การตรวจสภาพจิต Mental Status Examination อ.ขวญั เรือน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี สงขลา
การตรวจสภาพจติ Mental Status Examination ลกั ษณะทัว่ ไป (General Appearance) การพูด (Speech) ความคดิ (Thought) สภาวะอารมณ์ (Emotion status) การรับรู้ (Perception)
การตรวจสภาพจิต(ต่อ) การรู้กาลเวลา สถานทแ่ี ละบุคคล (orientation) ความจา (memory) ความต้งั ใจ และสมาธิ (attention and concentration) เชาวนป์ ัญญาและความรอบรู้(General knowledge and abstract thinking) การตัดสินใจ (Judgment) ความรู้จกั ตน (Insight)
1.ลกั ษณะท่วั ไป (General Appearance) - Appearance: สภาพร่างกายและ อารมณ์ผู้ป่ วยขณะทถ่ี ูกสัมภาษณ์ เช่น โครงสร้างร่างกาย ความ เหมาะสมของร่างกายกบั อายุ ท่าทาง การแต่งกาย
1.ลกั ษณะทว่ั ไป (General Appearance) - Behavior and Psychomotor Activity: พฤตกิ รรมทว่ั ๆ ไป ขณะสัมภาษณ์ การเคลอื่ นไหวของผู้ป่ วย อาจบรรยายโดยใช้คาเหล่านี้ เช่น mannerism tics, hyperactivity, agitation, flexibility, rigidity เป็ นต้น - Attitude Toward Examiner: ท่าทขี องผู้ป่ วยต่อผู้สัมภาษณ์อาจใช้คา เหล่านี้ เช่น Cooperative, hostile เป็ นต้น
2. การพูด (Speech) • คุณภาพการพดู เช่น น้าเสียง การเปลี่ยนแปลงเสียงพดู ความดงั เชน่ พดู เสียง ดงั หรือพดู เสียงเบาเหมือนกระซิบ (whisper) เป็นตน้ การออกเสียง เช่น ชดั เจนหรือไม่ชดั (slurred) พดู พึมพา (mumbled) ความต่อเน่ือง เช่น ชา้ เร็ว หยดุ ติดอ่าง (stuttering) หรือพดู ตามท่ีผอู้ ่ืนพดู (echolalia) เป็นตน้ • ปริมาณการพดู เช่น ล่ืนไหล (spontaneous) พดู เฉพาะเม่ือถูกถาม (unspontaneous) การพดู เร็วและพดู มากข้ึนหรือช่างพดู (talkative) พดู นอ้ ย (poverty of speech) หรือพดู มากแต่มีเน้ือหานอ้ ย (poverty of content of speech)
2. การพดู (ต่อ) • - ระบบการพดู ใหด้ ูวา่ เป็นอยา่ งไร เช่น สอดคลอ้ งสมั พนั ธ์กนั ดี (coherent) มี เหตุผล (logical) ตรงประเดน็ ที่ถูกถาม (relevant) ออ้ มคอ้ ม (circumstantial) พดู ไม่รู้เร่ืองหรือไม่เป็นระบบ (disorganized) พดู แบบความคิดแล่นเร็ว (flight of ideas) พดู ไม่ปะติดปะต่อ (word salad) พดู เป็นสัมผสั คลา้ ยกาพย์ กลอน (rhyming) หรือเล่นคา (punning) เป็นตน้
3.ความคดิ (Thought) 3.1 กระแสของความคดิ (stream of thought) ซ่ึงประเมินจากความต่อเนื่องและความสัมพนั ธ์กนั (association) ระหว่างเร่ืองทพี่ ูด คาพดู และการพูดของผู้ป่ วยจะเป็ นตัวสะท้อน กระบวนการหรือรูปแบบความคดิ แม้จะมกี ารประเมินเร่ืองของการพดู ไป แล้ว เช่น ความคดิ ไม่ปะตดิ ปะต่อ (loosening of association) ความคดิ แล่น เร็วพดู มากกว่าปกติ พูดเร็ว และยากทจี่ ะขดั จงั หวะได้ (flight of idea)
3.ความคดิ (ต่อ) 3.2 เน้ือหาความคิด (thought content) การตรวจเน้ือหาความคิดน้นั ใหส้ งั เกต วา่ ถูกตอ้ ง มีเหตุมีผล มีความคิดหลงผดิ (delusion) มีความคิดหมกมุ่นใน เรื่องใดเร่ืองหน่ึง (preoccupation) การย้าคิด (obsessions) เป็นความคิดที่ไม่มี เหตุผลที่จู่ๆ กเ็ กิดข้ึนมาในหวั สมองผปู้ ่ วยโดยไม่สามารถหา้ มได้ และมี ความคิดการทาร้ายตนเอง/ ฆ่าตวั ตาย (suicide idea) หรือไม่
4.สภาวะอารมณ์ (Emotion status) • อารมณ์พ้ืนฐาน (Mood) หมายถึง อารมณ์โดยรวมท่ีมีอยใู่ นช่วงท่ีผา่ นมา เช่น ใน 1 สปั ดาห์มามีอารมณ์ เศร้า เบ่ือ เป็นตน้ ผสู้ มั ภาษณ์ควรประเมินดว้ ยวา่ อารมณ์พ้นื ฐานของผปู้ ่ วยเขา้ ไดก้ บั อารมณ์ที่แสดงออก (Affect) หรือไม่ โดย ที่ควรถามระยะเวลาและความรุนแรงของอารมณ์ท่ีเกิดข้ึนดว้ ย • อารมณ์ท่ีแสดงออก (Affect) หมายถึง เป็นอารมณ์ท่ีสังเกตไดท้ างสีหนา้ ซ่ึง อาจร่วมกบั แววตา น้าเสียงในการพดู คุย ท่าทาง และการเคล่ือนไหวร่างกาย ของผปู้ ่ วย
5. การรับรู้ (Perception) • ประสาทลวง (Illusions) หมายถึง การที่ผปู้ ่ วยแปลความหมายของ ประสาทรับรู้เมื่อมีส่ิงกระตุน้ ต่างๆ ผดิ ไป เช่น เวลาค่า ในหอ้ งท่ีมีแสง นอ้ ย หรือเวลาท่ีเหนื่อยลา้ เป็นตน้ เช่น เห็นเชือกเป็นงู เหน็ เงาตน้ ไมไ้ หว ตามลมเป็นเงาของคนที่เคล่ือนไหว เป็นตน้
5. การรับรู้ (ต่อ) • ประสาทหลอน (hallucinations) เป็นอาการที่ผปู้ ่ วยรับรู้วา่ มีสิ่งกระตุน้ ท้งั ที่ไม่มี อาการประสาทหลอนสามารถเกิดข้ึนไดห้ ลายทาง บางคร้ังผปู้ ่ วยกใ็ หข้ อ้ มูล โดยตรง บางคร้ังกแ็ สดงออกมาทางพฤติกรรม เช่น เอียงคอฟังเสียงหูแวว่ หรือ พดู โตต้ อบกบั เสียงน้นั • ตวั อยา่ งของอาการประสาทหลอน ไดแ้ ก่ หูแวว่ (auditory hallucination) เห็นภาพ หลอน (Visual hallucination) ประสาทหลอนทางการรับรส (gustatory hallucination) ประสาทหลอนทางการไดก้ ลิ่น (olfactory hallucination) และ ประสาทหลอนทางกาย (tactile hallucination)
6)การรู้กาลเวลา สถานทแี่ ละบุคคล (orientation) • เวลา (time) โดยถามเวลา ว่าขณะนีเ้ วลาเท่าไรหรือเวลาใด รวมท้งั วนั วนั ท่ี เดือน ปี • สถานท่ี (place) โดยถามชื่อโรงพยาบาล และตาแหน่งของโรงพยาบาลที่ ผู้ป่ วยอยู่ขณะน้ัน • บุคคล (person) โดยถามช่ือและความสัมพนั ธ์ของผ้ปู ่ วยกบั คนทผ่ี ้ปู ่ วย คุ้นเคยซ่ึงอยู่ในสถานทน่ี ้ัน รวมท้งั ถามถงึ ช่ือผู้ป่ วยเอง และสถานะของ ผู้ป่ วยด้วย (identity)
7. ความจา (memory) • ความจาระยะส้นั (recent memory) ไดแ้ ก่ การท่ีผปู้ ่ วยสามารถจาเหตุการณ์ต่างๆ ที่ เพงิ่ ผา่ นมาภายใน 1- 3 วนั ได้ ควรถามคาถามท่ีผถู้ ามทราบคาตอบท่ีถกู ตอ้ ง เช่น เลา่ เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนใน 1-2 วนั ท่ีผา่ นมา • ความจาในอดีต (remote memory) เป็นความจาเหตุการณ์ในอดีตที่ผา่ นมาหลายปี เช่น ถามประวตั ิสถานท่ีเกิดและวนั เดือน ปี เกิดของผปู้ ่ วย ประวตั ิส่วนตวั ของผปู้ ่ วย เป็น ตน้ • การเรียกคืนความจา (recall memory) โดยการใหผ้ ปู้ ่ วยจาของ 3 สิ่งท่ีไดพ้ ดู ทวนไป แลว้ น้นั แลว้ ใหก้ ลบั มาบอกอีกคร้ังเมื่อเวลาผา่ นไปราว 5 นาที
8.ความต้งั ใจ และสมาธิ (attention and concentration) • การลบเลขทีละ 7 หรือ ทีละ 3 (serial 7’s or serial 3’s) เป็นการตรวจวดั สมาธิโดยวธิ ีลบเลขออกทีละ 7 จากเลขจานวน 100 ในใจไม่ใชส้ ิ่ง ช่วยเหลือใดๆ ใหล้ บประมาณ 3 ลาดบั หากผปู้ ่ วยไม่สามารถทาไดอ้ าจ ใชก้ ารลบ 20 ดว้ ย 3 แทน หากผปู้ ่ วยยงั ทาไม่ไดอ้ าจใชว้ ธิ ีอื่นทดสอบ ไดแ้ ก่ การพดู ช่ือวนั ในสปั ดาห์ยอ้ นหลงั การพดู ชื่อเดือนในหน่ึงปี ยอ้ นหลงั
8.ความต้งั ใจ และสมาธิ (ต่อ) • การนบั เลข (digit span) โดยการใหผ้ ปู้ ่ วยพดู ตามและพดู ทวนเริ่มตน้ เลข2 หลกั ควรอ่านทอดใหร้ ะยะเท่ากนั เลี่ยงการอ่านเลขเป็นกลุ่ม เพราะช่วยใน การจาของผปู้ ่ วยใหผ้ ปู้ ่ วยพดู ตามภายหลงั ที่ผตู้ รวจอ่านใหฟ้ ัง 1คร้ัง ถา้ ผปู้ ่ วยทาผดิ ใหอ้ ่านเลขจานวนใหม่ ไม่อ่านซ้าจานวนเดิม วิธีน้ีเรียกวา่ นบั เลขไปขา้ งหนา้ (digit span- forward) คนปกติควรทาได้ 6-7 หลกั หลงั จาก น้นั ใหผ้ ปู้ ่ วยทวนเลขกลบั หลงั เรียกวา่ digit span- backwardคนปกติทาได้ 3-4 หลกั 24 672 3971 43725 983162
9.เชาวน์ปัญญาและความรอบรู้ (General knowledge and abstract thinking) • ความรู้ทว่ั ไป โดยคนทว่ั ไปสามารถตอบคาถามได้ 8 ถึง 13 ขอ้ หากนอ้ ย กวา่ 8 ถือวา่ สติปัญญาต่ากวา่ ปกติ ตวั อยา่ งคาถาม คือ สปั ดาห์หน่ึงมีกี่วนั , หน่ึงโหลมีจานวนเท่าใด, กระเพาะอาหารมีหนา้ ที่อะไร, จงบอกจงั หวดั ในภาคใตม้ า 5 จงั หวดั เป็นตน้ ชื่อบุคคลสาคญั สถานที่สาคญั • การเปรียบเทียบของสองอยา่ งวา่ ต่างกนั หรือเหมือนกนั อยา่ งไร โดยให้ เปรียบเทียบหาความต่างก่อนและใหเ้ ปรียบเทียบความเหมือนเช่น กลางวนั กบั การคืน เดก็ กบั คนแคระ สม้ กบั กลว้ ย หนูกบั แมว • ใหอ้ ธิบายความหมายของคาพงั เพยสุภาษิต เช่น น้าข้ึนใหร้ ีบตกั ข้ีชา้ งจบั ตกั๊ แตน หนีเสือปะจระเข้
10.การตัดสินใจ (Judgment) • เป็นการประเมินวา่ ผปู้ ่ วยตดั สินใจเหมาะสมหรือไม่ ประกอบดว้ ยเหตผุ ล เพียงไร และผปู้ ่ วยประพฤติตามที่ตดั สินใจน้นั ไดเ้ พียงใด การตดั สินใจ และการกระทาเป็นท่ียอมรับของสงั คมและเหมาะสมกบั ประเพณีหรือ วฒั นธรรมหรือไม่ การตดั สินใจใชเ้ หตุผลหรือใชอ้ ารมณ์ • คาถามท่ีใชถ้ าม : ถามการตดั สินใจในการดาเนินชีวิต การตดั สินใจใน สถานการณ์สมมติ และการตดั สินใจเกี่ยวกบั แผนการชีวิตอนาคต
11.ความรู้จกั ตน (Insight) (1) ปฏิเสธความเจบ็ ป่ วยโดยสิ้นเชิง (2) พอจะทราบวา่ ตนเองป่ วยและควรไดร้ ับการรักษาแตป่ ฏิเสธการรักษา (3) ทราบวา่ ตนเองผดิ ปกติ แต่โทษวา่ เป็นจากส่ิงต่างๆนอกตวั เช่น คนอ่ืนทาใหเ้ ป็น หรือเกิดจากความผิดปกติทางกาย (4) รู้วา่ ความผดิ ปกติเกิดจากปัญหาภายในตนเอง แต่ไม่รู้วา่ คืออะไร (5) ยอมรับวา่ ตนเองผดิ ปกติหรือป่ วย และอาการหรือความบกพร่องต่างๆเกิดจาก ความผดิ ปกติทางอารมณ์จิตใจของตนเอง แต่ไม่ไดน้ าส่ิงที่ตนรู้มาใชใ้ นการแกไ้ ข ปัญหา (intellectual insight) (6) ตระหนกั รู้อยา่ งชดั เจนถึงประเดน็ ที่เป็นปัญหาของตน และที่มาของปัญหายอมรับ อยา่ งแทจ้ ริงวา่ ตนเองป่ วย ซ่ึงนาไปสู่การเปล่ียนแปลงพฤติกรรมใหด้ ีข้ึนได้ (true emotional insight)
Question?
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: