Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การสะสมคาร์บอนในดินและพรรณไม้

การสะสมคาร์บอนในดินและพรรณไม้

Published by Utain, 2021-08-26 14:36:15

Description: การสะสมคาร์บอนในดินและพรรณไม้
ในพื้นที่ป่าอุทยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
อำเภอสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี

Search

Read the Text Version

ตารางที่ 3 พรรณไม้ที่พบในป่าของพืน้ ทีอ่ ทุ ยานธรรมชาติวทิ ยาฯ (ต่อ) ชือ่ ท้องถน่ิ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ วงศ์ คนทา Harrisonia perforata (Blanco) SIMAROUBACEAE Merr. เครอื เขาน้ำ VITACEAE Tetrastigma leucostaphylum แคบิด (Dennst.) Alston BIGNONIACEAE แคปา่ Fernandoa adenophylla BIGNONIACEAE (Wall. ex G.Don) Steenis งวิ้ ดอกขาว MALVACEAE เงาะ Dolichandrone serrulata SAPINDACEAE ชมพู่ม่าเหมี่ยว (Wall. ex DC.) Seem. MYRTACEAE ชะมวงป่า Bombax anceps Pierre CLUSIACEAE ชะเอมปา่ FABACEAE แดง Nephelium lappaceum L. FABACEAE Syzygium malaccense ตะคร้ำ (L.) Merr. & L.M.Perry BURSERACEAE ตะเคยี นทราย DIPTEROCARPACEAE ตะแบก Garcinia bancana Miq. LYTHRACEAE Albizia myriophylla Benth ตะแบกนา LYTHRACEAE Xylia xylocarpa (Roxb.) W.Theob. var. kerrii (Craib & Hutch.) I.C.Nielsen Garuga pinnata Roxb. Hopea siamensis F.Heim. Lagerstroemia floribunda Jack var. cuspidata C.B.Clarke Lagerstroemia floribunda Jack 50

ตารางที่ 3 พรรณไม้ท่พี บในปา่ ของพืน้ ที่อทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ (ต่อ) ชือ่ ท้องถน่ิ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ วงศ์ เถาวลั ย์เปรียง Derris scandens (Roxb.) Benth. FABACEAE ประดปู่ า่ Pterocarpus macrocarpus Kurz FABACEAE ปอขาว Sterculia pexa Pierre MALVACEAE ปอหชู ้าง Pterospermum acerifolium MALVACEAE (L.) Willd. ปปี Millingtonia hortensis L.f. BIGNONIACEAE เปลา้ น้อย Croton decalvatus Esser EUPHORBIACEAE เปลา้ ใหญ่ Croton persimilis Müll.Arg. EUPHORBIACEAE ฝาง Caesalpinia sappan L. FABACEAE พฤกษ์ Albizia lebbeck (L.) Benth. FABACEAE พลบั พลา Microcos tomentosa Sm. MALVACEAE พะยอม Shorea roxburghii G.Don DIPTEROCARPACEAE มะกล่ำตาหนู Abrus precatorius L. FABACEAE มะกอกป่า Spondias bipinnata Airy Shaw ANACADIACEAE & Forman มะเกลือ Diospyros gracilis H.R.Fletcher EBENACEAE มะขามเฒ่า Parkia sumatrana Miq. subsp. FABACEAE streptocarpa (Hance) H.C.Hopkins มะขามป้อม Phyllanthus emblica L. PHYLLANTHACEAE มะแขวน่ Zanthoxylum rhetsa (Roxb.) RUTACEAE DC. 51

ตารางที่ 3 พรรณไมท้ พี่ บในป่าของพืน้ ทอี่ ทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ (ต่อ) ชอ่ื ทอ้ งถิ่น ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ วงศ์ มะค่าโมง Afzelia xylocarpa (Kurz) Craib FABACEAE มะปราง ANACADIACEAE มะไฟ Bouea macrophylla Griff. PHYLLANTHACEAE มะม่วง ANACADIACEAE มะเม่า Baccaurea ramiflora Lour. PHYLLANTHACEAE มะเม่าควาย PHYLLANTHACEAE มะหวด Mangifera indica L. SAPINDACEAE Antidesma sp. มะหาด MORACEAE Antidesma velutinosum Blume มะฮอกกานี MELIACEAE มันปลา Lepisanthes rubiginosa GENTIANACEAE โมกมัน (Roxb.) Leenh. APOCYNACEAE ยมหอม Artocarpus lacucha Roxb. MELIACEAE ลำไยป่า ex Buch.-Ham. SAPINDACEAE ลิ้นจี่ Swietenia macrophylla King SAPINDACEAE เล็บเหยย่ี ว Fagraea fragrans Roxb. RHAMNACEAE สมอตนี เปด็ Wrightia arborea LAMIACEAE (Dennst.) Mabb. Toona ciliata M.Roem. Paranephelium xestophyllum Miq. Litchi chinensis Sonn. Ziziphus oenoplia (L.) Mill. var. Oenoplia Vitex limonifolia Wall. ex Walp. 52

ตารางที่ 3 พรรณไมท้ ่พี บในปา่ ของพืน้ ที่อุทยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ (ต่อ) ชื่อทอ้ งถ่ิน ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ วงศ์ สะแกแสง Cananga brandisiana ANNONACEAE สตั บรรณ สา้ นเล็ก (Pierre) I.M.Turner สามพนั ตา Alstonia scholaris (L.) R.Br. APOCYNACEAE เส้ียว แสมสาร Dillenia ovata Wall. ex Hook.f. DILLENIACEAE หมาก & Thomson หมากเลก็ หมากนอ้ ย Cleistanthus gracillis Hook.f. EUPHORBIACEAE หมเี หมน็ หว้า Buahinia saccocalyx Pierre FABACEAE อ้อยชา้ ง Senna garrettiana (Craib) FABACEAE H.S.Irwin & Barneby Areca catechu L. ARECACEAE Arfeuillea arborescens Pierre ex SAPINDACEAE Radlk. Litsea glutinosa (Lour.) C.B.Rob. LAURACEAE Syzygium sp. MYRTACEAE Lannea coromandelica (Houtt.) ANACADIACEAE Merr. 53

จำนวน ( Fตน)วงศ์ (Family) ที่พบมากท่สี ดุ 5 วงศ์ ได้แก่ วงศเ์ ปล้า (EUPHORBIACEAE) วงศถ์ ว่ั (FABACEAE) วงศป์ อ (MALVACEAE) วงศ์ ตะแบก (LYTHRACEAE) และวงศ์ยางนา (DIPTEROCARPACEAE) ตามลำดับ (ภาพที่ 11) และชนิดไม้ที่พบมากท่ีสดุ 5 อนั ดบั แรก ได้แก่ เปลา้ ใหญ่ (Croton persimilis Müll.Arg.) ตะแบก (Lagerstroemia floribunda Jack var. cuspidata C.B.Clarke) สามพนั ตา (Cleistanthus gracillis Hook.f.) กระบาก (Anisoptera costata Korth.) และกอ่ (Castanopsis spp.) ตามลำดบั (ภาพท่ี 12) 90 80 70 60 50 40 30 20 10 0 ภาพที่ 11 วงศ์ (Family) ทพ่ี บมากที่สุด 10 อนั ดบั แรก ในพ้ืนท่ีอทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ 54 EUPHORBIACEAE FABACEAE LYTHRACEAE SAPINDACEAE DIPTEROCARPACEAE FAGACEAE MALVACEAE MORACEAE ANACADIACEAE PHYLLANTHACEAE

ดชั นคี วามสำคัญทางนิเวศวทิ ยา 50 จำนวน (ตน้ ) 40 กระบาก 30 เปล้าใหญ่ กอ่ 20 ตะแบก 10 เปลา้ ใหญ่ 0 สามพนั ตา ตะแบก กระบาก ภาพท่ี 12 ชนิดไม้ 15 อนั ดับแรกทีพ่ บในป่าพ้นื ท่ีอุทยานธรรมชาติวทิ ยาฯ ก่อ สมอตีนเปด็ กอ่ ขห้ี มู 45.00 หมากเล็กหมากนอ้ ย 40.00 ข้ีอ้าย สามพนั ตา 35.00 เส้ียว ขอ้ี า้ ย 30.00 ตะครำ้ 25.00 สมอตนี เปด็ 20.00 กระพเี้ ขาควาย กระพเ้ี ขาควาย 15.00 หมากเลก็ หมากนอ้ ย 10.00 มะขามปอ้ ม 5.00 ประดปู่ ่า เสีย้ ว 0.00 ประดปู่ า่ งว้ิ ดอกขาว เปล้าน้อยภาพที่ 13 ดชั นคี วามสำคัญทางนิเวศวทิ ยาของชนดิ ชนิดไม้ 20 อันดับแรก เปลา้ นอ้ ย มะกอกป่าในพ้นื ที่อุทยานธรรมชาติวทิ ยาฯ มะมว่ ง55 แคป่า แดง ง้ิวดอกขาว แคป่า ขี้หนอน

ความหลากหลาย (Shannon-Wiener diversity index) ของ พรรณไม้ในพืน้ ทีป่ ่าอุทยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ มีคา่ เทา่ กบั 3.67 ซึ่งถอื วา่ มี ความหลากหลายมาก ชนดิ ไม้ที่มคี วามเดน่ ในพื้นท่ีเม่อื พิจารณาตามคา่ ดชั นคี วามสำคญั ทางนเิ วศวิทยา 5 อนั ดับแรก ได้แก่ (ภาพที่ 13) • กระบาก (Anisoptera costata Korth.) • ก่อ (Castanopsis spp.) • เปลา้ ใหญ่ (Croton persimilis Müll. Arg.) • ตะแบก (Lagerstroemia floribunda Jack var. cuspidata C.B. Clarke) • สมอตนี เป็ด (Vitex limonifolia Wall. ex Walp.) 56

ช่อื ไทย กระบาก ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Anisoptera costata Korth. ชื่อวงศ์ DIPTEROCARPACEAE ช่อื อื่น ๆ กระบากขาว (ชลบุรี ชมุ พร ระนอง) กระบากโคก (ตรัง) กระบากช่อ กระบากด้าง กระบากดำ บาก (ชมุ พร) กระบากแดง (ชมุ พร ระนอง) ชอวาตาผ่อ (กะเหรย่ี ง-แมฮ่ ่องสอน) ตะบาก (ลำปาง) ประ ดกิ (เขมร-สรุ ินทร์) พนอง (จันทบุรี ตราด) หมดี งั วา่ (กะเหร่ียง-ลำปาง) ลกั ษณะทัว่ ไป ไมต้ ้น สูงไดถ้ งึ 50 ม. เปลือกสีนำ้ ตาลอมเทา แตกเป็น ร่องสะเก็ดหนา ใบรูปรีหรอื รูปขอบขนาน ดอกสีขาวหรือเหลืองออ่ น มีกล่นิ หอม ออกเป็นช่อแบบชอ่ กระจะ ผลแห้งแบบมปี กี ทรงกลมเรียบ นิเวศวิทยาและการกระจายพนั ธุ์ พบที่พมา่ ภมู ิภาคอนิ โดจีน คาบสมุทรมลายู บอร์เนียว สุมาตรา ชวา และฟิลิปปนิ ส์ ในไทยพบทกุ ภาค ขึน้ ตามป่าดิบแลง้ และปา่ ดบิ ชนื้ ขนึ้ หนาแน่นบางพ้ืนท่ี ความสูงถงึ ประมาณ 700 เมตร ท่มี า: สำนกั งานหอพรรณไม้ (2559) 57

ชอ่ื ไทย ก่อ ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Castanopsis spp. ช่อื วงศ์ FAGACEAE ชื่ออ่นื ๆ กอ่ กินหน่วย (ภาคตะวนั ตก) ก่อเดอื ย (เชยี งใหม่) ก่อ หนาม กอ่ แหลม (ภาคเหนอื ) กอ่ หมัด (เลย, เพชรบรู ณ)์ , กอ่ อิด (ภาคอสี าน) ลกั ษณะทว่ั ไป ไม้ต้น ขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ สูง 10-40 เมตร เปลอื กลำตน้ สนี ำ้ ตาลอมเทาหรอื สีน้ำตาลเขม้ เปลอื กแตกเปน็ ร่องและเป็น สะเก็ดตามยาว ใบ รปู รแี กมรูปขอบขนานถงึ รูปใบหยก ดอก ชอ่ ดอกเพศผู้ และเพศเมยี แยกตา่ งชอ่ ดอกเลก็ สีเหลือง ผล รูปทรงกลมหรือป้อม นิเวศวทิ ยาและการกระจายพนั ธ์ุ อินเดยี พม่า ไตห้ วัน ญป่ี นุ่ ภูมภิ าคอินโดจีน ภมู ภิ าคมาเลเซีย ทั่ว ทุกภาคตามปา่ ดิบ ปา่ ดิบเขา และปา่ เบญจพรรณท่ีสูงระหว่าง 800-1,400 เมตร ทีม่ า: สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพด้านป่าไม้ กรมป่าไม้ (2564) 58

ชอ่ื ไทย เปลา้ ใหญ่ ชอ่ื วทิ ยาศาสตร์ Croton persimilis Müll.Arg. ชอ่ื วงศ์ EUPHORBIACEAE ช่อื อ่ืน ๆ ควะวู (กะเหรีย่ ง-กาญจนบุรี) เซง่ เคค่ งั สะกาวา ส่ากู วะ (กะเหร่ยี ง-แม่ฮ่องสอน) เปลา้ หลวง (ภาคเหนอื ) เปลา้ ใหญ่ (ภาคกลาง) เปาะ (กำแพงเพชร) ห้าเย่ิง (เงยี้ ว-แม่ฮ่องสอน) ลกั ษณะทว่ั ไป ไมต้ น้ สูงไดถ้ ึง 15 ม. สง่ิ ปกคลมุ หนาแน่นตามกิ่งออ่ น และก้านดอก ใบรูปขอบขนาน ขอบจกั ฟันเล่อื ย ชอ่ ดอกมีหลายช่อ ดอกช่อ แบบกระจะ ดอกย่อยขนาดเล็กสขี าวอมเขยี ว ผลแหง้ แตก ค่อนข้างกลม สี นำ้ ตาล นเิ วศวทิ ยาและการกระจายพนั ธุ์ พบทอ่ี นิ เดยี เนปาล ภูฏาน บังกลาเทศ พมา่ และภมู ิภาคอนิ โด จีน ในไทยกระจายพบแทบทกุ ภาค ยกเวน้ ภาคใต้ ขึน้ ตามปา่ เบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดบิ แลง้ ความสูงถงึ ประมาณ 1,000 เมตร ที่มา: สำนกั งานหอพรรณไม้ (2559) 59

ช่อื ไทย ตะแบก ชื่อวทิ ยาศาสตร์ Lagerstroemia floribunda Jack var. cuspidata C.B.Clarke ช่ือวงศ์ LYTHRACEAE ชื่ออ่นื ๆ กระแบก (สงขลา) ตราแบกปร้ี (เขมร) ตะแบกไข่ (ราชบุรี ตราด) ตะแบกนา ตะแบก (ภาคกลาง นครราชสมี า) บางอตะมะ กอ (มลาย-ู ยะลา ปตั ตาน)ี เปื๋อยนา (ลำปาง) เปอ๋ื ยหางคา่ ง (แพร)่ ลกั ษณะทั่วไป ไมต้ น้ สงู ถงึ 12 เมตร เปลอื กเรียบเปน็ เงา สเี ทาหรือสี เทาแกมขาว ใบเดี่ยวเรยี งตรงข้าม รูปรีแกมรปู ขอบขนาน ดอกออกเป็นช่อ แบบชอ่ แยกแขนง รูปทรงคลา้ ยพีรามดิ ผลแบบผลแห้งแตก รูปขอบขนาน นิเวศวทิ ยาและการกระจายพนั ธ์ุ ขนึ้ ประปรายในปา่ เบญจพรรณ พน้ื ที่ท่ีคอ่ นขา้ งชมุ่ ชน้ื ทาง ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื ภาคกลาง ส่วนภาคตะวันออกและ ภาคใตม้ ีข้นึ อยู่มากในปา่ ดงดบิ ป่าน้ำทว่ ม และตามท้องนาทว่ั ๆ ไป ท่ีมา: สำนักงานความหลากหลายทางชีวภาพดา้ นปา่ ไม้ กรมป่าไม้ (2564) 60

ชื่อไทย สมอตนี เปด็ ชอ่ื วิทยาศาสตร์ Vitex limonifolia Wall. ex Walp. ช่อื วงศ์ LAMIACEAE ช่อื อน่ื ๆ สวอง (ทว่ั ไป) ตีนนก (เหนือ) สมอตนี เปด็ (ราชบุร)ี สมอนน (ประจวบครี ีขนั ธ์) สมอหลวง (ชลบรุ )ี สวองตนี เปด็ สวองใหญ่ (สระบุร)ี สวองหนิ (นครราชสมี า) ลกั ษณะท่ัวไป ไม้ตน้ ขนาดกลาง สูงถึง 8-17 เมตร ใบประกอบแบบ น้ิวมอื มีใบยอ่ ย 3 ใบ เรียงตรงข้าม ใบยอ่ ยรูปไข่ ปลายใบแหลม ฐานใบรูป ล่ิม ขอบใบเรยี บหรอื มซี ีห่ ยกั ต้ืน ดอกสมี ว่ งคราม ออกเป็นช่อแบบแยก แขนงที่ปลายกิง่ มดี อกย่อยจำนวนมาก ผลสดแบบมีเนอ้ื เมลด็ เดียว ทรง กลม เม่ือสกุ สีม่วงดำ แตกลอ่ นเป็นแผ่นบางคลา้ ยกระดาษ นเิ วศวทิ ยาและการกระจายพนั ธ์ุ พบในปา่ เบญจพรรณ ปา่ ดบิ แล้งและปา่ เต็งรัง ท่ีความสูงจาก ระดับน้ำทะเล 100-800 เมตร ตา่ งประเทศพบในพม่าและภูมภิ าคอนิ โดจนี ท่ีมา: สำนกั งานความหลากหลายทางชวี ภาพดา้ นปา่ ไม้ กรมปา่ ไม้ (2564) 61

จำนวน (ต้น)พื้นที่ป่าไม้โดยภาพรวมทั้งหมดรูปแบบการกระจาย เส้นผ่าศูนย์กลางของต้นไม้ (DBH) เป็นแบบ L-shape (ภาพที่ 14) กล่าวคือ ในพื้นที่มีจำนวนต้นไม้ขนาดเล็กมากกว่าต้นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่ง4.5 -10.0 แสดงให้เห็นว่าป่ามีโครงสร้างตามปกติ โดยไม้เล็กจำนวนมากจะ>10.0-15.0 เจรญิ เตบิ โตทดแทนไมใ้ หญไ่ ด้ในอนาคต (ดอกรกั มารอด และคณะ 2561)>15.0-20.0 >20.0-25.0 300 >25.0-30.0 250 >30.0-35.0 200 >35.0-40.0 150 >40.0-45.0 100 >45.0-50.0 50 >50.0-55.0 >55.0-60.0 0 >60.0-65.0 >65.0-70-0 ภาพท่ี 14 การกระจายของตน้ ไม้ตามชน้ั เส้นผา่ ศนู ย์กลาง (DBH Class) >70.0 62

ปรมิ าณคารบ์ อนท่สี ะสมในมวลชวี ภาพเหนอื ดนิ คารบ์ อนรวมทส่ี ะสมในมวลชีวภาพเหนือดินในแปลงตวั อยา่ ง มี คา่ เทา่ กบั 496.35 ตันตอ่ เฮกตาร์ (tC/ha) โดยมกี ารสะสมคาร์บอนอยู่ ระหวา่ ง 43.94 – 313.88 ตันตอ่ เฮกตาร์ โดยปา่ ในพ้นื ที่เขากระโจมมีการ สะสมคาร์บอนในมวลชีวภาพมากทส่ี ุด (313.88 tC/ha) รองลงมาไดแ้ ก่ พื้นที่ป่าห้วยคอกหมู (138.53 tC/ha) และปา่ ไม้หลังอุทยานธรรมชาติ วิทยาฯ (43.94 tC/ha) ตามลำดับ (ภาพที่ 15) คาร์บอนท่ีสะสม (tC/ha) 350.00 300.00 250.00 ป่าเขากระโจม ปา่ ห้วยคอกหมู ป่าหลังทท่ี ำการอทุ ยาน 200.00 150.00 100.00 50.00 0.00 ภาพที่ 15 ปริมาณคารบ์ อนรวมของไมท้ ี่สะสมในมวลชีวภาพเหนอื ดิน (Aboveground biomass) ภายในบรเิ วณพ้ืนท่ี อทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ ท้งั 3 แหง่ 63

แหล่งสะสมคารบ์ อนในมวลชีวภาพเหนือดินส่วนใหญ่จะสะสม อยู่ในลำตน้ ซงึ่ สะสมอย่ปู ระมาณรอ้ ยละ 70 ของคารบ์ อนท้งั หมดในมวล ชีวภาพ และสะสมในองค์ประกอบอนื่ ๆ ของพืช ไดแ้ ก่ กิ่ง และใบ (ภาพที่ 16) คารบ์ อนที่สะสมในส่วนประกอบต่าง ๆ เหลา่ นม้ี ีปรมิ าณทแ่ี ตกต่างกนั โดยในปา่ ท้ังสามที่ได้มีการศึกษาในครง้ั นี้มีสดั ส่วนการสะสมคาร์บอนท่ี เปน็ ไปในทางเดียวกัน คือ คาร์บอนสว่ นใหญถ่ กู สะสมอยู่ในลำต้น รองลงมา ไดแ้ ก่ ก่งิ และใบตามลำดบั (ภาพท่ี 17) ภาพท่ี 16 แหล่งสะสมคารบ์ อนหลักในมวลชวี ภาพเหนือดนิ ของปา่ ไมโ้ ดยคารบ์ อนสว่ นใหญ่สะสมใน (ก.) ลำต้น (ข.) ก่ิง และ (ค.) ใบ ตามลำดับ 64

ภาพท่ี 17 สัดสว่ นคาร์บอนทสี่ ะสมในมวลชวี ภาพเหนอื ดิน ในป่าไมบ้ ริเวณพนื้ ท่ีอทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ ทั้ง 3 แหง่ (ก) ป่าเขากระโจม (ข) ป่าห้วยคอกหมู (ข) และ (ค) ปา่ หลังท่ที ำการอทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ 65

ปริมาณคาร์บอนท่ีสะสมในดนิ คาร์บอนที่สะสมในดินมี 2 รูปแบบ ได้แก่ คาร์บอนอินทรีย์ (Organic Carbon) และคาร์บอนอนินทรีย์ (Inorganic Carbon) การวัด ปริมาณคาร์บอนที่สะสมในป่าไม้ของพื้นที่อุทยานธรรมชาติวิทยาฯ มุ่ง สนใจคาร์บอนอินทรีย์ที่สะสมในดิน ซึ่งเป็นคาร์บอนที่ได้จากการย่อยสลาย ของเศษซากและอินทรียวตั ถุในดินเปน็ หลกั ดินในป่าของพื้นที่อุทยานธรรมชาติวิทยาฯ ทั้ง 3 แห่ง มีปริมาณ คาร์บอนอินทรีย์ในดินอยู่ระหว่าง 0.5 – 7.0 % และปริมาณคาร์บอนเฉล่ีย ในดนิ มีคา่ อยู่ระหว่าง 1.35 – 3.59% โดยป่าเขากระโจมมีปรมิ าณคาร์บอน อินทรีย์เฉลี่ยมากที่สุด (3.59%) รองลงมาได้แก่ ป่าห้วยคอกหมู (1.79%) และปา่ หลังที่ทำการอทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ (1.35%) ตามลำดับ ภาพท่ี 18 ปริมาณคารบ์ อนอินทรียใ์ นดิน บรเิ วณพ้นื ทีอ่ ทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ ทัง้ 3 แห่ง 66

ท่ีระดับความลึก 1 เมตร พน้ื ที่ปา่ ทัง้ 3 แหง่ ของอทุ ยานธรรมชาติ วทิ ยาฯ มคี ารบ์ อนสะสมในดนิ เท่ากับ 129.41 ตนั ต่อเฮกตาร์ พน้ื ท่ปี ่าไมท้ ง้ั 3 แหง่ มกี ารสะสมคาร์บอนในดินในปรมิ าณทีแ่ ตกตา่ งกนั (ภาพท่ี 19) โดย ป่าเขากระโจมมปี รมิ าณคาร์บอนสะสมในดินมากทส่ี ุด (181.36 tC/ha) รองลงมาคอื ป่าห้วยคอกหมู (112.12 tC/ha) และปา่ หลงั ทที่ ำการอทุ ยาน ธรรมชาติวทิ ยาฯ (103.40 tC/ha) ตามลำดบั ภาพท่ี 19 ปริมาณคารบ์ อนท่สี ะสมในดนิ ทีร่ ะดบั ความลึก 1 เมตร บรเิ วณพ้ืนทีอ่ ทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ ทัง้ 3 แห่ง 67

ปรมิ าณกา๊ ซคารบ์ อนไดออกไซดท์ ่ีถกู ดูดซบั เมอื่ นำปรมิ าณคารบ์ อนทง้ั หมด (มวลชวี ภาพ + ดิน) ของพ้นื ทปี่ า่ ไม้ในอทุ ยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ ทง้ั 3 แห่ง มาประเมนิ ความสามารถในการ ดูดซบั กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ พบว่าพืน้ ทีป่ า่ ไม้ทงั้ 3 แห่ง สามารถดดู ซบั ปรมิ าณก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์มีค่าเฉลย่ี เทา่ กับ 622.62 tCO2/ha โดยปา่ เขากระโจมมีค่าการดูดซบั คารบ์ อนไดออกไซดส์ ูงที่สุด (952.70 tCO2/ha) รองลงมาคือปา่ ห้วยคอกหมู (495.76 tCO2/ha) และ ปา่ หลังทที่ ำการฯ (419.39 tCO2/ha) ตามลำดับ ภาพที่ 20 ปริมาณคาร์บอนทถี่ ูกดดู ซับของพื้นที่ป่าไม้ ในบริเวณพื้นท่อี ุทยานธรรมชาตวิ ิทยาฯ ทง้ั 3 แหง่ 68

แนวทางการศึกษา การสะสมคาร์บอน ในพ้ืนที่ป่าไม้ • การวางแปลงเกบ็ ตวั อย่าง • การเกบ็ ตัวอยา่ งขอ้ มูลพรรณไม้ • การเกบ็ ตัวอย่างดนิ • การเตรยี มและวิเคราะห์ตวั อยา่ งดิน • การคำนวณคารบ์ อนในดนิ • การคำนวณคารบ์ อนในมวลชวี ภาพ 69

70

3 แนวทางการศึกษาคาร์บอนทสี่ ะสมในพ้นื ที่ปา่ ไม้ การศกึ ษาการสะสมคาร์บอนในพ้ืนทปี่ า่ ไม้ประกอบไปดว้ ย 2 ส่วนหลกั คอื การออกภาคสนามเก็บตวั อย่าง และการนำตวั อยา่ งและ ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากภาคสนามกลับมาวเิ คราะห์ทห่ี อ้ งปฏบิ ัติการ ซ่งึ ข้อมลู ดบิ ที่ ไดม้ าจากการวางแผนทด่ี ี และมกี ารจดบันทึก (Datasheet) อยา่ งละเอียด โดยรายละเอยี ดขนั้ ตอนต่าง ๆ มดี ังนี้ การวางแปลง การเกบ็ ตวั อย่างข้อมูล พรรณไม้ การเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ การวิเคราะห์ตัวอยา่ งดิน การประเมิน คารบ์ อนทสี่ ะสมในมวลชีวภาพและในดิน และการวิเคราะห์โครงสรา้ งทาง สงั คมของป่าไม้ ในแต่ละขนั้ ตอนมีรายละเอียดแนวทางการดำเนนิ การ ดงั ตอ่ ไปน้ี 71

ภาพที่ 21 การวางแปลงเพ่อื เกบ็ ตวั อย่างในพ้นื ท่ีปา่ ไม้ 72

การวางแปลงเกบ็ ตวั อย่าง การวางแปลงเก็บตัวอย่างเป็นการกำหนดขอบเขตเพื่อเลือก พื้นที่ตัวแทนของระบบนิเวศในการศึกษาค่าทางนิเวศวิทยา มวลชีวภาพ และปริมาณคาร์บอน การศึกษาโครงสร้างป่าโดยส่วนใหญ่แล้วจะนิยมวาง แปลงรูปสเ่ี หลย่ี มจัตุรัส (quadrats) ทข่ี นาดตา่ ง ๆ เช่น 100x100, 40x40, 20x20 เมตร เป็นต้น สำหรับการศึกษาครั้งนี้ได้ใช้แปลงตัวอย่างขนาด 20x20 เมตร โดยพิจารณาจากกำลังคนที่มีอยู่ รวมทั้งสภาพพื้นที่ป่าที่ทำ การวางแปลง ขนาดแปลงมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง การวางแปลงจำเป็นต้องใช้ เข็มทิศและเชือกเป็นอุปกรณ์ช่วยให้ได้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสและเห็นขอบเขต ทีช่ ัดเจน 73

ภาพท่ี 22 การเกบ็ ตัวอยา่ งขอ้ มูลพรรณไม้ และการวดั เสน้ ผา่ ศูนยก์ ลางของตน้ ไมท้ ่รี ะดับอกโดยใช้ diameter tape 74

การเกบ็ ตวั อย่างขอ้ มูลพรรณไม้ ข้อมูลพรรณไม้ที่จำเป็นสำหรับการศึกษาปริมาณคาร์บอนใน ระบบนิเวศป่าไม้ ได้แก่ ชนิดพันธุ์ไม้ในแปลง ความสูง และความโตของ ต้นไม้ สำหรับความโตของต้นไม้นิยมวัดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับ 1.30 เมตร เรียกว่า เส้นผ่าศูนย์กลางระดับอก (Diameter at breaths height; DBH) ซึ่งใช้ diameter tape ในการวัด (ภาพที่ 22) สำหรับข้อมูลความสูงของต้นไม้สามารถวัดโดยเครื่องวัดมุมเอียง (Clinometer; ภาพที่ 23) โดยยืนห่างจากต้นไม้ที่ต้องการจะวัดความสูง ประมาณ 20 เมตร จากนั้นใช้เครื่องวัดมุมเอียงเล็งไปที่ยอดไม้ อ่านค่าที่ได้ จากช่องเล็งของเครื่องวัดมุมเอียง บันทึกมุมและระยะห่างจากลำต้นเพื่อ นำไปคำนวณหาความสูงตามหลักของปีทาโกรัส (ภาพท่ี 24) ภาพที่ 23 การใช้เครือ่ งวดั มุมเอียง (clinometer) วดั ความสงู ของตน้ ไม้ 75

ภาพที่ 24 การหาความสูงของของตน้ ไม้โดยใชเ้ ครือ่ งวดั มมุ เอยี ง SUUNTO PM5/360 ท่มี า: ดัดแปลงมาจาก SUUNTO (2021) ขั้นตอนการคำนวณความสงู (โดยใช้ SUUNTO-PM5/360) • วดั ระยะห่างจากโคนตน้ ถึงจดุ ทว่ี ดั มมุ (d) • อ่านคา่ มมุ ทวี่ ัดไดจ้ ากเครอื่ งวัดมุมเอยี ง (c) • คำนวณหาความสงู (h) โดยใช้สูตร h = c x d • ความสูงของต้นไม้ (H) สามารถหาได้จากการบวกความสูงใน ระดับสายตา (i) กับ ความสูงที่คำนวณได้จากเครื่องวัดมุมเอียง (h) โดยใช้สตู ร H = h + i 76

การเก็บตัวอยา่ งดนิ การเก็บตัวอย่างดินทำได้โดยเก็บตัวอย่างดินที่ 2 ระดับความลึก ไดแ้ ก่ 0 – 30 ซม. และ 30 – 100 ซม. ประกอบไปด้วย 2 วิธี ดงั นี้ วิธีที่ 1 การเก็บตัวอย่างดินแบบรบกวนโครงสร้างดิน (disturbed sample) ทำได้โดยการวางจุดเก็บตัวอย่าง 3 จุด เป็นรูป สามเหลี่ยมภายในแปลง (ภาพที่ 25) จากนั้นเก็บตัวอย่างโดยใช้สว่านเจาะ ดิน (auger) หากไม่มีสามารถประยุกต์ใช้กระบอกเหล็กแทนได้ เพื่อให้ได้ ดินในทุกชั้นความลึกตามต้องการ เมื่อเก็บครบ 3 จุดแล้วแล้วนำตัวอย่าง ดินมาผสมกันเป็นตัวอย่างแบบผสมรวม (composited sample) เพื่อลด ความคลาดเคลื่อนที่จะเกิดจากความไม่เป็นเนื้อเดียวกันของดิน (Allmaras & Kempthorne, 2002) ภาพที่ 25 การวางจุดเกบ็ ตวั อยา่ ง ภาพที่ 26 การเกบ็ ตัวอยา่ งดนิ ดินในแปลงขนาด 20x20 เมตร แบบรบกวนโครงสร้าง 77

วิธีที่ 2 การเก็บตัวอย่างดินแบบไม่รบกวนโครงสร้าง (undisturbed sample) ทำได้โดยใช้กระบอกเก็บดิน (soil core) ตอกลง ไปในดินตรงบริเวณกึ่งกลางระหว่างจุดเก็บตัวอย่างดินแบบรบกวน โครงสร้าง (ภาพที่ 26) จากนั้นขุดเอากระบอกเก็บดินขึ้นมาอย่าง ระมัดระวังไม่ให้ดินภายในกระบอกเก็บดินหลุดออก ใช้มีดปาดดินส่วนเกิน ออกไปและใช้ถุงพลาสติกมัดปิดปลายทั้งสองด้านเพื่อนำไปวิเคราะห์หา ความหนาแน่นในหอ้ งปฏิบัตกิ ารตอ่ ไป ภาพท่ี 27 การเกบ็ ตวั อยา่ งดนิ แบบไมร่ บกวนโครงสร้าง 78

การเตรยี มและวเิ คราะห์ตัวอย่างดนิ ตัวอย่างดินจากภาคสนามนำมาเตรียมในห้องปฏิบัติการเพื่อทำ การวิเคราะห์สมบัติต่าง ๆ ของดิน สำหรับตัวอย่างดินที่เก็บแบบไม่รบกวน โครงสร้าง ให้นำมาทำความสะอาดเอาดินส่วนเกินออกไป จากนั้นห่อด้วย แผ่นฟอยล์อลูมิเนียม แล้วนำไปอบในตู้อบลมร้อนที่อุณหภูมิ 105 องศา เซลเซียส เป็นเวลา 48 ชั่วโมง หรือจนกระทั่งน้ำหนักคงที่ จากนั้นนำมาช่ัง หาน้ำหนักแห้งเพื่อคำนวณค่าความหนาแน่นของดิน (bulk density) โดย มสี ูตรสำหรับการคำนวณ ดังนี้ (ชิงชัย วริ ิยะบญั ชา, 2563) โดย Db = ความหนาแนน่ รวมของดิน (g/cm3) Ms = มวลดนิ ท่ีแห้งสนทิ (g) Vb= ปรมิ าตรรวมของดิน (cm3) 79

ตวั อยา่ งดินทไี่ ดจ้ ากเกบ็ ตัวอย่างแบบรบกวนโครงสรา้ ง ให้นำมา ผ่ึงลมใหแ้ หง้ ในท่รี ่ม ประมาณ 1 – 2 วนั จากนน้ั บดดนิ ให้ละเอียดและร่อน ผ่านตระแกรงขนาดรูมีความกว้าง 2 มิลลิเมตร แล้วนำตัวอย่างดินไปชั่งให้ ได้น้ำหนักประมาณ 0.5 – 1.0 กรัม ซึ่งพิจารณาตามสีดิน โดยดินที่มีสีดำ ให้ชั่งน้ำหนักประมาณ 0.5 มิลลิเมตร หรือน้อยกว่า เนื่องจากดินอาจมี คาร์บอนในปริมาณสูง จากนั้นนำตัวอย่างดินมาวิเคราะห์หาปริมาณ คาร์บอนอินทรีย์ในดินโดยวิธี wet oxidation (Walkley & Black, 1934) ดงั แสดงในภาพท่ี 28 ภาพท่ี 28 การวิเคราะหาคารบ์ อนอินทรยี ใ์ นดนิ ดว้ ยวิธี Wet oxidation 80

การคำนวณคาร์บอนในดนิ ปริมาณคาร์บอนที่วิเคราะห์ได้ตามวิธี Wet oxidation อยู่ในรูป เปอร์เซ็นต์คาร์บอน (%OC) นำมาคำนวณหาปริมาณคาร์บอนที่สะสม (tC/ha) ตามวิธีการของ ชิงชัย วิริยะบัญชา และคณะ (2554) โดยใช้ สมการดังต่อไปนี้ Carbon stock คอื ปรมิ าณคารบ์ อนทสี่ ะสม (tC/ha) BD คือ ความหนาแน่นของดนิ (g/cm3 หรอื t/m3) Vsoil คือ ปริมาตรของดิน (m3/ha) %OC คือ คา่ รอ้ ยละของคารบ์ อนทีไ่ ดจ้ าก Wet oxidation การคำนวณหาปริมาตรของดินสามารถหาไดจ้ ากปริมาตรดนิ ของพน้ื ท่ี 1 เฮกตาร์ (ha) ซึ่งคิดเป็นพน้ื ที่ 10,000 ตารางเมตร (100 m x 100 m) ทม่ี ีความหนา 30 เซนตเิ มตร ดังน้ี Vsoil = ปรมิ าตรของดิน Vsoil = ความกวา้ ง x ความยาว x ความลึก Vsoil = 100 x 100 x 0.3 Vsoil = 3,000 m3/ha วิธกี ารดงั กล่าวคำนวณหาปรมิ าตรของดนิ ในชน้ั ลา่ งซง่ึ มีความลึก 0 – 30 และ 30 – 100 ซม. ไดป้ รมิ าตรเทา่ กบั 3,000 และ 7,000 m3/ha ตามลำดับ 81

การคำนวณคาร์บอนในมวลชีวภาพ การประเมินคาร์บอนที่สะสมในมวลชีวภาพสามารถหาได้จาก การใช้สมการแอลโลเมตริก (Allometric equation) คำนวณหามวล ชีวภาพที่สะสมในส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้เสียก่อน จากนั้นจึงใช้ค่ามวล ชีวภาพที่คำนวณได้ไปคำนวณหาปริมาณคาร์บอนที่สะสมอีกครั้งหนึ่ง ข้อมูลที่มีความสำคัญสำหรับการคำนวณหามวลชีวภาพ ได้แก่ ขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางระดับอก (DBH) และความสูงของต้นไม้ (H) การได้มาซ่ึง ข้อมูลท้ังสองได้กลา่ วไวแ้ ลว้ ในหัวขอ้ การเกบ็ ตัวอย่างขอ้ มลู พรรณไม้ สมการแอลโลเมตริกที่นำมาใช้ในการคำนวณหามวลชีวภาพ จะ ยึดถือสมการแอลโลเมตริกในป่าประเภทต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้ใน “คู่มือ การศึกษาแหล่งสะสมคาร์บอนในพื้นที่ป่าธรรมชาติ” ของ ชิงชัย วิริยะ บัญชา (2563) ซึ่งนำมาใช้เฉพาะบางส่วนสำหรับพืชหรือชนิดป่าไม้ที่พบใน บรเิ วณพื้นทอ่ี ทุ ยานธรรมชาติวทิ ยาฯ ทงั้ 3 แหง่ โดยมรี ายละเอยี ดดังแสดง ในตารางที่ 5 82

ตารางท่ี 4 สมการแอลโลเมตริกในปา่ ประเภทต่าง ๆ ท่นี ำมาใชใ้ นการ คำนวณหามวลชีวภาพ ชนิดป่า/ชนดิ ไม้ สมการ เอกสารอ้างองิ ป่าดิบแลง้ WS = 0.0509 (D2H)0.919 Tsutsumi et al. (1983) WB = 0.00893 (D2H)0.977 WL = 0.014 (D2H)0.669 ป่าเบญจพรรณและปา่ WS = 0.0396 (D2H)0.933 Ogawa et al. (1965) เต็งรัง WB = 0.00349 (D2H)1.03 WL =WS / (22.5 + 0.025 WS) เถาวลั ยท์ ่ีมีเนอื้ ไม้ AGB = 0.8622 (D)2.0210 ชิงชัย วิรยิ ะบญั ชา และคณะ (2554) กล้วยป่า AGB = 0.0098 (D)2.2750 ชงิ ชัย วริ ยิ ะบัญชา และคณะ (2560) พรรณไมว้ งศป์ าล์ม WT = 6.666+12.826(H0.5) (ln Pearson et al., (2005) H) ดัดแปลงมาจาก ชิงชัย วริ ยิ ะบัญชา (2563) โดย WB หมายถึง น้ำแห้งของกิง่ (kg) D หมายถึง ขนาดเส้นผ่าศนู ย์กลางระดับ WL หมายถึง น้ำแหง้ ของใบ (kg) อก WT หมายถงึ นำ้ แหง้ ของลำตน้ (kg) H หมายถึง ความสูงของต้นไม้ AGB หมายถึง มวลชีวภาพเหนือดิน (kg) WS หมายถงึ น้ำแหง้ ของลำตน้ (kg) 83

มวลชีวภาพท่ไี ดจ้ ากการคำนวณดว้ ยสมการแอลโลเมตรกิ นำมา คำนวณหาปริมาณคาร์บอน (tC) และการดดู ซับคาร์บอนไดออกไซด์ (tCO2) (สมศักด์ิ สขุ วงศ์, 2559) ตัวอยา่ ง การคำนวณปรมิ าณคาร์บอนทส่ี ะสมในมวลชีวภาพ ปริมาณคาร์บอน (C) = 0.5 x มวลชวี ภาพ (กก.) สมมตวิ ่ามวลชีวภาพของต้นประดูท่ คี่ ำนวณไดเ้ ทา่ กับ 1,800 กก. น้ำหนักแหง้ เทา่ กบั 1,800/1,000 = 1.8 ตัน จากนัน้ น้ำหนกั แห้งมาคำนวณปริมาณคาร์บอน ตามสตู ร ปริมาณคารบ์ อน = 0.5 x 1.8 ตนั ปรมิ าณคารบ์ อน = 0.9 ตันคาร์บอน ดงั น้ันต้นประดู่สะสมคาร์บอนในมวลชวี ภาพ = 0.9 ตนั คารบ์ อน ตวั อยา่ ง การคำนวณการดูดซบั คารบ์ อนไดออกไซดจ์ ากมวลชีวภาพ ค่ามวลชีวภาพที่มีหน่วยเป็นตันคาร์บอน (tC) สามารถนำมา คำนวณหาคา่ ปริมาณการดดู ซับก๊าซคารบ์ อนไดออกไซด์ ดงั สูตร การดดู ซบั CO2 = หนว่ ยเป็น tCO2 การดดู ซบั CO2 ของต้นประดู่ = (0.9 x 44)/12 = 3.3 tCO2 ตน้ ประดมู่ กี ารการดดู ซบั กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ เทา่ กับ 3.3 tCO2 84

บรรณานุกรม Allmaras, R. R., & Kempthorne, O. (2002). 1.3 Errors, Variability, and Precision. In J. H. Dane & C. G. Topp (Eds.), Methods of Soil Analysis: Part 4 Physical Methods (pp. 15–44). Soil Science Society of America. https://doi.org/10.2136/sssabookser5.4.c3 CMG Landscape Architecture. (2021). Tree-Carbon-Cycle. https://4hj1r48qig3mfn982o8bfrzr-wpengine.netdna- ssl.com/wp-content/uploads/2018/04/Tree-Carbon-Cycle- 02.jpg FAO. (2020). Global Forest Resources Assessment 2020: Main report. Food and Agricultural of the United Nations. https://doi.org/https://doi.org/10.4060/ca9825en FAO and UNEP. (2020). The State of the World’s Forests 2020. Forests, biodiversity and people. https://doi.org/https://doi.org/10.4060/ca8642en Hoover, K., & Riddle, A. A. (2020). Forest carbon primer. In Congressional Research Service: Washington, DC, USA. IPCC. (2003). Good Practice Guidance for Land Use,Land-Use Change and Forestry. The Institute for Global Environmental Strategies (IGES). IPCC. (2007). Climate change 2007 – Impacts, Adaptation and Vulnerability. Cambridge University Press. Lal, R. (2005). Forest soils and carbon sequestration. Forest Ecology and Management, 220(1), 242–258. https://doi.org/https://doi.org/10.1016/j.foreco.2005.08.015 85

บรรณานกุ รม (ตอ่ ) Ogawa, H., Yoda, K., Ogino, K., & Kira, T. (1965). Comparative ecological studies on three main types of forest vegetation in Thailand. II. Plant biomass. Nature and Life in South East Asia, 4, 49–80. Pearson, T., Walker, S., & Brown, S. (2005). Sourcebook for land use, land-use change and forestry projects. Winrock International Inst. for Agricultural Development. SUUNTO. (2021). SUUNTO PM-5 USER GUIDE. User Guides - Get the Most of Your Suunto Product. https://www.suunto.com/Support/User-guides/Suunto-PM- 5/6386 Tsutsumi, T., Yoda, K., Sahunalu, P., Dhanmanonda, P., & Prachaiyo, B. (1983). Forest : Felling, Burning and Regeneration in Shifting Cultivation: An Experiment at Nam Phrom, Northeast Thailand and Its Implications for Upland Farming in the Monsoon Tropics. In Bangkok. Walkley, A., & Black, I. A. (1934). An Examination of the Degtjareff Method for Determining Soil Organic Matter, and a Proposed Modification of the Chromic Acid Titration Method. Soil Science, 37(1), 29–38. https://journals.lww.com/soilsci/Fulltext/1934/01000/AN_EXA MINATION_OF_THE_DEGTJAREFF_METHOD_FOR.3.aspx กรมอทุ ยานแหง่ ชาติสตั วป์ า่ และพันธพุ์ ืช. (2563). โครงการอทุ ยานธรรมชาตวิ ทิ ยา อนั เนื่องมาจากพระราชดาริ อาเภอสวนผึ้ง จงั หวัดราชบรุ ี. https://www.dnp.go.th/kingdnp/pdf/nt6.pdf 86

บรรณานกุ รม (ต่อ) การไฟฟา้ สว่ นภมู ิภาค. (2564). ปรากฏการณเ์ รือนกระจก. โครงการสำนักงานสเี ขียว (Green Office). https://www.pea.co.th/s1/greenoffice/ArtMID/13670/ArticleID/ 120674/ปรากฏการณ์เรอื นกระจก ดอกรัก มารอด, สถติ ถนิ่ กำแพง, จกั รพงษ์ ทองสว,ี วงศธร พ่มุ พวง, ถาวร กอ่ เกิด, สุธีระ เหิมฮึก และ อคั รพงษ์ นาคถนอม (2561). โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบพรรณไม้ป่าดบิ แล้ง สถานีวจิ ัยและฝกึ นิสติ วนศาสตรว์ ังนำ้ เขยี ว จังหวัดนครราชสีมา. วารสารวจิ ัยนิเวศวิทยาป่าไมเ้ มอื งไทย, 2(1), 45–54. ชงิ ชยั วิริยะบญั ชา (2563). คมู่ อื การศกึ ษาแหลง่ สะสมคาร์บอนในพน้ื ท่ปี า่ ธรรมชาติ. สำนกั วจิ ัยการอนุรกั ษป์ า่ ไม้และพนั ธ์พุ ชื , กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพันธพุ์ ืช. ชงิ ชัย วิริยะบญั ชา, วิโรจน์ รัตนพรเจรญิ , และ ภาณมุ าศ ลาดปาละ (2560). สมการ ประมาณมวลชวี ภาพเหนอื พื้นดนิ ของพันธไุ์ มร้ องบางชนิดในพน้ื ท่ีป่า ธรรมชาต.ิ การประชุมวิชาการ และนาเสนอผลงานวชิ าการเครือข่าย งานวจิ ัยนิเวศวิทยาปา่ ไม้ประเทศไทย ครั้งท่ี 6: ณ สง่ิ แวดล้อมและ ทรัพยากรศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยมหดิ ล นครปฐม ระหวา่ ง วันท่ี 19-20 มกราคม พ.ศ. 2560. ชิงชัย วริ ิยะบญั ชา, ภาณุมาศ ลาดปาละ และวฒั นา ศักดช์ิ วู งษ์ (2554). การสะสม คาร์บอนของเถาวัลย์ในปา่ ธรรมชาติ ณ อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน. การประชุมวิชาการระดับชาติ เรือ่ ง ประเทศไทยกับภูมอิ ากาศโลก ครง้ั ที่ 2 : การเปล่ยี นกระบวนทศั น์สู่เศรษฐกจิ สเี ขยี ว วนั ท่ี 18 - 19 สิงหาคม 2554, 23 p. 87

บรรณานุกรม (ต่อ) สำนักงานความหลากหลายทางชวี ภาพด้านป่าไม้ กรมปา่ ไม.้ (2564a). พืช. http://biodiversity.forest.go.th/index.php?option=com_dofpla nt&id=87&view=showone&Itemid=59&fbclid=IwAR3vkqZvSQS U--LUEUe3eBH3GJmGRFmI2fGpOSoz7VgxfRILm-fuAx2-q48 สำนกั งานหอพรรณไม.้ (2559). สารานกุ รมพชื ในประเทศไทย (ฉบับยอ่ ). กลุม่ งาน พฤกษศาสตรป์ ่าไม,้ สำนักวจิ ยั การอนรุ กั ษป์ า่ ไมแ้ ละพันธุพ์ ืช, กรมอทุ ยาน แห่งชาติ สตั ว์ป่า และพันธพ์ุ ชื . https://www.dnp.go.th/botany/detaildict.html?wordsLinkno=3 544&words=เปล้าใหญ&่ typeword=word สำนักจดั การที่ดินปา่ ไม้. (2563). โครงการจดั ทำขอ้ มูลสภาพพน้ื ท่ีป่าไม้ ปี พ.ศ. 2563. กรมปา่ ไม้ กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดล้อม. สำนกั อธิบดกี รมพัฒนาที่ดนิ กรมพัฒนาทีด่ นิ . (2562). LDDNEWS. http://ofs101.ldd.go.th/LDDNews/RAPHOTO/photocontent.asp ?photosid=25620128_01 สมศักด์ิ สขุ วงศ์ (2559). การวดั ปริมาณการกกั เก็บธาตคุ าร์บอนของตน้ ไมใ้ นภมู ทิ ศั น์ โหนด นา เล. สถาบันลูกโลกสเี ขียว. https://www.greenglobeinstitute.com/Frontend/Content.aspx ?ContentID=06872c7d-003a-444b-9d8f-32d5f8d6a7a0 88

คณะทำงาน คณะวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภฏั หม่บู ้านจอมบึง อาจารย์ ดร.อเุ ทน จนั ละบตุ ร อาจารย์ (หวั หนา้ โครงการ) นายชายรัก ไทรสังขกมล นักศกึ ษาชว่ ยงาน นายสิทธิโชค เกล้ยี งแก้ว นักศกึ ษาชว่ ยงาน นางสาวชนากานต์ ห้วยหงษท์ อง นกั ศกึ ษาช่วยงาน นางสาวประภสั สร ซยุ ยะกจิ นักศกึ ษาช่วยงาน สาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันวจิ ัย พฒั นา และสาธิตการศึกษา มหาวทิ ยาลัยศรนี ครนิ ทรวโิ รฒ องครักษ์ อาจารย์ ดร.เบญจวรรณ นาหก อาจารย์ (ผูช้ ว่ ยโครงการ) อทุ ยานธรรมชาติวิทยาตามพระราชดำริสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี อ.สวนผึง้ จังหวดั ราชบุรี นายสุเทพ ไกรเทพ หัวหนา้ อุทยานธรรมชาติวทิ ยาฯ นางสาวเพญ็ ประภา อิ่มโอษฐ์ เจา้ หนา้ ท่โี ครงการฯ (ประสานงาน) นายอนุวฒั น์ วงั โส เจา้ หนา้ ทโี่ ครงการฯ (ผู้นำทางเข้าพื้นท)ี่ นายประสงค์ แมต่ าล เจ้าหน้าทโ่ี ครงการฯ (ผ้เู ชย่ี วชาญพรรณไม)้ นายพิพฒั น์ เกดิ ป้าน เจา้ หนา้ ที่โครงการฯ (ผขู้ บั รถข้นึ ห้วยคอกหม)ู นายสุฤทธ์ิ มีบญุ พรานปา่ ผู้นำทางและบอกขอ้ มลู พรรณไม้ นายชยั ธัญ วังโส คนขบั รถเชา่ -เหมา ขึน้ เขากระโจม กองพลพฒั นาท่ี 1 ร.อ.วัลลภ สมร หวั หนา้ ชุดปฏิบัตกิ ารโครงการอทุ ยาน และคณะ ธรรมชาตวิ ทิ ยาฯ 89

ประมวลภาพการทำงาน 90

91


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook