การแปลความ
การแปลความ หมายถึง การเปลี่ยนแปลงความ จาก เดิมท่ีไดอ้ ่านโดยใชค้ าพดู ใหม่หรือภาษาใหม่มา เรียบเรียง เป็นขอ้ ความใหม่ใหเ้ ขา้ ใจง่ายข้ึน แต่ตอ้ ง รักษาเน้ือหาและ สาระสาคญั ของเรื่องเดิมไวไ้ ดอ้ ยา่ ง ครบถว้ น การแปลความมีหลายรูปแบบดงั น้ี
1 แปลคาํ ศัพท์เฉพาะให้เป็ นภาษาธรรมดา บุปผา = ดอกไม้ โจทย์ = ผู้ฟ้อง ตุ๋น = หลอกลวง/วธิ ีปรุงอาหารอย่างหน่ึง พระบัญชร =หน้าต่าง พระโอษฐ์ = ปาก ริมฝี ปาก
2 แปลสํานวน สุภาษติ คาํ พงั เพย ร้อยกรอง คาํ บาลสี ันสกฤตทีไ่ ทยนาํ มาใช้เป็ น คาํ สามัญ หรือในทางสลบั กนั เช่น ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารํ ทาโม หะเว รักขะติ ทามะจาริง แปลความได้ว่า ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤตธิ รรม พศิ พกั ตร์ผ่องเพยี งบุหลนั ฉาย แปลความได้ว่า ใบหน้าผุดผ่องราวกบั แสงจันทร์ ความรู้ท่วมหัวเอาตวั ไม่รอด แปลความได้ว่า มีวชิ าความรู้มาก แต่กไ็ ม่สามารถพาตนเองให้อยู่รอด ปลอดภยั ได้
3 แปลเครื่องหมายหรือสัญลกั ษณ์ต่างๆ ได้ เช่น > แปลว่า มากว่า : : แปลว่า ตัว ก (ภาษาคนตาบอด)
ตัวอย่างการแปลความ “ขา้ พเจา้ พจิ ารณาดูตามหลกั ฐานท่ีปรากฏใน พงศาวดาร เห็นวา่ ชนชาติไทยมีคุณธรรม ๓ อยา่ งเป็นสาคญั จึงสามารถปกครองประเทศ สยามได้ คือ ความรักอิสระชองชนชาติอยา่ งหน่ึง ความปราศจากวหิ ิงสาอยา่ งหน่ึง ความฉลาดในการประสานประโยชน์อยา่ งหน่ึง”
ถา้ พจิ ารณาขอ้ ความน้ีจะพบคาศพั ทท์ ี่ทาใหผ้ อู้ า่ นบาง คนเขา้ ใจเน้ือความไม่ตลอด ไดแ้ ก่ พงศาวดาร วหิ ิงสา และ ประสานประโยชน์ ดงั น้นั ผอู้ ่านจะตอ้ งแปลความคาศพั ทท์ ้งั ๓ คา ดงั น้ี “พงศาวดาร” หมายถึง แหล่งบนั ทึกขอ้ มูลทาง ประวตั ิศาสตร์ ในสมยั ก่อนมกั ใชห้ นงั สือใบลาน หรือสมุด ข่อย ในสมยั หลงั ไดจ้ ดั พิมพใ์ หม่เป็นหนงั สือเล่ม
“วิหิงสา” หมายถึง ความไม่เบียดเบียน “ประสานประโยชน์” หมายถึง การเอ้ือประโยชนซ์ ่ึงกนั และกนั ดงั น้นั จึงแปลความเพ่อื เขา้ ใจไดง้ ่าย ไดว้ า่ “ขา้ พเจา้ พิจารณาดู ตามหลกั ฐานที่ปรากฏในหนงั สือบนั ทึกประวตั ิศาสตร์ เห็นวา่ คนไทย มีคุณธรรม ๓ อยา่ งเป็นสาคญั จึงสามารถปกครองประเทศสยามได้ คือ ความรัดอิสระของชนชาติ
การตีความ
การตีความ เป็นการอา่ นท่ีจะตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั ความหมายแฝงท่ีเป็นแก่นของเร่ืองท่ีแทจ้ ริงท่ีผเู้ ขียน ตอ้ งการจะส่ือ เน่ืองจากบางคร้ังผเู้ ขียนไม่ไดต้ อ้ งการส่ือ ความหมายตรงตามถอ้ ยคาท่ีเขียนแต่ยงั แฝงความคิดท่ี ลึกซ้ึงดว้ ยศิลปะการเขียนที่ใชส้ ญั ลกั ษณ์หรือถอ้ ยคา เปรียบเทียบเพ่ือใหผ้ อู้ า่ นใชป้ ัญญาวเิ คราะห์เน้ือความน้นั ๆ
เพื่อใหเ้ กิดอรรถรสในการอา่ น หรือบางคร้ังผเู้ ขียน อาจไม่ไดก้ ล่าวถึงเร่ืองราวบางประการอยา่ งตรงไปตรงมา ซ่ึงอาจเป็นเร่ืองผดิ กาหมายหรือเสียมารยาททางสงั คม ผเู้ ขียน จึงหลีกเลี่ยงวธิ ีการเขียนโดยไม่กล่าวตรงๆ แต่ใชค้ า เปรียบเทียบหรือใชส้ ญั ลกั ษณ์แทน ผอู้ า่ นจึงตอ้ งใช้ ประสบการณ์การอา่ นและสติปัญญาในการตีความใหข้ า้ ใจ อยา่ งแทจ้ ริง
ตัวอย่างการอ่านตีความ ใหพ้ ิจารณาบทร้อยกรอง ต่อไปน้ี “สองคนยลตามช่อง คนหน่ึงมองเห็นโคลนตม อีกคนตาแหลมคม มองเห็นดาวอยพู่ ราวพราย”
จากบทร้อยกรองขา้ งตน้ ถา้ อ่านเพียงเพ่ือเขา้ ใจความหมายอยา่ ง ตรงไปตรงมากจ็ ะไดค้ วามวา่ “มีคนสองคนมองเขา้ ไปตามช่อง คนหน่ึง มองเห็นโคลนตม อีกคนหน่ึงมองเห็นดวงดาวมากมาย” แต่ผเู้ ขียนมีจุดมุ่งหมายในการสื่อสารที่ลึกซ้ึงกวา่ น้นั โดยนาเสนอ เน้ือหาในรูปของคาท่ีเป็นสญั ลกั ษณ์ ซ่ึงผอู้ ่านจะตอ้ งตีความเพ่อื ความเขา้ ใจ ในร้อยกรอองบทน้ีมีคาเป็นสญั ลกั ษณ์สาคญั อยู่ ๒ คา ไดแ้ ก่ “ โคลนตม” หมายถึง ของไม่ดี ไม่มีคา่ ความต่าตอ้ ย ความไม่สาเร็จ “ดาว” หมายถึง ความสาเร็จ ความสูงส่ง ส่ิงท่ีมีคุณคา่
ฉะน้นั ถา้ อ่านร้อยกรองบทน้ีในลกั ษณะการตีความ กจ็ ะ ไดร้ ับสารท่ีลึกซ้ึงวา่ คนสองคนท่ีอยใู่ นสถานการณ์เดียวกนั หรือ มองเห็นส่ิงเดียวกนั ในขณะท่ีคนหน่ึงเห็นวา่ สิ่งน้นั ไม่มีประโยชน์ ไม่มีคุณคา่ แต่อีกคนหน่ึงมองเห็นช่องทางที่จะนาสิ่งน้นั มาใชป้ ระโยชนส์ ร้าง คุณค่าและความสาเร็จใหแ้ ก่ตนได้
การขยายความ
การอ่านเพ่ือขยายความ คือ การอา่ นเพื่อนามาอธิบาย เพิ่มเติม ใหม้ ีความละเอียดเพิม่ มากข้ึน จากเน้ือความเดิม ท้งั น้ี การอา่ น เพอื่ ขยายความสามารถ ใชว้ ธิ ีการยกตวั อยา่ งประกอบ หรือมีการอา้ งอิง เปรียบเทียบ เพ่ือใหไ้ ดเ้ น้ือความท่ีกวา้ งขวาง ออกไป จนเป็นที่เขา้ ใจยง่ิ ข้ึน ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี
ตัวอย่างการขยายความ พระพทุ ธเจ้าตรัสสอนว่า เปมโต ชายตี โสโก เปตโม ชายตี ภย เปมโต วปิ ฺปมุตฺตสฺส นตฺถิ โสโก กโุ ต ภย ความโศกเกิดจากความรัก ความกลวั กเ็ กิดจากความรัก ผทู้ ี่ละความรักเสียไดแ้ ลว้ กไ็ ม่โศกกไ็ ม่กลวั (พทุ ธภาษิต)
ขยายความไดว้ า่ พทุ ธภาษิต น้ีใหข้ อ้ คิดวา่ ความรักเป็นตน้ เหตุ ใหเ้ กิดความโศก และความกลวั ผทู้ ี่ละความรักไดแ้ ลว้ กไ็ ม่ตอ้ งโศกไม่ ตอ้ งกลวั เม่ือบุคคลมีความรักต่อส่ิงใดหรือคนใด เขากต็ อ้ งการใหส้ ิ่งน้นั คนน้นั คงอยใู่ หเ้ ขารักตลอดไป มนุษยโ์ ดยทวั่ ไปยอ่ มจะกลวั วา่ ส่ิงน้นั ๆ หรือคนท่ีตนรักจะสูญหายหรือจากเขาไป โดยกฎธรรมชาติแลว้ ทุกสิ่ง ทุก อยา่ ง รวมท้งั มนุษยส์ ตั วย์ อ่ มตอ้ งเปล่ียนแปลงสูญสลายไปตาม สภาพ ของมนั เป็นแน่แท้ ถา้ บุคคลรู้ความจริงในขอ้ น้ี เขากจ็ ะละความรัก ความผกู พนั และความติดใจท่ีมีต่อสิ่งน้นั เสีย เพอ่ื วา่ เขาจะไม่ตอ้ งเศร้า โศก ไม่ตอ้ งกลวั อีกต่อไป
โคลงโลกนิติ ของสมเดจ็ ฯ กรมพระยาเดชาดิศร บทหน่ึงกล่าวไวว้ า่ การหนัก เมื่อไร้ ดูข้าดูเม่ือใช้ จวนชีพ ดูมติ รพงศารัก ว่าร้ายฤๅดี ดูเมยี เมื่อไข้จัก อาจจักรู้จติ ไว้
ตีความไดว้ า่ จะดูจิตใจขา้ ทาสมิตร และภรรยาวา่ ดีหรือไม่ ใหด้ ูจาก การกระทาของเขา ขยายความไดว้ า่ การดูจิตใจผใู้ ดวา่ ร้ายหรือไม่ ตอ้ งสงั เกตจากการ กระทาของคนผนู้ ้นั เช่น จะดูวา่ ขา้ ทาสมีความอดทนขยนั ขนั แขง็ หรือไม่ ใหส้ งั เกตเมื่อใชง้ านหนกั เพราะถา้ ต้งั ใจทางาน หมายความวา่ ขา้ ทาสน้นั ไม่ข้ีเกียจ จะดูเพือ่ นวา่ จริงใจหรือไม่ ใหด้ ูเมื่อเรา ยากไร้ เพราะเมื่อเราร่ารวยมีเพ่ือนฝงู มากมาย แต่เม่ือถึงคราวลาบาก มิตรแทเ้ ท่าน้นั ที่จะอยเู่ คียงขา้ งคอยปรนนิบตั ิดูแลสามี หรือไม่ เป็นตน้
เจอกนั บทเรยี นหนา้
Search
Read the Text Version
- 1 - 22
Pages: