Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

Published by karapakorn choogasi, 2021-09-24 03:55:02

Description: กิจกรรมทางวิทยาศาสตร์

Search

Read the Text Version

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 51 ๔.วิทยำศำสตรท์ ะลุจอ แบง่ เปน็ ชดุ กิจกรรม 4 กิจกรรม ชอื่ กิจกรรม อุปกรณ์ วิธกี ำรทดลอง 4.1 ชดุ กำรลำเลียงนำและอำหำรของพืช ดอกไม้ปะ ๑.ขวดปากกวา้ ง ๑.ใส่นา้ และสีผสมอาหารสีนา้ เงนิ 4- 5 หยดลงในขวด แลว้ ใสด่ อกไม้สขี าวที่ หลำด ๒.สผี สมอาหารสีน้าเงนิ เตรยี มไว้ ๓.น้า ๒.หลงั จากตง้ั ไว้ 1 -2 วัน เกิดอะไรขึ้นกับดอกไม้ ๔.ดอกไม้สีขาว เช่น ดอกคาร์เนช่นั พืชแสนกล ๑.ขวดปากกว้าง ใส่นาและสีผสมอาหารสีแดง 2 - 3 หยดลงในขวดปากกว้าง ใส่คื่นฉ่ายให้ ๒.ค่นื ฉา่ ย ต้นแช่ในน้าสี สังเกตทุก ๆ ชั่วโมง จะเห็นการเปล่ียนแปลง ถ้าตั้งไว้ให้นาน ๓.นา้ พอค่ืนฉ่ายจะเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ใบท่ีส่วนยอดคื่นฉ่ายเปลี่ยนแปลงด้วย ๔.สีผสมอาหารสแี ดง หรอื ไม่ ๕.มีด นำล่องหน ๑.พืชปลูกในกระถาง 1.ใช้ถุงพลาสติกคลุมต้นพืช และผูกปากถุงบริเวณโคนต้ ต้ังท้ิงไว้กลางแจ้ง ๒.เส้นเอก ท่ีมแี ดดจัด ๓.ถุงพลาสตกิ ใสขนาด 2.หลังจาก 15 นาที ใช้น้วิ ลบู ถุงพลาสติกเหน็ หยดน้าเลก็ ๆ ใหญ่ 4.2 ชุดกจิ กรรมพยำกรณอ์ ำกำศน่ำรู้ ช่ือกิจกรรม อุปกรณ์ วิธกี ำรทดลอง เ ค รื่ อ ง วั ด 1.ขวดพลาสตกิ ขนาดใหญ่ 1.ตัดส่วนกลางของขวดพลาสติกให้ยาว 7.5 เซนติเมตร แล้วตักแบ่งเป็น ควำมเรว็ ลม 2.กรรไกร สามชน้ิ เทา่ ๆ กัน เพ่ือทาเปน็ ใบพดั 3.เทปกาวสนี ้าเงิน 2.ใช้เทปใสติดใบพัดท้ังสามใบเข้ากับด้ามปากกา ติดเทปกาวสีน้าเงินที่มุม 4.ดา้ มปากกาเอาไสอ้ อก บนของใบพดั ใบหนง่ึ เพ่ือเปน็ จุดสงั เกตในการนับจานวนรอบ ในแตล่ ะวนั นบั 5.เขม็ ถักนิตติ้งขนาดเลก็ จานวนรอบท่ใี บพดั หมุนในช่วงเวลาทีก่ าหนด เช่น 30 วนิ าที 6.เทปใส

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 52 4.3 ชุดกิจกรรมสนกุ กับแสง ชอ่ื กจิ กรรม อุปกรณ์ วิธกี ำรทดลอง 1.แบง่ วงกลมออกเป็น 7 สว่ น ระบายสีแตล่ ะสว่ นเป็นสีรุ้งกนิ นา้ และระบายสีริม แผน่ แสงผสม 1.กระดาษแข็งตดั เป็น กลม 2.เจาะ 2 รู ตรงกลางแผ่นวงกลมให้ห่างกัน 1 เซนติเมตร ร้อยเชือกผ่านรู สี วงกลม ท้งั สองแลว้ ผูกปลายเชือกให้เปน็ ปม 3.ใช้น้ิวถือวงเส้นเชือกควงเส้นเชือกให้หมุนจนเป็นเกลียวแล้วค่อย ๆ ผ่อน 2.สีนา้ 7 สี (แดง ส้ม มือจนแผน่ วงกลมหมนุ ต้ิว เหลือง เขียว น้าเงนิ 1.ตัดกระดาษแข็งเป็นรูปวงกลมเพื่อทาเป็นตัวหมุนใช้ปลายดินสอเจาะตรง กลางกระดาษแข็ง คราม มว่ ง) 2.กดดินสอให้ลงไปในดินทาเครื่องหมายบนแผ่นหมุนแสดงตาแหน่งเงาของ ดนิ สอในแตล่ ะชั่วโมง 3.พกู่ นั 4.ดินสอ 5.เชอื กเส้นเล็กยาว 1 เมตร นำฬิกำแดด 1.กระดาษแขง็ เน้ือ หยาบ 2.กรรไกร 3.ดินสอปลายแหลม Work Shop ประดษิ ฐ์เทอรโ์ มมเิ ตอร์ขวด, เครือ่ งวดั ควำมเร็วลม, แผน่ แสงผสมสี, นำฬิกำแดด, แผ่นแสงผสมสี

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 53 5. Test Body (กำรทดสอบร่ำงกำยเรำ) ช่อื กจิ กรรม อปุ กรณ์ วิธกี ำรทดลอง 5.1 กำรรบั รู้รส 1.ถว้ ยไขใ่ สก่ าแฟดา 1.ตัดหลอดดูดเป็นสองส่วนทาเป็นหลอดหยดจุ่มหลอดดูดลงใน 2.ถว้ ยไขใ่ ส่น้าเกลอื น้าส้มสายชู ใช้น้ิวปิดปลายหลอดด้านบน เพื่อเก็บของเหลวไว้ใน 3.ถ้วยไข่ใสน่ ้าเชอ่ื ม หลอด 4.ถว้ ยไข่ใสน้าส้มสายชู 2.ขยับปลายนิ้วเพ่ือให้ของเหลวหยดลงบริเวณต่าง ๆ ของล้ิน ดังท่ี 5.ชอ้ นชา แบ่งไวใ้ นแผ่นล้นิ ซบั ลิน้ ด้วยขนมปงั ระหวา่ งแตล่ ะการทดสอบ 6.ดนิ สอ 3.ทาเครื่องหมายบนแผ่นลิ้นว่าส่วนใดรับรู้รสน้าส้มสายชูได้ดีที่สุด 7.หลอดดดู 2 หลอด บ้วนปากด้วยน้าเปล่าก่อนเปลี่ยนชนิดของเหลว ผลการทดสอบ 8.ขนมปังแผน่ เปน็ อย่างไร 9.กระดาษ 5.2 จมูกไม่ 1.แครอทขดู ละเอียด 1.นาแอปเป้ิล แครอท และมันฝรัง่ ใสใ่ นชามอย่างละชาม ใชผ้ ้าปดิ ประหลำดใจ 2.แอปเปล้ิ ขดู ละเอยี ด ตาเวน้ จมูกไว้ 3.มนั ฝร่งั ขดู ละเอยี ด 2.ใหเ้ พื่อป้อนอาหารคร้งั ละ 1 ชนดิ ๆ ละ 1 ชอ้ น รูห้ รือไม่วา่ 4.ชาม 3 ใบ กาลงั กินอะไร 5.ผ้าปดิ ตา 6.ช้อน 5.3 เสยี งอย่แู หง่ 1.ขวดแยมใสถ่ ว่ั คร่ึงขวด 1.นั่งบนเกา้ อ้ีใช้ผา้ ปิดตา ใหเ้ พื่อนยนื เขยา่ ขวดใส่ถั่วอยูด่ ้านหลัง หนใด 2.ผา้ ปิดตา และเปลีย่ นตาแหน่งทย่ี ืน 2.ลองทายว่าเพื่อนอยูบ่ ริเวณใด นับจานวนครง้ั ทีท่ ายถูก 5.4 เสน้ ลวดพดู 1.เส้นด้ายยาว 10 เมตร 1.เจาะรูกลางก้นก้นถ้วยกระดาษทั้ง 2 ใบ สอดปลายเส้นด้ายเข้า ได้ 2.ถ้วยกระดาษ 2 ใบ ไปในรผู ูกปมให้แนน่ 2.ให้เพือ่ นช่วยดงึ เส้นด้ายใหต้ งึ โดยใช้มือถือถว้ ยเท่าน้นั 3.สลับกับเอาถ้วยแนบหู และกระซิบผ่านถ้วย แต่ละคนได้ยินเสยี ง ของเพื่อนหรือไม่ 5.5 เสียงผ่ำนท่อ 1. ท่อยาว ๆ ทาจา ก 1.ถือนาฬิกาไว้ข้างหูและเล่ือนห่างออกไปจนไม่ได้ยินเสียงระยะทาง ก ร ะ ด า ษ แ ข็ ง ห รื อ ทเ่ี ลือ่ นไปเป็นเท่าใด กระดาษม้วน 2.ถือนาฬิกาให้ปิดปลายท่อด้านหนึ่งใช้หูฟังท่ีปลายท่ออีกด้านหน่ึง 2.นาฬิกา ได้ยินอะไรหรอื ไม่ 5.6 ศลิ ปะจำก ๑.กระดาษเอ 4 ๑.นานิ้วมอื ของตวั เองจุม่ ในสนี ้า/โปสเตอร์ ลำยนวิ มือ ๒.สีนา้ /โปสเตอร์ ๒.นานิว้ ท่จี ุ่มสีไปวาดลงในกระดาษเอ 4 ตามจนิ ตการ ๓.จานสี Work Shop ประดิษฐ์ นกหวดี กระป๋อง,เส้นลวดพูดได้,เสียงผำ่ นท่อ,ประดิษฐแ์ ผนท่ีลิน,ศลิ ปะจำกนิวมือ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 54 กำรเชื่อมโยงกิจกรรม Science for kids กบั วทิ ยำศำสตร์ กจิ กรรม ไข่ดบิ หรือไขต่ ้ม ควำมเฉ่ือย คือ สมบัติของวัตถุท่ีพยายามรักษาสภาพการเคลื่อนท่ี ดังน้ันการท่ีวัตถุมีมวลมาก ๆ ( ซ่ึงวัตถุนั้นมี ความเฉ่ือยมาก ) มีการเปล่ียนสภาพการเคล่ือนที่ ทาได้ยากกว่าวัตถุท่ีมีมวลน้อยหรือ วัตถุมีมวลมากมีความ เฉ่ือยมากทาให้วัตถุนั้นเคลื่อนท่ียาก ต้องใช้แรงมากวัตถุท่ีมีมวลน้อยมีความเฉ่ือยน้อยทาให้วัตถุเคล่ือนที่ง่าย ใช้แรงน้อย การทดสอบ\"ควำมเฉ่ือย\" ได้โดยทดลองหมุนไข่ สาหรับไข่สุกเมื่อใช้นิ้วหยุดไข่แล้วปล่อยมือ ไข่จะหยุดนิ่ง แต่สาหรับไข่ดิบจะยังหมุนต่อ เพราะของเหลวในไข่ดิบยังคงหมุนต่อไปด้วยความเฉ่ือยแม้เปลือกไข่ จะหยุดหมนุ แล้ว กิจกรรม ลูกเจี๊ยบล้มลกุ ไขล่ ูกขำ่ ง ตุ๊กตำกำวติ ี ตุก๊ ตำตลี ังกำ ศนู ยก์ ลำงมวล ของระบบหน่ึงๆ เป็นจุดเฉพาะเจาะจงซ่ึงเสมือนหนึ่งมวลของระบบรวมตัวกันอยู่ ณ จุดนั้น เป็นฟังก์ชันของตาแหน่งและมวลขององค์ประกอบที่รวมกันอยู่ในระบบ ตาแหน่งของศูนย์กลางมวลมักเป็น ส่วนหน่ึงอยู่ในวัตถุหรือมีความเก่ียวพันกับวัตถุนั้น แต่ถ้าระบบมีมวลหลายช้ินสัมพันธ์กันอย่างหลวม ๆ ในพื้นที่วา่ ง ตัวอย่างเชน่ การยงิ กระสุนออกจากปืน ตาแหน่งศนู ยก์ ลางมวลจะอยใู่ นอากาศระหว่างวตั ถุท้ังสอง โดยอาจไม่สัมพันธ์กับตาแหน่งของวัตถุแต่ละชิ้นก็ได้ หากระบบอยู่ภายใต้สนามแรงโน้มถ่วงท่ีเป็นเอกภาพ มกั เรียกศนู ย์กลางมวลวา่ เป็น ศนู ยถ์ ว่ ง คือตาแหน่งทีว่ ัตถุนน้ั ถูกกระทาโดยแรงโน้มถ่วง กิจกรรม เหรยี ญลอยนำ กำรหกั เหของแสง เกิดจากการที่แสงเคล่ือนที่ผ่านตัวกลางท่ีมีความหนาแนน่ ต่างกัน เป็นผลทาให้ทิศทางของแสงเปลีย่ นแปลงไป ด้วย ซึ่งในขณะที่แสงเกิดการหักเหก็จะเกิดการสะท้อนของแสงข้ึนพร้อมๆ กันด้วย เมื่อแสงเดินทางผ่านวัตถุ หรือตัวกลางโปร่งใส เช่น อากาศ แก้ว น้า พลาสติกใส แสงจะสามารถเดินทางผ่านได้เกือบหมด เมื่อแสงเดิน ทางผ่านตัวกลางชนิดเดียวกัน แสงจะเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ แต่ถ้าแสงเดินทางผ่านตัวกลางหลายตัวกลาง แสงจะหกั เห

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 55 กิจกรรมร่มชูชพี ลอ่ งหน (กำรเลน่ ร่มชชู ีพด้วยหมกึ ) ควำมเข้มขน้ ของสำรละลำย ความเข้มข้นของสารละลายเป็นการบอกถึงอัตราส่วนปริมาณตัวถูกละลายกับปริมาณตัวทาละลายใน สารละลายหน่ึง ๆ อตั ราสว่ นดังกลา่ วจะมีได้ 2 ลักษณะ คอื ปริมาณของตวั ถูกละลายในสารละลายท้ังหมดกับ ปริมาณของตัวถูกละลายในตัวทาละลายทั้งหมด โดยมีหน่วยความเข้มข้น เป็นหน่วยท่ีใช้บอกปริมาณของตัว ถูกละลายและตัวทาละลายในสารละลาย โดยท่ัวๆ ไปหนว่ ยความเขม้ ขน้ ของสารละลายมักจะบอกเปน็ ปริมาณ ของตวั ถูกละลายในสารละลาย กิจกรรมนกั ดำนำ ไขล่ อยได้ ควำมหนำแน่น ความหนาแน่นเป็นสมบัติเฉพาะของสารหรือสสารแต่ละชนิด มีความเกี่ยวข้องระหว่างมวลกับ ปริมาตรของสารนั้น หรืออาจกล่าวได้ว่า ความหนาแน่นก็คือ อัตราส่วนระหว่างมวลกับปริมาตรน่ันเอง หาก สสารน้ันมีปริมาตรเท่ากัน สสารท่ีมีความหนาแน่นมากกว่าย่อมมีมวลมากกว่า ซ่ึงความหนาแน่นนี้ก็เป็นปัจจยั หน่ึงที่ทาให้เกิดการลอยหรือจมของวัตถุด้วย โดยวัตถุที่มีความหนาแน่นน้อยมีแนวโน้มจะลอยอยู่บนวัตถุท่ีมี ความหนาแน่นมากกวา่ กจิ กรรมจดหมำยล่องหน ปฏกิ ริ ยิ ำออกซเิ ดชนั สสารแต่ละชนิดจะมีอุณหภูมิที่จุดสันดาปหรือจุดเผาไหม้ที่แตกต่างกัน ทาให้ใช้ระยะเวลาในการเผา ไหม้ท่ีแตกต่างกันดว้ ย ในนา้ มะนาวจะมีกรดซิตรกิ เปน็ ส่วนผสม เมอื่ นา้ มะนาวระเหยแหง้ ไป จะเหลอื กรดซติ ริก ค้างอยู่บนกระดาษ เน่ืองจากกระดาษและกรดซติ ริกมีอุณหภูมิจดุ เผาไหม้ตา่ งกัน กรดซิตริกจะเข้าทาปฏิกิรยิ า กับออกซิเจนในอากาศแล้วถึงจุดเผาไหม้เห็นเป็นสนี ้าตาลตามรอยท่ีได้เขียนตัวหนงั สือหรือวาดภาพไว้ แต่เม่ือ กระดาษไดร้ บั ความร้อนเพม่ิ ขึ้นหรือนานข้ึน กระดาษกจ็ ะไหม้ตามในภายหลัง กจิ กรรมนำสแี สนสนกุ ทดสอบกรดเบส กำรทดสอบควำมเป็นกรด – เบสของสำรละลำย ความเปน็ กรด - เบส หรอื ค่า pH ของสารละลายสามารถทดสอบได้โดยใช้อินดิเคเตอร์ อินดเิ คเตอร์ท่ี ใชใ้ นการทดสอบความเป็นกรด - เบส หรอื คา่ pH ของสารละลาย สำรเคมที พ่ี บในดอกอญั ชัน ดอกอัญชัน มีสารเคมีที่สะสมอยู่ภายในดอก เช่น สารแอนโทไซยานิน ท่ีช่วยเรื่องการกระตุ้นการ ไหลเวยี นของโลหติ ทาให้เลือดไปเลย้ี งสว่ นตา่ งๆ ของร่างกายไดด้ ี จึงมีสว่ นช่วยทาให้ผมดาเงางาม บารงุ สายตา และลดอาการเหน็บชา

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 56 กำรทดสอบควำมเปน็ กรด – เบสของนำอญั ชนั เมื่อละลายน้าออกมา จะมีสีน้าเงิน ซึ่งสารละลายของนา้ อัญชนั สารท่ีละลายออกมานี้ คือสารแอนโท ไซยานิน ซ่ึงมีคุณสมบัติเป็นสารอินดิเคเตอร์ ท่ีใช้ในการบ่งชี้ความเป็นกรด-เบส ของสารละลายอ่ืนๆสารท่ีมี ฤทธิ์เป็นกรด เมื่อใส่ลงไปในน้าอัญชัน จะเกิดการเปล่ียนสีเป็นสีม่วงแดงในทางตรงกันข้าม หากใส่สารท่ีมีฤทธิ์ เป็นเบส เชน่ น้ายาลา้ งจาน นา้ สบู่ ใสล่ งไปในนา้ อญั ชนั จะเกิดเป็นสเี ขยี วอมฟา้ กจิ กรรมถว้ ยกระโดดได้ แรงกดอำกำศ ความกดอากาศ คือ น้าหนกั ของอากาศทีก่ ดทับเหนือบรเิ วณนน้ั ๆ ความกดอากาศแบ่งเป็น 2 ชนิด คอื บริเวณความกดอากาศต่า หรือ ความกดอากาศต่า หมายถึง บริเวณซ่ึงมีปริมาณอากาศอยู่น้อย ซึ่งจะทาให้ น้าหนักของอากาศน้อยลงตามไป ด้วยเช่นกัน ทาให้อากาศเบาและลอยตัวสูงขึ้น ความกดอากาศสูง หมายถึง บริเวณที่มีค่าความกดอากาศสูงกว่าบริเวณโดยรอบ เม่ือเป่าลมอากาศจะว่ิงเข้าสู่พ้ืนที่ว่างระหว่าง ถ้วยท้ังองใบ ทาให้แรงกดดันอากาศภายใน สูงกว่าแรงกดดันของอากาศภายนอก ทาให้ผลักกันถ้วยที่อยู่ ภายในกระเดน็ ออกมาได้ กจิ กรรมเทียนดดู นำ กังหนั พลงั งำนลม ปนื พลงั งำนลม ควำมดนั อำกำศ อากาศเป็นส่ิงท่ีมีตัวตน มีน้าหนัก ต้องการท่ีอยู่ และสัมผัสได้ น้าหนักของอากาศมีแรงกดหรือแรงดัน อนุภาคของอากาศ เคลอื่ นท่ไี ปมาไดอ้ ยา่ งอสิ ระ และตลอดเวลาในทุกทิศทาง โดยจะเคลอ่ื นทช่ี นกนั เองและชน กับวัตถุต่าง ๆ ท่ีล้อมรอบ ทาให้เกิดแรงดัน รอบทิศทาง เรียก แรงดันอากาศ ใช้หลักความดันอากาศ เม่ือวาง เทียนไว้บนจานที่ใส่น้าไวแ้ ล้วจุดเทียนครอบด้วยแก้ว ก๊าชออกซิเจนในแก้วครอบจะถูกใชไ้ ปในการเผาไหม้ ทา ให้ความดนั ภายในแก้วลดลง น้าในจานจงึ ถูกความดนั จากอากาศภายนอก ดนั เข้าไปในแกว้ กิจกรรมกงั หนั ไฟฟ้ำสถติ ไฟฟำ้ สถติ ไฟฟ้าสถิต เป็นปรากฏการณ์ท่ีปริมาณประจุไฟฟ้าข้ัวบวกและข้ัวลบบนผิววัสดุมีไม่เท่ากันปกติจะแสดงใน รูปการดึงดดู การผลักกันและเกิดประกายไฟ กำรเกดิ ไฟฟำ้ สถิต การที่ปริมาณประจุไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบบนผวิ วัสดุมีไม่เท่ากันทาใหเ้ กิดแรงดึงดดู เม่ือวัตถุท้ัง 2 ช้ิน มีประจุต่างชนิดกันหรอื เกิดแรงผลักกัน เมื่อวัสดุท้ัง 2 ช้ินมีประจุชนิดเดียวกันเราสามารถสร้างไฟฟ้าสถิตโดย การนาผิวสัมผัสของวัสดุ 2 ชิ้นมาขัดสีกัน พลังงานท่ีเกิดจากการขัดสีกันทาให้ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุจะเกิด การแลกเปล่ียนกัน โดยจะเกิดกับวัสดุประเภทที่ไม่นาไฟฟ้า หรือท่ีเรียกว่า ฉนวน ตัวอย่างเช่น ยาง,พลาสตกิ และแก้ว สาหรับวัสดุประเภทท่ีนาไฟฟ้าน้ัน โอกาสเกิดปรากฏการณ์ประจุไฟฟ้าบนผิววัสดุไม่เท่ากันนั้นยาก แตก่ ส็ ามารถเกดิ ขึ้นได้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 57 เม่ือถูลูกโป่งกับผม ลูกโป่งจะมีประจุลบเพ่ิมมากข้ึน ลูกโป่งที่มีประจุลบ จะมีพลังประจุลบบนดาว กระดาษ ทาให้แขนของดาวกระดาษที่อยู่ใกล้ลูกโป่ง มีประจุบวก เม่ือย้ายลูกโป่งไปรอบๆประจุลบบนลูกโป่ง จะดงึ ดดู ประจบุ วกบนแขนดาวดา้ นใกลท้ าใหด้ าวกระดาษ หมุนตาม กิจกรรมแตรคชสำร ขวดผวิ ปำก กำรเกดิ เสยี ง เสียงเกิดขึ้น เมื่อวัตถุหรือแหล่งกาเนิดเสียง มีการสั่นสะเทือน ส่งผลต่อการเคลื่อนท่ีของโมเลกุลของ อากาศท่ีอยู่โดยรอบกล่าวคือโมเลกุลของอากาศเหล่านั้นจะเคล่ือนท่ีจากตาแหน่งแหล่งกาเนิดเสียงไปชนกับ โมเลกุลของอากาศที่อยู่ถัดออกไป จะเกิดการถ่ายโอนโมเมนตัมจากโมเลกุลท่ีมีการเคล่ือนท่ีไปให้กับโมเลกุล ของอากาศ ทอ่ี ยู่ในสภาวะปกติ จากนนั้ โมเลกุลทชี่ นกันจะแยกออกจากกนั โดยโมเลกลุ ของอากาศที่เคลื่อนที่มา ชนจะถูกดึงกลับไปยังตาแหน่งเดิมด้วยแรงปฎิกิริยา และโมเลกุลที่ได้รับการถ่ายโอนพลังงาน ก็จะเคล่ือนที่ ต่อไปและไปชนกับโมเลกลุ ของอากาศท่ีอยถู่ ัดไป เปน็ ดังน้ีไปเรือ่ ยๆ จนเคลอื่ นที่ไปถงึ หู เกิดการไดย้ นิ ขนึ้ กจิ กรรมรม่ ชชู ีพ แรงโน้มถ่วง แรงโน้มถ่วง คือ แรงท่กี ระทาระหว่างมวล แรงโน้มถ่วงของโลก คือ แรงดึงดูดท่ีมวลของโลกกระทาต่อวัตถุรอบข้าง โดยการดึงเข้าหาจุด ศนู ย์กลางหรอื แก่นของดวงดาว ไม่ว่าจะเป็นตน้ ไม้ ใบหญ้า สัตว์ ส่ิงของ มนุษย์ หรอื แม้แตอ่ ากาศ ท้ังหมดล้วน ถูก แรงโน้มถ่วงดึงร่มชูชีพให้ตกลงมา ขณะเดียวกันมีแรงต้านจากอากาศท่ีอยู่ในร่มชูชีพ ทาให้ร่มชูชีพตกลง ช้าๆ ร่มชูชีพขนาดใหญ่มักตกช้ากว่า และอาจทาให้ร่มชูชีพไม่กาง การเติม ดินน้ามัน หุ่นตุ๊กตาตัวเล็กๆ คลปิ หนบี กระดาษ ทาใหร้ ม่ ชูชีพมีความสมดลุ มากขึน้ ทาให้ตกลงมาอยา่ งชา้ ๆ กจิ กรรมดอกไมป้ ระหลำด พชื แสนกล กำรลำเลียงนำ การดูดน้าของพืชเร่ิมต้นที่บริเวณปลายรากของพืชท่ีอยู่ใต้ดินลงไป โดยจะมีขนรากที่เป็นเซลล์ เอพิเดอร์มิส ช่วยเพ่ิมพ้ืนที่ในการดูดน้า ซ่ึงใช้วิธีการดูดน้าแบบออสโมซิส คือ น้าจากบริเวณท่ีมีความเข้มข้น น้อย (น้าจะมาก) เคล่ือนทผี่ า่ นเย่อื เลือกผา่ นมายงั บรเิ วณท่มี ีความเข้มข้นมาก (นา้ จะนอ้ ย) ดงั นนั้ ภายในเซลล์ ของขนรากจะมีแวคิวโอลท่ีบรรจุสารละลายความเข้มข้นสูงไว้เพ่ือให้น้าออสโมซิสเข้ามาได้ง่าย แต่ถ้าใส่ปุ๋ย ให้แก่ต้นไม้มากเกินไปจะทาให้ดินบริเวณนั้นมีความเข้มข้นสูงกว่าเซลล์ของขนราก น้าก็จะออสโมซิสเข้ามาได้ ยากข้ึนและส่งผลให้ต้นไม้เห่ยี วตายได้นา้ สถี ูกดูดข้ึนไปตามก้านดอก ในระยะแรกจะเริ่มเห็นสีที่ปลายกลีบดอก หลังจากน้ันไม่นานจะเห็นเกือบท้ังดอก ดอกไม้ที่มีก้านส้ันจะเปลี่ยนสีเร็วกว่าดอกท่ีมีก้านยาว เพราะน้า เคล่ือนท่ีไปเป็นระยะทางส้ันก็ถึงกลีบดอกพืชมีท่อลาเลียงน้าสีจึงถูกดูดขึ้นไปตามลาต้นและเส้นใบ เราจึงเห็น เสน้ ใบและใบเปลย่ี นเปน็ สี

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 58 กจิ กรรมนำลอ่ งหน กำรคำยนำ เป็นการแพร่ของน้าออกไปทางปากใบ ซึง่ จะเกดิ มากในตอนกลางวันท่ีอุณหภูมิ อากาศมคี วามชื้นน้อย การคายน้าจะส่งผลให้เกิดแรงดึงน้าจากส่วนลา่ งของลาตน้ ขึ้นไปสู่ส่วนที่อยู่สงู กว่า ช่วยลดอุณหภูมิท่ีใบ พืชถ้า คายน้ามากเกินไปจะทาให้ใบเหยี่ ว ทาให้พชื เจรญิ ชา้ ลง หลักการคายน้า พืชไม่ได้ใช้น้าท้ังหมดท่ีได้รับเข้าไป น้าส่วนเกินถูกกาจัด เช่น ทางรูเล็ก ๆ ในใบ เรยี กว่า การคายน้า การทดลองน้ี ถุงพลาสติกจะเกบ็ กกั หยดนา้ ทร่ี ะเหยออกจากรูใบ กิจกรรมประดิษฐ์เทอรโ์ มมเิ ตอรข์ วด อณุ หภมู ิ อุณหภูมิ หมายถึง การวัดค่าเฉลี่ยของพลังงานจลน์ซึ่งเกิดขึ้นจากอะตอมแต่ละตัว หรือแต่ละโมเลกุล ของสสาร เมื่อเราใส่พลังงานความร้อนให้กับสสาร อะตอมของมันจะเคลื่อนที่เร็วขึ้น ทาให้อุณหภูมิสูงขึ้น แต่เม่อื เราลดพลงั งานความร้อน อะตอมของสสารจะเคล่ือนทช่ี ้าลง ทาให้อณุ หภูมิลดต่าลง ถ้าอากาศมีอุณหภูมิสูงกว่าของเหลวในขวด ของเหลวจะขยายตัวทาให้ระดับของเหลวในหลอดดูด สูงขึ้น ถ้าอากาศมีอุณหภูมิต่ากว่าของเหลว ของเหลวจะหดตัวและระดับของเหลวในหลอดลดลง ทาให้อ่า ระดบั มาตรวดั ไดต้ า่ ลง กจิ กรรมกำรรบั รู้รส กำรรบั รู้รส ลิ้น เป็นมัดของกล้ามเนื้อโครงร่างขนาดใหญ่ที่อยู่บริเวณฐานของชอ่ งปากเพ่ือรองรับอาหาร และช่วย ในการเค้ียวและการกลืน เป็นอวัยวะท่ีสาคัญในการรับรส บริเวณพ้ืนผิวของลิ้นปกคลุมไปด้วยปุ่มรับรส ลน้ิ สามารถเคลอ่ื นไหวไดห้ ลายทิศทาง จงึ ช่วยในการออกเสยี ง ลิ้นเปน็ อวัยวะที่มนี ้าลายใหค้ วามชุ่มช้ืนอยู่เสมอ และเลี้ยงโดยเส้นประสาทและหลอดเลือดเป็นจานวนมากเพื่อช่วยในการทางานและการเคล่ือนไหว ดา้ นบนลิน้ รบั รรู้ สหวานได้ดี โคนลน้ิ รบั รู้รสขม ดา้ นข้างลนิ้ รบั รู้รสเปรี้ยว และปลายลิน้ รับรรู้ สเคม็ กิจกรรมจมูกไม่ประหลำดใจ กำรรบั กล่ิน การรับกล่ิน เป็นการทางานที่ซับซ้อนระหว่างจมูกและสมองส่วนหน้าบริเวณท่ีเรียกว่า ออลแฟกทอร่ี บัลบ์ เพ่ือส่งต่อสัญญาณไปยังสมองส่วนซีรีบรัมให้ แปลข้อมูลว่าเป็นกลิ่นอะไร หอมหรือเหม็น การรับรู้กลิ่น ช่วยในการอยู่รอดของมนุษย์ทาให้รับรู้คุณภาพของอาหาร เป็นสัญญาณเตือนภัยให้มนุษย์และสัตว์อื่นๆ รู้ล่วงหน้าว่าภัยใกล้จะถงึ ตวั ขณะกินอาหาร กล่ินอาหารจะลอยเข้าทางจมูกทาให้รับรู้รสและกล่ินได้พร้อมกัน จมูกรับรู้ได้เร็วกว่า กล่ินจึงสามารถจาแนกชนิดอาหารได้ถูกต้องกว่าลิน้ ล้ินบอกได้เพียงว่าเป็นรสไหวาน เปร้ียว เค็ม หรือขม ถ้า ไมม่ ีจมูกจะไม่สามารถบอกรายละเอียดได้มากนดั

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 59 กิจกรรมเสยี งอยู่แห่งหนใด เส้นลวดพดู ได้ กำรรับเสียง เสียงเกิดจากการสั่นของวัตถุ วัตถุที่มีการสั่นแล้วทาให้เกิดเสียงเรียกว่า แหล่งกาเนิดเสียง สาหรับ มนุษย์เสียงพูดเกิดจากการสั่นสะเทือนของสายเสียงซึ่งอยู่ภายในกล่องเสียงบริเวณด้านหน้าของลาคอเรียกว่า ลูกกระเดือก มนุษย์สามารถควบคุมเสียงที่พูดพูดข้ึนโดยใช้ฟัน ล้ิน ริมฝีปาก ทาให้เกิดเสียงท่ีแตกต่างกัน แต่เสยี งจะมีประโยชน์อยา่ งสมบูรณ์ต้องมีการไดย้ นิ คลนื่ เสยี งทาใหอ้ ากาศสั่นสะเทือนส่งผลให้เย่ือแกว้ หสู ่นั กระทบกับกระดูกหูรูปค้อน กระดกู รูปทั่งและ กระดูกรูปโกลน ทาให้เกดิ การสน่ั สะเทอื นไปยงั ของเหลว ในหสู ่วนใน ซ่งึ คล่นื ของเหลวนี้จะไปกระตนุ้ เซลล์รับ เสียงส่งต่อไปยังประสาทรับเสียง ส่งไปยังศูนย์กลางรับเสียงในสมอง ซึ่งแปลความรู้สึกเป็นเสียงต่างๆจาก การศกึ ษาท่ีผา่ นมาทาให้เราทราบวา่ การได้ยนิ เสียงของมนษุ ย์ต้องข้นึ กบั ระดบั ความเข้มเสยี ง และความถ่ีเสยี ง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 60 กิจกรรม Walk Rally ฐำนที่ 1 ประวัติสมเดจ็ พระเจำ้ ตำกสินท่เี ก่ียวข้องกับเขำขนุ พนม รำยละเอยี ด เป็นวัดที่มีความสาคัญทางประวัติศาสตร์และโบราณคดี มีถ้าซ่ึงมีกาแพงก่ออิฐถือปูนและในเสมา เช่นเดียวกับกาแพงเมือง ในถ้ามีพระพุทธรูปสาริดประมาณ 30 องค์และมีหลายถ้าทะลุถึงกัน อย่างไรก็ตาม เปน็ ทเ่ี ชื่อกันในหมู่คนท้องถน่ิ วา่ เปน็ ทีป่ ระทับของพระเจ้าตากสนิ ขณะทรงผนวช ลักษณะเด่น -มคี วามสาคัญทางด้านโบราณคดแี ละประวัติศาสตร์เน่อื งจากมถี า้ ที่มีกาแพงก่ออฐิ เหมือนกาแพงสมยั โบราณ -ผนังของวดั ด้านหนา้ เป็นลวดลายปูนปน้ั ประดบั ด้วยเครื่องลายครามของจีน -ในบรเิ วณถ้ามีพระพทุ ธรูป 30 องค์และพระพทุ ธบาทสาริด ประวัติเช่ือกันว่า เขาขุนพนม เคยเป็นท่ีประทับของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชภายหลังจากส้ิน รัชกาลของพระองค์ มีผู้สันนิษฐานว่าพระเจ้าตากสินทรงมิได้ถูกประหารชีวิต อย่างที่พงศาวดารกล่าวอ้าง แต่ ไดท้ รงสับเปลย่ี นพระองคก์ บั พระญาติหรือทหารคนสนทิ แล้วเสด็จมายงั นครศรีธรรมราช มกี ารเตรยี มการ โดย มีการสร้างป้อมปราการ ทาเชิงเทิน ป้อมวงกลมตามชะง่อนผาเพื่อให้พระเจ้าตากสินได้ประทับเม่ือทรงผนวช เจริญวิปสั สนากรรมฐานณ วัดเขาขุนพนมจนเสด็จสวรรคต แตบ่ างกระแสกล่าวว่าเขาขนุ พนม สรา้ งโดยพระยา ตรังภูมาภิบาลเจ้าเมืองนครศรีธรรมราช สาหรับพักตากอากาศท่ีเขาขุนพนมจึงมีการสร้าง ป้อมปราการคอย ปอ้ งกนั อย่างแน่นหนา ความสาคัญต่อชุมชน ชาวเขาขุนพนมมีความเชื่อเร่ืองพระเจา้ ตากสินมหาราช เสดจ็ หนี มาประทับที่เขาขุนพนม จึงได้ร่วมมือ กันสร้างพระตาหนักสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช บริเวณชะง่อนหิน เชิงเขา ซ่ึงเป็นบริเวณที่เช่ือว่าพระองค์ ประทับขณะผนวชอยู่ ประชาชนที่ยังระลึกถึงวีรกรรม และความกล้า หาญในการกู้เอกราชชาติไทยในสมัยเสีย กรุงศรอี ยุธยาครั้งที่ 2ได้รว่ มกนั สรา้ งพระบรมสาทิสลักษณ์ ทงั้ ในเพศ บรรพชิตและชุดฉลองพระองค์นักรบ แล้วอัญเชิญมาไว้ในศาลให้ผู้คนที่ศรัทธาได้มากราบไหว้ ปัจจุบันจึงมี ประชาชน จากทั่วสารทิศมาเขาขุนพนม อยู่เสมอเพ่ือตามรอยพระเจ้าตากสินมหาราชลักษณะทาง สถาปตั ยกรรมเขาขนุ พนมมี ลักษณะเป็นภเู ขาหินปนู ลูกโดดเตย้ี ๆ มตี น้ ไม้ปกคลมุ อยู่อยา่ งหนาแน่น บนภเู ขามี ถ้าหินปูน ท่ีมีโพรงหินงอกหินย้อยลักษณะของภูเขาวางตัวอยู่ในแถบเหนือ-ใต้ มีความยาวประมาณ 750เมตร กว้างตามแนวทางทิศตะวันออก-ตะวันตก ประมาณ500เมตร สูงจากระดับน้าทะเลปานกลางประมาณ 43 เมตร ส่วนยอดเขาสูง จากระดับน้าทะเลปานกลางประมาณ 165 เมตร ทางทิศใต้ของภูเขาเป็นทางลาดชัน ทางทิศเหนือเป็นไหล่เขา ทางทิศตะวันตกเป็นสวนมังคุดและสวนยางพารา ทางทิศตะวันตกเป็นโรงเรียนและ วัดเขาขุนพนม เขาขุนพนมมีจุดเด่นอยู่ท่ีวัดเขาขุนพนมซ่ึงต้ังอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ของเขาขุนพนม ประวัติการก่อสร้างไม่ปรากฏ แต่หลักฐานประเภทโบราณสถานและโบราณวัตถุต่าง ๆ สามารถบ่งน้ีได้ว่า วัด เขาขุนพนมนา่ จะสรา้ งขน้ึ ในต้ังแตค่ รัง้ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 61 กิจกรรมวิทยำศำสตร์ ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร์ - ทกั ษะการสงั เกต (Observing) - ทักษะการตั้งสมมุติฐาน ( FormulatingHypthesis ) - ทักษะการตคี วามและลงขอ้ สรุป ( Interpreting data ) กจิ กรรมเพิ่มเติม - การศกึ ษาเรื่องธรณสี ัณฐานการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก - การทดสอบหนิ ปูน กำรเชอื่ มโยงกจิ กรรม Walk Rally กบั วทิ ยำศำสตร์ ฐำนที่ 1ประวิตสิ มเด็จพระเจ้ำตำกสนิ ทีเ่ กยี่ วข้องกับเขำขุนพนม เม่ือได้ฟังเร่ืองเล่าหรือประวัติสมเด็จพระเจ้าตากสินท่ีเกี่ยวข้องกับเขาขุนพนมแล้ว ต้องใช้ทักษะทาง วทิ ยาศาสตรใ์ นการสงั เกตบริเวณที่วิปสั สนากรรมฐานหรือบรเิ วณรอบๆ และตอ้ งศึกษาข้อมลู เพ่ิมเติมเพ่ือใช้ใน การตีความข้อมูลและตดั สินใจเชอ่ื ข้อมูลหรือไมเ่ ช่ือขอ้ มลู โดยใชห้ ลกั การของเหตผุ ล หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มีถ้าซ่ึงมีการก่ออิฐเป็นกาแพง และในถ้ามีพระพุทธรูปสาริด ผนังของวัด ด้านหน้าเป็นลวดลายปูนปั้นประดับด้วยเคร่ืองลายครามของจีน มีการขุดค้นพบเคร่ืองลายครามโบราณ ยักษ์แคระสองตน ศลิ ปะแบบจนี ปนั้ ดว้ ยปนู

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 62 กิจกรรมท่ี 2 โบสถ์มหำอุด เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้องดินเผามีขนาดเล็ก ฐานโบสถ์กว้าง 5.30 เมตร ยาว 11.20 เมตร ยกพ้ืนสูง 1.75 เมตร ฐานเขียง ฐานสิงห์และบัวคว่าตามลาดบั มีความสูงจากระดับพ้ืนภายนอกระดบั หลัง ขื่อ 5.1เมตร หลังคาจ่ัวไม่มีช่อฟ้าใบระกา และหางหงส์ประดับ มีบันไดทางข้ึนและประตูอยู่ทางด้านทิศ ตะวันออกเพียงด้านเดียว ส่วนผนังด้านทิศใต้เป็นผนังทึบ ไม่มีหน้าต่าง เชื่อได้ว่าสร้างเพื่อประกอบกิจทาง ศาสนาและเกบ็ พระบรมศพของสมเดจ็ พระเจา้ ตากสินมหาราช กจิ กรรมวิทยำศำสตร์ ทักษะทางวิทยาศาสตร์ - ทักษะการสงั เกต (Observing) - ทกั ษะการต้งั สมมุตฐิ าน ( FormulatingHypthesis ) - ทักษะการตคี วามและลงข้อสรปุ ( Interpreting data ) กำรเชือ่ มโยงกิจกรรม Walk Rally กบั วิทยำศำสตร์ ฐำนท่ี 2 โบสถ์มหำอดุ โบสถ์มหาอุด เป็นโบสถ์ท่ีมีลักษณะที่แตกต่างจากที่อื่น ไม่มีช่อฟ้าไม่มีใบระกาและหางหงส์ประดับ ซ่ึงทิศทางของโบสถ์ จะหันผิดแปลกจากทางอื่นโดยให้ไปอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตก มีบันไดทาง ข้ึนและประตูอยทู่ างด้านทิศตะวันออกเพียงดา้ นเดยี วและมชี ่อลมทางด้านทิศตะวันออกสองช่องมีลักษณะการ เจาะ ย่อมุมเพื่อให้แสงท่ีตกกระทบในช่วงกลางวันสามารถกระจายแสงภายในโบสถ์มหาอุดเนื่องจากการ ปฏิบัติศาสนกิจของพุทธศาสนิกชนจะประกอบพิธีในช่วงเวลากลางวัน ด้านทิศตะวันตกมีการเจาะช่องใกล้ กับพระประฐานหนึ่งช่องเพ่ือใช้ในการระบายควันธูปเทียน ด้านในประดิษฐานพระปางมารวิชัยพร้อมทั้ง พระอัครสาวกท้ังเบื้องซ้ายแหละเบื้องขวา ความเชื่อที่มีการสร้างขวางแนวตะวันเน่ืองจากเป็นตัวแทนของ สมเด็จพระเจ้าตากสินมพี ระสตวิ ิปลาส จงึ มีการสรา้ งทีผ่ ิดแปลกจากโบสถท์ ่ีอืน่ หลักฐานทางวิทยาศาสตร์สันนิษฐานลักษณะของหลังคาเป็นหลังคากระเบ้ืองดินเผา สร้างข้ึนต้ังแต่ คร้ังกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีตอนปลาย ลักษณะของโบสถ์มหาอุดมีฐานกว้างเรียกว่าฐานเขียงลดระดับช้ัน เป็นฐานสิงห์และบัวคว่าส่วนอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยมส่วนประกอบหลังคาเป็นลักษณะของสามเหล่ียมหน้าจั่ว ลักษณะของใบเสมารองรับดว้ ยดอกบัว มีฐานเขียงลดระดับชั้นเปน็ ฐานสงิ ห์ มจี านวนใบเสมาแปดใบ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 63 กิจกรรมท่ี 3 เฟริ น์ มหำสดำ ชือ่ วิทยำศำสตร์ : Cyathealatebrosa (Wall. ex Hook.) Copel.อยใู่ นวงศ์ CYATHEACEAE ช่ือสามัญ Lacy Tree Fern สมุนไพรเฟิร์นมหาสดามีช่ือท้องถ่ินอื่น ๆ ว่า กูดต้น (ภาคเหนือ), มหาสดา (ภาคใต้),กูดพร้าว (เชียงใหม่) บางแหง่ เรยี กวา่ “กูดต้นดอยสุเทพ” ลกั ษณะของตน้ เฟริ น์ มหำสดำ ลาต้นตง้ั ตรง สูง 3-5 ม. มีเกล็ดปกคลุม และมรี อยก้านใบทหี่ ลุดร่วงไป ใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ออกรวมเป็นกลุ่มบริเวณใกล้ยอด แกนกลางใบประกอบมีตุ่มขรุขระทางด้านล่าง ด้านบนมีขนและเกล็ด ประปราย กา้ นใบมหี นามส้ันๆ ทโ่ี คนมีเกล็ดสีนา้ ตาลเป็นมนั เกล็ดรปู แถบ กลุ่มใบย่อยค่ลู ่างลดขนาดลง รูปร่าง ไม่แน่นอน กลุ่มใบย่อยถัดข้ึนมารูปขอบขนานแคบ ปลายเรียวแหลมและมีต่ิงยาว ใบย่อยมีมากกว่า 25 คู่ รูป ขอบขนานแกมรูปใบหอก ปลายเรียวยาว โคนกึ่งตัด ขอบหยักเว้าลึก หยักเฉียง รูปเคียว ปลายมน ขอบเรียบ หรือจักฟันเลื่อย แผ่นใบบาง เส้นใบแยกสาขาเป็นคู่ 7-8 คู่ ไม่มีก้านใบย่อย กลุ่มอับสปอร์รูปเกือบกลม อยู่บน เส้นใบ 2 ข้างเสน้ กลางใบย่อย เย่ือคลุมกลมุ่ อบั สปอรเ์ ป็นเกล็ดเล็ก อยู่ทฐ่ี านของกลุ่มอับสปอร์ สรรพคณุ และประโยชน์ แพทย์แผนชนบทจะใช้เน้ือไม้นามาทาเป็นยาแก้ไข้ ใช้ฝนเป็นยาทาแก้ฝี แก้อักเสบ และแก้บวม เนอื้ ไม้ แกไ้ ขก้ าฬ ไข้เหนอื ไข้สันนิบาต กล่อมพษิ ทั้งปวง แก้บิด มกู เลอื ด แก้บิด ประโยชนข์ องเฟริ ์นมหำสดำ ลาตน้ ของเฟิร์นมหาสดาสามารถนามาใชป้ ลกู เลีย้ งกลว้ ยไมไ้ ดร้ าก, เหงา้ แก้ซาง แก้ไข้ แกป้ ากล้ินคอ เปอื่ ย แกไ้ อ แกป้ วด แกธ้ าตพุ กิ าร ขอ้ ควรระวงั อย่าใหข้ นหรอื เกล็ดของเฟินชนิดนี้ เขา้ ตาเปน็ อนั ขาด โดยเฉพาะในระหวา่ งการขนย้าย การตัดแต่งใบ หรือการเปล่ียนกระถาง หากขนของเฟินน้ีเข้าตา ไม่ควรขย้ีตาเป็นอันขาดให้รีบไปพบจักษุแพทย์ทันที ไม่ควร ปลอ่ ยไวห้ รอื รักษาเอง เนอ่ื งจากขนหรือเกลด็ ของเฟนิ ชนดิ นี้ เป็นหนามยอ่ ยๆ ท่ีสามารถฝังเขา้ ไปในผิวเยื่อบุตา ยากตอ่ การขจัดออก และอาจทาให้ผิวเยื่อบุตาขรุขระ ทาให้การมองเหน็ ปกติเหมือนเดิมไดย้ ากนอกจากน้ี บาง คนอาจมอี าการแพ้ขนของเฟินชนิดนี้ จะมอี าการคนั ตามผิวหนงั เมอ่ื สมั ผัส หรอื จามหากเข้าจมูก

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 64 กิจกรรมวิทยำศำสตร์ 1. ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ - ทกั ษะการสงั เกต (Observing) 2. ลกั ษณะทางภูมิอากาศและภูมปิ ระเทศ 3. ลักษณะของเฟริ ์นมหาสดาการทาไปใชป้ ระโยชน์ กำรเชือ่ มโยงกจิ กรรม Walk Rally กบั วทิ ยำศำสตร์ ฐำนท่ี 3 เฟิร์นมหำสดำ ช่ือวทิ ยาศาสตร์ : Cyathealatebrosa (Wall. ex Hook.) Copel.อยู่ในวงศ์ CYATHEACEAE ชื่อสามัญ Lacy Tree Fern สมุนไพรเฟิร์นมหาสดามีชื่อท้องถิ่นอ่ืน ๆ ว่า กูดต้น (ภาคเหนือ), มหาสดา (ภาคใต้),กูดพร้าว (เชียงใหม่) บางแหง่ เรยี กวา่ “กดู ต้นดอยสุเทพ” สังเกตลักษณะเฟิร์นมหาสดาลักษณะพิเศษเป็นเฟิร์นท่ีมีลาต้นสูงใหญ่ ลาต้นเหง้าเป็นแท่งและมีใบ ย่อยแบบขนนกช้ันเดียวอับสปอร์จะมีลักษณะเป็นรูปเกือบกลม อยู่บนเส้นใบท้ังสองข้าง โดยจะอยู่ตรงเส้น กลางใบย่อยปี มีขนใช้ในการดูดความช้ืนภูมิอากาศและภูมิประเทศต้องเป็นลักษณะภูมิเขาและป่าดิบช้ืน จัดเป็นป่าประเภทไม่ผลัดใบ เป็นป่าที่มีสีเขียวตลอดท้ังปีเป็นอาหารของไดโนเสาร์ เป็นเฟิร์นมีอายุยาว ซง่ึ เฟิรน์ มหาสดาต้องอยู่ในอุณหภมู ิทเ่ี หมาะสมในการเจรญิ เติบโต ถ้าความช้ืนแหละอุณหภมู ิไม่เหมาะสมจะไม่ สามารถเจริญเติบโตได้ เฟิรน์ มหาสดาเป็นพชื พนื้ ถิน่ ของอุทยานแหง่ ชาติเขาหลวง นครศรธี รรมราช

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 65 กิจกรรมท่ี 4 กำรลอกลำยเปลือกไม้ วงปี (annual ring) วงปีเกิดจากการเจริญเติบโตทางด้านข้างของต้นไม้ เม่ือพืชมีอายุมากข้ึน บริเวณของเนื้อไม้ที่เรียกว่า เนื้อเย่ือแคมเบียม (cambium)ในพืชใบเลี้ยงคู่ เห็นได้ชัดเจนในลาต้นมากกว่าในรากเนื้อไม้เกิดข้ึนจากการ เจริญเติบโตของต้นไม้ในรอบปีที่ไม่เท่ากัน เนื้อไม้ท่ีเกิดขึ้นในฤดูฝนจะมีความหนาแน่นต่าและค่อนข้างที่มีรู พรุนมากเห็นเป็นสอี ่อน เราเรียกเนื้อไม้ต้นฤดู (Early wood หรือ spring wood) ไม้ที่เจริญเติบโตในชว่ งฤดูนี้ จะโตอย่างรวดเร็วจึงทาให้เป็นสาเหตุที่เนื้อไม้ไม่หนาแน่นและมีสีท่ีอ่อนกว่าไม้ท่ีโตในฤดูหนาว หรือ ฤดูแล้ง ขณะที่เนื้อไม้ท่ีเกิดขึ้นในฤดูหนาวต่อฤดูแล้งจะมีความแน่นสูงเห็นเป็นสีเข้ม เราเรียกเน้ือไม้ปลายฤดู (Late wood หรือ summer wood) ไม้ท่ีโตในช่วงฤดูนี้จะมีการเติบโตท่ีช้าทาให้เนื้อไม้มีความหนาแน่นสูงและมีสี เขม้ เม่อื เน้อื ไมป้ ลายฤดตู อ่ กบั เนื้อไมต้ น้ ฤดู กจ็ ะเห็น เน้ือไมท้ ม่ี ีสีอ่อนและสีเขม้ สลับกันเป็นชว่ งๆ โดยไมส้ อี ่อน กับสีเข้มที่สลับกันน้ันเราเรียกว่า แนววงรอบปี โดยไม้ สีอ่อน 1 ชั้นรวมกับไม้สีเข้ม 1 ชั้นคืออายุ 1 ปีของไม้ นน่ั เอง การลอกลายเปลือกไม้เป็นวิธีการในการสังเกตอายุของต้นไม้แทนการนับวงปี เนื่องจากการนับวงปี จาเป็นท่ีจะต้องตัดต้นไม้ก่อนจึงสามารถนาวงปีได้ การลอกลายไม้จึงเป็นการสังเกตอายุของต้นไม้โดยการ สังเกตจากเปลือกไม้ที่มีอายุมากผิวของเปลือกไม้จะมีลักษณะท่ีขรุขระมากกว่าต้นไม้ที่มีอายุน้อยกว่า วิธีการ ลอกลายไม้เป็นการคานวณอายุของต้นไม้เบ้ืองต้นและสามารถทาได้ง่ายโดยไม่ต้องทาลายต้นไม้หรือทาให้เกดิ ความเสียหายแก่ต้นไม้ กำรเชื่อมโยงกิจกรรม Walk Rally กบั วิทยำศำสตร์ ฐำนท่ี 4 กำรลอกลำยเปลอื กไม้ ใช้ทักษะการสังเกตลวดลายไม้ต่างๆบอกถึงชนิดของพันธ์ุพืชเพราะเปลือกไม้ในแต่ละชนิดไม่ เหมือนกัน การลอกลายไม้เป็นการทาให้สังเกตเห็นลายไม้ง่ายขึ้น แทนที่จากการสังเกตด้วยตาเปล่า ลายแตกของเปลือกไม้ขึ้นอย่กู ับอายุของไม้ด้วยถ้าไม้มีอายุเยอะเปลือกไม้ก็จะแตกมากกว่าต้นท่อี ายุน้อยคล้าย กบั ผวิ หนงั ของคนทีม่ ี อายุเยอะผิวหยาบกร้านกวา่ ผวิ ของคนทีม่ ีอายุนอ้ ย ในการนับอายุต้นไม้นิยมนับวงปีของต้นไม้จึงต้องตัดต้นไม้เพื่อจะได้สังเกตวงปีได้ชัดเจน เป็นการ ทาลายส่งิ แวดล้อม จึงใชก้ จิ กรรมการลอกลายไมเ้ พือ่ เปรียบเทียบเปลือกไม้แทนที่จะต้องตัดต้นไมจ้ รงิ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 66 กิจกรรมที่ 5 พูพอน ทกุ อยา่ งในธรรมชาติต้องปรับตวั เพ่ือความอยรู่ อดเช่นกนั ไม่ตา่ งกับมนษุ ยท์ ี่จะต้องปรับตัวใหเ้ ข้ากับ สังคม บางคร้งั อาจทาไดด้ กี ว่าเราอกี เช่น ตน้ ไม้ เมื่อสงู ใหญข่ นึ้ กจ็ ะมปี ญั หาในการพยงุ ลาต้นเพื่อไมใ่ ห้โค่นลม้ ไดง้ ่าย จงึ ต้องมกี ารพฒั นาบริเวณโคนต้นใหแ้ ขง็ แรง คือ รากคา้ ยันของต้นไม้ที่มขี นาดใหญ่ โดยสว่ นท่ยี ื่นออก นอกลาตน้ ทางโคนของตน้ ซึง่ ตดิ กบั รากแขนงของไมย้ ืนต้น อนั เนือ่ งจากการงอกหรือเกดิ ข้ึนของต้นไมง้ อกอยู่ ในสถานทีท่ ไ่ี ม่เหมาะสม ทีซ่ ึ่งรากแกว้ ไมส่ ามารถชอนไชลงไปในดินได้ จงึ จาเป็นต้องเปลยี่ นแปลงลกั ษณะของ รากเป็นพูพอนเพือ่ ช่วยค้ายันให้ต้นไม้มีความแข็งแรงข้ึน ช่วยดูดซับนา้ และชว่ ยลดแรงสั่นสะเทือนให้กับตน้ ไม้ เพ่ือใหอ้ ยใู่ นสภาวะท่ีไมเ่ หมาะสมได้ เรียกว่า “พพู อน” (Buttress) นอกจากทาหนา้ ท่สี าคัญในการพยุงลาต้นแล้ว พพู อนยงั ทาหน้าที่ดักเก็บเศษซากพชื ซากสตั ว์บนผิวดิน ที่จะย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุให้กับต้นไม้ น่าอัศจรรย์มาก ต้นไม้บางชนิดมีพูพอนสูงถึง 3 เมตร นับว่าเป็น ตัวอย่างของการปรับตัวเพื่อการอยู่รอดได้เป็นอย่างดีทาไมต้นไม้ต้องสร้างพูพอน ก่อนอ่ืนต้องรู้ไว้ก่อนว่าในป่า เขตรอ้ น สภาพอากาศในป่าจะร้อนและมีความชื้นสงู ทาใหใ้ บไม้กง่ิ ไมแ้ ละอินทรีย์สารต่างๆ ถกู ยอ่ ยสลายอย่าง รวดเร็วกลายเป็นแร่ธาตุสะสมอยู่บริเวณผิวดิน คร้ันเข้าสู่ฤดูมรสุมฝนที่ตกลงมาอย่างหนักก็จะชะเอ า สารอาหารเหล่าน้ีหายไปกับสายน้า คงมีแร่ธาตุส่วนน้อยเท่าน้ันที่จะซึมลงในดิน เมื่อแร่ธาตุต่างๆอุดมสมบูรณ์ อยู่เฉพาะบริเวณผิวดิน ประกอบกับระบบรากพืชส่วนใหญ่จะกระจายอยู่เป็นวงกว้างต้ืนๆ ใต้ผิวดินเพียง เล็กน้อย เพื่อดูดซึมอาหารแร่ธาตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นไม่ว่าต้นไม้จะสูงใหญ่ขนาดไหนก็ล้วนมีรากแผ่ ลงไปไม่ลึกนัก(ยกเว้นรากแก้ว) พืชจึงขยายส่วนโคนลาต้นให้แผ่ออกเพื่อเป็นส่วนค้ายันลาต้นไม่ให้โค่นล้มได้ ง่ายยามเผชิญกับลมพายุ นอกจากน้ีพูพอนยังเป็นการปรับตัวอันฉลาดหลักแหลมยิ่งของพืช เพื่อชดเชยระบบ รากท่ีอยู่ต้ืน ซ่ึงช่วยให้พืชดูดซึมอาหารแร่ธาตุได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้นอีกด้วย เราอาจพบต้นไม้ท่ีสร้างพูพอน น้ันไม่ได้อยู่ตามริมลาน้าหรือบริเวณที่มีความชื้นมาก แต่เนื่องจากใต้พื้นดินบริเวณน้ันมีก้อนหินน้อยใหญ่ มากมายที่รากไม่สามารถแทงลงไปยึดเพ่ือพยุงลาตน้ ได้ จึงจาเป็นต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของตนด้วยการ สร้างพูพอนข้นึ มา กจิ กรรมวิทยำศำสตร์ 1. ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ - ทักษะการสงั เกต (Observing) 2. ลกั ษณะทางภูมิอากาศและภูมปิ ระเทศ กิจกรรมเพิม่ เตมิ - กิจกรรมการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราช กมุ ารี

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 67 กำรเช่อื มโยงกิจกรรม Walk Rally กบั วทิ ยำศำสตร์ ฐำนที่ 5 พพู อน รากพูพอนเป็นรากท่ีช่วยพยุงลาต้นต้องค้ายันของต้นไม้ใหญ่ โดยส่วนที่ยื่นออกมาจากลาต้นทาง โคนตน้ ซง่ึ ติดกบั รากแขนงของต้นไม้เน่ืองจากบริเวณน้ันอาจจะอยู่ใกล้แหล่งน้าหรือใกลบ้ ริเวณทเ่ี ปน็ ภูเขาหิน ทาใหร้ ากไม่สามารถลงไปใต้ดนิ ได้ ตน้ ไมจ้ าเปน็ ต้องสร้างรากพูพอนเป็นพยุงลาต้นไม่ใหโ้ ค่นล้มไดง้ ่าย ลักษณะของป่าเขตร้อนสภาพอากาศร้อนชื้น แร่ธาตุจะอยู่บริเวณผิวดินทาให้เมื่อฝนตกจะทาให้แร่ ธาตุท่ีจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืชถูกพัดพาไปกับน้า พืชจึงจาเป็นต้องสร้างรากพูพอนขึ้นมาเพ่ือชะลอ การไหลของนา้ เพื่อดกั แรธ่ าตุทีจ่ าเป็นตอ่ พืชเอาไว้ ลักษณะเด่นของรากพูพอนเป็นรากแก้วซ่ึงไม่สามารถชอนไซลงไปใต้ดินได้ จึงเปลี่ยนแปลงลักษณะ ของรากให้มีลักษณะเป็นแผงขนาดใหญ่บริเวณโคนต้น เพ่ือใช้ในการค้าจุนลาต้นรากพูพอนจะช่วยดูดซับน้า และชว่ ยลดแรงส่นั สะเทอื นใหก้ บั ตน้ ไม้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 68 กิจกรรมที่ 6 หนิ งอกหินยอ้ ย หนิ งอกหินย้อย คอื ปรากฏการณ์ชนิดหน่ึงท่ีเกิดต่อเน่ืองกันมาเป็นเวลาหลายๆ พนั หรอื หมื่นปี ซึ่งสว่ น ใหญ่น้ันมักเกิดขึ้นในถ้าหินปูน เพราะมีความช้ืนอันเป็นปัจจัยของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ประเภทน้ี ลักษณะของหินงอกหินย้อยน้ัน เป็นหินที่ยื่นหรือหยดเข้าหากันคล้ายกับเป็นของเหลว โดยมากเราเรียกหินที่ หยดลงมำจำกดำ้ นบนวำ่ หนิ ยอ้ ย และเรียกหนิ ทย่ี ่นื ขนึ ไปจำกทำงด้ำนลำ่ งว่ำหนิ งอก ซึ่งกระบวนการตา่ งๆ ท่ี ทาให้เกดิ สภาพนนี้ ัน้ สามารถอธบิ ายไดด้ ังตอ่ ไปน้ี 1. หินงอกหินย้อยเกิดจากความชน้ื ต่างๆ ที่สะสมอยู่ในด้ิน คือเมื่อปลายยุคน้าแข็ง หิมะเร่ิมละลายตัว และความชื้นต่างๆ ก็ไหลมาสะสมในดิน หรอื ช่องวา่ งระหวา่ งดนิ กลายเปน็ ธารนา้ ใต้ดิน 2. เม่ือน้าใต้ดินนั้นรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ ทาให้เกิดกระบวนการสึกกร่อน และเกิดเป็น กรดคาร์บอนิกซ่ึงเป็นกรดอ่อนชนิดหนึ่ง ซ่ึงเมื่อหินปูนน้ันเจอกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูนได้นั้นก็ จะท้าใหเ้ กิดช่องว่างข้นึ เล็กบ้างใหญ่บ้าง ซงึ่ เราเรยี กช่องวา่ งทีเ่ กดิ ขึน้ ใหม่นวี้ า่ ถา้ 3. หนิ ย้อย เกิดไดจ้ ากกระบวนการเหลา่ นเ้ี อง คอื กล่าวกันได้วา่ หินยอ้ ยคอื หนิ ปนู ท่ี จบั ตวั กันเปน็ แท่ง หรอื แผน่ ย้อยลงมาจากเพดานถา้ ซงึ่ เมอ่ื มนี า้ ท่มี หี นิ ปูนสะสมอยู่หยดลงมาตามรอยแตกหรือรอยแยก ซ่งึ เม่ือน้า น้ันสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ก็จะท้าให้เกิดสารประกอบประเภทคาร์บอเนต จากนั้นเมื่อเกิดการ สะสมตัวพอกพูนมากขน้ึ เร่ือยๆ ท้าให้เกิดเป็นแทง่ หนิ ที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้า โดยมากมกั มีลกั ษณะกลวงด้าน ใน 4. หนิ งอก เปน็ กระบวนการท่ีคลา้ ยกนั ก็คือ เกดิ จากนา้ ท่ีมีหินปูนสะสมอยู่ที่หยดลงมาจากเพดานถ้าสู่ ช้ันหินเบ้ืองล่าง ความท่ีน้านั้นมีตะกอนหินปูนอยู่มาก เมื่อเกิดการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ไปจึงท้าให้เกิด สะสมเป็นแท่ง ยืน่ ไปในอากาศสูงจากพนื้ ถ้า ซ่งึ กระบวนการเกิดหินงอกหินย้อยนี้มีความสัมพันธ์กัน ดงั นั้นเมื่อ เกดิ หนิ ยอ้ ยแลว้ ตอ้ งมหี นิ งอกดว้ ย (ยกเว้นถ้าที่ไม่มพี ้ืน) และเมื่อมหี ินงอกตอ้ งมีหนิ ย้อยดว้ ยเชน่ กัน กิจกรรมวทิ ยำศำสตร์ 1. ทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ - ทักษะการสงั เกต (Observing) 2. วิธกี ารเกดิ หินงอกหนิ ย้อย 3. ธรณีวิทยา กิจกรรมเพม่ิ เติม - กจิ กรรมการศึกษาจากเหตุการณเ์ ด็ก 13 คน ติดถ้าขนุ นา้ นางนอน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 69 กำรเชื่อมโยงกจิ กรรม Walk Rally กบั วทิ ยำศำสตร์ ฐำนที่ 6 หินงอกหินย้อย หินงอกหนิ ย้อยเกิดจากฝนทรี่ วมตัวกับคารบ์ อนไดออกไซด์ทาให้ที่ฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ เมอ่ื ตกลงมาบน หินปูนทาให้กัดกร่อนหินปนู และทาให้เกิดถ้า น้าฝนที่เปน็ กรดซึมสดู่ ินและทาปฏิกิรยิ ากับแร่แคลไซตท์ าให้หนิ งอกหินย้อยเกิดเป็นประกายแวววาว เม่ือเวลาผ่านน้าที่ไหลจากเพดานหยดลงพ้ืนน้า น้าจะระเหยเหลือแต่แร่ แคลไซตส์ ะสมตัวอย่างช้าๆทาใหเ้ กิดเปน็ หินงอกหนิ ย้อยและกลายเปน็ เสาหิน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 70 กิจกรรมท่ี 7 ควำมสำคญั ของสำยนำตอ่ ส่ิงมีชวี ิต ควำมสำคัญของนำ นา้ เป็นสารประกอบท่ีพบมากถึง 3 ใน 4 สว่ นของพนื้ โลก โดยสว่ นใหญอ่ ย่ใู นสภาพนา้ เค็มในทะเลและ มหาสมุทรประมาณ 97 เปอร์เซ็นต์ เป็นน้าแข็งตามข้ัวโลกประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ และเป็นน้าจืดตามแม่น้าลา คลองต่างๆ ประมาณ 1 เปอร์เซ็นต์ ถ้าโลกเราปราศจากน้าส่ิงมีชีวิตต่างๆ บนโลกก็จะไม่สามารถดารงชีวิตอยู่ ได้เลย ควำมสำคญั ของนำต่อมนษุ ย์ 1. เป็นส่วนประกอบท่ีมีมากท่ีสุดในร่างกาย มีอยู่ 2 ใน 3 ของน้าหนักตัว โดยส่วนประกอบของส่วน ต่างๆ ในรา่ งกาย เช่น เลือด นา้ เหลือง ตบั ไต เนือ้ 2. ชว่ ยควบคุมอุณหภูมขิ องร่างกายใหค้ งท่ี 3. เป็นสารที่ช่วยใหก้ รพะบวนการทางเคมีในร่างกายดาเนินไปอย่างต่อเน่ือง เช่น การย่อยอาหาร ท้ัง ประเภทคารโ์ บไฮเดรต ไขมนั และโปรตนี ได้อาหารทมี่ โี มเลกลุ ขนาดเล็กลงทีร่ ่างกายสามารถดูดซมึ ไปใชไ้ ด้ 4. ช่วยในการลาเลียงสารต่างๆ ในร่างกาย เช่น การลาเลียงอาหาร การไหลเวียนของเลือด และยัง ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย เช่น ปัสสาวะ เหง่ือ โดยปกติในวันหนึ่งๆ ร่างกายจะเสียน้าไปโดยเฉล่ีย ประมาณ 2.7 – 3.2 ลติ ร ดังน้ันรา่ งกายจึงจาเป็นต้องหาน้ามาทดแทนให้กับนา้ ทีร่ ่างกายเสยี ไป โดยการด่ืมน้า โดยตรงหรอื รบั ประทานอาหารที่มีน้าเป็นองค์ประกอบอาหารแต่ละประเภทจะมนี ้าเป็นองค์ประกอบไมเ่ ท่ากัน โดยเฉลีย่ อาหารประเภทผกั และผลไม้จะมนี า้ เปน็ องค์ประกอบมากกวา่ ประเภทอน่ื ๆ ควำมสำคญั ของนำตอ่ พชื 1. นา้ เป็นวัตถดุ บิ สาคัญตอ่ การสงั เคราะห์แสงของพชื 2. น้า เป็นปัจจัยท่ีสาคัญต่อการงอกของเมล็ดพืช เพราะน้าจะช่วยทาให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนนุ่ม ต้น ออ่ นสามารถแทงรากงอกออกมาจากเมลด็ ได้ง่าย 3. น้าเป็นตัวทาละลายสารอาหารและเกลือแร่ต่างๆ ที่มีอยูใ่ นดนิ เพอ่ื ชว่ ยให้รากดดู ซึมและลาเลียงไป ยังสว่ นต่างๆ ของพืช เชน่ ลาต้น กิง่ ก้าน และใบ 4. ช่วยในการเจริญเติบโตของพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเน้ือเยื่อท่ีกาลังเจริญเติบโต ถ้าขาดน้าก็จะทาให้ เซลล์ยดื ตวั ไม่เต็มทต่ี น้ จะแคระแกร็น และถา้ ขาดน้าหนักมากๆ พชื จะเหยี่ วและเฉาตายไปในท่สี ดุ 5. เป็นส่วนประกอบท่ีสาคัญของพืช โดยพืชบกจะมีน้าเป็นส่วนประกอบประมาณ 60 – 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนพชื น้าจะมีน้าอยปู่ ระมาณ 95 – 99 เปอรเ์ ซน็ ต์

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 71 ควำมสำคัญของสำยนำของคลองนอกทำ่ 1. คลองนอกทา่ เป็นแหลง่ นา้ จืดที่ใชใ้ นการอุปโภคและบรโิ ภคสาคญั ของอาเภอพรมคีรี 2. คลองนอกท่าเปน็ ที่ติดต่อค้าขายสาคัญทางเรือ ท่จี ะนาสนิ คา้ จากทะเลขึน้ มาขายที่อาเภอพรมคีรี 3. คลองนอกท่าเป็นคลองที่ยาวโดยมีต้นน้าจากน้าตกพรมโลกยาวไปถึงตาบลปากพูน อาเภอเมือง นครศรธี รรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช กิจกรรมวทิ ยำศำสตร์ 1. ทักษะทางวิทยาศาสตร์ - ทักษะการสังเกต (Observing) - ทกั ษะการตคี วามและลงข้อสรปุ ( Interpreting data ) 2. วธิ กี ารเกิดน้า กิจกรรมเพม่ิ เติม - กจิ กรรมการศกึ ษาการทาเครือ่ งกรองน้าโดยใชว้ ัสดธุ รรมชาติ - กิจกรรมการดารงชีวติ ในป่า กำรเชอ่ื มโยงกจิ กรรม Walk Rally กับวิทยำศำสตร์ ฐำนที่ 7 ควำมสำคัญของสำยนำตอ่ สิ่งมีชวี ติ ความสาคัญของน้าโดยน้าเป็นสารประกอบชนิดหนึ่งที่พบมาท่ีสุดในโลก โดยประกอบจากธาตุ ไฮโดรเจน 2 อะตอม และ ธาตุออกซีเจน ซ่ึงมารวมตัวกันทาให้เกิดเป็นสารประกอบ น้าสามารถเป็นแปลงได้ ท้ัง 3 สถานะ ของแข็ง ของเหลว กา๊ ซ นา้ มีความสาคัญต่อสงิ่ มชี ีวิตอย่างมาก นอกจากน้าจะมีความสาคัญ ต่อสงิ่ มชี วี ติ แล้ว น้ายงั สาคญั ในเรอ่ื งราวของภูมิสาสตรแ์ ละประวตั ิศาสตร์ด้วย คลองนอกท่ามีความสาคัญทั้งทางด้านภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ เน่ืองจากเป็นต้นกาเนิดของ ส า ย น้ า ท่ี ไ ห ล จ า ก น้ า ต ก พ ร ห ม โ ล ก ส้ิ น สุ ด ที่ บ้ า น ป า ก พู น เ พ่ื อ ไ ห ล ล ง สู่ ท ะ เ ล อ่ า ว ไ ท ย มี ร ะ ย ะ ท า ง ประมาณ 27 กิโลเมตร ลักษณะทางกายภาพในช่วงต้นน้า บริเวณท้องน้าพบก้อนหินกรวดจานวนมาก มีกระแสน้าไหลเร็วแรง ลักษณะทางกายภาพช่วงกลางน้า ลาคลองจะมีความลึกเพ่ิมข้ึนมากกว่าจุดต้นน้า ขนาดของลาคลองกว้างขึ้น น้าไหลช้า มสี ขี ุน่ มองไมเ่ ห็นท้องน้า บริเวณตน้ น้าและกลางน้าคุณภาพนา้ ดี สะอาด ลักษณะทางกายภาพช่วงปลายน้า เป็นบริเวณที่บรรจบกันระหว่างน้าจืดและน้าเค็ม น้ามีอุณหภูมิสูงและค่า ความเค็มเพม่ิ ขนึ้ เกดิ การทบั ถมของตะกอนทีไ่ ดพ้ ัดพามาจากต้นนา้ บริเวณรอบตลิง่ เปน็ โคลนตม ช่วงปลายน้า พบว่าน้ามีคุณภาพไม่ดี ไม่สามารถนาน้ามาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆได้ บริเวณปลายน้าเป็นที่ตั้งของชุมชน ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง ซึง่ มีระบบนิเวศป่าชายเลนเป็นแหลง่ อนบุ าลสัตวท์ ะเล

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 72 ความสาคัญในด้านเศรษฐกิจมีการค้าขายในสมัยโบราณได้ใช้คลองนอกท่าในการเดินทางคมนาคม ก่อนที่จะมีการสร้างถนน หรือใช้ในการค้าขายสินค้าต่างๆ จากช่วงต้นน้าท่ีส่วนใหญ่ทาอาชีพเกษตรกรรมนา ผลิตไปขายในช่วงปลายน้าซ่ึงประกอบอาชีพประมง ปัจจุบันคลองนอกท่ายังมีความสาคัญในด้านการใช้น้า อปุ โภค บริโภค ของประชาชนในตาบลพรหมโลกและตาบลใกล้เคียง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 73 กิจกรรมที่ 8 กำรทดสอบสมรรถภำพร่ำงกำย การวัดและประเมินผล ความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกายหรือสมรรถภาพทางกานในด้านต่างๆ เช่น ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscular Stremgth) ,ความอดทนของกล้ามเน้ือ (Muscular Endurance), ความเร็ว (Speed), ความคล่องแคล่ววอ่ งไว(Agility), ความออ่ นตัว(Flexibility), ความอดทนของระบบไหลเวียนโลหติ และระบบ หายใจ(Cardio respiratory Endurance) ฯลฯ เป็นต้น ประโยชน์กำรทดสอบสมรรถภำพทำงกำย 1.ผลท่ีได้จากการทดสอบสามารถใช้เป็นแนวทางในการกาหนดรูปแบบและวิธีการออกกาลังกายท่ี เหมาะสมกบั สภาพร่างกายของแต่ละบุคคล 2.ผลทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบท้ังก่อนและหลังการออกกาลงั กายสามารถนามาเปรียบเทยี บเพื่อประเมินผล ถึงความก้าวหนา้ ทางดา้ นสมรรถภาพทางกายได้ 3.ผลท่ีได้จากการทดสอบสามารถนาไปวินิจฉัยเบ้ืองต้นถึงความบกพร่องทางด้านร่างกายที่มีแนวโนม้ ท่ีอาจจะเกดิ ปญั หาทางด้านสุขภาพ 4.ผลการทดสอบสมรรถภาพทางกายสามารถใช้เป็นแนวทางในการคัดเลอื กนักกฬี าของผูฝ้ กึ สอนได้ กำรวัดชีพจรขณะพกั (Resting Heart Rate) วิธกี ำรวัดชีพจร 1.เนื่องจากเป็นการวัดชีพจรขณะพัก ควรให้ผู้ถูกวัด นั่งพักอย่างน้อย 15 นาที และควรให้จิบน้า (ประมาณ ½ - 1 แกว้ ) เพือ่ ชว่ ยลดอาการเหนือ่ ยก่อนทาการวดั ชพี จร 2.วางขอ้ มอื ขา้ งที่จะวดั ไวก้ บั โต๊ะ หรือ ลาตัว เพอ่ื สะดวกแก่การวัดชพี จร 3.ใชน้ ้วิ ชี้, น้ิวกลาง, น้ิวนาง (คนทีไ่ ม่ถนัด อาจใชน้ ว้ิ ช้ี และนว้ิ กลางได้) วางตรงตาแหน่งเสน้ เลือดแดงท่ี ขอ้ มือ กดดว้ ยแรงพอประมาณ ใหค้ วามร้สู ึกถึงการเตน้ ของชีพจร 4.นบั อัตราการเตน้ ของชีพจรขณะพกั ในเวลา 1 นาทีเต็ม กจิ กรรมวทิ ยำศำสตร์ 1. ทักษะทางวทิ ยาศาสตร์ - ทกั ษะการสงั เกต (Observing) - ทักษะการตคี วามและลงขอ้ สรปุ ( Interpreting data ) - การสรุปและนาเสนอขอ้ มลู

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 74 กำรเช่ือมโยงกจิ กรรม Walk Rally กบั วิทยำศำสตร์ ฐำนที่ 8 กำรทดสอบสมรรถภำพร่ำงกำย รา่ งกายของคนเราอาจจะมรี ปู ร่างคล้ายๆกนั แตค่ วามสามารถของร่ายกายอาจจะไมเ่ หมือนกันเพราะ ขนึ้ อยูก่ ับการฝึกใช้รา่ งกายและการใชก้ ลา้ มเนื้อบ่อยๆ ลกั ษณะการทางานของกล้ามเน้ือขึ้นอยู่กบั กล้ามเนื้อแต่ ละประเภทเชน่ กล้ามเนือ้ เรยี บ ส่วนใหญจ่ ะเป็นกลา้ มเนอ้ื ที่เก่ียวกับระบบอวยั วะในรา่ งกาย กล้ามเน้อื ลายเป็น กล้ามเนอ้ื ท่ตี ้องอาศยั พลังงานในการใชง้ าน กลา้ มเนือ้ หวั ใจเป็นกลา้ มเนอ้ื ทอี่ ย่ใู นสว่ นเดียวคือหัวใจ สรีระบางคนอาจจะไม่เหมือนกันเน่ืองจากขึ้นอยู่กับกรรมพันธุแ์ ละอาหารที่กินเข้าไปในร่างกาย ทาใน คนเรามสี รรี ะรา่ งกายทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป ประโยชน์ของกจิ กรรมทดสอบสมรรถภำพทำงกำย ในการประเมินความแข็งแรงสมบูรณ์ของร่างกาย สามารถทาได้โดยการทดสอบสมรรถภาพทางกาย เพอ่ื ให้ทราบระดับความสมบูรณ์ของรา่ งกายท้งั ในขณะ กอ่ นทากจิ กรรม ขณะทากจิ กรรม หลังทากจิ กรรม การ ทดสอบสมรรถภาพทางกายให้ทราบระดับความสามารถของร่างกาย เพ่ือเป็นแนวทางสาหรับเลือกกิจกรรม การออกกาลงั กายที่เหมาะสมให้กับตนเอง และพัฒนาขดี ความสามารถใหส้ ูงขึ้น และมีความพรอ้ มต่อการออก กาลังกาย และการปฏบิ ัติงานในชวี ิตประจาวัน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 75 กิจกรรม ของเลน่ พลงั งำนยำงสรำ้ งสรรค์ ในปัจจุบันของเล่นเด็กที่มีขายตามท้องตลาดมีราคาแพง บางท้องถิ่นไม่มีของเล่นที่หลากหลาย การ ประดิษฐ์ของเล่นจากวัสดุเหลือใช้ต่างๆ นอกจากจะพัฒนาทักษะการสังเกต การจาแนกวัสดุท่ีใชท้ าของเลน่ ได้ อย่างเหมาะสม ยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนรถของเล่นเป็นตัวอย่างหนึ่งของของเล่นเด็กที่ สามารถประดิษฐ์ได้ง่าย และมีวสั ดอุ ปุ กรณ์ในการประดษิ ฐ์ทไ่ี ม่ซับซ้อน ในการออกแบบรถนักเรยี นจะได้เรียนรู้ การเลือกวัสดุที่ใช้ ขนาดและรูปทรงของส่วนประกอบต่างๆ ของรถท่ีมีผลต่อการเคลื่อนท่ีของรถหนังยางเป็ น วัสดุที่หาง่ายในชีวิตประจาวัน เป็นวัสดุเหลือใช้ท่ีราคาไม่แพง ซ่ึงหนังยางมีคุณสมบัติการยืดหยุ่น สามารถ นามาใช้ประโยชน์ในการหมนุ ของล้อ ซงึ่ นามาใช้ในการเคลอื่ นท่ขี องรถ กำรเช่ือมโยงของเล่นพลงั งำนยำงสรำ้ งสรรค์กับวทิ ยำศำสตร์ กิจกรรมที่ผู้ร่วมกิจกรรมได้ทาใช้ทักษะการเรียนรู้แบบ STEM เป็นคาย่อจากภาษาอังกฤษของศาสตร์ 4 สาขาวิชา ได้แก่ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หมายถึงองค์ความรู้ วิชาการ ของศาสตร์ท้ังสี่ที่มีความเชื่อมโยงกันในโลกของความเป็นจริงที่ต้องอาศัยองค์ความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้า ด้วยกันในการดาเนนิ ชีวติ และการทางาน วิศวกรรมศำสตร์(Engineering) ผู้ร่วมกิจกรรมจะต้องทาการออกแบบรถพลังงานยางของกลุ่ม ตนเอง และต้องวางแผนในการใช้วัสดุในการประดิษฐ์ชิ้นส่วนของรถพลังงานยาง และต้องใช้ในจานวนเท่าไร กอ่ นท่ีจะลงมอื สรา้ งรถพลังงานยาง เทคโนโลยี (Technology) การใชอ้ ปุ กรณใ์ นการประดิษฐ์รถพลังงานยางใหส้ ามารถเคล่ือนท่ีได้ คณิตศำสตร์ (Mathematics) การใช้รูปทรงเลขาคณิตในการออกแบบรถพลังงานยาง การคานวน เวลาในการเคลื่อนท่ีของรถ การคานวณต้นทุนในการประดิษฐ์รถความคุ้มค่าของราคากับวัสดุท่ีที่ใช้ในการ ประดิษฐ์ วิทยำศำสตร์ (Science) การเคล่ือนท่ีในแนวเส้นตรง การเคล่ือนที่ของวัตถุที่เป็นแนวเส้นตรงซ่ึง ความสัมพันธ์ระหว่างความเร็ว เวลา ความเร่ง และระยะทางท่ีวัตถุเคล่ือนท่ีไปได้ลักษณะการเคล่ือนท่ีในแนว เส้นตรง ส่ิงต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวซ่ึงมีการเคล่ือนที่น้ันจะมีการเคลื่อนที่แตกต่างกันออกไป การเคล่ือนที่แนวตรง ของวัตถุ เป็นการเคลื่อนท่ีที่ไม่เปล่ียนทิศทาง เช่น การเคล่ือนท่ีของลูกมะพร้าวเม่ือตกจากต้นสู่ พ้ืนดิน การ เคล่ือนท่ขี องรถยนตบ์ นถนนตรง การเคลื่อนทขี่ องนักกีฬาวา่ ยนา้ ในลขู่ องสระ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 76 แรงเสยี ดทำน เป็นแรงท่ีเกิดข้ึนเมื่อวัตถุหน่ึงพยายามเคล่ือนท่ี หรือกาลังเคลื่อนที่ไปบนผิวของอีกวัตถุ เนื่องจากมี แรงมากระทา มลี กั ษณะท่ีสาคัญ ดังนี้ 1. เกิดขึน้ ระหวา่ งผวิ สัมผัสของวตั ถุ 2. มีทิศทางตรงกนั ข้ามกบั ทศิ ทางทว่ี ตั ถุเคลอื่ นทีห่ รือตรงขา้ มทิศทางของแรงท่ีพยายามทาใหว้ ตั ถุ พลงั งำนจลน์ และพลงั งำนศักด์ิ ตามคานิยามของนักวทิ ยาศาสตร์ พลงั งานคือ ความสามารถในการทางาน โดยการทางานน้ีอาจจะอยู่ ในรูปของการเคลอ่ื นที่หรือเปลีย่ นรปู ของวัตถุ ก็ได้ การจาแนกพลงั งานตามลักษณะการทางาน 1. พลังงานศักย์ เป็นพลังงานท่ีเกิดข้ึนเม่ือวัตถุถูกวางอยู่ในตาแหน่งท่ีสามารถ เคล่ือนท่ีได้ไม่ว่าจาก แรงโน้มถ่วงหรอื แรงดงึ ดูดจากแม่เหลก็ เชน่ กอ้ นหนิ ที่วางอยู่บนขอบที่สูง 2. พลังงานจลน์ เป็นพลังงานท่ีเกิดขึ้นเม่ือวัตถุเคลื่อนท่ี เช่น รถที่กาลังว่ิง ธนูท่ีพุ่งออกจากแหล่ง จักรยานทีก่ าลงั เคลอื่ นที่ เป็นต้น ทงั้ พลังงานศักย์และพลังงานจลน์ ล้วนเปน็ พลังงานกลที่สามารถเปลยี่ นรูปกลบั ไป กลบั มาได้ พลังงานศักย์จะสะสมอยู่ในวัตถุที่พร้อมจะเปล่ียนสภาพการเคลื่อนที่ ขณะท่ีพลังงานจลน์เป็นพลังงานท่ีอยู่ใน วตั ถทุ กี่ าลังเคลอ่ื นท่ี และตามกฎการอนรุ กั ษพ์ ลังงานค่าของพลงั งานกลจะคงท่ี ดงั นั้น พลังงานกล = พลังงานศกั ย์ + พลังงานจลน์ เสมอ เมื่อพลังงานในระบบ (พลังงานกล) คงท่ี แล้วพลังงานศักย์เพิ่มข้ึน พลังงานจลน์จะลดลง แต่ถ้า พลังงานศักย์ ลดลง พลงั งานจลน์จะเพ่ิมข้ึนที่เพ่ิมเตมิ คอื พลงั งานศักยท์ ี่พบมากมี 2 ชนดิ 1. พลงั งานศักยโ์ น้มถว่ ง เกิดจากพลังงานทสี่ ะสมไว้ในวัตถุท่อี ยสู่ ูงขนึ้ ไป กลา่ วง่ายๆ คอื พลังงานทีส่ ะสมอยใู่ นวัตถเุ ม่อื เราทาให้มันอยใู่ นระดับสูงขนึ้ กวา่ เดิม เช่นยกกอ้ นหนิ ข้ึนข้างบนก็ จะมพี ลงั งานศักย์เพ่มิ ขน้ึ 2. พลังงานศักย์ยืดหยุ่น เช่น เราดึงสปริงจากจุดสมดุลยิ่งดึงแรงมากความยาวของสปริงที่ห่างจาก สมดุลกย็ ่งิ มากขึ้นเทา่ นน้ั (พลงั งานศกั ย)์ มาก

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 77 กจิ กรรม คณติ คดิ บวก เกมคณติ ศาสตรต์ ่างๆ ทุกเกมมวี ตั ถุประสงคแ์ ละกฎกติกาเป็นองค์ประกอบซึ่งสามารถสอนให้ผเู้ รียน เกิดการเรียนรดู้ า้ นตรรกะ และกระบวนการคดิ อยา่ งเป็นขั้นตอน เป็นพ้นื ฐานการเรยี นศาสตร์ต่างๆ ต่อไป ฐำนที่ 1 กำรคณู ดว้ ยนวิ มือ ขันตอนกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้ 1. วทิ ยากรให้ผเู้ รยี นทบทวนการคณู แมต่ ่างๆ 2. วิทยากรสาธติ การหาผลคณู ของ แม่ 9 โดยใชน้ ้วิ มือ 3. ให้ผูเ้ รียนสงั เกตและหาข้อสรุป วิธีการหาผลคณู ด้วยน้ิวมอื ของจานวนที่คณู กับ 9 ถา้ ผเู้ รียนยัง หาขอ้ สรปุ ไม่ได้ ใหว้ ทิ ยากรทาซ้าใหด้ ูอีกครงั้ และชี้ใหผ้ ู้เรียนเห็นวา่ น้วิ ทพ่ี ับลงมาเป็นตัวแบ่ง ระหว่างหลกั หนว่ ย กบั หลกั สิบ 4. ให้ผู้เรียนฝึกหาผลคณู ของแม่ 9 กับ และแม่ 5 – 10 โดยมีวทิ ยากรคอยดูแล แนะนาวธิ ีการที่ ถูกต้อง 5. สุ่มผเู้ รียนออกมาแสดงการหาผลคณู ดว้ ยน้วิ มือแม่ ต่างๆ เชน่ แม่ 5 แม่ 8 แม่ 9 เปน็ ต้น 6. วิทยากรอธบิ ายและสาธติ วิธกี ารหาผลคณู ดว้ ยนวิ้ มือของจานวนทีม่ ีค่าระหวา่ งแม่ 5 กบั แม่ 10 บางจานวน เชน่ 6 7 , 78 7. ใหผ้ ูเ้ รียนฝึกการหาผลคูณโดยการใช้นว้ิ มือของจานวนต่อไปน้ี 1. 6 6 = ? 2. 7 7 = ? 3. 88 = ? 4. 99 = ? 5. 68 = ? 6. 98 = ? 11. 89 = ? 7. 8 7 = ? 8. 98 = ? 9. 69 = ? 10. 97 = ? 12. 79 = ? 13. 8 6 = ? 14. 6 6 = ?

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 78 ฐำนท่ี 2 กำรทำยสนุก ขันตอนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. วทิ ยากรชแี้ จงการทากจิ กรรมทายสนกุ 2. วทิ ยากรเรมิ่ ด้วยกิจกรรมท่ี 1 ทายอายแุ ละจานวนพนี่ ้อง โดยให้ผเู้ รยี นเอา 2 ไปคูณกบั อายขุ อง ตนเอง เอา 5 ไปบวก เอา 5 ไปคูณ เอาจานวนพีน่ อ้ งไปบวก แล้วเอา 25 ไปลบ ได้คาตอบ เทา่ ไร ให้ผ้เู รยี นบอกแก่วิทยากร โดยวิทยากรจะเปน็ ผู้ทายวา่ ผูเ้ รียนมีอายเุ ท่าไร มจี านวนพนี่ ้อง....... คน 3. กจิ กรรมที่ 2 ทายใจ โดยใหผ้ ้เู รียนปฏบิ ัติดังนี้ 3.1 เขียนเลขสามหลกั อะไรก็ได้ 3.2 ให้กลับหลักเลขทั้งสามตัว โดยเอาหลักหน่วยเป็นหลักร้อย และเอาหลักร้อยเป็นหลัก หน่วย 3.3 เปรยี บเทียบตวั เลขที่ได้ในข้อ 3.1 และ 3.2 จานวนใดมีค่ามากกว่าเป็นตวั ตง้ั ลบด้วย จานวนที่มีคา่ น้อยกวา่ 3.4 นาเลขอะไรก็ไดต้ ามใจชอบไปคณู 3.5 ขดี ฆา่ เลขตวั ใดตวั หน่งึ ของผลลพั ธอ์ อกเสยี หน่งึ ตัว (โดยตวั ทข่ี ีดฆ่านั้นจะต้องไม่ใช่ 0) 3.6 เอาตวั เลขทเ่ี หลือแตล่ ะตัวมาบวกกนั ถา้ ผลลัพธท์ ี่ไดเ้ ป็นเลขสองหลัก ใหเ้ อาตัวเลขทั้ง คบู่ วกกนั อกี ครัง้ จนได้ผลลพั ธเ์ ปน็ เลขตวั เดียว 3.7 ผ้เู รยี นบอกคาตอบที่ได้แกว่ ิทยากร โดยวิทยากรจะสุ่มถามผู้เรียนเป็นรายคน ซ่ึง วิทยากร จะทายเลขที่ผเู้ รยี นตดั ทิ้งไปว่า คือ เลขตัวใด 4. กจิ กรรมที่ 3 บอกคาตอบใหก้ อ่ น. โดยให้ผเู้ รยี นปฏบิ ัติดงั นี้ 4.1 เขยี นเลขอะไรก็ได้ ( 11 ) 4.2 เอา 6 ไปบวก 11  6 = 66 4.3 เอา 12 ไปบวก 66 + 12 = 78 4.4 เอา 3 ไปหาร 78 ÷ 3 = 26 4.5 เอา 2 ไปลบ 26 - 2 = 24 4.6 เอา 2 ไปหาร 24 ÷ 2 = 12 4.7 เอา จานวนท่ีเขยี นไว้ คร้ังแรกมาลบออก 12-11 = 1 4.8 เอา 9 ไปบวก 1 + 9 = 10

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 79 4.9 วทิ ยากรจะบอกคาตอบท่ีผู้เรียนคดิ ได้วา่ เป็นเท่าไร แลว้ ใหผ้ ูเ้ รยี นบอกคาตอบแก่ วทิ ยากร 5. กิจกรรมแปลกไหม วทิ ยากรใหผ้ ้เู รียนปฏิบตั ิตามขน้ั ตอนดงั น้ี 5.1 เขยี นเลขอะไรก็ได้ เช่น 236 236 5.2 บวกด้วย 2  5.3 คูณด้วย 3 6 5.4 ลบด้วย 4 238 5.5 เอา 3 ไปคูณ  5.6 เอาเลขทเ่ี ขยี นไวใ้ นตอนแรกมาบวก 3 5.7 ขดี ฆา่ เลขหลักหนว่ ยออกทงิ้ 714 5.8 ใหผ้ ูเ้ รียนสรปุ ผลทีไ่ ด้  6. จากเกมท่ีทายท้ังหมดวทิ ยากรให้ผเู้ รยี นเขยี นเป็น 4 ประโยคสญั ลักษณ์หรอื สมการทางคณิตศาสตร์ 7. ผเู้ รยี นและวทิ ยากรรว่ มกันเฉลยประโยคสัญลักษณ์ 710 หรือสมการทางคณิตศาสตร์ท่ีได้  3 2130  236 2366 2366 = 236

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 80 ฐำนท่ี 3 เตมิ ใหเ้ ต็ม ขนั ตอนกำรจัดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. วทิ ยากรชแ้ี จงถึงลกั ษณะของกจิ กรรมและวธิ กี ารเลน่ 2. วิทยากรแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 2-3 คน พร้อมแจกใบกิจกรรมท่ี 1 ให้ผู้เรียนแก้ปัญหา โดยใชเ้ วลา 5 นาที 3. ให้ผู้เรียนแลกใบกิจกรรมที่ 1 ของกลุ่มตนเองให้กลุ่มอื่นตรวจ โดยขออาสาสมัครออกมาเฉลย คาตอบ (ซึ่งมคี าตอบได้หลายแบบ) หากกลมุ่ ใดมคี าตอบไม่ตรงกับที่เฉลย กใ็ ห้บอกคาตอบของ กล่มุ นัน้ มาแลว้ วทิ ยากรและผเู้ รียนช่วยพจิ ารณาว่าถกู หรอื ผดิ 4. แจกใบกิจกรรมท่ี 2 ให้ผู้เรียนแก้ปัญหา โดยใช้เวลา 7 นาที วิทยากรสุ่มผู้เรียนออกมาเฉลย กล่มุ ละข้อ 5. แจกในกิจกรรมที่ 3 ให้ผูเ้ รยี นแกป้ ัญหา โดยใชเ้ วลา 10 นาที วิทยากรและผ้เู รยี นร่วมกันเฉลย คาตอบ ทีไ่ ด้ (อาจมีได้หลายแบบ) 6. วทิ ยากรและผู้เรยี นรว่ มกนั สรุปข้ันตอนและกระบวนในการแกป้ ญั หากิจกรรมเติมใหเ้ ต็มทสี่ ามารถ เชอ่ื มโยงไปใช้ในชวี ิตประจาวันของผูเ้ รยี นได้ ฐำนท่ี 4 วำดภำพเล่ำเร่อื งจำกรูปเรขำคณติ ขันตอนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 1. วิทยากรใหผ้ เู้ รียนบอกถึงรูปทรงเรขาคณิตทร่ี จู้ ัก 2. วิทยากรอธบิ ายถึงรปู ทรงเรขาคณติ สองมิติ สามมติ ิและอธิบายใหผ้ ้เู รียนเหน็ ว่าในธรรมชาติล้วน เปน็ รปู ทรงเรขาคณิต 3. วิทยากรใหผ้ ู้เรยี นออกแบบรปู ภาพตา่ งๆ โดยใชร้ ปู ทรงเรขาคณิตมาสร้างเปน็ เรื่องราวตาม จนิ ตนาการจนเปน็ เรื่องราวอย่างสรา้ งสรรค์ 4. ให้ผ้เู รยี นนาเสนอแนวคิดที่นารปู ทรงเรขาคณติ มาสร้างเป็นรปู ภาพและเรื่องราวตา่ งๆโดยการ เขียนบรรยายและนาเสนอกลุ่มเพ่ือน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 81 ฐำนที่ 5 เกมซโู ดคุ ขนั ตอนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรยี นรู้ 1. วทิ ยากรพดู คุยถงึ ประวัติความเป็นมา ประโยชนแ์ ละวิธีการเล่นของเกมซูโดคุ 2. วิทยากรแบ่งกลุ่มผ้เู รยี นออกเป็นกลมุ่ ย่อย กลมุ่ ละ 2-3 คน แจกใบกิจกรรมที่ 1 (จานวน 4 ช่อง)ใหผ้ ู้เรยี นทาโดยกาหนดเวลา 3 นาที 3. วทิ ยากรร่วมอภปิ รายกบั ผู้เรียนถึงวธิ กี ารเล่นของกลุม่ โดยสมุ่ จากกล่มุ ท่ีใชเ้ วลามากที่สดุ หรือทา ไมไ่ ด้และกล่มุ ทีใ่ ช้เวลาน้อยท่ีสุด 4. แจกใบกิจกรรมที่ 2 (จานวน 6 ชอ่ ง)ใหผ้ ู้เรียนทาโดยกาหนดเวลา 5 นาที วทิ ยากรร่วมอภปิ ราย กับผ้เู รยี นถึงวิธกี ารเลน่ ของกลุ่มโดยสุ่มจากกลุ่มทีใ่ ชเ้ วลามากที่สุดหรือทาไม่ได้และกลุ่มทใ่ี ชเ้ วลา นอ้ ยที่สดุ 5. แจกใบกิจกรรมที่ 3 (จานวน 9 ช่อง)ให้ผู้เรยี นทาโดยกาหนดเวลา 10 นาที วทิ ยากรรว่ ม อภิปรายกับผเู้ รียนถึงวิธกี ารเล่นของกลุ่มโดยสมุ่ จากกลุ่มที่ใชเ้ วลามากท่ีสุดหรอื ทาไมไ่ ด้และกลุ่ม ทใี่ ชเ้ วลาน้อยทีส่ ดุ 6. วิทยากรและผเู้ รียนรว่ มกันสรุปองคค์ วามรู้ที่ได้จากการเลน่ เกมซูโดคุ และเช่อื มโยงการแก้ปัญหา เกมซโู ดคุกบั การแก้ปัญหาในชีวิตประจาวัน ฐำนท่ี 6 โมเดลคณิตศำสตร์ ขนั ตอนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. วิทยากรพดุ คยุ ถงึ ความหมายของโมเดลทางคณติ ศาสตร์ พรอ้ มยกตัวอย่างโมเดลประกอบและ อธิบายการสรา้ งโมเดลด้วยไม้จ้มิ ฟัน 2. วทิ ยากรใหผ้ เู้ รียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 2 – 3 คน คดิ ออกแบบและสรา้ งโมเดลโดยใช้ไม้จิม้ ฟนั และ หลอดยางขนาดเลก็ มากลุ่มละ 1 ชนิ้ 3. วิทยากรให้ผ้เู รยี นคดิ ออกแบบและสรา้ งโมเดลโดยใชไ้ ม้จ้มิ ฟันและหลอดยางขนาดเล็ก มากลมุ่ ละ 1 ชิน้ ตามจินตนาการของตนเอง 4. ผู้เรยี นนาเสนอโมเดลทีต่ นเองสร้างข้ึน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 82 ฐำนท่ี 7 ตอ่ ใหเ้ ป็นรปู (7 ผู้สร้ำงสรรค)์ ขันตอนกำรจดั กิจกรรมกำรเรียนรู้ 1. วทิ ยากรพูดถึงความคดิ สร้างสรรค์ และความทันสมยั ในโลกปจั จุบนั ทีเ่ กดิ ข้นึ จากความคดิ สรา้ งสรรค์ 2. วิทยากรแบ่งกล่มุ ผ้เู รยี นออกเป็นกลมุ่ กลุ่มละ 3-5 คน และผเู้ รยี นไดพ้ ฒั นาความคิดสร้างสรรคโ์ ดย การใหผ้ เู้ รยี นได่อรูปเรขาคณิตที่กาหนด ให้เกิดเปน็ รปู ามท่ีกาหนด 3. วทิ ยากรกบั ผเู้ รยี นรว่ มอภปิ รายถึงวธิ ีการต่อรปู เรขาคณติ ของและกลุ่ม 4. วทิ ยากรให้ผูเ้ รียนได้พฒั นาความคิด โดยการต่อรปู เรขาคณิตใหเ้ ป็นรปู ต่างๆ ตามความถนัดโดยใช้ เวลา 15 นาที และเปรยี บเทยี บว่ากล่มุ ใดต่อได้เปน็ รปู ตา่ งๆมากท่ีสุด 5. วทิ ยากรและผู้เรียนรว่ มกันสรุปองค์ความรู้ที่ได้ ฐำนที่ 8 พำรำโบลำจำกปล้องไมไ้ ผ่ ขนั ตอนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. วิทยากรอธบิ ายถึงลกั ษณะพเิ ศษของต้นไมป้ ระเภทต่างๆ ท่ีมีลกั ษณะเหมือนกันจากหน่วยใหญ่ จนถึงหน่วยเลก็ ทส่ี ุดของตน้ ไมแ้ ตล่ ะประเภท และชแี้ จงการทากิจกรรม 2. แบ่งกลมุ่ ผ้เู รยี นออกเปน็ กลุม่ ละ 4- 6 คน 3. ให้ผเู้ รยี นนาข้อมลู ทไ่ี ด้มาเขียนกราฟ 4. ใหผ้ ูเ้ รียนนาขอ้ มลู ที่ได้มาเขยี นกราฟ 5. รว่ มกนั อภิปรายผลจากกราฟทไี่ ดแ้ ละสรปุ ความรเู้ ชอื่ มโยงกับเหตุการณต์ ่างๆในชวี ิตประจาวนั ฐำนท่ี 9 กุญแจมือ ขนั ตอนกำรจดั กิจกรรมกำรเรยี นรู้ 1. วทิ ยากรชี้แจงถึงลักษณะของกจิ กรรมและวธิ กี ารเลน่ 2. วทิ ยากรแบ่งผเู้ รยี นออกเปน็ กลมุ่ ๆ ละ 2 คน แล้วผูกเชือกท่ีขอ้ มอื ไวด้ ว้ ยกนั 3. ให้ผู้เรียนหาวิธีการแก้ปัญหา ของกลุ่มตนเองให้กลุ่มอ่ืนตรวจ โดยขออาสาสมัครออกมาเฉลย คาตอบ หากกลุ่มใดมีคาตอบไม่ตรงกับท่ีเฉลย ก็ให้บอกคาตอบของกลุ่มน้ันมาแล้ววิทยากร และผเู้ รียนชว่ ยพิจารณาวา่ ถูกหรือผิด 4. แจกใบกิจกรรมที่ 1 ให้ผู้เรียนแก้ปัญหา โดยใช้เวลา 7 นาที วิทยากรสุ่มผู้เรียนออกมาเฉลย กลมุ่ ละขอ้ 5. วิทยากรและผูเ้ รยี นร่วมกนั สรปุ ขน้ั ตอนและกระบวนในการแกป้ ญั หา

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 83 ฐำนท่ี 10 กลอ่ งมหศั จรรย์ ขันตอนกำรจดั กจิ กรรมกำรเรียนรู้ 1. วิทยากรชี้แจงถึงลักษณะของกจิ กรรมและวธิ กี ารเล่น 2. วิทยากรแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 2-3 คน พร้อมแจกใบกิจกรรมที่ 1 ให้ผู้เรียนแก้ปัญหา โดยใช้เวลา 10 นาที 3. ให้ผู้เรียนทาตามโจทย์ท่ีวิทยกรกาหนด โดยดึงไม้ออกจากแท่ง ที่ละช้ินสลับกับเพื่อนในกลุ่ม กลุ่ม ใดมีชิ้นส่วนเหลือน้อยกว่า เป็นผู้ชนะ พร้อมบอกเหตุผล วิธีการ เล่นให้เพื่อนทราบ พร้อมตอบ ปัญหาอปุ สรรค ในการเล่น ในใบกจิ กรรมที่ 1 4. วทิ ยากรและผ้เู รียนรว่ มกันเฉลยคาตอบ ฐำนที่ 11 วิศวกรรมน้อย ขันตอนกำรจัดกิจกรรมกำรเรียนรู้ 1. วิทยากรชี้แจงถึงลกั ษณะของกจิ กรรมและวธิ ีการเลน่ 2. วิทยากรแบ่งผู้เรียนออกเป็นกลุ่มๆ ละ 2-3 คน พร้อมแจกใบกิจกรรมท่ี 1 ให้ผู้เรียนแก้ปัญหา โดยใชเ้ วลา 10 นาที 3. ให้ผูเ้ รียนทาตามโจทยท์ ว่ี ิทยกรกาหนด แลกใบกิจกรรมท่ี 1 ของกลุ่มตนเองใหก้ ลุ่มอื่นตรวจ โดย ขออาสาสมัครออกมาเฉลยคาตอบ (ซึ่งมีคาตอบได้หลายแบบ) หากกลุ่มใดมีคาตอบไม่ตรงกับที่ เฉลย กใ็ หบ้ อกคาตอบของกลมุ่ นน้ั มาแลว้ วิทยากรและผเู้ รียนช่วยพจิ ารณาวา่ ถูกหรือผดิ 4. วิทยากรและผเู้ รยี นรว่ มกันเฉลยคาตอบ กำรเช่ือมโยงกิจกรรมคณติ คิดบวกกับวิทยำศำสตร์ ทกั ษะและกระบวนกำรทำงคณิตศำสตร์ ความสามารถท่ีจะนาความรไู้ ปประยุกต์ใชใ้ นการเรยี นร้สู งิ่ ต่างๆ เพ่อื ให้ได้มาซ่ึงความรแู้ ละประยุกต์ใช้ ในชวี ติ ประจาวันได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ เนน้ ทที่ ักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ คอื การแกป้ ญั หา การ เช่ือมโยงคณิตศาสตร์กับคณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์กับศาสตรอ์ ่ืน การแสดงเหตุผล การนาเสนอและการสอื่ สาร ความคดิ สรา้ งสรรค์ 1. ทักษะและกระบวนกำรแก้ปญั หำ เป็นกระบวนการท่ผี ู้เรียนควรจะรู้ ฝกึ ฝน และการพัฒนาให้เกิด ทักษะข้ึนในตัวนักเรียนปัญหาทางคณิตศาสตร์ หมายถึง สถานการณ์ท่ีเก่ียวกับคณิตศาสตร์ซึ่งเผชิญอยู่และ ต้องการคน้ หาคาตอบโดยท่ียงั ไมร่ ูว้ ิธกี ารหรอื ข้นั ตอนที่จะได้คาตอบของสถานการณ์นน้ั ในทนั ที การแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ หมายถึง กระบวนการในการประยุกต์ความรู้ทางคณิตศาสตร์ ข้ันตอน/ กระบวนการแก้ปัญหา ยุทธวิธีแก้ปัญหาและประสบการณ์ที่มีอยู่ไปใช้ในการหาคาตอบของปัญหาทาง คณติ ศาสตร์

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 84 รปู แบบกระบวนกำรแก้ปัญหำตำมแนวคิดของโพลยำ (Polya) ข้ันที่ 1 ข้ันทาความเข้าใจปัญหาเป็นการคิดเกี่ยวกับปัญหาและตัดสินว่าอะไรที่ต้องการค้นหา โดย ผเู้ รียนตอ้ งทาความเข้าใจปญั หาและระบสุ ว่ นทสี่ าคญั ของปัญหา ขัน้ ที่ 2 ขนั้ วางแผนแกป้ ญั หา เป็นการคน้ หาความเชอื่ มโยงหรอื ความสมั พนั ธ์ระหว่างข้อมูลและตัวไม่รู้ ค่า นาความสัมพนั ธท์ ่ไี ดม้ าผสมผสานกับประสบการณ์ กาหนดแนวทางหรือแผนในการแกป้ ัญหา ขั้นท่ี 3 ข้ันดาเนินการตามแผน เป็นการลงมือปฏิบัติตามแผนหรือแนวทางที่วางไว้ อาจตรวจสอบ ความเปน็ ไปได้ของแผน เพิม่ เตมิ รายละเอียด แลว้ ลงมอื ปฏบิ ัติจนได้ความสาเร็จ ถา้ ไม่สาเร็จต้องค้นหาและทา การแก้ปัญหาจนสามารถแกป้ ญั หาได้ ข้ันท่ี 4 ขั้นตรวจสอบผล เป็นการมองย้อนกลับไปยังคาตอบท่ีได้มา เร่ิมจากการตรวจสอบความ ถูกต้อง ความสมเหตุสมผลของคาตอบและยุทธวิธแี ก้ปัญหาท่ีใช้ มีคาตอบหรือยุทธวิธีอ่ืนในการแก้ปญั หานีอ้ กี หรือไม่ 2. ทักษะและกระบวนกำร กำรให้เหตุผล หมายถึง กระบวนการการคิดทางคณิตศาสตร์ที่ต้องอาศยั การคิดวิเคราะห์และ/หรือ ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ในการรวบรวมข้อเท็จจริง/ข้อความ/แนวคิด/สถานการณ์ ทางคณติ ศาสตร์ต่างๆ แจกแจงความสัมพันธห์ รอื การเชื่อมโยงเพอื่ ทาให้เกิดข้อเท็จจรงิ หรือสถานการณใ์ หม่ รปู แบบการให้เหตผุ ล 1. การให้เหตุผลแบบอุปนัย เป็นการให้เหตุผลที่มาจากกระบวนการที่ใช้การสังเกตหรือการทดลอง หลายๆ คร้ัง แล้วรวบรวมข้อมูลเพ่ือหาแบบรูปท่ีจะนาไปสู่ข้อสรุปซึ่งเชอื่ ว่า น่าจะถูกต้อง น่าจะเป็นจริง เรียก ขอ้ สรุปทไี่ ด้ว่า ข้อความคาดการณ์ 2. การให้เหตุผลแบบนิรนัย เป็นการให้เหตุผลที่มาจากกระบวนการที่ยกเอาสิ่งที่รู้ว่าเป็นจริงหรือ ยอมรับว่าเป็นจริงโดยไมต่ ้องพิสูจน์แลว้ ใช้เหตผุ ลทางตรรกศาสตร์ อ้างจากสงิ่ ท่ีรวู้ ่าเป็นจรงิ นัน้ ไปสู่ข้อสรุปหรือ ผลสรปุ ท่เี พิม่ เตมิ ขน้ึ มาใหม่ 3.ทักษะกำรสื่อสำร และกำรนำเสนอ เป็น กระบวนการถ่ายทอดข่าวสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร โดยนาเสนอผ่านช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ ได้แก่ การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน การดู การแสดงท่าทาง โดยมกี ารใชส้ ญั ลกั ษณ์ ตัวแปร ตาราง กราฟ สมการ อสมการ ฟังก์ชันและแบบจาลอง ตวั แบบเชงิ คณติ ศาสตร์ มาชว่ ยในการส่อื ความหมาย 4.ทักษะและกระบวนกำร กำรเช่ือมโยงทำงคณิตศำสตร์ เป็น กระบวนการที่ต้องอาศัยการคิด วิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ ในการนาความรู้ เนื้อหาสาระและหลักการทางคณิตศาสตร์มาสร้าง ความสัมพันธอ์ ย่างเป็นเหตเุ ป็นผลระหวา่ งความรู้ และทักษะ/กระบวนการที่มีเน้ือหาคณิตศาสตร์กับงานท่ีเกี่ยวข้องเพ่ือนาไปสู่การแก้ปัญหาและการเรียนรู้ แนวคิดใหมท่ ซี่ บั ซ้อนหรือสมบรู ณข์ ึ้น รูปแบบการเชอื่ มโยงทางคณิตศาสตร์

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 85 1.การเช่ือมโยงความรู้ต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ เป็น การนาความรู้และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ทาง คณติ ศาสตรไ์ ปสมั พันธก์ นั อย่างเป็นเหตุเป็นผลทาให้สามารถแก้ปัญหาได้หลากหลายวิธีหรือกะทัดรัดขึ้นและทาให้การเรียนการสอน คณิตศาสตร์มคี วามหมายขน้ึ 2. การเชื่อมโยงคณิตศาสตร์กับศาสตร์อ่ืน เป็น การนาความรู้และทักษะกระบวนการต่าง ๆ ทาง คณิตศาสตร์ไปสัมพันธ์กันอย่างเป็นเหตุเป็นผลกับเนอื้ หาและความรู้ของศาสตร์อื่น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ ดารา ศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ทาให้การเรียนการสอนคณิตศาสตรน์ ่าสนใจ มีความหมายและนักเรียนเห็นความสาคญั ในการเรียนคณิตศาสตร์ 5. ควำมคิดริเริ่มสร้ำงสรรค์ เปน็ กระบวนการคิดทอ่ี าศยั ความรู้พนื้ ฐาน จินตนาการและวจิ ารณญาณ ในการพัฒนาหรือคิดค้นองค์ความรู้หรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์มีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับพื้นฐานท่ีสูงกว่าความคิดพื้นๆ เพียงเล็กน้อย ไปจนกระท่ัง เป็นความคิดที่อยู่ในระดับสูงมาก องค์ประกอบของความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ความคิดคล่อง ความคิดยืดหยุ่น ความคิดรเิ ริ่ม ความคิดละเอยี ดลออ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 86 กจิ กรรม นักธรณนี อ้ ย ถ้าหินปูน เกิดจากการทับถมของตะกอนคาร์บอเนตในท้องทะเล ทั้งจากสารอนินทรีย์ และซากสิ่งมีชีวิต ซึ่งถับถมกันภายใต้ความดันอากาศ และตกผลึกใหม่เป็นแร่แคลไซต์ มีการตกตะกอน ท่ีเป็นแท่งหรือแผ่นย้อยลงมาจากเพดานถ้า เรียกว่า หินย้อย การตกตะกอนที่เป็นแท่งสูงจากพ้ืนถ้าข้ึน ไปหาเพดานถา้ เรียกวา่ หนิ งอก ในสว่ นลักษณะของหินท่ีเป็นแท่งยาวจากพ้ืนถ้าจรดเพดานถ้าเกิดจากหินงอก และหนิ ย้อยมาบรรจบกนั เรยี กว่า เสาหนิ หนิ งอกหินยอ้ ย คือปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่เกิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายๆ พนั หรอื หมื่นปี ซึง่ ส่วน ใหญ่น้ันมักเกิดข้ึนในถ้าหินปูน เพราะมีความชื้นอันเป็นปัจจัยของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ประเภทน้ี ลักษณะของหินงอกหินย้อยน้ัน เป็นหินที่ยื่นหรือหยดเข้าหากันคล้ายกับเป็นของเหลว โดยมากเราเรียกหินท่ี หยดลงมำจำกดำ้ นบนวำ่ หินยอ้ ย และเรยี กหนิ ทย่ี ืน่ ขึนไปจำกทำงด้ำนลำ่ งวำ่ หินงอก ซงึ่ กระบวนการตา่ งๆ ท่ี ทาให้เกดิ สภาพนีน้ น้ั สามารถอธิบายไดด้ ังต่อไปน้ี 1. หินงอกหินย้อยเกิดจากความช้ืนต่างๆ ที่สะสมอยู่ในด้ิน คือเมื่อปลายยุคน้าแข็ง หิมะเร่ิมละลายตัว และความช้นื ต่างๆ กไ็ หลมาสะสมในดนิ หรือชอ่ งว่างระหวา่ งดนิ กลายเป็นธารน้าใต้ดนิ 2. เมื่อน้าใต้ดินนั้นรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ ทาให้เกิดกระบวนการสึกกร่อน และเกิดเป็น กรดคาร์บอนิกซึ่งเป็นกรดอ่อนชนิดหน่ึง ซ่ึงเม่ือหินปูนนั้นเจอกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูนได้น้ันก็ จะท้าให้เกิดช่องว่างข้ึน เล็กบ้างใหญบ่ า้ ง ซึง่ เราเรยี กชอ่ งว่างท่ีเกิดข้นึ ใหม่นีว้ า่ ถา้ 3. หนิ ย้อย เกิดไดจ้ ากกระบวนการเหลา่ นี้เอง คอื กล่าวกนั ได้ว่า หนิ ย้อยคอื หนิ ปูนท่ี จบั ตัวกันเปน็ แท่ง หรอื แผน่ ย้อยลงมาจากเพดานถ้า ซง่ึ เม่ือมนี ้าทม่ี หี นิ ปนู สะสมอยหู่ ยดลงมาตามรอยแตกหรือรอยแยก ซ่งึ เมอ่ื น้า น้ันสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ก็จะท้าให้เกิดสารประกอบประเภทคาร์บอเนต จากน้ันเมื่อเกิดการ สะสมตัวพอกพูนมากข้นึ เรื่อยๆ ทา้ ใหเ้ กดิ เปน็ แทง่ หินทย่ี อ้ ยลงมาจากเพดานถ้า โดยมากมักมีลกั ษณะกลวงด้าน ใน 4. หินงอก เปน็ กระบวนการท่ีคลา้ ยกันก็คือ เกดิ จากนา้ ทม่ี ีหินปูนสะสมอยู่ท่ีหยดลงมาจากเพดานถ้าสู่ ชั้นหินเบ้ืองล่าง ความท่ีน้านั้นมีตะกอนหินปูนอยู่มาก เม่ือเกิดการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ไปจึงท้าให้เกิด สะสมเปน็ แท่ง ย่นื ไปในอากาศสูงจากพนื้ ถ้า ซ่งึ กระบวนการเกิดหนิ งอกหินย้อยน้ีมีความสัมพนั ธ์กัน ดงั นัน้ เมื่อ เกดิ หนิ ยอ้ ยแลว้ ต้องมหี นิ งอกด้วย (ยกเว้นถา้ ท่ีไม่มีพน้ื ) และเมอ่ื มหี ินงอกต้องมีหินยอ้ ยดว้ ยเช่นกัน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 87 กำรเช่ือมโยงกจิ กรรม กจิ กรรม นกั ธรณนี ้อยกบั วทิ ยำศำสตร์ เชิงวิทยาศาสตร์แล้วถ้าคือช่องว่างหรือโพรงในหินซ่ึงจะทาหน้าท่ีเป็นท่อทางเดินของน้าระหว่างทาง น้าเข้าและทางน้าออก เชน่ น้าพุ นา้ ซบั ทอ่ เหล่านีจ้ ะมีต้ังแต่ขนาดเล็ก 5-15 ม.ม. ถงึ ขนาดใหญ่มากราว 30 ม. มีผลตอ่ การละลายของเนื้อหนิ และการพดั พาตะกอนในถ้า ถ้าในหินปูนเกิดขึ้นจากการที่น้าท่ีมีฤทธ์ิเป็นกรดทาปฏิกิริยาจนเกิดการละลายของแร่แคลเซียม คาร์บอเนต ซ่ึงเป็นแร่ประกอบหินส่วนใหญ่ของหินปูนเกิดจากน้าฝนท่ีได้ละลายเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากบรรยากาศจนกลายเปน็ กรดคาร์บอนิคแล้วไหลซมึ ลงสู่ใตด้ ิน จากนัน้ น้าที่เป็นกรดออ่ นๆ นีจ้ ะไหลแทรกซึม เข้าไปตามรอยแตกและรอยตอ่ ระหว่างชั้นหนิ ละลายเนอ้ื หนิ ได้มากขนึ้ และขยายจนเปน็ โพรงขนาดใหญ่ หินงอก และหินยอ้ ย เกดิ จากฝนทรี่ วมตวั กบั แกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ทาใหฝ้ นมสี ภาพเปน็ กรด คาร์บอนิกแล้วซึมผ่านรอยแตกของถ้าหินปูนลงมาอย่างช้าๆ เม่ือน้าฝนเหล่าน้ีทาปฏิกิริยากับสารประกอบ แคลเซียมคาร์บอเนตภายในหินปูน สิ่งที่ได้คือสารละลายแคลเซียมไบคาร์บอเนตซ่ึงจะไหลไปตามผนัง และเพดานถ้า เม่ือน้าระเหยออกไป แคลเซียมคาร์บอเนตก็จะค่อยๆสะสมตัวจนย้อยลงมาด้านล่างในรูปของ หินย้อย ส่วนหินที่เกิดจากการสะสมตัวของแคลเซียมคาร์บอเนตบนพื้นถ้าจนสูงข้ึนในแนวด่ิงก็จะ เรียกว่าหินงอก หากกระบวนการนี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานหลายล้านปีโดยไม่มีส่ิงใดมารบกวน หินงอกและหิน ย้อยก็จะงอกมารวมกันกลายเป็นเสำหินปูนในท่ีสุดแต่ในความเป็นจริง หินงอกหินย้อยจานวนมากกลับไม่มี โอกาสได้มาบรรจบพบเจอกัน เพราะมักจะถูกขัดขวางโดยปจั จยั ต่างๆ เช่น ถูกหักโดยสิ่งมีชวี ิต ถูกน้าป่าที่ไหล เข้ามาในถ้าพดั พาไป โพรงถา้ สูญเสยี ความแข็งแรงจนถลม่ ลงมา รวมถงึ ได้รบั แรงสั่นสะเทอื นจากแผ่นดินไหว กำรกรอ่ น กำรพัดพำและกำรสะสมตัวของตะกอน กระบวนการเปล่ียนแปลงทางธรณีวิทยาที่ทาให้ผิวโลกเกิดการเปล่ียนแปลงเป็นภูมิลักษณ์ต่างๆ นอกจากการผุพังอยู่กับที่แล้วยังเกิดจากการกร่อน การพัดพาและการสะสมตัวของตะกอน กระบวนการ เปลี่ยนแปลงของธรณีวิทยาต่างๆ 1. การกร่อน การกรอ่ นเปน็ กระบวนการที่ทาให้สารที่เปน็ องค์ประกอบของเปลือกโลกหลุดออกหรือ สลายตัวไปจากผิวโลก เช่น กระแสน้ากัดเซาะเปลือกโลกให้พังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย พัดพาให้เคลื่อนไป ตามแนวทางน้าไหล เมื่อฝนตกน้าไหลบ่าลงสู่ท่ีต่าตามแรงโน้มถ่วงของโลกเกิดการกัดเซาะผิวหน้าดิน แล้วพดั พาไปทับถมภูมปิ ระเทศท่ีมีพื้นทตี่ ่ากว่า สาเหตทุ ที่ าใหเ้ กิดการกัดกร่อนมีดังน้ี 1. การกร่อนของเปลือกโลกเนื่องจากกระแสน้า การกัดเซาะของกระแสน้าเกิดบริเวณริมฝ่ังแม่น้า ลาคลอง ลาธาร เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ซ่ึงมีผลทาให้เปลือกโลกเกิดการเปล่ยี นแปลง การกัดกร่อน การพดั พา และการทับถมของตะกอน เนื่องจากกระแสน้า 2. การกร่อนของเปลือกโลกเนื่องจากปฏิกิริยาเคมี เกิดจากน้าฝนละลายแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ออกไซด์ของไนโตรเจน แกส๊ ซลั เฟอร์ไดออกไซดใ์ นอากาศ ทาให้เกดิ ฝนกรดไปกดั กรอ่ นเปลอื กโลกให้ผุพัง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 88 3. การกดั กร่อนเปลือกโลกเนอื่ งจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภมู ิ ทาใหเ้ กิดการกัดกร่อนของเปลือก โลกได้ เนื่องจากอุณหภูมิของอากาศทาให้เปลือกโลกเกิดการขยายตัวและหดตัว ถ้าการขยายตัวของหินช้ันใน กับหินช้ันนอกไม่เท่ากันอาจทาให้หินเกิดการแตกร้าวได้ และในบางคร้ังน้าในโพรงก้อนหินกลายเป็นน้าแข็ง อาจทาให้เกิดการขยายตวั ดันให้ก้อนหนิ แตกเป็นช้ินเล็กๆได้ 2. การพัดพาและทบั ถม การพัดพาและทับถมเกิดจากการสึกกร่อนผุพัง ด้วยอิทธิพลของกระแสน้า ปฏิกิริยาเคมี ความร้อน และกระแสลมจะถูกพัดพาไปด้วยความแรงของกระแสน้าหรือกระแสลม เม่ือความแรงลดลงจะเกิดการทับถม ของตะกอนที่พัดพามา การเกิดการทับถมของตะกอน ตะกอนจะทับถมกันเป็นช้ันๆ ตะกอนท่ีมีขนาดใหญ่จะ ถูกพัดพาไปตกที่ใกล้ ส่วนตะกอนที่มีขนาดเล็กจะถูกพัดพาไปตกที่ไกล การทับถมของตะกอนมีลักษณะ แตกต่างกนั ไปตามลักษณะของภูมิประเทศและกระแสน้าที่พดั ผา่ น 3. การสะสมตัวของตะกอน การสะสมตัวของตะกอนเป็นกระบวนการที่สารเปล่ียนสถานะจากของเหลวหรือไอกลายเป็นของแข็ง เช่น หินงอกหินย้อยในถ้า ผลึกน้าแข็ง เป็นต้น การตกผลึกมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของแผ่นเปลือกโลก เช่น เม่ือมีน้าท่ีมีแร่ธาตุละลายอยู่อย่างเข้มข้นขังตัวอยู่ตามรอยแยกของหิน เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น น้าจะเกิดการ ระเหยไป แรธ่ าตุในนา้ จงึ เกิดการตกผลกึ เป็นของแข็ง ซึ่งจะดันใหห้ นิ เกดิ รอยแยกมากข้ึน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 89 กจิ กรรม มวลเมฆน่ำรู้ อุตุนิยมวิทยา คือการศึกษาสภาพอากาศซึ่งจาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับส่วนประกอบ และการแบ่งชั้นบรรยากาศ ความสัมพันธ์ระหว่างอุณหภูมิกับความชื้น ความดัน กระบวนการเกิดเมฆ หมอก หยาดน้าฟ้า ชนิดลักษณะเมฆ โดยปัจจัยดังกล่าว มีความสัมพันธ์กันและส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงของสภาพ อากาศ เมฆ คือ กลุ่มของละอองน้าขนาดเล็กซ่ึงเกิดจากการควบแน่นของหยดน้าในอากาศ แต่เมฆช้ันสูงซึ่งมี อณุ หภูมติ า่ กว่าจุดเยือกแข็งจะเปน็ กลุ่มของผลึกนา้ แข็งขนาดเล็ก โดยปกตนิ า้ บริสุทธิแ์ ละไอน้าโปร่งแสงจนไม่ สามารถมองเหน็ ได้ แต่หยดนา้ และผลึกน้าแข็งมีพื้นผิว ซงึ่ สะท้อนแสงทาใหเ้ ราสามารถมองเห็นเปน็ ก้อนสีขาว และในบางครั้งมุมตกกระทบของแสงและเงาจากเมฆชน้ั บนหรือเมฆที่อยู่ข้างเคียง นอกจากน้ันความหนาแน่น ของหยดน้าในก้อนเมฆกอ็ าจทาให้มองเหน็ เมฆเป็นสีเทา ในธรรมชาติ เมฆเกิดขึ้นโดยมีรูปร่าง 2 ลักษณะคือ เมฆก้อนและเมฆแผ่น เมฆก้อนเรียกว่า “เมฆคิวมูลัส” และเมฆแผ่นเรียกว่า “เมฆสตราตัส” หากเมฆก้อนลอยชิดติดกัน เรานาช่ือท้ังสองมาต่อกัน เรียกว่า “เมฆสตราโตคิวมูลัส” ในกรณีท่ีเป็นเมฆฝนจะเพิ่มคาว่า “นิมโบ” หรือ “นิมบัส” ซ่ึงแปลว่า “ฝน” เข้าไป โดยเรียกเมฆก้อนที่ทาให้เกิดพายุฝนฟ้าคะนองว่า “เมฆคิวมูโลนิมบัส” และเรียกเมฆแผ่นที่มีฝนตก ปรอยๆ อย่างสงบวา่ “เมฆนิมโบสตราตัส” นักอตุ ุนยิ มวิทยาแบง่ เมฆออกเปน็ 3 ระดบั คือ เมฆชนั้ ตา่ เมฆชน้ั กลาง และเมฆช้ันสูง เมฆช้นั ตา่ อยูส่ ูงจากพืน้ ดินไม่เกนิ 2 กโิ ลเมตร มี 5 ชนดิ ได้แก่ เมฆสตราตัส เมฆคิวมลู สั เมฆสตราโต คิวมูลัส เมฆนมิ โบสตราตัส และเมฆควิ มูโลนมิ บสั ตามทไี่ ด้กล่าวมาแลว้ เมฆชั้นกลาง เกิดขึ้นที่ระดับสูง 2 - 6 กิโลเมตร ในการเรียกช่ือจะเติมคาว่า “อัลโต” ซ่ึงแปลว่า “ช้ันกลาง” ไว้ข้างหน้า เช่น เมฆแผ่นชั้นกลางเรียกว่า “เมฆอัลโตสตราตัส” เมฆก้อนชั้นกลางคือ “เมฆอัลโต คิวมลู ัส” เมฆชั้นสูง เกิดขึ้นที่ระดับความสูงมากกว่า 6 กิโลเมตร ในการเรียกช่ือจะเติมคาว่า “เซอโร” ซ่ึง แปลว่า “ชั้นสูง” ไว้ข้างหน้า เช่น เมฆแผ่นชั้นสูงเรียกว่า “เมฆเซอโรสตราตัส” เมฆก้อนชั้นสูงเรียกว่า “เมฆ เซอโรคิวมลู สั ” นอกจากน้ันยังมีเมฆชั้นสูงทีม่ รี ูปร่างเหมอื นขนนก เรียกวา่ “เมฆเซอรสั ”

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 90 กำรเชื่อมโยงกิจกรรม มวลเมฆนำ่ รู้กบั วิทยำศำสตร์ เมฆเกิดจาก ผลของการควบแน่นของไอน้าในอากาศ รวมตัวกันด้วยอณูเล็กๆ ของแกนกล่ัน เช่น ฝุ่น ละอองท่ีลอยอยู่ในอากาศ เปน็ ตวั ชว่ ยใหเ้ กิดการรวมตัวกันของไอน้าเพ่ิมมากย่ิงข้ึน จนกลายเป็นก้อน เมฆขนาดใหญบ่ ้างเล็กบ้าง เมฆมีอยู่มากมายหลายชนดิ ดว้ ยกัน ซงึ่ แตล่ ะชนิดก็จะมีรูปร่างที่แตกต่างกันออกไป ในทางอตุ ุนยิ มวิทยา จะมีหลกั เกณฑ์ในการแบ่งชนิดของเมฆ โดยแบง่ ตามความสูงของฐานเมฆ และมีชื่อเรียก ตามลกั ษณะทเี่ ราสามารถมองเห็นได้ที่พนื้ โดยใชค้ าในภาษาลาตนิ โครงสร้างแนวด่ิงของบรรยากาศของเป็นช้ันๆ เรียกว่า \"ชั้นบรรยากาศ\" โดยใช้เกณฑ์แตกต่างกัน เช่น แบ่งตามองค์ประกอบทางเคมี แบ่งตามคุณสมบัติทางไฟฟ้า แต่ในการศึกษาด้านอุตุนิยมวิทยา นักวิทยาศาสตร์แบ่งช้นั บรรยากาศตามการเปล่ยี นแปลงของอุณหภมู ิ โทรโพสเฟยี ร์ เป็นบรรยากาศช้ันล่างสุดที่เราอาศัย มีความหนาประมาณ 10 - 15 กิโลเมตร ร้อยละ 80 ของมวล อากาศทั้งหมดอยู่ในบรรยากาศชั้นนี้ แหล่งกาเนิดความร้อนของโทรโพสเฟียร์ คือ พื้นผิวโลกซึ่งดูดกลืน แสงแดดจากดวงอาทิตย์ แล้วแผ่รังสีอินฟราเรดออกมา เครื่องบินไอพ่นนิยมบินที่ระดับน้ี เนื่องจากสภาพ อากาศสงบน่ิง และบรรยากาศมีความหนาแน่นมากพอสาหรับการสันดาปภายในเครื่องยนต์ บรรยากาศชั้น โทรโพสเฟียร์ มีไอน้าอยู่เป็นจานวนมาก จึงทาให้เกิดปรากฏการณ์น้าฟ้าต่างๆ เช่น เมฆ พายุ ฝน เป็นต้น บรรยากาศช้นั น้ีมักปรากฏสภาพอากาศรนุ แรง เนอื่ งจากมมี วลอากาศหนาแน่น การเปลี่ยนสถานะของนา้ ทา ใหเ้ กดิ การดูดและคายความรอ้ นแฝง สตรำโตสเฟยี ร์ มวลอากาศในชั้นน้ีมีร้อยละ 19.9 ของมวลอากาศทั้งหมด เหนือระดับโทรโพพอสข้ึนไป อุณหภูมิย่ิง สูงข้ึนในอัตรา 2°C ต่อ 1 กิโลเมตร เนื่องจากโอโซนท่ีระยะสูง 48 กิโลเมตร ดูดกลืนรังสีอุลตราไวโอเล็ตจาก ดวงอาทิตย์เอาไว้จึงทาให้มีอุณหภูมิสูง บรรยากาศชั้นสตราโตสเฟียร์มีความสงบมากกว่าช้ันโทรโพสเฟียรส์ บอลลูนตรวจอากาศสามารถลอยสูงได้เพียงบรรยากาศชั้นน้ี เม่ือบอลลูนลอยสูงขึ้นไปอีกก็จะแตกเน่ืองจาก ความดันอากาศภายในและภายนอกแตกต่างกันมากจนเกนิ ไป มโี ซสเฟยี ร์ เหนือบรรยากาศชั้นสตราโตรสเฟียรส์ขึ้นไป อุณหภูมิลดต่าลงอีกคร้ัง จนถึง -90°C ที่ระยะสูง 80 กิโลเมตร ทั้งนี้เนื่องจากห่างจากแหล่งความร้อนในช้ันโอโซนออกไป มวลอากาศในชั้นมีโซสฟียร์น้ีมีไม่ถึงร้อย ละ 0.1 ของมวลอากาศทั้งหมด แต่ก็มีความหนาแน่นมากพอที่จะสร้างความเสียดทานทาให้อุกกาบาตท่ีตกลง มาจากอวกาศ เกิดการลุกไหม้

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 91 เทอร์โมสเฟียร์ เหนือระดับ 80 กิโลเมตรขึ้นไป อุณหภูมิกลับสูงขึ้นอีก มวลอากาศในช้ันเทอร์โมสเฟียร์มิได้อยู่ใน สถานะแก๊ส แตอ่ ยใู่ นสถานะพลาสมา เน่อื งจากอะตอมของไนโตรเจนและออกซเิ จนในบรรยากาศชน้ั บน ได้รบั รังสีคลื่นสั้นจากดวงอาทิตย์จึงแตกตัวเป็นประจุ บรรยากาศชั้นน้ีมีอุณหภูมิสูงมาก อย่างไรก็ตามการที่มี อุณหภูมิสูงมากข้ึนไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีความร้อนมากขึ้นด้วย เน่ืองจากโมเลกุลของอากาศในช้ันนี้อยู่ ห่างกันมาก และมีอยู่เบาบางมาก อุณหภูมิคือระดับพลังงานของอะตอมหรือโมเลกุลแต่ละตัว แต่ปริมาณ ความรอ้ นขน้ึ อยู่กับมวลทั้งหมดของสสาร ดูดกลืนรังสีแกมมาและรังสีเอก็ ซ์ จนทาใหอ้ ะตอมของแกส๊ มีอุณหภูมิ สูงมากจนแตกตัวและสูญเสียอิเล็กตรอน กลายเป็นประจุ มีสมบัติในการสะท้อนคล่ืนวิทยุ ทาให้เกิดประโยชน์ ในการส่อื สารโทรคมนาคมระยะไกล เสถียรภำพอำกำศ พื้นผิวโลกได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ทาให้อากาศซ่ึงอยู่บนพ้ืนผิวมีอุณหภูมิ สูงข้นึ และลอยตวั สูงขน้ึ เมอ่ื กลมุ่ อากาศร้อนยกตวั ปริมาตรจะเพม่ิ ข้ึนเนื่องจากความกดอากาศน้อยลง มผี ลทา ให้อุณหภูมิลดลงด้วยอัตรา 10°C ต่อ 1,000 เมตร จนกระทั่งกลุ่มอากาศมีอุณหภูมิเท่ากับสิ่งแวดล้อมก็จะหยดุ ลอยตัว และเม่ือกลุ่มอากาศมีอุณหภูมิต่ากว่าสิ่งแวดล้อมก็จะจมตัวลงและมีปริมาตรลดลง เน่ืองจากความกด อากาศทเ่ี พ่มิ ขน้ึ และส่งผลทาให้อณุ หภมู สิ งู ขึ้นด้วย เม่ือกลุ่มอากาศยกตัวถึงระดับการควบแน่น อากาศจะอ่ิมตัวด้วยไอน้า เน่ืองจากอุณหภูมิลดต่าจนถึง จุดน้าค้าง หากอุณหภูมิยังคงลดต่าไปอีก ไอน้าในอากาศจะควบแน่นเปลี่ยนสถานะเป็นหยดน้าขนาดเล็ก ซ่ึงก็ คือเมฆที่เรามองเห็น และคายความร้อนแฝงออกมา ทาให้อัตราการลดลงของอุณหภูมิเหลือ 5°C ต่อ 1,000 เมตร แกนควบแน่น อากาศเย็นมีความสามารถเก็บไอน้าได้น้อยกว่าอากาศร้อน เม่ืออุณหภูมิของอากาศ ลดลงจนถึงจุดน้าค้าง อากาศจะอิ่มตัวและไม่สามารถเก็บไอน้าได้มากกว่านี้ หากอุณหภูมิยังคงลดต่าไปอีก ไอน้าจะควบแน่นเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว อย่างไรก็ตามนอกจากปัจจัยทางด้านอุณหภูมิและความกด อากาศแล้ว การควบแน่นของไอน้ายังจาเป็นต้องมี “พ้ืนผิว” ให้หยดน้าเกาะตัว ยกตัวอย่าง เม่ืออุณหภูมิของ อากาศบนพ้ืนผิวลดต่ากว่าจุดน้าค้าง ไอน้าในอากาศจะควบแน่นเป็นหยดน้าเล็กๆ เกาะบนใบไม้ใบหญ้าเหนือ พ้ืนดิน บนอากาศก็เช่นกัน ไอน้าต้องการอนุภาคเล็กๆ ท่ีแขวนลอยอยู่ในอากาศเป็น “แกนควบแน่น” แกนควบแน่นเป็นวัสดุท่ีมีคุณสมบัติในการดูดซับน้า ได้แก่ ฝุ่น ควัน เกสรดอกไม้ ไอเกลือ เป็นต้น ซึ่งมีขนาด ประมาณ 0.0002 มลิ ลเิ มตร

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 92 กจิ กรรม ล่ำฆำตกร กิจกรรมล่าฆาตกร เป็นกิจกรรมท่ีต้องอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือหาคาตอบ โดยอาศัยข้อมูลจากช้ินส่วนเน้ือหาเหตุการณ์การฆาตกรรม การต้ังสมมติฐาน เป็นส่ิงท่ีสาคัญท่ีจะนาไปสู่การ ค้นหาคาตอบ ซึ่งจะต้องมีการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล เพื่อพิสูจน์สมมติฐานและส่ิงท่ีสาคญั จะตอ้ งอาศัยกระบวนการทางานเปน็ กลมุ่ เพือ่ ใหไ้ ดม้ าซง่ึ คาตอบท่ีถูกตอ้ ง กิจกรรม ล่าฆาตกร เป็นกิจกรรมท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนทางานเป็นกลุ่มโดยให้น่ังเป็นวงลม ซึ่งทาให้ ผู้เรียนทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ทุกคน และแจกชิ้นส่วนเน้ือหาการฆาตกรรมอย่าง น้อย คนละ 1 ใบแต่ไม่เกิน 2 ใบ เมื่อผู้เรียนได้รับช้ินส่วนเน้ือหาการฆาตกรรม ห้ามนาชิ้นส่วนฆาตกรรมให้ผู้อื่นดู หรอื หา้ มนาช้ินสว่ นฆาตกรรมมาต่อกัน และใหก้ ลุ่มรว่ มกันหาคาตอบของคาถามทั้ง 5 ขอ้ ภายในเวลา 20 นาที และบนั ทึกคาตอบ ในคร้ังท่ี 1 ขอ้ ท่ี 1 ใคร คือ ฆาตกร ข้อที่ 2 ฆาตกรใช้อาวุธอะไร ข้อท่ี 3 การฆาตกรรมเกิดขน้ึ ที่ไหน ข้อท่ี 4 การฆาตกรรมเกดิ ข้ึนเวลาใด ข้อที่ 5 อะไรคือสาเหตุของการฆาตกรรม ระหว่างการหาคาตอบ ผู้สังเกตการณ์บันทึกกระบวนการทางาน การแบ่งผู้รับผิดชอบ การรวบรวม ข้อมูลและลักษณะการน่ังของกลุ่ม ให้กลุ่มนาเสนอคาตอบท่ีได้บันทึกคาตอบ ให้ผู้สังเกตการณ์อภิปรายผล จากการสังเกตเพื่อให้ผู้เรียนได้ทราบกระบวนการของกลุ่มตนเอง ร่วมสรุปและหาข้อผิดพลาดในการทางาน กลุ่มและหาวิธีการแก้ไขปญั หาทเี่ กดิ ขน้ึ นั่งรวมกลุ่มเป็นวงกลมกันอีกครั้ง พร้อมแจกชิ้นส่วนเน้ือหาการฆาตกรรมตามกติกาเติมโดยให้ เวลา 15 นาที และบันทึกคาตอบครั้งที่ 2 จัดทาแผนผังและลาดับเหตุการณ์การฆาตกรรม ระหว่างร่วมหา คาตอบให้ผู้สังเกตการณ์ บันทึกกระบวนการทางาน การแบ่งผู้รับผิดชอบ การรวบรวมข้อมูล การนั่งเป็นกลุ่ม และเปรียบเทียบกับการทากิจกรรมในครั้งท่ี 1 ตัวแทนในกลุ่มนาเสนอคาตอบในครั้งท่ี 2 ผู้สังเกตการณ์ อภปิ รายเทยี บระหวา่ งการทากิจกรรมครง้ั ท่ี 1และครงั้ ที่ 2 วิทยากรและผู้ร่วมกิจกรรมร่วมกันสรุปเหตุการณ์การฆาตกรรม ตามเน้ือเรื่องในชั้นส่วนเนื้อหาการ ฆาตกรรม ทง้ั 25 ใบ เพื่อใหผ้ ู้เรียนได้รว่ มกนั ลาดบั เหตกุ ารณท์ ่เี กิดข้ึน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 93 กำรเชอื่ มโยงกิจกรรม ล่ำฆำตกรกบั วทิ ยำศำสตร์ กิจกรรม ล่าฆาตกร เป็นกิจกรรมที่ให้ผู้ร่วมกิจกรรมได้แสดงความคิดเห็นด้วยกระบวนการกลุ่ม ให้รวมกลุ่มกันน่ังเป็นวงกลมเพื่อให้สมาชิกทุกคนในกลุ่มสามารถแลกเปล่ียนความคิดเห็น โดยการใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในการหาตัวฆาตกร อาวุธท่ีใช้ในการก่อเหตุ สถานท่ีและเวลาท่ีก่อเหตุ และสาเหตุของการฆาตกรรม มีการวิเคราะห์ปัญหา แยกประเด็นปัญหา รวบรวมข้อมูล แสดงความเห็นโดย การใช้หลักการของเหตุผล การคาดคะเนเหตุการณ์ การจดบันทกึ เพ่ือใหไ้ ดม้ าซง่ึ คาตอบทถ่ี ูกต้อง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 94 กจิ กรรมจำนำฝัน ความรู้คือ สิง่ ที่เราได้รับการถ่ายทอดจากผู้อน่ื หรือประสบการณ์ที่เราพบเจอ สว่ นจินตนาการคือ ส่ิงที่ เราคิดออกมาและสามารถคิดได้อย่างไม่มีขีดจากัด ไร้ขอบเขต ซึ่งถ้ามนุษย์ไม่มีจินตนาการ ความรู้ต่างๆ ก็คง จะไม่มี จินตนาการนาไปสู่การก่อเกิดความรู้ต่างๆ มากมาย และยังก่อเกิดเป็นสิ่งอานวยความสะดวกต่างๆ ดังอมตะวาจาของ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ท่ีกล่าวไว้ว่า “จินตนาการสาคัญกว่าความรู้” ซึ่งเราทุกคนสามารถ พัฒนาจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ โดยการฝึกคิด ออกแบบ วาดภาพ บรรยาย หรือนาเสนอให้กับผู้อ่ืน ไดร้ บั ทราบผา่ นรูปแบบต่างๆ โดยมีหลกั ของเหตแุ ละผลรองรบั กำรเช่อื มโยงกจิ กรรมจำนำฝัน กับวทิ ยำศำสตร์ จินตนาการหมายถึง การคิดสร้างภาพในจิตใจหรือพลังของจิตท่ีสร้างภาพขันใหม่ภายในใจ ให้น่า พอใจกว่า สวยกว่า เป็นระเบียบกวา่ หรือร้ายกาจกว่าส่ิงทมี่ ีอยู่ในธรรมชาตทิ ่ัวไป จินตนาการทาให้เกิดภาพขึ้น ในสานึกเรียกว่า “จินตภาพ” จินตภาพ เหล่าน้ีเช่ือมโยงกับประสบการณ์ที่ได้นับสะสมอยู่ภายใน จินตนาการ เป็นผลมาจากอวัยวะสัมผัสของมนุษย์ปะทะกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว เกิดเป็นประสบการณ์ ส่ังสมแล้วจึง ประยุกต์โดยการเพิ่มเติม ตัดทอนหรือผสมผสานประสบการณ์ๆถ่ายทอดออกมาเป็นผลงานศิลปะหรือเกิด จินตภาพนกึ คิดไปเอง อาจจะมหี รือไม่มี ในโลกน้ีก็ได้ การเขียนภาพตามจินตนาการ จะทาได้ดีก็ต่อเม่ือผู้เขียนภาพนั้นเป็นคนช่างสังเกต รู้จักวิเคราะห์ แยกแยะสิ่งต่างๆท่ีต้องการนาเสนอ โดยนามาเชื่อมโยง กับประสบการณ์ทางศิลปะซ่ึงหมายถึงประสบการณ์ ในทางฝึกปฏิบัติและประสบการณ์จากการได้ศึกษาผลงานศิลปะทั่วๆไป ซึ่งจะสามารถสร้างผลงานศิลปะ ให้ แปลกแตกต่างไปจากท่ีเคยพบเห็นได้ ดังนั้นการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะเกิดจากพ้ืนฐานประสบการณ์ ท่ี เช่ือมโยงกับความนึกคิดและจินตนาการใหเ้ กิด ผลงานในรูปแบบใหม่ๆ ที่ทาให้ผู้พบเห็นได้รับรู้กับความคิดฝัน จินตนาการของผู้ปฏิบัติงานท่ีต้องการถ่ายทอดออกมาเป็นภาพอย่างอิสระ ผู้ปฏิบัติงานศิลปะท่ี ถ่ายทอด จินตนาการได้ดีน้ันจะต้องมีพื้นฐานมาจากการได้สัมผัสรับรู้ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนเกิดแรงบันดาลใจใน การสร้างสรรคส์ ่งั สมเป็นประสบการณ์ และความชานาญ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์เป็นความสามรถของมนุษย์ท่ีคิดได้กว้างไกลหลายแง่มุมหลายทิศทาง นาไปสู่การ คิดประดิษฐ์ส่ิงของและเกิดแนวทางการแก้ปัญหาต่างๆ ซึ่งเป็นผลจากการทางานของสมอง ในส่วนที่เกี่ยวกับ อารมณ์ความรู้สึกหรือสมองซีกขวา ซ่ึงสามารถเกิดขึ้นได้จากการไม่ยึดติดกับกรอบความคิดเดิม กฎเกณฑ์เดิม ความคดิ สร้างสรรค์คดิ ไดห้ ลายแงม่ ุม คดิ ไดม้ ากทส่ี ดุ เท่าท่จี ะคิดได้ ความคดิ สร้างสรรค์จงึ เปน็ การมองปญั หาใน แนวกวา้ ง

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 95 ผูท้ มี่ คี วำมคดิ สรำ้ งสรรค์จะมีลักษณะสำคญั 4 ประกำร ดงั นี 1. มีควำมคิดริเร่ิม คือ คิดในสิ่งที่แปลกใหม่ คิดในเรื่องท่ีไม่เคยมีใครคิดมาก่อน ไม่ซ้าใคร ซึ่งแตกต่าง จากความคดิ ของคนธรรมดาท่วั ไป 2. มีควำมยืดหยุ่นในกำรคิด คือ มีความสามารถในการคิดหาคาตอบได้หลายทิศทาง หลายแง่มุม หรือมองสถานการณท์ กุ อย่างไดห้ ลายมิติ ทาให้สามารถคิดหาวธิ กี ารแกป้ ญั หาได้มากกวา่ 1 วธิ ี 3. มีควำมคิดคล่องแคล่ว คือ สามารถคิดหาคาตอบได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว และได้คาตอบมาก ทสี่ ดุ ในเวลาท่จี ากดั หรือเปน็ คนที่มปี ฏิภาณไหวพริบดี 4. มีควำมคิดละเอียดลออ คือสามารถคิดในรายละเอียดที่เป็นปลีกย่อยได้ดี เพื่อขยายหรือตกแต่ง ความคดิ หลกั ให้ได้ความหมายที่สมบรู ณย์ งิ่ ขึน้ วธิ ีฝกึ ตนเองใหเ้ กดิ ควำมคดิ สร้ำงสรรค์ เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์เกิดจากการฝึกฝน การเรียนรู้ และพัฒนาของสมองซีกขวา ความคิด สร้างสรรค์จึงเป็นส่ิงท่ีสามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในวัยเด็กและวัยรุ่น สามารถพัฒนา ความคดิ สร้างสรรคไ์ ดเ้ รว็ กว่าผู้ใหญ่ วธิ ีฝกึ ตนเองใหเ้ กดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ มีดังน้ี 1. ฝึกใช้ความคิดตลอดเวลา อย่าหยุดคิด โดยต้ังคาถามในเร่ืองท่ีอยากรู้และหาคาตอบประกอบ เหตผุ ล 2. คิดให้รอบด้าน คดิ หลายมติ ิ ไม่ยึดตดิ แนวคดิ ใดแนวคดิ หนึ่งเพียงด้านเดยี วหรอื มิตเิ ดยี ว 3. สลัดความคิดครอบงาออกไป ไม่จากัดกรอบความคิดของตนเอง ไว้กับความเคยชินแบบเดิมๆ ที่ เคยเชือ่ เคยเห็นและเคยทามาแลว้ 4. จัดระบบความคดิ ใหม่เพ่อื เปรียบเทียบในมมุ มติ ิต่างๆ หรือนามาค้นหาความจรงิ 5. ยดึ มั่นในคาถาหัวใจนักปราชญ์ ไดแ้ ก่ การฟงั การคิด การถาม และการเขยี น หรือ “สุ จิ ปุ ลิ” ด้วย การฟังแลว้ คิดตาม ไมเ่ ข้าใจให้ซักถาม เม่ือร้แู ล้วนาไปเขียนบนั ทกึ 6. ฝกึ เปน็ คนช่งั สังเกตแลว้ จดจา เพือ่ สะสมประสบการณแ์ ละกระต้นุ ให้เกิดแนวคิดใหม่ๆ 7. ฝึกระดมสมองเพื่อรวบรวมความคิดสร้างสรรค์กับเพื่อนๆ หรือบุคคลในครอบครัว หรือผู้อ่ืนเม่ือมี โอกาส 8. ฝกึ แสดงความคิดเหน็ บ่อยๆอย่ากลวั ล้มเหลวหรือเสียหนา้ เพราะการเสนอความคดิ เหน็ ไม่มีถูกหรือ ผิด 9. ต้องทาอนาคตให้ดีกว่าปัจจุบัน การกระทาทุกอย่างเม่ือเห็นว่าดีหรือประสบความสาเร็จแล้ว คร้ัง ต่อไปจะต้องพัฒนาใหด้ ีข้นึ กวา่ เดิมด้วยวิธกี ารใหมโ่ ดยการต่อยอดความคิดเดมิ

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 96 ประโยชน์ของควำมคดิ สร้ำงสรรค์ 1. เพื่อทาให้เกิดแนวทางใหม่ๆในการดารงชีวติ และหนทางใหม่ๆ ในการแกป้ ญั หาชวี ติ และการทางาน 2. ช่วยพัฒนาสมอง ให้มีความฉลาดหลักแหลม เพราะการฝึกคิดเรื่องให้เป็นประจาจะทาให้เกิด ปฏภิ าณไหวพรบิ ในการแกป้ ญั หาตา่ งๆ เพม่ิ ขนึ้ 3. สร้างความเช่ือมั่นให้ตนเองเม่ือพัฒนาขีดความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ จนสามารถแก้ปัญหา ตา่ งๆได้อย่างราบรื่น กจ็ ะเปน็ ผนู้ าทางด้านความคิด นกั ประดษิ ฐ์ หรือเป็น นวตั กรรม ย่อมเกดิ ความภาคภูมิใน ตนเอง 4. ช่วยยกระดับคุณธรรมในเร่ืองความขยนั หมั่นเพียร อดทน มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในเร่ืองของ ความมุ่งม่ันในการทางาน และการใช้เวลาวา่ งให้เกิดประโยชน์ 5. พัฒนาชีวิตให้ทันสมัยและเกิดความสนุก การค้นหาวิธีการคิดและการกระทาใหม่ๆข้ึนมาทดแทน ความคิดเก่า จะทาให้ชีวติ มีความทนั สมยั และสนกุ สนาน

คู่ มื อ กิ จ ก ร ร ม ท า ง วิ ท ย า ศ า ส ต ร์ | 97


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook