นภายหลังเมื่อพรรคคอมมิวนสิ ตค์ รองอานาจ กไ็ ดม้ กี ารนาหลกั การและ แนวความคิดของ คารล์ มารก์ ซ์ และ เลนิน มาใช้โดยเช่อื วา่ กฎหมายเป็นเครอ่ื งมอื ในการขดั ระเบยี บและกลไกใน สงั คม เพื่อให้คนในสงั คมมีความเทา่ เทยี มกัน ปราศจากการกดข่ีขม่ เหง ปราศจากชนช้นั วรรณะ ประชาชนทกุ คน เปน็ เจา้ ของทรพั ยส์ นิ ทงั้ หมดรว่ มกัน กฎหมายมีอยู่เพื่อความเท่าเทยี ม เมื่อใดทส่ี งั คมเกดิ ความเทา่ เทยี มกันแลว้ กฎหมายกไ็ ม่มคี วามจาเปน็ อกี ตอ่ ไป สว่ นลกั ษณะของกฎหมายสงั คมนิยมนนั้ จะมีการผสมผสานระหว่าง กฎหมายลายลักษณอ์ กั ษรกับจารตี ประเพณีเขา้ ดว้ ยกนั โดยมกี ารบัญญตั กิ ฎหมายเปน็ ลายลักษณอ์ กั ษร ส่วน จารีตประเพณีนั้นเปน็ ตวั ชว่ ยในการตคี วามและอดุ ช่องวา่ งของกฎหมายเมอ่ื ไม่มกี ฎหมายบัญญตั ไิ ว้เป็นลาย ลักษณอ์ กั ษร และท่สี าคญั กค็ อื กฎหมายในระบบสังคมนิยมน้ันตอ้ งแฝงหลักการหรอื แนวคดิ ของคาร์ล มารก์ ซ์ และ เลนนิ ด้วยเสมอ 4.ระบบกฎหมายศาสนาและประเพณีนยิ ม ลักษณะของกฎหมายในระบบน้ี โดยเน้ือหาของกฎหมาย แล้วก็จะอาศยั ศาสนาหรือประเพณีนิยมเป็นฐานในการบญั ญตั กิ ฎหมายขน้ึ มา เช่น กฎหมายศาสนาอิสลาม กาหนดหนา้ ทขี่ องชาวมุสลิมท่ีมตี อ่ พระผู้เปน็ เจา้ ในปัจจุบันประเทศท่นี บั ถอื ศาสนาอิสลาม กฎหมายอสิ ลามมี ส่วนสาคัญเปน็ อย่างย่ิงในการบญั ญตั กิ ฎหมายที่เกย่ี วกับครอบครัวและมรดก แตส่ ว่ นกฎหมายในเรือ่ งอ่ืนๆกจ็ ะ ใชแ้ นวทางของกฎหมายของทางโลกตะวันตก หรือใน 4 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ได้แกจ่ งั หวดั สตูล ยะลา ปตั ตานี นราธวิ าส ในเร่อื งครอบครัวและมรดกกจ็ ะต้องนากฎหมายศาสนาอสิ ลามมาใชบ้ งั คับ ซงึ่ ถอื เปน็ ขอ้ ยกเวน้ เฉพาะ 4 จงั หวดั ดงั กล่าวเทา่ นัน้ ส่วนในเรอ่ื งอ่ืนๆทุกจังหวดั กจ็ ะใชก้ ฎหมายฉบับเดียวกันรวมไปถงึ 4 จังหวัด ชายแดนภาคใตด้ ้วย เชน่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ เป็นต้น ส่วนประเพณีนิยมนั้น คอื สง่ิ ทค่ี นในสังคมยอมรับและปฏิบตั สิ ืบตอ่ กนั มา เชน่ ในประเทศจีนกม็ กี ารนาประเพณี นิยมของนกั ปราชญ์อย่าง ขงจื้อ มาเป็นแนวทางในการบัญญัตกิ ฎหมาย หรอื ประเภณีโบราณของลัทธชิ นิ โตกใ็ ช้ เปน็ แนวทางในการบญั ญตั กิ ฎหมายในประเทศญปี่ ุน่ ด้วยเชน่ กนั ฯลฯ

11 ระบบกฎหมาย ระบบกฎหมายของโลกอาจแบ่งไดแ้ ตกตา่ งกนั ไป แต่ถา้ พจิ ารณาจากนติ วิ ธิ ีเราอาจแบง่ ระบบ กฎหมายทสี่ าคัญของโลกไดแ้ ก่ “ ระบบ Civil Law “ หรอื ” ระบบประมวลกฎหมาย ” หรอื ท่เี รยี กอกี อยา่ งว่า “ ระบบกฎหมายภาคพื้นยโุ รป ” เพราะเป็นระบบกฎหมายทใ่ี ชอ้ ยู่ในภาคพน้ื ยุโรป ไดแ้ ก่ ประเทศเยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน เปน็ ตน้ ซึ่งประเทศไทยกใ็ ชร้ ะบบกฎหมายเดียวกนั นดี้ ว้ ย และ “ ระบบ Common Law ” หรอื ที่เรียกวา่ ” ระบบกฎหมายแองโกลอเมริกนั ” ซึง่ ใชก้ นั ในประเทศ อังกฤษ สหรฐั อเมรกิ า และประเทศทเ่ี ปน็ เครอื จักรภพ เปน็ ต้น นอกจาก ระบบ Civil Law และ Common Law แล้วนักวิชาการกฎหมายเปรยี บเทยี บบางทา่ นยังแบง่ ออกเปน็ ระบบกฎหมายศาสนา และระบบกฎหมายสงั คมนิยมอกี ด้วย ระบบประมวลกฎหมาย หรอื ระบบ Civil law แตกแตง่ จาก ระบบ Common Law ตรงทม่ี นี ิตวิ ธิ ี ทตี่ า่ งกนั ส่วนเนือ้ หาของกฎหมายทั้งสองระบบอาจเหมอื นกนั หรอื แตกต่างกนั ก็ได้ไม่ใชส่ าระสาคัญ เชน่ ในทางแพ่งเรอ่ื งการบรรลุนิตภิ าวะในประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายต่างกนั อาจกาหนดไว้เหมอื นกนั กไ็ ด้ ระบบซีวลิ ลอว์ ระบบคอมมอนลอว์ ระบบทวนิ ิติ (ทง้ั ซวี ิลลอว์และคอมมอนลอว)์ กฎหมายขนบธรรมเนยี ม กฎหมายชารอิ ะห์ (กฎหมายอสิ ลาม) กล่าวโดยสรปุ ระบบ Civil Law และระบบ Common Law มีขอ้ แตกตา่ งในเรื่องนิตวิ ธิ ดี งั ตอ่ ไปน้ี ทัศนคตติ อ่ กฎหมายลักษณ์อกั ษร

12 นกั กฎหมาย Civil Law เหน็ วา่ เป็นระบบเหตุผลท่ถี ูกตอ้ งและเป็นกฎหมายท่วั ไป นกั กฎหมาย Common Law เห็นว่าเปน็ กาหมายทย่ี กเว้นจากหลกั ทวั่ ไป (*หลกั ทว่ั ไป หมายถึง คา พิพากษาบรรทัดฐาน) ทศั นคตติ อ่ คาพิพากษา ระบบ Civil Law เหน็ วา่ เป็นเพยี งคาอธบิ ายในการใช้ตัวบทกฎหมายในการปรับใช้แก่คดี ไม่ใช่บ่อเกดิ แห่งกฎหมาย และไม่ใชต้ วั บทกฎหมาย ดงั นนั้ คาพิพากษาใหมอ่ าจจะตดั สนิ เปลี่ยนแปลง คาพิพากษาเดิม โดยวางหลกั เกณฑห์ รอื ใหเ้ หตุผลเสียใหมไ่ ด้ ระบบ Common Law เหน็ ว่าคาพพิ ากษาของศา่ ลเปน็ บอ่ เกิดของกฎหมาย ดังนนั้ คา พพิ ากษาตอ่ ๆมา ในกรณีอยา่ งเดียวกันยอ่ มตอ้ งตดั สนิ ตามแนวคาพิพากษาก่อนๆเสมอ ทศั นคตติ อ่ ขนบธรรมเนยี ม จารีตประเพณี และศลี ธรรม นกั กฎหมาย Civil Law เหน็ วา่ กฎหมายลายลกั ษณอื กั ษรเปน็ กฎหมายที่อยเู่ คียงคกู่ บั จารีต ประเพณี และถอื ว่ากฎหมายเป็นสงิ่ ค่าจนุ ศีลธรรมดว้ ย นกั กฎหมาย Common Law มีแนวโน้มเอยี งทจ่ี ะเหน็ วา่ ทัง้ จารตี ประเพณี และศีลธรรมเป็น คนละเร่ือง ไม่เก่ยี วกบั กฎหมายลายลักษณอ์ ักษร การใชก้ ารตคี วามกฎหมายลายลักษณอ์ กั ษร ระบบ Civil Law นกั กฎหมายอาจตคี วามกฎหมายโดยนยั ตา่ งๆไดโ้ ดยพจิ ารณาตามเหตผุ ลใน บทกฎหมายนน้ั ๆ ระบบ Common Law กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษรทถี่ ูกตราขน้ึ โดยรฐั สภานน้ั เปน็ กฎหมาย พิเศษเฉพาะเร่ืองราว การตคี วามกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร จงึ มวี ิธีการพิเศษทีเ่ รียกว่า \"การตคี วาม ตามตวั อกั ษร\" ซง่ึ เปน็ วธิ กี ารตคี วามใน ระบบ Common Law โดยเฉพาะ และทางกฎหมายลายลักษณ์ อักษรจะถูกนามาใชโ้ ดยวธิ กี ารเทียบเคียง (Analogy ) ไมไ่ ด้ วธิ กี ารบัญญัติกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร ระบบ Civil Law โดยหลักนนั้ จะบญั ญัติกฎหมายท่มี ลี กั ษณะเปน็ หลักเกณฑท์ วั่ ไป(บทท่วั ไป) โดยจะใชเ้ ทคนคิ ในการบัญญตั ิเพ่อื ใหค้ รอบคุมในทกุ กรณปี ัญหา และเปิดโอกาสใหผ้ ใู้ ชก้ ฎหมายมี ดุลยพนิ ิจในการใชก้ ฎหมายนน้ั ให้เหมาะสมกบั ความเปน็ ธรรมในแต่ละคดี แตใ่ นบางมาตราไม่อาจ วางหลกั เกณฑท์ ว่ั ไปไดอ้ ยา่ ง สมบรูณ์ ก็จะบญั ญตั เิ ปน็ รายละเอียด

13 ระบบ Common Law วิธกี ารบญั ญัตนิ นั้ ต้องเขียนแนน่ อนชดั เจนและละเอียด ดงั นนั้ สาหรับ ผทู้ ี่คุน้ เคยกับตวั บทในประมวลกฎหมาย เมอ่ื อา่ นกฎหมายลายลักษณอ์ ักษรของประเทศในระบบ Common Law จึงรู้สึกวา่ กฎหมายเขยี นละเอียดมากจนเกนิ ความจาเปน็ มีลกั ษณะคล้ายสญั ญา มากกว่าท่ีจะเปน็ ตวั บทกฎหมาย ทง้ั นเ้ี พื่อผูกมดั ใหผ้ ตู้ คี วามได้ใชก้ ฎหมายตามทฝี่ ่ายนติ บิ ญั ญัติ ต้องการ อ้างองิ สมยศ เช้ือไทย. ความร้กู ฎหมายทวั่ ไป. พิมพ์คร้งั ที่ 17. กรงุ เทพฯ : วญิ ญูชน, 2554. ประเภทของกฎหมาย กฎหมายทใ่ี ชอ้ ยใู่ นปัจจบุ ันนม้ี หี ลายรปู แบบหลายลักษณะ กฎหมายบางฉบบั กม็ ลี ักษณะคล้ายกนั บางฉบับก็มี ลกั ษณะที่แตกตา่ งกัน ดงั น้นั จงึ จาเปน็ ตอ้ งมกี ารแยกกฎหมายออกเป็นประเภทๆ เพอื่ สะดวกในการศึกษาคน้ ควา้ และง่ายตอ่ การเขา้ ใจ ในการแบ่งแยกประเภทของสงิ่ ใด จาเปน็ ตอ้ งมีหลกั เกณฑใ์ นการแบง่ แยก กฎหมายก็ เช่นกัน หลักเกณฑท์ ่ีใช้แบ่งแยกกฎหมายออกเปน็ ประเภทข้ึนอยวู่ า่ จะยดึ อะไรเปน็ เกณฑ์ในการแบง่ ซ่งึ มหี ลาย เกณฑ์ดงั นี้ แบ่งแยกกฎหมายตามลกั ษณะของการใช้ แบง่ ออกได้ 2 ประเภทคอื 1.กฎหมายสารบัญญตั ิ (Substantive Law) สาระแปลวา่ แกนหรอื เนอ้ื แทด้ ังน้นั จงึ เป็นกฎหมายที่ เปน็ แกน่ หรอื เนือ้ แทข้ องกฎหมายจริงๆ คอื เปน็ กฎหมายทว่ี างระเบยี บบังคบั แก่การประพฤติปฏิบัตขิ องพลเมือง ใหก้ ระทาหรือหา้ มมใิ หก้ ระทาการใด ตลอดจนกาหนด สิทธิ หน้าที่ และความรบั ผดิ ตา่ งๆ ของบคุ คลไว้ หากผู้ใด ฝ่าฝืนจะตอ้ งถกู ลงโทษในทางอาญาหรอื ถูกบงั คับใหช้ าระหนใี้ นทางแพง่ เชน่ ประมวลกฎหมายอาญา พระราชบญั ญตั ยิ าเสพติดใหโ้ ทษ พระราชบญั ญัติป่าไม้ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ประมวลกฎหมาย รัษฎากร เป็นต้น 2.กฎหมายวธิ สี บัญญตั ิ (Adjective Or Procedural Law) หมายถึงที่กาหนดถงึ วธิ ีดาเนินการทาง ศาล กล่าวคอื หากมีผ้ใู ดกระทาละเมดิ ตอ่ กฎหมายในสว่ นสารบัญญตั ิ การท่ีจะบงั คบั ใหก้ ารทีจ่ ะบังคบั ให้การ เป็นไปตามกฎหมายสารบัญญตั ทิ ถี่ กู ละเมดิ ก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายวิธีสบญั ญัติ คอื ต้องผา่ นกระบวนการ ทางศาล ดว้ ยเหตุผลทวี่ า่ กฎหมายจะไม่ใหพ้ ลเมืองลงโทษกันเอง มิฉะนั้นบ้านเมืองจะไมม่ ีวนั สงบ จงึ ตอ้ งให้ กระบวนการทางการศาล ก็คอื กระบวนการกฎหมายวธี สี บญั ญตั ิ เชน่ นาย ก. ลักทรัพย์ของนาย ข. ซ่งึ ความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญาอันเป็นกฎหมายสารบญั ญตั ิ การทจ่ี ะลงโทษนาย ก. จะตอ้ งปฏิบตั ติ ามประมวล

14 กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซงึ่ จะถอื ว่าการร้องทกุ ข์ การจบั การคน้ การสบื สวน การฟอ้ งของผูเ้ สยี หาย หรือพนกั งานอยั การ วธิ พี ิจารณาและพิพากษาของศาลตลอดจนการลงโทษ หรือในทางแพ่งเชน่ นาย A กู้เงิน ของนาย B แลว้ ผิดนัดไมช่ าละหน้ี การที่นาย B จะบังคับใหน้ าย A ชาระหน้ีกแู้ กต่ นก็จะตอ้ งปฏิบตั ติ ามประมวล กฎหมายวธิ พี ิจารณาความแพง่ คอื จะต้องบงั คับนาย A ตอ่ ศาลส่วนแพง่ ให้บงั คบั นาย A ชาระหนเ้ี งนิ กแู้ กต่ นก็ จะต้องปฏิบตั ติ ามประมวลกฎหมายพจิ ารณาความแพ่งคือต้องฟอ้ งบังคับนาย A ต่อศาลส่วนแพ่งให้บงั คับ นาย A ตอ่ ศาลส่วนแพง่ ให้กบั นาย A ตอ่ ศาลส่วนแพง่ ให้บงั คบั นาย A ชาระเงินหน้แี ก่ตน แบ่งตามกฎหมายตามลกั ษณะความสัมพนั ธข์ องคกู่ รณี โดยพิจารณาจากตวั บทกฎหมายนัน้ วา่ มีลกั ษณะ อยา่ งไร ทง้ั นีเ้ พง็ เลง็ ไปถงึ ความสมั พนั ธ์ของคกู่ รณีวา่ เปน็ ความสัมพันธ์ระหว่างใครกบั ใคร ซ่ึงแบง่ ได้เปน็ 3 ประเภทคือ 1.กฎหมายเอกชน (Private Law) หมายถงึ กาหมายทวี่ างระเบยี บความเก่ยี วพนั ระหวา่ งเอกชน หรือ ระหว่างเอกชนกับรัฐ ในฐานะที่รัฐดาเนนิ การอย่างเอกชนเกี่ยวกบั สถานะภาพของบคุ คลตามกฎหมาย สิทธิและ หนา้ ท่ขี องเอกชน รวมทงั้ ระเบียบเก่ียวกับทรพั ย์สนิ ของเอกชน กฎหมายเอกชนที่สาคัญ เชน่  กฎหมายแพง่  กฎหมายพาณชิ ย์ 2.กฎหมายมหาชน (Public Law) เปน็ กฎหมายท่วี างระเบียบเกี่ยวพนั ระหว่างรัฐกบั เอกชน ในฐานะทีร่ ฐั มอี านาจปกครองเอกชนทีอ่ ยใู่ นดนิ แดนของรฐั กฎหมายมหาชนทส่ี าคัญ เชน่  กฎหมายรฐั ธรรมนูญ  กฎหมายปกครอง  กฎหมายอาญา  กญหมายวา่ ดว้ ยวิธีพจิ ารณาความอาญา  กฎหมายวา่ ดว้ ยวิธีพิจารณาความแพง่ และพาณิชย์  กฎหมายว่าด้วยพระธรรมมนญู ศาลยตุ ิธรรม

15 3.กฎหมายระหว่างประเทศ (International Law) เปน็ กฎหมายหรอื หลกั ปฏบิ ตั ิท่ียอมรับกนั วา่ ด้วยรัฐ และความเก่ียวพันระหวา่ งรัฐ รวมทง้ั การเกย่ี วพันระหว่างรัฐกับองคก์ ารระหวา่ งประเทศและประชาคมระหว่าง ประเทศ ซ่ึงในความเปน็ จรงิ แล้วจะเห้นวา่ ไม่มตี วั บทกฎหมายระหวา่ งประเทศบัญญตั ิไวเ้ ป็นลายลักษณ์อักษร แมแ้ ตฉ่ บับเดยี ว แต่จะเปน็ ธรรมเนียมประเพณีท่ีถือปฏบิ ตั มิ า หรืออย่างมากก็เปน็ เพยี งสนธสิ ญั ญาท่ีทาขึ้น ระหวา่ งประเทศ ดงั นั้นกฎหมายประเภทน้จี งึ เป็นเพียงธรรมเนียมปฏบิ ัตริ ะหวา่ งประเทศที่ถือกนั มาเทา่ นนั้ ซ่งึ กฎหมายประเภทน้สี ามารถแบ่งออกได้เป็น 3 สาขา คอื  กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง  กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดบี คุ คล  กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดอี าญา แบง่ กฎหมายตามลกั ษณะเฉพาะของกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร ประเทศไทยเปน็ ประเทศที่ใชก้ ฎหมาย ระบบซวี ิลลอร์ ดงั นั้นกฎหมายส่วนใหญ่จงึ เปน็ กฎหมายลายลกั ษณ์อักษร แตม่ อี ยูห่ ลายประเภท ทง้ั นเี้ นือ่ งจากมี องค์กรทมี่ ีอานาจในการตรากฎหมายแตกตา่ งกัน ซงึ่ โดยปกติแลว้ รัฐสภาซึ่งเปน็ ผู้ใชอ้ านาจนิติบญั ญัติจะมีหนา้ ที่ โดยตรงในการตรากฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร เพ่อื ใชบ้ งั คบั ความประพฤติของพลเมือง แต่ก็มบี างกรณีที่องค์กร อนื่ ท่ีมีอานาจในการตรากฎหมายลายลักษณอ์ กั ษรออกใชบ้ ังคับไดซ้ ง่ึ แบง่ ออกเป็น 3 ประเภทใหญๆ่ คือ  กฎหมายลายลักษณ์อกั ษรทอี่ อกโดยฝา่ ยนิตบิ ัญญัติ ไดแ้ ก่ 1.รัฐธรรมนญู 2.พระราชบัญญตั ิประกอบรฐั ธรรมนูญ 3.พระราชบัญญตั ิ 4.ประมวลกฎหมาย 5.กฎมณเฑยี นบาล  กฎหมายลายลักษณอ์ ักษรทอี่ อกโดยฝ่ายบริหาร ไดแ้ ก่ 1.พระราชกาหนด 2.พระราชกฤษฎกี า

16 3.กฎกระทรวง 4.ประกาศกระทรวง , ประกาศของทางราชการที่ออกตามกฎหมายบางฉบับ  กฎหมายลายลักษณ์อักษรที่ออกโดยองค์การบริหารส่วนท้องถ่นิ 1.ข้อบงั คบั จงั หวดั 2.เทศบัญญตั ิ 3.ขอ้ บงั คับตาบล 4.ขอ้ บญั ญัตกิ รงุ เทพมหานคร 5.ขอ้ บัญญัตเิ มืองพัทยา นอกจากนี้ยังมีกฎหมายลายลกั ษณ์อักษรท่ีออกโดยฝ่ายตลุ าการ เชน่ วธิ ีพิจารณาของคณะตุลาการรัฐธรรมนญู นนั้ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย (ฉบับชัว่ คราว) พศ.ศ.2549 ตามมาตรา 35 วรรคสาม กาหนดให้เปน็ ไป ตามทคี่ ณะตุลาการรัฐธรรมนูญกาหนด โดยประกาศในราชกจิ จานุบกษา เป็นตน้ อา้ งอิง ภพพสิ ิษฐ สุขพสิ ษิ ฐ,์ พัทธเนตหิ ์ สขุ ะพสิ ิษฐ์ และมหเศรษฐุ่ เล้ยี วรุ่งโรจน์. (2555). คมู่ อื เตรยี มสอบตรงนิติศาสตร์ (พมิ พ์คร้ังท4ี่ ). กรงุ เทพมหานคร: พิมพ์อักษร กฎหมายอาญา ความหมายของกฎหมายอาญา กฎหมายอาญาคือ กฎหมายที่รวมเอาลักษณะความผิดต่าง ๆ และกาหนดบทลงโทษมาบญั ญตั ิข้นึ ด้วย มีจดุ ประสงค์จะรักษาความสงบเรยี บร้อยภายในสงั คม การกระทาทม่ี ผี ลกระทบกระเทือนตอ่ สังคม หรือคนส่วน ใหญข่ องประเทศถือว่าเป็นความผิดทางอาญาหากปล่อยให้มกี ารแก้แค้นกันเองหรือ ปล่อยให้ผกู้ ระทาผดิ แลว้ ไม่ มีการลงโทษจะทาให้มกี ารกระทาความผดิ ทางอาญามากขึ้นสงั คมก็จะขาดความสงบสุขความรับผิดในทาง อาญาหรือการกระทาความผิดทางอาญาซึ่งจะเกดผลร้ายทาให้ถกู ลงโทษนอก จากจะต้องเป็นการกระทาท่มี ี

17 กฎหมายบญั ญตั ิวา่ เป็นความผิดแลว้ ผู้กระทาผิดยงั ต้องทาไปด้วย เจตนาโดย ยกเว้นการกระทาบางชนดิ ที่มี กฎหมายเขียนไวช้ ดั เจนวา่ แมก้ ระทาโดยไมเ่ จตนา หรือกระทาโดยประมาทกต็ ้องรบั ผิด เจตนา คือ การกระทาผดิ ทางอาญาท่ผี ู้กระทารอู้ ยู่แล้วว่าสง่ิ ที่ตนทานั้นเป็นความผิดแล้วยังทา ลงไปทงั้ ๆ ท่รี ู้สานึกในการทีก่ ระทา ประมาท คอื การกระทาที่ผกู้ ระทามไิ ดต้ ง้ั ใจให้เกดิ ผลรา้ ยแกใ่ ครแตเ่ น่ืองจากกระทาโดยไม่ระมดั ระวงั หรอื ระมดระวงั ไม่เพยี งพอทาให้เกิดผลรา้ ยแก่ผอู้ ืน่ ไมเ่ จตนา คือการกระทาทีผ่ ู้กระทาตง้ั ใจทาเพือ่ ใหเ้ กดิ ผลอยา่ งหน่ึง แต่ผลเกดิ ขึ้นมากกว่าทตี่ ้ังใจไว้ พยายามกระทาความผดิ คือผกู้ ระทาความผดิ ได้ลงมอื กระทาความผดิ แต่กระทาไปไมตลอดหรือ กระทา ไปตลอดแลว้ แต่การกระทานั้นไม่บรรลุผล ตัวการ คอื กรณที คี่ วามผดิ ได้เกดิ ขนโดยการกระทาของบุคคลต้งั แต่ 2 คนขึ้นไป ผทู้ ีไ่ ด้ร่วมกระทา ความผดิ ดว้ ยกันนั้นเปน็ ตวั การ ผสู้ นบั สนนุ คือ ผู้ท่ีกระทาดว้ ยประการใดๆอนั เป็นการชว่ ยเหลอื หรอื ให้ความสะดวกในการทผ่ี อู้ ื่น กระทาความผดิ ก่อนหรือขณะกระทาความผดิ ความผดิ ต่อแผน่ ดนิ คอื ความผิดในทางอาญาในเรอื่ งน่นั เป็นเรอื่ งที่นอกจากจะมผี ลต่อตวั ผู้รับ ผลรา้ ยแลว้ ยังมผี ลกระทบต่อสงั คมเสยี หายอีกด้วย และยอมความไม่ได้ ความผิดต่อสว่ นตัว คือ ความผดิ ในทางอาญาซึ่งไม่ไดม้ ผี ลรา้ ยกระทบต่อสงั คมโดยตรง หากตัวผู้รบั ผลรา้ ยไม่ติดใจเอาความแล้ว รฐั ก็ไม่อาจย่นื มอื เขา้ ไปดาเนนิ คดีกบั ผู้กระทาผิดได้และถงึ แม้จะไดด้ าเนนิ คดไี ป บา้ งแล้วเมือ่ ตวั ผู้เสียหายพอใจยตุ คิ ดีเพยี งใดกย็ ่อมทาได้ดว้ ยการถอนคาร้องทกุ ข์ ถอนฟอ้ ง หรือยอมความได้ สภาพบังคบั ทางอาญา \"บคุ คลจักต้องรบั โทษในทางอาญาต่อเมือ่ ไดก้ ระทาการอันกฎหมายท่ีเชี่ อในขณะกระทานั้น บญั ญัตเิ ปน็ ความผดิ และกาหนดโทษไว้และโทษท่ีจะลงแก่ผกู้ ระทาความผิดนน้ั ต้องเปน็ โทษที่บญั ญัตไิ ว้ใน กฎหมาย\" หลกั ดงั กล่าวนี้เป็นหลักสภาพบงั คับทางอาญาทีส่ าคญั ซงึ่ อาจจะถอื ได้ว่า เป็นหวั ใจของ กฎหมายอาญา หลกั นี้ได้กลา่ วถงึ ลักษณะสาคัญของกฎหมายอาญาเอาไว้ 4 ประการคอื 1. กฎหมายอาญาต้องชัดเจนแนน่ อน 2. หา้ มใชก้ ฎหมายจารตี ประเพณลี งโทษทางอาญาแก่บุคคล

