Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชารักษ์ท้องถิ่น_พว 32018

วิชารักษ์ท้องถิ่น_พว 32018

Published by Kanitta Chuawcharoen, 2020-01-23 17:03:07

Description: รักษ์ท้องถิ่น ความหมาย ระบบนิเวศ กลุ่มสิ่งมีชีวิต ประชากร ที่อยู่อาศัย องค์ประกอบของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์และการปรับตัวของสิ่งมีชีวิต การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศน้ำจืด ระบบนิเวศในนาข้าว ระบบนิเวศน้ำเค็ม การวางแผนเขียนโครงการและ
วิธีการสำรวจระบบนิเวศในท้องถิ่น แนวทางการอนุรักษ์และเฝ้าระวังระบบนิเวศในท้องถิ่น

Search

Read the Text Version

คำนำ ศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอำเภอคลองหลวงได้จัดทำเอกสาร ประกอบการเรียนฉบับนใ้ี นรปู แบบบทเรียนสำเร็จรูป เพ่อื ใหค้ รผู ู้สอนและนักศกึ ษาได้ใชเ้ พอ่ื ศึกษา หาความรู้ และทำกิจกรรม พร้อมทัง้ การวัดผลประเมินผลหรอื ทดสอบผลการเรียนรู้ดว้ ยตนเองตามมาตรฐานการเรียนรู้ สาระ เนื้อหารายวิชาเลือกในหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ใน ขณะเดียวกันทั้งครูและผู้เรียนยังสามารถใช้ในการจัดการเรียนการสอนแบบพบกลุ่มและหรือการศึกษาด้วย ตนเองโดยการศึกษาผ่านเครือข่าย internet หรือสื่อเทคโนโลยใี นรปู แบบต่างๆเช่น CD-Rom เพื่อสะดวกแก่ การเรียนรู้ของผู้เรียน การจัดทำเอกสารประกอบการเรียนฉบับนี้เกิดจากผู้บริหาร คณะข้าราชการและครู กศน อำเภอคลองหลวงทุกท่านได้ร่วมกันเป็นผู้เรียบเรียง จัดทำขึ้น โดยมีผู้อำนวยการเป็นผู้ให้ความรู้ เป็นผู้วาง แนวทางและการเรียงลำดับเนื้อหา กิจกรรม แบบทดสอบ และคณะครูได้ร่วมกันจัดรูปเล่มใหง้ ่ายและสะดวก แก่การใช้ของครูทั้งในรูปแบบเอกสาร รูปแบบ online หรือ CD-Rom โดยมีการจัดประชุมปฏิบัติการจัดทำ บทเรียนสำเรจ็ รูปรายวิชาเลือกทงั้ ระดบั ประถมศึกษา,มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ และตอนปลาย รวม 8 รายวชิ าเลือก ในภาคเรยี นที่ 1/2554 จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการเรียนในรูปแบบบทเรียนสำเร็จรูปฉบับนี้จะเป็น ประโยชน์ตอ่ การศกึ ษา เรียนรู้ ของนกั ศกึ ษาและจัดการเรียนการสอนของครตู ่อไป ศนู ย์การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อำเภอคลองหลวง ตุลาคม 2562

สารบญั หนา้ คำนำ 1-11 สารบัญ ความหมาย ระบบนิเวศ กลุ่มส่ิงมชี ีวติ ประชากร ที่อยูอ่ าศัย 12-15 15-16 องค์ประกอบ ความสมั พนั ธ์ การปรับตัวของสง่ิ มชี ีวิต การถ่ายทอด พลังงานในระบบนเิ วศ 16-17 เรือ่ งท่ี 1 ระบบนเิ วศปา่ ไม้ ปา่ บุง ป่าทาม ปา่ พรุ ป่าชายหาด ปา่ ชายเลน 18 เร่ืองท่ี 2 ระบบนเิ วศน้ำจืด หนอง คลอง บงึ 19-26 เรือ่ งท่ี 3 ระบบนิเวศน้ำเค็ม หาดทราย หาดเลน หาดโคลน หาดหิน ชายฝงั่ ทะเล 27-36 เรอื่ งท่ี 4 ระบบนเิ วศในนาขา้ ว 37 38-39 การวางแผนเขียนโครงการและ วิธกี ารสำรวจระบบนเิ วศในทอ้ งถิน่ 40 แนวทางการอนรุ ักษ์และเฝ้าระวังระบบนเิ วศในทอ้ งถิน่ บรรณานุกรม คำสงั่ แตง่ ตั้งคณะทำงาน คณะผู้จดั ทำ

โครงสร้างรายวิชา รักษ์ท้องถ่นิ (พว3218) สาระความรพู้ ้นื ฐาน (วิทยาศาสตร)์ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย จำนวน 2 หนว่ ยกติ (80 ชัว่ โมง) มาตรฐานการเรียนรรู้ ะดับ มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเห็นคุณค่าเกยี่ วกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สงิ่ มีชวี ติ ระบบนเิ วศ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม ในท้องถิน่ ประเทศและโลก สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปล่ียนแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มจี ติ วิทยาศาสตรแ์ ละนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์ในการดำเนนิ ชวี ติ ตัวชว้ี ัด 1. อธบิ ายความหมาย ระบบนิเวศ กลุ่มส่งิ มชี วี ติ ประชากร ทอ่ี ยอู่ าศัย ได้ 2. อธบิ ายความสัมพันธ์ การปรับตวั ของสง่ิ มชี ีวติ การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ 3. อธบิ ายระบบนิเวศตา่ ง ๆ และเขียนแผนผงั หรือ แผนภูมิการถ่ายทอด พลังงานในระบบนเิ วศได้ 4. วางแผน สำรวจ นำเสนอระบบนเิ วศในท้องถิ่น 5. จัดทำและดำเนินการโครงการหรอื โครงงาน อนุรักษแ์ ละเฝ้าระวงั ระบบนิเวศในท้องถิน่ 6. เผยแพร่ผลการดำเนินโครงการหรอื โครงงาน สาระสำคญั รักษ์ท้องถิ่น ความหมาย ระบบนิเวศ กลุ่มสิ่งมีชีวิต ประชากร ที่อยู่อาศัย องค์ประกอบ ของระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธแ์ ละการปรบั ตวั ของสง่ิ มีชีวิต การถ่ายทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ ระบบ นเิ วศป่าไม้ ระบบนเิ วศนำ้ จืด ระบบนิเวศในนาขา้ ว ระบบนิเวศน้ำเค็ม การวางแผนเขยี นโครงการและ วธิ ีการสำรวจระบบนเิ วศในท้องถ่นิ แนวทางการอนรุ กั ษแ์ ละเฝา้ ระวงั ระบบนเิ วศในท้องถิ่น ขอบข่ายเนอื้ หา บทที่ 1 ความหมาย ระบบนิเวศ กลุม่ ส่งิ มชี วี ติ ประชากร ท่อี ยู่อาศัย บทท่ี 2 องค์ประกอบ ความสัมพันธ์ การปรับตวั ของสง่ิ มชี ีวติ การถ่ายทอด พลงั งานในระบบนิเวศ เรื่องที่ 1 ระบบนิเวศปา่ ไม้ ป่าบงุ ป่าทาม ปา่ พรุ ป่าชายหาด ป่าชายเลน เร่ืองท่ี 2 ระบบนิเวศนำ้ จืด หนอง คลอง บึง เรอ่ื งที่ 3 ระบบนิเวศในนาข้าว เรือ่ งท่ี 4 ระบบนิเวศน้ำเค็ม หาดทราย หาดเลน หาดโคลน หาดหิน ชายฝง่ั ทะเล บทท่ี 3 การวางแผนเขียนโครงการและ วิธีการสำรวจระบบนิเวศในท้องถ่ิน บทท่ี 4 แนวทางการอนุรักษ์และเฝา้ ระวงั ระบบนเิ วศในทอ้ งถ่นิ สอื่ ประกอบการเรยี นรู้ 1. หนังสือเรียนรายวิชารกั ษ์ท้องถน่ิ รหสั รายวิชา พว3218 / เอกสารวิชาการ 2. เว็บไซต์ 3. Clip Video 4. สอ่ื เสริมการเรยี นรู้อน่ื ๆ จำนวนหน่วยกิต จำนวน 2 หนว่ ยกติ

กจิ กรรมเรียนรู้ ให้ผู้เรียน ศึกษา ค้นคว้า ทดลอง อธิบาย อภิปรายและนำเสนอด้วยการจัดกระบวนการเรียนรู้ โดยการพบกลมุ่ การเรยี นรแู้ บบทางไกล แบบชนั้ เรียน ตามอัธยาศัย การสอนเสรมิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การ ทำรายงาน การศึกษาจากแหล่งเรียนรู้ ประสบการณ์โดยตรง ใช้สถานการณ์จริงปรากฏการณ์ธรรมชาติ ประสบการณก์ ารเรียน และการเรยี นร้ดู ้วยโครงงาน การประเมนิ ผล การสังเกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทักษะปฏิบัติ รายงานการทดลอง การมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรยี นรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมนิ การนำไปใชป้ ระโยชน์ในชีวติ

คำแนะนำในการใชร้ ายวิชารกั ษ์ทอ้ งถนิ่ (พว3218) 1. บทเรยี นนี้ไม่ใช่ขอ้ สอบ ผเู้ รยี นจงึ ไม่ควรวติ กกงั วลเพราะเป็นบทเรียน ท่สี ร้างขนึ้ เพื่อให้สามารถ ศึกษาได้ดว้ ยตนเอง 2. บทเรยี นเลม่ นี้ประกอบด้วยบทความรู้ย่อย ๆ หลายตอน ซึ่งแต่ละตอนมีแบบทดสอบกอ่ นเรยี นและ หลงั เรยี น เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจของเนื้อหาแต่ละบท 3. การเขียนคำตอบทุกข้อ ให้เขียนลงในกระดาษคำตอบท่ีผเู้ รยี นเตรยี มไว้ 4. การทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น เมื่อผเู้ รียนอา่ นแบบทดสอบแลว้ เขยี นคำตอบลงในกระดาษคำตอบ ถา้ ขอ้ ใดทำไมไ่ ด้ ไมต่ ้องกังวลหรือเสียเวลา สามารถเดาคำตอบได้ เพราะผเู้ รียนยังไม่มีความร้ใู นเร่ืองนั้น ๆ มา กอ่ น 5. อ่านและทำความเข้าใจกับเน้ือหาไปตามลำดับ ขณะศึกษาบทเรียนและปฏิบัติกิจกรรม ต้องไม่ เปดิ ดเู ฉลยคำตอบกอ่ น ต้องมคี วามซอื่ สตั ย์ตอ่ ตนเอง 7. ถา้ ข้อใดตอบผิด มิได้หมายความวา่ ไมเ่ ก่ง แต่อาจจะเป็นเพราะยงั ไม่เข้าใจเน้อื หาบางส่วนในตอน นน้ั ๆ ใหก้ ลับไปทบทวน ทำความเข้าใจเฉพาะตอนนั้นอีกครง้ั และลองทำ แบบทดสอบใหม่ กอ่ นท่ีจะศึกษาตอน ต่อไป 8. เมอ่ื ศึกษาเน้ือหาจนจบบทเรยี นแลว้ จะมแี บบทดสอบหลังเรยี น เพื่อประเมนิ วา่ ผเู้ รียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจเนอื้ หาทัง้ หมดมากน้อยเพียงใดอกี ครง้ั หนึง่ ซงึ่ ถ้าผู้เรยี นต้งั ใจศึกษาในแตล่ ะตอน จะสามารถผ่าน การทดสอบไดโ้ ดยง่าย 9. ผู้เรียนต้องเชอ่ื มน่ั ในตนเอง ไม่ต้องเปรยี บเทียบกบั ผอู้ น่ื เพราะบทเรยี นนไี้ ดท้ ดลองใชแ้ ลว้ พบว่า สามารถเรียนไดเ้ ข้าใจทุกคน เพียงแตใ่ ชเ้ วลามากน้อยตา่ งกนั เมอื่ นักเรียนเข้าใจขัน้ ตอนท้ังหมดดแี ล้วและ พรอ้ มที่จะเริม่ เรียนให้อา่ นหนา้ ตอ่ ไปทนั ที

แบบบทสอบกอ่ นเรียน บทที่ 1 คำชแ้ี จง ให้ผู้เรยี นทำเครื่องหมาย X หน้าข้อท่ีถูกทส่ี ุด 1. ข้อใดคอื ความหมายของระบบนิเวศ 7. การอยู่รว่ มกันระหวา่ งนกเอ้ยี งกับควาย เปน็ การอยู่ ก. สถานทซ่ี ึง่ มีส่ิงมีชีวิตอาศัยอยู่ ข. สง่ิ ตา่ ง ๆ ท่อี ยรู่ ว่ มกบั สง่ิ มีชีวติ ร่วมกนั แบบใด ค. กลุ่มของสิ่งมชี วี ิตท่ีอย่รู ว่ มกันในแต่ละแหง่ ง. ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวติ ต่าง ๆ ท่ีอยู่ร่วมกนั ก. แบบปรสิต ข. แบบอิงอาศยั ในแหลง่ ทีอ่ ย่เู ดียวกัน ค. แบบพึง่ พากนั ง. แบบแกง่ แย่งกนั 2. ขอ้ ใด ไม่ จัดเปน็ ระบบนิเวศ 8. การอย่รู ่วมกันแบบปรสิต เป็นการอยรู่ ่วมกนั ของ ก. บอ่ นำ้ ทม่ี ีสงิ่ มชี ีวติ อยู่เต็ม สิง่ มีชีวติ ในลกั ษณะใด ข. สนามกฬี าในโรงพละ ค. สนามหญา้ และสระนำ้ หนา้ โรงเรยี น ก. ไดป้ ระโยชน์ทั้งคู่ ง. อทุ ยานแห่งชาติและป่าสงวน ข. เสียประโยชน์ทั้งคู่ 3. ข้อใดที่ ไม่ ถูกต้องเก่ียวกบั การถ่ายทอดพลงั งาน ค. ฝา่ ยหน่ึงไดป้ ระโยชน์ แตอ่ กี ฝา่ ยหนึ่งเสีย ก. ผผู้ ลิตเปน็ ตัวเริ่มของหว่ งโซอ่ าหารทกุ ชนดิ ข. ในระบบนเิ วศใดท่ีมีสายใยอาหารซับซอ้ นมากแสดง ประโยชน์ ระบบนเิ วศน้นั มีความสมดุลมาก ง. ฝ่ายหนึ่งไดป้ ระโยชน์ แตอ่ กี ฝ่ายไมไ่ ด้หรือไมเ่ สีย ค. จลุ นิ ทรยี ์มีบทบาทในการยอ่ ยสลายสารอนิ ทรีย์ แต่ ไม่ได้มสี ว่ นในการถา่ ยทอดพลังงาน ประโยชน์ ง. หว่ งโซอ่ าหารที่มีจำนวนสง่ิ มชี ีวิตย่ิงมาก สงิ่ มชี วี ิต ท้ายๆ ห่วงโซอ่ าหารยิง่ ไดร้ ับพลงั งานนอ้ ยลง 9. ขอ้ ใดคอื ความหมายของคำว่า \"ประชากร\" ก. ส่งิ มชี วี ติ ทกุ ชนดิ ทอ่ี าศัยในโลกนี้ ข. สิง่ มชี ีวติ ทกุ ชนิดทอ่ี าศัยอยใู่ นท่ีเดียวกัน ค. สง่ิ มีชีวติ ทุกชนิดทอ่ี าศยั อยู่ในทุกทท่ี ่มี ี สภาพแวดล้อมเดยี วกัน ง. ส่งิ มชี ีวติ ท่ีเปน็ ชนดิ เดยี วกนั อาศัยอย่ใู นท่ีเดียวกนั ในชว่ งเวลาหนง่ึ 4. ปลวกมคี วามสำคัญต่อระบบนิเวศ คอื มหี นา้ ที่เปน็ 10. ขอ้ ใดคือลำดับการถ่ายทอดพลังงานในส่งิ มีชีวิต ก. ผู้บริโภค ผผู้ ลิต ผู้ย่อยสลาย ก. ผู้ผลิต ข. ผ้บู ริโภค ข. ผู้ผลิต ผบู้ ริโภค ผูย้ อ่ ยสลาย ค. ผ้ยู ่อยสลาย ผู้บรโิ ภค ผู้ผลิต ค. ผยู้ ่อยสลาย ง. เปน็ ท้ังผ้บู ริโภคและผู้ย่อยสาย ง. ผ้ผู ลิต ผยู้ อ่ ยสลาย ผ้บู ริโภค 5. สิ่งมีชีวิตชนิดใดท่ีมีความสำคญั ต่อระบบนเิ วศมาก ท่สี ดุ ก. หนู ข. หญ้า ค. ก้งิ กอื ง. กระตา่ ย 6. ส่งิ มีชวี ติ กลมุ่ ใดท่ีสามารถเปลย่ี นอนนิ ทรีย์สารเปน็ อินทรยี ์สารได้ ก. พชื สเี ขยี ว ข. สัตว์กินพืช ค. สัตวก์ นิ เนือ้ ง. ผยู้ ่อยสลาย

1 บทที่ 1 ระบบนเิ วศ กลุ่มสิ่งมชี วี ิต ประชากรที่อยอู่ าศยั การดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตจะมีความเกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อมอาจ เป็นความสัมพันธ์ทางบวกหรือทางลบ จะเห็นได้ว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดย ลำพังโดยไม่ต้องพึ่งพาสิ่งแวดล้อม ดังนั้นถ้าสิ่งแวดล้อมเกิดการเปลี่ยนแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อ สิ่งมีชีวิตที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมนั้นด้วย เช่น การดำรงชีวิตของพืช สัตว์ และสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำอื่น ๆ จะต้องมีการพึ่งพาอาศัยกันและมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่ไม่มีชีวิต เช่น แร่ธาตุ แสงแดด มีการใช้พลังงานและแลกเปลี่ยนสารอาหารซึ่งกนั และกันเป็นวัฏจักรท่ีดำเนินไปเป็นระบบ ภายใต้ความสมดุลของธรรมชาติ ดังนั้นหากระบบมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นและส่งผลกระทบ เกี่ยวเนือ่ งไปท้ังระบบ และทำใหเ้ กดิ ปญั หากับการดำรงชีวิตของส่งิ มีชวี ติ อ่นื ๆ ระบบดงั กล่าวเรียกว่า “ระบบนเิ วศ” ซึง่ หมายถงึ ความสมั พนั ธ์ระหว่างส่งิ มีชีวิตทัง้ หมดกับสิง่ แวดลอ้ มท่ดี ำรงอยู่ กล่มุ ส่ิงมชี ีวติ (Community) หมายถงึ สง่ิ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ หลายชนิด มาอาศัยอยู่รวมกันใน บริเวณใดบริเวณหนง่ึ โดยส่ิงมชี วี ิตนนั้ ๆ มคี วามสัมพันธ์กันโดยตรงหรอื โดยทางอ้อม โลกของส่ิงมีชีวติ (Biosphere) หมายถึง เป็นระบบนิเวศทใ่ี หญท่ ่ีสุด ประกอบด้วยระบบ นิเวศตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ (Ecosystem) ประกอบดว้ ยกลุ่มส่ิงมชี ีวิต (Community) และสิ่งมชี วี ิต (Organism) ชนดิ เดียวกนั ทอ่ี าศัยอยูร่ ว่ มกนั เรียกวา่ ประชากร (Population) แหลง่ ทีอ่ ยู่ หรอื ถ่ินทีอ่ ยู่ (Habitat) หมายถึง พ้ืนที่ทางระบบนเิ วศวทิ ยาหรือสิ่งแวดล้อมซ่ึง เป็นที่อาศัยของสัตว์ พืช หรือสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในสปีชีส์ที่เฉพาะเจาะจง เป็นสภาพแวดล้อมตาม ธรรมชาตทิ ส่ี ิ่งมีชีวิตสามารถอาศัยอย่ไู ด้ หรอื สภาพทางกายภาพที่ลอ้ มรอบไปดว้ ยประชากรในสปีชีส์ หนึ่งๆ ระบบนิเวศ (Ecosystem) การดำรงชวี ิตของสงิ่ มีชีวติ จะมคี วามเก่ยี วข้องกบั สง่ิ แวดลอ้ มทงั้ ทางตรงและทางอ้อมอาจเป็น ความสมั พนั ธ์ทางบวกหรอื ทางลบ จะเหน็ ไดว้ ่าไม่มสี ิ่งมชี วี ิตชนดิ ใดสามารถดำรงชีวติ อยไู่ ดโ้ ดยลำพัง โดยไม่ต้องพึ่งพาสงิ่ แวดล้อม ดงั นัน้ ถ้าส่ิงแวดลอ้ มเกิดการเปลย่ี นแปลงย่อมส่งผลกระทบต่อส่ิงมีชีวิตที่ อาศยั ในสิง่ แวดลอ้ มนน้ั ดว้ ย เช่น การดำรงชวี ิตของพชื สตั ว์ และสิ่งมีชวี ติ ชั้นตำ่ อนื่ ๆ จะตอ้ งมกี าร พึ่งพาอาศยั กันและมคี วามเกี่ยวขอ้ งสัมพนั ธก์ ับสงิ่ แวดล้อมทไ่ี ม่มีชีวิต เชน่ แรธ่ าตุ แสงแดด มกี ารใช้ พลังงานและแลกเปลี่ยนสารอาหารซง่ึ กนั และกนั เป็นวัฏจักรทดี่ ำเนินไปเปน็ ระบบภายใต้ความสมดุล ของธรรมชาติ ดงั น้นั หากระบบมกี ารเปลยี่ นแปลงเกิดขนึ้ และส่งผลกระทบเก่ียวเนื่องไปท้งั ระบบ และ ทำให้เกิดปัญหากับการดำรงชีวิตของสง่ิ มีชวี ติ อืน่ ๆ ระบบดงั กล่าวเรยี กว่า “ระบบนิเวศ” ซ่ึงหมายถงึ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชวี ิตทง้ั หมดกับส่ิงแวดล้อมทีด่ ำรงอยู่ ระบบนิเวศเป็นหน่วยที่สำคัญที่สุดในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต และ สิ่งแวดล้อม เพราะประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด มีการแลกเปลี่ยนสสาร แร่ธาตุ และ พลังงานกับสิง่ แวดล้อม โดยผ่านห่วงโซอ่ าหาร (food chain) มีลำดับของการกินเป็นทอด ๆ ทำให้ สสารและแร่ธาตุมีการหมุนเวียนไปใช้ในระบบจนเกิดเป็น วัฏจักร ทำให้มีการถ่ายทอดพลังงานไป ตามลำดับขั้นเป็นช่วง ๆในห่วงโซ่อาหารได้ การจำแนกองค์ประกอบของระบบนิเวศ ส่วนใหญ่จะ จำแนกได้เป็นสององคป์ ระกอบใหญ่ ๆ คอื องค์ประกอบท่มี ีชวี ิตและองคป์ ระกอบทไ่ี ม่มีชวี ิต

2 ภาพ ระบบนิเวศ ภาพองค์ประกอบทมี่ ชี ีวติ และองคป์ ระกอบทีไ่ ม่มีชวี ิต ที่มาของภาพ http://surattana11683.blogspot.com/2011/07/blog-post.html นิยามและความหมาย ระบบนเิ วศ หมายถึง ระบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ิตกบั สง่ิ แวดล้อมในหน่วยพนื้ ท่ีหน่ึง จากข้อความดังกล่าวประกอบด้วยประเดน็ สำคญั 4 ประเดน็ คือ 1. หน่วยพ้นื ท่ี หมายถึง ระบบนิเวศจะถกู จำกดั ขอบเขตหรือขนาด ดงั นนั้ จะเล็กหรอื ใหญ่ อยา่ งไรกไ็ ด้ แตข่ อใหม้ อี าณาบรเิ วณอยา่ งเด่นชดั เช่น สระนำ้ อา่ งเก็บน้ำ ปา่ ไม้ เมอื ง ชนบท เป็นตน้ ท่ีมาของภาพ : https://biology.mwit.ac.th/Resource/EcoPWPpdf/comunity_60.pdf 2. สิง่ มชี ีวิต หมายถึง องคป์ ระกอบหรือโครงสร้างทงั้ หมดทีเ่ ป็นสิ่งมีชวี ิตภายในหนว่ ยพืน้ ท่ี น้ัน ท่ีมาของภาพ : http://xn--10-9ritg5i2ac.blogspot.com/2009/07/10_3167.html

3 3. สิ่งแวดล้อม หมายถงึ องคป์ ระกอบท้งั หลายในหน่วยพนื้ ท่ีนน้ั ท้ังท่ีเป็นส่ิงมชี วี ิตและสิ่งที่ ไมม่ ีชวี ติ เชน่ ตน้ ไม้ สัตว์ ดนิ น้ำ อากาศ สารอาหาร เป็นตน้ ทีม่ าของภาพ : https://www.talonjapan.com/nabegataki-falls/ 4. ระบบความสัมพนั ธ์ หมายถึง ระบบความสัมพนั ธร์ ะหว่างสง่ิ มีชีวิตหนง่ึ กบั สิง่ ไม่มชี วี ิต และสง่ิ มีชวี ติ อืน่ ในหน่วยพ้ืนท่นี ้นั นนั่ คือสง่ิ ต่าง ๆ ภายในพ้ืนที่น้นั ต่างก็มีบทบาทและหนา้ ทีข่ อง ตนเองอย่างชัดเจน ทำใหส้ ามารถสร้างความสมั พันธ์ทีจ่ ะอย่รู ว่ มกันได้ ระบบความสัมพนั ธ์นจ้ี ะมี กฎเกณฑท์ แี่ นน่ อนจนสดุ ทา้ ยกจ็ ะแสดงเอกลกั ษณ์ของระบบนนั้ ๆ เช่น ระบบนเิ วศลำนำ้ น่าน ระบบนเิ วศป่าดิบเขา ระบบนิเวศหนองนำ้ เปน็ ตน้ ทมี่ าของภาพ : shorturl.at/nrBK0 ระบบนิเวศหนง่ึ ๆ เปน็ ระบบนิเวศ ระบบเปดิ เพราะมีความสมั พันธก์ ับสง่ิ แวดลอ้ มอื่นนอก หน่วยพ้ืนที่ของตนเอง มกี ารได้สสาร พลงั งาน แร่ธาตุ ตลอดจนสิ่งมชี ีวิตจากที่อน่ื เขา้ ไปในระบบ และขณะเดยี วกันตอ้ งมกี ารนำสงิ่ เหล่านอ้ี อกไปจากระบบ ทง้ั นเ้ี พอ่ื ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ระหวา่ งระบบ นิเวศและส่ิงแวดลอ้ มภายนอก เช่น ระบบนเิ วศหนองนำ้ ไดส้ ารอาหารมาจากการท่นี ้ำฝนชะล้างเศษ ดิน ซากพืชหรอื ซากสตั วไ์ หลลงสหู่ นองนำ้ นนั้ ขณะเดยี วกนั ก็สญู เสยี สารอาหารไปจากระบบอาจจะ เป็นสัตว์คร่ึงบกคร่ึงนำ้ ออกไปตายทอ่ี ืน่ สัตวน์ ำ้ ถูกจบั เป็นอาหารของสัตวอ์ นื่ เชน่ นก มนษุ ย์ เสือ ปลา เป็นตน้ ระบบนเิ วศนบนโลกนีม้ คี วามหลากหลายตามตำแหนง่ ทีต่ ้ังซ่งึ มีองคป์ ระกอบทางกายภาพ แตกตา่ งกนั ออกไปมากมาย เช่น ระบบนเิ วศป่าดิบรอ้ น ระบบนเิ วศปา่ สน ระบบนเิ วศปา่ มรสมุ ระบบ นเิ วศ ระบบนิเวศทงุ่ น้ำแข็ง ระบบนเิ วศทุ่งหญา้ เขตรอ้ น ระบบนเิ วศปา่ ชายเลน ระบบนิเวศหนองนำ้

4 ระบบนเิ วศน้ำกร่อย ระบบนเิ วศนำ้ เค็ม ระบบนิเวศชายฝ่ัง เป็นตน้ บนโลกนี้เมอ่ื รวมกันทั้งหมดทุก ระบบนเิ วศกจ็ ะเปน็ ระบบนเิ วศทีใ่ หญ่ทสี่ ุดคือ ระบบนิเวศโลก นน่ั เอง เรียกว่า ชวี าลัยหรอื ชวี มณฑล (Biosphere หรอื Ecosphere) องคป์ ระกอบของระบบนิเวศ การจำแนกองค์ประกอบของระบบนเิ วศแยกตามหนา้ ที่ในระบบ ไดแ้ กพ่ วกท่สี ร้างอาหารได้ เอง (autotrophy) และสิ่งมีชีวิตได้รับอาหารจากสิ่งมีชีวิตอื่น (heterotrophy) อย่างไรก็ตามการ จำแนกองคป์ ระกอบของระบบนิเวศโดยทั่วไปมักประกอบไปด้วยองค์ประกอบที่มีชีวติ (biotic) และ องคป์ ระกอบที่ไมม่ ชี ีวติ (a biotic) 1. องค์ประกอบที่มชี วี ติ (biotic component) ไดแ้ ก่ 1.1 ผู้ผลิต (producer or autotrophic) ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองได้ จาก สารอนนิ ทรยี ส์ ่วนมากจะเป็นพชื ท่ีมีคลอโรฟลิ ล์ 1.2 ผู้บริโภค (consumer) ได้แก่สิ่งมีชีวิตที่ไม่สามารถสร้างอาหารเองได้ (heterotrophy) ส่วนใหญ่เป็นสัตวท์ ี่กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร เนื่องจากสัตวเ์ หล่านี้มขี นาดใหญ่จึง เรียกว่า แมโครคอนซมู เมอร์ 1.3 ผูย้ ่อยสลายซาก ไดแ้ กส่ ิ่งมชี วี ิตขนาดเล็กท่ีสร้างอาหารเองไม่ได้ เช่น แบคทีเรีย เห็ด รา (fungi) และแอกทีโนมัยซีท (actinomycete) ทำหน้าที่ย่อยสลายซากสิ่งมชี ีวิตท่ีตายแล้วใน รูปของสารประกอบโมเลกุลใหญ่ให้กลายเป็นสารประกอบโมเลกุลเล็กในรูปของสารอาหาร (nutrients) เพอ่ื ใหผ้ ผู้ ลิตนำไปใชไ้ ด้ใหมอ่ กี ภาพ องคป์ ระกอบท่ีมีชีวติ (biotic component) ท่ีมาของภาพ http://utsanee1.blogspot.com/2013/01/blog-post.html

5 2. องคป์ ระกอบท่ีไมม่ ชี ีวิต (a biotic component) ได้แก่ 2.1 สารอนินทรีย์ (inorganic substances) ประกอบด้วยแร่ธาตแุ ละสารอนินทรยี ์ ซง่ึ เปน็ องค์ประกอบสำคัญในเซลลส์ ิ่งมีชีวิต เช่น คารบ์ อน ออกซเิ จน คารบ์ อนไดออกไซด์ และน้ำเป็น ต้น สารเหลา่ นมี้ ีการหมุนเวียนใชใ้ นระบบนเิ วศ เรียกวา่ วัฏจักรของสารเคมธี รณชี ีวะ 2.2 สารอินทรีย์ (organic compound) ได้แก่สารอินทรีย์ที่จำเป็นต่อชีวิต เช่น โปรตีน คารโ์ บไฮเดรต ไขมนั และซากสิง่ มีชวี ติ เนา่ เปอื่ ยทับถมกันในดิน เปน็ ตน้ 2.3 สภาพภูมิอากาศ ได้แก่ปัจจัยทางกายภาพที่มีอิทธิพลต่อสิ่งแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ แสง ความชืน้ อากาศ และพน้ื ผิวท่อี ยอู่ าศัย ซึ่งรวมเรยี กว่า ปจั จยั จำกัด โซ่อาหาร (food chain) เปน็ การเคล่อื นยา้ ยพลงั งาน และธาตอุ าหารในระบบนิเวศ ผ่านผู้ผลิต ผบู้ รโิ ภคในระดับตา่ ง ๆ โดยการกนิ กนั เป็นทอด ๆ ในลักษณะเป็นเส้นตรง กล่าวคือ ส่ิงมชี วี ิตชนิดหนงึ่ กนิ สง่ิ มชี ีวิตชนิดอน่ื เพยี งชนิดเดยี วเท่าน้ัน โซ่อาหารแบ่งออกเป็น 2 แบบ คอื 1. โซอ่ าหารแบบจับกนิ (Grazing Food chain) เป็นโซ่อาหารท่เี รม่ิ ตน้ ทีพ่ ชื ผ่านไปยงั สัตว์ กนิ พชื และสตั วก์ นิ สตั ว์ตามลำดับ ตวั อยา่ งนพ้ี บได้ทว่ั ไปในชมุ ชนป่า หรอื ชมุ ชนมหาสมุทร ตวั อย่าง เชน่ ทม่ี าของภาพ http://supanee041.blogspot.com/p/blog-page_89.html 2. โซอ่ าหารแบบกินเศษอินทรยี ์ (Detritus food chain) เปน็ โซอ่ าหารท่เี ริ่มจากสารอนินท รีย์จากซากของสง่ิ มีชวี ติ ถูกยอ่ ยสลายด้วยผยู้ ่อยสลาย ซง่ึ ส่วนใหญ่เปน็ พวกจุลนิ ทรีย์และจะถกู กินโดย สัตว์และต่อไปยงั ผ้ลู ่าอ่ืน ๆ ภาพ โซ่อาหาร ท่มี าของภาพ : https://sites.google.com/site/science0152/17

6 สายใยอาหาร (food web) ในระบบของโซ่อาหารในระบบของการถ่ายทอดจะถ่ายทอดโดยตรงจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีก ชวี ิตหนงึ่ เนื่องจากส่ิงมีชีวิตหน่ึงอาจกินอาหารหลายชนิด หลายระดับและเหย่ือชนิดเดียวกันก็อาจถูก สิ่งมีชีวิตหลายชนิดกิน ลักษณะดังกล่าวได้เกิดความซับซ้อนกันในระบบของโซ่อาหารซึ่งเรียกว่า สายใยอาหาร (food web) ซึ่งสายใยอาหารจะประกอบด้วย โซ่อาหารหลายสายที่เชื่อมโยงกันอัน แสดงถงึ ความสัมพนั ธ์อันสลับซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตในชมุ ชนของระบบนเิ วศ ซ่ึงยิ่งสายใยอาหารมีความ สลับซับซ้อนมากเพียงใด ก็ได้แสดงให้เห็นถึงระบบนิเวศที่มีระบบความสมดุลสูง อันเนื่องมาจากมี ความหลากหลายของชีวิตในระบบ ภาพ สายใยอาหาร ทมี่ าของภาพ : https://sites.google.com/site/scipatchara/Power-relay/so-xahar-laea- sayyi-xahar การถา่ ยทอดพลงั งาน การถา่ ยทอดพลงั งานในโซ่อาหาร การถ่ายทอดพลงั งานในโซ่อาหารอาจแสดงในในลักษณะ ของสามเหลี่ยมพีรามิดของสิ่งมีชีวิต (ecological pyramid) แบ่ง ได้ 3 ประเภทตามหน่วยที่ใช้วัด ปริมาณของลำดบั ขน้ั ในการกนิ ท่มี าของภาพ : https://sites.google.com/site/science0152/17

7 1. พีระมิดจำนวนของสิ่งมีชีวิต (pyramid of number) แสดงจำนวนสิ่งมีชีวิตเป็น หน่วยตัวต่อพื้นที่ โดยทั่วไปพีระมิดจะมีฐานกว้าง ซึ่งหมายถึง มีจำนวนผู้ผลิตมากที่สุด และจำนวน ผู้บริโภคลำดับต่าง ๆ ลดลงมา แต่การวัดปริมาณพลังงานโดยวิธีนี้ อาจมีความคลาดเคลื่อนได้ เน่ืองจากส่งิ มีชวี ิตไมว่ ่าจะเปน็ เซลล์เดยี ว หรือหลายเซลล์ ขนาดเลก็ หรือขนาดใหญ่ เชน่ ไส้เดือน จะ นับเป็นหนึ่งเหมือนกันหมด แต่ความเป็นจริงนั้นในแง่ปริมาณพลังงานที่ได้รับหรืออาหารที่ผู้บรโิ ภค ไดร้ ับจะมากกวา่ หลายเทา่ ดงั น้นั จงึ มีการพัฒนารูปแบบในรูปของพีรามดิ มวลของสง่ิ มชี ีวิต ภาพ พีระมิดแสดงจำนวนสงิ่ มชี ีวิตเปน็ หน่วยตวั ต่อพ้นื ท่ี ทีม่ าของภาพ : https://sites.google.com/site/science0152/17 2. พีระมิดมวลของสิ่งมีชีวิต (pyramid of mass) โดยพีระมิดนี้แสดงปริมาณของ สิ่งมีชีวติ ในแตล่ ะลำดับข้ันของการกินโดยใช้มวลรวมของน้ำหนักแหง้ (dry weight) ของสิ่งมีชีวิตตอ่ พื้นที่แทนการนับจำนวนพีระมิดแบบนี้มีความแม่นยำมากกว่าแบบที่ 1 แต่ในความเป็นจริงจำนวน หรือมวล ของสิ่งมีชีวิต มีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา เช่น ตามฤดูกาลหรือ ตามอัตราการ เจริญเติบโต ปัจจัยเหล่านี้ จึงเป็นตัวแปร ที่สำคัญ อย่างไรก็ดีถึงแม้มวลที่มากขึ้นเช่นต้นไม้ใหญ่ จะ ผลิตเปน็ สารอาหารของผู้บริโภคไดม้ ากแตก่ ็ยงั นอ้ ยกวา่ ที่ผู้บริโภคได้จาก สิง่ มีชวี ิตเล็กๆ เชน่ สาหร่าย หรือแพลงกต์ อน ทั้งๆที่มวล หรือปริมาณของสาหร่ายหรือแพลงก์ตอนนอ้ ยกวา่ มาก ดังนั้น จึงมีการ พฒั นาแนวความคิดในการแกป้ ญั หาน้ี โดยในการเสนอรปู ของพีระมดิ พลงั งาน (pyramid of energy) ภาพ พีระมดิ แสดงมวลของส่งิ มีชีวิต ที่มาของภาพ : https://sites.google.com/site/science0152/17

8 3. พรี ามดิ พลงั งาน (pyramid of energy) เปน็ พีระมิดแสดงปรมิ าณพลงั งานของแตล่ ะ ลำดับชน้ั ของการกินซึ่งจะมีค่าลดลงตามลำดบั ข้นั ของการโภค ภาพ พีระมิดพลังงาน ทีม่ าของภาพ : https://sites.google.com/site/science0152/17 ความสัมพันธแ์ บบการอยรู่ ่วมกนั (symbiotic relationships) การอยรู่ ่วมกันเป็นปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างสปีชีส์ ซ่ึงสปีชสี ์หนึ่ง เรียกว่า symbiotic อาศัยอยู่บน อกี สปีชีสห์ นึง่ ซ่งึ เรยี กว่า โฮสต์ (host) มี 2 แบบ คอื แบบปรสติ (parasitism) และแบบ ภาวะพึ่งพา (mutualism) 1 ภาวะปรสิต (parasitism) สงิ่ มีชีวติ หนงึ่ ไดป้ ระโยชน์ในขณะทอ่ี ีกฝ่ายหนงึ่ ไดร้ บั อันตราย โดยปกติ สิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กกว่าจะไดร้ ับสารอาหารจากโฮสต์ ซึ่งเป็นรูปแบบพิเศษแบบหนึ่งของ การล่าเหยื่อ พยาธิตัวตืด โพรโทซัวก่อโรคไข้มาเลเรีย เป็นตัวอย่างของปรสิตภายใน ส่วนปรสิต ภายนอก ไดแ้ ก่ยุงดูดเลือดของสัตว์เล้ียงลูกด้วยนม และ เพล้ียตา่ งๆทีด่ ดู น้ำเล้ียงจากพืช การคัดเลือก โดยธรรมชาติ เป็นผู้กลั่นกรองความสัมพันธ์ระหว่างปรสิตกับโฮสต์ ปรสิตจำนวนมาก โดยเฉพาะ จลุ ินทรยี ไ์ ดป้ รบั ตวั เป็นตวั เบยี ฬจำเพาะ (specific host ) (ก) (ข) ภาพ (ก) พยาธติ ัวตืด (Taenia pisiformis) สามารถทำให้เกดิ การอุดตันในลำไส้ (ข) ส่วนหวั และตะขอของพยาธิ ตวั ตืดใชย้ ึดเกาะลำไส้เพือ่ ดดู อาหารจากผนังลำไส้ของโฮสต์ ทีม่ าของภาพ : http://jyjecosystem.blogspot.com/2011/09/41-parasitism.html

9 2. ภาวะพึ่งพา (mutualism) เป็นการอยู่ร่วมกันที่ตา่ งฝ่ายตา่ งได้ประโยชน์ร่วมกัน เช่น สาหร่าย ( algae) กับรา(fungi) ในพวกไลเคน (lichen) ปูเสฉวนและดอกไม้ทะเล ไมคอไรซาในราก พืช มดอาศยั บนตน้ อะเคเซีย (Acacia sp.) และโพรโทซวั อาศยั อยใู่ น ลำไส้ปลวก เป็นต้น (ก) (ข) ภาพ (ก) และ (ข) เปน็ รปู ภาพภาวะพ่งึ พา ท่มี าของภาพ : http://www.kruseksan.com/book/ecorelation.pdf 3. ภาวะองิ อาศัยหรอื ภาวะเกอ้ื กลู (commensalism) เป็นการอยรู่ ่วมกันของส่ิงมีชีวติ 2 ชนิด ทฝ่ี ่ายหนงึ่ ไดป้ ระโยชนส์ ว่ น อกี ฝา่ ยไม่ไดแ้ ละไม่เสีย ประโยชน์ เช่น พลดู า่ งกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ กล้วยไมก้ บั ต้นไม้ ปลาฉลามกับเหาฉลาม (shark sucker) ภาพ ภาวะองิ อาศัยหรือภาวะเกอ้ื กลู ระหว่างกล้วยไม้กับต้นไมใ้ หญ่ (ซ้าย) และพลูด่างกบั ตน้ ไม้(ขวา) ท่มี าของภาพ : https://koedphon.wordpress.com การปรบั ตัวของส่งิ มชี วี ิต สาระสำคัญสิ่งมีชีวติ ทุกชนดิ จะมีการปรับตวั ให้เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มเพื่อการอยู่รอด การปรับตัวเป็นผลมาจากการคัดเลือกตามธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตที่มีการปรับตัวในด้านต่างๆ ได้ดี จะ สามารถดำรงชวี ิตและแพร่พนั ธ์ุต่อไปได้การปรบั ตวั การปรับตัว(Adaptation) หมายถึง กระบวนการที่สิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับ ลักษณะบางประการให้เข้ากับ สภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ซึ่งลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป ดังกล่าวจะ อำนวยประโยชน์แก่ชีวิตในแง่ของการอยรู่ อดและสามารถสืบพนั ธตุ์ ่อไปได้ปจั จยั ที่เกยี่ วข้องกับการอยู่

10 รอดของสิ่งมีชีวิตมีหลายประการ ได้แก่ การแสวงหาอาหาร การสืบพันธุ์ การต่อสู้กับศัตรู และการ หลบหลกี ศัตรู หรอื สิ่งแวดลอ้ ม สิ่งมีชีวิตมกี ารปรบั ตัว ดังนี้ 1. การเกิดและการคงรูปร่าง ท่าทาง ลักษณะ หรือหน้าที่ ของสิ่งมีชีวติ ในประชากร ทำให้ เหมาะสมและสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในสภาวะแวดล้อมนัน้ ๆ การปรับตัวชนิดนี้เกิดจากการคัดเลือก โดยธรรมชาตขิ องสงิ่ มีชีวติ ที่แปรผนั ทำใหเ้ กดิ ความแตกตา่ งกันทางพนั ธกุ รรม 2. ลักษณะทางสรีรวิทยา พฤติกรรมหรือสัณฐาน ซึ่งควบคุมโดยพันธุกรรม เอื้ออำนวยให้ สิ่งมีชวี ิตชนดิ นั้นๆ อยไู่ ด้ในสภาวะแวดลอ้ มอย่างเหมาะสมจนกระท่งั สบื พันธ์ุได้ 3. เกดิ การเปลย่ี นแปลงในช่วงชวี ิตของสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง เชน่ การขาดออกซิเจนไป เลี้ยงสมองทำให้คนล้มลง ทำให้เลือดส่งออกซิเจนไปเลีย้ งสมองได้เร็วขึ้น นั่นคือ การเป็นลมหรือนก บางชนดิ มกี ารเปลย่ี นสีของขนนก หรือพฤตกิ รรมในบางฤดู เช่น ในชว่ งสบื พันธุข์ องนกยูง นกยูงตัวผู้ จะรำแพนอวดหางอันสวยงามการปรับตัวทางพันธุกรรมเป็นผลที่เกิดจากการคัดเลือกโดยธรรมชาติ สงิ่ มชี วี ิตทุกชนิดจำเป็นตอ้ งปรบั ตัว ให้เขา้ กับสภาพแวดลอ้ มได้จงึ จะอยู่รอด การปรับตัวนั้นเกิดได้ท้ัง ในแง่รูปร่าง สรีรวิทยาหรือพฤติกรรม หากการปรับตัวนั้นเหมาะสมและสามารถถ่ายทอดได้ทาง พนั ธุกรรมแล้ว ทำใหเ้ กดิ ววิ ฒั นาการท้ังสนิ้ การปรับตวั ของสิง่ มีชีวิตเป็นผลของการคัดเลอื กตามธรรมชาติ ลักษณะทีป่ รากฏจะอำนวย ประโยชนแ์ ก่สง่ิ มชี ีวติ ในแงข่ องการอยรู่ อด และสามารถสืบพันธุ์ได้ ลักษณะดงั กลา่ วท่คี งไว้ในสิ่งมีชีวิต นี้ถูกควบคุมโดยหน่วยพันธุกรรม สิ่งมีชีวิตที่ปรับตัวได้ดีจะสามารถดำรงชีวิตและแพร่พันธุ์ต่อไปได้ ดังนั้น สิ่งมีชีวิตจะมีการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้มีความคล้ายคลึงกับธรรมชาตทิ ีอ่ าศยั อยู่ทั้งนี้เพื่ออำ พรางศตั รทู จ่ี ะเขา้ มาทำรา้ ย และอำพรางเหยื่อท่หี ลงเข้าไปใกลต้ วั ซงึ เหย่อื ของสงิ่ มชี ีวิตแตล่ ะชนดิ จะ แตกตา่ งกนั เพ่อื ความสะดวกในการบรโิ ภค ตามรปู ภาพแสดงลกั ษณะปากของแมลงบางชนดิ การปรับตวั ดา้ นต่าง ๆ ของสงิ่ มีชวี ติ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะมีการปรับตัวให้เขา้ กับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยูเ่ สมอ ทั้งนี้กเ็ พือ่ ความ อย่รู อดและสามารถสืบพนั ธ์ุตอ่ ไปได้ แตเ่ นอ่ื งจากสงิ่ มีชวี ติ ในโลกมมี ากมายหลายชนดิ การปรบั ตัวของ สิง่ มีชีวิตแตล่ ะชนิดจึงมีลักษณะแตกตา่ งกันไป ซง่ึ จะพอสรุปได้ดงั น้ี การปรับตัวของจิ้งจก จิ้งจกจะปรับสีตามผนังหรือเพดานที่มันอาศัยอยู่ ถ้าเป็นตึกสีขาว จิ้งจกจะปรับตัวให้มีสีซีดเกือบขาว แต่ถ้าอยู่ตามบ้านไม้ ก็จะปรับสีเป็นสีน้ำตาลการปรับตัวของ นกเปด็ นำ้ นกเปด็ น้ำที่อาศัยและหากนิ อยู่ในน้ำจะปรบั ขนเปน็ มัน ขามีพงั ผดื ระหว่างนิว้ เพื่อใช้ในการ ว่ายน้ำและสะดวกในการจับปลากินเป็นอาหารการปรับตัวของสิ่งมีชีวิตต่างๆ เหล่านี้ มีจุดประสงค์ เพื่ออำพรางตวั ใหร้ อดพ้นจากการล่าของศตั รหู รอื อำพรางเหยื่อท่ีหลงเข้ามาใกลต้ วั และเพ่อื สะดวกใน การหาอาหารกิน สิ่งมีชีวิตบางชนิดจะมีการปรับตัวทางด้านรูปร่าง ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ธรรมชาติ ซึง่ เป็นแหล่งทอี่ ยูอ่ าศัย เพ่ืออำพรางศัตรูทจี่ ะเข้ามาทำรา้ ย เพอ่ื อำพรางเหย่ือที่หลงเข้ามา ใกลต้ ัว การปรับตวั ของต๊กั แตนทั้ง 3 ชนิด มกี ารปรบั ลักษณะรปู รา่ งดงั น้ี 1. ต๊ักแตนกง่ิ ไม้ มีลำตวั สนี ำ้ ตาลและขายาวเก้งกา้ ง เม่ือเกาะอยกู่ บั ที่นง่ิ ๆจะมลี กั ษณะคล้าย กง่ิ ไม้

11 2. ตกั๊ แตนใบโศก มลี ำตัวสีเขียวหรือสนี ้ำตาล เมอ่ื เกาะอยู่กบั ท่ีน่ิงๆปกี จะประกบกัน ทำให้ มองดคู ลา้ ยใบไม้ 3. ตั๊กแตนตำข้าว มีลำตัวสีเขียว ขาคู่หน้ามีขนาดใหญ่ และปลายขาจะมีอวัยวะสำหรับจบั เหยอื่ เมอ่ื เกาะอย่กู บั ทีน่ งิ่ ๆ ปกี จะซอ้ นกนั คลุมลำตวั มองดูคลา้ ยใบไม้ การปรับตัวของพชื การปรับตัวให้เข้ากบั ส่งิ แวดลอ้ ม นอกจากจะพบในสัตว์แลว้ ยังพบในพชื อีกด้วย การปรับตวั ของพชื ขึ้นอยูก่ บั ส่ิงแวดลอ้ มทอ่ี าศัยอยู่ เชน่ ผกั ตบชวา เปน็ พชื นำ้ จะมกี ้านใบท่ีพองออกเป็นกระเปาะ ภายในมชี อ่ งวา่ งระหวา่ งเซลลม์ ากน้ำหนักเบา ทำใหส้ ามารถลอยอยู่เหนอื น้ำได้

แบบทดสอบก่อนเรียน บทท่ี 2 คำช้ีแจง ให้ผ้เู รยี นทำเคร่ืองหมาย X หนา้ ข้อที่ถกู ที่สดุ 1. โครงสร้างของระบบนเิ วศประกอบดว้ ยปัจจยั 6. ถ้าตัดตน้ ไมป้ ่า จะทำให้เกิดส่ิงใดตามมา ใหญ่ๆ 2 ประการ คือ ก. นำ้ ปา่ ไหลหลาก สิ่งมีชวี ิตตาย ข. แผ่นดินไหว ภเู ขาไฟระเบดิ ก. ปัจจัยทางบกและน้ำ ค. เกดิ สนึ ามิ สง่ิ มชี ีวิตตาย ข. ปัจจยั ทางนำ้ และอากาศ ง. ภาวะเรือนกระจก ค. ปัจจัยทางกายภาพและชีวภาพ ง. ปจั จยั ทางกายภาพและเสถียรภาพ 7. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ประโยชนท์ างอ้อมของปา่ ไม้ 2. เพราะเหตุใด จงึ มักไม่พบตน้ หญา้ หรือไม้พุม่ ก. เป็นแหลง่ ทพี่ ักผ่อนหยอ่ นใจ ขนาดเลก็ ๆ ในป่าดงดบิ ข. ชว่ ยป้องกันการกัดชะลา้ งหน้าดนิ ค. เป็นยารักษาโรค ก. อุณหภมู ไิ ม่พอเหมาะ ง. ชว่ ยปรบั อุณหภูมอิ ากาศให้สม่ำเสมอ ข. ความช้นื ในอากาศสงู เกนิ ไป ค. ขาดแสงสว่างเพือ่ การสร้างอาหาร 8. ผลเสยี ของการทำลายปา่ ท่รี า้ ยแรงท่สี ุดคอื ข้อใด ง. ยงั ตัดสนิ แน่นอนไมไ่ ด้ ก.การขาดแหลง่ อาหาร ข.ทำใหด้ นิ สกึ กร่อน 3. ข้อใดเปน็ การอนรุ ักษ์ทรัพยากรธรรมชาตทิ ีด่ ี ค.เสียสมดุลธรรมชาติ ที่สดุ ง.เกิดภัยธรรมชาติ ก. การบกุ เบกิ ป่าชายเลนเพื่อเพิ่มพน้ื ที่ 9. ขอ้ ใดที่ช่วยรกั ษาอณุ หภมู ขิ องโลกทส่ี ำคญั ที่สดุ เพาะเล้ียงสัตว์นำ้ ชายฝงั่ ก. ป่าไม้ ข. ปา่ ชายเลน ข. การเพม่ิ ผลผลติ ของเกษตรกรโดยใชป้ ๋ยุ เคมี ค. ทะเล ในปริมาณมากตดิ ตอ่ กัน ง. ส่วนประกอบของอากาศ ค. การปฏิบตั ิตามผังเมืองเพ่อื รองรบั การ 10. ข้อใดเปน็ ความสำคัญของป่าชายเลน ขยายตวั ของประชากรท่เี พม่ิ มากขน้ึ ก. แหลง่ ท่องเทยี่ ว ข. แหลง่ จับปลานำ้ เคม็ ง. การปลอ่ ยป่าไม้ใหอ้ ยู่ตามธรรมชาติ โดยไมม่ ี ค. แหล่งเพาะเลย้ี งสตั ว์นำ้ การตดั เลย เพื่อเป็นการรกั ษาตน้ น้ำลำธาร ง. แหลง่ รกั ษาสมดุลในระบบนิเวศชายฝ่ัง 4.เหตใุ ดจงึ กล่าววา่ การปลูกป่าเป็นการอนรุ กั ษ์น้ำ ก. ป่าไมท้ ำให้ฝนตก ข. ป่าไม้คายน้ำให้อากาศ ค. ตน้ ไมเ้ กบ็ น้ำไวท้ ลี่ ำต้น ง. ต้นไม้ชะลอการระเหยและการไหลซึมของน้ำ 5. ผทู้ ่ีมีหน้าท่ีในการอนรุ กั ษ์และพัฒนาสิง่ แวดลอ้ ม ได้ดที ี่สดุ คือใคร ก. รัฐบาล ข. ประชาชน ค. นกั วิจยั ภาวะแวดล้อม ง. สำนกั งานคณะกรรมการส่งิ แวดล้อม แหง่ ชาติ

12 บทท่ี 2 องค์ประกอบ ความสัมพนั ธ์ การปรบั ตัวของส่ิงมีชีวิต การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนเิ วศ มนุษย์กับธรรมชาติจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างมีความสมดุล มนุษย์ต้องมีความสุขพอสมควร ธรรมชาติก็ต้องไม่เสียความสมดุล การที่มนุษย์จะอยู่กับธรรมชาติได้อย่างมีความสุขและเกิดสมดุล ธรรมชาตไิ ด้นนั้ มนษุ ย์จะตอ้ งเรียนร้เู รือ่ งธรรมชาติใหเ้ ข้าใจอย่างถ่องแท้ ทรัพยากรธรรมชาติ ทีม่ นษุ ย์ มีชีวติ ผกู พันธอ์ ย่างมากต้ังแต่อดีตจนถงึ ปจั จบุ นั และอนาคตสืบไปนน้ั คอื ทรัพยากรปา่ ไม้ นั่นหมายถึง ทกุ คนจะต้องเขา้ ใจอย่างลุ่มลึกในระบบนิเวศป่าไม้ จงึ จะอยู่กับธรรมชาติได้อยา่ งมคี วามสุข ระบบนเิ วศป่าไม้เป็นระบบนเิ วศธรรมชาติทม่ี ีองคป์ ระกอบของส่วนทไ่ี ม่มีชวี ติ และ ส่วนท่ีมี ชีวิต สว่ นทีไ่ ม่มชี ีวติ ไดแ้ ก่ ดนิ น้ำ อากาศ เป็นต้น ส่วนทม่ี ชี ีวติ ได้แก่ ตน้ ไม้ เถาวลั ย์ สตั วข์ นาดเล็ก ขนาดใหญ่ และนก เป็นตน้ สิ่งท่ีมีชวี ติ เหล่าน้ตี อ้ งอาศยั ส่วนทไ่ี มม่ ีชีวิต เชน่ นำ้ อากาศ ดนิ เพ่ือการ ดำรงชวี ติ และในขณะเดียวกนั ส่งิ ทมี่ ชี ีวติ ด้วยกันจะอยกู่ ันแบบพึง่ พาอาศัย เพ่ือการดำรงชวี ติ ท่ีดอี ยา่ ง ย่ังยืน สิ่งทมี่ ชี ีวิตในระบบนเิ วศปา่ ไม้ ไมว่ ่าจะเปน็ ตน้ ไม้ขนาดเลก็ หรือใหญ่ หรือสัตว์ขนาดเล็กหรอื ใหญ่ จะมีกฎเกณฑแ์ ละวินัยในการดำรงชีวิตท้ังนน้ั ทั้งนี้เพือ่ สรา้ งความสมดุลใหเ้ กดิ ข้ึนในระบบ จึง เห็นได้วา่ หากมนษุ ย์ไมเ่ ข้าไปรบกวน ระบบนเิ วศปา่ ไมจ้ ะสามารถปรับ ความสมดลุ ตามกฎเกณฑ์ ธรรมชาติได้ตลอดไป เม่ือมนษุ ย์เขา้ ไปใช้ประโยชนจ์ ากระบบนิเวศป่าไมจ้ ะตอ้ งเขา้ ใจความสมดุลของ ระบบนิเวศ วา่ เป็นอยา่ งไร มนุษยจ์ ะต้องใช้ประโยชน์จากปา่ โดยการเรยี นรแู้ ละลอกแบบธรรมชาติ เช่น จะตดั ต้นไม้ต้นไหนไปใช้ประโยชนก์ ็ตอ้ งพิจารณาเหน็ ว่าตน้ ไมต้ ้นนนั้ ไมส่ ามารถเจริญเติบโต ต่อไปไดแ้ ล้ว เป็นต้น หากมกี ารใช้ประโยชนโ์ ดยเรียนรู้จากความเป็นไปของธรรมชาติแล้ว มนุษย์ ก็จะอย่ไู ดก้ บั ธรรมชาติอยา่ งมีความสุข และในขณะเดยี วกันธรรมชาติก็จะมคี วามสมดุลตลอดไป เรอื่ งที่ 1 ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศปา่ ไมเ้ ป็นศนู ย์รวมความหลากหลายทางชีวภาพท่สี ำคัญที่สุดในโลก และเปน็ ปัจจยั หลกั ที่เก้ือกลู การดำรงชีวิตของประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะชนพื้นเมอื งและชุมชนท้อง ถิน่ ที่อาศัยอยใู่ นบริเวณปา่ ท้ังยงั ช่วยควบคุมสภาพอากาศใหเ้ หมาะสม เน่ืองจากเป็นแหลง่ ดดู ซับและ กกั เกบ็ คารบ์ อน การท่มี นุษยต์ ัดไม้ทำลายป่าการแบ่งปา่ เป็นผนื เลก็ ผนื น้อย และทำให้ปา่ เสื่อมสภาพ ลง สง่ ผลใหเ้ กิดการสญู เสียความหลากหลายทางชีวภาพของป่าไมท้ ว่ั โลก โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในปา่ เขต ร้อนทีม่ คี วามหลากหลายทางชีวภาพสงู สดุ ทีม่ าของภาพ : https://sites.google.com/site/nakhonbaykbank/rabb-niwes

13 ประเภทของระบบนิเวศ 1. ระบบนเิ วศบนบก (Terrestrial Ecosystems) เป็นระบบนเิ วศท่ีปรากฏอยู่บนพื้นดินซงึ่ แตกตา่ ง กันไปโดยใช้ลกั ษณะเดน่ ของพืชเป็นหลกั แบง่ ซงึ่ ข้ึนกบั ปจั จัยสำคญั 2 ประการ คือ อุณหภมู ิและปริมาณ น้ำฝน ทำใหพ้ ืชพรรณตา่ ง ๆ แตกตา่ งกัน ระบบนเิ วศบนบกนัน้ พอแบง่ ออกได้ดงั นี้ 1.1 ระบบนเิ วศปา่ ไม้ (Forest Ecosystem) เป็นระบบนิเวศทพ่ี นื้ ทส่ี ว่ นใหญป่ กคลุมไปด้วยปา่ ไม้ สามารถแบ่งยอ่ ยออกไปไดด้ งั น้ี 1) ระบบนิเวศปา่ ไม้เขตร้อน ได้แก่ ระบบนเิ วศป่าเบญจพรรณ ป่าเตง็ รงั ปา่ ดิบชน้ื ปา่ ดบิ แล้ง ปา่ ดบิ เขา เปน็ ต้น 2) ระบบนิเวศปา่ ไม้เขตอบอนุ่ ได้แก่ ระบบนเิ วศป่าผลัดใบเขตอบอุน่ ป่าเมดิเตอรเ์ รเนยี น 3) ระบบนิเวศป่าไมเ้ ขตหนาว ไดแ้ กร่ ะบบนิเวศปา่ สน 4) ระบบนเิ วศปา่ ชายฝัง่ (ปา่ ชายเลน ปา่ ชายหาด ปา่ โขดหิน) 1.2 ระบบนเิ วศทุ่งหญา้ (Grassland Ecosystem) เป็นระบบนเิ วศที่มีพืชตระกลู หญ้าเปน็ พชื เดน่ แบ่งได้ดงั น้ี 1) ระบบนเิ วศน์ทงุ่ หญา้ เขตร้อน ไดแ้ ก่ ระบบนิเวศทุ่งหญ้าซาวนั นา โดยมีทงุ่ หญ้าที่กวา้ ง ใหญท่ ส่ี ดุ ในโลกทร่ี ูจกั กนั ในนามทงุ่ หญ้าซาฟารี 2) ระบบนิเวศน์ทงุ่ หญ้าเขตอบอ่นุ ได้แก่ ระบบนิเวศทุ่งหญ้าแพรร่ี, ทุ่งหญา้ สเตปป์ 3) ระบบนิเวศน์ท่งุ หญา้ เขตหนาว ทงุ่ หญา้ ทุนดรา 1.3 ระบบนเิ วศทะเลทราย (Desert Ecosystem) เป็นพ้ืนทที่ ี่มปี ริมาณฝนตกน้อยกวา่ ปรมิ าณการ ระเหยน้ำ แต่บางพื้นที่อาจมฝี นตกบ้างเลก็ นอ้ ยกจ็ ะมีหญ้าเขตแหง้ แลง้ งอกงามได้ ได้แก่ 1) ระบบนเิ วศนท์ ะเลทรายเขตรอ้ น ทะเลทรายเขตอบอนุ่ 2) ระบบนิเวศนท์ ่งุ หญา้ กงึ่ ทะเลทรายเขตร้อน ทุง่ หญ้ากึง่ ทะเลทรายเขตรอ้ น 2. ระบบนเิ วศทางน้ำ (Aquatic Ecosystems) เปน็ ระบบนิเวศในแหล่งนำ้ ตา่ ง ๆ ของโลก ซ่งึ โครงสรา้ งหลัก คอื น้ำนนั่ เอง แบง่ ออกได้ดังนี้ 2.1 ระบบนเิ วศน้ำจืด (Fresh water Ecosystem) เป็นระบบทีน่ ำ้ เปน็ น้ำจืด อาจแบง่ ยอ่ ย เป็น 2.1.1 ระบบนเิ วศน้ำนงิ่ เชน่ หนอง บึง ทะเลสาบน้ำจืด เป็นตน้ 2.1.2 ระบบนเิ วศน้ำไหล เช่น ลำธาร ห้วย แมน่ ้ำ เป็นตน้ 2.2 ระบบนเิ วศนำ้ กรอ่ ย (Estuarine Ecosystem) เป็นระบบนเิ วศทีเ่ กดิ ขึ้นตรงรอยต่อ ระหวา่ งน้ำจืดกบั นำ้ เคม็ มกั เปน็ บรเิ วณท่ีเปน็ ปากแม่น้ำต่าง ๆ จะมตี ะกอนมากจงึ มปี า่ ไมก้ ลุ่มป่าชายเลนข้นึ จึงเรยี กวา่ ระบบนเิ วศป่าชายเลน แตบ่ างพ้นื ทอ่ี าจเปน็ แอ่งน้ำขนาดใหญ่ เช่น ทะเลสงขลาตอนกลางก็จะมี ลกั ษณะเปน็ ทะเลสาบน้ำกรอ่ ยมีพชื น้ำสลบั กบั ป่าโกงกาง 2.3 ระบบนิเวศนำ้ เค็ม (Marine Ecosystem) เปน็ ระบบนเิ วศทีม่ ีน้ำเป็นนำ้ เคม็ โดยปกติจะ มคี วามเค็มประมาณพนั ละ 35 มีท้งั ทเี่ ป็นทะเลปิดและทะเลเปิด เนอื่ งจากเป็นหว้ งนำ้ ขนาดใหญ่ จงึ นิยม แบ่งออกเปน็ ระบบนเิ วศย่อยตามความลึกของนำ้ อีกดว้ ย คือ 2.3.1 ระบบนเิ วศชายฝัง่ (Coastal Ecosystem) เป็นบริเวณท่ีตกอยูภ่ ายใตอ้ ิทธพิ ลของ น้ำขึ้นนำ้ ลง ส่ิงมีชวี ิตต้องปรบั ตวั ให้เขา้ กบั สภาพการเปลยี่ นแปลงของระดับน้ำดังกลา่ ว มรี ะบบย่อย 2 ประเภท คอื ระบบนิเวศโขดหนิ ชายฝ่งั และ ระบบนิเวศชายหาด

14 2.3.2 ระบบนิเวศน้ำตืน้ เปน็ ระบบนเิ วศท่ีนบั จากระบบนิเวศชายฝ่ังลงไปจนถงึ นำ้ ลึก 200 เมตร 2.3.3 ระบบนิเวศทะเลลกึ เป็นระบบนเิ วศทีน่ บั ต่อเนือ่ งจากความลกึ 200 เมตรลงไปถึง ทอ้ งทะเล สว่ นน้มี กั เป็นบริเวณทแ่ี สงแดดสอ่ งลงไปไมถ่ ึง ดงั นนั้ จึงขาดแคลนผผู้ ลิตของระบบ สตั ว์น้ำตา่ ง ๆ จงึ มจี ำนวนนอ้ ยและใช้ชีวติ โดยรอซากสง่ิ ชวี ิตอื่นทตี่ ายจากดา้ นบนแลว้ ความสำคัญของระบบนเิ วศปา่ ไม้ • แหล่งรวมพันธ์ไุ มแ้ ละสตั วป์ า่ ต่าง ๆ ชว่ ยกำบังลมพายุ • แหลง่ ตน้ นำ้ ลำธาร ทำใหฝ้ นตกตามฤดกู าล • ชว่ ยควบคมุ อุณหภมู ิบนโลก ช่วยรกั ษาความชมุ่ ช้นื ของผิวดนิ และอากาศ • ผลิตกา๊ ซออกซเิ จน (O2) และใช้กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แหล่งสะสมปุ๋ยธรรมชาติ • ลดความรนุ แรงของน้ำปา่ และการพังทลายของหน้าดินทเ่ี กิดจากกระแสน้ำไหลบ่าลักษณะของปา่ ระบบนิเวศปา่ ชายหาด (Beach forest) เป็นป่าทอี่ ยตู่ ามชายฝ่ังทะเลทมี่ ีดนิ เป็นกรวด ทราย และโขดหนิ พรรณไม้นอ้ ยชนดิ และผิดแผกไป จากป่าอ่นื อยา่ งเดน่ ชดั ถา้ เปน็ แหล่งดนิ ทรายจะมีพวกสนและพรรณไมเ้ ล้ือยอนื่ ๆ บางชนิด ถ้าดินเป็นกรวด หิน พรรณไม้ส่วนใหญจ่ ะเปน็ พวกกระทงิ ไม้เมา หูกวาง และเกด เปน็ ตน้ ภาพนเิ วศป่าชายหาด ท่มี าของภาพ : https://kaewtopten10.wordpress.com/ทรพั ยากรธรรมชาติ/ทรัพยากรป่าไม้/ ระบบนิเวศป่าชายเลน ความสำคัญ เปน็ แหลง่ อาศยั ของและขยายพันธส์ุ ัตว์นำ้ เป็นตัวกลางทำให้เกิดความสมดุลระหว่างทะเล กบั บก เป็นแหลง่ พันธไ์ุ มต้ า่ งๆ ทม่ี คี วามสำคัญทางเศรษฐกจิ หลายอยา่ ง เปน็ แหล่งอาการทมี่ ีความอุดมสมบูรณ์ เป็นฉากกำบังลม ป้องกันการชะล้างทร่ี นุ แรงท่เี กดิ จากลมมรสุมและเป็นเสมอื นกำแพงปอ้ งกันการพงั ทลายของ ดิน รากพันธ์ุไมช้ ว่ ยกรองสงิ่ ปฏิกูลต่าง ๆ ในนำ้

15 ลกั ษณะของป่าชายเลนปา่ ชายเลนเกิดจากการทับถมของตะกอนบริเวณปากแม่นำ้ ประกอบไปดว้ ย ทราย โคลน และดนิ ภาพ ระบบนเิ วศปา่ ชายเลน ท่มี าของภาพ : shorturl.at/ktCIZ เร่อื งท่ี 2 ระบบนิเวศแหล่งน้ำจืด เปน็ แหลง่ อาศัยของสตั ว์น้ำและพชื น้ำ เปน็ แหลง่ อาหารทสี่ ำคญั ของมนษุ ยแ์ ละสตั วต์ ่าง ๆ เป็นแหล่ง ทีใ่ หน้ ำ้ ในการอุปโภค บริโภค และทำการเกษตร ตวั อย่างสิ่งมีชวี ิตในแหลง่ นำ้ จืด พชื เช่น จอก สาหรา่ ย แหน เป็นต้น สัตว์ เช่น หอย ปลาต่างๆ กุ้ง เป็นต้น ปัจจัยที่มีผลต่อการดำรงชีพ ปัจจัยต่างๆ ตาม ธรรมชาติ ได้แก่ แสง อุณหภูมิ ปริมาณก๊าซออกซิเจน ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ปริมาณแร่ ธาตุ ความข่นุ ในของนำ้ ปัจจยั ทางชีวภาพ ได้แก่ ชนิดและปรมิ าณของสงิ่ มชี วี ติ แตล่ ะชนดิ ปัจจัยทเ่ี กดิ จากการ กระทำของมนษุ ย์ ไดแ้ ก่ การใชย้ าฆ่าแมลง ซึง่ เมอื่ ชะลา้ งลงส่แู หลง่ น้ำจะไปทำลายสงิ่ มชี วี ติ ในน้ำ น้ำบางชนิด ทำให้มีผลกระทบต่อการถ่ายทอดพลังงานและสมดุลทางธรรมชาติในแหล่งน้ำสิ่งมีชีวิตในแหล่งน้ำ ผู้ผลิต ได้แก่ พชื ตา่ ง ๆ ซึง่ ในแหลง่ น้ำมที ้ังท่ีเป็นพวกแพลงก์ตอน (Plankton) สาหร่ายต่าง ๆเฟริ น์ และพืช ดอก ผบู้ ริโภค ได้แก่ พวกแพลงก์ตอนสัตว์ แมลงต่าง ๆ และสัตว์พวกกนิ ซากอินทรีย์ ผูย้ อ่ ยสลาย มที ั้งพวก แบคทเี รยี เห็ด รา ระบบนิเวศแหลง่ นำ้ จดื แบง่ ตามลกั ษณะของแหลง่ นำ้ เป็น 2 ประเภท ระบบนิเวศแหลง่ นำ้ จดื มี 2 ระบบ คอื 1. ชุมชนในแหลง่ นำ้ น่ิง - ผู้ผลติ คือ พชื ท่ีมีรากยึดอยใู่ นพ้นื ดนิ ใตท้ ้องนำ้ เชน่ พวก กก บวั กระจูด นอกจากนีย้ งั มี แพลงกต์ อนพืช และพืชลอยนำ้ ตา่ งๆ เช่น สาหร่าย ไดอะตอม แหน จอก เป็นต้น - ผบู้ ริโภค คอื สิง่ มชี ีวติ ท่ีเกาะอยตู่ ามทอ้ งนำ้ แพลงกต์ อน และสิ่งมีชวี ิตทเี่ กาะอยตู่ ามตน้ ไม้ หรือใบไม้ ของพืชน้ำ เช่น หอยโขง่ หอยขม ไฮดรา พลานาเรยี

16 ภาพ กระยางหากนิ อาหารในแหลง่ นำ้ จืด ที่มาของภาพ : shorturl.at/itvMN 2. ชมุ ชนในแหลง่ นำ้ ไหล เขตน้ำไหลเชีย่ ว (Rapid Zone) เป็นบรเิ วณทกี่ ระแสน้ำไหลปรง ก้นลำธารสะอาดไมม่ กี าร สะสมของ ตะกอนใตน้ ้ำเหมาะกบั การดำรงของสิ่งมีชีวติ พวกท่สี ามารถเกาะตดิ กับวัตถุใตน้ ำ้ ได้ หรอื คืบคลานไป มาได้ สะดวก หรือ พวกท่ีสามารถวา่ ยนำ้ ทส่ี ู้ความแรงของกระแสนำ้ ได้ จะไมพ่ บแพลงก์ตอนเขตน้ำไหลเออื่ ย (Pool Zone) เปน็ บรเิ วณท่ีมีความลึกและความเร็วของ เรอ่ื งท่ี 3 ระบบนเิ วศน้ำเค็ม แหลง่ น้ำเค็มได้แก่ ทะเลและมหาสมุทร จดั เป็นแหลง่ นำ้ ไหลเนือ่ งจากมกี ระแสคลืน่ เกิดขน้ึ ตลอดเวลา ระบบนเิ วศทางบทะเลเป็นระบบนเิ วศท่มี ีขนาดใหญ่ มพี ้ืนประมาณ 3 ใน 4 สว่ น ของผิวโลก สามารถแบ่งเขต ออกเป็น 2 บริเวณ คอื - บริเวณชายฝงั่ ทะเล (coastal zone) เปน็ บรเิ วณทอ่ี ยตู่ ิดกับพนื้ ดนิ ท่มี ีความลาดชนั น้อยและ ค่อนขา้ งอุดมสมบรู ณ์ เน่ืองจากไดร้ บั อทิ ธพิ ลของกระแสน้ำขนึ้ น้ำลง และได้รับธาตุอาหารจากการชะล้าง ผิวหน้าดนิ ลงสแู่ หล่งนำ้ - บริเวณทะเลเปิด (open sea) เปน็ บริเวณทอ่ี ยหู่ ่างออกจากชายฝั่ง พน้ื ทีม่ ีความลาดชนั เพิ่มข้ึนตาม ความลึกของน้ำ สามารถแบ่งออกเป็นเขตตา่ งๆ ได้ 3 เขต คอื เขตท่แี สงสอ่ งถงึ เขตทมี่ แี สงนอ้ ย และเขตทไี่ มม่ ี แสง ระบบนิเวศหาดหนิ (rocky shore) ประกอบด้วยชายฝั่งทะเล ซึ่งมีทั้งหาดทรายและหาดหิน เป็นบริเวณที่จะถูกน้ำทะเลซัดขึ้นมา ตลอดเวลา ฉะนั้นสัตว์ที่อาศัยบริเวณนี้ต้องคงทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ได้แก่ แมลงสาบทะเล (ligio) หอยนางรม ลิม่ ทะเล หอยหมวกเจก๊ (limpets) เพรียงหิน เมน่ ทะเล ดอกไม้ทะเล สาหร่ายสแี ดง

17 ภาพระบบนิเวศหาดหนิ ทม่ี าของภาพ : https://tripderntang.com/หาดหินงาม/ ระบบนเิ วศหาดทราย (sandy beach) สิ่งมีชวี ติ ทอี่ ย่ใู นระบบนตี้ อ้ งมีการปรับตัวมาก เพราะคลนื่ ซัดทรายในสภาพที่รนุ แรง เชน่ ปูลม เคลอ่ื นที่ได้รวดเรว็ และมีเหงอื กใหญ่ชมุ่ ชน้ื อยู่เสมอทนความแหง้ แล้งได้ดี นอกจากนย้ี งั มีพวกหอยเสียบ หอย ทบั ทมิ ชอบฝงั ตัวหรือขดุ รูอยูใ่ นทราย ระบบนิเวศหาดเลนหรือหาดโคลน (mud flat) พบบริเวณชายฝั่งที่มีความลาดชันน้อยคลื่นลมและกระแสน้ำไม่รุนแรง พบบริเวณชายฝั่งใกล้ปาก แม่น้ำหรือลำคลองที่มีน้ำจืดไหลลงสู่ทะเลบริเวณอ่าวที่มีแนวเกาะกำบังลมสภาพอ่าวที่มีลักษณะปิด และ ทะเลสาบ หาดเลนเกิดจากการทับถมของตะกอนขนาดเล็ก ซึ้งมีความอดุ มสมบูรณ์และมีธาตุอาหารสูงดังนัน้ จึงเป็นแหล่งอาหารของชนิดพนั ธุ์หอยและสัตว์ทะเลท่ีไมม่ ีกระดูกสันหลงั หลายชนดิ แม้วา่ เลนจะมีธาตุอาหาร มากแตม่ เี พียงพชื บางชนดิ เทา่ นัน้ ทสี่ ามารถเจริญเตบิ โตได้ ซึ่งลว้ นแตม่ ีการปรับตวั ให้เหมาะสมกับสภาพของป่า ชายเลน สามารถยึดเกาะกับเลนไดโ้ ดยการขยายรากให้มาก และแผเ่ ป็นบรเิ วณกว้าง ทำใหเ้ ป็นแหล่งอาศัยและ วางไขข่ องสตั ว์นำ้ ขนาดเล็กไดด้ ี เลนเม่ือถูกทบั ถมกนั จนเปน็ เวลานานกจ็ ะงอกเงย กลายเป็นแผน่ ดินใหมข่ ึ้นมา ภาพ หาดเลน ที่มาของภาพ : https://www.emagtravel.com/archive/samroiyod-nationalpark.html

18 เรื่องที่ 4 ระบบนิเวศในนาขา้ ว ระบบนิเวศในนาข้าวของเราประกอบไปด้วยศตั รทู างธรรมชาติ ทีเ่ ป็นจำพวกแมลง และวัชพืช แต่ก็มี แมลงทางธรรมชาติกลุ่มหนึ่งที่มีประโยชน์ เช่น แมงมุม และโรคแมลงต่าง ๆ จำนวนมาก คอยทำลายแมลง ศัตรูข้าว แมลงศัตรูธรรมชาติที่มีประโยชน์เหล่านี้คอยควบคุมจำนวนแมลงศัตรูข้าว ให้อยู่ในสมดุลที่จะไม่ ทำลายข้าวให้เสียให้เสียหาย โดยเฉพาะในนาข้าวที่ไม่มีการการใช้สารเคมีฆ่า แมลงจะทำให้แมลงศัตรู ธรรมชาติมีชีวิตและเจริญพันธุ์ต่อไปได้ ถ้าปราศจากแมลงศัตรูพืชเหล่านี้ แมลงศัตรูข้าวจะเพิ่มขึ้นอย่าง รวดเร็วจนทำความเสียหายให้แก่ข้าวในนาได้อย่างมาก แมลงศัตรูข้าวและแมลงศัตรูธรรมชาติมีจำนวน มากมายหลายชนิด เกษตรกรจึงควรทำความรู้จักวา่ อะไรคือ แมลงศัตรูข้าว อะไรคือ แมลงศัตรูธรรมชาตทิ ี ควรอนุรักษ์ให้มีอยู่ในนาข้าว ในที่นี้ได้หยิบ ยกมานำเสนอเพียงให้ แต่ในความรู้ความเข้าใจ ซึ่งในความเป็น จรงิ แล้วทั้งแมลง ดีแมลงรา้ ย ในนาข้าวนั้น มีอกี หลายชนิด เนื่องจากการทำนาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ไม่มีการพักดิน และการบริหารจัดการแมลงศัตรูข้าวท่ี ถูกต้อง และเหมาะสม ทำให้เกิดการระบาดของแมลงศัตรูข้าว โดยเฉพาะเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล ซึ่งทำความ เสยี หายรนุ แรงตอ่ ผลผลติ ขา้ วของประเทศไทยในปี 2552 - 2553 ภาพ ระบบนิเวศในนาขา้ ว ทมี่ าของภาพ : http://srwpoemblog.blogspot.com/2010/07/blog-post_22.html การใช้สารฆา่ แมลงควบคุมเพล้ยี กระโดดสีนำ้ ตาลในนาข้าว ส่งผลกระทบตอ่ สภาพแวดลอ้ ม บางครั้ง เป็นการเพมิ่ การระบาดของเพลี้ยฯ มากยิง่ ข้นึ รวมถึงสขุ ภาพร่างกายของเกษตรกรกไ็ ดร้ ับสารพิษจากการพ่น สารฆ่าแมลงดงั กลา่ ว

แบบทดสอบก่อนเรียน บทท่ี 3 คำช้ีแจง : ให้กาเคร่อื งหมาย X หนา้ ข้อท่ถี กู ทส่ี ุดเพยี งขอ้ เดียว 1. การอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตหิ มายถึงอะไร 6. การกระทำทป่ี ่าไมถ้ กู ทำลายเสียหายท่จี ดั ว่า ก. การมีมาตรการและปอ้ งกนั ค้มุ ครอง ร้ายแรงทสี่ ดุ ไดแ้ ก่ ข. การควบคมุ มิใหม้ ีการทำลายทรพั ยากร ก.การนำไม้ออกจากปา่ อยา่ งผิดกฎหมาย ค. การใช้ทรัพยากรให้มีคณุ ค่าตอ่ ชีวติ มนษุ ย์ ข. การตดั ไม้ทำฝืนเผาถ่านทผ่ี ิดกฎหมาย ง. การใชท้ รัพยากรธรรมชาติอย่างเหมาะสมโดยใหเ้ กดิ ค. การทำไรเ่ ลื่อนลอยบรเิ วณตน้ น้ำลำธาร ง. การถางป่าเพ่ือตอ้ งการท่ดี ินทำกสกิ รรม การสมดลุ 7. ข้อใด ไมใ่ ช่ การอนรุ ักษ์ทรัพยากรในท้องถ่นิ 2. ขอ้ ใดเป็นผลกระทบที่เกิดจากการทำลายป่าไม้ ก. การทำฝายชะลอนำ้ ก. ระบบนเิ วศเปล่ยี นแปลง ข. การปลูกข้าวนาปลงั ข. อากาศหนาวจัด เช่น ภาคเหนอื ค. การปลกู ปา่ ชายเลน ง. การใชส้ าร EM ช่วยบำบดั น้ำเสยี ค. อุณหภมู สิ งู ตอนกลางคืนท่ี จ.กาญจนบรุ ี ง. เกิดอุทกภัยทภ่ี าคใต้ 8. การทำลายปา่ ก็จัดเปน็ การทำลายความ หลากหลายของสตั ว์ เพราะเหตผุ ลในข้อใด 3. ข้อใด ไมใ่ ช่ ความสำคญั ของทรัพยากรป่าไม้ ก. เป็นแหล่งปจั จัยพ้ืนฐานในการดำรงชีวติ ก. ป่าใหอ้ ากาศและกา๊ ซในการหายใจ ข. เป็นแหลง่ พืชสมุนไพรยารกั ษาโรค ข. ปา่ ให้รม่ เงาและอากาศสดชื่น ค. ป่าใหแ้ หลง่ ที่อยู่อาศยั และอาหาร ค. เปน็ แหล่งตน้ นำ้ ลำธารและสนั ทนาการ ง. ปา่ ใหน้ ำ้ อากาศและพลังงาน ง. เป็นตัวกำหนดลกั ษณะระบบการศึกษาธรรมชาติ 9. การลดลงของพ้นื ที่ป่ามดี ว้ ยกนั หลายปัจจัย 4. สาเหตสุ ำคัญท่สี ุดของปญั หาวกิ ฤตการณด์ ้านการทำลาย ปัจจัยใดเป็นผลมาจากธรรมชาติเอง ระบบนเิ วศและสงิ่ แวดลอ้ ม คอื ขอ้ ใด ก. การขยายตวั ของอตุ สาหกรรมเหมอื งแร่ ก. การเพม่ิ ขน้ึ ของประชากร ข. การเกดิ อุทกภัยรา้ ยแรง ข. การขยายตัวทางเศรษฐกจิ ค. การสร้างฝายทดน้ำในแหล่งต้นนำ้ ลำธาร ค. ภยั ธรรมชาตแิ ละอบุ ตั ิเหตุ ง. การเกิดไฟปา่ ง. ความเจริญทางดา้ นเทคโนโลยี 10. โครงการปลกู หญ้าแฝก ปลูกแผ่นดนิ ตามแนว พระราชดำรเิ กิดการอนรุ ักษร์ ะบบนเิ วศอย่างไร 5. ทรัพยากรธรรมชาติในข้อใดทีเ่ ปน็ ปัจจัยพ้ืนฐานของ ก. ทำใหบ้ รเิ วณที่ปลกู มีดินเพ่มิ ข้นึ กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ข. ลดการพังทลายของหนา้ ดนิ ค. เป็นแหล่งทีอ่ ยู่อาศยั ของแมลง ก. น้ำ ข. ป่าไม้ ง. ช่วยเพิ่มออกซเิ จนในดิน ค. อากาศ ง. พลงั งาน

19 บทที่ 3 การวางแผนเขียนโครงการ และวิธกี ารสำรวจระบบนเิ วศในท้องถิน่ ความหมายของการวางแผน มผี ู้ใหค้ ำจำกดั ความของการวางแผนไว้หลายลกั ษณะ เช่น การ วางแผน คือ การมองอนาคต การเล็งเห็นจุดหมายที่ต้องการ การคาดปัญหาเหล่านั้นไว้ล่วงหน้าไว้ อย่างถูกตอ้ ง ตลอดจนการหาทางแก้ไขปญั หาตา่ ง ๆ เหลา่ นัน้ ถ้าจะกลา่ วโดยสรุป การวางแผนก็คือการคิดการหรือกะการไว้ล่วงหนา้ วา่ จะทำอะไร ทำไม ทำท่ีไหน เมือ่ ไร อย่างไร และใครทำ การวางแผนจึงเป็นเรือ่ งทเี่ กย่ี วกบั - อนาคต - การตดั สินใจ - การปฏิบตั ิ ความสำคัญของการวางแผน ถ้าจะเปรียบเทียบระบบการศึกษากับคน การวางแผนก็เปรยี บเสมือนสมองของคน ซึ่งถ้า มองในลกั ษณะนแี้ ล้ว การวางแผนกม็ คี วามสำคัญไมน่ ้อยทเี ดยี ว เพราะถ้าสมองไม่ทำงานสว่ นอืน่ ๆ ของร่างกาย เช่น แขน ขา ก็จะทำอะไรไม่ได้ หรอื ถา้ คนทำงานไม่ใช้สมอง คือทำงานแบบไมม่ หี ัวคิดก็ ลองนึกภาพดกู แ็ ลว้ กนั ว่าจะเป็นอย่างไร คนทุกคนต้องใช้สมองจงึ จะทำงานได้ ระบบการศึกษาหรอื การจัดการศกึ ษาก็เช่นเดยี วกนั ต้องมกี ารวางแผน คือ อยา่ งน้อยตอ้ งมคี วามคิด การเตรยี มการวา่ จะ จัดการศกึ ษาเพื่ออะไร เพ่ือใคร อย่างไร การวางแผนมปี ระโยชนใ์ นหลายเรื่องด้วยกนั เช่น 1. การวางแผนเปน็ เครื่องชว่ ยให้มีการตัดสินใจอย่างมีหลกั เกณฑ์ เพราะได้มกี ารศึกษาสภาพ เดมิ ในปจั จุบันแล้ว กำหนดสภาพใหม่ในอนาคต ซ่ึงไดแ้ ก่การต้งั วตั ถปุ ระสงค์ หรือเป้าหมาย แล้วหา ลู่ทางท่จี ะทำให้สำเรจ็ ตามท่มี งุ่ หวงั นักวางแผนมีหน้าท่จี ัดทำรายละเอียดของงานจัดลำดบั ความสำคญั พร้อมทัง้ ขอ้ เสนอแนะทีค่ วรจะเปน็ ต่าง ๆ เพอ่ื ใหผ้ มู้ ีหนา้ ท่ีตัดสินใจพจิ ารณา 2. การวางแผนเปน็ ศูนยก์ ลางประสานงานเช่น ในการจดั การศึกษาเราสามารถใช้การวางแผน เพ่อื ประสานงานการศึกษาทุกระดับและทุกสาขาใหส้ อดคลอ้ งกันได้ 3. การวางแผนทำให้การปฏบิ ัติงานตา่ ง ๆ เปน็ ไปโดยประหยดั มีประสทิ ธภิ าพและ ประสิทธผิ ล เพราะการวางแผนเป็นการคิดและคาดการณไ์ ว้ล่วงหนา้ และเสนอทางเลือกท่ีจะกอ่ ใหเ้ กดิ ผลท่ีดีทส่ี ุด 4. การวางแผนเปน็ เครอ่ื งมอื ในการควบคมุ งานของนักบริหารเพ่อื ติดตามตรวจสอบการ ปฏิบตั ิงานของฝ่ายตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นไปตามนโยบายและเป้าหมายทต่ี ้องการ ความหมายของโครงการ พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายของคำโครงการวา่ หมายถงึ \"แผนหรือเคา้ โครงการตามท่กี ำหนดไว้\"โครงการเปน็ ส่วนประกอบส่วนหน่งึ ในการวางแผนพัฒนาซง่ึ ช่วยให้เห็นภาพ และทิศทางการพฒั นา ขอบเขตของการทสี่ ามารถตดิ ตามและประเมนิ ผลได้

20 โครงการเกิดจากลักษณะความพยายามที่จะจัดกิจกรรม หรือดำเนินการให้บรรจวุ ัตถปุ ระสงค์ เพื่อบรรเทาหรอื ลดหรอื ขจัดปญั หา และความต้องการทัง้ ในสภาวการณป์ ัจจุบนั และอนาคต โครงการ โดยทว่ั ไป สามารถแยกไดห้ ลายประเภท เชน่ โครงการเพ่อื สนองความต้องการ โครงการพฒั นาทว่ั ๆ ไป โครงการตามนโยบายเร่งดว่ น เป็นตน้ องคป์ ระกอบของโครงการ องคป์ ระกอบพืน้ ฐานในโครงการแต่ละโครงการนน้ั ควรจะมดี ังนี้ 1.ช่ือโครงการ ใหร้ ะบุชือ่ โครงการตามความเหมาะสม มีความหมายชดั เจนและเรยี กเหมอื นเดมิ ทกุ คร้งั จนกวา่ โครงการจะแลว้ เสร็จ 2.หลักการและเหตุผล ใช้ช้แี จงรายละเอียดของปญั หาและความจำเป็นท่ีเกิดขึ้นทจี่ ะตอ้ งแกไ้ ข ตลอดจน ชี้แจงถึง ผลประโยชน์ที่จะไดร้ ับจากการดำเนินงานตามโครงการและหากเป็นโครงการทจ่ี ะดำเนินการตาม นโยบาย หรอื สอดคลอ้ งกบั แผนจังหวัดหรือแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ หรอื แผนอื่น ๆ ก็ ควรชีแ้ จงดว้ ย ท้งั นผ้ี เู้ ขียนโครงการบางทา่ นอาจจะเพิม่ เติมข้อความว่าถ้าไม่ทำโครงการดงั กลา่ วผล เสยี หายโดยตรง หรือผลเสียหายในระยะยาวจะเปน็ อย่างไร เพื่อใหผ้ ูอ้ นมุ ตั ิโครงการได้เห็นประโยชน์ ของโครงการกวา้ งขวางขน้ึ 3.วัตถุประสงค์ เป็นการบอกใหท้ ราบวา่ การดำเนนิ งานตามโครงการน้นั มีความต้องการใหอ้ ะไรเกดิ ขึ้น วัตถปุ ระสงค์ท่ี ควรจะระบไุ ว้ควรเปน็ วตั ถปุ ระสงค์ทช่ี ดั เจน ปฏิบตั ิได้และวดั และประเมินผลได้ ใน ระยะหลงั ๆ น้ีนักเขยี นโครงการทีม่ ผี ู้นยิ มชมชอบมักจะเขยี นวัตถุประสงค์เปน็ วตั ถุประสงค์เชิง พฤตกิ รรม คอื เขยี นใหเ้ ปน็ รปู ธรรมมากกว่าเขียนเป็นนามธรรม การทำโครงการหนึง่ ๆ อาจจะมี วตั ถุประสงค์มากกว่า 1 ขอ้ ได้ แต่ทงั้ น้กี ารเขยี นวตั ถปุ ระสงค์ไว้มาก ๆ อาจจะทำให้ผูป้ ฏิบัตมิ องไม่ ชดั เจน และอาจจะดำเนินการใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงคไ์ มไ่ ด้ ดงั นนั้ จงึ นิยมเขยี นวัตถุประสงคท์ ่ีชดั เจน- ปฏบิ ตั ิได้-วดั ได้ เพยี ง 1-3 ข้อ 4.เปา้ หมาย ใหร้ ะบุว่าจะดำเนนิ การสง่ิ ใด โดยพยายามแสดงใหป้ รากฏเปน็ รูปตัวเลขหรอื จำนวนทจ่ี ะทำ ไดภ้ ายในระยะเวลาท่กี ำหนด การระบเุ ปา้ หมาย ระบเุ ป็นประเภทลกั ษณะและปรมิ าณ ให้สอดคลอ้ ง กบั วตั ถุประสงค์และความสามารถในการทำงานของผรู้ บั ผิดชอบโครงการ 5.วิธดี ำเนินการหรือกจิ กรรมหรือขน้ั ตอนการดำเนินงาน คอื งานหรอื ภารกิจซงึ่ จะต้องปฏบิ ัติในการดำเนินโครงการใหบ้ รรลตุ ามวัตถุประสงค์ ในระยะ การเตรยี มโครงการจะรวบรวมกิจกรรมทุกอยา่ งไวแ้ ลว้ นำมาจัดลำดบั วา่ ควรจะทำสงิ่ ใดก่อน-หลัง หรือ พรอ้ ม ๆ กนั แล้วเขียนไวต้ ามลำดับ จนถึงขั้นตอนสดุ ท้ายทีท่ ำใหโ้ ครงการบรรลวุ ัตถุประสงค์ 6.ระยะเวลาการดำเนินงานโครงการ คอื การระบุระยะเวลาต้งั แต่เรมิ่ ต้นโครงการจนเสรจ็ สิ้นโครงการปจั จบุ นั นิยมระบุ วนั -เดอื น-ปี ที่เร่มิ ตน้ และเสร็จสนิ้ การระบจุ ำนวน ความยาวของโครงการเช่น 6 เดอื น , 2 ปี โดยไม่ระบเุ วลา เร่ิมต้น-ส้นิ สุด เป็นการกำหนดระยะเวลาทไี่ ม่สมบูรณ์

21 7.งบประมาณ เป็นประมาณการค่าใชจ้ า่ ยทั้งส้ินของโครงการ ซ่งึ ควรจำแนกรายการค่าใช้จ่ายไดอ้ ย่างชัดเจน งบประมาณอาจแยกออกได้เปน็ 3 ประเภท คอื - เงินงบประมาณแผน่ ดนิ - เงนิ กูแ้ ละเงนิ ช่วยเหลือจากตา่ งประเทศ - เงินนอกงบประมาณอนื่ ๆ เช่น เงนิ เอกชนหรือองคก์ ารเอกชน เป็นต้น การระบยุ อดงบประมาณ ควรระบแุ หล่งท่มี าของงบประมาณดว้ ย นอกจากนหี้ วั ข้อน้ีสามารถ ระบุทรพั ยากรอ่นื ทีต่ อ้ งการ เช่น คน วัสดุ ฯลฯ 8. เจา้ ของโครงการหรือผรู้ ับผดิ ชอบโครงการ เปน็ การระบเุ พื่อใหท้ ราบว่าหน่วยงานใดเปน็ เจา้ ของหรือรบั ผดิ ชอบโครงการ โครงการยอ่ ย ๆ บาง โครงการระบุเป็นช่อื บุคคลผูร้ ับผดิ ชอบเป็นรายโครงการได้ 9.หน่วยงานท่ีใหก้ ารสนบั สนนุ เป็นการใหแ้ นวทางแก่ผ้อู นุมตั แิ ละผู้ปฏิบัติว่าในการดำเนินการโครงการน้นั ควรจะประสานงานและ ขอความร่วมมอื กบั หนว่ ยงานใดบ้าง เพอื่ บรรลุวัตถปุ ระสงค์ทตี่ ั้งไว้ 10.การประเมินผล บอกแนวทางวา่ การติดตามประเมินผลควรทำอยา่ งไรในระยะเวลาใดและใชว้ ธิ ีการอย่างไรจงึ จะเหมาะสม ซงึ่ ผลของการประเมินสามารถนำมาพิจารณาประกอบการดำเนนิ การ เตรียมโครงการท่ี คล้ายคลึงหรอื เก่ยี วขอ้ งในเวลาต่อไป 11. ผลประโยชน์ทีค่ าดวา่ จะไดร้ บั เมอื่ โครงการนน้ั เสรจ็ ส้ินแลว้ จะเกดิ ผลอย่างไรบ้างใครเป็นผไู้ ดร้ ับเรือ่ งนีส้ ามารถเขยี นทง้ั ผลประโยชนโ์ ดยตรงและผลประโยชน์ในดา้ นผลกระทบของโครงการดว้ ยได้ ลกั ษณะโครงการท่ดี ี โครงการที่ดมี ีลักษณะดงั นี้ 1. เป็นโครงการท่ีสามารถแกป้ ญั หาของท้องถิ่นได้ 2. มีรายละเอยี ด เน้อื หาสาระครบถว้ น ชัดเจน และจำเพาะเจาะจง โดยสามารถตอบคำถาม ต่อไปน้ไี ด้คอื - โครงการอะไร = ชือ่ โครงการ - ทำไมจงึ ต้องรเิ รม่ิ โครงการ = หลกั การและเหตุผล - ทำเพื่ออะไร = วัตถุประสงค์ - ปริมาณท่ีจะทำเทา่ ไร = เป้าหมาย - ทำอย่างไร = วธิ ีดำเนนิ การ - จะทำเมอื่ ไร นานเทา่ ใด = ระยะเวลาดำเนินการ - ใชท้ รัพยากรเท่าไรและไดม้ าจากไหน = งบประมาณ แหลง่ ท่มี า - ใครทำ = ผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการ - ตอ้ งประสานงานกบั ใคร = หน่วยงานทีใ่ หก้ ารสนับสนุน - บรรลุวัตถุประสงค์หรอื ไม่ = การประเมนิ ผล - เมื่อเสรจ็ สน้ิ โครงการแล้วจะไดอ้ ะไร = ผลประโยชนท์ ่ีคาดวา่ จะได้รับ

22 3. รายละเอยี ดของโครงการดงั กลา่ ว ต้องมีความเก่ียวเน่อื งสัมพันธ์กนั เชน่ วตั ถุประสงค์ตอ้ ง สอดคล้องกับหลักการและเหตผุ ล วิธดี ำเนนิ การต้องเป็นทางทที่ ำให้บรรลุวัตถปุ ระสงค์ได้ ฯลฯ เป็น ตน้ 4. โครงการที่รเิ รม่ิ ขน้ึ มาต้องมผี ลอย่างนอ้ ยทส่ี ุดอย่างใดอยา่ งหน่งึ ในหัวข้อตอ่ ไปนี้ - สนองตอบ สนับสนนุ ต่อนโยบายระดบั จงั หวดั หรือนโยบายสว่ นรวมของประเทศ - กอ่ ให้เกดิ การพฒั นาท้งั เฉพาะสว่ นและการพัฒนาโดยสว่ นรวมของประเทศ - แก้ปัญหาทเี่ กิดข้ึนไดต้ รงจดุ ตรงประเด็น 5. รายละเอยี ดในโครงการมพี อทีจ่ ะเป็นแนวทางให้ผอู้ ่ืนอา่ นแลว้ เข้าใจ และสามารถ ดำเนนิ การตาม โครงการได้ 6. เป็นโครงการทีป่ ฏบิ ัตไิ ด้และสามารถติดตามและประเมนิ ผลได้ การสำรวจระบบนเิ วศในท้องถิน่ 1. รวบรวมข้อมลู เกี่ยวกบั ระบบนิเวศต่าง ๆ ในทอ้ งถ่ินตามความสนใจเพยี งระบบเดียว โดย ศกึ ษาในประเดน็ ตา่ งๆ เช่น - ลกั ษณะเดน่ ของระบบนิเวศธรรมชาติแต่ละแห่ง - ความสมั พันธ์ระหวา่ งชนดิ จำนวน และลกั ษณะของส่งิ มีชวี ิตในระบบนเิ วศแต่ละแหง่ กับ องคป์ ระกอบทางกายภาพของระบบนเิ วศ 2. นำเสนอและจัดแสดงผลการศึกษาคน้ ควา้ ประเทศไทยอยใู่ นบริเวณท่ีป่าฝนเขตรอ้ นอุณหภูมใิ นแต่ละช่วงของปแี ตกตา่ งกันคอ่ นข้าง นอ้ ยปรมิ าณน้ำฝนคอ่ นข้างมาก มรี ะบบนเิ วศหลากหลาย ซง่ึ สง่ ผลถงึ ความหลากหลายทางชีวภาพที่ นา่ ศกึ ษาอย่างมาก วิธกี ารสำรวจระบบนเิ วศในทอ้ งถนิ่ การสำรวจระบบนิเวศในทอ้ งถิ่นจะตอ้ งรวบรวมขอ้ มลู ซึ่งอาจมรี ายละเอยี ดแตกต่างกนั ในแต่ ละทอ้ งถิ่น ดังน้ี 1. ระดมความคดิ ภายในกลุ่มในประเด็นต่อไปน้ี - ในทอ้ งถิน่ ของเรามรี ะบบนิเวศอะไรบ้าง - ระบบนิเวศแต่ละระบบในทอ้ งถน่ิ มีความสำคญั อย่างไร - นักศึกษาสนใจท่ีจะศกึ ษาระบบนิเวศใด เพราะอะไร 2. ร่วมกนั ตัดสนิ ใจเลอื กสำรวจและศกึ ษาระบบนเิ วศธรรมชาติในทอ้ งถ่นิ โดยเลือกสำรวจ เพียงระบบใดระบบหนงึ่ เชน่ ป่าชายเลน สระนำ้ จดื นาข้าว หรือชุมชนรอบ ๆ บริเวณที่สำรวจ และ เลอื กทำเฉพาะบางกจิ กรรมตามลกั ษณะสภาพแวดลอ้ มและศักยภาพของนักศึกษา 3. กำหนดบรเิ วณที่จะสำรวจใหม้ ีขนาดปรมิ าณ 30m x 30m สำรวจส่ิงปกคลมุ ดินในบรเิ วณดังกลา่ วแลว้ คาดคะเนจำนวนรอ้ ยละของพชื เด่นในบริเวณนัน้ จากน้นั จำแนกบริเวณทีส่ ำรวจโดยใช้จำนวนส่ิงปกคลุมดนิ ท่ีพบมากที่สุดในบรเิ วณน้ันเปน็ เกณฑ์ เชน่ ป่าโปรง่ ไม้พุ่ม พชื ลม้ ลุก พืชที่ชมุ่ น้ำ หรอื เขตเมือง เป็นต้น

23 4. สำรวจสภาพแวดล้อมท่วั ๆ ไปรอบบรเิ วณนน้ั เช่นรม่ เงา ความหนาแน่นของเรอื นยอด ของต้นไม้ กระแสน้ำ ฝ่นุ ละออง ควัน กลิ่น เสียง อาคารบา้ นเรือนทอ่ี ยู่ใกล้เคยี ง ตอลดจนส่งิ ปนเปอื้ น ในบริเวณน้ัน 1. การสำรวจระบบนิเวศแหลง่ น้ำ ภาพ ระบบนเิ วศแหล่งน้ำ ทีม่ าของภาพ : https://nkw04981.wordpress.com/2013/02/10/ยนิ ดตี ้อนรับ-เข้าส่รู ะบ/ 1. ระบบนิเวศแหล่งนำ้ 1.1 สังเกตสภาพทั่วไปของแหล่งนำ้ ทจี่ ะสำรวจ เช่น การไหลของนำ้ สขี องน้ำ รม่ เงา และสิ่ง ปนเปอื้ นท่พี บฯลฯ พรอ้ มท้ังบันทึกสงิ่ ทส่ี งั เกตได้ 1.2 วัดอณุ หภมู ทิ บ่ี รเิ วณผิวน้ำโดยหย่อนเทอรม์ อร์มเิ ตอรล์ งไปในน้ำลึกประมาณ 5 cm อ่าน คา่ และบนั ทึกผล และวัดอณุ หภูมขิ องน้ำทรี่ ะดบั ลึกลงไปจากผวิ นำ้ 20 cm โดยใชข้ วดเกบ็ ตวั อยา่ ง หย่อนลงไปเกบ็ นำ้ ทร่ี ะดบั ลึกจากผวิ น้ำ 20 cm แลว้ วดั อณุ หภูมขิ องนำ้ ท่เี กบ็ ได้ทันที (นำ้ ที่เก็บได้ ให้ ใชศ้ ึกษาสง่ิ มีชีวิตในน้ำตอ่ ไป) 1.3 วดั ค่า pH ของน้ำ ทง้ั ท่ีผิวนำ้ และท่รี ะดับลกึ จากผวิ นำ้ 20 cm 1.4 วัดการส่องผ่านของแสงลงสแู่ หลง่ น้ำ โดยหยอ่ นเซคดิ ิสก์ลงในแหลง่ น้ำจนถงึ ระยะทม่ี อง ไมเ่ ห็นเซคิดิสก์ อา่ นค่าความลึกของระดับน้ำจากเคร่ืองหมายทีท่ ำไวบ้ นเส้นเชือกค่อย ๆ ดึงเซคดิ ิสก์ ข้ึนจนเริ่มมองเห็นเซคิดิสกอ์ กี คร้งั อ่านค่าความลึกของระดับน้ำจากเครอื่ งหมายที่ทำไว้บนเส้นเชือก อีกครง้ั หนง่ึ นำคา่ ที่อ่านไดท้ ง้ั สองครงั้ มาหาค่าเฉลี่ย 1.5 สำรวจสงิ่ มีชีวิตท่พี บบริเวณผิวน้ำ ท้ังชนิด จำนวน ลกั ษณะ และการกระจายของ สิง่ มชี ีวติ ภาพ 1.6 เซคิดิสก์ใช้วดั ความลึกทีแ่ สงสอ่ งผา่ นนำ้ ทมี่ าของภาพ : http://www.epub.rbru.ac.th/pdf-uploads/thesis-157-file07-2016-10-19-12-37-38.pdf

24 เกบ็ ตวั อยา่ งน้ำท่รี ะดบั ความลกึ และทบี่ รเิ วณต่างๆ ท่มี าของภาพ : http://oopm.rid.go.th/subordinate/opm11/events/2557/groupnews004-06-57.aspx 1.6 ตกั น้ำที่บริเวณผิวนำ้ และทีร่ ะดับลึกจากผวิ นำ้ และทร่ี ะดบั ลึกจากผวิ น้ำประมาณ 20 cm ณ ตำแหน่งต่าง ๆ หลาย ๆ จดุ เทลงในภาชนะใสหรอื ถาดอะลูมิเนยี ม ศกึ ษาลักษณะ ชนดิ และ จำนวนของสง่ิ มีชวี ติ ในน้ำ อาจใช้แวน่ ขยายชว่ ยเพ่ือใหเ้ หน็ สงิ่ มีชีวิตชัดเจนขน้ึ 1.7 ใชส้ วิงตักแพลงตอนเกบ็ ตวั อย่างแพลงตอนในน้ำ เทลงในภาชนะใสหรอื ถาดอะลูมิเนยี ม ศกึ ษาลักษณะของสง่ิ มีชวี ิตทพ่ี บดว้ ยตาเปล่า ด้วยแว่นขยายและดว้ ยกลอ้ งจุลทรรศน์ บันทึกลักษณะ ของส่งิ มชี วี ิตท่พี บ “แพลงตอน” เป็นส่ิงมชี ีวติ ท่อี าศยั อย่ใู นแหล่งน้ำท้ังน้ำจดื และน้ำเค็ม โดยล่องลอยไปตาม กระแสนำ้ และมกั พบบรเิ วณน้ำ ส่วนใหญเ่ ป็นสิ่งมีชวี ติ ขนาดเล็ก เชน่ สาหร่าย ตัวออ่ นของก้งุ หอย เปน็ ต้น แพลงตอนเปน็ อาหารของปลาและสัตว์น้ำอน่ื ๆ ท่ีมขี นาดใหญ่กว่า 2. การสำรวจระบบนิเวศบก ภาพ การสำรวจระบบนเิ วศบก ทม่ี าของภาพ : http://www.pttreforestation.com/Researchview.cshtml?Id=10

25 ระบบนเิ วศบก 2.1 สงั เกตสี กลิ่น ความช้ืนของดนิ ในบริเวณท่ีสำรวจวดั อุณหภมู ขิ องดิน โดยเสยี บเทอรม์ อร์ มิเตอรล์ ึกลงไปในดนิ ประมาณ 5 cm อ่านคา่ และบนั ทกึ และวดั อณุ หภมู ขิ องดินทีร่ ะดับลกึ ลงไป 20 cm โดยขดุ หลมุ กวา้ งประมาณ 20 cm ลึกประมาณ 25 cm ใชว้ สั ดุเจาะเน้ือดินทรี่ ะดบั ลกึ 20 cm ในแนวนอนเพอื่ เปน็ รอ่ งนำก่อนเสียบเทอรม์ อรม์ ิเตอร์ อา่ นคา่ และบันทกึ ผล 2.2 วดั คา่ pH ของดิน ทร่ี ะดบั ผิวดินและท่ีระดับลึกลงไป 20 cm โดยนำดินจากแต่ละระดบั มาประมาณ 50 g ใส่ลงในภาชนะแต่ละใบ เตมิ นำ้ 50cm3 ใช้แท่งแกว้ คนใหเ้ ข้ากนั ตง้ั ไวส้ กั ครู่แล้ว ใชแ้ ท่งแกว้ จมุ่ สว่ นที่เปน็ ของเหลวแตะลงบนกระดาษยูนเิ วอร์ซัลอินดิเคเตอร์ เทยี บสกี นั สีมาตรฐานที่ ข้างกล่อง บนั ทึกผล 2.3 ความชื้นในดิน โดยตักดินมาจำนวนหนึ่งชง่ั มวลของดนิ และบนั ทึกไว้ แล้วนำดนิ ไปอบ หรือตากจนแห้ง ช่ังมวลอีกครัง้ หนง่ึ ผลตา่ งของมวลทไ่ี ด้ท้ังสองคร้งั คือปรมิ าณนำ้ ในดนิ หรือความช้ืน ในดิน 2.4 สงั เกตและบนั ทึกผลสิ่งปกคลุมดนิ เช่น บนพ้นื ดินบรเิ วณที่สำรวจมีพชื ขนึ้ อยูห่ รือไม่เป็น พชื ทีม่ คี วามสงู มากนอ้ ยเพียงใด และพืชที่มีความสงู ไม่เกินระดบั เข่าเปน็ พชื ใบกว้างหรือใบแคบ เป็น ตน้ 2.5 สังเกตชนดิ จำนวน และลักษณะของส่งิ มชี ีวิตทีพ่ บในบริเวณนั้น ท้งั ท่เี ปน็ สตั ว์และพืช พร้อมทง้ั ระบชุ นดิ ของพืชและสัตวท์ ี่เปน็ สิง่ มีชวี ิตเด่นของพื้นท่ีน้ันบนั ทกึ ผล 2.6 วัดความสงู ของต้นไมใ้ หญ่ทีเ่ ปน็ พชื เด่นท่ีพบในบรเิ วณท่ีสำรวจ 2.7 หากความหนาแนน่ ของประชากรสิง่ มชี วี ิตชนดิ ใดชนดิ หนงึ่ โดยใช้กรอบนบั ประชากร วาง กรอบนบั ประชากร 50 cm x 50 cm ลงบนพ้ืนท่นี ับจำนวนประชากรสง่ิ มชี วี ติ แต่ละช่องจนครบ เป็น จำนวนประชากรในพน้ื ท่ี 0.25 m2 คำนวณหาพื้นทสี่ ำรวจและจำนวนประชากรสงิ่ มชี ีวติ ในพ้นื ทีท่ ี่ สำรวจทั้งหมด 3. การสำรวจระบบนเิ วศชมุ ชนเมอื ง 3.1 ศกึ ษาสภาพทางกายภาพบางประการของชุมชนเมือง เชน่ สภาพท่ัวไป ความ หนาแน่นของอาคารบา้ นเรือน พน้ื ท่วี ่าง สวนสาธารณะ การจราจร การประกอบอาชพี ของคนใน ชมุ ชนเมือง สาธารณูปโภค การจัดการกบั ของเหลือใช้ ของเสยี และขยะ 3.2 คาดคะเนจำนวนประชากรในชุมชน และสำรวจพืชและสตั วใ์ นชุมชนน้นั ภาพ ระบบนิเวศชมุ ชนเมอื ง ที่มาของภาพ : http://card190.blogspot.com/

26 รวบรวมขอ้ มูลเกย่ี วกบั การเปลีย่ นแปลงของสภาพนเิ วศธรรมชาติในท้องถ่ินจากอดตี จนถงึ ปัจจุบัน เช่น การเปลยี่ นแปลงของสภาพแหลง่ นำ้ เสน้ ทางของลำน้ำ สภาพป่าพรทุ ุ่งหญ้า ในกรณที เี่ ป็นชมุ ชนเมือง ให้ รวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกับการเปล่ยี นสภาพแวดลอ้ มของชมุ ชนเมอื งจากอดีตจนถึงปัจจบุ ัน นำข้อมูลท่ีได้จากการสำรวจระบบนิเวศมาวิเคราะห์ คิดรปู แบบในการนำเสนอขอ้ มูลทไ่ี ด้จากการ สำรวจ และใชข้ ้อมูลในการอภิปรายในประเดน็ ตา่ งๆ ดงั นี้ - สภาพท่วั ไปของระบบนเิ วศที่ศึกษาอย่างไร - พบส่ิงมชี ีวติ ชนิดใดบา้ ง อาศยั อยู่ที่บริเวณใด ในแตล่ ะบรเิ วณมสี ิง่ มชี ีวติ แตกตา่ งอยา่ งไร - สิง่ มชี วี ติ ชนดิ ใดบ้างทพ่ี บเหมอื นกนั ทุกกล่มุ สิ่งมชี ีวิตใดพบเฉพาะบางบรเิ วณเทา่ น้นั เพราะ เหตใุ ด - เปรยี บเทียบสภาพของดินและแสง ในบรเิ วณทพ่ี บวา่ มีเรือนยอดของตน้ ไม้แนน่ ทบึ กับบรเิ วณ ทม่ี เี รอื นยอดของต้นไมไ้ มแ่ นน่ ทึบ ภาพ สง่ิ มีชวี ติ บางชนดิ ทพ่ี บในระบบนเิ วศ ทมี่ าของภาพ : https://th.wikipedia.org/wiki/ผ้บู รโิ ภคซากพชื ซากสัตว์

แบบทดสอบก่อนเรียนบทท่ี 4 คำช้แี จง : ใหก้ าเคร่ืองหมาย X หนา้ ขอ้ ท่ถี ูกท่ีสดุ เพียงข้อเดยี ว 1. ขอ้ ใดคอื จดุ มุ่งหมายของการทำโครงการ 6. ข้อใดคอื โครงการท่ีเปน็ การสำรวจรวบรวมขอ้ มลู ก. เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นไดแ้ สดงออกซ่ึงความคิดริเริม่ ก. การผลติ ยาหม่องจากสมุนไพร สรา้ งสรรค์ ข. การสำรวจแหล่งเรยี นรใู้ นชุมชน ข. เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนรู้ถึงความเป็นไทย ค. สาระระงบั กล่นิ จากพชื ค. เพ่อื ให้ผู้เรียนได้ผลประโยชน์จากกจิ กรรม ง. ยากนั ยุงจากตะไคร้ ง. เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนรรู้ กั สามัคคี 7. ขอ้ ใดคอื ลักษณะของโครงงานทีเ่ ปน็ การศกึ ษา 2. ประเภทของโครงการแบง่ ออกเป็นก่ปี ระเภท คน้ ควา้ ทดลอง ก. 2 ประเภท ก. เพ่ือศกึ ษาเร่ืองใดเร่อื งหนึง่ โดยเฉพาะ ข. 3 ประเภท ข. ไม่นำทกั ษะทางวิทยาศาสตร์มาใช้ ค. 4 ประเภท ค. เพอื่ ประยกุ ต์กับรายวชิ า ง. 5 ประเภท ง. เพ่อื นำมาประกอบอาชีพ 3. การจดั การเรียนการสอนแบบโครงงานมงุ่ เน้นดา้ นใด 8. การจดั การเรยี นการสอนแบบโครงการมีลักษณะ ถกู ตอ้ งทสี่ ุด เชน่ ใด ก. ม่งุ เน้นใหผ้ ู้เรยี นสามารถเอาสง่ิ ทไี่ ด้มาไปหารายได้ ก. ไมช่ ว่ ยในการฝึกฝนทักษะตา่ ง ๆ ข. มงุ่ เนน้ ใหผ้ ูเ้ รียนสามารถเอาสิง่ ทไี่ ด้มาไปหารายได้ ข. มุง่ เนน้ ใหเ้ รยี นดา้ นเดยี ว ค. มงุ่ เนน้ ใหผ้ เู้ รียนสามัคคี ค. เป็นการจัดประสบการณ์ในการปฏบิ ตั ิงานให้แก่ ง. ม่งุ เน้นให้ผเู้ รียนรูจ้ ากประสบการณต์ รง เด็ก 4. การออกแบบเสื้อผ้าจดั อยู่ในโครงการประเภทใด ง. สร้างมนษุ ยส์ ัมพันธ์ ก. โครงงานคณติ ศาสตร์ 9. โครงการคืออะไร ข. โครงงานตามความถนดั ก. การเรยี นรู้โดยไมม่ ีการวางแผน ค. โครงการตามสาระการเรยี นรู้ ข. การเรยี นรูโ้ ดยไม่อาศยั กระบวนการทาง ง. โครงการตามสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์ 5. ขอ้ ใดคอื กจิ กรรมสำคัญของการจดั การโครงการ ค. กจิ กรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนศึกษาสงิ่ ที่สนใจ ก. สามารถช่วยตัวเองได้จากส่ิงแวดล้อมที่เป็นอยู่ อย่างลกึ ซ้งึ ข. อนุรกั ษว์ ฒั นธรรมไทย ง. สิ่งท่ถี กู บังคับ กำหนดให้ศกึ ษา ค. หาเพอ่ื นแท้ 10. โครงการตามสาระการเรยี นรูม้ ลี ักษณะเชน่ ใด ง. เน้นให้ผู้เรียนเรยี นร้จู ากประสบการณ์ตรงจากแหลง่ ก. เปน็ การพฒั นาศักยภาพตนเองในดา้ นที่สนใน เรยี นรเู้ บ้ืองตน้ ข. เปน็ การให้บูรณาการร่วมกับการเรยี นรู้ ค. เปน็ การสร้างความสามัคคีในหมคู่ ณะ ง. เปน็ การนำความรูด้ า้ นต่าง ๆ มาประยกุ ต์ใชด้ ้วยกัน

27 บทท่ี 4 แนวทางการอนรุ ักษ์และเฝ้าระวงั ระบบนเิ วศในทอ้ งถนิ่ มนุษย์ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างใกล้ชิด ทั้งน้ี เพราะทรพั ยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมเป็นสิ่งทเ่ี อ้ืออำนวยประโยชนใ์ หม้ นษุ ย์ได้รับปัจจยั สี่ ซึ่งได้แก่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย แต่ขณะเดียวกันการกระทำของมนุษย์เองได้ส่งผล กระทบต่อสภาพของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเนื่องจากความจำกัดของ ทรพั ยากรธรรมชาติรวมท้งั การเพิ่มขนึ้ อย่างรวดเร็วของจำนวนประชากร ไดม้ ผี ลทำให้เกดิ การแก่งแย่ง ในการใชท้ รพั ยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมท่ีมีอยู่ ยง่ิ ไปกวา่ น้ัน มนษุ ย์ยงั ได้ใช้ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละ สิ่งแวดล้อมอย่างฟุ่มเฟือย จึงมีผลทำให้เกิดปัญหาความเสื่อมโทรมและการขาดแคลน ทรัพยากรธรรมชาติรวมทั้งก่อให้เกิดปัญหาสิ่งแวดล้อม อาทิเช่น พื้นที่ป่าไม้ถูกบุกรุก ทำลาย จนมี สัดส่วนไม่เหมาะสมกับการรักษาสภาพความสมดุลของระบบธรรมชาติหรือระบบนิเวศ หรือภาวะน้ำ เน่าเสียในแม่นำ้ สายหลัก ดังนั้น เพื่อให้ ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็น ปัจจัยสำคัญของการพัฒนา ประเทศมีสภาพทพ่ี รอ้ มสนบั สนุนการพฒั นาประเทศในอนาคตต่อไปน้นั การจดั การทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้องและเหมาะสมตามหลักวิชาการจึงเป็นวิธีการที่จำเป็นที่จะต้องเร่ง ดำเนินการทงั้ นีเ้ พ่ือที่จะสงวนและรกั ษาทรพั ยากรธรรมชาติ และส่งิ แวดล้อมไว้ให้มนุษย์ได้พ่ึงพาอาศัย อย่างยาวนานตอ่ ไป รวมทงั้ ยงั จะกอ่ ให้เกิดความม่นั คงแก่ประเทศดว้ ย การอนุรักษแ์ ละจดั การทรัพยากรธรรมชาติ การทำให้ทรพั ยากรธรรมชาติ คงสภาพเดิม หรอื เกิดการสญู เปลา่ นอ้ ยที่สุด ซ่ึงเร่มิ จาก 1. การสำรวจขอ้ มูล ทราบถงึ รายละเอยี ดตา่ งๆ เช่น แหลง่ ท่มี า ปรมิ าณ คณุ ลกั ษณะ คณุ สมบตั ิ วิธกี ารนำมาใช้ ผลกระทบของการสญู เสีย สาเหตขุ องการขาดแคลนหรือเสอื่ ม คุณภาพ 2. การป้องกนั รักษา การพยายามทำให้เกิดการเปล่ียนแปลงกบั ทรัพยากรธรรมชาตใิ ห้น้อย ที่สุด หรือไมเ่ กิดข้นึ เลย เช่น การจัดการแบบเด็ดขาด - การจับกุมผกู้ ระทำผดิ 3. การฟืน้ ฟูและปรับปรงุ คุณภาพ ทรพั ยากรธรรมชาติ เมอ่ื ใช้แล้วมสี มบัติไม่เหมาะทีจ่ ะใช้ ตอ่ ตอ้ งมกี ารปรบั ปรุง และฟื้นฟคู ณุ ภาพใหด้ ี กอ่ นนำกลับมาใช้ เชน่ การบำบัดน้ำเสีย การใส่ปุย๋ บำรงุ ดิน การปลูกพืชหมนุ เวียน การซอ่ มแซมอปุ กรณเ์ พอ่ื นำกลบั มาใชใ้ หม่ 4. การใชใ้ ห้เกิดประโยชน์สงู สดุ ใช้ ทรัพยากร ให้ถกู ประเภทถกู วธิ ี จะเกิดประโยชน์สูงสุด ผลพลอยได้จากการใช้ ทรพั ยากรฯ นำมาใชป้ ระโยชน์ต่อไดอ้ ีก เช่น นำขเ้ี ลอื่ ยมาอดั เปน็ ก้อนเป็นแทง่ เพื่อทำเฟอร์นิเจอร์แทนแผน่ ไม้ 5. การนำกลับมาใช้ใหม่ ( recycle ) 6. การแสวงหาแหล่งทรพั ยากรเพิม่ เติม เช่นการสำรวจแหลง่ แร่ในทะเลลึก แหลง่ น้ำมนั ดบิ การสำรวจแหลง่ ทรัพยากรฯ จากนอกโลก 7. การหาสิง่ อ่นื มาทดแทน เช่น ใช้เสน้ ใยสังเคราะหแ์ ทนขนสตั ว์ ใช้อะลูมเิ นียมแทนเหล็ก ใช้พลาสตกิ แทนไม้ ใช้พลังงานแสงอาทติ ยแ์ ทนเชื้อเพลงิ

28 ประโยชนข์ องการรักษาระบบนเิ วศ การรกั ษาระบบนเิ วศให้คงสภาพมจี ดุ ประสงคเ์ พ่ือรักษาสภาพกบั ดลุ ของธรรมชาตเิ พือ่ ประโยชน์ของมนษุ ย์เอง พอสรุปไดด้ งั น้ี 1. ด้านการพกั ผอ่ นหย่อนใจ สภาพของธรรมชาติทอ่ี ยใู่ นภาวะสมดลุ ยอ่ มก่อใหเ้ กดิ ทัศนียภาพที่ สวยงาม มคี วามรม่ ร่ืน เปน็ แหลง่ พักผอ่ นหยอ่ นใจได้ดี 2. คุณคา่ ทางด้านการสรา้ งแหล่งท่อี ยอู่ าศัย (Habitat) ระบบนเิ วศท่ีอยใู่ นธรรมชาตจิ ะเปน็ แบบอย่างให้มนษุ ย์จำลองระบบนเิ วศข้ึนมาใหม่ เชน่ ความรม่ ร่นื ของอทุ ยานแห่งชาตเิ ขาใหญ่กับสภาพ ท่มี นุษยป์ รบั ปรุงขึน้ มาท่สี วนพฤกษศาสตรพ์ แุ ค ความแตกตา่ งของสถานท่ีสองแหง่ น้ีจะเหน็ ได้ชัด ระหว่างธรรมชาตลิ ้วน ๆ กบั ป่าทม่ี นุษย์ปรบั ปรงุ ตกแตง่ ข้ึน 3. ทางการศึกษาสภาวะแวดลอ้ ม สภาพของระบบนเิ วศหรอื องค์ประกอบแตล่ ะส่วนของระบบ นเิ วศ สามารถใช้เปน็ เคร่อื งบ่งชีส้ ภาพแวดลอ้ มและการเปลยี่ นแปลงของสภาพแวดลอ้ มได้ เช่น การคด งอของหางลูกกบ เปน็ เครื่องบ่งชวี้ า่ เกดิ จากยากำจัดศตั รพู ืชและจากการเปลยี่ นแปลงของภูมิอากาศ การมว้ นของใบพืชบางชนิดเกดิ เน่อื งจากได้รับซัลเฟอร์ไดออกไซด์ซง่ึ เปน็ มลสารในอากาศ 4. ทางการวิจยั ด้านวทิ ยาศาสตร์ การวจิ ยั ทางวิทยาศาสตรบ์ างครงั้ ตอ้ งใชต้ วั อย่างที่เหมาะสม เชน่ หอยทากชนิดหน่ึงมรี ะบบประสาททงี่ า่ ยและนา่ สนใจเป็นอย่างย่งิ สำหรับนักประสาทวทิ ยา 5. คุณค่าทางด้านการอนุรกั ษ์ การเปลี่ยนแปลงระบบนเิ วศ ธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์สงู ใหเ้ ส่ือมโทรมก่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมมู่ นุษย์ เนอ่ื งจากเมอ่ื เกดิ การเปล่ยี นแปลงแลว้ เปน็ การยาก ท่ีจะทำให้กลับมามีสภาพดงั เดมิ และการเปลี่ยนแปลงอาจก่อให้เกิดผลกระทบอย่างรนุ แรงต่อมนษุ ย์ เช่น การทำลายปา่ การถมคลอง หนอง บึง ทำให้เกดิ ความแหง้ แล้ง น้ำท่วม นำ้ ป่าไหลหลากอย่าง รวดเร็ว ดังนน้ั การรกั ษาระบบนเิ วศให้คงสภาพตามธรรมชาติ หรือก่อให้เกิดความ สมดลุ อยา่ งเสมอจะ อำนวยประโยชนใ์ หแ้ กม่ นุษยอ์ ยา่ งมากมายแนวความคิดในเรอ่ื งของนเิ วศพฒั นาจึงเกดิ ขึน้ การอนรุ กั ษ์ระบบนเิ วศป่าไม้ การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ประการแรกต้องเริ่มจากตัวเราในการอนุรักษ์ป่าไม้เป็น ทรัพยากรธรรมชาติทีอ่ ำนวยความสะดวกทั้งทางตรงและทางอ้อมให้แก่มนุษย์ท้ังหลาย ควบคุมสภาพ ดินฟ้าอากาศให้อยู่ในสภาพปกติ รักษาต้นนำ้ ลำธารพรรณพฤกษชาตแิ ละสัตว์ป่าอีกทั้งยงั เป็นที่พักผ่อน หย่อนใจป่าไม้เปน็ แหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มนษุ ยไ์ ด้บริโภคใช้สอย ประกอบอาชีพดา้ นการทำปา่ ไม้ เก็บของป่าด้านอุสาหกรรม การผลิตไม้แปรรูปและผลติ ภัณฑ์สำเร็จรูปที่ใช้วัตถุดิบจากไมแ้ ละของป่าแต่ สภาพปจั จุบันประชากรไทยมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเรว็ จงึ เปน็ แรงผลักดนั ทำให้เกิดการบุกรุกทำลาย ป่าไมเ้ พือ่ บุกเบกิ พื้นที่ทำกนิ ลกั ลอบตัดไม้ปอ้ นโรงงานอตุ สาหกรรมและเผาถา่ นอกี ทั้งยังมีการก่อสร้าง ถนนสร้างเขื่อนทำให้มีการตัดไม้โดยไม่คำนึงถึงการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ ป่าไม้จึงมีเนื้อที่ลดลง ตามลำดับ และบางแห่งอยใู่ นสภาพเสื่อมโทรม ภาพ ป่าไมค้ อื ตน้ กำเนิดของแม่นำ้ ลำธาร ทม่ี าของภาพ : https://www.salika.co/2018/02/17/mae-kuang-sustainable-development/

29 วิธีการอนุรักษ์ระบบนิเวศปา่ ไม้ การอนุรกั ษร์ ะบบนิเวศป่าไม้ มีหลายวธิ ี ดงั ต่อไปนี้ คือ 1. จำแนกประเภทของประโยชน์จากเนอื้ ท่ปี า่ ไมใ้ หช้ ัดวา่ เนื้อทปี่ ่าใดควรจะใชป้ ระโยชน์ เพอ่ื จัดเป็นปา่ ประเภทใด เป็นการปอ้ งกนั ภยั หรือปา่ สาธารณะประโยชน์ เช่น อุทยานแหง่ ชาติ เขตรักษา พนั ธุส์ ัตวป์ า่ ป่าต้นนำ้ ลำธาร เป็นปา่ ผลิตผลทางไม้ หรอื เพ่ือประโยชน์ทางอ้อมอื่นๆ กใ็ ห้รีบดำเนินการ เพือ่ ให้เปน็ ไปตามวตั ถปุ ระสงคน์ น้ั ๆ 2. วางมาตรการอยา่ ง เขม้ งวด ต่อการรกั ษาป่าถาวร เจ้าหน้าท่ีปา่ ตอ้ งหม่นั ออกตรวจตรา ปราบปราม เพอื่ ปอ้ งกันการบุกรกุ แผ้วถางป่า และการทำไม้เถือ่ น 3. เรง่ ประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดตง้ั อทุ ยานแหง่ ชาติ และเขตรกั ษาพันธส์ ตั ว์ป่าในพนื้ ที่ ดำเนนิ การสำรวจเรียบร้อยแลว้ ไมค่ วรปล่อยใหเ้ นิ่นนานออกไป จะทำให้ยากแก่การควบคมุ เพราะไมม่ ี เจ้าหนา้ ที่ดูแล 4. ดำเนินการแก้ไขพระราชบัญญตั ิท่ีลา้ สมัย บทลงโทษทเี่ บาเกินไป ควรจะเพิม่ ใหห้ นัก ให้ เหมาะสมกับภาวะของบ้านเมอื ง 5. เกี่ยวกบั กรณชี าวเขาทอี่ าศยั อยู่ตามภูเขาสูง ซ่ึงเป็นตน้ นำ้ ลำธาร ควรดำเนินการอพยพ ลง มาส่ทู ่รี าบ เพือ่ ปอ้ งกันการทำลายป่าต้นน้ำลำธาร และปอ้ งกันการแรก่ ระจายของเชือ้ โรค ควรกำหนด บริเวณให้ชาวเขาอาศยั เป็นแหลง่ ทำมาหากิน ควบคุมไมใ่ ห้มกี ารทำไรเ่ ลอ่ื นลอย 6. รบี เรง่ ปลูกสร้างสวนปา่ ในพ้ืนที่ทีถ่ ูกทำลาย หรอื เปน็ ป่าเส่อื มโทรม เพอื่ ใหไ้ ด้ผลผลติ ไวใ้ ช้ ในอนาคต ช่วยปอ้ งกนั การพังทลาย และการสูญเสยี หน้าดิน 7. ควรทำนบุ ำรงุ ปา่ ธรรมชาติ ท่ียังมสี ภาพดี ใหเ้ ป็นป่าไม้ที่ดี มีค่าย่งิ ขน้ึ โดยการปลกู ตน้ ไม้ทมี่ ี คา่ แซมระหวา่ งในทวี่ ่าง การรกั ษาปา่ ธรรมชาติ ช่วยป้องกนั ธรรมชาตไิ ม่ใหส้ ิ่งแวดล้อมเปล่ียนแปลงไป มากและไมท่ ำให้สูญเสยี ระบบนิเวศอีกดว้ ย การป้องกันรักษาป่าธรรมชาติ จงึ ดกี ว่าการปลูกป่าข้นึ ใหม่ หลังจากตดั ไม้หมดแล้ว 8. ชะลอการเปดิ ปา่ ให้ชา้ ลงไป โดยการหาวิธกี ารเพม่ิ ผลผลติ ให้สูงข้นึ ให้เพยี งพอกบั ความ ตอ้ งการของพลเมอื ง โดยการนำเอาเทคโนโลยีใหมๆ่ มาใช้ เชน่ การใสป่ ๋ยุ เพ่อื เพ่ิมความสมบูรณใ์ หแ้ ก่ดิน 9. ส่งเสริม และเผยแพร่การวางแผนครอบครัวแก่ราษฎร เพอื่ ลดอตั ราการเพมิ่ ของพลเมอื ง ซึ่ง ช่วยลดปญั หาการไมม่ ีทีท่ ำกิน จะได้ไม่บุกรุกป่า 10. ปฏริ ปู ที่ดินอย่างมีประสทิ ธภิ์ าพ โดยคำนงึ ถงึ ฐานะ อาชีพ กจิ การ ขนาดของครอบครวั ราษฎร ในการครอบครองทีด่ ิน การอนรุ ักษร์ ะบบนิเวศป่าชายเลน โดยที่ป่าชายเลน เป็นทรัพยากรที่สำคัญและให้ประโยชน์ทั้งในด้านป่าไม้ ประมง และรักษา สภาพสิ่งแวดล้อม แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ป่าชายเลนได้ถูกทำลายลงด้วยกิจกรรมต่าง ๆ อยู่เป็น ประจำ ดงั น้นั จึงจำเป็นจะตอ้ งหาแนวทางในการอนุรกั ษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรปา่ ชายเลนให้ได้ผล เต็มทต่ี ลอดไป และในขณะเดยี วกนั ก็ไม่เปน็ การทำลายระบบนิเวศดว้ ย หรืออีกนยั หนึ่ง กค็ ือ การจัดการ ทรพั ยากรป่าชายเลนเพือ่ ใหส้ ามารถนำมาใชป้ ระโยชน์ไดย้ ัง่ ยืนตอ่ ไปการอนุรกั ษป์ า่ ชายเลน ไดแ้ ก่ 1. การรักษาพื้นที่ป่าชายเลนที่มีอยู่ให้คงไว้ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร และจะต้องช่วยกัน หลายๆ ฝ่าย ลำพงั กรมปา่ ไม้แต่เพยี งหนว่ ยงานเดียว ย่อมทำไดย้ าก การปอ้ งกนั อย่างจริงจงั รวมท้งั การ จัดการวางแผนการใช้ที่ดินชายฝั่งทะเลให้เหมาะสม จะเป็นทางหนึ่งที่จะรักษาพื้นที่ป่าชายเลนไว้ได้ นอกจากนีก้ ฎระเบยี บต่างๆ ตลอดจนมติคณะรัฐมนตรี เกยี่ วกับการใช้พื้นที่ป่าชายเลนควรจะใช้ปฏิบัติ อยา่ งเครง่ ครดั

30 2. การเพิ่มพื้นที่ป่าชายเลน โดยการปลูกป่า ปัจจุบันกรมป่าไม้มีนโยบายที่จะขยายและ สนับสนุนการปลูกป่าชายเลนเพิ่มขึ้น ทั้งในส่วนของราชการ และส่วนของเอกชน ตามพื้นที่ว่างเปล่า บรเิ วณชายฝง่ั ทะเล ทั้งท่ีผา่ นการทำเหมืองแร่ หรอื พนื้ ทน่ี ากุง้ หรอื นาข้าวทีเ่ ลิกไปแลว้ ซ่ึงมอี ยู่มากมาย และมีโอกาสที่จะฟ้ืนฟูให้เป็นป่าชายเลนขึน้ มาได้ นอกจากนี้พื้นที่ดินงอกตามชายฝั่งทะเลกเ็ ป็นพ้ืนท่ที ่ี จะสามารถปลูกปา่ ชาย เลนข้นึ มาได้ 3. การใชป้ ระโยชนท์ รพั ยากรป่าชายเลนให้มีประสทิ ธภิ าพมากข้นึ โดยการศกึ ษาวิจยั เพื่อหา วิธกี ารและเทคโนโลยที ่ีเหมาะสมท่ีจะนำมาใช้ในการใช้ประโยชน์ทั้งทางดา้ นป่าไม้ ประมงและวธิ กี า ผสมผสานระหว่างปา่ ไมก้ บั ประมงให้มากข้ึน ซ่งึ ในเร่ืองนี้ หากทางดา้ นผ้ปู ฏิบตั กิ ารเจ้าหนา้ ที่ควบคุม แลนกั วชิ าการ ได้รว่ มมอื กันอยา่ งจริงจังแลว้ เชอ่ื วา่ การใช้ประโยชน์ทรัพยากรป่าชายเลนจะประสบ ผลสำเรจ็ มากขึน้ โดยไดผ้ ลิตผลสงู ขนึ้ และปราศจากการทำลายระบบนิเวศของตัวเอง ภาพ นกั ศึกษา กศน.อำเภอคลองหลวงร่วมโครงการปลูกปา่ ชายเลนอนุรักษ์ธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ทมี่ าของภาพ : กศน.อำเภอคลองหลวง การอนุรกั ษ์ระบบนเิ วศในนาข้าว การจดั การระบบนิเวศในนาข้าว เปน็ การดัดแปลง หรอื ปรบั ปรุงสภาพแวดลอ้ มบริเวณพ้ืนท่ีนา ข้าว ได้แก่ บนคันนา ริมถนน หรือพื้นที่ว่างรอบแปลงนา ให้มีความเหมาะสมต่อการเป็นแหล่งที่อยู่ อาศัย เปน็ อาหาร รวมถงึ เปน็ ทหี่ ลบภัย และขยายพนั ธุข์ องแมลงท่มี ีประโยชน์ เช่น ตัวห้ำ ตวั เบยี น แมง มุม หรอื สัตว์อ่ืน ๆ เพื่อช่วยควบคุมแมลงศตั รูท่เี ขา้ มาในนาขา้ ว ภาพ แมลงคอยควบคุมแมลงศัตรขู ้าว ทีม่ าของภาพ : https://www.kehakaset.com/articles_details.php?view_item=661

31 เมื่อมีแมลงศัตรูข้าวเข้ามาในแปลงนา ตัวห้ำ ตัวเบียน และแมลงที่มีประโยชน์เหล่านี้ จะเข้า ควบคุมแมลงศัตรขู า้ วทันที และตอ่ เนื่อง การอนุรักษ์ศัตรธู รรมชาตใิ นนาขา้ ว เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลมีศัตรูธรรมชาติท่ีสำคัญคอยทำลายในระยะต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงวางไข่ ตัว อ่อน และตัวเต็มวัย ศัตรูธรรมชาติเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการช่วยลดปริมาณของเพลี้ยกระโดดสี นำ้ ตาลได้อยา่ งดยี งิ่ แมงมุมสุนัขป่า (Lycosa pseudoannulata) เป็นตัวห้ำที่กินทัง้ ตัวอ่อนและตัวเต็มวัยของ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล สามารถวิ่งไปตามผิวน้ำเพื่อล่าเหย่ือจากข้าวกอหน่ึงไปอีกกอหนึ่งได้ ตัวผู้จะมี ขนาดเล็กกว่าตัวเมยี แต่ไม่สามารถรวมกลุ่มให้มีปริมาณสูงได้เนือ่ งจากแมงมุมเป็นสัตว์ทีม่ ีลักษณะกิน กันเอง แมงมุมเขี้ยวยาว (Tetragnatha spp.) เป็นตัวห้ำที่เกาะทาบอยู่ตามใบข้าว และชักใยอยู่ ระหวา่ งตน้ ข้าวเพอื่ จับเหยอื่ ท่ีบินมาตดิ ตัวเตม็ วยั ตัวเมยี สามารถกนิ เหยอ่ื ได้ 1 - 3 ตัวต่อวนั การเปลยี่ นแปลงระบบนิเวศ (Ecological Succession) คอื การเปลี่ยนแปลงท่เี กิดขนึ้ ในระบบนิเวศ เชน่ มสี ง่ิ มีชีวิตใหมเ่ กดิ ขึน้ เกิดชมุ ชนใหม่ มีการ เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งจะทำใหเ้ กิดการเปลีย่ นชนิดของส่ิงมีชีวิตอื่น ๆ ในชุมชน แหง่ นน้ั ไปดว้ ย โดยการเปลีย่ นแปลงดงั กลา่ วต้องใชเ้ วลาในการกอ่ ให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงพอสมควร การเปล่ียนแปลงเหล่านม้ี ีสาเหตุสำคญั พอสรุปได้ 4 ประการ คอื 1. ปัจจัยการเปลยี่ นแปลงทางธรณวี ทิ ยา (Geological Cycle) อาจทำใหเ้ กดิ ธารนำ้ แขง็ ภูเขา ไฟระเบดิ แผ่นดินไหว คลน่ื สึนามิ ล้วนเปน็ สาเหตุใหด้ ุลธรรมชาตใิ นกลุ่มส่งิ มีชีวิตเสยี ไป ภาพ การปกั ไม้ไผช่ ะลอคลื่น จ.สมทุ รสาคร ลดการพังทลายของชายฝง่ั ทมี่ าของภาพ : shorturl.at/dgoF4 2. ปัจจัยจากการเปลย่ี นแปลงของภมู อิ ากาศอย่างรนุ แรง ทำให้เกดิ ภัยวิบัตติ ่าง ๆ เช่น ไฟป่า น้ำทว่ ม พายุทอรน์ าโด (Tornado) พายุเฮอริเคน (Hericanes) ทำให้สภาพแวดลอ้ มแปรเปลีย่ นไป ส่ิงมีชีวิตถูกทำลายไปแลว้ เกิดการเปล่ียนแปลงแทนทีข่ ึน้ ใหม่ 3. ปัจจยั จากการกระทำของมนุษย์ (Human Factor) ไดแ้ ก่ การตัดไม้ทำลายปา่ การทำไร่ เล่ือนลอย ภาวะมลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม การสรา้ งเขอ่ื นหรือฝายก้นั น้ำและอืน่ ๆ ซึ่งมผี ล

32 ทำให้สภาพแวดล้อมแปรเปลี่ยนไป ดลุ ธรรมชาติถูกทำลาย เกดิ โรคระบาด แมลงศตั รูพืชระบาดทำให้ สง่ิ มีชวี ติ ลม้ ตาย จงึ เกดิ การเปลี่ยนแปลแทนทีข่ องกลุ่มส่งิ มีชีวิตขน้ึ ใหมอ่ ีก ภาพ การตัดไม้เพื่อทำไร่เล่ือนลอย ท่มี าของภาพ : shorturl.at/duFJ9 4. ปฏกิ ิรยิ าของส่งิ มีชวี ติ ทีม่ ตี ่อแหล่งท่อี ยอู่ าศยั เปน็ ผลให้เกดิ การเปลย่ี นแปลงแทนที่ เพราะ กลุ่มสง่ิ มชี วี ติ ทอ่ี าศัยอยู่ ทำให้ส่งิ แวดลอ้ มบรเิ วณนน้ั เชน่ อณุ หภูมิ ความเขม้ ขน้ ของแสง ความชน้ื ความเปน็ กรด ดา่ งของพ้นื ดนิ หรอื แหล่งน้ำและอน่ื ๆ เปล่ียนไปทลี ะเล็กละน้อยจนในท่สี ุดไม่เหมาะสม ตอ่ ส่ิงมีชวี ิตกล่มุ เดิม เกิดการเปล่ียนแปลงแทนที่โดยกลุม่ ส่งิ มีชีวติ ใหมท่ ่ีเหมาะสมกว่า การปรบั เปลย่ี นของระบบนเิ วศ การปรับเปลย่ี นของระบบนเิ วศ มี 2 ชนิด คือ 1. การเปลยี่ นแปลงแทนทข่ี นั้ ปฐมภมู ิ (Primary Succession) เปน็ การเปล่ียนแปลงแทนท่ีใน แหลง่ ทไี่ มเ่ คยปรากฏส่งิ มีชีวิตใด ๆ มากอ่ น เชน่ บริเวณภูเขาไฟระเบิดใหม่ การเกิดแหล่งนำ้ ใหม่ 2. การเปล่ียนแปลงแทนที่ข้ันทุตยิ ภมู ิ (Secondary Succession) เปน็ การเปลีย่ นแปลงแทนท่ี ในแหล่งท่ีเคยมีสิ่งมชี ีวิตดำรงอย่กู อ่ นแลว้ แตถ่ กู ทำลายไป จึงมีการเปล่ยี นแปลงแทนทขี่ นึ้ ใหม่เพือ่ กลับ เขา้ สู่สภาพสมดุล เช่น บริเวณทเี่ คยเปน็ ปา่ ถูกบกุ เบิกเปน็ ไรน่ า แล้วละทง้ิ กลายเป็นทุง่ หญ้าในภายหลงั ตอ่ มามีไม้ล้มลกุ ไมพ้ ุม่ ไมใ้ หญเ่ ขา้ แทนทต่ี ามลำดับจนกลายเป็นป่าไมอ้ ีกครง้ั หน่งึ สาเหตุทท่ี ำใหร้ ะบบนิเวศเสยี ความสมดลุ 1. การเพ่มิ ประชากร ทำใหค้ วามต้องการใชท้ ด่ี นิ ทำการเกษตรมากข้ึน โดยเฉพาะเขตรอ้ น ประชากรจะบกุ เบกิ ปา่ ใหม่ ๆ เพ่ือใช้พืน้ ที่ทำไร่เลื่อนลอยทำให้ดิน ป่าไม้ สภาวะแวดลอ้ มเสียหายปี ละจำนวนมาก ภาพ การเพ่ิมข้นึ ของประชากร ทีม่ าของภาพ : https://www.matichon.co.th/foreign/news_59956

33 2. การเกษตรสมัยใหม่ การเกษตรในปจั จุบันมงุ่ เพ่อื การค้ามากขึ้น มีการใช้ปุย๋ และยาฆา่ แมลงจำนวนมาก สารเหลา่ น้ีจะตกคา้ งในดนิ และอาจถูกชะลา้ งลงส่แู หลง่ น้ำ ทำให้มผี ลต่อชีวิตสัตว์ ในดนิ และในน้ำ 3. การขยายตวั ของเมือง การเพิ่มประชากรทำให้ความตอ้ งการท่อี ยอู่ าศยั เพ่ิมขึ้น เมอื ง ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ทำใหพ้ ้นื ท่กี ารเกษตรถกู ใช้ไปเพอื่ สรา้ งตึก ศนู ย์การค้า ถนน ระบบนเิ วศ เปลี่ยนไป การถ่ายเทของเสียจากเมือง ก่อใหเ้ กิดมลพิษของนำ้ และอากาศ 4. การอตุ สาหกรรม การพัฒนาอุตสาหกรรมทำให้ทรัพยากรถูกใชเ้ ปน็ วตั ถุดิบมากยิ่งขึ้น กระบวนการผลิตทำใหม้ ขี องเสีย เช่น นำ้ เสยี ไอเสีย ซ่ึงสง่ ผลกระทบต่อการเปลีย่ นแปลงระบบ นิเวศ ในบริเวณทโ่ี รงงานอุตสาหกรรมต้งั อยแู่ ละบรเิ วณใกลเ้ คยี ง ภาพ การเพมิ่ ของโรงงานอตุ สาหกรรม ทม่ี าของภาพ : shorturl.at/nERWZ โครงการอนรุ กั ษ์ระบบนเิ วศในทอ้ งถน่ิ ตัวอยา่ ง โครงการปลูกหญ้าแฝก \"...ทกุ คนควรจะไดส้ นใจสังเกต ศกึ ษาเรอ่ื งราว บุคคลและสงิ่ ตา่ ง ๆ ท่แี วดล้อมและเกีย่ วขอ้ ง กบั ตัวเองให้มากอย่าละเลยหรือมองข้ามแม้แต่สง่ิ เล็กน้อยเชน่ ต้นหญ้า ซ่งึ ถา้ ศกึ ษาพจิ ารณาให้ดกี ็จะ ก่อใหเ้ กดิ ปญั ญาได้ หญา้ น้นั มที ้งั หญ้าทเี่ ปน็ วชั พชื ซงึ่ เปน็ โทษ และหญ้าท่มี คี ณุ อย่าง \"หญา้ แฝก\"ซึง่ เป็น ประโยชน์อย่างย่ิงแก่การอนุรักษ์ดนิ และนำ้ เพราะมรี ากทหี่ ยั่งลึกแผก่ ระจายลงไปตรง ๆ ทำใหอ้ มุ้ น้ำ และยดึ เหน่ยี วดินได้มน่ั คงและมีลำต้นชดิ ติดกนั แนน่ หนา ทำใหด้ ักตะกอนดินและรักษาหน้าดนิ ได้ด.ี ..\" พระบรมราโชวาท ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๔๐ ภาพ โครงการปลกู หญา้ แฝก ปลูกแผ่นดิน ที่มาของภาพ : http://jeenny123.blogspot.com/2017/12/blog-post_72.html

34 ความเป็นมา การชะลา้ งพังทลายของดินเป็นปัญหาทส่ี ำคัญอยา่ งหน่งึ ของประเทศ มผี ลต่อความเส่อื ม โทรมของทรัพยากรดิน พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวทรงตระหนักถงึ ความสำคญั และความจำเป็นใน การป้องกันและแกไ้ ขปัญหา จึงพระราชทานพระราชดำริใหม้ กี ารนำหญา้ แฝกมาใชใ้ นการอนุรกั ษ์ดิน และนำ้ เพอ่ื ปอ้ งกันการชะล้างพังทลายของดนิ และปรบั ปรุงสภาพแวดล้อมให้ดขี ้นึ เนอื่ งจากหญ้าแฝก เปน็ พชื ทสี่ ามารถนำมาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ง่าย มรี ากท่ียาว แผ่กระจายลงไปในดนิ ตรง ๆ เป็นแผง และง่าย ต่อการรกั ษา เม่อื วันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๓๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวทรงมพี ระราชดำริเป็นคร้งั แรกใหห้ น่วยงานต่าง ๆทำการศึกษา ทดลอง และดำเนินการปลกู หญ้าแฝกเพื่อเปน็ การปอ้ งกันการชะ ล้างพังทลายของดนิ และเพ่อื ประโยชน์อืน่ ๆ หน่วยงานทงั้ หลายจงึ ไดร้ บั สนองพระราชดำรติ ั้งแตน่ นั้ เป็นต้นมาโดยมสี ำนักงานคณะกรรมการพเิ ศษเพอื่ ประสานงานโครงการอนั เนอ่ื งมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) เปน็ ผูป้ ระสาน 1. หญา้ แฝกเป็นพืชที่มรี ะบบรากลกึ แผก่ ระจายลงไปในดินตรง ๆ เป็นแผงเหมือนกำแพง ช่วย กรองตะกอนดินและรกั ษาหน้าดินได้ดี จงึ ควรนำมา ศกึ ษาทด ลองปลกู ใหท้ ดลองปลูกหญ้าแฝกเพือ่ ปอ้ งกันการพงั ทลายของดนิ ในพื้นทศี่ นู ย์ศึกษาการพัฒนาและพืน้ ที่อนื่ ๆ ที่เหมาะสมอย่างกวา้ งขวาง 2. การดำเนนิ การทดลองการปลูกหญา้ แฝก ใหพ้ ิจารณาลักษณะของภูมปิ ระเทศ ซง่ึ แบ่งตาม ลักษณะของพ้ืนทดี่ งั น้ี ก. การปลกู หญ้าแฝกบนพืน้ ท่ภี เู ขา ให้ปลกู หญ้าแฝกตามแนวขวางของความลาด ชันและในรอ่ งนำ้ ของภูเขา เพื่อป้องกันการพงั ทลายของหน้าดินและช่วยเก็บความช้ืนในดนิ ไวด้ ้วย ข. การปลูกหญ้าแฝกบนพนื้ ท่ีราบ ใหด้ ำเนินการในลกั ษณะดงั น้ี - ปลูกโดยรอบแปลง - ปลกู ลงในแปลง แปลงละ ๑ หรือ ๒ แนว - สำหรับแปลงพชื ไร่ ใหป้ ลกู ตามรอ่ งสลบั กับพืชไร่ ค. การปลูกหญ้าแฝกรอบสระน้ำ เพอ่ื ปอ้ งกันอ่างเกบ็ นำ้ มใิ หต้ ้ืนเขินอนั เนื่องมาจากตะกอนจากการพงั ทลายของดิน ตลอดจนชว่ ยรักษาดินเหนืออา่ งและชว่ ยใหป้ ่าไมใ้ น บรเิ วณพนื้ ทร่ี ับนำ้ ทวคี วามสมบรู ณข์ ี้นอย่างรวดเรว็ ง. การปลกู หญ้าแฝกเหนือบริเวณแหล่งนำ้ ปลกู แฝกเปน็ แนวปอ้ งกนั ตะกอนดิน และกรองของเสียต่าง ๆ ท่ไี หลลงในแหลง่ น้ำท้งั นใี้ หบ้ ันทึกภาพ กอ่ นดำเนนิ การและหลงั การ ดำเนินการไว้เปน็ หลกั ฐาน 3. ผลของการศึกษาทดลอง ควรเก็บข้อมูลทั้งทางด้านการเจริญเติบโตของลำต้นและราก ความสามารถในการอนุรักษค์ วามสมบูรณ์ของดินและการเก็บความชืน้ ในดินและเร่ืองพันธ์ุหญ้าแฝก ต่าง ๆ ด้วยกรมทางหลวงเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ให้ความสำคัญของการอนุรักษ์ทรัพยากรดินและน้ำ รวมไปถึงผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการชะล้างพังทลายของดินเชิงลาดถนน ได้ ร่วมในโครงการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ โดยได้กำหนดเป็น นโยบายให้หน่วยงานด้านบำรุงทางและก่อสร้างทาง โดยเฉพาะทางหลวงที่ตัดใหม่ดำเนินการปลูก หญ้าแฝกเพื่อป้องกันการชะล้างพังทลายของดินลาดคันทางและลาดเหนือคันทางในสายทางต่าง ๆ พร้อมทั้งส่งเสริมเผยแพร่ข้อมูลเทคนิควิชาการเกี่ยวกับหญ้าแฝกแก่หน่วยงานในส่วนภูมิภาค และ จัดทำวิดีทัศน์โครงการปลูกหญ้าแฝกเกี่ยวกับการประยุกต์ เทคนิควิธีการปลูกหญ้าแฝกในงานทาง พื้นที่เป้าหมายในการดำเนินการปลูกหญ้าแฝกของกรมทางหลวงคือ เชิงลาดดินตัดเหนือคันทาง (Back Slope) เชิงลาดดินถมคันทาง (Side Slope) ที่สูงและมีแนวโน้มที่จะเกิดการชะล้างพังทลาย

35 ของดิน สำหรับสายทางในพื้นท่ี ภูเขา ภาคเหนือ ภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งส่วนใหญ่ ปกคลุมดว้ ยดินทรายท่ีสลายตัวมาจากหินแกรนิตและหินทราย เป็นพืน้ ทีเ่ ปา้ หมายเพ่อื ป้องกันการชะ ลา้ งพังทลายของดนิ และการอนุรกั ษ์ดนิ ภาพ หญ้าแฝก รากท่ียาวและยึดเกาะพืน้ ดิน ทม่ี าของภาพ : https://www.nanagarden.com/tag/หญ้าแฝก การปลูกในพื้นท่เี ชงิ ลาดทมี่ ีแนวโน้มของการเกดิ การชะล้างพังทลายของดินต่ำ การปลกู หญา้ แฝกในพน้ื ท่ีเชิงลาดนเี้ ปน็ รูปแบบการปลกู โดยทั่วไปมีลกั ษณะการปลกู หญา้ แฝกเปน็ แถวขวางแนว ลาดเท โดยมรี ะยะหา่ งระหวา่ งกอกล้าแฝกในแถวอยูใ่ นช่วง 10 เซนตเิ มตร และมรี ะยะห่างระหว่าง แถวท่ปี ลูกตามแนวลาดเท ประมาณ 1 เมตร การปลกู ในพ้นื ทีเ่ ชงิ ลาดท่ไี ดเ้ กดิ การชะล้างพังทลายหรอื มีแนวโน้มของการเกิดการชะลา้ ง พังทลายของดินสูง การปลกู หญ้าแฝกในพ้ืนทลี่ ักษณะนีเ้ พือ่ ลดหรือป้องกันไม่ให้การพังทลายของดนิ เกดิ ลุกลามขยายตัวรุนแรงข้ึน หรือเป็นการปลูกในงานก่อสร้างแกไ้ ขการเคล่ือนตวั ของดิน ลกั ษณะ การปลกู จะลดระยะห่างระหวา่ งกอกลา้ แฝกในแถวเป็น 5 เซนตเิ มตร และมรี ะยะห่างระหว่างแถวท่ี ปลกู ตามแนวลาดเทประมาณ 50 เซนติเมตร จากการดำเนินการโครงการพฒั นาและรณรงค์การใช้หญา้ แฝกของกรมทางหลวง สามารถสรปุ ผลการ ดำเนินการไดด้ ังน้ี 1. การปลูกหญา้ แฝกบริเวณพน้ื ทีเ่ ชงิ ลาดถนนสามารถป้องกนั หรือลดการชะล้างพังทลายของ ดนิ ได้ และเปน็ วิธีการท่ใี ช้เทคโนโลยอี ย่างงา่ ย ราคาถูก ใหผ้ ลทางด้านสิง่ แวดลอ้ มที่ดี 2. การป้องกันการชะลา้ งพังทลายของดิน โดยการปลูกหญา้ แฝกเป็น \"Long Term Stabilized Slope\" ในสภาวะทีเ่ หมาะสมหลงั การปลูกเปน็ เวลา ประมาณ 1 ปี หรือ 1 ฤดูฝน หญ้า แฝกจึงจะมีประสิทธิภาพในการปอ้ งกันการชะล้างพังทลายของดนิ ได้ เน่อื งจากรากจะเจริญเตบิ โตยาว ประมาณ 1 เมตร และกอหญา้ แฝกในแถวจะเจริญเตบิ โตชิดติดกัน 3. ช่วงระยะเวลาการปลูกทเี่ หมาะสมสำหรบั การปลกู หญา้ แฝกเปน็ ช่วงตันฤดฝู นหรือช่วง ระยะเวลาในฤดูฝน 4. ปจั จยั ท่สี ำคัญท่ีสดุ ทีจ่ ะทำให้การปลกู หญา้ แฝกประสบผลสำเรจ็ ได้ผลดีมอี ตั ราการรอด ตายสงู คือ ชว่ งระยะเวลาการปลูกที่เหมาะสม การปลูกหญ้าแฝกในพ้นื ที่ภาคใตไ้ ด้ผลดี เน่ืองจากมีฤดู ฝนยาวนานถึง 7 เดือน 5. การปลกู หญ้าแฝกในบรเิ วณลาดดนิ ถมคนั ทาง (Side Slope) จะได้ผลดี หญา้ แฝกมีการ เจรญิ เตบิ โตดีกวา่ การปลูกบรเิ วณลาดดินตัดเหนือคันทาง (Back Slope) เนอ่ื งจากสภาพความ สมบูรณ์และลักษณะความแน่นของดิน

36 6.หลงั การปลกู หญ้าแฝกมคี วามจำเป็นท่ตี ้องดูแลรักษา กำจัดวัชพชื และใส่ปุ๋ย เปน็ เวลา 1 – 2 ปี 7. การปลูกหญ้าแฝกในบรเิ วณท่ีมีแนวโนม้ ทจ่ี ะเกดิ การชะลา้ ง พังทลายของดินไดส้ ูงหรอื รุนแรงหรือบริเวณทีไ่ ด้เกิดการเคล่ือนตวั ของดินแล้วใหล้ ดระยะห่างของการปลกู ลงโดยมรี ะยะหา่ ง ระหว่างกอแฝก 5 เซนติเมตร และมีระยะหา่ งระหวา่ งแถว 50 เซนติเมตร 8. กลา้ หญา้ แฝกท่ปี ลกู ควรเปน็ กล้าแฝกทป่ี ลกู ชำในถุงพลาสติกทอี่ ภบิ าลไวก้ อ่ นนำไปปลกู ประมาณ 45 – 60 วนั 9. การปลูกหญ้าแฝกในบางพนื้ ที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในพน้ื ทภี่ าคเหนือหญา้ แฝกไม่ เจรญิ เติบโตหรอื เจริญเติบโตไม่ดี เนอื่ งจากหญา้ ในพืน้ ที่หรอื วัชพืชเจริญเติบโตงอกงามและแพร่พนั ธ์ุ ได้เรว็ กว่า กรมทางหลวงไดน้ ำเทคนิควิธกี ารหญ้าแฝกมาประยกุ ตใ์ ช้ในการป้องกันการชะล้างพังทลาย ของดนิ เชงิ ลาดถนนต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๓๖ จนถึงปัจจุบนั และไดม้ ีการฝกึ อบรมถา่ ยทอดความรูเ้ ทคนคิ การปลกู หญ้าแฝกในงานทางแก่เจา้ หนา้ ท่ีกรมทางหลวงในส่วนภูมิภาค เพอ่ื เจ้าหนา้ ที่กรมทางหลวงได้ มคี วามรเู้ ขา้ ใจถึงประโยชนข์ องหญา้ แฝกในการป้องงกนั การชะลา้ งพังทลายของดนิ เป็นการป้องกนั ความเสยี หายท่ีจะเกดิ ข้นึ และประหยดั งบประมาณด้านบำรงุ รักษา โดยได้มีการนำหญ้าแฝกมาใช้ ประโยชนป์ ลกู ในสายทางต่าง ๆ ที่มปี ญั หาการชะล้างพงั ทลายของดิน ในสายทางพืน้ ท่ีภเู ขา ภาคเหนอื -ภาคใต้ ในลกั ษณะท่ีเป็นงานส่วนหนง่ึ ซงึ่ สามารถกระทำได้เปน็ ปกติ ท่ีดำเนินการไดเ้ อง เม่ือเกดิ ปัญหาในงานบำรงุ ปกติ งานก่อสรา้ งแกไ้ ขการเคลื่อนตัวของเชิงลาด (Slide) ตลอดจนแขวง การทางบางแห่งไดม้ ีการปลกู ขยายพันธก์ุ ลา้ หญา้ แฝกสำรองไว้ใช้เองกรมทางหลวงได้ดำเนินการปลูก หญา้ แฝกในพื้นท่สี ายทางงานกอ่ สรา้ งทางและงานบำรงุ ทาง ในแต่ละปีประมาณ ๔ ลา้ น กล้า เพอ่ื เป็นการ \"ปลกู หญ้าแฝก ปลูกแผ่นดนิ \" ตามแนวพระราชดำริ ภาพ การปรับปรุงประสิทธภิ าพระบบวิธีหญา้ แฝก (VETIVER SYSTEM) ในงานทาง เพอื่ ความย่ังยนื และ ลดการบำรุงรักษา ทม่ี าของภาพ : http://www.doh.go.th/content/page/page/8034

บทท่ี 1 ระบบนิเวศ กล่มุ สง่ิ มชี ีวติ ประชากร ท่ีอยู่อาศยั 1. ถ้ากลุ่มส่งิ มีชีวิตปราศจากห่วงโซ่อาหาร จะได้รับผลกระทบในด้านใด .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. ถ้าโลกน้ไี ม่มีผยู้ อ่ ยสลายจะเปน็ อย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 3. ให้เปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการดำรงชีวติ แบบมีการเกื้อกลู กับภาวะที่ต้องพึ่งพา ว่ามีความแต่ง ต่างกันอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 4. ให้อธิบายองคป์ ระกอบระบบนเิ วศส่งิ มชี วี ติ ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

แบบฝึกหัดบทท่ี 2 ระบบนเิ วศ 1. จงอธบิ ายระบบนเิ วศปา่ ไม้ ว่าเปน็ อย่างไร และมีความสำคญั อย่าไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 2. ระบบนเิ วศปา่ ชายเลน มคี วามสำคัญอย่างไรตอ่ ระบบนเิ วศของส่ิงมชี ีวติ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .................................................................. 3. ระบบนเิ วศนำ้ จดื เปน็ อยา่ งไร และมีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตของสิ่งมชี ีวิตอย่างไร จงอธิบาย .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................. 4. จงอธิบายระบบนเิ วศนาข้าว และการดูแลระบบนเิ วศนาขา้ ว มีวิธีการอย่างไร .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. ..............................................................................................................................................................................

ใหผ้ ้เู รียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. เพราะเหตุใดต้องมีการอนุรกั ษท์ รพั ยากรธรรมชาตใิ นทอ้ งถิน่ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 2. ความเสอื่ มโทรมของทรัพยากรปา่ ไม้ เกิดจากสาเหตใุ ด ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. การตดั ไมท้ ำลายปา่ มผี ลเสยี ตอ่ ระบบนิเวศอยา่ งไร ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 4. ประโยชนข์ องการใช้หญ้าแฝกมอี ะไรบา้ ง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 5. สาเหตุทีท่ ำใหร้ ะบบนเิ วศเปลีย่ นแปลงไป มสี าเหตุมาจากอะไรบ้าง ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 6. ใหผ้ ู้เรยี นยกตัวอยา่ ง กิจกรรม ท่ชี ว่ ยสง่ เสรมิ การอนรุ กั ษ์ระบบนิเวศในท้องถ่ิน มา 3 โครงการ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................

แบบฝึกหดั บทท่ี 4 การเขียนโครงการ 1. ให้นักศึกษาเขียนโครงการอนุรกั ษ์ธรรมชาตแิ ละท้องถ่นิ ของตนเอง 1.1 ชอื่ แผนงานหรือโครงการ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.2 หลักการและเหตุผล .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.3 วัตถุประสงค์ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.4 เป้าหมาย .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.5 วิธีดำเนนิ การ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.6 ระยะเวลา .............................................................................................................................................................................. 1.7 งบประมาณ .............................................................................................................................................................................. 1.8 ผรู้ บั ผิดชอบโครงการ .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................................................................. 1.9 หน่วยงานทใี่ ห้การสนบั สนุน .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.10 การประเมินผล .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. 1.11 ผลประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะไดร้ ับ .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................. .............................................................................................................................................................................


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook