ระบบภูมคิ ้มุ กัน (immunity system) ภูมคิ ุ้มกนั ท่มี มี าแตก่ าํ เนดิ (Innate Immunity) • ระบบปกคลมุ รา่ งกาย (ผิวหนัง) ü ตอ่ มผลติ นา้ํ มนั และตอ่ มเหงอื่ จะหลัง่ สารช่วยทาํ ใหผ้ วิ หนังมีคา่ pH 3-5 ซงึ่ สามารถยบั ยงั้ การ เจริญเตบิ โตของจุลินทรียห์ ลายชนิดได้ ü เหงอ่ื นํ้าตาและนํา้ ลายมไี ลโซไซม์(Lysozyme) ซึง่ สามารถทาํ ลาย แบคทีเรยี บางชนิดได้ ü ผิวหนัง เป็นแหลง่ ที่อยู่ของแบคทีเรยี และเชอ้ื ราทไ่ี ม่กอ่ ใหเ้ กดิ โรค ซึง่ ชว่ ย ปอ้ งกันไมใ่ ห้แบคทเี รีย ทกี่ อ่ ให้เกดิ โรคเข้าไปในร่างกายได้งา่ ย üผนงั ด้านในของอวยั วะทางเดนิ อาหาร อวยั วะหายใจ และอวยั วะขับถา่ ย (ปสั สาวะ) ประกอบด้วย เซลล์ทส่ี ามารถสรา้ งเมอื ก (Mucus) เพอ่ื ดักจบั จุลินทรีย์ได้ รวมถงึ กรดไฮโดรคลอริกในกระเพาะ อาหารก็สามารถทําลาย แบคทเี รียบางชนดิ ได้
ระบบภูมคิ ้มุ กัน (immunity system) ภมู ิคุ้มกนั ท่มี มี าแตก่ ําเนดิ (Innate Immunity) • ภูมคิ มุ้ กนั แบบไมจ่ ําเพาะ(NonspecificImmunity) § เมด็ เลือดขาว 3 ชนดิ ทีเ่ กี่ยวข้องกบั ระบบภมู ิค้มุ กันแบบไมจ่ าํ เพาะ 1. นิวโทรฟิล (Neutrophil) 2. แมโครฟาจ (Macrophage) 3. Natural Killer Cell (NK Cell) § การอักเสบ เกิดโดยการหลั่งสารฮสี ทามีน (Histamine) ซ่ึงจะทาํ ใหเ้ ลือดไหลไปยัง บรเิ วณท่ี อักเสบมากขึน้ รวมทงั้ หลอดเลอื ดฝอยบริเวณดงั กล่าวจะยอมใหส้ ารต่างๆ ผ่านเขา้ -ออกไดม้ ากขึน้ § การเป็นไข้ (Fever) จะไปกระตนุ้ การทาํ งานของเม็ดเลือดขาวกลมุ่ ฟาโกไซต์ (Phagocyte) เพ่ือ ไปยับยง้ั การเจริญเติบโตของจุลนิ ทรยี ์นนั้ ๆ § อินเทอร์เฟอรอน (Interferon) จะป้องกนั การติดเชือ้ จากไวรัสโดยการทําลาย RNA ของไวรัส ชนิดนั้นๆ
ระบบภมู ิคุ้มกัน (immunity system) กลไกการอกั เสบ (inflammatory system)
ระบบภูมิคมุ้ กัน (immunity system) ภมู คิ ุ้มกันท่เี กิดขึน้ หลังกาํ เนิด (Acquired Immunity) • ภมู ิคมุ้ กนั แบบจําเพาะ (Specific Immunity) üเป็นการทาํ งานของเมด็ เลอื ดขาวกลุ่มลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte) โดยการสรา้ ง แอนติบอดี (Antibody) ซ่งึ เปน็ สารประเภทโปรตนี ขึน้ มาต่อตา้ นเชอ้ื โรคหรือสง่ิ แปลกปลอม (Antigen) ที่เขา้ ส่รู ่างกาย üเม็ดเลือดขาวกลุ่มลมิ โฟไซต์ (Lymphocyte) มีตัวรบั อยบู่ ริเวณเย่อื หุม้ เซลล์ ซงึ่ สามารถจดจาํ ชนิด ของแอนตเิ จนได้และทําใหเ้ กิดภมู ิคุ้มกันแบบจาํ เพาะ üอวัยวะทสี่ ง่ เสรมิ ระบบภูมิคุ้มกันแบบจําเพาะ ประกอบดว้ ย อวัยวะน้ําเหลอื ง ปฐมภมู ิ และอวยั วะนา้ํ เหลืองทตุ ยิ ภูมิ
ระบบภมู ิคุ้มกัน (immunity system) ภมู คิ ุ้มกันทีเ่ กิดขนึ้ หลังกาํ เนิด (Acquired Immunity) • อวัยวะนา้ํ เหลืองปฐมภมู ิ ทําหนา้ ท่สี ร้างเซลล์เมด็ เลือดขาว ได้แก่ ไขกระดูก (Bone Marrow) ต่อมไทมสั (Thymus) • อวยั วะนาํ้ เหลอื งทตุ ิยภูมทิ ําหน้าที่กรองแอนตเิ จน (จุลนิ ทรีย์ตา่ งๆ เช่น แบคทีเรยี ) ได้แก่ ม้าม (Spleen) ต่อมน้ําเหลอื ง (Lymph Node) เนอ้ื เยอื่ นาํ้ เหลืองทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับ การสร้างเมอื ก (Mucosal- Associated Lymphoid Tissue : MALT) ได้แก่ ต่อม ทอนซลิ ไส้ต่งิ และกลุ่มเซลล์ฟอลลเิ คิลในชัน้ เนื้อเย่อื เกย่ี วพันทีอ่ ยู่ดา้ นใต้ของช้ัน เนอ้ื เยอ่ื สร้างเมอื ก
ระบบภมู ิคุม้ กนั (immunity system) ภูมิคมุ้ กันแบบจาํ เพาะ ภมู คิ ุม้ กันรับมา ภูมคิ มุ้ กนั กอ่ เอง (Passive Immunity) (Active Immunity)
ระบบภูมิค้มุ กนั (immunity system) • ภูมคิ ุ้มกันก่อเอง (Active Immunity) หมายถงึ ภูมิคมุ้ กันทเี่ กดิ จากร่างกาย สร้างแอนตบิ อดี (Antibody) ข้ึนมาเองโดยเปน็ ภูมิคมุ้ กนั ระยะยาว ซง่ึ ถูกกระตุ้น จากปัจจยั ตอ่ ไปนี้ § การฉดี วัคซนี ปอ้ งกันโรคต่าง ๆ § การฉดี ทอกซอยด์ (Toxoid) ป้องกนั โรคบางชนดิ § การคลกุ คลีหรือใกลช้ ิดกับบคุ คลท่เี ป็นโรคน้นั ๆ วคั ซีนแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภทตามวตั ถดุ บิ ดังน้ี วคั ซีน วา้ วนุ่ • เชอ้ื โรคทต่ี ายแล้ว • อะ ไอ ไทฟอยด์ Die • เชอ้ื โรคทถี่ ูกทําใหอ้ อ่ นฤทธิ์ลง • โปลิ วณั หัด คาง ยังไม่ตาย • บาด คอ Toxoid • สารพิษจากเชื้อโรค (Toxoid) ซึ่งถกู ทาํ ใหห้ มดสภาพความเป็นพิษแล้ว
ระบบภูมิคุ้มกัน (immunity system) • ภูมคิ ุ้มกนั รับมา (Passive Immunity) หมายถึง ภมู ิคุ้มกันทเ่ี กดิ จากรา่ งกายรบั แอนตบิ อดี (Antibody) จากภายนอกเข้า มา เพอื่ ต่อตา้ นเช้ือโรคท่เี ข้าสูร่ า่ งกายได้ทันที และเปน็ ภมู คิ ุ้มกันในระยะสนั้ ตวั อย่างภมู ิคุ้มกนั รับมา • การฉีดเซร่มุ เพ่ือรักษาโรคบางชนดิ เช่นเซรมุ่ ปอ้ งกนั โรคพิษสุนขั บา้ เป็นต้น • การด่ืมนา้ํ นมแม่ของทารก • การได้รับภูมคิ ุ้มกนั จากแม่ของทารกท่ีอยใู่ นครรภ์
ระบบแลกเปลย่ี นแก๊ส (Respiratory system) ระบบแลกเปลี่ยนแกส๊ ในส่งิ มีชีวติ • สิ่งมชี ีวติ เซลลเ์ ดียว : เซลลข์ องสง่ิ มชี ีวิตจะสัมผสั กับสง่ิ แวดลอ้ มท่เี ปน็ นาํ้ อยู่ ตลอดเวลา ส่งิ แวดล้อมโดยตรงโดยผ่านเย่อื หมุ้ เซลล์ ตวั อยา่ งเชน่ อะมบี า พารามี เซยี ม เปน็ ตน้
ระบบแลกเปลีย่ นแก๊ส (Respiratory system) ระบบแลกเปล่ียนแกส๊ ในสงิ่ มชี ีวติ • สัตว์หลายเซลลข์ นาดเลก็ ทอ่ี าศยั อยู่ในนา้ํ และไมม่ รี ะบบหมุนเวยี นเลือด เซลล์แตล่ ะ เซลลจ์ ะแลกเปลี่ยนแก๊สผา่ นเยอื่ หมุ้ เซลล์ โดยตรงเช่นเดยี วกบั สิ่งมีชวี ิตเซลลเ์ ดยี ว ตัวอยา่ งเช่น ฟองนาํ้ ไฮดรา หนอนตวั แบน เป็นต้น
ระบบแลกเปลยี่ นแก๊ส (Respiratory system) ระบบแลกเปล่ยี นแกส๊ ในสิง่ มีชวี ิต • ไส้เดอื นดนิ แมว้ ่าไส้เดอื นจะมีขนาดใหญ่ กว่าสิ่งมีชีวิตจาํ พวกไฮดรา หรอื สิง่ มชี วี ติ เซลล์เดยี วอยา่ งมาก แตไ่ ส้เดือน นนั้ ยงั ไมม่ ี โครงสร้างที่ทาํ หน้าท่เี ฉพาะในการแลก เปลย่ี นแก๊ส แตจ่ ะแลกเปล่ียนแก๊สโดยเซลล์ ทีอ่ ยบู่ รเิ วณผิวหนัง ของลาํ ตัวที่เปยี กช้ืนของ ไส้เดอื น แก๊สจะแพร่ผา่ นผิวหนงั เขา้ มา และ ถูกลาํ เลยี งโดยระบบหมุนเวียนเลือดไปสู่ เซลล์ต่างๆ ทัว่ รา่ งกาย ขณะเดยี วกันแก๊สท่ี เซลลไ์ มต่ อ้ งการแลว้ นน้ั กจ็ ะถูกลาํ เลียงออก โดยระบบหมุนเวียนเลอื ด และปลอ่ ยออก นอกรา่ งกายทางผวิ หนังเช่นกนั
ระบบแลกเปลี่ยนแกส๊ (Respiratory system) ระบบแลกเปลีย่ นแกส๊ ในส่ิงมีชวี ติ • แมลง เนื่องจากเปน็ สัตว์ท่อี าศัยอยูบ่ นบกเปน็ ส่วน ใหญ่ ร่างกายจงึ ไม่คอ่ ยไดส้ มั ผสั กบั นา้ํ ทําใหม้ ี วิวัฒนาการอวยั วะแลกเปลียนแกส๊ ใหอ้ ย่ภู ายใน รา่ งกาย โครงสรา้ งทใี ชใ้ นการแลกเปลียนแกส๊ ของ แมลงประกอบดว้ ยทอ่ ลม ซง่ึ แตกแขนงเป็นทอ่ ลม ฝอยขนาดเลก็ อกี ที โดยอากาศจะผา่ นช่องหายใจ (Spiracle) การแลกเปลย่ี นแกส๊ จะเกิดข้ึนระหวา่ ง ปลายทอ่ ลมฝอยขนาดเลก็ กับเซลล์โดยตรง นอกจากนีแ้ มลงที่บินไดบ้ างชนิดยังมถี งุ ลม (Air sac) ซง่ึ ติดต่อกบั ชอ่ งหายใจอย่ภู ายในสว่ นทอ้ งเปน็ จํานวนมาก เพอื่ สํารองอากาศไว้ขณะบิน หรอื แมง บางชนดิ เช่น แมงมุมนน้ั มีทอ่ ลมซอ้ นเป็นชน้ั พบั ไป มา ลกั ษณะคล้ายแผงและยงั มหี ลอดเลอื ดนาํ คาร์บอนไดออกไซด์มาแลก ออกซิเจนทแี่ ผงทอ่ ลม จงึ เรียกโครงสรา้ งทใ่ี ช้ในการแลกเปลีย่ นแกส๊ แบบนี้ ว่า ปอดแผง (Book lung)
ระบบแลกเปลี่ยนแก๊ส (Respiratory system) ระบบแลกเปลยี่ นแกส๊ ในส่งิ มชี วี ติ ปลา
ระบบแลกเปล่ยี นแก๊ส (Respiratory system) ในน้าํ มีปริมาณแก๊สออกซเิ จนละลายอย่นู ้อยมาก เม่อื เปรียบเทยี บกบั ปรมิ าณแก๊สออกซิเจนในอากาศ และแก๊สออกซิเจนยังแพรใ่ นน้ําได้ชา้ กว่า ในอากาศ ยง่ิ ถา้ อณุ หภูมขิ องนาํ้ สูงขน้ึ แกส๊ ออกซเิ จนยง่ิ ละลายในนา้ํ ไดน้ ้อยลง แต่เพราะสตั วน์ ้าํ มกี ารจดั เรียงเนอ้ื เย่อื ของอวยั วะท่ใี ช้ แลกเปลย่ี นแกส๊ ไดแ้ ก่ เหงอื ก จึงสามารถรบั แกส๊ ออกซเิ จนไดเ้ พียงพอต่อความตอ้ งการ เหงือกแตล่ ะซจ่ี ะมีขนาดเลก็ มากโดยประกอบดว้ ย เซลลท์ ่เี รียงตัวเป็น ช้ันบางๆ ทําใหแ้ กส๊ สามารถแพรผ่ า่ นเข้าไปได้งา่ ย แม้ว่าปลาจะอยูน่ ิง่ ๆ แผ่นกระดูกปดิ เหงือกหรอื แผ่นแก้มของ ปลาจะ เคล่ือนไหวอยตู่ ลอดเวลา โดยการเคล่อื นไหวจะเปน็ จังหวะพอดกี บั การอ้าปากและหบุ ปากของปลาดว้ ย แก๊สออกซิเจนท่ีละลายอย่ใู นนาํ้ เข้า ทางปากแลว้ ผา่ นออกทางเหงือกตลอดเวลา และแกส๊ ออกซเิ จนจะแพร่ผา่ น เขา้ ส่หู ลอดเลอื ดฝอยทเี่ หงือก แลว้ หมุนเวียนไปตามระบบ หมนุ เวยี นเลอื ดต่อไป
ระบบแลกเปล่ยี นแก๊ส (Respiratory system) • นก มที อ่ เชอื่ มต่อกบั ถุงลมซ่งึ มีถงึ 9 ถงุ ลกั ษณะเชน่ นี้มีประโยชนต์ ่อการดํารงชีวติ ของ นก เพราะทําใหน้ กสามารถแลกเปลี่ยนแกส๊ ไดด้ ี และสามารถทําใหน้ กนําแก๊ส ออกซเิ จนทีไ่ ด้ไปใช้ในการสลายสารอาหาร ให้ไดพ้ ลังงานสาํ หรบั ใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช่น ใชใ้ นการบิน เปน็ ตน้ การทน่ี กมถี งุ ลมเชอ่ื มต่อกับปอดน้ันก็เพ่ือ สํารองอากาศไว้ใช้ ขณะบนิ
ระบบแลกเปลี่ยนแก๊ส (Respiratory system) • สัตวส์ ะเทินนํ้าสะเทนิ บก มตี ่อมเมอื ก ทําใหผ้ ิวหนงั ชมุ่ ช้ืนตลอดเวลา ผวิ หนังจงึ เปียกลื่น อย่เู สมอ ไมม่ เี กล็ดหรอื ขน หายใจด้วยเหงอื ก ปอด ผิวหนัง หรือผวิ ในปาก ลูกออ่ นท่อี อก จากไข่มีรูปร่างคลา้ ยปลา อาศัยอยู่ในนํา้ จงึ หายใจดว้ ยเหงอื ก พอเตบิ โตเต็มทแ่ี ล้วจะ อาศัยอยูบ่ นบก โดยหายใจดว้ ยปอด ถา้ ผวิ หนังแหง้ มนั จะหายใจไม่ไดแ้ ละอาจตายได้ เพราะแกส๊ ออกซิเจนจากอากาศตอ้ งละลายไปกบั นา้ํ เมือกทผี่ ิวหนงั แล้วจงึ แพร่เข้าสู่ กระแสโลหติ เชน่ กบ คางคก อ่งึ อ่าง เขียด เป็นตน้
ระบบแลกเปล่ยี นแก๊ส (Respiratory system) • การหายใจของมนุษย์
ระบบแลกเปลยี่ นแกส๊ (Respiratory system) • การเคล่อื นทข่ี องอากาศเข้าและออกจากปอด การหายใจนนั้ ถกู แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทหลัก ได้แก่ กระบวนการหายใจออก และกระบวนการ หายใจเข้า ทงั้ สองกระบวนการเกดิ ขึน้ ได้ เนอื่ งจากมกี ารเปล่ียนแปลงปริมาตรและความดนั ของช่องอก โดยมลี ักษณะ แตกตา่ งกนั ดงั นี้ ประเดน็ พจิ ารณา การหายใจเข้า การหายใจออก คลายตวั และเคลอ+ื นตวั สสู่ ภาพเดมิ (โค้งขนึ @ ) กล้ามเนือ7 กระบงั ลม หดตวั และเลอ+ื นตํ+าลง คลายตวั กลบั สสู่ ภาพเดมิ กล้ามเนือ7 ยดึ กระดกู ซ?ีโครง สง่ ผลให้กระดกู ซ+ีโครงยกตวั ขนึ @ ลดลง เพิ+มขนึ @ ปริมาตรของช่องอก เพ+ิมขนึ @ อากาศภายในปอดดนั ออกสภู่ ายนอก ความดนั อากาศภายในช่องอก ลดลง ผลท?เี กดิ ขนึ7 อากาศจากภายนอกเคลอื+ นท+ีเข้าสปู่ อด
ระบบขับถา่ ย (Excretory System) • ของเสยี ของสัตว์แตล่ ะกลุม่
ระบบขับถ่าย (Excretory System) การขับถา่ ยของเสียจากไต • ลักษณะของไต ไตของคนมี 1 คู่ (2 ชิ้น) อยู่ในช่องทอ้ งสองขา้ งของกระดูกสนั หลงั ระดับเอว มี • รูปรา่ งคลา้ ยเมลด็ ถ่ัว มสี แี ดงแกมนาํ้ ตาล มีเยอ่ื ห้มุ บางๆ ไตมี 2 ขา้ ง ซ้ายและขวา อยบู่ รเิ วณดา้ นหลงั ของช่อง ทอ้ ง ใกล้กระดูกสนั หลงั บริเวณเอว บริเวณส่วนทเ่ี วา้ เป็นกรวยไต มหี ลอดไตตอ่ ไปยงั กระเพาะปสั สาวะ ตอ่ จากไตทง้ั สองข้างมที อ่ ไต ทําหน้าท่ีลาํ เลยี งนํ้าปัสสาวะจากไตไปเก็บไว้ที่กระเพาะปสั สาวะ ก่อนจะขบั ถา่ ย ออกมานอกรา่ งกายทางท่อปสั สาวะเป็นนํ้าปสั สาวะ
ระบบขับถา่ ย (Excretory System) Nephon : หนว่ ยไต • คอร์พัสเซิล (Corpuscle) ประกอบด้วย 2 ส่วน • Bowman’s Capsule ลักษณะพอง ออกเปน็ ลูกกลมๆ มีรอยบุ๋มตรงกลาง • Glomerulus : กลุ่มหลอดเลือดฝอย (Capillary) สานเป็นลกู กลมๆโดยแยกมา จากหลอดเลือดแดง Renal artery ทน่ี าํ เลอื ดเขา้ มาในไต โดยพันเปน็ กลุม่ กอ้ น ภายใน Glomerulus ก่อนแตกเปน็ แขนงพนั รอบ ๆ สว่ นของ Convoluted Tubule ท่ี เรยี ก Vasa Recta
ระบบขบั ถา่ ย (Excretory System) • ทอ่ หนว่ ยไต (Convoluted Tubule) : 3 สว่ น • ทอ่ หน่วยไตตอนต้น (Proximal Convoluted Tubule) • หว่ งเฮนเล (LoopofHenle) • ทอ่ หน่วยไตตอนปลาย (Distal Convoluted Tubule) • สว่ นอื่นๆ ที่เก่ียวขอ้ ง • Collecting Duct หรือ Collecting Tubule เป็น ทอ่ ที่ตดิ ตอ่ กับแต่ละ Distal Convoluted • Tubule พบในส่วนคอรเ์ ทกซ์และเมดัลลา • กรวยไต (RenalPelvis) • หลอดไต (Ureter)
ระบบขับถา่ ย (Excretory System) • การกรองทีโ่ กลเมอรลู สั (Glomerular Filtration) • แรงดนั ในหลอดเลอื ดแดง Renal Artery ดันเลือด เข้าสู่ Glomerulus ซ่งึ เปน็ กลมุ่ ของหลอด เลอื ด ฝอย สารต่าง ๆ จะเคล่ือนทอี่ อกจากกล่มุ ของ หลอดเลือดฝอย Glomerulus เข้าสโู่ บว์แมน แคปซลู • สารทก่ี รองได้เรยี กวา่ พลาสมาท่กี รองได้ หรอื Glomerular Filtrate โดยปราศจากเม็ดเลือดแดง โปรตีนและไขมนั โมเลกุลใหญ่ • อตั ราเร็วของการกรองในคน 125 มิลลิลิตรตอ่ นาที หรอื 180 ลติ ร/วนั (กรองจากเลอื ดท่ีเขา้ มาไต จํานวน 1200 มลิ ลิลติ ร/นาท)ี • สารในของเหลวทกี่ รองไดเ้ รยี งตามลาํ ดับ ได้ดงั นี้ น้าํ > โปรตนี > คลอไรด์ > โซเดยี ม > กลูโคส > ยูเรีย > ซัลเฟต = ยูรกิ > แอมโมเนยี
ระบบขบั ถ่าย (Excretory System) สารตา่ งๆ ทก่ี รองได้จะเคล่ือนทเี่ ขา้ สูส่ ว่ นตา่ งๆ ของหน่วยไตทอ่ี ยถู่ ัดมา ของ สารทก่ี รองได้ก่อนจะกลายเปน็ ปัสสาวะโดยจะผ่านสว่ นตา่ งๆ เพิ่มเติมดังน้ี ท่อขดหน่วยไตสว่ นต้น (Proximal Convoluted Tubule) • มกี ารดูดสารมีประโยชนก์ ลับคนื มากทสี่ ดุ • ดดู สารจําพวกกลูโคส และวติ ามนิ กลบั หมดในสภาพปกติ หากขาด Insulin การ ดดู กลับของ นา้ํ ตาลจะเกิดได้นอ้ ย ทาํ ให้ เกิดโรคเบาหวานได้ • นํา้ ถูกดูดกลบั คอื 80% • โซเดียม, คลอไรด์, กรดอะมิโน, ซลั เฟต และวติ ามนิ บางชนดิ เซลลข์ องหลอดไต สว่ นนจ้ี ะดูด กลับไปใช้
ระบบขบั ถา่ ย (Excretory System) ห่วงเฮนเล (Loop of Henle) • บริเวณตอนต้น(Descending Limb หรือสว่ นลง) พบว่า • นํา้ ถูกดดู ซมึ ออกมา • โซเดียมและยเู รียถกู ขบั เข้าไป • สารภายในทอ่ มคี วามเขม้ ขน้ สูงสดุ ทฐ่ี านรปู ตัวยูของ Henle Loop • บรเิ วณตอนปลาย (Ascending Limb) หรอื ส่วน ข้นึ • โซเดยี มจะถกู ลาํ เลียงออก • น้ําไม่ถกู ดูดกลบั ทาํ ใหค้ วามเข้มขน้ เพม่ิ ขึ้นเรื่อยๆ • ท่อหน่วยไตตอนปลาย (Distal Convoluted Tubule) อาศัยฮอร์โมนช่วยควบคมุ
ระบบขบั ถา่ ย (Excretory System)
ระบบขบั ถา่ ย (Excretory System) • ฮอรโ์ มน ADH หรือ Vasopressin สร้างจากสมองส่วน Hypothalamus (แตห่ ลงั่ จากตอ่ มใต้สมอง สว่ นหลงั (Posterior Pituitary Gland)) จะช่วยทาํ ใหด้ ูดนํา้ กลับเพมิ่ ขนึ้ ถา้ ขาดฮอร์โมนดงั กล่าวจะทําใหเ้ ป็น เบาจดื • ฮอรโ์ มน Aldosterone จาก Adrenal Cortex ควบคุมการดูดกลับ Na+ ถา้ ขาด ฮอร์โมนตัวน้จี ะทําให้ เปน็ โรคเบาเค็ม
Search