18 3. หา้ มใชก้ ฎหมายทใ่ี กล้เคยี งอยา่ งยงิ่ ลงโทษทางอาญาแก่บุคคล 4. กฎหมายอาญาไม่มผี ลยอ้ นหลงั โทษทางอาญาหรอื สภาพบังคับทางอาญาน้ัน มีผลหรอื มาตรการท่รี ุนแรงในเรือ่ งการจากดั สิทธิ ในร่างกาย ดงั นนั้ จะต้องมคี วามชัดเจนแน่นอนไม่กากวม ซง่ึ แตกต่างจากกฎหมายแพง่ กลา่ วคอื ในกฎหมายแพ่งนน้ั มหี ลัก อยู่ว่าจะปฏิเสธวา่ ไม่มกี ฎหมายมาปรบั ใช้ไมไ่ ด้ส่วนกฎหมายอาญาน้นั จะอุดช่องว่างของกฎหมายโดยการ เทยี บเคยี งบทกฎหมายทใี่ กล้เคียงอย่างยง่ิ ในทางทเ่ี ป็นโทษไมไ่ ด้แต่ในทางท่เี ปน็ คณุ แลว้ ย่อมกระทาได้บคุ คล จะต้องรบั ผิดในทางอาญาเมอ่ื มกี ารกระทา ดงั นี้ 1) กระทาโดยเจตนา เป็นการกระทาโดยผกู้ ระทารู้สานกึ คอื ผู้กระทารสู้ านกึ ในการเคลอ่ื นไหวร่างกายของ ตนเอง ในขณะเดียวกนั ผู้กระทาประสงค์ต่อผลทเ่ี กิดตามทีค่ ิดไว้ หรอื ผู้กระทาย่อมเลง็ เห็นผลในการกระทาน้นั ตัวอย่างที่ 1 นายสมชายและนางสมทรงเกิดมปี ากเสียงทะเลาะกนั อยา่ งรนุ่ แรง และถงึ ข้นั ทาร้ายร่างกาย กัน นางสมทรงเหน็ วา่ ตวั เองไม่สามารถที่จะสู้แรงของนายสมชายได้ จงึ ได้ควา้ มดี ปลายแหลมท่ีอยู่ข้างๆ แทง นายสมชายทที่ ้อง จานวน 5 ครงั้ นายสมชายถงึ แกค่ วามตายทันที นางสมทรง มีความผิดฐานเจตนาฆา่ นายสมชาย ตวั อย่างท่ี 2 เกก๋ ับกุ้งเป็นเพอื่ นกัน เก๋พูดจาต่อวา่ กุ้งที่ไปเทย่ี วกบั เอกชายหนุ่มคนรักของเก๋ กงุ้ โกรธมากจงึ ใช้รองเทา้ ส้นสูงของเธอฟาดศรี ษะของเกจนเลือดไหลกุ้งมคี วามผิดฐานเจตนาทาร้ายรา่ งกายเก๋ 2) กระทาโดยไมเ่ จตนา การกระทาโดยไมเจตนาเปน็ การกระทาโดยรู้สานกึ แต่ผกู้ ระทาไม่ประสงค์ต่อผล หรือไม่อาจเลง็ เหน็ ผลของการกระทาว่าจะเกิดขึน้ ตัวอย่าง นายโอภาสและนายสมชยั น่ังดื่มสุราด้วยกันจนเมาแล้วเกดิ มปากเสยี งกัน นายโอภาสโต้เถยี งสู้นายสมชัยไม่ได้ นายโอภาสจงึ ชกนายสมชยั ล้มลงศีรษะฟาดพืน้ ถงึ แกค่ วามตายนายโอภาส มคี วามผิดฐานฆา่ คนตายโดยไม่เจตนา 3) กระทาโดยประมาท การกระทาความผดิ ไม่ใช่โดยเจตนา แต่กระทาโดยปราศจากความ ระมดั ระวงั ซึง่ บคุ คลในภาวะเช่นน้ันจะต้องมตี ามวสิ ัยและพฤตกิ ารณ์และผกู้ ระทาอาจใชค้ วาม ระมดั ระวงั เช่นวา่ นัน้ ไดแ้ ต่หาไดใ้ ช้ใหเ้ พยี งพอไม่ ตัวอย่าง นายสนั ตนิ ามดี คตั เตอร์ออกมาเล่น โดยแกล้งโยนเล่นไปมาหยอกลอ้ กับนายยรรยงซ่ึง

19 เปน็ เพอื่ นรกั ปรากฏว่าสนั ติโยนมดี คตั เตอร์ไปถกู แขนนายยรรยงเป็นแผลกว้าง นายสันติย่อมมคี วามผดิ ฐาน ประมาททาใหผ้ อู้ ื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจติ ใจ โทษทางอาญา 1. ประหารชวี ติ 2. จาคกุ 3. กักขงั 4. ปรับ 5. ริบทรัพย์ โดยการประหารชวี ติ เป็นโทษสถานหนักทส่ี ุด สว่ นการริบทรัพย์เปน็ โทษทสี่ ถานเบาทสี่ ุด อ้างองิ อ.เวชพล อ่อนละมยั http://www.kasetyaso.ac.th/laws.pdf ศาล ศาล เป็นองค์กรสาธารณะทม่ี ีหน้าที่ในการวินจิ ฉัยข้อพพิ าทเกี่ยวกับพลเมอื ง แรงงาน กิจการ และ อาชญากรรมภายใตก้ ฎหมาย ในกฎหมายทวั่ ไปและกฎหมายพลเมอื ง ศาลนับวา่ เป็นทางออกของขอ้ พพิ าท ตา่ งๆ เป็นที่ทราบกันอยูแ่ ล้ววา่ ทกุ ๆ คนมีสทิ ธท์ิ ่จี ะนาขอ้ กล่าวหามาใชใ้ นศาลได้ ในขณะเดยี วกนั ผถู้ ูกกล่าวหาก็ มีสทิ ธ์ทิ ี่จะแกต้ า่ งในศาลได้เชน่ กนั ศาลในประเทศไทย ในประเทศไทย ศาลเป็นองค์กรซง่ึ มีอานาจพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดี โดยดาเนนิ การตามรฐั ธรรมนูญ ตาม กฎหมาย และในพระปรมาภไิ ธยพระมหากษัตริย์ บรรดาศาลทง้ั หลายจะต้ังข้ึนได้กแ็ ต่โดยพระราชบัญญตั ิ การตง้ั ศาลขนึ้ ใหมเ่ พอื่ พจิ ารณาพิพากษาคดีใดคดีหนงึ่ หรือคดที ม่ี ขี อ้ หาฐานใดฐานหน่ึงโดยเฉพาะแทนศาลท่มี ี อยู่ตามกฎหมายสาหรับพิจารณาพพิ ากษาคดนี นั้ จะกระทามิได้ ตามรฐั ธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจกั รไทย (พุทธศักราช ๒๕๔๐) ศาลมี 4 ประเภท คอื 1. ศาลรัฐธรรมนูญ

20 2. ศาลยตุ ิธรรม 3. ศาลปกครอง 4. ศาลทหาร ศาลรัฐธรรมนูญ (อังกฤษ: constitutional court) เปน็ ศาลสูงท่ีมอี านาจพจิ ารณาพิพากษาเกยี่ วกับ กฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยมีอานาจหลกั ทจ่ี ะวนิ จิ ฉัยวา่ กฎหมายใดมปี ัญหาเรือ่ งความชอบดว้ ยรัฐธรรมนญู หรือไม่ เชน่ ขดั กับสทิ ธิและเสรภี าพตามท่ีรัฐธรรมนูญรับรองไวห้ รือไม่ ในหลาย ๆ ประเทศ ไมจ่ ดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู เปน็ เอกเทศ และศาลยตุ ิธรรมตามธรรมดาจะรบั คดดี งั กลา่ วเอง นอกจากนี้ ในหลาย ๆ ประเทศกไ็ มเ่ รยี กองค์กรนวี้ า่ \"ศาลรัฐธรรมนญู \" และบางประเทศกเ็ รยี กศาลยตุ ธิ รรมวา่ ศาลรฐั ธรรมนูญ เช่น ศาลสูงสุดแหง่ สหรฐั อเมริกาไดช้ ือ่ ว่าเป็น \"ศาลรัฐธรรมนญู ทเ่ี กา่ แก่ท่ีสุดในโลก\" เพราะเป็น ศาลแรกในโลกทว่ี ินิจฉัยความชอบด้วยรฐั ธรรมนญู ของกฎหมายตา่ ง ๆ (คดรี ะหวา่ งมาร์บวิ รีกบั เมดสิ นั ) แมว้ า่ ใน ประเทศสหรฐั อเมริกาจะไมจ่ ดั ตงั้ ศาลรัฐธรรมนญู เป็นการเฉพาะกต็ าม สว่ นประเทศทีส่ ถาปนาศาลรัฐธรรมนูญ อย่างเอกเทศเปน็ แหง่ แรกของโลกนน้ั คือ ประเทศออสเตรีย ซ่งึ ดาเนินการใน ค.ศ. 1920 แม้วา่ จะถกู เลอ่ื นไปใน ราว ๆ ค.ศ. 1934 ถึง 1945 ตามรัฐธรรมนญู ทจี่ ดั ต้ังศาลนัน้ อน่ึง กอ่ นหน้าน้ี มีเพยี งสหรฐั อเมรกิ าและ ออสเตรเลียเทา่ นั้นท่ีรบั เอาทฤษฎีการทบทวนโดยฝา่ ยตลุ าการมาใชใ้ นศาลสงู สุดของประเทศตน ศาลยตุ ธิ รรม (องั กฤษ: The Court of Justice) เป็นศาลทม่ี อี านาจพจิ ารณาพิพากษาคดที งั้ ปวง เวน้ แตค่ ดีท่ี รฐั ธรรมนูญหรอื กฎหมายบญั ญัตใิ ห้อยใู่ นอานาจของศาลอื่น ศาลยุติธรรมมี 3 ช้ัน คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎกี า เวน้ แต่ทีม่ บี ัญญัตเิ ปน็ อยา่ งอ่นื ในรฐั ธรรมนูญ หรือตามกฎหมายอืน่  ศาลชั้นตน้ ไดแ้ ก่ ศาลแพง่ ศาลแพง่ กรุงเทพใต้ ศาลแพง่ ธนบุรี ศาลอาญา ศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาล อาญาธนบุรี ศาลจงั หวดั ศาลแขวง และศาลยตุ ิธรรมอนื่ ท่ีพระราชบัญญตั ิจดั ตง้ั ศาลนนั้ กาหนดใหเ้ ปน็ ศาลชั้นตน้ เชน่ ศาลเยาวชนและครอบครวั ศาลแรงงาน ศาลภาษอี ากร ศาลทรัพย์สนิ ทางปญั ญาและ การคา้ ระหวา่ งประเทศ ศาลล้มละลาย  ศาลแพง่ เปน็ ศาลยตุ ิธรรมชัน้ ต้นซง่ึ มอี านาจพิจารณาพพิ ากษาคดีแพง่ ท้งั ปวงและคดอี น่ื ใด ท่ีมิได้อย่ใู นอานาจของศาลยตุ ธิ รรมอื่น ศาลแพง่ มีเขตตลอดทอ้ งทกี่ รุงเทพมหานคร นอกจาก ท้องที่ที่อยใู่ นเขตของศาลแพง่ กรงุ เทพใต้ ศาลแพง่ ธนบุรี ศาลจงั หวัดมนี บุรี และศาลยตุ ิธรรม อน่ื ตามท่ีพระราชบัญญัตจิ ดั ต้ังศาลนน้ั กาหนดไว้ ในกรณีทีม่ กี ารยน่ื ฟ้องคดีตอ่ ศาลแพง่ และ

21 คดีนั้นเกดิ ขนึ้ นอกเขตของศาลแพ่ง ศาลแพ่งอาจใชด้ ุลพินิจยอมรับไว้พิจารณาพพิ ากษาหรือ มีคาสั่งโอนคดไี ปยังศาลยตุ ิธรรมอ่นื ทม่ี เี ขตอานาจ  ศาลอาญา เป็นศาลชัน้ ต้นซง่ึ มอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาคดอี าญาท้งั ปวงในเขตทอ้ งที่ กรงุ เทพมหานคร นอกจากทอ้ งทท่ี ่อี ยู่ในเขตของศาลอาญากรงุ เทพใต้ ศาลอาญาธนบุรี และ ศาลจงั หวัดมนี บรุ ี แตบ่ รรดาคดที ี่เกิดขึ้นนอกเขตอานาจศาลอาญานนั้ จะย่นื ฟ้องต่อศาล อาญาก็ได้ ทงั้ นอ้ี ยใู่ นดุลพนิ ิจของศาลอาญาทจี่ ะไม่ยอมรบั พจิ ารณาพพิ ากษาคดใี ดคดีหนึ่งที่ ย่นื ฟอ้ งเชน่ นนั้ ก็ได้ เว้นแตค่ ดนี ั้นจะโอนมาตามบทบญั ญตั ิในประมวลกฎหมายวิธพี จิ ารณา ความ ทที่ าการศาลอาญา อยทู่ ่ีถนนรชั ดาภิเษก แขวงลาดยาว เขตจตจุ กั ร กรุงเทพมหานคร  ศาลอุทธรณ์ ได้แก่ ศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ภาค  ศาลฎีกา ซงึ่ เปน็ ศาลยุติธรรมสงู สุด ท่ีมอี ยู่เพยี งศาลเดียว ศาลปกครอง (องั กฤษ: administrative court) เปน็ ศาลชานญั พิเศษดา้ นกฎหมายปกครอง โดยเฉพาะดา้ น ขอ้ พิพาทเกย่ี วกับการใชอ้ านาจรฐั จัดตัง้ ข้นึ เพ่ือสรา้ งความมน่ั ใจวา่ ราชการเป็นไปตามกฎหมาย ศาลปกครองมักพบในประเทศทางยโุ รปที่ใช้กฎหมายระบบซวี ิลลอว์ บางประเทศจดั ตัง้ ศาลปกครองขน้ึ เป็น ระบบต่างหากจากศาลปรกติ โดยทแ่ี ตล่ ะระบบไม่มีอานาจเหนือกัน การจดั ตั้งศาลปกครองลักษณะนม้ี ใี น ประเทศกรีซ ประเทศฝร่งั เศส ประเทศโปแลนด์ ประเทศฟินแลนด์ ประเทศเยอรมนี ประเทศสวเี ดน และประเทศ อยี ปิ ต์ สาหรับประเทศกรีซ ประเทศฝรงั่ เศส และประเทศสวเี ดนนั้น ศาลปกครองมีสามชั้นดังศาลทั่วไป คอื ศาล ปกครองชั้นตน้ ศาลปกครองชนั้ อทุ ธรณ์ และศาลปกครองชน้ั สูงสดุ สว่ นในประเทศโปแลนด์และประเทศ ฟนิ แลนด์ ศาลปกครองมสี องช้ัน คอื ศาลปกครองชั้นต้น กับศาลปกครองชัน้ สงู สุด ในประเทศเยอรมนี ศาลปกครองมีระบบซบั ซ้อนทง้ั ยังมีความชานาญเฉพาะเรอื่ งยิ่งกว่าในประเทศอื่น นอกจากน้ี เมือ่ ค.ศ. 1952 รฐั บาลเยอรมันตะวันออกของพรรคคอมมวิ นสิ ตย์ งั เคยยุบศาลปกครองเพ่อื ไมใ่ หร้ าษฎรโต้แยง้ คาสงั่ ทางปกครองได้ แตศ่ าลปกครองได้รับการสถาปนาขน้ึ ใหมเ่ มอื่ ค.ศ. 1989 ก่อนมกี ารผนวกเยอรมนีในอีก หนงึ่ ปใี ห้หลงั

22 ในสหรฐั อเมรกิ า คณะตุลาการในส่วนราชการทั้งหลายทาหนา้ ทพี่ ิจารณาคดปี กครองโดยไมข่ ึ้นตอ่ ศาล แตค่ า วินจิ ฉัยของคณะตลุ าการเหล่านส้ี ามารถอุทธรณต์ อ่ ไปยังศาลได้ ศาลทหาร ได้มขี ึน้ เป็นของคกู่ นั มาตงั้ แต่มกี ารทหารไวป้ อ้ งกนั ประเทศ จากหลักฐานทางประวัตศิ าสตรร์ ะบบ ศาลทหารไทยปรากฏตามกฎหมายลกั ษณะขบฎศึก จุลศกั ราช 796 ในสมัยกรงุ รตั นโกสินทรต์ ง้ั แตร่ ชั กาลท่ี 1 ถงึ รัชกาลท่ี 5 มศี าลกลาโหม ชาระความทเ่ี กยี่ วกับทหารและยงั ชาระความพลเรือนดว้ ย ทง้ั นี้ เนือ่ งจากสมหุ พระ กลาโหมนั้นมไิ ดม้ เี พยี งอานาจหนา้ ท่ีเฉพาะการบังคบั บัญชาทหารบก ทหารเรือ เท่านั้น แตย่ งั มีหน้าท่ีจดั การ ปกครองหวั เมืองฝ่ายใตด้ ว้ ย ศาลท่ีขนึ้ อยูใ่ นกระทรวงกลาโหมมีทั้งศาลท่ตี ้งั อยู่ในกรุงเทพ และศาลในหัวเมือง ฝา่ ยใตด้ ้วย ศาลกลาโหมจงึ มีลักษณะเปน็ ทงั้ ศาลทหารและศาลพลเรือน พ.ศ. 2434 พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจ้าอยูห่ วั ได้ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ให้ปรับปรงุ ในเร่ืองการศาล ท้งั หมด โดยใหต้ ง้ั กระทรวงยตุ ธิ รรมขนึ้ และรวบรวมศาลซง่ึ กระจดั กระจายสังกดั อยใู่ นกระทรวง ทบวง กรม ตา่ ง ๆ เข้ามาสังกดั กระทรวงยตุ ิธรรมจนหมดสิน้ ทกุ ศาล ยกเวน้ แตเ่ พยี งศาลทหารเพียงศาลเดียวทย่ี งั คงใหส้ งั กัด กระทรวงกลาโหมอยตู่ ามเดิม ศาลในประเทศไทยจงึ แบง่ ได้เปน็ ศาลกระทรวงยตุ ิธรรมกับศาลทหารนบั แตน่ ้ันมา โพสต์เมอ่ื 15th November 2014 โดย Unknown ประเภทกฎหมาย การแบง่ แยกประเภทของกฎหมาย กฎหมายแบง่ แยกตามข้อความของกฎหมายไดเ้ ปน็ 3 ประเภท (1) กฎหมายมหาชน (Public Law) (2) กฎหมายเอกชน (Private Law) (3) กฎหมายระหวา่ งประเทศ (International Law) 1. กฎหมายมหาชน (Public Law) ไดแ้ ก่ กฎหมายทกี่ าหนดความสมั พนั ธ์ระหวา่ งรฐั หรอื หนว่ ยงานของรัฐ กับราษฎร ในฐานะท่เี ป็นฝา่ ยปกครองราษฎร กลา่ วคอื ในฐานะท่ีรัฐมีฐานะเหนือราษฎร แบ่งแยกสาขา กฎหมายมหาชนได้ ดังนี้ (1) รฐั ธรรมนูญ (2) กฎหมายปกครอง

23 (3) กฎหมายอาญา (4) กฎหมายวา่ ดว้ ยพระธรรมนญู ศาลยุตธิ รรม (5) กฎหมายวา่ ดว้ ยวิธพี ิจารณาความอาญา (6) กฎหมายวา่ ดว้ ยวิธพี จิ ารณาความแพง่ (1) รัฐธรรมนญู หมายถงึ กฎหมายทว่ี า่ ดว้ ยระเบยี บแห่งอานาจสูงสุดในรัฐ และความสมั พันธ์ ระหว่างอานาจน้นั ๆ ตอ่ กนั และกนั ลกั ษณะทัว่ ไปคอื ก. กาหนดระเบียบแหง่ อานาจสงู สดุ อานาจอธปิ ไตย ใครเปน็ เจา้ ของ (มาตรา 3 แหง่ รัฐธรรมนญู แหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศกั ราช 2540 บัญญัติว่า อานาจอธปิ ไตยมาจากปวงชนชาว ไทยพระมหากษตั ริย์ผูเ้ ป็นประมขุ ทรงใชอ้ านาจน้ันทางรฐั สภา คณะรัฐมนตรแี ละศาลตามบทบญั ญัตแิ ห่ง รฐั ธรรมนูญน)้ี ข. รฐั ธรรมนูญต้องมีขอ้ ความกาหนดความสัมพนั ธ์ระหว่างอานาจนติ บิ ัญญตั ิอานาจบรหิ าร อานาจตุลาการต่อกนั และกัน (2) กฎหมายปกครอง ได้แกก่ ฎหมายทก่ี าหนดรายละเอยี ดในการปกครองลดหลั่นลง จากกฎหมายรฐั ธรรมนญู รัฐธรรมนูญเปน็ กฎหมายวา่ ดว้ ยอานาจการปกครองประเทศแต่กฎหมายปกครองเปน็ กฎหมายวา่ ดว้ ยการดาเนนิ การปกครอง ซงึ่ ในกฎหมายนจ้ี ะกลา่ วถึงการจดั ระเบยี บแหง่ องคก์ ารปกครอง (เชน่ จัดแบง่ ออกเปน็ กระทรวง ทบวง กรม หรือ เทศบาล สขุ าภบิ าล ฯลฯ ความเกยี่ วพนั ระหวา่ งองคก์ ารเหล่าน้ีต่อ กนั และกัน และความเกี่ยวกบั ระหว่างองคก์ ารเหลา่ นี้กบั ราษฎร) กฎหมายปกครองไมไ่ ดร้ วบรวมขน้ึ ในรูปของ ประมวลกฎหมาย กฎหมายต่าง ๆ ท่อี ยใู่ นสาขากฎหมายปกครองเป็นจานวนมาก อาทิ เช่น พระราชบญั ญตั ิ ระเบยี บบริหารราชการแผ่นดนิ พระราชบัญญตั ปิ รับปรงุ กระทรวง ทบวงกรม พระราชบญั ญตั ลิ กั ษณะปกครอง ท้องถิน่ พระราชบญั ญตั ิจดั ระเบยี บสานกั นายกรัฐมนตรี พระราชบัญญตั ิเทศบาล พระราชบัญญัติ สุขาภิบาล พระราชบัญญัติองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด และพระราชบญั ญัติองค์การบรหิ ารส่วนตาบล (3) กฎหมายอาญา ได้แกก่ ฎหมายท่บี ัญญตั ถิ งึ ความผิดและโทษ แยกพิจารณาไดด้ งั นี้ การบัญญัติความผดิ หมายความวา่ การบญั ญัติว่าการกระทาและการงดเว้นการกระทา อย่างใดเปน็ ความผดิ อาญา

24 การบัญญตั ิโทษ หมายความวา่ เมือ่ ใดบัญญตั วิ า่ การกระทาหรอื การงดเวน้ การกระทาอยา่ ง ใดเปน็ ความผิดแล้ว ก็ตอ้ งบัญญตั โิ ทษอาญาสาหรบั ความผดิ นนั้ ไวด้ ว้ ย ประมวลกฎหมายอาญาแบ่งออกเปน็ 3 ภาค ภาค 1 บทบัญญัติทัว่ ไป ภาค 2 ความผิด ภาค 3 ลหโุ ทษ ภาค 1 ตามมาตรา 17 แห่งประมวลกฎหมายอาญาใหน้ าไปใชใ้ นกรณีความผิดตามกฎหมายอ่ืนไดด้ ้วย หลักเกณฑส์ าคัญ ของประมวลกฎหมายอาญา มดี ังน้ี (1) จะไมม่ ีความผดิ โดยไมม่ กี ฎหมาย [1] (2) จะไมม่ ีโทษโดยไมม่ ีกฎหมาย โทษอยา่ งไรกต็ อ้ งลงอย่างนน้ั จะให้ลงโทษอยา่ งอ่ืนไม่ได้ (3) จะตอ้ งตคี วามกฎหมายอาญาโดยเครง่ ครดั (4) การอดุ ชอ่ งวา่ งแหง่ กฎหมาย อดุ ช่องวา่ เปน็ ผลร้ายแกจ่ าเลยไม่ได้ (5) จะแก้ตวั วา่ ไม่รกู้ ฎหมาย เพอ่ื ใหจ้ ากความรบั ผิดไมไ่ ด้(มาตรา64) หลักเกณฑ์ท่ีจะพจิ ารณาว่าการกระทาใดเปน็ ความผดิ อาญา มี 3 ข้อ 1. ต้องมกี ารกระทา 2. การกระทานน้ั เขา้ องค์ประกอบท่กี ฎหมายบญั ญตั วิ า่ เปน็ ความผดิ 3. ไมม่ ีกฎหมายยกเว้นโทษ หรือ ไม่มกี ฎหมายยกเวน้ ความผดิ (4) กฎหมายวา่ ดว้ ยพระธรรมนญู ศาลยุติธรรม หมายความถงึ กฎหมายวา่ ดว้ ยการจดั ตงั้ ศาลและอานาจใน การพจิ ารณาพิพากษาของศาลและของผ้พู พิ ากษา มหี ลกั การดงั นี้ (1) หลกั อานาจพจิ ารณาพิพากษาอรรถคดี ตอ้ งเปน็ ของศาลโดยเฉพาะ (2) หลกั การจดั ต้ังศาล จดั ตัง้ ศาลตอ้ งกระทาโดยพระราชบญั ญตั ิ (3) หลักการห้ามตงั้ ศาลพิเศษ (4) หลักการผูพ้ ิพากษาย่อมมีอสิ ระในการพจิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดีซง่ึ ตามรัฐธรรมนญู ให้หลกั ประกัน ไว้ 2 ประการ คือ

25 (ก) การแตง่ ตง้ั ย้าย ถอดถอน ตอ้ งไดร้ ับความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการตุลาการก่อนแล้วจงึ นาความกราบ บงั คมทูลเพ่อื ทรงแตง่ ต้งั และถอดถอนหรอื โยกยา้ ยได้ (ข) การเลอื่ นตาแหน่งการเลือ่ นเงินเดือน ตอ้ งไดร้ ับความเหน็ ชอบจากคณะกรรมการตลุ าการ หลกั ประกนั ทั้ง 2 ประการ ดังกลา่ วทาให้ผู้พพิ ากษาเปน็ อสิ ระจากฝา่ ยบรหิ าร เพราะฝ่ายบรหิ ารจะใหค้ ณุ หรือโทษผู้ พิพากษาไมไ่ ด้ คณะกรรมการตลุ าการเป็นคนกลางไมข่ น้ึ ตอ่ ฝ่ายบรหิ าร (5) กฎหมายว่าดว้ ยวิธีพิจารณาความอาญา ได้แก่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความ อาญา พทุ ธศกั ราช 2477 และฉบับแกไ้ ขเพิ่มเติม เป็นกฎหมายทบ่ี ัญญัตถิ งึ กระบวนการทจ่ี ะนาตัวผ้กู ระความ ความผดิ มารบั โทษตามความผิดที่กาหนดในประมวลกฎหมายอาญา เร่มิ ตง้ั แต่ ขอบเขตของเจา้ พนักงานตารวจ อัยการ และศาลในการพจิ ารณาคดี หลกั เกณฑ์และวิธีการพจิ ารณาคดเี พอ่ื ใหไ้ ดต้ ัวผู้กระทาความผดิ มาลงโทษ (6) กฎหมายว่าดว้ ยวธิ พี ิจารณาความแพ่ง ไดแ้ ก่ ประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพง่ ซ่งึ มี สาระสาคัญ ดงั นี้ (1) หลกั การเร่ิมคดีอย่ทู คี่ ู่ความ ไม่ว่าจะเป็นตัวฟอ้ งกด็ ี คาใหก้ ารก็ดี หรือคาร้องต่อศาลท่พี จิ ารณาคดแี พง่ ก็ ดี คูค่ วามจะตอ้ งระมัดระวงั รักษาผลประโยชน์ของตนเอง (2) การพิจารณาดาเนินไปโดยเคร่งครัดตอ่ แบบพิธี เช่นว่า การยนื่ เอกสารจะต้องยน่ื ตน้ ฉบับ หรือกรณีใดยน่ื สาเนาเอกสารได้ เป็นต้น เพราะการปฏบิ ัติไมถ่ กู ต้องอาจมีผลใหศ้ าลไม่รับฟงั พยานเอกสารนนั้ (3) ไม่จาเปน็ ตอ้ งถือเอาความสตั ย์จรงิ เป็นใหญ่ เพราะคคู่ วามตอ้ งระวงั รกั ษาผลประโยชน์ของตนเอง เชน่ คดี ฟอ้ งของเรยี กเงนิ กู้ ความจรงิ มไิ ดก้ ู้ แต่จาเลยเห็นวา่ เป็นจานวนเงนิ เลก็ นอ้ ย จึงยอมรับว่ากมู้ าจรงิ ศาลก็ตอ้ ง พิพากษาใหเ้ ปน็ ไปตามฟ้องของโจทก์และคารับของจาเลย เว้นแต่ในกรณีที่ศาลอาจยกขอ้ กฎหมายทเี่ ก่ยี วดว้ ย ความสงบเรยี บร้อยของประชาชนข้ึนมาอ้างได้ ศาลอาจวินิจฉัยไปโดยไมฟ่ ังคารบั ของคคู่ วามกไ็ ด้ 2. กฎหมายเอกชน(Private Law) ไดแ้ ก่ กฎหมายทก่ี าหนดความสัมพนั ธ์ระหว่างเอกชนตอ่ เอกชน ด้วยกนั ในฐานะเทา่ เทยี มกนั เชน่ เร่ืองสญั ญาซอื้ ขาย ก. ทาสัญญาซ้ือขายกบั ข. ก. กับ ข. ตา่ งกอ็ ยู่ในฐานะ เทา่ เทยี มกนั ก. จะบงั คบั ข. ให้ตกลงกับ ก. อย่างใด ๆ โดย ข. ไม่สมัครใจไมไ่ ด้ มีข้อทค่ี วรสงั เกตว่าในบางกรณี รฐั กไ็ ดเ้ ขา้ มาทาสัญญากับราษฎร ในฐานะท่ีรฐั เป็นราษฎรได้ ซงึ่ ก็ตอ้ งมคี วามสัมพนั ธเ์ หมือนสญั ญาซอ้ื ขาย ระหว่างบคุ คลธรรมดา กฎหมายเอกชนท่ีกลา่ วไวใ้ นทน่ี ้ี ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ และ กฎหมายอนื่ ๆ โดยสรุป

26 (1) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มลี ักษณะเปน็ ประมวลกฎหมายแบ่งแยกออกเปน็ หลาย ลกั ษณะดว้ ยกัน เช่น นิตกิ รรมสญั ญา หนี้ ซือ้ ขาย เช่าทรัพย์ เชา่ ซอ้ื ละเมดิ ตวั แทน นายหนา้ เป็นตน้ ใน แต่ละลกั ษณะไดก้ าหนดรายละเอียดตา่ ง ๆ ไว้ ในการศึกษากฎหมายของนกั ศกึ ษาคณะนติ ศิ าสตรแ์ ทบทุก มหาวทิ ยาลัย จะมีการศึกษาถึงเนอื้ หารายละเอยี ดในกฎหมายนน้ั ๆ แต่ละลกั ษณะ แต่ในท่ีนีท้ ก่ี ล่าวถงึ ไวก้ ็ เพียงเพอื่ ใหท้ ราบวา่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ ลี กั ษณะเปน็ กฎหมายเอกชน เทา่ นัน้ (2) กฎหมายอนื่ ๆ กฎหมายท่ีกาหนดความสมั พนั ธ์ระหวา่ งเอกชนตอ่ เอกชนในฐานะเท่าเทียมกนั อันมี ลกั ษณะเป็นกฎหมายเอกชนยงั มอี ยู่อีกมาก อนั ได้แก่พระราชบัญญัตทิ ม่ี ีลกั ษณะพเิ ศษอื่น อย่างเช่น ประมวล กฎหมายทีด่ นิ ซึ่งจากดั สทิ ธใิ นการมที ีด่ นิ ของบคุ คลบางประเภท เช่น คนตา่ งด้าว เปน็ ต้น พระราชบัญญัติ ควบคมุ ค่าเชา่ นา พระราชบญั ญตั แิ รงงานสมั พันธ์ซง่ึ มีลกั ษณะเป็นกึ่งกฎหมายมหาชนและกงึ่ กฎหมาย เอกชน เพราะมีบทบัญญตั ใิ ห้เจา้ พนักงานเขา้ ไปเกย่ี วข้อง เช่น เปน็ ผ้ไู กล่เกลี่ยข้อพิพาทแรงงานระหวา่ งลกู จา้ ง และนายจา้ ง 3. กฎหมายระหว่างประเทศ(International Law) หมายถึง กฎหมายทีก่ าหนดความสัมพนั ธ์ ระหวา่ งรฐั ต่อรัฐด้วยกัน และแบ่งแยกออกตามความสมั พันธ์ได้ 3 สาขา คือ (1) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมอื ง ซ่ึงกาหนดความสัมพันธ์ระหวา่ งรฐั ต่อรัฐ ดว้ ยกนั ในฐานะที่รัฐเป็นบุคคลตามกฎหมายระหว่างประเทศ เชน่ กาหนดข้อบงั คับการทาสงครามระหว่างกัน และกนั (2) กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คล ซ่ึงกาหนดความสมั พนั ธ์ระหว่างรัฐตอ่ รัฐ ดว้ ยกันในทางคดบี คุ คล คือ ในทางเอกชนหรือในทางแพ่ง กฎหมายนจี้ ะกาหนดวา่ ถ้าข้อเท็จจริงพวั พันกบั ตา่ งประเทศในทางใดทางหนงึ่ เชน่ การสมรสกบั หญงิ ที่เป็นคนตา่ งด้าว หรือการซ้ือขายของท่อี ยู่ในตา่ งประเทศ จะใชก้ ฎหมายภายในประเทศ (คอื กฎหมายไทย) หรอื อาจใชก้ ฎหมายตา่ งประเทศบงั คบั แกค่ ดนี น้ั ๆ (3) กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา ซ่ึงกาหนดความสมั พันธร์ ะหวา่ งรฐั ตอ่ รฐั ด้วยกนั ทางคดีอาญา เชน่ กาหนดว่าการกระทาความผิดนอกประเทศในลักษณะใดบา้ งจะพึงฟ้องร้องใน ประเทศไทย ตลอดจนวธิ ีส่งผู้รา้ ยขา้ มแดน เป็นตน้

27 กฏหมายกบั เกษตรไทย เกษตรกรเป็นอาชีพทอ่ี ยคู่ ูก่ บั สงั คมไทยมายาวนาน นับตงั้ แตอ่ ดตี กาลจนมาถงึ ปัจจุบนั การเกษตรถือ เปน็ แหล่งรายได้หลักของประชาชนชาวไทยตลอดมาไมว่ า่ จะในยคุ ใดสมยั ใด โดยแทบจะเรียกไดเ้ ลยว่า การเกษตรนน้ั ถือเปน็ รากฐานท่คี อยคา้ จนุ สงั คมไทยเลยกว็ า่ ได้ เพราะเกษตรกรรมนัน้ ถือเปน็ อาชีพหลักของคน ไทยมาตงั้ แตอ่ ดีต เป็นแหลง่ รายได้หลกั และเปน็ แหล่งอาหารท่ีสาคัญของประเทศ แต่รูปแบบโครงสร้างทาง สงั คมท่เี ปล่ียนแปลงไปนั้นก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงของสงั คมเกษตรไทยไปอยา่ งมากในหลายๆ ความหมายจน ทาให้เกดิ ปญั หาตา่ งๆ หลายรปู แบบกบั สงั คมเกษตร เพอื่ ให้มองเหน็ ภาพรวมของปัญหาทเ่ี กดิ ข้ึนกบั เกษตรกรไทย ผเู้ ขยี นขอยกเอาเนื้อหาจากการการเปดิ เวทสี ิทธิ มนุษยชนเพอื่ การปฏริ ูปการเมอื ง เน่ืองในวนั สิทธิมนษุ ยชนสากล และวนั รัฐธรรมนญู ไทย ปี 2549 ซึ่งทาง คณะกรรมการสทิ ธมิ นุษยชนแหง่ ชาติ และเครอื ข่ายองค์กรสิทธิมนุษยชน 21 องคก์ รได้รว่ มกนั จดั ขนึ้ โดย ในเวที ดังกลา่ ว เครอื ข่ายเกษตรกรรมทางเลือกซ่ึงเปน็ องค์กรท่ที างานดา้ นการส่งเสริมเกษตรกรรม ยงั่ ยนื ในพื้นท่ีทั่ว ประเทศ ไดน้ าเสนอประเด็นปญั หาด้านสิทธมิ นษุ ยชนของกลมุ่ เกษตรกรรายย่อย รวมถงึ มีข้อเสนอตอ่ ประเด็น ดงั กลา่ ว สรุปได้ดงั นี้ ปญั หาของเกษตรกร 1. ขาดสทิ ธใิ นทีด่ นิ ทากนิ เนอื่ งจากในปจั จบุ ันทด่ี นิ กลายเป็นสินคา้ หน่ึงในระบบทุนนยิ ม ทาใหท้ ด่ี นิ เปลยี่ นมือไป เปน็ ของผู้ทรี่ ่ารวย กลุ่มทุนและนกั การเมอื ง ทาใหเ้ กษตรกรไม่อาจมที ี่ดินสาหรบั การประกอบอาชีพได้อยา่ ง เหมาะสม 2. ขาดอานาจและสทิ ธิในการจดั การทรัพยากรธรรมชาตแิ ละทรัพยากรพนั ธกุ รรม เน่อื งจากการพฒั นาท่ีผ่านมา ไดช้ ่วงชงิ อานาจและสทิ ธิเหลา่ น้ไี ปจากเกษตรกร 3. ความไมเ่ ป็นธรรมและการขาดอานาจตอ่ รองในโครงสรา้ งเศรษฐกจิ ของประเทศ จากทีผ่ ่านมาโครงสรา้ งทาง เศรษฐกิจกาหนดให้เกษตรกรตอ้ งยนื อยใู่ นจดุ ทตี่ ้อง ยากจน และขาดอิสรภาพในการทากินหรือประกอบอาชีพ อย่างแทจ้ ริง เน่ืองจากสภาพปัจจบุ นั ปจั จัยการผลิตและการตลาดถกู ผูกขาดโดยกลมุ่ ทุนเพยี งไม่ กก่ี ล่มุ เท่านัน้ เกิดสภาพการเอารัดเอาเปรยี บมากมาย ไม่วา่ จะเปน็ สัญญาทไ่ี มเ่ ปน็ ธรรม การกาหนดราคาสนิ คา้ และปจั จัยการ ผลติ โดยไมค่ านงึ ถึงความทกุ ข์ร้อนของเกษตรกร รวมถงึ การทุ่มตลาดเพือ่ ทาลายเกษตรกรรายยอ่ ย เป็น ตน้

28 4. เกษตรกรถูกครอบงาในกระบวนการเรียนรู้ เนือ่ งจากปจั จบุ ันกระบวนการให้ความรจู้ ะอยู่บนพน้ื ฐาน ผลประโยชน์ของกลุ่มทนุ เปน็ หลกั เป็นการให้ความรเู้ พอื่ มงุ่ หวงั การขายสนิ คา้ และปัจจัยการผลิต และความรู้ เหล่านี้ไม่ได้สนบั สนุนให้เกษตรกรสามารถพง่ึ ตนเองได้อยา่ งแทจ้ รงิ 5. ขาดกลไกของรฐั ทจี่ ะคอยปกปอ้ งและคุ้มครองสทิ ธขิ องเกษตรโดยเฉพาะเกษตรกรราย ย่อย แตก่ ลบั ให้สทิ ธิ พิเศษกบั กลมุ่ ทนุ บางกลุม่ ที่ทาธรุ กจิ ดา้ นการเกษตร และเขา้ มาเอารดั เอาเปรียบเกษตรกรรายยอ่ ยในทสี่ ุด ท่กี ลา่ วมาน้ีคือภาพรวมของปญั หาทเี่ กดิ ขนึ้ กบั เกษตรกรไทยที่เกดิ ขึน้ จากการเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งทางสงั คม รูปแบบการเกษตรในปัจจบุ นั การเกษตรในปจั จุบันนมี้ คี วามแตกตา่ งกบั การเกษตรในอดีตเป็นอย่างมาก ซ่ึงเป็นผลมาจากการปฎวิ ตั ิ อุตสาหกรรมท่ไี ด้เปล่ยี นแปลงระบบเศรษฐกจิ จาก “เกษตรกรรม” ไปสู่ “อตุ สาหกรรม” จากเดิมทกี่ ารเกษตรนน้ั เป็นเพียงการเกษตรเพือ่ ยงั ชีพ เนอื่ งจากสามารถผลติ ไดใ้ นปรมิ าณท่ไี ม่มาก แตเ่ มอื่ เกิดการปฎิวตั อิ ุตสาหกรรม แล้วทาใหเ้ กดิ เทคในโลยีใหม่ๆ ทใ่ี ชใ้ นการทาการเกษตรมากขน้ึ ทาใหเ้ กดิ ผลผลิตทางการเกษตรทเ่ี พม่ิ ข้นึ จนเกดิ ผลผลติ สว่ นเกิน อันเป็นผลใหเ้ กดิ การสะสมทุนที่ทาให้เกดิ ความแตกตา่ งทางฐานะทางสังคมมากขนึ้ ผู้ทส่ี ามารถ สะสมทนุ ไดม้ ากจากผลผลิตสว่ นเกนิ น้กี ็จะผันตวั เองเข้าสูอ่ ุตสาหกรรมซ่ึงเปน็ การผลิตจานวนมากเพอ่ื การคา้ ส่วนผู้ทผี่ ลติ ไดน้ อ้ ยกม็ ักจะผันตัวเองจากการเปน็ เกษตรสู่การเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรม จนเกดิ เปน้ ช้นชน้ั นายทุน และชนชนั้ กรรมาชพี มาถงึ ปจั จุบนั น้ี การปฏวิ ัติเขียว การปฏวิ ัตเิ ขียว (The Green Revolution) ซึง่ เกดิ ขนึ้ ในชว่ งทศวรรศท่ี 6 ในราว ค.ศ.1960 (พ.ศ. 2503) โดยใช้ ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์เกษตรและเทคโนโลยี มาใชใ้ นการเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพการผลิตสนิ คา้ เชน่ การใช้ พนั ธพุ์ ชื และพนั ธุ์สัตวท์ ใ่ี หผ้ ลผลติ สูง การใชเ้ คร่ืองจกั รกลทางการเกษตรไถพรวนไดล้ ึกมากข้นึ ทดแทนแรงงาน จากสตั ว์ ทง้ั นเ้ี พ่อื ให้สามารถผลติ ไดใ้ นทกุ ชว่ งเวลาและมผี ลผลติ อย่างตอ่ เนือ่ ง รวมถงึ การใช้สารเคมที าง การเกษตรจาพวกปุ๋ยเคมี สารเคมีกาจัดศตั รูพืช และฮอรโ์ มนพืชสงั เคราะห์ ฯลฯ โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พือ่ ให้ไดผ้ ล ผลิตทส่ี ูงขน้ึ ในการลงทุนทีเ่ ทา่ เดมิ ในระยะเวลาเดิม เพ่อื จะไดม้ ีวตั ถุดิบป้อนใหก้ ับโรงงานอตุ สาหกรรมและเป็น การประหยดั แรงงาน เนอ่ื งจากแรงงานสว่ นใหญ่หลงั่ ไหลไปส่ภู าคอุตสาหกรรมตามที่ไดม้ ีการปฏวิ ตั ิอตุ สาหกรรม กอ่ นหนา้ นี้

29 การปฏิวตั เิ ขยี ว ไดก้ ลายเป็นนโยบายและแนวทางหลักของการพฒั นาประเทศสว่ นใหญใ่ นโลก นโยบายสง่ เสริม การทาการเกษตร รวมถงึ เทคนิคการปลกู พชื และเล้ยี งสตั วไ์ ด้ถกู กาหนดใหใ้ ชแ้ นวทางเดียวกนั จน กลายเป็น ระบบหลักของทกุ ประเทศรวมถงึ ประเทศไทย เน่ืองจากแนวคิดในเรอื่ งผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ทเ่ี น้น ความสามารถในการเพ่มิ ผลผลิตทางการเกษตรเปน็ จานวนมากมผี ลตอบแทนสูงกับผผู้ ลิตไดก้ ลายเป็นแนวทาง หลกั ในการเลอื กรูปแบบการผลิตทางการเกษตร การปฏวิ ัตเิ ขยี วได้เขา้ ส่ปู ระเทศในเอเชยี ตั้งแตส่ งครามโลกครง้ั ที่ 2 ยุติลง โดยประเทศผู้ชนะสงครามได้นาการ เกษตรกรรมทใี่ นยุคนน้ั เรียกว่า “เกษตรกรรมแผนใหม”่ ทเี่ น้นการใช้สารเคมสี งั เคราะหเ์ ข้ามาสู่ประเทศญปี่ ่นุ และไดแ้ พรต่ อ่ ไปยังประเทศพนั ธมิตร เช่น เกาหลใี ต้ และอกี หลายประเทศในเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ เชน่ ฟลิ ปิ ปนิ ส์ อินโดนีเซยี มาเลเซยี และไทย เป็นตน้ รูปแบบการเกษตรแผนใหม่น้ชี ว่ ยใหป้ ระเทศญี่ปนุ่ สามารถผลิต พชื ผลไดใ้ นปริมาณ ทเ่ี ทา่ กับการเพาะปลูกแบบพ้นื บา้ นแบบดัง้ เดมิ แตใ่ ช้เวลานอ้ ยกว่า นอกจากนยี้ งั ใชแ้ รงงาน ของเกษตรกรนอ้ ยลงได้มากกวา่ คร่งึ หน่ึง ดงั น้นั จึงทาใหเ้ กดิ การยอมรับเทคโนโลยีสมัยใหม่ และไดพ้ ฒั นา กลายเปน็ แนวทางหลักในการผลติ ทางการเกษตรหลักของญีป่ นุ่ และอีกหลายประเทศในเอเชยี ไปในท่ีสดุ แต่ อย่างไรกต็ ามไดม้ กี ารตง้ั ข้อสังเกตว่ารปู แบบการผลิตแบบดง้ั เดมิ ของการ ผลติ ทางการเกษตรในญ่ีปนุ่ ท่เี นน้ การ ปลูกพชื หมนุ เวยี นใชป้ ๋ยุ หมกั และปุย๋ คอก มกี ารคลมุ ดินดังเทคนคิ ที่ไดป้ ฏิบตั มิ าหลายร้อยปีทที่ าให้ระดบั อนิ ทรยี วตั ถุ ในดินมคี วามคงที่ และส่งผลถึงระดบั ความอดุ มสมบรู ณข์ องดินให้อยู่ในระดบั ที่ใหผ้ ลผลิตที่สามารถ เลีย้ งชาวญีป่ นุ่ ไดต้ ลอดมายาวนาน ได้ถูกละทิง้ ไปภายหลงั จากการใช้สารเคมที างการเกษตรและเคร่อื งจักรกล ทางการ เกษตร สง่ิ นี้มีผลใหฮ้ ิวมสั ในดนิ ถูกทาลายหมดไปภายในช่ัวอายุคนร่นุ เดยี ว โครงสร้างของดินเสอ่ื มโทรม ลง พชื ออ่ นแอลงและตอ้ งพึ่งพาการใชป้ จั จยั การผลิตจากภายนอกท่ีเป็นสารเคมี สังเคราะห์ชนดิ ตา่ งๆ จานวน มากโดยจะขาดเสยี ไม่ได้ ซ่ึงา้ ขาดปจั จยั การผลิตจากภายนอกเมอื่ ใด ผลผลติ จะลดลงจนเกิดปัญหาความมัน่ คง ทางดา้ นอาหารตามมาในทนั ที ผลของการทาการเกษตรแบบใชส้ ารเคมสี ังเคราะหก์ อ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาต่างๆ ตามมาอยา่ งมากมายหลาย ประการดงั ต่อไปน้ี 1. ผลกระทบตอ่ สิ่งแวดลอ้ ม การทาเกษตรแผนใหมท่ าให้เกดิ ปญั หาสง่ิ แวดลอ้ มและความเสอื่ มโทรมของทรัพยากรธรรมชาตติ ามมาท่เี ห็นได้ ชดั เจนไดแ้ ก่ ปญั หาการพงั ทลายของหนา้ ดิน ดนิ เสอื่ มความอุดมสมบรู ณ์ ปัญหามลพิษในสง่ิ แวดลอ้ มและ ปญั หาการระบาดของโรคและแมลง ตวั อยา่ งเชน่ จากการสารวจในประเทศไทยพบวา่ ในพ้ืนทลี่ าดชันของ

30 จงั หวดั น่านสว่ นใหญถ่ กู ชะล้างพงั ทลายในอัตราทม่ี ากกวา่ 16 ตนั ต่อไร่ตอ่ ปี ซึง่ เปน็ อตั ราสูงกวา่ ท่ียอมให้มีไดถ้ งึ 20 เทา่ และที่จงั หวดั เพชรบูรณ์ พ้นื ที่ท่ีมีความลาดชนั 9% มกี ารสญู เสยี หนา้ ดินถงึ 26 ตนั ต่อไร่ตอ่ ปี เกษตรกรรม แผนใหมท่ มี่ ่งุ เน้นเพม่ิ ผลผลิตทางการเกษตรโดยการใช้ปยุ๋ เคมเี ป็นจานวนมากและ ใชตั ดิ ต่อกันเป็น ระยะเวลานานจะทาใหเ้ กดิ ปญั หาความเส่อื มโทรมของโครงสรา้ งดิน และดนิ ขาดความอดุ มสมบรู ณ์ เนอ่ื งจาก การใช้ป๋ยุ เคมีไมใ่ ชก่ ารบารงุ ดนิ แตเ่ ป็นการอดั แรธ่ าตอุ าหารให้แกพ่ ชื โดยไม่มกี ารเตมิ อินทรียวัตถเุ พื่มลงในดนิ และการใชป้ ๋ยุ เคมยี ังเรง่ อตั ราการสลายตัวของอินทรียวตั ถใุ นดิน ทาให้โครงสรา้ งของดนิ เสอื่ มลง ดนิ จงึ กระด้างมี การอดั ตวั แน่น ไมอ่ มุ้ นา้ ในฤดูแลง้ การใชส้ ารเคมีกาจดั ศัตรพู ชื ทาให้เกิดปญั หาสารพษิ ตกคา้ งในสงิ่ แวดล้อม ทง้ั นเี้ นือ่ งจากการใชส้ ารเคมใี นการ กาจดั ศัตรูพชื ในแตล่ ะครั้งจะใชป้ ระโยชน์ไดเ้ พียง 25% ทเี่ หลืออีก 75% จะกระจายสะสมในดิน นา้ และอากาศ ในสงิ่ แวดล้อม ท่สี าคญั คือคอื สารเคมกี าจดั ศตั รพู ชื ไม่ไดท้ าลายเฉพาะศัตรูพืชเท่าน้นั แตย่ ังทาลายแมลงและ จลุ ินทรยี ท์ เ่ี ปน็ ประโยชนใ์ นธรรมชาตอิ กี ดว้ ย ซง่ึ เป็นการทาลายความสมดลุ ของระบบนเิ วศในธรรมชาติ และผลท่ี ตามมาคือ การระบาดของโรคและแมลงศตั รพู ืชทีร่ ุ่นแรงมากขน้ึ ตวั อยา่ งเช่น การระบาดของเพลี้ยกระโดดสี น้าตาลท่ที าลายผลผลิตข้าวในประเทศไทย เมอื่ ปี 2533-2534 ซงึ่ มีพนื้ ท่ีการแพร่ระบาดมากถงึ 3.5 ลา้ นไร่ การทาเกษตรแผนใหม่ได้นาไปสกู่ ารปลูกพืชเชงิ เดยี่ ว และการขยายพ้นื ท่ีทาการเกษตร ทาใหเ้ กิดปญั หาการบกุ รกุ พนื้ ทีป่ า่ ธรรมชาติ ทาใหเ้ กิดการสญู เสยี พน้ื ท่ีป่าอันเปน็ ทรพั ยากรท่สี าคญั ในโลกและแหล่งตน้ นา้ ทีส่ าคัญลง ด้วย 2. ผลกระทบด้านเศรษฐกจิ การ ทาเกษตรแผนใหมเ่ ปน็ การทาการเกษตรท่ตี อ้ งพึง่ ปจั จัยภายนอก เพือ่ นามาเพม่ิ ผลผลิตให้ได้เปน็ จานวน มาก แตก่ ็มไิ ดห้ มายความว่าเกษตรกรจะประสบความสาเร็จทางเศรษฐกจิ เสมอไป ในทางตรงกนั ขา้ มกลับพบวา่ เกษตรกรทที่ าการเกษราแผนใหม่จานวนมากประสบปัฯหา ภาวะขาดทุน และหนสี้ นิ เกิดความล้มเหลวทาง เศรษฐกิจ เนอ่ื งมาจากต้นทุนการผลิตทีส่ งู และราคาผลผลิตทตี่ กตา่ ในประเทศไทยการพฒั นาการเกษตรแผน ใหมก่ ลบั เปน็ การผลักดนั ให้เกษตรกรตอ้ งตกอยู่ ภายใต้การครอบงาของบรษิ ัท เนื่องจากต้องพงึ่ พาปัจจยั การ ผลิต และเทคโนโลยีต่างๆ จากบรษิ ัท ไมว่ า่ จะเป็นเมลด็ พันธ์ุ ปยุ๋ หรอื สารเคมีกาจดั ศัตรูพชื เป็นการทา การเกษตรทถี่ ูกผูกขาดจากบรษิ ทั ขนาดใหญ่ ดงั นน้ั จะเห็นได้วา่ การทาเกษตรแผนใหมเ่ ป็นการสร้างรายไดใ้ ห้แก่ บริษัทเอกชน ขนาดใหญ่มากกวา่ เกษตรกรท่แี ทจ้ ริง

31 3. ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพของเกษตรกรและผู้บริโภค การใชส้ ารเคมกี าจดั ศัตรูพชื นอกจากจะส่งผลกระทบตอ่ สิง่ แวดลอ้ มแล้วยงั ก่อให้เกดิ ปัญหาการไดร้ ับสารพิษเขา้ ส่รู า่ งกายของเกษตรกรผใู้ ช้ และยังมสี ารพษิ ตกคา้ งในผลผลติ ทางการเกษตรอกี ด้วย การใช้สารเคมที าง การเกษตรนานๆ จนทาให้พชื ผักมพี ิษตกคา้ งจานวนมาก ก่อใหเ้ กดิ ปญั หาต่อสุขภาพของผู้บรโิ ภค จากการตรวจ พบสารพิษตกค้างในผลผลิตทางการเกษตรของประเทศไทย พบวา่ ผลผลิตมสี ารพษิ ตกค้างอยู่สูงจนในผลผลิต บางชนดิ ไมผ่ ่านมาตรฐานมผี ลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย นอกจากนก้ี ารทค่ี นไทยบริโภคผลผลติ ทม่ี สี ารพษิ ตกคา้ งอย่ทู าใหม้ กี ารสะสมสารพษิ ในรา่ งกายเป็นระยะเวลานาน และเกดิ การเจ็บปว่ ย เชน่ โรคภมู ิแพ้ โรคเครยี ด โรคมะเร็ง ฯลฯ โดยเฉพาะโรคมะเรง็ ซึ่งจะเห็นไดจ้ ากสถิติคนไทยที่ป่ายเปน็ โรคมะเร็งมจี านวนมากขนึ้ ทกุ ปี 4. ผลกระทบต่อวถิ ชี ีวิตและภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ เกษตรกรรมแผนใหมท่ าให้เกดิ ความเปลี่ยนแปลงในวถิ ชี วี ติ ของเกษตรกรไทย ทาลายฐานการเกษตรแบบยงั ชพี ของเกษตรกร ทาลายระบบสงั คมของชมุ ชน และมีผลตอ่ การเปลย่ี นแปลงความคดิ ทีม่ ตี อ่ ภมู ปิ ญั ญาพ้นื บา้ นของ ไทย ภมู ิปัญญาทอ้ งถิ่นถกู ละเลย ดว้ ยเขา้ ใจว่าเป็นความเช่ือ หรือวิธีการปฏบิ ตั ิท่ีไมท่ ันสมยั ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ และไม่มีประสทิ ธิภาพ โดยลมื ไปวา่ ความรูแ้ ละภมู ปิ ัญญาทถ่ี กู ถา่ ยทอดตอ่ ๆ กันมาได้มาจากประสบการณ์ของ คนรนุ่ ก่อนมานานหลายรุ่น ท่ีอยใู่ นพืน้ ท่ที ้องถ่นิ ท่ีพวกเขาอาศัยอยู่ ซึ่งความคิดนีไ้ ดร้ ุนแรงมากขน้ึ เมอื่ เริม่ เข้าสยู่ คุ ปฏิวตั เิ ขียว ความรู้และแนวทางการพฒั นาการเกษตรจะถกู รวมไปอยใู่ นสถาบันการเกษตรตา่ งๆ ของรัฐ และ บริษทั ธรุ กิจการเกษตรขนาดใหญ่ การพฒั นาและแก้ไขปญั หาของเกษตรกรกลายเป็นบทบาทของผ้เู ช่ียวชาญ ทางการเกษตรจากหนว่ ยงานของรัฐ หรือบรษิ ัทการเกษตรท่เี ข้าไปเปล่ยี นแปลงความคดิ และวิถชี วี ิตของการทา การเกษตร โดยทเ่ี กษตรกรกลายเปน็ เพียงผ้รู ับเทา่ น้ันเอง ซง่ึ หากองคค์ วามรูท้ ไ่ี ด้รับนน้ั ไม่ถูกต้อง ผู้ท่ี ได้รบั ความเสียหายคือตัวของเกษตรกรเอง กฎหมายกับเกษตรกรไทย ความสัมพันธ์ระหวา่ งกฎหมายกบั เกษตรกร ที่จะนาเสนอในตอ่ ไปนนี้ ั้นไดจ้ ัดทาเพอ่ื ใหเ่ หน็ ภาพของการใช้ กฎหมายต่อภาคการเกษตร ท่ีทาใหเ้ กดิ การเปล่ียนแปลงและการปรบั ตวั ของเกษตรกร และเพ่ือสะท้อนให้เหน็ ถงึ ปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ จากระบบกฎหมาย เนือ่ งระบบโครงสร้างทางสังคมทเี่ ปลย่ี นแปลงไปนกี้ อ่ ใหเ้ กดิ การเปล่ยี นแปลงทางด้านการทาเกษตรกรรมเป็น อยา่ งมากดังท่ีไดก้ ล่าวมาแลว้ ในหวั ข้อท่ีผา่ นมาน้ี ดงั นั้นสิง่ ทม่ี าควบค่กู ับเปล่ยี นแปลงดงั กล่าวนก้ี ค็ ือการควบคมุ

32 ของภาครฐั ทมี่ ตี ่อเกษตร โดยออกมาในรูปแบบของกฎหมายทใ่ี ชค้ วบคมุ เกษตรกรต่างๆเชน่ พระราชบญั ญัติ เศรษฐกิจการเกษตร พระราชบญั ญตั ิการปฏิรูปทีด่ ินเพอื่ เกษตรกรรม เป็นต้น ปัจจุบนั นร้ี ะบบกฎหมายไดเ้ ขา้ มาควบคุมแทบกจิ กรรมทกุ สว่ นของเกษตรกร ตงั้ แตก่ ารจดทะเบยี นพนั ธพ์ุ ชื การ จากดั ท่ีดนิ ในการทาการเกษตร รวมถงึ กฎหมายเกี่ยวกับส่ิงแวดลอ้ มทีไ่ ดจ้ ากัดการกระทาบางประการของ เกษตรกรดว้ ย ดงั นัน้ เกษตรกรยคุ ใหม่จงึ ตอ้ งมีการปรบั ตวั ไมม่ ากกน็ ้อยในการทากจิ กรรมของตน รัฐบาลเปน็ ฝ่ายทมี่ ีบทบาทเปน็ อยา่ งมากในการควบคุมกิจกรรมของเกษตรกร โดยควบคมุ ผา่ นการบงั คับโดยการ ออกกฏหมาย และควบคมุ ผา่ นนโยบายตา่ งๆ โดยจากนผ้ี ูเ้ ขยี นจะขอพูคถึงรปู แบบการควบคุมผา่ นทางนโยบาย กอ่ น ดงั นี้ ผลจากแผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาติ ทาให้รปู แบบการทาการเกษตรในประเทศไทยได้ เปลีย่ นแปลงไป โดยเกดิ ระบบทเ่ี รยี กวา่ เกษตรพนั ธสันญา โดยเกษตรพันธะสัญญา (หรือเกษตรครบวงจร หรือใน บางครงั้ เรียกทบั ศพั ท์เปน็ ภาษาองั กฤษวา่ Contract Farming) เป็นชอ่ื เรียกของ ระบบหรอื รปู แบบ ความสัมพันธท์ างการผลิตและการตลาดระหวา่ งบริษทั ธรุ กจิ และเกษตรกรประเภทหนึ่ง ซึง่ เกษตรกรและบรษิ ัท ตกลงทีจ่ ะทาการผลติ และซ้ือขายผลผลิตทางการเกษตรระหวา่ งกันล่วงหน้า โดยอาจตกลงกันทางวาจาหรือ เขยี นเป็นลายลกั ษณ์อกั ษร (สัญญา) นอกจากข้อตกลงทจ่ี ะซือ้ และขายแลว้ เกษตรพันธะสัญญาสว่ นใหญ่ยงั ประกอบไปดว้ ยเง่อื นไขอืน่ ๆ ไดแ้ ก่ เง่อื นไขการรับซอื้ (เชน่ การกาหนดและคานวณราคารบั ซือ้ การกาหนด คุณภาพ เป็นต้น) และเง่อื นไขการผลติ (เช่นวิธกี ารดูแลรักษา สนิ เช่อื แหลง่ ท่ีมาของเมลด็ พันธ์ุ วตั ถดุ บิ หรอื ปจั จยั การผลิตอน่ื ๆ)เกษตรพันธะสญั ญา เปน็ รปู แบบการผลติ ทไี่ ดแ้ นวคิดมาจากการผลติ ในประเทศพัฒนาแลว้ ถูกนามาใชใ้ นประเทศไทยคร้งั แรกตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2513 ในการเล้ียงไก่ และภาครัฐไทยได้ทาการส่งเสรมิ อยา่ ง จรงิ จงั โดยบรรจุอย่ใู นแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแหง่ ชาตฉิ บบั ท่ี 6 เป็นต้นมา รูปแบบของเกษตรพันธะสญั ญาน้ที าใหเ้ กษตรกรส่วนใหญ่ในประเทศท่เี ขา้ มาอยภู่ ายใตใ้ นสญั ญา ดังกลา่ วน้ี ตอ้ งเปลยี่ นรูปแบบการทาการเกษตรไปเปน็ การทาการเกษตรแบบเชงิ เดีย่ ว โดยการเกษตรแบบ เชงิ เดยี่ วกค็ อื การทาการเกษตรแบบเดยี วในปรมิ าณทีม่ าก เปน็ การผลติ เพ่ือขาย เช่นการเล้ยี งสตั วก์ ็เล้ียงสตั วื ชนดิ เดยี ว หรอื การปลกู พืชกท็ าการปลกู พชื เพยี งชนดิ เดยี ว เพอ่ื ตอบสนองกบั สญั ญาท่ไี ดท้ าไปกับบรรษทั ทาง การเกษตรตา่ งๆ จนทาให้เกิดปญั หาตามมาหลายอย่างท่ีเกดิ จากการทาการเกษตรแบบเชงิ เดย่ี วนี้ เชน่ ปญั หา ดินขาดความอุดมสมบูรณือนั เนอ่ื งมาจากการทาการปลูกพืชซา้ กนั นานๆ หรือปญั หาโรคสัตวร์ ะบาด เพราะเล้ยี ง สตั วเ์ พยี งชนดิ เดยี วเมอื่ เกดิ โรคกยั สตั ว์ชนดิ น้ันก็ทาใหป้ ระสพปัญหาขาดทนุ เป็นต้น

33 ปญั หาดา้ นขอ้ กฎหมายทเ่ี กดิ ขึน้ จากการทาการเกษตรรูปแบบนกี้ ค็ ือ ข้อกฎหมายเกยี วกบั สญั ญา เพราะ เนือ่ งจากการทาการเกษตรพันธสัญญาน้ีถือเป็นการทาสัญญารปู แบบหนงึ่ ทที่ ากับเหล่าเกษตรกร โดยเมือ เกษตรกรได้ตกลงทาสัญญาดงั กล่าวนแ้ี ลว้ กม็ ผี ลทาใหเ้ กษตรมคี วามผูกพนั ธท์ ี่ต้องทาตามสญั ญา เมอ่ื ไมท่ าก็ อาจเปน็ การผิดสัญญาและถูกดาเนนิ การทางกฏหมายได้ ซงึ่ ปญั หาทเ่ี กดิ ข้นึ คือในบางครั้งข้อสัญญาบาง ประการกเ็ ป็นสัญญาทก่ี ่อให้เกดิ ผลเสยี กบั เกษตรกร เช่นการระบเุ งื่อนไขในการทาการเกษตรนนั้ อย่างไมเ่ ปน็ ธรรม เช่นการบงั คบั ให้ใชโ้ รงเรื่อนในการเลีย้ งท่ีบรรษทั นั้นจดั ให้เท่านั้น ซง่ึ เกดิ ปญั หาก็คือ เมอ่ื มกี ารทาผดิ สัญญา จนเกษตรกรตอ้ งเลกิ สญั ญาเกดิ ข้ึนแลว้ เกษตรกรน้ันกจ็ ะสญู เสียพ้ืนทใ่ี นการทาการเกษตรไป เปน็ ต้น ปญั หานี้ เกดิ จากการทาสัญญาฝ่ายเดยี วท่ีบรรษัทไดก้ าหนดข้อสญั ญาขนึ้ มาเอง โดยทีเ่ กษตรกรไมส่ ามารถมีสว่ นในขอ้ สญั ญาไดอ้ นั เนอื่ งมาจากตนอยใู่ นฐานะผู้มีสทิ ธิในการตอ่ รองทีด่ อ้ ยกวา่ ดงั นน้ั จงึ อาจสรปุ ไดว้ า่ ปัญหาทเี่ กิดข้นึ ไม่ได้มาจากตวั กฎหมาย แต่เกดิ จากการท่ีไมม่ กี ฎหมายเพยี ง พอท่จี ะใชใ้ นการควบคมุ กจิ กรรมของเหลา่ บรรษัทเกษตรกรรมอยา่ งเพยี งพอ โดยกฎหมายท่อี าจใช้ไดใ้ นกรณี ดังกลา่ วนก้ี ม็ ีเพยี ง กฎหมาย วา่ ด้วยข้อสัญญาทไ่ี ม่เปน็ ธรรม แต่ในสถานการณจ์ รงิ กลับไมส่ ามารถนามาใช้ได้ เพราะเน่ืองดว้ ยฐานะทางเศรษฐกิจ เพราะเกษตรกรสว่ นใหญเ่ ปน็ ผ้มู ีฐานะยากจนไปจนถงึ ปานกลาง การท่จี ะ ตอ่ สกู้ ันทางกฎหมายกบั บรรษทั ทมี่ ขี นาดใหญจ่ งึ เป็นไปไดย้ าก ทกี่ ลา่ วมากใ็ หเ้ กิดปัญหาอกี อยา่ งซง่ึ กค็ อื เหลา่ บรรษทั ทีว่ า่ มานี้กร็ วู้ า่ ตนมีกาลังต่อรองท่ีมากกวา่ จงึ ตง้ั ใจเขยี นสัญญาทไี่ ม่เป็นธรรมน้ันขน้ึ มาเองเพราะรู้วา่ พวก เกษตรกรไม่มกี าลงั พอทจ่ี ะตอ่ สู้กนั ทางกฎหมายกบั กบั ตนได้ จนทาใหเ้ กิดปญั หาการตกบว่ งพันธสญั ญาของ เกษตรกรทีต่ อ้ งทนถกู ขดู รีดตา่ งๆนา่ จากเหล่าบรรษทั โดยที่ตนไมส่ ามารถทาอะไรได้ เพราะได้ติดอย่ใู นขอ้ สญั ญาแลว้ จะต่อสกู้ นั ทางกฎหมายก็เปน็ ไปได้ยาก เพราะขาดทนุ ทรัพยแ์ ละเสน้ สายตา่ งๆ ปญั หาอีกอยา่ งทเี่ กิดข้ึนกบั เกษตรกรไทยก็คือ ปญั หาเร่อื งทด่ี นิ ทากิน การขาดสิทธิในทด่ี ินทากนิ เน่อื งจากในปจั จุบันทดี่ นิ กลายเปน็ สนิ คา้ หนง่ึ ในระบบทนุ นยิ ม ทาให้ที่ดนิ เปลีย่ นมือไปเปน็ ของผทู้ ่รี า่ รวย กลุ่มทนุ และนักการเมือง ทาใหเ้ กษตรกรไม่อาจมีทดี่ ินสาหรับการประกอบอาชพี ได้อยา่ งเหมาะสม การรอ้ งเรียนรฐั บาล กรณปี ญั หาทดี่ ินทากินและที่อยอู่ าศัยของคนไทยมใี นรฐั บาลทุกชุด และเปน็ ปัญหาทคี่ ้างมาอย่างต่อเน่ือง ปญั หาที่ดินเป็นข้อเรยี กร้องทขี่ บวนการประชาชนตอ่ ส้มู าโดยตลอดไมว่ า่ จะเป็นสหพนั ธ์ชาวไร่ชาวนา มาจนถึง สมัชชาคนจน กลมุ่ เกษตรกร ปญั หาการขาดทดี่ ินทากนิ นไ้ี ด้สง่ ผลให้เกษตรกรท่ตี อ้ งสญู เสยี ที่ดนิ ทากนิ ของตนเองไปนัน้ ตอ้ งผัน ตวั เองเขา้ มาเป็นแรงงานในภาคอุตสาหกรรมอยา่ งหลีกเล่ยี งไม่ได้ เพราะไม่มีทด่ี นิ ในการทาเกษตรกรรม เกษตรกรบางคนตอ้ งอาศัยการเชา่ พ้ืนทใี่ นการทาการเกษตรจากผูอ่ืน ซง่ึ ทาใหต้ ้องมีตน้ ทนุ ในส่วนของการเชา่ ซงึ่ ทาให้กาไรลดลงจนบางคนก็เกดิ การขาดขุนจนทาใหเ้ กิดปญั หาเรอื่ งหน้ีสินตามมาอยา่ งหลีกเลย่ี งไม่ได้ เกษตรกร

34 บางคนก็ผันตัวเองมาเป็นผใู้ ช้แรงงานในภาคเกษตรกรรมที่ไดผ้ ลการตอบแทนในรปู แบบของผลผลิต เช่นการ รบั จ้างทานาท่ไี ด้รับคา่ จา้ งเปน็ ขา้ วเพอื่ นามาขายต่อไป ซ่งึ มีรายไดน้ อ้ ยเมื่อเทียบกับเหล่าเกษตรกรผ้มู ีทดี่ ินทากิน ปญั หาจากการจดั ตัง้ ปา่ สงวน เปน็ ปัญหาทเี่ กดิ ข้ึนจากการเปล่ียนแปลงทางกฎหมายในอดตี ทภี่ าครฐั ไดท้ าการจัดเขตพ้ืนท่ีป่าสงวนขนึ้ จนเกดิ ผลกระทบกบั ผทู้ ่ีใชป้ ระโยชนจ์ ากพ้ืนที่เหล่าน้นั มาตงั้ แตก่ อ่ นมีการจดั ตงั้ เขตพ้ืนที่ปา่ สงวน ซง่ึ สง่ ผลกับเกษตรกรโยตรงก็คือ การสญู เสยี พนื้ ท่ีในการทาการเกษตรของเหล่าเกษตรกร จน ไมอ่ าจทาการเกษตรได้ เปน็ การเสยี พ้ืนทที่ ากินของตน ผู้เขยี นมองวา่ ปัญหาการขาดที่ดนิ ทากินของเกษตรกรนเ้ี ป็นปัญหาท่สี าคญั เป็นอยา่ งอยา่ งมากทเ่ี กดิ ขึ้นกบั เกษตรกรไทย เพราะมแี นวโนม้ วา่ ปัญหาน้จี ะทาให้ผู้ประกอบอาชพี เกษตรลดลงเพราะไมม่ ที ดี่ ินในการทา การเกษตร จนต้องผนั ตวั เองเขา้ สกู่ ารเปน็ แรงงานอยา่ งหลกี เลีย่ งไมไ่ ด้ ปจั จบุ ันทีด่ ินสว่ นใหญ่ในประเทศไทยถูกถือครองโดยชนชน้ั นายทนุ ของประเทศซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศ เทา่ นัน้ นายทนุ เหล่าน้ีเห็นช่องทางในการเกง็ กาไรจากการเพม่ิ ราคาของทดี่ ิน จึงทาการกวา้ นซือ้ ทด่ี นิ เป็นจานวน มากเพือ่ ใชใ้ นการเก็งกาไรในอนาคต เนื่องกฎหมายของไทยในเร่อื งภาษเี กี่ยวกบั ท่ีดินน้ีไดก้ าหนดราคาการเสีย ภาษีท่ีดินในปรมิ าณที่ไมส่ ูง จงึ ทาใหช้ ่องทางในการเก็งกาไรจากการถือครองทดี่ ินในจานวนมากฃองเหล่า นายทุน และกฎหมายทด่ี ินของไทยไม่มมี าตรการที่เข้มงวดในการใช้ประโยชนจ์ ากการถือครองทดี่ นิ จนทาให้ ที่ดินหลายแห่งทถ่ี กู เหลา่ นายทุนกวา้ นซ้อื น้ีตกเปน็ ที่ดินทไ่ี ร้ประโยชน์ ปจั จุบนั น้ภี าครฐั ได้เขา้ มามีบทบาทในการจัดสรรที่ดนิ ในการทาการเกษตรกรรมใหก้ บั เกษตรกรโดย ผา่ น พระราชบญั ญัตกิ ารปฏิรูปทด่ี นิ เพือ่ เกษตรกรรม การปฏิรปู ทด่ี นิ เป็นนโยบายหนงึ่ ของรฐั อยใู่ นความ รบั ผดิ ชอบของสานกั งานการปฏริ ูปทด่ี ินเพ่ือเกษตรกรรม มวี ตั ถปุ ระสงค์เพ่อื พัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมของ ประเทศ ในรปู ของการวางแผนการตง้ั ถ่ินฐานในชนบท เป็นการปรบั ปรุงสิทธิการถือครองที่ดินให้แกเ่ กษตรกร ผู้เขยี นมองวา่ ประเดน็ สาคญั เกย่ี วกับเร่ืองปัญหาทดี่ ินทากนิ นเ้ี กดิ ขน้ึ มาจากผลกระทบของการเปลยี่ นแปลงทาง โครงสร้างทางสังคม และการกาหนดกฎหมาย เพราะท่ีไดก้ ลา่ วมาจากหัวหอ้ ก่อนหน้านใ้ี นเร่อื งการเปลยี นแปลง รูปแบบของการทาการเกษตรของเกษตรกรนั้นเปล่ยี นไปจากการผลติ เพอื่ ยงั ชพี ไปส่กู ารผลติ เพอื่ จาหน่าย ซงึ่ ผล ตามมาจากการทาการเกษตรรูปแบบนกี้ ค็ อื ความตอ้ งการพ้นื ทีท่ าการเกษตรทเ่ี พมิ่ มากขนึ้ จนเกดิ การกูห้ นี้ยมื สนิ เพ่ือใชใ้ นหารซอื้ ทด่ี ินเพอื่ ทาการเกษตร จนเมอ่ื เกดิ ปญั หาความขาดทนุ ขึ้นสง่ ผลทาให้เกษตรกรเกดิ หนีส้ นิ แนวโน้มที่เกดิ ข้ึนกับเกษตรไทยในยุคปัจจุบันก็คือการรวมกลุม่ กนั ทางเกษตรกร กลมุ่ เกษตรกร คอื บุคคลผู้ ประกอบอาชพี แต่ละประเภทเกษตรกรรม จานวนไม่นอ้ ยกว่าสามสบิ คน มีวัตถุประสงคเ์ พ่อื ชว่ ยเหลอื ซึ่งกนั และ

35 กันในการประกอบอาชีพเกษตรกรรม อาจรว่ มกันจดั ตั้งเปน็ กลุ่มเกษตรกรตามพระราชกฤษฎีกาวา่ ด้วยกลมุ่ เกษตรกร พ.ศ. 2547 กลุ่มเกษตรกรนี้อาจเป็นคาตอบในการแกไ้ ขปัญหาหลายประการของเกษตรกรเลยกว็ ่าไดเ้ พราะดว้ ยการรองรบั ทางกฎหมาย สง่ ผลใหก้ ลมุ่ เกษตรกรมฐี านะเป็นนิติบุคคล การเป็นนติ บิ คุ คลนีท้ าใหเ้ กดิ อานาจในการตอ่ รองท่ี เพม่ิ ข้นึ ของเกษตรกร และยงั มปี ระโยชน์ท่ไี ด้จากการรวมกลุ่มอีกคอื การได้รบั สิทธิพเิ ศษ ดงั น้ี 1. ยกเวน้ ภาษเี งนิ ได้นติ บิ คุ คล อตั ราร้อยละ 30 ของกาไรสทุ ธิ 2.ยกเวน้ คา่ ธรรมเนยี มในการจดทะเบียนทก่ี ฎหมายกาหนดให้จดทะเบียน เชน่ คา่ ธรรมเนียมการจดทะเบยี น ทด่ี นิ จานองคา้ ประกนั 3.ห้ามใชช้ อื่ กลุม่ เกษตรกร เปน็ ชอื่ หรอื ส่วนหนึ่งของชือ่ ในทางธรุ กจิ เว้นแต่กลุม่ เกษตรกรทไี่ ด้จดทะเบียน 4.ไดร้ ับเงินทุนจากหน่วยราชการ หรอื เงนิ กู้ดอกเบ้ียต่า 5.ไดร้ ับความรใู้ นการประกอบอาชีพ การบริหารจัดการกลมุ่ จากกรมสง่ เสริมการเกษตร กรมปศสุ ัตว์ กรมประมง และกรมสง่ เสรมิ สหกรณ์ 6.ไดร้ ับการตรวจสอบบัญชจี ากกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ โดยไมต่ ้องเสยี คา่ ใช้จา่ ยแต่ประการใด 7.ไดร้ ับสทิ ธิพิเศษค่าใชจ้ ่ายในการจัดประชุมตามระเบียบกระทรวงการคลัง เชน่ คณะกรรมการกลางกลุ่ม เกษตรกรระดบั ประเทศ เทยี บเทา่ ขา้ ราชการระดับ 5 นอกจากนก้ี ารรวมกลุ่มยงั ช่วยเพมิ่ โอกาศในการหาตลาดในการขายสินค้าไดเ้ องโดยไมต่ อ้ งพงึ่ พาพ่อค้าคนกลาง เปน็ การลดต้นทุนท่ไี ม่จาเป็นออกไปไดอ้ ีกด้วย สรุปแล้วเรียกไดว้ า่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมนีไ้ ดท้ าใหเ้ กษตรกรในอดตี และปจั จุบันมรี ปู แบบท่ี แตกตา่ งกันโดยสน้ิ เชงิ เลยก็วา่ ได้ เพราะไมใ่ ช่รปู แบบเกษตรกรที่ทาเพื่อยงั ชีพอกี ต่อไปแล้ว แตไ่ ดก้ ลายเปน็ รูปแบบอาชพี ธรุ กจิ รปู แบบหนง่ึ ซึ่งถอื เป็นธุรกิจหลกั ทเ่ี ปน็ รายไดห้ ลักของสงั คมไทย เพราะหลายๆ ธรุ กิจนนั้ ตอ้ ง พงึ่ ผลผลิตทางการเกษตร จนภาครัฐไดม้ กี ารออกกฎหมาย และมนี โยบายเพือ่ ตอบสนองต่อรูปแบบท่ี เปล่ยี นแปลงไปนี้มากขึน้ เรยี กไดว้ ่าภาครัฐน้ันเป็นผ้กู าหนดรูปแบบของการเกษตรในยคุ ปัจจุบัน เพราะรฐั ไดเ้ ขา้ ไปอยู่ทกุ จุดในกจิ กรรมทางเศรษฐกิจ ซงึ่ รวมถึงการเกษตรนด้ี ว้ ย โดยนโยบายต่างๆ ของภาครัฐสง่ ผลใหก้ จิ กรรม ทางการเกษตรเปล่ยี นแปลงไป เพื่อตอบรบั รปู แบบเศรษฐกจิ แบบทนุ นยิ มที่ได้เขา้ มาในสังคมไทย ดงั นัน้ ใน ระยะเวลาอนั ใกลอ้ าจมีการออกกฎหมายเกย่ี วกับการเกษตรทมี่ ากขึน้ เพราะปจั จุบนั มบี างเร่ืองทีก่ ฎหมายยงั ไม่ ครอบคลมุ ถึง เชน่ เร่ืองการเกษตรพนั ธสัญญาทีร่ ัฐยังไมม่ กี ารออกกฎหมายท่สี ามารถค้มุ ครองเกษตรกรไดอ้ ย่างมี

36 ประสทิ ธิภาพ อาจส่งผลให้เหลา่ เกษตรกรท่ีอยู่ภายใต้สัญญาเหลา่ นีเ้ กดิ การต่นื ตวั มากขน้ึ เพราะไดท้ ราบถึง ปัญหาตา่ งๆมากขน้ึ จนอาจเกดิ การรวมกลุม่ ของเหลา่ เหล่าเกษตรกรมากขนึ้ เพ่ือเพิ่มอานาจในการต่อรองตา่ งๆ ของฝา่ ยตน สง่ิ ที่เกดิ ขึน้ เหลา่ นี้อาจนามาซ่งึ ความเปลยี่ นแปลงในทางกฎหมายของภาครฐั อันเน่อื งมาจากการ เรียกรอ้ งของประชาชนก็เปน็ ได้ โดยสดุ ทา้ ยแล้วตวั กฎหมายจะเปน็ ส่วนทีส่ าคญั ที่สดุ ในการเปล่ยี นแปลงตา่ งท่จี ะ เกดิ ข้ึนในอนาคตกับเกษตรกรไทย ไม่ว่าข้อกฎหมายจะกาหนดใหร้ ูปแบบของเกษตรกรรมเปลยี่ นแปลงไปทาง ไหนกต็ าม ล้วนสง่ ผลใหก้ ิจกรรมทางการเกษตรเปลี่ยนไปตามกฎหมายทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ น้ันอยา่ งหลีกเลยี่ งไมไ่ ด้ aaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaaa


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook