เสภาสามัคคเี สวก ตอนวศิ วกรรมาและสามัคคเี สวก ความหมาย เสวก ( เส-วก ) หมายถงึ ข้าราชการในราชสานัก วศิ วกรรมา (วดิ -สะ-วะ-กมั -มา) หมายถึง พระวศิ วกรรม เทพแห่งการ ก่อสร้าง การศิลป์ การช่างนานา
ประวตั ผิ แู้ ตง่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจา้ อยู่หัว พระราชโอรสของรชั กาลท่ี ๕ กบั สมเด็จพระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชินีนาถ เป็ นพระบรมโอรสาธิราชเจา้ มหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร
ประวตั ผิ แู้ ตง่ (ตอ่ ) บทพระราชนิพนธ์ - สยามมานุสสติ -มทั นะพาธา - หัวใจนกั รบ -หัวใจชายหนุ่ม - บทละครพดู เรื่องเห็นแก่ลูกฯลฯ พระนามแฝง อศั วพาหุ รามจติ รามสูร พนั แหลม สุครีพ ศรีอยุธยา ไก่เขียว เจ้าเงาะ พนั ตา
จุดประสงค์ในการแต่ง เพอ่ื ใช้เป็ นบทสาหรับขบั อธิบาย นาเร่ืองในการฟ้ อนราตอนต่างๆ
ลกั ษณะคาประพนั ธ์ กลอนเสภา (กลอนสุภาพ) ตอน วศิ วกรรมา ๑๓ บท ตอน สามคั คเี สวก ๙ บท
เคร่ืองประกอบจงั หวะในการขบั เสภา กรับคู่ กรับพวง ฉ่ิง กรับเสภา
ความแตกตา่ ง บทเสภาทวั ่ ไป : บทเสภาสามคั คีเสวก : - เป็ นเร่ืองราวพฒั นามาจาก - เป็ นบทเสภาขนาดส้นั การเลา่ นิทาน - มี ๔ ตอน - มุ่งเสนอแนวคิดมากกว่า เลา่ เรอื่ งราว
บทเสภาสามคั คีเสวก ตอนที่ ๑ : กจิ การแห่งพระนนที
บทเสภาสามคั คีเสวก(ตอ่ ) ตอนที่ ๒ : กรนี ิรมิต
บทเสภาสามคั คีเสวก(ตอ่ ) ตอนที่ ๓ : วิศวกรรมา
บทเสภาสามคั คีเสวก(ตอ่ ) ตอนท่ี ๔ : สามคั คีเสวก
บทเสภาสามคั คีเสวก ตอน วิศวกรรมา
พระวศิ วกรรม หรือ พระวษิ ณกุ รรม
พระวิศวกรรม มีความเช่ียวชาญในการช่างสาขา : - ช่างเขียน (จติ รกร) - ช่างป้ัน - ช่างสถาปนา - ช่างสรา้ งอาวุธ - ช่างเงิน ช่างทอง
เกร็ดความรู้ งานศิลปกรรมแบ่งออกเป็ น ๔ แขนง จติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปัตยกรรม หัตถกรรม
บทเสภาสามคั คีเสวก ตอน สามคั คีเสวก
เสวก (เส-วก) หมายถึง ผู้ใกล้ชิด เป็ นยศของข้าราชการในราชสานัก เทยี บกบั อามาตย์ ซ่ึงเป็ นข้าราชการพลเรือนทว่ั ๆไป
ลาดบั ยศ รองเสวกตรี รองเสวกโท รองเสวกเอก เสวกตรี เสวกโท เสวกเอก มหาเสวกตรี มหาเสวกโท มหาเสวกเอก ลาดับยศนีใ้ ช้ในสมัย ร.๖ และเลกิ ใช้หลงั เปลยี่ นแปลงการปกครอง
กจิ กรรม
ความโดดเด่นของบทสามัคคเี สวก ด้านเนือ้ หา แฝงแนวคดิ ทม่ี ปี ระโยชน์และน่าสนใจ ด้านวรรณศิลป์ ๑. ใช้คาง่าย ๒. ใช้ภาพพจน์อุปมา (ทแี่ ปลกใหม่คมคาย)
บทเสภาสามคั คีเสวก : วิศวกรรมา แนวคดิ แฝงในตอนวิศวกรรมา ๑. ศิลปะเป็ นส่ิงน่าพึงใจ สวยงาม มนุษยไ์ ดร้ บั ความสุข ๒. ศิลปะบารงุ ดินแดน/ประเทศใหง้ ดงาม ๓. ศิลปะเป็ นเครอ่ื งแสดงความเจรญิ และเกียรตภิ ูมิของประเทศ (ชาติใดไม่มีศิลปะแสดงใหเ้ ห็นว่าชาตินนั้ ไรส้ งบสนั ติ) ๔. ทรงกระตุน้ ใหช้ าวไทยภาคภูมิใจในชาติไทยท่ีมีศิลปะอันงดงาม เป็ นมรดกตกทอดมา ๕. ทรงเชิญชวนใหช้ าวไทยสนบั สนุนศิลปิ นและวิชาช่างไทย และ บารงุ รกั ษาใหถ้ าวรสืบไป
บทเสภาสามคั คีเสวก : สามคั คเี สวก แนวความคดิ แฝงในตอนสามคั คีเสวก - ขา้ ราชการตอ้ งใหค้ วามรว่ มมือกบั พระมหากษตั รยิ ์ โดย ๑. ขา้ ราชการตอ้ งคานึงถงึ หนา้ ท่ีของตน ๒. มีความเครง่ ครดั ในระเบียบวินยั ๓. มีความจงรกั ภกั ดีตอ่ พระเจา้ แผ่นดิน ๔. มีความสามคั คีปรองดองกนั
การใชภ้ าพพจนอ์ ุปมา ตอนวิศวกรรมา ใครดูถูกผชู้ านาญในการช่าง ความคิดขวางเฉไฉไม่เขา้ เรอ่ื ง เหมือนคนป่ าคนไพรไม่รงุ่ เรอื ง จะพูดดว้ ยนนั้ ก็เปลืองซ่ึงวาจา เปรยี บเทียบผูด้ ูถูกวิชาช่าง เหมือนคนดอ้ ยความรขู้ าดความชานาญ ไม่น่าคบหา
การใชภ้ าพพจนอ์ ปุ มา ตอนสามคั คเี สวก ๑. เปรยี บเทียบประเทศชาตกิ บั เรอื ใหญท่ ่ีแล่นไปในทะเล ๒. เปรยี บพระมหากษตั รยิ เ์ หมือนกปั ตนั เรอื ๓. เปรยี บขา้ ราชบรพิ ารเหมือนกะลาสีเรอื
บทเสภาสามคั คีเสวก ตอนวิศวกรรมาและสามคั คีเสวก เป็ นตวั อย่างอนั ดี “วรรณคดีชัน้ เย่ียม” เน่ืองจาก : ๑. เสนอความคิดอันเป็ นจรงิ สาหรบั มนุษยท์ ุกชาตทิ ุกภาษาทุกกาลสมยั ๒. เป็ นเครอ่ื งสนบั สนุนความรกั และภูมิใจในชาตใิ หแ้ น่นแฟ้ นย่ิงข้นึ ๓. ใชภ้ าษารอ้ ยกรองอนั ประณีตงดงาม
ตวั อยา่ งการถอดคาประพนั ธ์ ตอ้ งมวั รบราญรอนหาผอ่ นไม่ ในกิจศิลปะวิไลละวาดงาม อนั ชาตใิ ดไรศ้ านตสิ ุขสงบ ว่างการรบอรพิ ลอนั ลน้ หลาม ณ ชาตนิ นั้ นรชนไม่สนใจ เพือ่ อรา่ มเรอื งระยบั ประดบั ประดา แตช่ าตใิ ดรงุ่ เรอื งเมืองสงบ ย่อมจานงศิลปาสงา่ งาม ชาตใิ ดท่ีผูค้ นไม่สนใจงานศิลปะอันงดงามเป็ นเครอ่ื งแสดงใหเ้ ห็นว่าชาตินัน้ ไรค้ วามสงบสันติ แต่ชาติใดที่มีศิลปะงดงามเป็ นเครื่องแสดงว่าบา้ นเมือง สุขสงบ มีความรงุ่ เรอื ง
วเิ คราะห์คุณค่าบทเสภาสามัคคเี สวก ตอน วศิ วกรรมา และสามัคคเี สวก
คุณค่าด้านเนือ้ หาวศิ วกรรมา ศิลปะทาให้ใจเพลดิ เพลนิ ทาให้ความทุกข์ความเศร้าหายไป ๏ ศิลปกรรมนำใจให้สร่ำงโศก ช่วยบรรเทำทุกข์ในโลกให้เหือดหำย จำเริญตำพำใจให้สบำย อกี ร่ำงกำยกจ็ ะพลอยสุขสรำญ ๏ แม้ผ้ใู ดไม่นิยมชมส่ิงงำม เมื่อถงึ ยำมเศร้ำอรุ ำน่ำสงสำร เพรำะขำดเครื่องระงับดับรำคำญ โอสถใดจะสมำนซึ่งดวงใจ ๏ เพรำะกำรช่ำงนี้สำคัญอันวเิ ศษ ทุกประเทศนำนำท้ังน้อยใหญ่ จงึ ยกย่องศิลปะกรรม์นั้นทว่ั ไป ศรีวไิ ลวลิ ำศดีเป็ นศรีเมือง
คุณค่าด้านเนือ้ หาวศิ วกรรมา ช่างทุกช่างได้สร้างสรรค์ศิลปะอนั งดงามให้กบั ประเทศชาติ ให้ ศรีวิไลทนั ประเทศเพอ่ื นบ้าน ๏ แต่กรุงไทยศรีวิไลทนั เพอื่ นบ้ำน จง่ึ มีช่ำงชำนำญวิเลขำ ทัง้ ช่ำงป้ันช่ำงเขยี นเพยี รวชิ ำ อีกช่ำงสถำปนำถูกทำนอง ๏ ท้ังช่ำงรูปพรรณสุวรรณกจิ ช่ำงประดษิ ฐ์รัชดำสง่ำผ่อง อกี ช่ำงถมลำยลกั ษณะจำลอง อีกช่ำชองเชิงรัตนะประกร
คุณค่าด้านเนือ้ หาสามคั คเี สวก ข้าราชการมีเจ้านายคือพระมหากษตั ริย์พระองค์เดยี ว และท่านคือพ่อ บังเกดิ เกล้า ข้าราชการต้องจงรักภักดแี ละซ่ือสัตย์ ๏ ประกำรหนึ่งพงึ คดิ ในจติ ม่ัน ว่ำทรงธรรม์เหมือนบิดำบังเกดิ หัว ควรเคำรพยำเยงและเกรงกลวั ประโยชน์ตัวนึกน้อยหน่อยจะดี ๏ ควรนึกว่ำบรรดำข้ำพระบำท ล้วนเป็ นรำชบริพำรพระทรงศรี เหมือนลกู เรืออย่ใู นกลำงหว่ำงวำรี จำต้องมีมิตรจิตรสนิทกนั
คุณค่าด้านเนือ้ หาสามคั คเี สวก ความสามคั คปี รองดองของข้าราชการเป็ นพลงั สาคัญในผลกั ดัน ประเทศชาติ ๏ เหล่ำเสวกตกทีก่ ะลำสี ควรคิดถงึ หน้ำทีน่ ้ันเป็ นใหญ่ รักษำตนเคร่งคงตรงวนิ ัย สมำนใจจงรักพระจักรี ๏ ไม่ควรเลือกท่ีรักมักที่ชัง สำมัคคีเป็ นกำลงั พลงั ศรี ควรปรองดองในหมู่รำชเสวี ให้สมทร่ี ่วมพระเจ้ำเรำองค์เดียว
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ - การใช้ภาพพจน์ มคี วามดเี ด่นในการใช้ภาพพจน์อปุ มา โดยเฉพาะตอน สามคั คเี สวก เปรียบเทยี บประเทศชาตใิ ห้เป็ นเรือลาใหญ่ทกี่ าลงั แล่นอยู่กลางทะเล โดยมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็ นผู้นาเปรียบได้ กบั กปั ตนั เรือ และเหล่าเสวกหรือข้าราชการท้งั หลายเปรียบได้ กบั กะลาสีเรือ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ควรนึกว่ำบรรดำข้ำพระบำท ล้วนเป็ นรำชบริพำรพระทรงศรี เหมือนลูกเรืออยู่ในกลำงหว่ำงวำรี จำต้องมีมติ รจติ รสนิทกนั แม้ลกู เรือเช่ือถอื ผู้เป็ นนำย ต้องม่งุ หมำยช่วยแรงโดยแขง็ ขนั คอยตั้งใจฟังบังคบั กปั ปิ ตัน นำวำน้ันจงึ จะรอดตลอดทะเล
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ส่วนในตอนวศิ วกรรมา รัชกาลท่ี ๖ ยงั ทรงใช้ภาพพจน์แบบ อุปมา เช่น ทรงเปรียบเทยี บศิลปะ กบั “โอสถ” หรือยาทส่ี ามารถ บรรเทาความทุกข์และความเศร้าให้เบาลงได้ ศิลปกรรมนำใจให้สร่ำงโศก ช่วยบรรเทำทุกข์ในโลกให้เหือดหำย จำเริญตำพำใจให้สบำย อีกร่ำงกำยกจ็ ะพลอยสุขสรำญ แม้ผ้ใู ดไม่นิยมชมส่ิงงำม เมื่อถงึ ยำมเศร้ำอรุ ำน่ำสงสำร เพรำะขำดเครื่องระงับดับรำคำญ โอสถใดจะสมำนซ่ึงดวงใจ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ - การแตกศัพท์ การแตกศัพท์ คอื การนาศัพท์คาหน่ึงมาแตกให้เป็ นหลาย คา โดยมกี ารเปลย่ี นแปลงรูปเลก็ น้อยและยงั มคี วามหมาย ใกล้เคยี งกบั ความหมายเดมิ มากทสี่ ุด เพอ่ื ให้เกดิ ความไพเราะใน บทประพนั ธ์ เช่น คำว่ำ ศิลป์ แตกศัพท์เป็ น ศิลปี ศิลปะ ศิลปำ ศิลปกรรม ศิลปะกรรม์ ซ่ึงมคี วำมหมำยว่ำ ศิลปะ เหมือนกนั ทกุ คำ
คุณค่าด้านวรรณศิลป์ - การหลากคา การหลากคา คอื การใช้คาศัพท์ทมี่ คี วามหมายเหมอื นกนั หรือคาไวยพจน์ เช่น คำว่ำ “พระมหำกษตั ริย์” ใช้คำว่ำ ทรงธรรม์ พระ ทรงศรี พระภูธร พระจกั รี คำว่ำ “ข้ำรำชบริพำร” ใช้คำว่ำ ข้ำพระบำท เสวี ข้ำ ฝ่ ำพระบำท เสวก รำชเสวี
คุณค่าด้านสังคม - สะท้อนความงามทางด้านศิลปะ - สะท้อนความรุ่งเรืองของบ้านเมอื ง - สะท้อนคุณธรรมหน้าทแี่ ละความสามคั คี
Search
Read the Text Version
- 1 - 38
Pages: