Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กามนิต

กามนิต

Published by chatchaikaka2537, 2020-02-19 02:25:51

Description: กามนิต

Search

Read the Text Version

วรรณคดศี าสนา เรอ่ื งกามนิต ท่ีมาและความแพรห่ ลายของเร่ือง เสถียรโกเศศและนาคะประทีปแปลเร่ืองน้เี มือ่ พ.ศ.๒๔๕๔ จากตน้ ฉบบั ภาษาอังกฤษท่มี ีช่อื วา่ The Pilgrim Kamanita ของ จอหน์ อี. โลจ้ี (John E. Logie) ซง่ึ แปลจากต้นฉบบั เดมิ ประพนั ธ์ ในปี ค.ศ.๑๙๐๖ เปน็ ภาษาเยอรมันชื่อ Der Polger Kamanita ของนกั เขยี นรางวลั โนเบล ชาวเดนมารก์ ชือ่ คารล์ อดอล์ฟ เจลลิ แมว้ า่ ผแู้ ต่งจะเปน็ ชาวตะวนั ตก แต่กป็ ระพนั ธ์เรือ่ งให้มีกล่ินอายของ ความเปน็ ตะวนั ออกได้อยา่ งประณตี และเสถยี รโกเศศและนาคะ ประทปี ก็สามารถถา่ ยทอดเป็นภาษาไทยได้อย่างงดงาม

หลังจากเสถยี รโกเศศและนาคะประทปี ได้แปลกามนติ ออกมา ก็ปรากฏว่า ไดร้ ับความนยิ มอย่างแพร่หลาย - เป็นหนงั สอื ทีป่ ระชาชนจานวนมากนยิ มชมชอบมสี านวนโวหาร ไพเราะเพราะพริง้ ซาบซึง้ จบั ใจ - ผูอ้ ่านจัดเป็นวรรณกรรมที่ถงึ ชน้ั วรรณคดีของชาติ - ได้รบั การยอมรับว่าเปน็ หนังสือแปลยอดเยย่ี มเหมือนสามกก๊ หรือ ราชาธริ าช - เปน็ งานแปลทค่ี วรค่าแก่การอา่ นทุกกาลสมยั นับเป็นแบบฉบบั ทด่ี ี ของงานแปล

- เปน็ วรรณคดีพุทธศาสนาที่ได้รบั การยกยอ่ งมากท่ีสดุ เรือ่ งหนึง่ ของไทย - กระทรวงศกึ ษาธิการขอคัดตัดตอนเฉพาะภาคบนดนิ ไปแปลงเป็น ชอ่ื วาสฏิ ฐี ใช้เป็นแบบเรียน ประเภทหนังสอื กวนี พิ นธ์อยู่ ใครไดอ้ ่าน แมจ้ นคนทถี่ ูกบังคบั ใหเ้ รยี นมา กย็ อมรับกันหมดแทบ ทุกคนว่าเป็นหนงั สอื ดี มีความไพเราะดา้ นภาษา อันยากจะหา หนังสือแปลและเรยี บเรยี งในช้ันหลังสไู้ ด้ - มกี ารจัดพมิ พ์เม่อื ทา่ นผู้เรยี บเรยี งทัง้ สองยังมชี ีวติ อยถู่ ึง 23 ครงั้ กระทรวงศึกษาธกิ ารไดน้ ากามนิตภาคบนดนิ ไปพมิ พถ์ ึง 34 ครัง้ ส่วนภาคสวรรค์นัน้ พิมพ์ 14 คร้ัง นอกจากนี้ยังมรี ายยอ่ ยๆ ขอ ไปตีพิมพ์ต่างหาก โดยไม่ปรากฏหลกั ฐานอกี มาก

ประวัติผ้แู ตง่ คาร์ล อดอลฟ์ เจเลอรูป (Karl Adolph Gjellerup) เป็นกวีและนกั เรยี นนวนิยายชาวเดนมารก์ เกิดเม่อื วันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2400 ท่ีเมอื งโรฮออลท์ มลรัฐซแี ลนด์ งานเขยี นระยะแรกๆ ของ เขาบง่ ชัดว่ามอี ตั ลักษณ์เฉพาะตนไปในทางสนุ ยิ ม (Optimism) อยา่ งรุนแรง ทั้งนเี้ พราะไดร้ ับอิทธพิ ลมาจาก จิออรก์ บรานด์ (Georg Brandes) นกั เขียนและนกั วจิ ารณ์วรรณคดชี าวเดนมาร์ก เมือ่ ไดเ้ ดนิ ทางทอ่ งเทย่ี วไปเป็นเวลานานทางยโุ รปใต้และตะวนั ออก ทาให้ มคี วามร้มู ากขนึ้ ตอ่ มาไดเ้ ขยี นบทละครและนวนยิ ายซึ่งแสดงให้เห็นวา่ มี ความรอบรู้อยา่ งลึกซง้ึ ในปญั หาชีวิต ทางจิตใจและจริยศาสตร์ ในระยะหลงั ๆ ไดน้ าเร่ืองเกี่ยวกับศาสนาทางตะวันออกมาเปน็ เคา้ โครง เรือ่ งในการเขยี น โดยใชป้ ระเทศอนิ เดียเป็นสถานทใี่ นเรื่อง หนงั สอื ชดุ นมี้ ี อยู่หลายเลม่ ดว้ ยกัน หนงั สือกามนิตกร็ วมอยู่ในชุดนด้ี ้วย หนงั สือที่เจเลอ รปู เขยี นในระยะหลังส่วนใหญเ่ ปน็ ภาษาเยอรมนั เจเลอรู้ปไดย้ ้ายภูมิลาเนา ไปอยทู่ ีค่ ลอทเช ใกล้ๆ เมืองเดรสเดน เมือ่ ปี พ.ศ.2435 และได้ถึงแก่กรรมทนี่ ั่นในปี พ.ศ.2462

ประวัติผแู้ ปล พระยาอนมุ านราชธน (เสฐยี รโกเศศ) พระยาอนมุ านราชธน เกิดเมอื่ วันศกุ ร์ที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๓๑ ถงึ แกอ่ นจิ กรรมเมือ่ วนั ท่ี ๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๑๒ สิรริ วมอายุ ๘๐ ปี ๖ เดอื น เป็นบตุ รนายหลหี รือมะลกิ บั นางเฮียะ มีนามเดิมภาษาจนี ว่า หลกี วางหยง เปลี่ยนชื่อเป็น ยง ในเวลาต่อมา และรบั พระราชทานนามสกุลจากรัชกาลท่ี ๖ วา่ เสฐยี รโกเศศ ภายหลงั จึงเปลย่ี นนามสกลุ เปน็ อนมุ านราชธน ตามบรรดาศกั ด์ิ ทที่ า่ นรับพระราชทานในราชทินนามเดียวกัน โดยลาดบั บรรดาศกั ด์ิต่างๆ กนั จาก ขนุ หลวง พระ และพระยาอนมุ านราชธนเขา้ เรยี นอสั สัมชญั พ.ศ.๒๔๔๓ เล่าเรียนจบชัน้ ๔ พอขน้ึ ชน้ั ๕ กอ็ อกจากโรงเรยี น ท้ังน้ีครอบครัวมีฐานะไม่ดี รวมทัง้ มพี ่ีนอ้ งหลายคนและพระยาอนมุ านราชธนเปน็ บตุ รคนโต กระนนั้ ท่านกลบั ศึกษานอกระบบโรงเรยี นและศึกษาตลอดชวี ติ ด้วยมีนสิ ยั รักความรู้ กระทัง่ ได้ ช่อื ว่าเปน็ นกั ปราชญ์คนสาคญั ของไทย

ชีวติ การงานเรม่ิ จากฝกึ หัดผสมยาท่ีโอสถศาลาของรฐั บาล เมอื่ มิได้รับเบย้ี เลีย้ ง จงึ ลาออกมา ทางานโรงแรมโอเรยี นเตล็ ไดเ้ งินเดือนๆ ละ ๖๐ บาท ทาได้ไม่ถึงปี จึงลาออก เมอื่ กรมศุลกากรรับสมคั รเสมียน เงินเดอื นๆ ละ ๕๐ บาท ทั้งนีเ้ พอ่ื มีเวลาพักผอ่ นมากกว่าและ รับยกเวน้ เกณฑ์เขา้ เปน็ ทหาร ทีก่ รมศุลากร พระยาอนุมานราชธนไดพ้ บ นายนอร์แมน แมกสแวล ผู้เป็นท้ังหัวหนา้ และครผู ูส้ อนภาษาอังกฤษใหพ้ ระยาอนมุ านราชธนจน แตกฉานชวี ิตข้าราชการของพระยาอนมุ านราชธนในกรมศลุ กากร มีความเจรญิ ก้าวหน้าเปน็ ลาดับ ได้เป็นพระยาเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗ ขณะมอี ายุ ๓๖ ปี แตก่ ลับมาสิน้ สุดลง พ.ศ.๒๔๗๖ ถูกปลดฐานรบั ราชการนาน ความจริงเป็นผลของการปฏิวตั ิ ๒๔ มิถนุ ายน ๒๔๗๕ คณะผู้มอี านาจใหม่ระแวงพวกขา้ ราชการเกา่ ต่อมาหลวงวิจติ รวาทการ อธบิ ดีกรมศลิ ปากร จงึ ชวนเขา้ รบั ราชการในกรม เปน็ หวั หน้ากองศลิ ปวทิ ยา มตี าแหน่งตา่ กวา่ เดิม ด้วยความรู้ ความสามารถและคณุ ธรรม พระยาอนมุ านราชธนจึงไดเ้ ลอ่ื นตาแหนง่ สงู ขน้ึ และดารงตาแหนง่ อธบิ ดีกรมศิลปากร โดยท่หี ลงั จากนนั้ รบั การต่ออายรุ าชการในตาแหนง่ หลายคร้งั ตราบจน เกษยี ณอายุราชการในท่ีสดุ

นอกจากงานประจาตาแหน่งอธิบดีกรมศลิ ปากร ทีท่ าคุณประโยชน์ แก่ศิลปวัฒนธรรมเปน็ เอนกประการแลว้ ยงั เป็นผู้ดารงตาแหนง่ คณะกรรมการสาคัญทางวชิ าการหลายคณะ ทงั้ เปน็ ศาสตราจารย์ ของจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัยด้วย ชีวิตส่วนตวั นั้น ท่านสมรสกับ คณุ หญิงละไม มีบตุ รธิดารวม ๙ คน ในด้านผลงานนพิ นธ์ พระยาอนมุ านราชธนมงี านศกึ ษาค้นควา้ เรยี บเรียงจานวนมาก งานทีร่ ว่ มกันแปลกับกลั ยาณมติ รของทา่ น คือ คณุ พระสารประเสรฐิ (ตรี นาคะประทีป) งานนนั้ จะใช้นามปากกาแฝดวา่ เสฐียรโกเศศ- นาคะประทีป

พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) นาคะประทีป เปน็ นักเขยี นทีม่ ชี ่อื เสยี ง เปน็ ท่รี จู้ ักกนั ทัว่ ไปในวงการ หนังสือของเมอื งไทย เปน็ ผู้เชีย่ วชาญในวิชาอกั ษรศาสตรไ์ ทย บาลี และสนั สกฤต เปน็ นักเขยี นหนกั ไปในทาง Classicism พิถีพถิ นั การใช้ถอ้ ยคาสานวน โดยเฉพาะในการแปลเรือ่ งกามนิต เสฐยี รโกเศศได้เขยี นไวว้ า่ หนังสือกามนติ สาเร็จเปน็ ภาษาไทยได้อยา่ งงดงาม เป็นเพราะพระสารประเสรฐิ เลอื กหาคามาใชไ้ ด้เหมาะๆ เป็น อยา่ งทใี่ นภาษาองั กฤษว่า \"คาเหมาะอยใู่ นทเี่ หมาะ\" นาคะประทปี สนใจเป็นพเิ ศษในการ คดิ ศพั ทแ์ ละแปลศัพท์ เชน่ งานทาพจนานุกรม ได้แต่งหนงั สอื ไวม้ ากเร่ือง โดยมากมักจะ แต่งรวมกับ เสฐยี รโกเศศ จนนามปากกา เสฐียรโกเศศและนาคะประทีป เป็นท่รี จู้ ักกัน ทั่วไปวา่ นามปากกาแฝด นาคะประทปี เคยรับราชการเปน็ อนศุ าสนาจารย์ทหารบก เป็นผ้ชู ่วยแผนก อภิธานในกรมตารากระทรวงศกึ ษาธกิ าร เป็นปลัดกรมพระอาลักษณ์ เป็นผเู้ ชย่ี วชาญ ประจากรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการคร้ังสุดท้ายเปน็ หวั หนา้ กองศาสนศึกษา กรม ศาสนา กระทรวงศึกษาธกิ าร นอกจากนเี้ คยเปน็ อาจารย์วิชาภาษาบาลี ในคณะอักษร ศาสตร์ จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นกรรมการชาระปทานกุ รม แหง่ ราชบัณฑิตยสถานนาคะประทปี เกิดเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๓๒ ถงึ แก่ กรรมเมื่อวันที่ ๔ มถิ ุนายน พ.ศ.๒๔๘๘

รูปแบบการประพนั ธ์ ใช้รูปแบบการประพันธ์ แบบรอ้ ยแก้ว วัตถปุ ระสงคใ์ นการแต่ง ผูแ้ ตง่ มวี ตั ถุประสงค์เพอ่ื เผยแพร่แนวคดิ ทางพระพทุ ธศาสนาและย้า ความสาคัญของหลักธรรมคาสอนในพระพทุ ธศาสนาใหเ้ ด่นชัด เปน็ ทีร่ ู้จกั ของบุคคล ท่วั ไปในอกี รปู แบบหนงึ่ นับเปน็ การสอนศีลธรรมและจรยิ ธรรมโดยอาศัยกรรม ประเภทนวนยิ ายเป็นเคร่ืองมอื ในการถา่ ยทอด ซงึ่ เปน็ วิธีการท่ีดเี พราะทาใหผ้ ู้อา่ น ได้รบั รูค้ าสอนโดยไม่รู้ตัว กลวธิ ีการนาเสนอ ผู้แตง่ นาเสนอใน ๒ ลกั ษณะ คอื ๑. กลวิธกี ารนาเสนอแนวคดิ ตามขนบของวรรณคดพี ุทธศาสนา ๒. กลวธิ ีการนาเสนอแนวคดิ ตามขนบของนวนยิ าย

เร่อื งยอ่ เร่อื งกามนติ

การแบ่งภาคและการแบ่งบท การแบง่ ภาค ในเร่อื งกามนิต การแบ่งภาคชว่ ยนาเสนอแนวคิดทางพทุ ธศาสนาด้วยการแบ่งเน้อื เรื่องออกเปน็ ครึง่ แรกกับครึ่ง หลงั คือ ภาคบนดิน • ภาคบนสวรรค์ การแบง่ บท การแบง่ บทในเรือ่ งกามนิตไดด้ าเนินไปตามเหตุการณ์สาคญั ของตวั ละครและสว่ นของผแู้ ตง่ ที่ต้องการ เน้นเกยี่ วกบั ความคิดทางพระพทุ ธศาสนา ชอ่ื บทตา่ งๆมสี ว่ นให้ผู้อ่านได้เหน็ ถึงการเน้นเร่ืองราวเนือ้ หา สญั ลักษณ์ หรอื ภาพของตวั ละคร โดยแบ่งบทออกเปน็ ทง้ั หมด ๔๕ บท ดงั น้ี บทท่ี ๑ “พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ กลับเบญจนครครี ี” บทที่ ๒ “พบ” บทที่ ๓ “สู่ฝัง่ แม่คงคา” บทที่ ๔ “สาวนอ้ ยผูเ้ ดาะคลี” บทที่ ๕ “รปู วิเศษ” บทท่ี ๖ “บนลานอโศก” บทที่ ๗ “ในหุบเขา” บทที่ ๘ “ดอกฟา้ ” บทที่ ๙ “ใตด้ าวโจร” บทท่ี ๑๐ “รหสั ยลัทธิ” บทท่ี ๑๑ “งวงช้าง” บทท่ี ๑๒ “ที่ฝังศพของวาชศรพ” บทที่ ๑๓ “เพื่อนบุณย์” บทท่ี ๑๔ “ผ้เู ปน็ สามี” บทท่ี ๑๕ “ภิกษโุ ลน้ ” บทท่ี ๑๖ “เตรยี มรับมอื ” บทที่ ๑๗ “ส่คู วา่ มเปน็ ผลู้ ะบ้านเรือน” บทท่ี ๑๘ “ในห้องโถงบ้านชา่ งหมอ้ ”

บทท่ี ๑๙ “พระศาสดา” บทท่ี ๒๐ “เดก็ ดอ้ื ” บทท่ี ๒๑ “ในท่ามกลางความเปน็ ไป” บทที่ ๒๒ “ภมู ิสขุ าวดี” บทท่ี ๒๓ “การตอ้ นรับแหง่ ชาวสวรรค์” บทท่ี ๒๔ “ต้นปารชิ าต” บทท่ี ๒๕ “บวั บาน” บทท่ี ๒๖ “สรอ้ ยแกว้ ตาเสือ บทท่ี ๒๗ “สัจกิริยา” บทที่ ๒๘ “บนฝ่ังคงคาสวรรค”์ บทที่ ๒๙ “ท่ามกลางกล่นิ หอมแหง่ ดอดปารชิ าติ” บทที่ ๓๐ “มเี กดิ มีตาย” บทที่ ๓๑ “ปีศาจทบ่ี นลาน” บทท่ี ๓๒ “สาตาเคียร” บทที่ ๓๓ “องคุลิมาล” บทที่ ๓๔ “นรกหอก” บทท่ี ๓๕ “การบูชาอันบริสทุ ธิ์” บทที่ ๓๖ “พระพทุ ธและพระกฤษณ์” บทที่ ๓๗ “ดอกฟา้ เหยี่ ว” บทท่ี ๓๘ “พรหมโลก” บทที่ ๓๙ “ความมดื มวั แหง่ โลกานโุ ลก” บทท่ี ๔๐ “ในสุมทมุ พุ่มไม้พระกฤษฌ์” บทที่ ๔๑ “โอวาทอยา่ งงา่ ยๆ” บทท่ี ๔๒ “ภกิ ษุณีอาพาธ” บทที่ ๔๓ “มหาปรนิ พิ พาน” บทที่ ๔๔ “พนิ ยั กรรมวาสิฏฐี” บทท่ี ๔๕ “กลางคืนและรงุ่ เชา้ ในสกลจกั รวาล”

แนวคดิ ทางพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในเร่ืองกามนิต แนวคดิ หลัก : ความรักนาไปสนู่ ิพพานได้ - กามนติ และวาสฏิ ฐีมคี วามรกั ท่ีซอื่ สัตยม์ ่นั คงตอ่ กัน แม้จะมีเหตกุ ารณ์อุปสรรคใดๆ มาขวางกนั้ ทาให้ความรักของท้ังสองตอ้ งมอี ันพลดั พรากจากกัน แต่ท้ังสองก็ยงั คงม่นั ในความรกั - เม่ือส้นิ ชวี ติ ลง ได้ไปเกิดบนสวรรค์สขุ าวดีกท็ าให้ทัง้ สองได้มาพบกันอกี ครั้ง ความรกั ของท้ังสองก็ยงั ม่นั คงอยูเ่ ชน่ เดมิ จนเปน็ เหตใุ ห้ไดน้ าพากันและกันไปส่อู ดุ มคตสิ งู สดุ ของ พระพทุ ธศาสนาคือนพิ พาน ในตอนแรกเร่ิมจากท่ีกามนติ และวาสฏิ ฐไี ดพ้ บกัน ความรักของทงั้ สองยงั คงมีลกั ษณะ เปน็ กเิ ลสความรกั อยู่ นนั่ คือ เปน็ ความรกั ทตี่ ้องการเปน็ เจา้ ของครอบครองแต่เพียงผู้เดียวและ ตอ้ งการให้บคุ คลที่ตนรกั รกั ตอบสนองในความรักของตนด้วย ดังน้นั ความรักของกามนิตและ วาสิฏฐีจงึ ปรากฏผลออกมาเป็นความทุกข์ สมดังพระพทุ ธดารัสทพ่ี ระพุทธเจา้ ไดป้ ระทานให้ วาสฎิ ฐีวา่ “ทใี่ ดมรี ัก ทน่ี ่นั มีทกุ ข์” ดังมรี ายละเอียดปรากฏตามลาดับเหตกุ ารณด์ งั นี้

“…คืนน้ันข้าพเจา้ นอนไม่หลับเลย ทท่ี นนอนหลับตาก็เพื่อให้เหน็ ภาพที่ต้องการเห็นเทา่ นั้น วันรุง่ ขนึ้ ข้าพเจา้ ไปสงบอารมณอ์ ยูท่ ส่ี วนของเจ้าบา้ นทข่ี า้ พเจ้ามาพักอยู่ และตรงที่ ดินทรายใต้ต้น มะม่วงอันรม่ รน่ื กระทาใหร้ ่างกายทผี่ า่ วดว้ ยรุ่มรัก ค่อยระงับความ รอ้ นรนไวไ้ ด้บ้าง กับได้อาศัยพิณ เจ็ดสายเป็นสหายสาหรับบอกเลา่ ความรักในใจ พอตะวัน บ่าย…ขา้ พเจา้ ชวนโสมทัตตใ์ ห้นง่ั รถไปเท่ยี ว อทุ ยานอีก… ข้าพเจา้ เดินตุหรดั ตเุ หรอ่ ย่ใู นสวน จนตลอด ก็ไมเ่ ป็นผลดงั มงุ่ หมาย…ข้าพเจา้ เสียใจเปน็ ท่ีสดุ เลิกไปเทย่ี วในอุทยาน หนั ไป เพยี งแมค่ งคา ไดไ้ ปยังท่าน้าหลายแหง่ ในที่สุด ลงเรือเทยี่ วลอย ละล่องไปตามกระแส ธารอันศกั ดสื ิทธิ์ จนแสงอาทติ ย์ในเวลาอสั ดงลบั หายไป…”

“…เมอื่ นอนไม่หลับตลอดคืน ต่นื ข้นึ ตั้งแตเ่ ช้ากอ็ ยแู่ ต่ในห้อง เพ่อื พกั ผอ่ นอารมณ์ซ่ึง หมกมุ่นมวั หมอง…เพอ่ื ให้หายราคาญใจหนั ไปพึง่ พกู่ ันและสี เอามาวาดรูปนางในเวลาตบ ลกู คลี พดู ถึงอาหาร ขา้ พเจา้ ไม่สามารถจะกนิ ไดแ้ มแ้ ต่คาเดยี ว…” นางร้องวา่ “…ดูซี กามนติ นนั่ คือแม่คงคาในสถานสวรค์ขอให้เราปฏญิ ญาต่อ พระคงคาในสวรรคซ์ งึ่ มีนา้ ขาวดงั เงินยวงเป็นท่เี ลี้ยงดอกบัวในสวรรค์โนน้ ให้เรามงุ่ ดวงจติ แน่วแน่ เตรยี มการไปประสบสุขอย่นู ริ ันดรกาลบนน้นั เถดิ …” “…ข้าพเจ้าออกอุทานโดยไมไ่ ด้ตัง้ ใจว่า “แม่คงคาในสวรรค์” และในบัดนเ้ี อง รูส้ ึกเหมือนวา่ ความอัดอ้ันตนั อกคอ่ ยเบาบางลงชวั่ ขณะหน่งึ แล้วกก็ ลับเต็มตื้นตนั ใจ จนน้าตาไหล รินออกมาอุ่นๆ จริงอยเู่ ม่อื สองสามชวั่ โมงแรกท่ลี ว่ งมา ได้ระลึกถึงประวัติ การของตนแต่หนหลัง ตอนไหนไม่รญั จวนใจเทา่ คิดถึงวาสฏิ ฐ…ี ญญาท่ีใหไ้ วก้ บั วาสิฏฐี นึกถงึ แมค่ งคาในสวรรค์ และนึกถงึ การกระทาทผี่ ่านๆ มาท้งั หมดของตนเอง”

“…พระองค์จะสามารถบันดาลให้ดวงใจของฉนั รู้สกึ เจบ็ ปวดร้อนรมุ่ อยเู่ สมอใหส้ งบเยน็ ได้หรอื ไม่หนอ ? จะทรงกาจัดเมฆในราตรกี าล คอื ความกลุ้มกลัดเห่ยี วแห้งใจ ซ่งึ ผา่ นมา บดบังปะทะดวงจติ ใหก้ ระจายสญู ไปเพราะแสงสวา่ งคือพระโอวาทจะไดห้ รือไม่หนอ ? หรือว่าบางทกี ารกาจดั อารมณ์รา้ ยใหห้ ายเหอื ดไดน้ ้ี เปน็ ของยากกวา่ การบาราบโจร…” จะเหน็ ได้วา่ ความรักของกามนติ และวาสฏิ ฐเี ป็นความรักที่พัฒนาจาก กเิ ลศความรกั ความทกุ ข์ ความลมุ่ หลง ขึ้นมาสู่การชว่ ยเหลือซ่ึงกันและกัน กามนติ เสยี สละให้วาสฏิ ฐีไดม้ ีความสขุ กับชวี ิตการแต่งงานกบั สาตาเคยี ร สว่ นตนเอง ยอมผดิ หวงั และปลกี ตัวกลับสู่บ้านเมืองของตน สว่ นวาสฏิ ฐีน้ันเพราะจติ ยังหน่วง เหนี่ยวมีความรกั มั่นคงอยู่กับกามนิต จงึ ทาใหย้ งั ไม่บรรลุธรรมหลุดพ้นจากกิเลศเป็น ผลให้อบุ ตั บิ นสวรรค์ชั้นเดียวกันกบั กามนิต คอื สวรรคส์ ุขาวดี และการอุบตั ใิ น สวรรคส์ ขุ าวดขี องทง้ั สองกเ็ ป็นผลให้ทงั้ คู่ได้สนทนากนั ถึงความเป็นไปในชีวิตของตน หลงั จากทีพ่ ลดั พรากจากกัน และไดช้ ว่ ยเหลือซ่งึ กนั และกันให้ขึ้นไปอุบัตยิ งั ภพภมู ิที่ สงู กวา่

แนวคิดยอ่ ย : ความเป็นอนจิ จงั ของชีวิต พุทธศาสนาเชื่อวา่ ชวี ติ นไ้ี ม่มอี ะไรแน่นอน ย่อมมกี ารเปลย่ี นแปลงหรอื แปรปรวนไปเป็นธรรมดาไมม่ สี ิ่งใดคงที่ เมอื่ เกดิ ขน้ึ ก็ตอ้ งมแี ตกดับ เมื่อเจริญข้ึนก็ ต้องมวี นั เวลาท่เี สื่อมสลายไป พระพุทธเจา้ ได้ตรัสเป็นหลกั ว่า “… สังขารท้ังปวงไม่ เที่ยง สงั ขารทั้งปวงเปน็ ทุกข์ ธรรมทั้งปวงเปน็ อนตั ตา…” ในเรื่องกามนิต กฎไตรลักษณ์น้ีสว่ นทมี่ ปี รากฏอยู่อยา่ งโดดเด่นก็คอื ความไมเ่ ทีย่ งและความเปน็ ทุกข์ สาหรบั ประเด็นหลงั ผูศ้ กึ ษาได้กลา่ วไว้บ้างแลว้ ใน แนวคดิ หลัก สว่ นของความทกุ ข์ท่ีเกดิ ข้ึนเพราะความรัก จึงไมน่ ามากล่าวอีก ในทน่ี จ้ี ะพจิ ารณาในประเดน็ แรกคือความไมเ่ ท่ียง ซ่งึ ในเร่ืองกามนิตสามารถแบ่งออก ได้เปน็ ๒ แนวคิด คือ ความไม่เทย่ี งของเหตกุ ารณ์และความไมเ่ ทยี่ งของสรรพส่ิง

•แนวคิดเก่ยี วกับสงั สารวัฏเรอื่ งการวนเกดิ เวยี นตาย นอกจากจะพบจากการทตี่ วั ละครเอกคอื กามนิตและวาสฏิ ฐรี ะลกึ ชาตไิ ดแ้ ลว้ ก็ยงั พบในตอนท่ีกล่าวถงึ อดีตชาติ ขององคุลิมาลทีป่ รากฏในตอนที่ ๓๔ “นรกหอก” วา่ • “... พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า “องคลุ มิ าลนานมาแล้วครงั้ หนง่ึ พระยมเห็นความทุกข์ ทรมานของสรรพสตั วก์ ส็ ลดใจราพึงวา่ “แท้จรงิ ผใู้ ดกระทาอกศุ ลกรรมบนโลก ย่อม ตอ้ งได้รบั โทษสนองหลายเทา่ ทวคี ณู กระไรรหนอเราพึงไปเกดิ เป็นมนษุ ย์ในสมยั ทมี่ ี พระสัมมาสมั พุทธเจา้ อบุ ัตใิ นโลกดว้ ย เราพึงได้ เฝา้ พระองคเ์ พอ่ื ฟังพระธรรม เทศนาใหบ้ งั เกดิ ความรู้แจ้งของจรงิ ”พระยมทก่ี ลา่ วคาปณิธานน้ี องคุ ลมิ าลคือตัว ทา่ นน้เี อง...”

คุณค่าของเรื่องกามนิต คุณค่าดา้ นวรรณศิลป์ กามนิตเปน็ หนงั สอื ที่ได้รบั ยกย่องวา่ เป็นวรรณกรรมแปลทีง่ ดงามดว้ ยวรรณศลิ ป์ เป็น แบบอย่างของการเรยี บเรียงความรอ้ ยแก้วทส่ี มบรู ณด์ ้วยลักษณะแห่งความเรียงทีส่ ละสลวย ไพเราะ เหมาะเจาะดว้ ยเสยี งและความหมายในดา้ นต่างๆดังน้ี การใชค้ า เร่ืองกามนติ มีความดเี ด่นในดา้ นการใช้คา ดังนี้ การสรรคาใช้เพ่ือแสดงระดับคา ระดบั คาเปน็ การเลือกใชค้ าใหเ้ หมาะกบั บุคคล โอกาส และสถานการณก์ ามนติ เปน็ นวนิยายมี เนือ้ เรื่องท่ีประกอบด้วยเหตุการณ์ และตวั ละครจานวนมาก แต่มกี ารเลือกใชค้ าได้สอดคลอ้ งกับบคุ คล โอกาส และสถานการณ์ ดังตวั อย่าง ในบทท่ี ๒ “พบ” พระพุทธเจ้าไต่ถามกามนิต ขณะพกั รว่ มกนั ทีห่ ้องโถงบ้านชา่ งหมอ้ วา่ “ดูก่อนอาคันตุกะ ทา่ นมาถอื เพศเปน็ ผู้ละเคหสถานเพราะเหตุไฉน?” (หนา้ ๑๖)

คุณค่าด้านวฒั นธรรม เน้ือหาสอดแทรกวัฒนธรรมประเพณขี องชาวไทยอินเดียโบราณ เช่น ลทั ธโิ จร ประเพณกี ารแตง่ งาน นันทนาการ รวมถงึ สอดแทรกคตธิ รรมในการดาเนนิ ชวี ิต

คณุ คา่ ดา้ นคติธรรมและคณุ ธรรม เนื้อหากลา่ วถึงหลักธรรมทางพระพทุ ธศาสนาหลายประการ โดยเฉพาะอย่างย่ิงเรือ่ งความไม่เท่ยี ง และการตงั้ ตน อยูบ่ นความไม่ประมาท


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook