เรื่องราวของศิลปินผู้ตีแผ่อีกด้านของจิตใจมนุษย์ COMPILER BY SWEETGOODBYEMYBOO
ขั้นแรก เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ จะทำอะไรก็ได้ แต่ศิลปะต้องมาก่อน - ฟรานซิสโก โกยา -
คำนำ ผู้เขียน ฟรานซิสโก โกยา ชายหนุ่มผู้ทะเยอทะยาน แห่งฟูนเดโตคอส เขาไม่ใช่แค่ศิลปิน แต่ยังได้รับการ ยกย่องว่าเป็น \"Old Master\" คนสุดท้ายของศิลปะแนวจินตนิยม ศิลปินคนแรกในแนวสมัยใหม่ เป็นจิตรกรราชสำนักคนแรกของสเปน และยังเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินรุ่นหลังอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แนว สำแดงพลังอารมณ์ (Expressionist) หรือ แนวเหนือจริง (Surrealist) ล้วนมีโกยาเป็นแรงบันดาลใจทั้งสิ้น โกยาเป็นจิตรกรมากความสามารถที่มีผลงานหลากหลายแนว งานศิลปะของเขาเน้นย้ำถึงความเป็นตัว บุคคล จินตนาการ และอารมณ์ของแนวจินตนิยม แต่สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้เราสนใจเขามากขึ้นคืองานสะท้อนสังคม ตีแผ่อีกด้านของจิตใจมนุษย์ ที่ทั้ง บิดเบี้ยว มืดดำ และอัปลักษณ์ ตลอดระยะเวลาการทำงาน ที่ยาวนานของเขา โกยาเปลี่ยนจากคนร่าเริงและสดใสไปสู่การมองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดซึ้ง ซึ่งสามารถพบมัน สะท้อนอยู่ในภาพวาด การแกะสลัก และภาพเฟรสโกของเขา Sweetgoodbyemyboo
TABLE OF CONTENTS Francisco Goya BIOGRAPHY 01 About Goya 02 Childhood 04 Adolescence 08 Back home and Married Goya and the Spanish Court 10 Illness 15 Final year 20 WORK 21 32 Los disparates Famous work 42 BIBLIOGRAPHY
BIOGRAPHY
FRANCISCO GOYA 1 | About Goya ชื่อเต็ม ฟรันซิสโก โคเซ เด โกยา อี ลูเซียนเตส (Francisco José de Goya y Lucientes) 30 มีนาคม พ.ศ. 2289 (ค.ศ. 1746) - 16 เมษายน พ.ศ. 2371 (ค.ศ. 1828) โกยาเริ่มศึกษาศิลปะตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น และใช้เวลาในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เพื่อพัฒนาทักษะของเขา เขาเป็นจิตรกร และศิลปินภาพพิมพ์แนว Romanticism ชาวสเปน ผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็น \" Old Master \" คนสุดท้ายและเป็นศิลปินแนวสมัยใหม่คนแรก เขาวาดทิวทัศน์ในสไตล์โรโกโกได้อย่างงดงามสมบูรณ์ และแตกต่างจากศิลปินชาวสเปนท่านอื่น
2 | Childhood FUENDETODOS FRANCISCO GOYA วัยเยาว์ ฟรานซิสโก โกยา เป็นลูกคนที่ 4 จาก 6 คน เกิดในครอบครัวชนชั้นกลางค่อนไป ทางยากจน บิดาเป็นช่างปิดทอง ต้นตระกูลฝั่งมารดาเป็นผู้ดีเก่ายากจน เขาเกิดที่หมู่บ้านฟูนเดโตดอส แคว้นอารากอง ประเทศสเปน หลังจากนั้นครอบครัว ของเขาได้ย้ายมายังเมือง ซาราโกซา ศูนย์กลางของแคว้นอาการอง วัยเด็กของเขาส่วนใหญ่ถูกใช้ไปในซาราโกซา เขาเข้าเรียนในโรงเรียนรัฐบาล ท้องถิ่น ทำให้ได้พบกับมาร์ติน ซาปาเตอร์ เพื่อนตลอดชีวิตของเขา จดหมายของพวกเขาเป็นแหล่งข้อมูลชั้นต้นเพียงไม่กี่แห่งเกี่ยวกับช่วงปีแรก ๆ ของโกยาในกรุงมาดริด
3| เมื่ออายุ 14 ปี เขาเริ่มเรียนศิลปะกับจิตรกรโฮเซ่ ลูซาน มาร์ติเนซ เป็นเวลากว่า 4 ปี ในระยะแรกโกยาเรียนรู้จากการเลียนแบบ เขาลอกเลียนแบบผลงาน ของปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ ค้นหาแรงบันดาลใจจากผลงานของศิลปิน เช่น ดิเอโก เบลัซเกซ และ แร็มบรันต์ แม้โฮเซ่จะไม่ใช่จิตรกรที่มีชื่อเสียงมากมาย แต่การเรียนกับโฮเซ่ก็ทำให้เขามีพื้นฐานด้านศิลปะและก้าวเข้าสู่วงการศิลปะต่อไป ZARAGOZA
4 | Adolescence วัยหนุ่ม MADRID TO ROME ต่อมาเขาย้ายไปมาดริดเพื่อเล่าเรียนกับ อันทวน ราฟาเอล เมงส์ ศิลปินชาวเยอรมัน ซึ่งทำงานเป็นจิตรกรในราชสำนักของราชวงศ์สเปน แต่เขากับครูของเขาไม่ค่อยลงรอยกันนัก เขาสมัครเข้าร่วม Real Academia de Bellas Artes de San Fernando ในปี ค.ศ. 1763 และ ค.ศ. 1766 แต่ถูกปฏิเสธทั้งสองครั้ง ในการไปมาดริดครั้งที่สอง เขาได้เล่าเรียนกับ รามอน บาเยอ ซูเบียส ซึ่งเป็นชาวซาราโกซา ผลงานของบาเยอนั้้นมีลักษณะเช่นเดียวกับผลงาน ของลูซาน คือขาดความมีชีวิตชีวา สามปีต่อมาเขาได้ออกเดินทางไปทำงานในกรุงโรม ประเทศอิตาลี ในขณะนั้นโรมเป็นเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปและถือเป็นต้นแบบ ของโบราณวัตถุคลาสสิกทั้งหมดในขณะที่สเปนไม่มีทิศทางทางศิลปะที่สอดคล้องกัน ในตอนที่ไป อิตาลี โกยายังไม่เป็นที่รู้จัก ประวัติของเขาในช่วงเวลานั้นจึงมีน้อยและไร้ซึ่งความแน่นอน บ้างก็กล่าวว่าเขาไปอยู่กับกลุ่มคนสู้วัวกระทิง บ้างก็ว่าเขาไปเป็นนักกายกรรมข้างถนน บ้างก็ว่า เขาตกหลุมรักแม่ชีสาวสวยที่เขาวางแผนจะลักพาตัวไป จนเป็นที่มาของภาพวาดตำนานที่ยังมี ชีวิตอยู่คือ Sacrifice to Vesta และSacrifice to Pan
5| Sacrifice to Vesta การเสียสละ ของเวสต้า Sacrifice to Pan การเสียสล ะของแพน
6| Hannibal Crossing the Alps (Anibal Cruzando los Alpes) ขนาด: 55 x 45.4 cm ในการประกวดภาพที่ราชบัณฑิตสภาสาขาวิจิตรศิลป์แห่งปาร์มา ประเภท: Paintings ค.ศ 1770 ภาพวาดของเขา มีชื่อว่า Hannibal Crossing the Alps (Anibal Cruzando los Alpes) สามารถพบได้ที่พระราชวัง El Pito (Palacio del Pito) ในเมือง Cudillero เมือง Asturias ในหมู่งานศิลปะของมูลนิธิ Selgas-Fagalde
Portrait of his wife 7| by Francisco de Goya
8 | Back home and Married เมื่อโกยาเดินทางกลับบ้านในปี ค.ศ.1771 กลับบ้าน เมื่อถึงซาราโกซาเขาได้รับจ้างทำงานชิ้นเล็กๆหลายชิ้น อาทิ และ ภาพวาดเฟรสโก้สำหรับเพดานโบสถ์ สองปีให้หลังเขา แต่งงาน ได้เดินท างไปยังมาดริดเพื่อทำงานในสตูดิโอของบาเยอ El Escorial โกยาแต่งงานกับโจเซฟาน้องสาวของบาเยอเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม ค.ศ. 1773 การแต่งงานครั้งนี้ และการเป็นสมาชิก Royal Academy of Fine Art (ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1765) ช่วยให้โกยาได้ทำงานเป็นจิตรกร ด้านการออกแบบที่โรงงานทอผ้าหลวง ตลอดระยะเวลาห้าปี ที่นั่น เขาได้ออกแบบลวดลาย 42 แบบ ซึ่งหลายแบบใช้ตกแต่ง (และเป็นฉนวน) กำแพงหินเปลือย ของ El Escorial และ Palacio Real del Pardo ที่ประทับที่สร้างขึ้นใหม่ของพระมหากษัตริย์สเปนใกล้กรุง มาดริด สิ่งนี้ดึงดูดความสามารถทางศิลปะของเขาไปสู่สายตา ของพระมหากษัตริย์สเปน ซึ่งต่อมาได้อนุญาตให้เขาเข้าถึง ราชสำนัก นอกจากนี้ เขายังทาสีผ้าใบสำหรับแท่นบูชาของ โบสถ์ซานฟรานซิสโก เอล กรานเดในกรุงมาดริด
9| Palacio Real del Pardo altar of the Church of San Francisco El Grande in Madrid
10 | Goya and The Spanish Court
โกยา 11 | Goya and The Spanish Court กับ ราชสำนักสเปน ในปี ค.ศ. 1774 อันทวน ราฟาเอล เมงส์ ได้เดินทางมายังราชสำนักสเปนเป็นครั้งที่สอง เพื่อเป็นหัวหน้าในการตกแต่งพระบรมมหาราชวัง และได้เชิญโกยามาเป็นผู้ออกแบบพรมประดับผนัง ณ ห้องปฏิบัติการงานหลวง ที่ ซานตา บาร์บาร่า โกยาทำภาพร่างถึง 60 ภาพสำหรับพรมผืนนี้ ทำให้เขาไม่ได้รับงานอื่นเลยจนกระทั่งปี ค.ศ. 1792 ซึ่งเป็นงานศิลปะที่ทำหน้าที่เป็นต้นแบบ สำหรับผ้าทอสำหรับโรงงานในกรุงมาดริด ผลงานเหล่านี้นำเสนอฉากในชีวิตประจำวันของชาวมาดริด ในแง่มุมต่าง ๆ ลักษณะเด่นของภาพบนพรมคือการใช้สีสันสดใส ไม่ยุ่งยากซับซ้อน ภาพวาดบนพรมเช่น \"The Parasol\" (1777) และ \"The Pottery Vendor\" (1779) กระทั่งในปี ค.ศ. 1789 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นจิตรกรของราชสำนัก เขายังคงได้รับสถานะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยได้รับ การตอบรับเข้าศึกษาในราชบัณฑิตยสถานแห่งซานเฟอร์นันโด ในปีต่อไปโกยาเริ่มสร้างชื่อเสียง ในฐานะศิลปินภาพเหมือน โดยได้รับค่าตอบแทนจากหลายราชวงศ์ ผลงานสำคัญ เช่น \"The Duke and Duchess of Osuna and their Children\" (1787-1788) โดยมีจุดเด่นคือการเก็บรายละเอียด บนใบหน้าและเสื้อผ้าของดยุคและลูก ๆ ของเขา
12 | The Parasol
13 | The Pottery Vendor
14 | The Duke and Duchess of Osuna and their Children
เจ็บป่วย 15 | illness ในปี ค.ศ. 1792 โกยากลายเป็นคนหูหนวกโดยสิ้นเชิง หลังจากทนทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่รู้จัก มาเป็นระยะเวลานาน ความเจ็บปวดที่กัดกินเขา มาเนิ่นนานทำให้เขาเริ่มทำงานกับภาพวาดที่ไม่ได้รับ มอบหมายในระหว่างพักฟื้น รวมทั้งภาพเหมือนของ ผู้หญิงจากทุกสาขาอาชีพ สไตล์ของเขาเปลี่ยนไปบ้าง เช่นกัน สีที่ใช้จะมีการเติมสีดำ สีน้ำตาลที่แต้มชมพูหม่น ๆ แดงจัด ไม่ก็เหลืองหม่นอมน้ำตาล ลักษณะของงานในช่วงนั้นจะเป็นแนวฝันร้าย จินตนาการกับภาพหลอน ซึ่งเป็นผลมาจากอาการหู หนวก เรื่องราวในภาพต่างๆ เช่น โรงพยาบาลคนบ้า (The Madhouse ) ที่ฝังศพของซาร์ดีน (the burial of sardine) เป็นเรื่องของมนุษย์ที่ถูกจับอยู่ใน อุ้งมือของอารมณ์ร้าย หลังจากนั้นมีรายงานว่า เสียงในหัวและอาการหูหนวกของเขายังไม่ดีขึ้น แต่การมองเห็นดีขึ้นมากและกลับมาควบคุม การทรงตัวได้แล้ว อาการของเขาบ่งชี้ถึงการเป็นโรค ไข้สมองอักเสบจากเชื้อไวรัส เป็นไปได้ว่าเกิดจาก การที่เขาใช้ตะกั่วขาวบดเองเพื่อวาดภาพทั้งที่เป็นสีรอง ผ้าใบและสีหลัก นั่นส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงและ ส่งผลต่อการได้ยิน ทำให้เขาทุกข์ทรมานอย่างมาก
16 | The Madhouse
17 | the burial of sardine
18 | a portrait of illness
19 | ในช่วงที่โกยาเริ่มป่วยเป็นช่วงเดียวกันกับที่กองทัพของฝรั่งเศสบุกสเปน ซึ่งเขาไม่ได้เพิกเฉยต่อ เหตุการณ์ดังกล่าว เขาได้ตีแผ่มันผ่านผลงานชุด Los Caprichos เขาเติบโตอย่างต่อเนื่องในวงการศิลปิน ด้วยการได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการราชบัณฑิตยสถาน หลังจากบาเยอเสียชีวิต ในปี ค.ศ. 1795 แต่เขารับตำแหน่งได้เพียงสองปีก็ลาออกมาเป็นศิลปินอิสระผู้ไม่ขึ้นตรงกับใคร แต่มีสตรีท่านหนึ่งที่ ปรากฎอยู่ในงานช่วงบั้นปลายชีวิตของเขา นั่นคือ ดัชเชสแห่งอัลบาผู้เลอโฉม เขาวาดภาพเธอในปี ค.ศ.1795 และปรากฎอีกครั้งในปี ค.ศ. 1797 เมื่อเธอเป็นหม้าย ในปี ค.ศ. 1799 โกยาได้ตีพิมพ์ภาพพิมพ์Caprichos 80 ภาพที่แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เขาอธิบายว่า \"ความผิดและความโง่เขลานับไม่ถ้วนที่จะพบได้ในสังคมอารยะใด ๆ และจากอคติทั่วไปและการปฏิบัติที่ หลอกลวงซึ่งจารีตประเพณีความไม่รู้หรือผลประโยชน์ตัวเองทำให้เป็นปกติ\" ตีแผ่ถึงเหตุการณ์ทางการเมือง และสังคม การทุจริต ความโลภ และการปราบปรามที่อาละวาดในประเทศ โกยาได้สร้างภาพสลักที่แสดงถึงความน่าสะพรึงกลัวของสงคราม หลังจากที่ราชวงศ์สเปนขึ้นครอง บัลลังก์ในปี พ.ศ. 2357 เขาก็วาดภาพ \"วันที่ 3 พฤษภาคม\" ซึ่งแสดงให้เห็นถึงต้นทุนที่แท้จริงของสงคราม งานนี้แสดงให้เห็นถึงการจลาจลในกรุงมาดริดกับกองกำลังฝรั่งเศส
20 | FinalYear ประวัติชีวิตในช่วงหลังของ Goya ค่อนข้างน้อยและทราบ มาว่าเมื่อเฟอร์ดินานด์ครอบครองอำนาจ โกยายังคงดำรง วาระ ตำแหน่งในราชสำนักสเปนแม้จะทำงานให้กับโจเซฟ สุดท้าย กษัตริย์จากฝรั่งเศสองค์ก่อนหน้า มีรายงานว่า เฟอร์ดินานด์เคยบอกโกยาว่า \"คุณสมควรที่จะถูกกักขัง แต่คุณเป็นศิลปินที่ยิ่งใหญ่ เราจึงยกโทษให้คุณ\" คนอื่น ๆ ในสเปนโชคไม่ดีนักที่กษัตริย์พยายามปราบปรามพวก เสรีนิยมที่พยายามทำให้ประเทศเป็นรัฐตามรัฐธรรมนูญ โก ยาแสดงความไม่พอใจต่อกฎของ เฟอร์ดินานด์ในรูปแบบการแกะสลักที่เรียกว่า \"Los disparates\" ผลงานเหล่านี้นำเสนอธีมงานคาร์นิวัล และความเขลา ตัณหา วัยชรา ความทุกข์ทรมาน และ ความตาย รวมถึงประเด็นอื่นๆ ด้วยภาพที่แปลกประหลาดของเขา เหมือนจะแสดงให้เห็น ถึงความไร้สาระของเวลา บรรยากาศทางการเมืองตึงเครียดจนในเวลาต่อมาจน โกยาเต็มใจพลัดถิ่นในปี ค.ศ. 1824 แม้ว่าสุขภาพของเขา จะย่ำแย่ โกยาคิดว่าเขาอาจจะปลอดภัยกว่าเมื่ออยู่นอก ประเทศสเปน โกยาย้ายไปบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส ซึ่ง เขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ ในช่วงเวลานี้เขายังคงวาดภาพต่อไป ผลงานบางส่วนของเขาในเวลาต่อมารวมถึงภาพเหมือน ของเพื่อนๆ ที่อาศัยอยู่ในลี้ภัยด้วย โกยาถึงแก่กรรมเมื่อวัน ที่ 16 เมษายน ค.ศ. 1828 ในเมืองบอร์กโดซ์ ประเทศ ฝรั่งเศส
The works of the series Los disparates
21 | Los disparates No.1 Disparate femenino (ความเขลาของหญิงสาว) No.2 Disparate de miedo (ความโง่เขลาที่น่ากลัว)
22 | No.3 Disparate ridículo (ความโง่เขลาไร้สาระ) No.4 Bobalicón (ความเขลาของ Simpleton)
23 | No.5 Disparate volante (บินออกไป) No.6 Disparate cruel (ความเขลาอันโหดร้าย)
24 | No.7 Disparate desordenado (ความเขลาที่ผิดปกติ) No.8 Los ensacados (ความเขลาในกระสอบ)
25 | No. 9 Disparate general (ความเขลาทั่วไป) No.10 El caballo raptor (ม้าลักพาตัว)
26 | No.11 Disparate pobre (ความโง่เขลาและความจน) No.12 Disparate alegre (สุขสันต์โง่เขลา)
27 | No. 13 Modo de volar (โหมดการบิน) No.14 Disparate de carnaval (เทศกาลคนโง่)
28 | No.15 Disparate claro (ล้างความเขลา) No.16 Las exhortaciones (คำตักเตือน)
29 | No. 17 La lealtad (ความจงรักภักดี) No.18 Disparate fúnebre (ความเขลาของงานศพ)
30 | The 4 works which were added later Disparate de toritos Disparate de bestia
31 | Disparate conocido Disparate puntual
FAMOUS WORKS
32 | Famous works The Third of May 1808 Original Title: Ejecución de los Defensores de Madrid, 03 de mayo 1808 Date: 1814 Style: Romanticism Genre: history painting Media: oil, canvas Location: Museo del Prado, Madrid, Spain Dimensions: 266 x 345 cm
33 | Saturn Devouring His Son Original Title: Saturno devorando a uno de sus niños Date: 1819 - 1823 Style: Romanticism Series: Black Paintings (1819-1823) Genre: mythological painting Media: oil, canvas Location: Museo del Prado, Madrid, Spain Dimensions: 83 x 146 cm
34 | The Adoration of the Name of The Lord Original Title: La Adoración del Nombre del Señor Date: 1772 Style: Romanticism Genre: religious painting Media: fresco Dimensions: 700 x 1500 cm
35 | Portrait of Maria Teresa de Vallabriga on horseback Original Title: Retrato de María Teresa de Vallabriga a caballo Date: 1783 Style: Romanticism Genre: portrait Media: oil, canvas Location: Uffizi Gallery, Florence, Italy Dimensions: 82.5 x 61.7 cm
36 | The Fight at the Venta Nueva Original Title: La lucha en la Venta Nueva Date: 1777 Style: Romanticism Genre: genre painting Media: oil, canvas Dimensions: 127 x 275 cm
37 | Nude Maja Original Title: Maja Desnuda Date: 1800 Style: Romanticism Genre: nude painting (nu) Media: oil, canvas Location: Museo del Prado, Madrid, Spain Dimensions: 98 x 191 cm
38 | Bad night Original Title: Mala noche Date: 1799 Style: Romanticism Series: Los caprichos Genre: caricature Media: etching, paper Location: Private Collection Dimensions: 21.8 x 15.5 cm
39 | The Straw Manikin Original Title: El maniquí de paja Date: 1791 - 1792 Style: Rococo Genre: genre painting Media: oil, canvas Location: Museo del Prado, Madrid, Spain Dimensions: 97 x 160 cm
40 | Summer, or The Harvest Original Title: Verano, o la cosecha Date: 1786 Style: Romanticism Genre: genre painting Media: oil, canvas Location: Museo del Prado, Madrid, Spain Dimensions: 276 x 641 cm
Search