Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

Published by nan.weena102543, 2021-02-02 09:40:41

Description: วันสำคัญทางพระพุทธศาสนา

Keywords: ประวัติ,วันสำคัญ

Search

Read the Text Version

วันสาํ คัญ ทางพระพุทธศาสนา

ประวตั แิ ละความสาคญั ของพระพทุ ธศาสนา พระพทุ ธศาสนาเป็ นศาสตร์แห่งการศึกษา คา วา่ “การศึกษา” ตรงกบั กบั คาวา่ “สิกขา” หมายถึงการศึกษาทว่ั ไป ไม่เฉพาะเจาะจงแต่การศึกษา เล่าเรียนในสถานศึกษาเท่าน้นั แต่หมายถึงการใช้ปัญญาพิจารณาชีวิตและสรรพส่ิงท้งั หลายให้เขา้ ใจตาม ความเป็น จริง การศึกษาตามหลกั พระพทุ ธศาสนา มีองคป์ ระกอบดงั ต่อไปน้ี 1.หลกั การศึกษาหรือการเรียนรู้ มี 2 ระดบั คือ คนั ถธุระ เป็ นการศึกษาโดยการท่องบ่นสาธยายและ ทาความเขา้ ใจให้ถ่องแทต้ ามเน้ือหา และวปิ ัสสนา ธุระ เป็ นการศึกษาโดยการลงมือปฏิบตั ิจริงตามความรู้ท่ี ไดเ้ รียนมา หลกั การศึกษาท้งั สองน้ีตอ้ งดาเนินคู่กนั ไปเสมอแยกออกจากกนั ไม่ได้ คือ คนั ถธุระเป็ นลกั ษณะ การศึกษาในส่วนท่ีเป็ นทฤษฎีแสวงหาความรู้และนาไปสู่ วิปัสสนาธุระคือนาความรู้ท่ีไดศ้ ึกษาไปลงมือ ปฏิบตั ิใหเ้ กิดผลจริง หลกั การศึกษาน้ีสอดคลอ้ งกบั หลกั การไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิและปัญญา 2.ประเภทของความรู้ พระพุทธศาสนาจาแนกความรู้ ได้ดังน้ี คือ จาแนกโดยสภาวะหรือโดย ธรรมชาติของความรู้ จาแนกโดยทางรับรู้ จาแนกโดยพฒั นาการทางปัญญา จาแนกโดยกิจกรรมและผลงาน ของมนุษย์ 3.แหล่งทม่ี าของความรู้ ความรู้ทางพระพทุ ธศาสนามีแหล่งที่มา 3 ทาง คือ 1.ความรู้เกิดจากการศึกษาเล่าเรียน (สุตมยปัญญา) 2.ความรู้เกิดจากการครุ่นคิดดว้ ยเหตุผลตามสิ่งท่ีไดศ้ ึกษาเรียนมา (จินตามยปัญญา) 3.ความรู้อันบริสุทธ์ิท่ีผ่านการศึกษา ครุ่นคิดอย่างมีเหตุผลและลงมือปฏิบตั ิจนได้ผลจริงแล้ว (ภาวนามยปัญญา) 4.ระเบียบวิธีการศึกษา การศึกษาจะให้สัมฤทธ์ิผลน้ันตอ้ งดาเนินตามวิธีการแห่งหลกั พหูสูต 5 ประการ คือ ฟังมาก หรือศึกษาเล่าเรียนมาก จาไดแ้ ม่นยา ท่องบ่นอยา่ งคล่องแคล่วอยเู่ สมอเพง่ จนข้ึนใจ และ มีความเขา้ ใจลึกซ้ึงมองเห็นประจกั ษแ์ จง้ ดว้ ยปัญญา โดยการศึกษามีเป้ าหมาย คือ การพฒั นาคนให้ครบทุก ดา้ น ไดแ้ ก่ ดา้ นร่างกาย สงั คม จิตใจ และสติปัญญา พระพทุ ธศาสนาเน้นความ สัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั และวธิ กี ารแก้ปัญหา หลกั การและเหตุผลในภาคทฤษฎี คือ หลกั เหตุปัจจยั ท่ีอาศยั กนั เกิดข้ึน ท่ีเรียกวา่ หลกั ปฏิจจสมุป บาท หรืออิทปั ปัจจยตา (อิ ทปั ปัจจยตา แปลวา่ สิ่งหน่ึงเป็นปัจจยั ใหอ้ ีกส่ิงหน่ึงเกิดข้ึน) ซ่ึงนาไปสู่ภาคปฏิบตั ิ คือ การแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง โดยพิจารณาตามเหตุปัจจยั วา่ เกิดมาจากอะไร ตรงกบั การแกป้ ัญหาตามหลกั

อริยสัจ 4 ซ่ึงพระพุทธศาสนาเนน้ ความสัมพนั ธ์ของเหตุปัจจยั คือ เมื่อแกป้ ัญหาใหต้ รงสาเหตุและเมื่อเหตุดบั ไปก็ไมม่ ีปัญหาอีกตอ่ ไป หลกั อิทปั ปัจจยตา เร่ิมตน้ ที่อวิชชา (ความไม่รู้) เม่ือมีวิชาจึงเป็ นปัจจยั ให้เกิดสังขาร (การปรุงแต่ง) สังขารเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดวญิ ญาณ วญิ ญาณเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดนามรูป นามรูปเป็ นปัจจยั ใหเ้ กิดผสั สะ ผสั สะเป็ น ปัจจยั ใหเ้ กิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจยั ให้เกิดตณั หา ตณั หาเป็ นปัจจยั ให้เกิดอุปาทาน อุปาทานเป็ นปัจจยั ทาให้ เกิดภพ ภพเป็นปัจจยั ทาใหเ้ กิดชาติ และชาติเป็นปัจจยั ใหเ้ กิดชรามรณะ หลัก ปฏิจจสมุปบาท 12 องค์ประกอบ หรืออิทปั ปัจจยตา มีลักษณะเป็ นวฏั จกั รคือหมุนเวียน สนบั สนุนกนั เป็นลูกโซ่ เรียกวา่ วงจรอุบาท คือ กิเลส, กรรม, วบิ าก โดยกิเลสเป็นเหตุใหท้ ากรรมและเม่ือทา กรรมแลว้ จะตอ้ งไดร้ ับวบิ าก (ผลของกรรม) ปฏิจจสมุปบาทท้งั 12 สามารถจาแนกเขา้ วงจรท้งั 3 คือ อวิชชา ตณั หา และอุปาทานจดั เป็ น กิเลสวฏั ฏ์ สังขารและภพจดั เป็ น กรรมวฏั ฏ์ และวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ชาติและชรา มรณะ จดั เป็ น วิปากวฏั ฏ์ พระพุทธศาสนาจึงเนน้ การแกป้ ัญหาดว้ ยตนเอง โดย อาศยั หลกั อริยสจั 4 โดยใชว้ กี ารแกป้ ัญหาที่เรียกวา่ มรรค มีองค์ 8 พระพทุ ธศาสนาฝึ กคนไม่ให้ประมาท หลกั คาสอนของพระพุทธเจา้ ท้งั หมดสามารถสรุปให้ส้ันที่สุดก็คือ หลกั แห่งความไม่ประมาท น่ันเอง คือ สอนให้ต้ังอยู่ในความดีทุกขณะจิต รี บทาความดีให้สมบูรณ์โดยเร็ ว ไม่ประมาท ผดั วนั ประกนั พรุ่งเพราะเราไมร่ ู้วา่ อะไรจะเกิดข้ึนในวนั พรุ่งน้ี โดยหลกั ความไม่ประมาทน้ี พระพุทธเจา้ ทรง ตรัสเป็ นปัจฉิมโอวาทก่อนปรินิพพาน ว่า “ภิกษุท้งั หลาย เราขอเตือนท่านท้งั หลายวา่ สังขารท้งั หลายไม่ เท่ียงเป็ นทุกข์ มีความเส่ือมสลายไปเป็ นธรรมดา ท่านท้งั หลายจงทากิจท้งั ปวงใหส้ าเร็จลุล่วงไป ดว้ ยความ ไม่ประมาทเถิด” ซ่ึงวิธีการดาเนินชีวิตดว้ ยความไม่ ประมาท คือ ความไม่ประมาทในการประพฤติธรรม ความไมป่ ระมาทในเวลา และความไม่ประมาทในวยั พระพทุ ธศาสนามุ่งประโยชน์สุขและสันติภาพแก่บุคคล สังคม และโลก การที่พุทธศาสนิกชนศึกษาและ ปฏิบตั ิตนตามหลกั ธรรมของพระพุทธศาสนา ก็เพ่ือประโยชน์ คือ ทาใหเ้ กิดความสุขและสันติภาพ ซ่ึงสามารถแยกไดเ้ ป็ น 3 ระดบั คือ ความสุขและสันติภาพในระดบั บุคคล ความสุขและสันติภาพในระดบั สงั คม และความสุขและสันติภาพระดบั โลก

วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา วนั สาคญั ทางพระพทุ ธศาสนา หมายถึง วนั ท่ีมีเหตุการณ์สาคญั บางอยา่ งเกิดข้ึนในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่จะเป็ นวนั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั พระพุทธเจา้ ซ่ึงจะกาหนดเอาวนั ที่มีเหตุการณ์พิเศษเกิดข้ึนในชีวิตของ พระองคเ์ ป็นหลกั มีดงั น้ี วนั มาฆบูชา วนั มาฆบชู า ซ่ึงจะตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 3 แตถ่ า้ ปี ใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองคร้ัง วนั มาฆบูชาก็จะเลื่อนไปเป็ นวนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 4 และมกั ตรงกบั เดือนกุมภาพนั ธ์ หรือมีนาคม โดยในปี น้ีวนั มาฆบูชา ตรงกับวนั ท่ี 19 กุมภาพันธ์ 2562 ซ่ึงในวันน้ี เป็ นวนั ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง \"โอวาทปาติโมกข\"์ แก่พระสงฆเ์ ป็นคร้ังแรก วนั วสิ าขบูชา วนั วิสาขบูชา ตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 6 ตามปฏิทินจนั ทรคติของไทย และมกั จะตรงกบั เดือน พฤษภาคม หรือมิถุนายน แตถ่ า้ ปี ใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เล่ือนไปเป็ นวนั ข้ึน 15 ค่า กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน โดยในปี น้ีวนั วสิ าขบูชา ตรงกบั วนั ที่ 18 พฤษภาคม 2562 สาหรับวนั น้ีมีเหตุการณ์ สาคญั เกิดข้ึน 3 ประการ คือ เป็ นวนั พระพุทธเจา้ ประสูติ, ตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ และเสด็จเขา้ สู่ ปรินิพพาน วนั อฏั ฐมบี ูชา วนั อฏั ฐมีบูชา คือ วนั ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา้ หลงั เสด็จดบั ขนั ธปรินิพพานได้ 8 วนั ถือเป็ นวนั สาคญั ในพระพุทธศาสนาวนั หน่ึง ตรงกบั วนั แรม 8 ค่า เดือนวิสาขะ (เดือน 6 ของไทย) ซ่ึงจะห่างจากวนั วิสาขบูชา ไปเพียง 8 วนั เท่าน้นั ดงั น้นั ในปี 2562 จะตรงกบั วนั ที่ 26

พฤษภาคม 2562 แต่ปัจจุบนั แทบไม่เห็นวนั อฏั ฐมีบูชา ปรากฏบนปฏิทิน ทาให้ วนั อฏั ฐมีบูชา นบั วนั ยงิ่ ถูก ลืม วนั อาสาฬหบูชา วนั อาสาฬหบชู า ตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 8 ของทุกปี โดยในปี น้ีวนั อาสาฬหบูชา ตรงกบั วนั ท่ี 16 กรกฎาคม 2562 สาหรับวนั น้ี เป็นวนั ที่พระพุทธเจา้ ทรงแสดงพระธรรมที่ทรงตรัสรู้เป็ นคร้ังแรก จึงถือไดว้ า่ วนั น้ีเป็ นวนั เร่ิมตน้ ประกาศพระพุทธศาสนาแก่ชาวโลก และดว้ ยการที่พระพุทธเจา้ ทรงสามารถแสดง เปิ ดเผย ทาให้แจง้ แก่ชาวโลก ซ่ึงพระธรรมท่ีทรงตรัสรู้ได้ จึงถือไดว้ า่ พระองคไ์ ดท้ รงกลายเป็ นสมเด็จพระ บรมศาสดาสมั มาสัมพุทธเจา้ โดย สมบูรณ์ วนั เข้าพรรษา เป็ นวนั สาคญั ในพุทธศาสนาวนั หน่ึง ท่ีพระสงฆ์อธิษฐานวา่ จะพกั ประจาอยู่ ณ ที่ใดที่หน่ึง ตลอด ช่วงฤดูฝนที่มีกาหนดเป็ นระยะเวลา 3 เดือน ตามที่พระธรรมวินยั บญั ญตั ิไว้ โดยไม่ไปคา้ งแรมท่ีอ่ืน ในปี น้ี วนั อาสาฬหบูชา ตรงกับวนั ท่ี 16 กรกฎาคม ซ่ึงวนั เข้าพรรษาเป็ นวนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนาท่ีต่อ เนื่องมาจากวนั อาสาฬหบูชา ปี น้ีวนั เขา้ พรรษาตรงกบั วนั ที่ 17 กรกฎาคม 2562 พุทธศาสนิกชนชาวไทยท้งั พระมหากษตั ริยแ์ ละคนทว่ั ไป ไดส้ ืบทอดประเพณีปฏิบตั ิการทาบุญในวนั เขา้ พรรษามาชา้ นานแลว้ ต้งั แต่ สมยั สุโขทยั

วนั ออกพรรษา วนั ออกพรรษา น้นั ถือวา่ เป็ นวนั ของการสิ้นสุดระยะในการจาพรรษา หรือออกจากการอย่ปู ระจาท่ี วดั ในช่วงฤดูฝนตลอด 3 เดือนของพระภิกษุสงฆ์ โดย วนั ออกพรรษา ตรงกบั วนั ข้ึน 15 ค่า เดือน 11 ของทุก ปี ซ่ึงเรียกอีกอยา่ งวา่ \"วนั มหาปวารณา\" คาวา่ \"ปวารณา\" น้นั แปลวา่ \"อนุญาต\" หรือ \"ยอมให้\" เป็ นการเปิ ด โอกาสให้ภิกษุวา่ กล่าวตกั เตือนกนั ได้ เพราะในระหวา่ งเขา้ พรรษา พระสงฆบ์ างรูปอาจมีขอ้ บกพร่องที่ตอ้ ง แกไ้ ข การใหผ้ อู้ ื่นว่ากล่าวตกั เตือนได้ ทาใหไ้ ดร้ ู้ขอ้ บกพร่องของตน และยงั เปิ ดโอกาสให้ซกั ถามขอ้ สงสัย ซ่ึงกนั และกนั วนั โกน วนั โกน ที่มีกาหนดตามปฏิทินจนั ทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วนั ไดแ้ ก่ วนั ข้ึน 7 ค่า กบั 14 ค่า และวนั แรม 7 ค่า กบั 14 ค่า ของทุกเดือน (หรือวนั แรม 13 ค่า หากตรงกบั เดือนขาด) ซ่ึงเป็ นวนั ก่อนวนั พระ 1 วนั โดยวนั น้ีเป็ นวนั ที่พระพุทธเจา้ ทรงอนุญาตใหพ้ ระสงฆป์ ระชุมสนทนาธรรมและแสดงพระธรรมเทศนาแก่ ประชาชนตามคาขออนุญาตของพระเจา้ พิมพิสาร และเมื่อพระพุทธศาสนาไดเ้ ผยแผเ่ ขา้ มาในประเทศไทย พุทธศาสนิกชนจึงถือเอาวนั ดงั กล่าวมาเป็ นวนั ธรรมสวนะเพื่อถือศีล ปฏิบตั ิธรรม ประกอบบุญกุศล และ กระทากิจของสงฆม์ าต้งั แตส่ มยั สุโขทยั วนั พระ วนั พระ มีกาหนดตามปฏิทินจนั ทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วนั ไดแ้ ก่ วนั ข้ึน 8 ค่า, วนั ข้ึน 15 ค่า (วนั เพญ็ ), วนั แรม 8 ค่า และวนั แรม 15 ค่า (หากเดือนใดเป็ นเดือนขาด ถือเอาวนั แรม 14 ค่า) โดยวนั พระเป็ นวนั ประชุมของพทุ ธศาสนิกชน เพ่ือปฏิบตั ิกิจกรรมทางศาสนาในพระพทุ ธศาสนาประจาสัปดาห์ หรือท่ีเรียกกนั ทวั่ ไปอีกคาหน่ึงวา่ \"วนั ธรรมสวนะ\" อนั ไดแ้ ก่ วนั ถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) มี กาหนดตามปฏิทินจนั ทรคติ โดยมีเดือนละ 4 วนั ไดแ้ ก่ วนั ข้ึน 8 ค่า, วนั ข้ึน 15 ค่า (วนั เพญ็ ), วนั แรม 8 ค่า

และวนั แรม 15 ค่า (หากเดือนใดเป็ นเดือนขาด ถือเอาวนั แรม 14 ค่า) โดยวนั พระเป็ นวนั ประชุมของ พุทธศาสนิกชน เพื่อปฏิบตั ิกิจกรรมทางศาสนาในพระพุทธศาสนาประจาสัปดาห์ หรือท่ีเรียกกนั ทว่ั ไปอีกคา หน่ึงวา่ \"วนั ธรรมสวนะ\" อนั ไดแ้ ก่ วนั ถือศีลฟังธรรม (ธรรมสวนะ หมายถึง การฟังธรรม) วธิ ีปฏิบตั ติ นและเข้าร่วมกจิ กรรมในวนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนา วนั สาคญั ทางพระพุทธศาสนาท้งั หมดน้ี มีความเก่ียวขอ้ งกบั พระพุทธเจา้ โดยตรง ในปัจจุบนั นิยม ปฏิบตั ิคลา้ ยคลึงกนั คือ 1.การทาบุญตกั บาตรท่ีบา้ นหรือท่ีวดั ในตอนเชา้ 2.การไปนมสั การ ไหวพ้ ระ สวดมนต์ และทาบุญตามวดั ต่าง ๆ 3.การฟังพระธรรมเทศนา และปฏิบตั ิสมาธิภาวนา 4.การสนทนาธรรมกบั พระภิกษุหรือผทู้ รงคุณวฒุ ิทางศาสนา 5.การรักษาศีล 5 6.การไปเวียนเทียนท่ีวดั (นิยมเวียนเทียนในวนั มาฆบูชา วนั วิสาขบูชา วนั อฏั ฐมีบูชา และวนั อาสาฬหบูชา)

อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ “ ต น แ ล เ ป น ที พึ ง แ ห่ ง ต น ”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook