Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การเขียนเพื่อการสื่อสาร

การเขียนเพื่อการสื่อสาร

Published by saithip, 2020-09-07 11:58:38

Description: การเขียนเพื่อการสื่อสาร

Search

Read the Text Version

การเขียนเพื่อการสื่อสาร

การเขียน การใชต้ วั อกั ษรเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอด ความรู้สึกนึกคิด เพ่ือบอกเล่า อธิบาย จูงใจ แสดง ความคิดเห็น ลอ้ เลียน เสนอข่าวสารหรือติดต่อกิจ ธุระต่างๆ



เรียงความคือ การนาเอาคามาประกอบแต่งเป็นเร่ืองราวอาจใชว้ ิธีการ เขียนหรือการพดู กไ็ ด้ การเขียน จดหมาย รายงาน ตอบคาถาม ขา่ ว บทความ ฯลฯ อาศยั เรียงความเป็นพ้ืนฐาน ท้งั น้นั ดงั น้นั การเขียน เรียงความจึงมีความสาคญั ช่วยใหพ้ ดู หรือเขียนในรูปแบบต่าง ๆ ได้ ดี นอกจากน้ีก่อนเรียงเขียนความเราตอ้ งคน้ ควา้ รวบรวมความรู้ ความคิด และ นามาจดั เป็นระเบียบ จึงเท่ากบั เป็นการฝึกสิ่งเหล่าน้ีใหก้ บั ตนเองไดอ้ ยา่ งดีอีกดว้ ย

องค์ประกอบของเรียงความ เรียงความเร่ืองหน่ึงประกอบดว้ ยส่วนสาคญั ๓ ส่วน คือส่วนนา ส่วนเน้ือเรื่องและส่วนทา้ ยหรือสรุป ส่วนนาเรื่อง จะเป็น ส่วนท่ีแสดงประเดน็ หลกั หรือจุดประสงคข์ องเร่ือง ส่วนเน้ือเร่ือง เป็น ส่วนขยายโครงเร่ืองที่วางเอาไว้ ส่วนน้ีจะประกอบดว้ ยยอ่ หนา้ หลายยอ่ หนา้ ส่วนทา้ ยของเร่ืองจะเป็นการเนน้ ย้าประเดน็ หลกั หรือจุดประสงค์

๑.การเขยี นส่วนนา ดงั ไดก้ ล่าวแลว้ วา่ ส่วนนาเป็นส่วนที่แสดงประเดน็ หลกั หรือจุดประสงคข์ องเร่ือง ดงั น้นั ส่วนนาจึงเป็นการบอกผอู้ ่านถึงเน้ือหาที่ นาเสนอและยงั เป็นการเร้าความสนใจใหอ้ ยากอ่าน เร่ืองจนจบ การ เขียน ส่วนนาเพอื่ เร้าความสนใจน้นั มีหลายวิธี แลว้ แต่ผเู้ ขียนจะเลือกตาม ความเหมาะสม อาจนาดว้ ยปัญหาเร่งด่วน หรือหวั ขอ้ ท่ีกาลงั เป็นเร่ืองท่ี น่าสนใจ คาถาม การเล่าเรื่องที่จะเขียน การยกคาพดู ขอ้ ความ หรือสุภาษิตที่ น่าสนใจ บทร้อยกรอง การอธิบายความเป็นมาของเร่ือง การบอกจุดประสงค์ ของการเขียน การใหค้ าจากดั ความ ของคาสาคญั ของเรื่องท่ีจะเขยี น แรง บนั ดาลใจ ฯลฯ

๒. การเขียนส่วนเนื้อเรื่อง เน้ือเร่ืองเป็นส่วนสาคญั ท่ีสุดของเรียงความ เพราะเป็นส่วนที่ตอ้ งแสดงความรู้ ความคิดเห็นใหผ้ อู้ ่านทราบตามโครงเร่ืองท่ี วางไว้ เน้ือเรื่องท่ีตอ้ งแสดงออกถึงความรู้ ความคิดเห็นอยา่ งชดั แจง้ มี รายละเอียดท่ีเป็นขอ้ เทจ็ จริงและมีการอธิบายอยา่ งเป็นลาดบั ข้นั มีการหยบิ ยก อุทาหรณ์ ตวั อยา่ ง ทฤษฎี สถิติ คากล่าว หลกั ปรัชญา หรือสุภาษิต คา พงั เพย ฯลฯ สนบั สนุนความรู้ความคิดเห็นน้นั เน้ือเร่ืองประกอบดว้ ยยอ่ หนา้ ต่างๆ หลายยอ่ หนา้ ตาม สาระสาคญั ท่ีตอ้ งการกล่าวถึงเปรียบกนั วา่ เน้ือ เร่ืองเหมือนส่วนลาตวั ของคนท่ีประกอบดว้ ย อวยั วะ ต่าง ๆ แต่รวมกนั แลว้ เป็นตวั บุคคล ดงั น้นั การเขียนเน้ือเรื่องถึงจะแตกแยกยอ่ ยออกไป อยา่ งไร จะตอ้ งรักษาสาระสาคญั ใหญ่ของเรื่องไว้

๓. การเขียนส่วนท้ายหรือส่วนสรุป ส่วนทา้ ยหรือส่วนสรุป ส่วนปิ ดเร่ืองเป็น ส่วนท่ีมีความสมั พนั ธ์เก่ียวเนื่อง กบั เน้ือหาส่วนอื่นๆ โดยตลอด และเป็นส่วน ท่ีบอกผอู้ ่านวา่ เรื่องราวที่เสนอมาน้นั ไดส้ ิ้นสุดลงแลว้ วธิ ีการเขียนส่วนทา้ ยมี ดว้ ยกนั หลายวิธี เช่น เนน้ ย้าประเดน็ หลกั เสนอคาถามหรือขอ้ คิด สรุป เร่ือง เสนอความคิดของผเู้ ขียน ขยายจุดประสงคข์ องผเู้ ขียน หรือสรุปดว้ ย สุภาษิต คาคม สานวนโวหาร คาพงั เพยอา้ งคาพดู ของบุคคล อา้ งทฤษฎี หลกั ศาสนา หรือคาสอนและ บทร้อยกรอง ฯลฯ

ข้ันตอนการเขียนเรียงความ การเลือกเร่ือง หากจะตอ้ งเป็นผเู้ ลือกเร่ืองเองแลว้ ควรเลือกตามความชอบ หรือ ความถนดั ของตนเอง การค้นคว้าหาข้อมูล อาจทาไดโ้ ดยการคน้ ควา้ จาก หนงั สือ นิตยสาร วารสาร อินเทอร์เน็ต หรือสื่ออ่ืน

วางโครงเร่ือง เมื่อไดห้ วั ขอ้ เรื่องแลว้ ตอ้ งวางโครงเรื่อง โดยคานึงถึงการจดั การ จดั ลาดบั หวั ขอ้ เร่ืองท่ีจะเขียนใหส้ มั พนั ธ์ ต่อเนื่องกนั เช่น จดั ลาดบั หวั ขอ้ ตามเวลาท่ีเกิด จดั ลาดบั หวั ขอ้ จากหน่วยเลก็ ไปสู่หน่วยใหญ่ จดั ลาดบั ตามความนิยม โครงเร่ืองของงานเขียนควรจดั หมวดหมู่ของแนวคิดสาคญั เพอื่ เป็น แนวทางในการเขียน โครงเร่ืองเปรียบเสมือนแปลนบา้ น ผสู้ ร้างบา้ นจะตอ้ งใช้ แปลนบา้ นเป็นแนวทางในการสร้างบา้ น การเขียนโครงเร่ืองจึงมีความสาคญั ทาใหผ้ เู้ ขียนเรียงความเขียนไดต้ รงตามจุดประสงคท์ ี่ต้งั ไว้ ถา้ ไม่เขียนโครง เร่ืองหรือไม่วางโครงเรื่อง เรียงความอาจจะออกมาไม่ตรงตามท่ีผเู้ ขียนตอ้ งการ

การเรียบเรียง ตามรูปแบบของเรียงความ ตามองคป์ ระกอบ คานา เน้ือเร่ือง และสรุป (บางคนอาจเขียนคานาหลงั สุดกไ็ ด้ เพ่ือหลีกเลี่ยงเน้ือหาที่ซ้าซอ้ น) การอ่านทบทวน เพอ่ิ หาขอ้ บกพร่อง และถา้ มีโอกาสควรใหผ้ อู้ ื่นอ่านและวิจารณ์ เพื่อนา คาแนะนาไปปรับปรุงแกไ้ ขเพ่ือเป็นเรียงความที่ดี



การเขียนบรรยาย ประสบการณ์ การเขยี นบรรยายประสบการณ์ การเขียนบรรยายประสบการณ์ เป็นการอธิบายเรื่องราวต่าง ๆ ตามลาดบั เหตุการณ์อยา่ งตรงไปตรงมา เพอื่ ใหผ้ อู้ ่านเขา้ ใจเรื่องและเกิด ความรู้สึกคลอ้ ยตามและเรื่องราวที่ผเู้ ขียนตอ้ งการเล่า การเขียนบรรยาย ประสบการณ์สามารถเขียนไดห้ ลายรูปแบบ เช่น เรียงความ จดหมาย บนั ทึก เป็นตน้ ซ่ึงผเู้ ขียนสามารถเลือกเขียนไดต้ ามความถนดั ของตน หรือความเหมาะสมกบั เหตกุ ารณ์

มหี ลกั การเขียน ดงั น้ี ๑.กาหนดหวั ขอ้ และขอบขา่ ยของเร่ืองที่จะเขียน โดยกาหนดหวั ขอ้ เรื่องท่ีตน มีประสบการณ์ และกาหนดขอบขา่ ยของเร่ืองวา่ จะเขียนในลกั ษณะใด และจะเขียนใน แนวใด ๒.เร่ืองน้นั เป็นเรื่องท่ีน่าสนใจ นอกจากจะใหค้ วามรู้ ความคิดอนั เป็น ประโยชน์แก่ผอู้ า่ นแลว้ ยงั ทาใหผ้ อู้ ่านไดแ้ ง่คิดและเกิดความเพลิดเพลิน ๓.แสดงขอ้ เทจ็ จริง เช่น เขียนขอ้ มูลตา่ ง ๆ อยา่ งถูกตอ้ งชดั เจน ตลอดจน รวบรวมความคิด ความทรงจาเพอื่ เอ้ือตอ่ การเขียน ๔. วางโครงเร่ือง เช่นเดียวกนั กบั การเขียนเรียงความ ๕. ควรใชภ้ าษาใหเ้ ร้าความสนใจ น่าติดตามอ่าน ใชภ้ าษาท่ีเขา้ ใจง่าย เหมือนการเล่าเร่ืองธรรมดา ทาใหผ้ อู้ า่ นไม่เกิดความเครียดและรู้สึกเป็นกนั เองกบั ผเู้ ขียน

การเขยี นแนะนาตนเอง การเขียนแนะนาตนเอง เป็นการเขียนบอกเล่าขอ้ มูลเกี่ยวกบั ตวั ของเราเอง หรือแนะนาตวั เองใหผ้ อู้ ื่นรู้จกั ไดท้ ราบเก่ียวกบั ตวั เราโดยยอ่ โดยไม่ตอ้ ง แนะนา หรือซกั ถามบ่อยๆ วา่ เราเป็นใคร มาจากไหน ซ่ึงตอ้ งสื่อสารโดยใช้ ถอ้ ยคาใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสมกบั ผอู้ ่าน รวมถึงมีความชดั เจน และสละสลวย

แนวทางการเขยี นแนะนาตวั เอง 1. การข้ึนตน้ เหมือนการเปิ ดตวั ควรใหเ้ ป็นท่ีประทบั ใจ 2. บอกชื่อ นามสกลุ ชื่อเลน่ 3. บอกวนั เดือน ปี เกิด สถานที่เกิด (จงั หวดั หรือประเทศ) 4. สถานภาพทางครอบครัว หรือสมาชิกในครอบครัว มีกี่คน เป็นบุตรคนท่ีเท่าไร 5. การศึกษา เรียนจบทางดา้ นใด หรือเคยเรียนท่ีโรงเรียนไหนก่อนจะมาเรียนที่ปัจจุบนั 6. ส่ิงท่ีชอบ ส่ิงที่สนใจ ความสามารถพเิ ศษ งานอดิเรก เช่น ร้องเพลง วาดรูป ชอบเลน่ กีฬา อะไร เป็นตน้ หรืออาจจะเพ่มิ เรื่องอาหารท่ีชอบ แนวภาพยนตร์ที่ชอบกไ็ ด้ 7. คติเตือนใจ อะไรเป็นส่ิงยดึ มนั่ ในการดาเนินชีวิต มีคาสอนของใครท่ีตวั เองยดึ ถือเป็นคติ ประจาใจ 8. การลงทา้ ย อาจยกบทกลอน บทกวี วาทะของบุคคลสาคญั ที่คิดวา่ เกี่ยวเนื่องกบั ตวั เรามาเป็น บทสรุปใหเ้ กิดความประทบั ใจได้

การเขียนแนะนาสถานท่ี การเขียนแนะนาสถานท่ี หมายถึง การเขียนบรรยายประเภทหน่ึง ที่มีการ บรรยายถึงลกั ษณะ รูปทรง สภาพแวดลอ้ ม และรายละเอียดต่าง ๆ ของ สถานที่ เพื่อใหข้ อ้ มูลเกี่ยวกบั สถานที่แก่ผอู้ ่าน หากเป็นสถานท่ี ท่องเท่ียว การเขียนแนะนาสถานท่ีจะมีการบรรยายถึงสถานที่ในลกั ษณะที่เป็นการ ชกั ชวนใหผ้ อู้ ่านเดินทางไป ท่องเท่ียวยงั สถานที่น้นั ๆ ดว้ ย

หลกั การเขียนแนะนาสถานท่ี ๑. บอกชื่อสถานท่ี ๒. บอกที่ต้งั สถานท่ีอ่ืน ๆ ท่ีอยใู่ กลเ้ คียง ๓. บอกรายละเอียดต่าง ๆ ท่ีเป็นขอ้ มูลพ้นื ฐานของสถานท่ี ๔. บรรยายลกั ษณะของรูปทรง สีและสภาพแวดลอ้ ม ๕. บรรยายความรู้สึกเมื่อไดม้ าอยใู่ นสถานที่น้นั เช่น รู้สึกสดชื่นเป็นที่ที่มี อากาศเยน็ สบาย ๖. บอกขอ้ เสนอแนะ เช่น ขอ้ ควรปฏิบตั ิเม่ือเดินทางไปยงั สถานท่ีน้นั ๆ

ข้อควรคานึงในการเขยี น ๑. ใชภ้ าษาเขียนท่ีกระชบั ไดใ้ จความ ชดั เจน ๒. ๒. ใชถ้ อ้ ยคาใหถ้ ูกตอ้ ง เหมาะสมในเชิงแนะนาไม่บงั คบั ข่เู ขญ็ มีความ สุภาพ นุ่มนวล และไม่มีอคติ โดยแสดงถึงความจริงใจ ๓. แสดงเหตุผลประกอบ หรือยกตวั อยา่ งเพ่อื ใหเ้ กิดความน่าเชื่อถือมากข้ึน

การเขยี นบนสื่อ อิเล็กทรอนกิ ส์ การเขียนบนส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ การเขียนบนส่ืออิเลก็ ทรอนิกส์ หมายถึง กระบวนการ การสื่อสารท่ีถ่ายทอดสารจากผสู้ ่งสารไปยงั ผรู้ ับสาร โดยผา่ นสื่อประเภทตา่ ง ๆ ในการ อยรู่ ่วมกนั ของสงั คมยอ่ มมีการส่ือสารเพือ่ สร้างความเขา้ ใจอนั ดีต่อ กนั ระหวา่ งสมาชิก ภายในกลุม่ การส่ือสารจึงเป็นกลไกสาคญั ที่ทาใหม้ นุษยด์ าเนินกิจกรรมต่าง ๆ ใน สังคมได้ อยา่ งราบรื่นและสมั ฤทธ์ิผล การส่ือสารจึงเป็นเร่ืองส าคญั หากมีการสื่อสาร ผดิ พลาดใชภ้ าษาผดิ ระดบั ใช้ ขอ้ ความพาดพิงถึงผอู้ ่ืนโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ยอ่ ม ก่อใหเ้ กิดความเสียหายต่อผสู้ ่งสารไดโ้ ดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การสื่อสารผา่ นส่ือ อิเลก็ ทรอนิกส์ ที่ขอ้ มูลตา่ ง ๆ จะเผยแพร่ถึงกนั ไดภ้ ายในระยะเวลาอนั รวดเร็ว

แนวทางการเขยี นบนสื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ๑. ใชค้ าใหเ้ หมาะสม ควรเลือกใชภ้ าษาเขียนที่สื่อความหมายไดอ้ ยา่ งชดั เจน ๒. ใชภ้ าษาเขียนใหเ้ หมาะสมกบั กาลเทศะ และระดบั ของผรู้ ับสาร ๓. ผเู้ ขียนควรเลือกใชถ้ อ้ ยค าที่สุภาพหลีกเลี่ยงการใชถ้ อ้ ยค าหรือขอ้ ความท่ีมีความ หมายถึงแฝงหรือมี นยั ท าใหต้ ีความในแง่ลบ ๔. ไม่ควรใชภ้ าษาพดู ในการเขียนโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เม่ือตอ้ งส่ือสารกบั บุคคลทว่ั ไปไม่ เฉพาะเจาะจงซ่ึง ไม่ทราบแน่ชดั วา่ ผอู้ ่านเป็นใครควรใชเ้ ป็นภาษาเขียนใหถ้ ูกตอ้ ง เช่น ยงั ไง ควรใช้ อยา่ งไร เยอะแยะ ควรใช้ มากมาย นิดหน่อย ควรใช้ เลก็ นอ้ ย



การเขยี นย่อความ การยอ่ ความคือการนาเอาเร่ืองราวต่างๆมาเขียนใหม่ ดว้ ยสานวนภาษาของผู้ ยอ่ เองเม่ือเขียนแลว้ เน้ือควาวมเดิมจะส้นั ลง แต่ยงั มีใจความสาคญั ครบถว้ นสมบูรณ์ การยอ่ น้ีไม่มีขอบเขตวา่ ยอ่ ลงไป เท่าใดจึงจะเหมาะเพราะ บางเรื่องมีพลความมากกย็ อ่ ลง ไปมาก แต่บางเร่ืองมีใจความมาก กจ็ ะยอ่ ได้ 1 ใน2,1 ใน3 หรือ1 ใน4 ของเร่ืองเดิม ตามแต่ผยู้ อ่ จะ เห็นสมควร

ใจความ คือ ขอ้ ความสาคญั ในบทพูดและบทเขียน พลความ ทาหนา้ ที่ขยายใจความใหช้ ดั เจนยงิ่ ข้ึน ถา้ ตดั ออกผฟู้ ังหรือผอู้ ่านก็ ยงั เขา้ ใจเรื่องน้นั ได้ วธิ ีหาใจความ คือ พจิ ารนาบทพดู หรือบทเขียน วา่ ถา้ ตดั ขอ้ ความใดออกแลว้ ความตอนตน้ เรื่องจะเสียหมด ขอ้ ความน้นั คือใจความ

ย่อความ คือ การเลือกเฉพาะเน้ือความท่ีสาคญั ตอ้ งมีช่ือเรื่อง คานา ตามประเภทของ ขอ้ ความ เช่น ข่าวเร่ือง.........................จาก .......................... ความวา่ .................................................... จดหมาย..................ของ...................ถึง................... ลง วนั ท่ี.....................ความวา่ ............................... ประกาศของ....................เร่ือง................แก่...................... เมื่อ....................ความวา่ ............................... นอกจากน้ีหลกั การยอ่ ความยงั ตอ้ งเปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่ ๑ และ ๒ ใหเ้ ป็น ๓ และ ควรเรียบเรียงสาระสาคญั ในแต่ละยอ่ หนา้ ตามสานวนของผยู้ อ่ เอง

หลกั การย่อความ 1. เขียนคานาตามประเภทของเร่ือง 2. อ่านเร่ืองท้งั หมดอยา่ งละเอียด อ่านถึง2-3 เที่ยว เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจเร่ืองใหต้ ลอด 3. ทาความเขา้ ใจศพั ทส์ านวน โวหารในเรื่อง 4. ถา้ เร่ืองท่ีจะยอ่ เป็นร้อยกรองตอ้ งถอดคาประพนั ธเ์ ป็นร้อยแกว้ ก่อนจึงยอ่ 5. สังเกตใจความสาคญั แลว้ แยกออกเป็นตอนๆ 6. สรรพนามบุรษท่ี1,2 ตอ้ งเปล่ียนเป็นบุรุษท่ี3 หรือเอ่ยชื่อ 7. ถา้ คาเดิมเป็นคาราชาศพั ทใ์ หค้ งไว้ 8. ขอ้ ความที่เป็นคาพดู ในเครื่องหมายอญั ประกาศตอ้ งเขียนใหม่ซ่ึงเรียกวา่ เปลี่ยน เลขในเป็นเลขนอก 9. เรื่องที่จะยอ่ ถา้ ไม่มีช่ือเร่ืองผยู้ อ่ ตอ้ งต้งั ช่ือเร่ืองเอง

ประโยชน์ของการย่อความ 1. ช่วยใหก้ ารอ่านการฟังไดผ้ ลดียง่ิ ข้ึน ช่วยใหเ้ ขา้ ใจและจดจาขอ้ ความท่ีสาคญั ที่ไดอ้ ่าน หรือฟังไดส้ ะดวกรวดเร็ว 2. ช่วยในการจดบนั ทึก เมื่อไดฟ้ ังหรือศึกษาวชิ าใด รู้จกั จดขอ้ ความที่สาคญั ลง ในสมุด ไดท้ นั เวลาและไดเ้ รื่องราว 3. ช่วยในการเขียนตอบแบบฝึกหดั หรือขอ้ สอบ 4. ช่วยเตือนความจานกั เรียนอ่านหนงั สือแลว้ ทาบทยอ่ เป็นตอนๆ จะช่วยให้ ไม่ตอ้ งอ่าน หนงั สือซ้า 5. ช่วยประหยดั เงินในการเขียนขอ้ ความในโทรเลขถา้ รู้จกั ยอ่ ความ



การเขยี นจดหมาย เป็นวธิ ีการท่ีนิยมใชเ้ พื่อสื่อสารแทนการพดู เมื่อผรู้ ับและผสู้ ่งอยหู่ ่างไกลกนั หรือมี ความจาเป็นบางประการที่ทาใหไ้ ม่ สามารถพดู จากนั ได้ นอกจากน้ี จดหมายยงั ใชเ้ ป็นส่ือสมั พนั ธร์ ะหวา่ งบุคคล ท่ีไม่รู้จกั กนั และจดหมายอาจใชเ้ ป็นเอกสารสาคญั สาหรับอา้ งเป็นหลกั ฐาน ไดอ้ ีกดว้ ย

จุดมุ่งหมายของการเขยี นจดหมาย ๑. เพื่อสื่อสารแทนการพดู ๒. เพื่อเป็นสื่อสมั พนั ธ์ระหวา่ งบุคคลที่ไม่รู้จกั กนั ๓. เพอื่ เป็นเอกสารสาคญั สาหรับอา้ งเป็นหลกั ฐาน จดหมายเป็นวิธีการ ติดต่อสื่อสารโดยท่ีเจา้ ตวั ไม่ตอ้ งเป็นผตู้ ิดต่อเอง การเขียนจดหมาย จาเป็นที่จะตอ้ งใชภ้ าษา ใหถ้ ูกตอ้ ง และใชถ้ อ้ ยคาท่ีชดั เจนและแจ่ม แจง้ จะไดไ้ ม่เป็นปัญหากบั ผอู้ ่าน

๑.จดหมายส่วนตัว เป็นจดหมายที่เขียนกนั ในวงศญ์ าติสนิท มิตร สหาย และบุคคลที่ รู้จกั คุน้ เคย เพอ่ื ส่ง ขา่ วคราวไตถ่ ามทุกขส์ ุข แสดงความรักความระลึกถึงที่มีต่อกนั หรือเล่า เรื่องราวเหตุการณ์ท่ีน่ารู้น่าสนใจ ใหฟ้ ัง ตลอดจนขอความช่วยเหลือซ่ึงกนั และกนั เป็นการ ติดตอ่ กนั อยา่ งไม่เป็นทางการ ภาษาและสานวนท่ี ใชไ้ ม่เคร่งครัด ภาษาท่ีใชใ้ นหนงั สือ ราชการและจดหมายธุรกิจ การเขียนคาข้ึนตน้ ลงทา้ ย จดหมายส่วนตวั ไม่มีกฎเกณฑต์ ายตวั แตค่ วรระมดั ระวงั และเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั บุคคลท่ีจะเขียนถึง

๒. จดหมายกจิ ธุระ เป็นจดหมายระหวา่ งบุคคลท่ีติดตอ่ ส่ือสารกนั ดว้ ยกิจธุระ เช่น การติดตอ่ สอบถาม การบอกขายหรือแจง้ รายการสินคา้ การเตือน การทวงถาม การ แจง้ ข่าวสาร ๔. จดหมายราชการ ตามระเบียบงานสารบรรณซ่ึงเป็น “ระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีวา่ ดว้ ยงานสาร บรรณ พ.ศ.2556” ใหเ้ รียกเอกสารประเภทน้ีวา่ หนงั สือราชการ ซ่ึงหมายถึง เอกสารที่เป็นหลกั ฐานทาง ราชการ มีรายละเอียดดงั น้ี ▪ หนงั สือที่มีไปมาระหวา่ งส่วนราชการ ▪ หนงั สือที่ส่วนราชการมีไปถึงหน่วยงานอ่ืน ซ่ึงมิใช่ส่วนราชการหรือท่ีมีไปถึง บุคคลภายนอก ▪ หนงั สือที่หน่วยงานอื่นใดมิใช่ส่วนราชการหรือบุคคลภายนอกมีมาถึงส่วนราชการ ▪ เอกสารท่ีทางราชการจดั ทาข้ึนเพื่อเป็นหลกั ฐานในราชการ ▪ เอกสารท่ีทางราชการจดั ทาข้ึนตามกฎหมาย ระเบียบ หรือขอ้ บงั คบั การเขียน จดหมายทุกแบบยอ่ มเพง่ เลง็ เร่ืองความมีระเบียบของรูปแบบ สานวน โวหาร และ การใชภ้ าษาท่ี ถูกตอ้ ง ตลอดจนความสะอาดเป็นสาคญั

มารยาทในการเขยี นจดหมาย 1. ใชก้ ระดาษและซองสีสุภาพ สะอาดเรียบร้อย ที่มีขนาดมาตรฐาน 2. เขียนตวั หนงั สือ ตวั เลขใหช้ ดั เจน ควรเขียนดว้ ยปากกาสีดาหรือสีน้าเงินเท่าน้นั 3. ไม่ควรใชภ้ าษาพดู ในการเขียน 4. ใชค้ าข้ึนตน้ และคาลงทา้ ยใหเ้ หมาะสมตามธรรมเนียม 5. เขียนจดหมายเสร็จแลว้ ตอ้ งพบั ใหเ้ รียบร้อย 6. ไม่ควรสอดธนบตั รหรือส่ิงของมีค่าลงไปในซองจดหมาย 7. เขียนคานาหนา้ ช่ือผรู้ ับบนจ่าหนา้ ใหถ้ กู ตอ้ ง ตามความนิยมและความเหมาะสม เช่น คุณ , นายแพทย์ , อาจารย์ , หรือยศทางทหาร



การเขยี นรายงาน คือการเขียนเสนอผลงานอนั ไดม้ าจากการศึกษา คน้ ควา้ พเิ ศษนอกเหนือจากเร่ืองที่ไดศ้ ึกษาในช้นั เรียนเพอื่ ส่งเสริมให้ ผเู้ รียนรู้จกั แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง รูปแบบของรายงาน รูปแบบของการรายงาน แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนประกอบ ตอนตน้ ส่วนเน้ือหา และส่วนประกอบตอนทา้ ย ดงั น้ี

ส่ วนประกอบตอนต้น หนา้ ปกรายงาน ควรเขียนดว้ ยรายมือตวั บรรจง ส่วนบนเขียนชื่อเรื่อง ส่วนกลางช่ือ ผรู้ ายงาน ส่วนล่างบรรทดั แรกใหเ้ ขียนวา่ “ รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของการศึกษา วิชา… ” บรรทดั ที่สองเป็นชื่อสถาบนั ศึกษา ส่วนบรรทดั ท่ีสามบอกภาคท่ีเรียนและ ปี การศึกษา คาขอบคุณ เป็นส่วนท่ีไม่บงั คบั อาจมีหรือไม่มีกไ็ ด้ คานา เป็นการบอกขอบขา่ ยของเร่ือง สาเหตุที่ทาใหเ้ ลือกทารายงานเร่ืองน้ี จุดมุ่งหมาย ในการเขียน สารบญั หมายถึง บญั ชีบทต่าง ๆ ในสารบญั มีบทและตอนตา่ ง ๆ เรียงตามลาดบั กบั ท่ี ปรากฏในหนงั สือ ตลอดจนการขอบคุณผทู้ ี่ช่วยเหลือในการทารายงาน บญั ชีตารางหรือภาพประกอบ (ถา้ มี) เพื่อใหม้ ีเน้ือหาที่สมบูรณ์ยง่ิ ข้ึน รายงานบาง เรื่องอาจตอ้ งใชต้ าราง นิยมทาบญั ชีตารางหรือบญั ชีภาพประกอบไวใ้ นหนา้ ถดั ไปจาก สารบญั

ส่ วนเนื้อเรื่ อง ส่วนท่ีเป็นเน้ือหา ตอ้ งมีตอนนา ตอนตวั เร่ือง และตอนลงทา้ ย เช่นเดียวกบั การเขียนเรียงความ ส่วนประกอบในเน้ือหา ไดแ้ ก่ •อญั ประกาศ คือขอ้ ความท่ีคดั มาจากคาพดู หรือขอ้ เขียนของ ผอู้ ื่น โดยไม่ไดด้ ดั แปลง •เชิงอรรถ คือขอ้ ความทา้ ยหนา้ มีไวเ้ พือ่ แจง้ ท่ีมาของขอ้ ความ ในตวั เร่ือง

ส่ วนประกอบตอนท้าย บรรณานุกรม คือ รายชื่อสิ่งพมิ พต์ ลอดจนวสั ดุอา้ งอิงทุกชนิด ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การทารายงาน พมิ พไ์ ว้ ตอนทา้ ยสุดของรายงาน การเขียนบรรณานุกรม ตอ้ ง บอกช่ือสกลุ ผแู้ ตง ชื่อหนงั สือ คร้ังท่ีพมิ พ์ เมืองที่พิมพ์ สานกั พิมพ์ ปี ที่พิมพ์ จานวนหนา้ ภาคผนวกหรืออภิธานศพั ท์ คือ ส่วนท่ีนามาเพิม่ เติมทา้ ยรายงานเพอื่ ใหผ้ อู้ ่าน เขา้ ใจแจ่มแจง้ ยง่ิ ข้ึน

ข้นั ตอนในการทารายงาน 1. การเลือกเรื่อง การเลือกเรื่องในการทารายงานทางวิชาการน้นั ควรพจิ ารณา จากความสาคญั ของเรื่อง ความสนใจ และความสามารถของผทู้ ารายงาน 2. การวางโครงเร่ือง คือการกาหนดขอบขา่ ยของรายงานเอาไวอ้ ยา่ งคร่าวๆ 3. การรวบรวมขอ้ มูล ขอ้ มูลท่ีนามาประกอบในการทารายงานทางวิชาการมี 2 ลกั ษณะคือ ก. ขอ้ มูลภาคเอกสาร (Documentary Data) หมายถึง หนงั สือและ เอกสารตา่ งๆ ท่ีมีขอ้ มูลที่ถูกตอ้ งและเชื่อถือได้ ข. ขอ้ มูลภาคสนาม (Field Data) หมายถึง ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสัมภาษณ์ การสอบถามและการสงั เกต

4. การบนั ทึกขอ้ มูล คือ การนาขอ้ มูลที่ไดม้ าท้งั หมด มาจดั เป็นหมวดหมู่ เพือ่ สะดวก แก่การศึกษาคน้ ควา้ วธิ ีการบนั ทึกขอ้ มูลที่นิยมใชม้ ากคือ การบนั ทึกลงกระดาษ บนั ทึก ในการบนั ทึกขอ้ มูลควรบนั ทึกดงั น้ี 4.1 บนั ทึกแหลง่ ที่มาของขอ้ มูล 4.2 บนั ทึกขอ้ มูล 5. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล คือ การนาขอ้ มูลที่ไดม้ าท้งั หมดมาพจิ ารณาวา่ น่าเชื่อถือ มากเพยี งใด ถูกตอ้ ง และเป็นจริงในปัจจุบนั หรือไม่ โดยพิจารณาจากเหตุผล และขอ้ มูลท่ีปรากฏเป็นเกณฑ์ 6. การเสนอผลของรายงาน คือ การนาขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการวิเคราะห์มาเรียบเรียงให้ เป็ นรายงานทางวิชาการที่สมบูรณ์



โครงงาน หมายถึง การศึกษาเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงท่ีนกั เรียนเป็นผศู้ ึกษา คน้ ควา้ และลงมือปฏิบตั ิดว้ ยตนเอง โดยอาศยั วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ภายใต้ คาแนะนาปรึกษาและดูแลของครูอาจารยท์ ี่ปรึกษา โดยอาจใช้ เครื่องมือและ อุปกรณ์ต่าง ๆ ช่วยในการศึกษา เพอื่ ใหก้ ารศึกษาคน้ ควา้ น้นั บรรลุตาม วตั ถุประสงคม์ ีผลในการ พฒั นาทกั ษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์การ สร้างเสริมเจตคติทางวทิ ยาศาสตร์

โครงงานมี 4 ประเภท -โครงงานสารวจ รวบรวมขอ้ มูล -โครงงานคน้ ควา้ ทดลอง -โครงงานศึกษาคน้ ควา้ คิดคน้ ทฤษฎีหรือแนวคิดใหม่ๆ -โครงงานสิ่งประดิษฐ์

โครงงานสารวจ รวบรวมข้อมูล เป็นโครงงานท่ีมีวตั ถุประสงคเ์ พอ่ื สารวจและรวบรวมขอ้ มูล นามาเขา้ กระบวนการจาแนกออกเป็นหมวดหมู่ และนาเสนออยา่ งมี แบบแผน ท้งั น้ี จุดท่ีสาคญั กค็ ือตอ้ งช้ีใหเ้ ห็นถึงความสมั พนั ธ์ของ ขอ้ มูลท่ีไดส้ ารวจและรวบรวมมาได้ โครงงานค้นคว้าทดลอง เป็นโครงงานที่ตอ้ งการศึกษาเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงจากการทดลอง ตอ้ งทาการศึกษาวา่ ตวั แปรหน่ึงๆ มีผลกบั อีกตวั แปรหน่ึงอยา่ งไร และ มีการควบคุมตวั แปรอื่นๆ อยา่ งเคร่งครัด มีระเบียบแบบแผนในการทา โครงงานอยา่ งชดั เจน

โครงงานศึกษาค้นคว้าคดิ ค้นทฤษฎหี รือแนวคดิ ใหม่ๆ เป็นโครงงานที่ตอ้ งการนาเสนอแนวคิดหรือทฤษฎีใหม่ท่ียงั ไม่ เคยมีใครคิดมาก่อน หรือวา่ นาเสนอหลกั ฐานใหม่เพอื่ แยง้ หรือขยาย ความทฤษฎีที่มีอยเู่ ดิม ซ่ึงจะตอ้ งผา่ นการพสิ ูจน์มาอยา่ งชดั เจน โครงงานส่ิงประดิษฐ์ เป็นโครงงานท่ีมีวตั ถุประสงคใ์ นการนาความรู้และทฤษฎีต่างๆ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการสร้างผลงานใหเ้ ห็นเป็นรูปธรรมชดั เจน ท้งั น้ี อาจ เป็นการคิดคน้ ส่ิงประดิษฐข์ ้ึนใหม่ท้งั หมด หรือเป็นการแกไ้ ขปรับปรุง ส่ิงที่มีอยเู่ ดิมใหม้ ีประสิทธิภาพมากข้ึนกไ็ ด้

องค์ประกอบการเขยี นโครงงาน ส่ วนนา ๑ ปกหนา้ ประกอบดว้ ย ชื่อเร่ือง ผทู้ าโครงงาน อาจารยท์ ี่ปรึกษา ๒ บทคดั ยอ่ มกั เขียนส้นั ๆ โดยมีจุดมุ่งหมายใหผ้ อู้ ่านไดอ้ ่านเน้ือเร่ืองยอ่ ๆ ก่อนการอ่านผล การศึกษาท้งั ฉบบั ๓ สารบญั (รวมถึงสารบญั ตารางและสารบญั ภาพ (ถา้ มี)) ๔ กิตติกรรมประกาศ การขอบคุณบุคคลหรือหน่วยงานที่ใหค้ วาม ช่วยเหลือหรือมีส่วน เกี่ยวขอ้ ง

ส่ วนเนื้อหา โดยทวั่ ไปแบ่งออกเป็น ๕ บท ดงั น้ี บทที่ ๑ : บทนา ประกอบดว้ ยหลกั การและเหตุผล วตั ถุประสงคข์ อบเขต สมมติฐาน ประโยชน์ บทที่ ๒ : เอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง เป็นเอกสารขอ้ มูลท่ีช่วยใหเ้ ห็นภาพของ ปัญหาไดเ้ ด่นชดั ยง่ิ ข้ึน ในการเขียนควรเลือกเฉพาะเรื่อง ที่สาคญั และมีความสมั พนั ธก์ บั ปัญหา บทท่ี ๓ : วธิ ีดาเนินงาน อาจเขียนเป็นตาราง แผนผงั โครงงานเพือ่ ให้ ดาเนินงานเป็นไปตามหวั ขอ้ เรื่อง ตรงตามวตั ถุประสงค์

บทที่ ๔ : วิเคราะห์ขอ้ มูล โดยนาขอ้ มูลท่ีไดม้ าจดั หมวดหมู่ จาแนกแยกแยะ ตามวตั ถุประสงคข์ องโครงงานน้นั ๆ บทท่ี ๕ : สรุปผลและขอ้ เสนอแนะ เป็นการอภิปรายคาตอบท่ีไดจ้ าก การศึกษา คน้ ควา้ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงคท์ ่ีศึกษา รวมท้งั ใหเ้ สนอแนะ เพื่การศึกษาโครงงานอ่ืนๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั เรื่องที่ศึกษาต่อไป

ส่ วนท้าย ๑) บรรณานุกรม เป็นเอกสารที่ใชค้ น้ ควา้ เก่ียวขอ้ งกบั ปัญหาท่ีตอ้ งการ ศึกษามีหลายประเภท เช่น หนงั สือ ตารา บทความ โดยเอกสารท่ี นามาอา้ งอิงควรบอก

๒) ภาคผนวก เป็นส่วนที่ทาใหข้ อ้ มูลมีรายละเอียดมากข้ึน เช่น ภาพกิกรรม แบบสอบถาม บทสมั ภาษณ์ เป็นตน้ การเขียนเรียงรายงานโครงงานตอ้ งใช้ ความรอบคอบและความละเอียด เม่ือเขียนรายงาน โครงงานเสร็จแลว้ จึงมีการ ทบทวนสิ่งท่ีเขียน อาจทบทวนดว้ ยตนเองหรือผอู้ ่ืนแลว้ นาขอ้ เสนอแนะมา ปรับปรุง แกไ้ ขเพ่ือใหผ้ ลงานที่ออกมาน้นั มีคุณคา่ การทาโครงงานสามารถทา ไดท้ ุกระดบั การศึกษา ซ่ึงอาจทาเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มกไ็ ด้ ท้งั น้ีข้ึนอยกู่ บั ลกั ษณ์ของโครงงาน อาจเป็นโครงงานเลก็ ๆ ท่ีไม่ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นเป็นการเริ่มตน้ เพอื่ เป็นพ้ืนฐาน สาคญั ในการทาโครงงานท่ีดีต่อไป


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook