ผลการวิจัย : ขอ้ คน้ พบ 1. เมอ่ื ไดด้ ําเนินการจัดการศึกษานอกโรงเรยี นเพือ่ การจัดทาํ แผนพัฒนาชุมชนแบบมีสว่ น รว่ มทไี่ ดพ้ ฒั นาขึ้นมีขัน้ ตอนดาํ เนนิ งานทเี่ หมาะสม จาํ นวน 5 ขนั้ ตอน คือ ขน้ั ตอนท่ี 1 การศกึ ษาขอ้ มลู พน้ื ฐาน ขั้นตอนท่ี 2 การดาํ เนินการวิเคราะห์สถานการณ์ของชมุ ชน ขน้ั ตอนท่ี 3 การศกึ ษาสภาพการณข์ องชุมชน ข้ันตอนที่ 4 การจัดทําแผนพฒั นาชุมชนและผลักดันสู่การปฏบิ ตั ิ ขน้ั ตอนที่ 5 การประเมินกระบวนการเรยี นรู้ เมอ่ื ประชาชนมีสว่ นรว่ มทุกข้นั ตอนอยา่ งเต็มรปู แบบจนไดร้ บั การช่นื ชมเปน็ ผลใหไ้ ด้รบั การสนับสนุนการ ดําเนนิ งานจากหนว่ ยงานภาครัฐมากถึง 10 โครงการ จากการประเมินผล พบวา่ ผเู้ ขา้ รว่ มกจิ กรรมมีความพึงพอใจเพราะกระบวนการเรยี นรู้ทไ่ี ด้ พัฒนาขึ้น 5 ข้ันตอนนั้นมีความเหมาะสมตอ่ การเรียนรู้ของประชาชน สามารถจดั ทาํ แผนพฒั นาชมุ ชน จากสภาพจริงได้ 2. ปญั หาระหว่างการดําเนินการพบวา่ 1) ผู้รว่ มกจิ กรรมมอี าการเกรง็ และไม่กล้าแสดงออกในการอภปิ รายถึงแนวคดิ และ เหตผุ ล 2) ผ้รู ว่ มกจิ กรรมบางคนมีทฐิ ิและยดึ แนวคิดของตนเปน็ ใหญ่ไม่ค่อยยอมรบั ฟงั ความ คดิ เห็นของผูอ้ ่ืน เม่อื ใชว้ ธิ ีการแบบมสี ว่ นร่วมจดั ให้มกี ารประชมุ กลุม่ ย่อย แลว้ นาํ ผลการเรยี นรู้มาเสนอ ในกลุ่มใหญ่ การใช้ประชามติเสีย งสว่ นใหญใ่ นการตกลงในบางประเดน็ ทาํ ให้บรรยากาศคลคี่ ลาย สามารถบรหิ ารจัดการเรยี นรูต้ ามกระบวนการจดั ทําแผนพฒั นาชุมชนแบบมีสว่ นรว่ มไดท้ กุ ข้นั ตอน เกดิ ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนร้ตู ามวตั ถุประสงค์และเปูาหมายทก่ี ําหนด 3. มขี ้อเสนอแนะจากผ้วู ิจัยทคี่ วรให้ความสนใจเป็นอย่างย่งิ คือการมีการติดตามผลการ ดาํ เนนิ งานกจิ กรรมโครงการต่าง ๆ ว่ามผี ลการดาํ เนนิ งานอยา่ งไร มผี ลกระทบตอ่ การดํารงชีวติ ของ ชาวบ้านอยา่ งไร คู่มือการทาวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชมุ ชน : 40
5. ชือ่ งานวจิ ยั การพฒั นาความเขม้ แขง็ ของกลุ่มพฒั นาอาชีพไมเ้ ทพธาโร หมู่ท่ี 1 ตาํ บลเขากอบ อําเภอหว้ ยยอด จงั หวดั ตรัง ชื่อผู้วิจัย นางศรีอรุณ เรอื งฤทธ์ิ (ไม่ระบุปีทีว่ จิ ยั ) ทป่ี รึกษา ดร.โสภาค วริ โิ ยธิน มหาวิทยาลัยทกั ษิณ สถานทตี่ ดิ ต่อ ศูนยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอําเภอห้วยยอด จังหวดั ตรงั โจทย์หรอื ปญั หาการวจิ ยั ทําอยา่ งไรใหก้ ลุ่มพฒั นาอาชีพไม้เทพธาโร (เยาวชนต้านยาเสพติด) ที่ ดําเนินการอยู่แล้วมีความเข้มแข็งขึ้น กิจกรรม (treatment) การพฒั นาความเข้มแขง็ ของกลมุ่ พฒั นาอาชพี ไม้เทพธาโร โดยใช้ 3 กิจกรรมในการพฒั นาคอื กจิ กรรมที่ 1 กองทุนส่วนกลาง เพอ่ื การกู้ยมื (ความรู้สกึ เปน็ เจา้ ของร่วมกัน) กจิ กรรมท่ี 2 การจดั เวทีชาวบ้าน (ให้เกดิ การมีสว่ นร่วมในการดาํ เนินกจิ กรรมกลุ่ม) และ กจิ กรรมท่ี 3 การศึกษาดูงาน (สรา้ งความสมั พันธร์ ะหว่างสมาชิกด้วยการทาํ กิจกรรม) วัตถปุ ระสงค์ 1. ตอ้ งการศึกษาบรบิ ทชมุ ชนและบรบิ ทกล่มุ พัฒนาอาชพี ไมเ้ ทพธาโร (เยาวชนต้านยา เสพตดิ ) 2. เพ่ือพัฒนาความเข้มแข็งของกลุม่ พฒั นาอาชพี ไมเ้ ทพธาโร 3. เพื่อประเมนิ ความเข้มแขง็ ของกลมุ่ พฒั นาอาชพี ไมเ้ ทพธาโร วิธดี าเนินการ 1. ประชากรคือ กลุ่มพฒั นาอาชพี ไมเ้ ทพธาโร(เยาวชนตา้ นยาเสพตดิ ) หมู่ 1 ตําบลเขากอบ อาํ เภอหว้ ยยอด จังหวัดตรัง จาํ นวน 36 คน 2. วจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารโดยใช้ 3 กจิ กรรม (กองทนุ กยู้ มื เวทชี าวบา้ น การศึกษาดูงาน) เปน็ กลไก พฒั นากล่มุ ใหเ้ ขม้ แข็ง โดยใช้การศึกษาบรบิ ทชมุ ชนเป็นขอ้ มลู พื้นฐานเพ่ือการพฒั นาและดาํ เนินการ ประเมนิ ผลทงั้ กอ่ นและหลังการทํากจิ กรรม การวเิ คราะห์ข้อมูล เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้ในเกบ็ รวบรวมข้อมูลเป็นเครื่องมอื ประเมนิ เชิงคุณภาพ (ไม่ใชต้ ัวเลขเป็นหลัก ในการตคี วาม) ไดแ้ ก่ กระบวนการสนทนากลุม่ การสมั ภาษณ์เชงิ ลึก การสังเกตพฤตกิ รรม การใช้ แบบสอบกอ่ นและหลังการทาํ กิจกรรม โดยใช้เทคนคิ การวเิ คราะห์เน้อื หาควบคไู่ ปกบั การดําเนิน กจิ กรรม คูม่ อื การทาวิจัยปฏิบตั กิ ารในชมุ ชน : 41
ผลการวิจยั พบว่า ขนั้ ที่ 1 ศกึ ษาบรบิ ทของกล่มุ และบรบิ ทของชมุ ชน พบว่า กลุ่มพัฒนาอาชีพไมเ้ ทพธาโร (เยาวชนตา้ นยาเสพตดิ ) มีความเขม้ แขง็ ในหลาย ๆ ด้านอยู่แล้ว เช่น ดา้ นการรวมกล่มุ ด้านการ จดั ระบบเงนิ ทนุ หมนุ เวียน เงินออม เงนิ คนื มคี วามเข้มแขง็ ในแง่การจดั การตลาด การสรา้ งผลิตภณั ฑ์ ใหม่ ๆ ขน้ั ท่ี 2 การพัฒนาความเข้มแขง็ ของกลุ่มพัฒนาอาชีพไม้เทพธาโร โดยใช้ 3 กจิ กรรม คือ 1) กจิ กรรมกองทุนเพอื่ การกูย้ ืม 2) การจดั เวทชี าวบ้าน 3) การศึกษาดงู าน ท้งั 3 กจิ กรรมมี จดุ มงุ่ หมายสร้างความสัมพนั ธใ์ นหมูส่ มาชิกให้เกิดความรู้สกึ มสี ว่ นรว่ ม เป็นเจ้าของกองทุนมากยิง่ ขึ้น ผ่านกระบวนการ แสดงความคดิ เห็น การพบปะพดู คยุ การทาํ กจิ กรรมร่วมกัน สรา้ งโอกาสให้เกดิ การ พบปะกนั บอ่ ยข้ึน ขน้ั ท่ี 3 การประเมินความเข้มแข็งของกลุม่ พัฒนาอาชพี ไมเ้ ทพธาโร โดยใชแ้ บบประเมนิ ผล พบว่า กลุ่มมีความเขม้ แขง็ หลงั จากเข้ารว่ มกจิ กรรม โดยเฉพาะในเรือ่ งการวางแผนร่วมกนั คูม่ อื การทาวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 42
6. ชอื่ งานวจิ ัย วิถีชวี ิตแบบเศรษฐกิจพอเพยี ง : กรณีศกึ ษาบ้านดงเรือง หมูท่ ี่ 6 ตาํ บลหนองเมก็ อาํ เภอหนองหาน จงั หวัดอุดรธานี ช่ือผวู้ จิ ัย ณฐนนท์ อาํ นาจเจรญิ (2550) สาํ นักงาน กศน.จงั หวดั อดุ รธานี โจทย์คาถามการวิจัย ตอ้ งการพรรณนาให้ทราบว่าภูมหิ ลงั ของบา้ นดงเรือง หมทู่ ี่ 6 ตาํ บลหนองเมก็ อําเภอหนองหาน จังหวดั อดุ รธานี มีสภาพความเข้มแขง็ ของกลมุ่ วสิ าหกจิ ชมุ ชนอย่างไรและ กศน. อาํ เภอหนองหานมบี ทบาทเข้าไปดําเนนิ งานตามนโยบายนาํ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่การปฏิบตั ิ อยา่ งไร วตั ถปุ ระสงค์ 1. เพอ่ื ศึกษาสภาพปจั จบุ ันในการดาํ เนินชวี ิตในวถิ ีชุมชน บ้านดงเรอื ง หมทู่ ี่ 6 ตาํ บล หนองเม็ก อําเภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธานี 2. เพอื่ ศึกษาบทบาทของการศกึ ษานอกโรงเรยี นในการนาํ นโยบายเศรษฐกจิ พอเพียงไปสู่ การปฏบิ ัติ 3. เพื่อศกึ ษาแนวทางการบรหิ ารการพัฒนาวิถีชวี ิตชมุ ชนสูเ่ ศรษฐกจิ พอเพยี งภายใตก้ าร ดําเนินงานของ กศน.อาํ เภอหนองหาน วธิ ีดาเนินการ เนื่องจากผู้วิจัยปฏิบตั ิงานอยใู่ นสาํ นกั งาน กศน.จังหวัดอุดรธานี เม่ือเหน็ กศน.อาํ เภอหนอง หาน จังหวดั อุดรธานี ไดจ้ ดั กระบวนการเรยี นรู้ตามแนวเศรษฐกิจพอเพยี ง และหมบู่ า้ นแห่งน้มี ีองค์กร ชุมชนในรปู วิสาหกิจชมุ ชน เช่น กลมุ่ ศูนย์สาธิตการตลาด กลุ่มปุยอินทรยี ์ กลมุ่ เพาะเหด็ ฯลฯ เกดิ ขน้ึ และมคี วามเข้มแขง็ และสามารถบรหิ ารจดั การกลุม่ ไดด้ ี ผูว้ ิจยั จึงสนใจวา่ ในการนาํ นโยบายเศรษฐกิจพอเพยี งไปส่กู ารปฏบิ ัติ ณ บา้ นดงเรอื ง หมทู่ ี่ 6 ตาํ บลหนองเมก็ อําเภอหนองหาน จงั หวดั อดุ รธานี กศน.อําเภอหนองหาน จงั หวัดอดุ รธานี มี กระบวนการทํางานอยา่ งไร เคร่ืองมือท่ีใช้ในการศกึ ษาคือ แบบสัมภาษณแ์ บบก่ึงโครงสร้างและใชก้ ารวเิ คราะห์ข้อมูล โดยเทคนคิ การวเิ คราะห์เนอื้ หา (Content Analysis) ผลการวิจยั พบวา่ 1. ศนู ยบ์ รกิ ารการศกึ ษานอกโรงเรยี นอาํ เภอหนองหาน ได้นาํ แนวคิดทฤษฎแี นวทางและ กรอบดาํ เนนิ งานที่ไดร้ ับจากสํานกั บรหิ ารงานการศึกษานอกโรงเรยี นไปปฏิบัตใิ นพนื้ ที่ 2. กระตุ้นใหช้ ุมชนวเิ คราะหศ์ ักยภาพของตนเอง (SWOT Analysis) 3. สง่ ครู กศน.เข้าไปในชมุ ชนเพื่อกระตนุ้ ให้การบริหารจัดการกลุม่ มคี วามเข้มแขง็ ยิ่งขนึ้ โดยการใหค้ วามรู้ คาํ แนะนํา ใหค้ าํ ปรกึ ษา 4. การสรา้ งความเขม้ แขง็ ของการบริหารจดั การกลุม่ ดว้ ยการระดมความคดิ เหน็ ในการ แก้ปัญหา อันนาํ ไปสู่การเรียนรรู้ ว่ มกนั ระหวา่ งครู กศน.กบั ชุมชน คมู่ ือการทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 43
5. แนวทางการบรหิ ารการพฒั นาวิถชี ีวิตสเู่ ศรษฐกิจพอเพยี งผู้วิจยั เห็นวา่ ควรกระทาํ ใน ภารกิจ 5 แนวทาง คือ 1) บคุ ลากร กศน.ควรอยตู่ ิดพน้ื ที่ปฏบิ ัตงิ านอย่างตอ่ เนอื่ งและได้รับงบประมาณ สนบั สนุนในการทํากจิ กรรมต่างๆ 2) ควรใหช้ าวบา้ นมีการแลกเปลย่ี นเรียนรตู้ ลอดเวลาดงู านเพิ่มเติม 3) แกนนําในหมบู่ า้ นควรชกั ชวนชาวบ้านเขา้ มามีสว่ นรว่ มในการพฒั นาและแกนนํา ควรปฏบิ ัตติ วั เป็นตัวอยา่ งทด่ี ีในการแสวงหาความรู้ 4) ต้องสรา้ งเครือข่ายและให้เกดิ การช่วยเหลอื ซ่งึ กนั และกนั ระหวา่ งเครือขา่ ย 5) ควรมีการประชาสัมพันธ์ทางสื่อตา่ ง ๆ คู่มอื การทาวิจัยปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 44
ใบความรู้ท่ี 8 ตวั อย่างงานวจิ ัยเพอ่ื ท้องถ่ิน งานวิจัยเพอ่ื ทอ้ งถิน่ มลี กั ษณะของโครงการ ดงั น้ี 1) เปน็ ประเดน็ หรอื โจทยอ์ ะไรกไ็ ด้ที่เกดิ ขนึ้ ในชุมชนหรือคนในชุมชนทอ้ งถิ่นเห็นว่ามี ความสาคัญและอยากค้นหาคาตอบรว่ มกัน คาํ วา่ “ชุมชน” ในทนี่ ้ีมีความหมายทหี่ ลากหลาย หมาย รวมถึงกลุ่มคนในพนื้ ที่ทม่ี ีความสัมพันธก์ นั อยา่ งเปน็ ทางการ และไมเ่ ปน็ ทางการทม่ี ีเปาู หมายหรอื ดาํ เนนิ กิจกรรมบางอยา่ ง เพอ่ื ให้บรรลเุ ปาู หมายรว่ มกนั เช่น กลมุ่ แมบ่ ้าน กลุ่มอนรุ ักษ์ปุา กล่มุ อาชีพ กล่มุ ออมทรัพย์ หน่วยงานของรัฐ องคก์ รพฒั นาเอกชน ผู้ประกอบการ ครู เดก็ และเยาวชน คนชรา พระสงฆ์ รวมทง้ั ชนเผ่า 2) ชุมชนมสี ่วนรว่ มในกระบวนการคน้ หาคาตอบรว่ มกัน เป็นการเปดิ โอกาสและพนื้ ท่ี ให้ชมุ ชนหรือคนในท้องถน่ิ ตอ้ งรว่ มกันคิด รว่ มทาํ รว่ มเรียนรู้ ร่วมวิเคราะห์ รว่ มตรวจสอบ และแปล ความหมาย รวมทง้ั คาดว่าจะเกิดความเปล่ยี นแปลงภายหลงั การดาํ เนินงานวจิ ัย ปจั จบุ ันทมี วจิ ยั ส่วน ใหญ่มกั ประกอบไปด้วยคนนอกและคนในชมุ ชน มบี างโครงการทช่ี ุมชนมคี วามพรอ้ มสงู คนในชุมชนทํา วิจยั เอง แต่ยังมนี อ้ ย 3) มีการดาเนนิ การรวบรวมขอ้ มลู และทดลองปฏิบัตกิ าร นน่ั คือ มกี ารดาํ เนนิ งานใน 3 ระยะ คือ ระยะแรก วจิ ัยให้ทราบสภาพทีเ่ ปน็ อยู่ ไดแ้ ก่ สภาพหรือบริบทชุมชน ภูมิปัญญาในชมุ ชน สภาพของปัญหานั้น ทราบสาเหตุ ปัจจัย เง่ือนไขของปัญหา เลือกทางเลอื กในการแกไ้ ขปัญหา ระยะทสี่ อง เปน็ การทดลองทํา (วจิ ัยปฏบิ ตั กิ าร) เพ่ือแกป้ ญั หาและวเิ คราะห์ สรุป บทเรียน รวมทัง้ สิง่ ทไ่ี ด้เรยี นรู้ ระยะทีส่ าม เปน็ การเสนอทางเลือก รูปแบบ แผนพฒั นา ฯลฯ ของชุมชนท้องถิ่น ปจั จบุ นั ได้มสี ถานศึกษาสงั กัดสาํ นักงาน กศน. ไดแ้ ก่ ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและ การศึกษาตามอธั ยาศยั อําเภอภซู าง จังหวดั พะเยา อําเภองาว อาํ เภอแจห้ ม่ อาํ เภอหา้ งฉตั ร จังหวดั ลําปาง และ อําเภอลอง จังหวดั แพร่ ให้ความสาํ คัญกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษานอกโรงเรียนระดับ ตําบล และได้นําเอาระเบยี บวธิ วี ิจยั เพอ่ื ทอ้ งถนิ่ ทีม่ ีลกั ษณะ 3 ประการ ขา้ งตน้ ไปเสรมิ องคค์ วามรู้ ทกั ษะ เครื่องมอื งานวจิ ัยใหก้ ับครู กศน.และเสรมิ หนุนดา้ นงบประมาณเพ่อื ใหเ้ กิดการวจิ ัยและพัฒนา ความรรู้ ะดบั ทอ้ งถ่ิน ในขณะปจั จบุ นั ยงั ไม่ปรากฏชิ้นงานวจิ ัยเพื่อทอ้ งถน่ิ จากทีมงานครู กศน. จงึ ขอ นาํ เสนอตัวอยา่ งงานวิจยั เพอ่ื ท้องถนิ่ จาก สกว. เพ่ือใหค้ รู กศน.ได้อ่านและศึกษารูปแบบการเขยี น รายงานการวจิ ยั อยา่ งง่าย ค่มู ือการทาวิจยั ปฏิบตั กิ ารในชมุ ชน : 45
ตัวอย่างงานวจิ ัยเพื่อทอ้ งถ่ิน จานวน 5 เรอ่ื ง มดี ังนคี้ อื 1) การมีส่วนร่วมของชมุ ชนในการแกป้ ัญหาหนสี้ นิ : กรณศี ึกษาบ้านกดุ เต่า ตาํ บลนา มะเฟอื ง อําเภอเมอื ง จงั หวดั หนองบัวลําพู 2) การศึกษารปู แบบการบริหารจดั การกลุม่ อาชีพเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพษิ บ้านจาํ หมู่ 6 ตาํ บลปงยางคก อาํ เภอห้างฉตั ร จังหวดั ลําปาง 3) การมสี ว่ นร่วมของชมุ ชนในการสืบสานตํานานมอ่ นก๋องข้าว บ้านสาสบหก ตําบล บา้ นสา อําเภอแจห้ ่ม จงั หวัดลาํ ปาง 4) ชวนกันอ่านหนงั สอื ใหเ้ ด็กฟัง 5) กระบวนการและรูปแบบการขยายผลการทาํ เกษตรอนิ ทรยี เ์ พือ่ พฒั นาเศรษฐกจิ ชุมชน ท้องถ่นิ ตาํ บลลวงเหนอื อําเภอดอยสะเกด็ จังหวดั เชียงใหม่ คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ัติการในชุมชน : 46
1. ชอื่ งานวิจัย การมีสว่ นรว่ มของชมุ ชนในการแก้ปญั หาหน้ีสนิ : กรณศี กึ ษาบา้ นกุดเตา่ ตาํ บลนามะเฟือง อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําพู หัวหน้าทมี วิจัย คุณดาวเรอื ง ทาบทา (2552) ปัญหาหน้สี นิ เปน็ ปัญหาที่คนบา้ นกุดเตา่ ตําบลนามะเฟือง ถอื เปน็ ปญั หาหลักของชมุ ชน เนอ่ื งจากผลผลิตทางการเกษตรไม่ได้ผลติ ขน้ึ เพอื่ การยังชพี แต่เปน็ การผลิตเพือ่ สร้างรายได้ ชาวบา้ นกดุ เตา่ จึงขยายการผลติ โดยการเพิม่ พ้ืนทแ่ี ละการลงทุน แต่ปัจจยั ทีม่ ตี อ่ การเกษตร เช่น สภาพอากาศ นาํ้ ดิน ไมเ่ อ้ือต่อการเกษตร ผลผลิตไม่ไดร้ ับตามคาดหวังสูง ราคาตํ่า ตลอดจนการใช้จ่ายในครวั เรอื น ฟุมเฟือย จึงเกดิ ภาระหนีส้ นิ ข้ึน ส่งผลให้มีคนทํางานในหมู่บา้ นลดลง ตอ้ งดิน้ รนไปทํางานต่างประเทศ จากปัญหาดังกล่าวทาํ ให้เกิดโครงการ “การมีส่วนรว่ มของชมุ ชนในการแกป้ ญั หาหน้ีสนิ : กรณีศึกษา บ้านกดุ เต่า ตําบลท่ามะเฟือง อําเภอเมอื ง จังหวดั หนองบวั ลําภู” โดยมี คณุ ดาวเรือง ทาบทา เป็น หวั หนา้ โครงการ ซงึ่ ใชว้ ิธกี ารศกึ ษาเชงิ ปฏบิ ัติการแบบมสี ่วนร่วมเปน็ การวิจยั และพัฒนา โดยประชาชน มงุ่ ให้ประชาชนเกดิ การเรยี นรู้ จัดการแก้ไขปัญหาทีเ่ กดิ ข้นึ ไดด้ ว้ ยตนเอง จากการเก็บขอ้ มลู ของทมี วิจยั บ้านกุดเตา่ มจี าํ นวนครัวเรอื น 178 ครวั เรอื น รวมหนีส้ นิ ท้ังหมดประมาณ 18,800,000.-บาท สาเหตสุ ว่ นใหญเ่ กิดจากหนีส้ นิ การลงทนุ ภาคเกษตร ค่าน้ํามัน คา่ ซ้ือรถไถนา คา่ จ้างแรงงาน คา่ ปุยและค่ากล้าพันธุป์ ระมาณ 11,400,000.-บาท รองลงมาเปน็ ค่าใช้จาก การศกึ ษาบตุ ร ค่าเสอ้ื ผา้ คา่ อาหาร ค่านา้ มนั รถมอเตอรไ์ ซด์ ประมาณ 5,300,000.-บาท และคา่ ใชจ้ ่าย ในครวั เรอื นประมาณ 2,100,000.-บาท ฯลฯ สําหรบั แหลง่ เงินกมู้ าจากทงั้ ในระบบและนอกระบบ เมื่อ ทราบถงึ ปญั หาทีเ่ กิดขนึ้ ทีมวจิ ัยได้ร่วมกนั สรา้ งพลงั ความคดิ พลังกายข้ึนมาต่อสูก้ ับปญั หาใชห้ ลกั การ ร่วมกนั คน้ หาปัญหา สาเหตุและหาทางแกไ้ ขด้วยวธิ กี ารต่าง ๆ ยดึ หลกั ความซ่อื สัตย์ สจั จะ ความสามคั คี และความจรงิ ใจซ่งึ กนั และกนั ใชเ้ วทที ี่ประชาคมแลกเปลี่ยนความรแู้ ละประสบการณ์ ตัดสินใจรว่ มกัน มงุ่ การแกไ้ ขปัญหาเชิงรกุ เพอื่ สร้างรายได้ ฝกึ อาชพี ใหม้ ีงานทํา ทมี งานวิจัยได้ทดลองนําหลกั เศรษฐกจิ พอเพยี งใช้แกป้ ัญหา โดยเริ่มจากการทาํ บัญชี ครัวเรือน ซึ่งทาํ ใหร้ ู้ว่าอะไรเป็นรายจา่ ยท่ีฟุมเฟอื ย ค่อย ๆ ลดรายจ่าย ลดการพงึ่ พาภายนอกชมุ ชน ชาวบ้านเริม่ ปลกู ผกั สวนครัวไว้กินในบ้าน เล้ยี งเป็ด ไก่ ไวก้ นิ ไขแ่ ละตวั ทาํ นา้ํ ยาลา้ งจาน แชมพูไว้ใช้เอง ใช้ปุยชวี ภาพแทนปยุ เคมี เผาถ่านหุงต้มแทนการใชแ้ กส๊ หุงตม้ งดซ้อื หวยใต้ดิน งดด่มื สุรา เมอื่ เหลอื ใช้ก็ แจกจา่ ย แบ่งปันใหก้ บั เพอื่ นบา้ น ก่อให้เกดิ ความสขุ ใจ รูจ้ ักอดทน เอ้อื อาทรต่อกันในชุมชน การทํา สิ่งเหล่านีท้ ําให้ชมุ ชนสามารถลดรายจา่ ยลงได้โดยเฉลีย่ วันละ 150บาท/ครวั เรือน และหลงั จาก ทํากจิ กรรมเหล่าน้ที ําใหช้ มุ ชนสามารถลดหน้ีไดถ้ งึ 4,000,000.-บาท จาก 18,000,000.-บาท เหลอื 14,3654,500.-บาท และมีครอบครัวทป่ี ลอดหนจ้ี ํานวน 34 ครอบครัว จากเดมิ 16 ครอบครวั เช่น นายเจรญิ สินทร เป็นบคุ คลทเ่ี ร่ิมปฏิบตั ติ นตามหลกั เศรษฐกจิ พอเพียงเพือ่ ลดหนี้ “กอ่ นหน้าน้ีจดั งาน บวช งานบุญ ลกู แตง่ งาน จะเอาหน้าไวก้ อ่ น ลงทุนเปน็ แสน กู้เขามาเสรจ็ งานก็เปน็ หน้เี ขา หลงั จาก เข้ารว่ มงานวจิ ยั ไดจ้ ดั งานศพของแมย่ าย จดั งานศพปลอดเครอื่ งดื่มมึนเมาและการพนนั ในตอนกลางคนื ชาวบ้านได้มาใหค้ วามช่วยเหลอื งานศพแทบทุกครวั เรือน ไดใ้ ชจ้ า่ ยอย่างประหยดั ในระยะเวลา 7 วัน ทจี่ ัดงานจนเสรจ็ สิ้นงานศพในคร้งั นี้ สามารถลดรายจ่ายได้ถึง 15,000 บาท” คมู่ อื การทาวิจัยปฏิบัติการในชุมชน : 47
2) ชือ่ งานวจิ ัย การศกึ ษารปู แบบการบรหิ ารจัดการกลุ่มอาชีพเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษบ้านจาํ หมู่ 6 ตาํ บลปงยางคก อาํ เภอห้างฉัตร จงั หวดั ลําปาง หวั หน้าทมี วจิ ยั นายขจรศักดิ์ วงศธ์ ิราช กลมุ่ อาชีพเกษตรกรปลูกผักปลอดสารพิษบ้านจํา หมทู่ ่ี 6 ตําบลปงยางคก อําเภอหา้ งฉตั ร จังหวัดลาํ ปาง หน่งึ ในกล่มุ อาชพี ท่รี วมตวั กนั ของชาวบ้านในชุมชนบา้ นจาํ มีประวัตคิ วามเปน็ มาท่ี ยาวนานร่วม 5 ปี ก่อตั้งขนึ้ ภายใตค้ วามมุ่งหวงั ในการผลิตอาหารปลอดภัยใช้ในครัวเรือนและขยายสู่การ จาํ หน่ายหลังเหลือกินในครอบครัว ดว้ ยความมุ่งมั่นทีจ่ ะผลกั ดันของสมาชิกกลมุ่ ให้กลมุ่ อาชีพเปน็ กลมุ่ ท่ี มนั่ คงและยงั่ ยืนสร้างฐานเศรษฐกิจในชมุ ชนใหเ้ ขม้ แข็ง แต่สมาชกิ ของกลมุ่ ยงั ขาดซง่ึ องคค์ วามรูแ้ ละ แนวทางในการทาํ งานและแกป้ ญั หาของกลุ่มและสมาชกิ กลมุ่ จึงทาํ ใหก้ ารทํางานภายใตช้ อื่ กลุ่มอาชีพ เกษตรกรปลูกผักปลอดสารบ้านจาํ หมู่ 6 ตาํ บลปงยางคก อาํ เภอห้างฉตั ร จงั หวดั ลาํ ปาง เป็นไปโดยขาด หลกั การทาํ งานที่ชดั เจน เวทีเสวนาเพ่ือวเิ คราะหป์ ัญหาและความต้องการของสมาชกิ กลุ่มอาชพี ฯ ตลอดจนความ ม่งุ หมายของการรวมกลุ่ม จึงเกิดขน้ึ เพื่อนาํ ข้อมูลมาแปรความแลว้ ตั้งเป็นหัวขอ้ โครงการวิจัยภายใต้ ชอ่ื “การศกึ ษารปู แบบการบรหิ ารจดั การกลมุ่ อาชพี เกษตรกรปลูกผกั ปลอดสารพษิ บา้ น หมูท่ ี่ 6 ตาบลปงยางคก อาเภอหา้ งฉตั ร จงั หวดั ลาปาง” โดยมีนายขจรศักด์ิ วงศธ์ ิราช เปน็ หัวหนา้ โครงการ และมนี ักวิจยั ชาวบ้านจากกลุ่มอาชพี เกษตรกรปลูกผักปลอดสารพษิ เพื่อนําไปสู่การกาํ หนดทิศทางของ การดําเนินงานกลุ่มให้ยง้ั ยนื ในอนาคตควรเปน็ อยา่ งไรและผนู้ ํากลุม่ รวมถงึ สมาชิกกลุ่มควรมีสว่ นร่วมใน การบรหิ ารจัดการภายในกลมุ่ อยา่ งไรบา้ ง การดําเนนิ งานวิจัยใชห้ ลกั ของการวจิ ยั เชิงพ้นื ที่เนน้ การมีสว่ นรว่ มของสมาชิกกลมุ่ อาชีพ เกษตรกรปลกู ผักปลอดสารพษิ บ้านจํา เน้นผู้นําชมุ ชนและเปดิ โอกาสให้หนว่ ยงาน ภาคที ่ีมสี ่วนรว่ มเข้า มามีบทบาทในการดาํ เนินโครงการ และที่สาํ คญั คือเน้นการให้สมาชกิ กลมุ่ อาชีพได้แสดงความคิดเห็น พดู ถกเถียงและเสนอแนะในประเดน็ ต่าง ๆ เพื่อประโยชนส์ ูงสุดท่ีสมาชิกกลมุ่ อาชีพเกษตรกรปลูก ผกั ปลอดสารพษิ บา้ นจาํ ฯ จะได้รับ “ถงุ หรอื สิ่งที่จะใสผ่ ักตอนนําไปขายต้องแน่ใจว่าปลอดสารพิษจึงจะทาํ ใหผ้ ักปลอดสารพิษ ตัง้ แต่ปลกู จนขายใหค้ นไปทาํ อาหาร” แนวคิดของนางสายทอง อญิ ญาวิเลิศ กรรมการและเลขานุการ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนเกษตรปลอดสารพิษบ้านจาํ เปน็ แนวคดิ แรกเริม่ ท่ีทาํ ใหส้ มาชกิ ทกุ คนได้ตระหนกั ถงึ การใชถ้ ุงหิ้ว (ถุงกอ๊ ปแกป๊ ) หรอื ถงุ พลาสตกิ ท่ัวไปใสผ่ กั ไปขายหรอื ใส่ผกั ใหล้ กู ค้าเวลาซอื้ จนทา้ ยทสี่ ุด การขอความรู้หรอื หรือรับคาํ ปรกึ ษาจากแพทย์และสาธารณสุข รวมท้ังเกษตรของอาํ เภอหา้ งฉัตร จังหวดั ลําปาง เพอื่ หาขอ้ สรุปในการใชถ้ ุงเพอื่ บรรจุผกั ขายจึงเกดิ ข้นึ การแปรเปล่ียนของบรรจุภณั ฑบ์ รรจุผกั ปลอดสารพิษ จงึ เกดิ ขน้ึ จากเดมิ ใช้ถงุ พลาสตกิ หรอื ถงุ หว้ิ ทม่ี ีขายตามท้องตลาดท่ัวไปและไม่อาจแน่ใจวา่ ถงุ นัน้ ปลอดภยั หรอื ไม่ ในการใสอ่ าหารเพอื่ การ บรโิ ภคมาเป็นการใช้ถุงใสทผี่ า่ นการรับรองจากหน่วยงานภาครฐั (มอก.) และไดร้ ับการแนะนาํ จากแพทย์ ของโรงพยาบาลห้างฉัตร และนกั วชิ าการเกษตรอําเภอหา้ งฉัตรวา่ เปน็ ถงุ ท่ปี ลอดภัย สามารถใชใ้ ส่ อาหารได้และไม่เปน็ อนั ตรายตอ่ ผู้บรโิ ภคแทน รวมทง้ั ยังเพิ่มในส่วนของตราฉลากผลติ ภัณฑข์ องกลุม่ วิสาหกิจชมุ ชนผกั ปลอดสารพษิ บา้ นจํา (โดยการสนบั สนนุ จากคณะวิทยาการจดั การ มหาวิทยาลยั ราชภฎั ลําปาง) ดว้ ย เพื่อสร้างความแตกต่างจากผกั ตามท้องตลอดและสร้างความนา่ เชอื่ ถอื แก่ผู้บริโภค ซงึ่ คือผลจากนวัตกรรมการเรียนรูร้ ว่ มกนั ของสมาชกิ กล่มุ คูม่ ือการทาวจิ ยั ปฏิบัติการในชุมชน : 48
3) ชือ่ งานวจิ ยั การมีส่วนร่วมของชุมชนในการสืบสานตาํ นานม่อนกอ๋ งขา้ วบา้ นสาสบหก ตําบลบ้านสา อาํ เภอแจห้ ่ม จงั หวดั ลาํ ปาง หัวหน้าทีมวิจยั นายเจรญิ ทนั ใจ ชาวบา้ นสาสบหก หม่ทู ี 2 ตาํ บลบ้านสาสบหก อําเภอแจ้หม่ จังหวดั ลําปาง มีความเช่อื ใน พื้นท่ศี ักดิ์สทิ ธิ์บรเิ วณปุาต้นนา้ํ ทช่ี าวบา้ นเรียกกนั ว่า “มอ่ นก๋องขา้ ว” ซงึ่ มตี ํานานเลา่ ขานเรื่องการตอ่ สู้ ของบรรพบรุ ุษในการสรา้ งชมุ ชน รวมถงึ เรือ่ งราวเหนอื ธรรมชาติทถี่ ูกเล่าตอ่ กนั มาช้านาน ประกอบกบั ทางชมุ ชนได้ร่วมกนั ริเริ่มสรา้ งพระธาตุขึ้นบนภเู ขาลูกนี้ด้วยแรงศรัทธาและความมุง่ ม่ันต้ังใจให้เป็นแหลง่ ยึดเหนยี่ วจติ ใจ และสร้างจิตสํานกึ ให้คนรนุ่ ต่อ ๆ ไปโดยใหช้ ่อื วา่ “พระธาตมุ ่อนก๋องขา้ วเตา่ คา” แกนนําชุมชน โดยนายเจริญ ทนั ใจ และคณะนกั วิจยั เห็นโอกาสที่จะสรา้ งการมีส่วนรว่ มใน ชมุ ชน จึงเสนอโครงการวิจยั นี้ เพ่อื สรา้ งกระบวนการเรยี นรู้จากงานวิจยั เพือ่ ท้องถน่ิ ให้มกี ารสืบสาน ตํานานมอ่ นก๋องข้าวอยา่ งมีสว่ นรว่ มของคนในชมุ ชน โดยชุมชนได้รวบรวมขอ้ มูลความรผู้ า่ นการสืบค้น จากผรู้ ู้ จากหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งการดําเนินกจิ กรรมสร้างความตระหนักใหเ้ หน็ คณุ ค่าของตาํ นาน มอ่ นก๋องขา้ ว ทีส่ าคัญยงั ไดม้ ีกระบวนการถา่ ยทอดความรูเ้ หล่านี้กบั คนในชมุ ชนเพือ่ รกั ษาและธารงไว้ เปน็ คณุ ค่าของชุมชนสาสบหกต่อไป อีกทั้งอาจจะนาํ ไปสูก่ ารสรา้ งความตระหนักในการสร้างและการ จัดการดูแลทรัพยากรธรรมชาตขิ องคนบ้านสาสบหกใหด้ ยี ง่ิ ขึ้นในอนาคต การดาเนนิ การ หลงั จากจัดเวทีช้ีแจงแผนดําเนนิ งานและสร้างความเข้าใจ ความเปน็ มาของโครงการแล้ว ทีมวจิ ยั ได้ดาํ เนนิ การผ่านเวทีและกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ กจิ กรรมสืบสานตาํ นานมอ่ นกอ๋ งข้าว เวทีเล่าขาน ตาํ นานมอ่ นกอ๋ งขา่ ว เวทีสบื คน้ รวบรวมขอ้ มลู ด้านประเพณคี วามเช่ือ วิถชี วี ิต ทรพั ยากรธรรมชาตใิ น ตํานานม่อนก๋องขา้ ว กิจกรรมการศกึ ษาเส้นทางประวตั ศิ าสตรใ์ นพื้นที่จริง พร้อมกําหนดแหล่งเรยี นรู้ ดา้ นประวตั ศิ าสตรแ์ ละแหลง่ เรียนรดู้ ้านทรพั ยากร เป็นต้น ผลของความสาเรจ็ ผลทีไ่ ด้รบั และการเปล่ยี นแปลงทเี่ กดิ ขึ้น 1. ทาํ ใหเ้ กิดการศึกษารวบรวมตํานานมอ่ นกอ๋ งข้าว โดยไดช้ ุดความร้ขู อ้ มลู จากการเลา่ ขาน เหตกุ ารณ์อัศจรรย์ทเี่ กดิ ข้นึ จากอดีตจนถึงปจั จบุ นั ของผเู้ ฒ่าผ้แู ก่ หลกั ฐานอา้ งองิ ประกอบตํานานมอ่ น กอ๋ งขา้ ว มีข้อมลู อ้างอิงเกย่ี วกับประวัติศาสตร์ของชุมชนพบแหล่งเรยี นรู้ทางประวัตศิ าสตรแ์ ละหลกั ฐาน ท่แี สดงถึงบรรพบุรุษชาวลัวะของคนบา้ นสาสบหกอกี ด้วย 2. ชมุ ชนบ้านสาสบหกกลายเป็นแหล่งเรยี นรูก้ ารอนุรกั ษท์ รัพยากรธรรมชาตมิ นี กั ศกึ ษา และชมุ ชนทสี่ นในมาเรียนรู้ 3. เกดิ การมสี ว่ นรว่ มและจติ สาธารณะของชาวบา้ นสาสบหกมากขึน้ ทุกคนมคี วามศรทั ธา มีจติ สํานึกในการอนรุ ักษ์ ทรพั ยากรธรรมชาติ เกดิ ความภาคใจในบา้ นเกิดของตน 4. การใสใ่ จใหค้ วามสาํ คญั กบั สุขภาพรา่ งกาย จิตใจ จากความพยายามในการดูแลปุารักษ์ นา้ํ มาตลอด หลายคนในชุมชนเร่ิมตระหนักถึงการกินอยทู่ ี่พ่งึ พิงธรรมชาตมิ ากขน้ึ บางคนหนั มาทาํ เกษตรอินทรียท์ ไ่ี ม่ทาํ ลายสุขภาพและสิ่งแวดล้อม มีกลุ่มเกษตรอินทรยี ข์ องชมุ ชนบา้ นสาสบหกนํารอ่ งใน การปลูกพืชผกั ปลอดสารพิษ คมู่ อื การทาวิจัยปฏบิ ตั ิการในชุมชน : 49
5. องค์ความรู้เร่อื งตาํ นานมอ่ นกอ๋ งข้าว ขยายผลสสู่ อ่ื การเรียนรู้ในโรงเรียน ทมี วจิ ัยได้องค์ ความรู้เก่ียวกบั ตํานานม่อนก๋องขา้ วท่ไี ดเ้ รยี บเรียงเปน็ ฉบับทไี่ ดร้ บั ความเห็นชอบจากสมาชกิ ในชมุ ชน ได้ ส่ือการเรยี นรหู้ ลากหลายรปู แบบ 6. ตวั แทนนักวิจัยบ้านสาสบหก ได้รบั เชิญเปน็ ครูภมู ปิ ัญญา นายเจริญ ทันใจ หนึง่ ในทีม วิจยั ได้รับเชิญเปน็ ครูภูมิปญั ญา 7. คนในชุมชนบ้านสาสบหกมีทกั ษะในการคดิ วิเคราะห์ การแสดงความคิดเห็นในสว่ นของ ทีมวจิ ยั เห็นชดั จากการกล้าคิด กลา้ พดู และให้ความสาํ คญั กบั ข้อมลู การตรวจสอบความถกู ต้องของ ข้อมลู การทํางานอย่างเป็นข้นั ตอน การวางแผนในการทาํ งานตา่ ง ๆ ในภาพรวมของชมุ ชน ค่มู อื การทาวจิ ยั ปฏิบัติการในชุมชน : 50
4. ช่ืองานวจิ ยั ชวนกนั อ่านหนังสอื ใหเ้ ดก็ ฟัง หัวหนา้ ทมี วิจยั นางนรรถฐยิ า ผลขาว และทมี งาน 24 คน ตาแหนง่ ปจั จุบนั ผอู้ าํ นวยการโรงพยาบาลสง่ เสริมสุขภาพประจําตาํ บลหนองคูน้อย อําเภอไทยเจรญิ จังหวัดยโสธร ปที ด่ี าเนินการ 2550-2552 การอ่านไม่ใช่วัฒนธรรมของชมุ ชน แต่ก็สามารถสร้างให้เกดิ ข้ึนไดจ้ ากจุดเรม่ิ ต้นของคณุ นรรถฐยิ า ผลขาว นักวชิ าการสาธารณสขุ ชาํ นาญการ สถานีอนามัยบา้ นหนองคูน้อย (ขณะนนั้ ปี 2550)ซง่ึ ดเู ผนิ ๆ ไมไ่ ดม้ หี นา้ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การอา่ น แตอ่ ยากชวนคนอา่ นหนงั สอื ใหเ้ ดก็ ฟงั จบั ใจความ ซ่ึงคุณนรรถฐยิ า ผลขาว เกิดแรงบนั ดาลใจหลงั จากอา่ นหนงั สอื เล่มเลก็ ๆ ชือ่ “มหัศจรรยแ์ ห่งการ อา่ น” เขยี นโดยเมม ฟฺอกซ์ แปลโดยววิ าร โฉมเฉลา ราคา 125 บาท ตพี มิ พเ์ มือ่ ปี 2549 เนื้อหาสาระใน หนังสอื เลม่ น้นั ผู้เขยี นไดอ้ ธิบายถงึ ประสบการณ์จากการอา่ นหนงั สือใหเ้ ดก็ ๆ ฟงั วันละ 3 เล่ม มีต้งั แต่ การทาํ ให้เด็กสนใจหนังสือในเบอ้ื งต้น การเลอื กหนังสอื ทีเ่ หมาะกับเดก็ การอา่ นออกเสยี งธรรมชาติ การ ใช้ภาษาทา่ ทางระหว่างการสอน กลเม็ดต่าง ๆ ท่จี ะทําใหเ้ ดก็ มสี มาธิ และอื่น ๆ คุณนรรถฐิยา ผลขาว และเพ่ือนๆ จํานวน 24 คน นําสิง่ เหล่าน้มี าประยกุ ตใ์ ชก้ ับ โครงการวิจัยชวนกนั อ่านหนงั สอื ให้เด็กฟังและขอการสนับสนุนงบประมาณจากสํานกั งานสนับสนุน การวจิ ัย (สกว.) เม่ือปลายปี 2550 รปู แบบการวจิ ยั การวจิ ยั นเี้ ป็นการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิการแบบมีส่วนร่วม คาถามการวิจัย คือ รปู แบบการสง่ เสริมการอา่ นหนังสอื ใหเ้ ด็กอายแุ รกเกิดจนถงึ อายุ 3 ปี เป็นอยา่ งไร จะพฒั นาบทบาทของผเู้ ก่ียวขอ้ งได้อย่างไร ดว้ ยเงอ่ื นไขใด กลมุ่ เปา้ หมายทศี่ ึกษาคือ 1) พอ่ แมท่ มี่ ลี กู อายุไมเ่ กนิ 3 ปี ที่สนใจเข้ารว่ มโครงการในพ้นื ท่ีอําเภอไทยเจรญิ เลิงนกทา กุดชมุ และคาํ เขื่อนแกว้ รวม 92 คน 2) กลุ่มเดก็ อายุไม่เกิน 3 ปี ทีพ่ อ่ แม่จะต้องอ่านหนังสือให้ฟงั 92 คน 3) เดก็ ในศนู ยเ์ ดก็ เลก็ /อนบุ าลจาํ นวน 288 คน วิธีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ใชว้ ธิ ีการศึกษาเชิงคณุ ภาพโดยการสัมภาษณ์การสนทนากลุม่ และการสงั เกตในขณะทีจ่ ัด กระบวนการเรียนรู้ ผลการศกึ ษาเชงิ ปริมาณ ตอนที่ 1 ผลการศึกษากอ่ นเริ่มโครงการซึง่ ดาํ เนนิ การในปี 2550 1.1 ในพ้ืนท่ีมกี ารอ่านหนังสือให้เด็กฟังร้อยละ 16 เมอื่ ไม่มีวา่ กิจกรรมอืน่ เวลาของเดก็ ๆ จึงหมดไปกบั การดูโทรทศั น์เฉลย่ี 2-3 ช่วั โมง/วนั 1.2 ในพ้นื ท่ีเปาู หมายไมม่ ที ซ่ี ้ือหนงั สือสําหรบั เดก็ และหนงั สือดี ๆ สําหรบั เดก็ ราคาแพง มาก และรา้ นหนงั สอื ประจําอําเภอไม่มีหนงั สอื สาํ หรบั เดก็ ขาย มแี ตห่ นงั สอื พมิ พแ์ ละหนังสือจาํ พวก นิตยสาร ดาราภาพยนตร์ โดยเฉพาะอย่างย่งิ โรงเรยี นบางแห่งทพี่ อจะมีหนงั สอื สาํ หรับเด็กอยู่บา้ ง แต่ก็ หวงกลวั หนังสอื เก่า หรอื ชํารดุ จงึ เก็บไวอ้ ย่างมิดชดิ ทาํ ใหเ้ ด็กเข้าไม่ถึงหนงั สอื ทม่ี อี ยู่ คมู่ ือการทาวจิ ัยปฏิบัติการในชุมชน : 51
ตอนที่ 2 รปู แบบของการส่งเสริมการอา่ นหนงั สือให้เด็กฟังทีค่ น้ พบวา่ มี 6 ข้นั ตอน คือ 1) ชวนผู้ปกครองเขา้ ร่วมโครงการ 2) เกบ็ ขอ้ มูลพืน้ ฐาน 3) จัดหาหนงั สือสาํ หรับเดก็ มาใหผ้ ้ปู กครอง 4) ผูป้ กครองอ่านหนงั สอื ให้เดก็ ฟงั ทกุ วัน 5) ตดิ ตามและถอดบทเรียนสมํา่ เสมอต่อเนอ่ื งทกุ 1-2 เดือนเป็นอย่างนอ้ ย 6) จัดเวทสี ะท้อนบทเรียนแกช่ ุมชนและผ้ทู ีเ่ ก่ียวขอ้ ง ผลการศึกษาเชงิ คุณภาพ โครงการชวนกนั อา่ นหนงั สือให้ลกู ฟงั ส่งผลตอ่ ผ้ปู กครองและส่งผลต่อชุมชน ดงั นี้ ผลตอ่ ผปู้ กครอง ผู้ปกครองใส่ใจตอ่ เด็กมากข้ึน อยู่กับลูกมากข้ึน รจู้ กั สังเกตพัฒนาการ ของลูก สมั พนั ธภาพในครอบครวั ดขี ึ้นและถอื เป็นโอกาสของคนยากจนได้เข้าถึงหนังสือ ผลต่อชมุ ชน ทําใหเ้ กิดสงั คมแห่งการเรียนรู้ เกิดหอ้ งสมุดน้อยในสถานีอนามยั 2 แหง่ มี การพลกิ ฟื้นภูมิปญั ญาการเล่านิทานให้เดก็ ฟัง เกิดเครอื ขา่ ยสรา้ งหนอนหนังสอื ตวั น้อยโดยโครงการ ได้รับบริจาคเกอื บ 700 เลม่ ผลต่อเด็ก พบว่าทาํ ให้เดก็ เก่ง ดี มคี วามสขุ โดยมีความจาํ ดี เกิดการเลยี นแบบ สอ่ื สารรู้ เรือ่ ง มพี ฒั นาการทางภาษาทด่ี ี รวมถึงความสามารถในการจําแนกลักษณะของวตั ถุ มีความอดทน รู้จกั รอ มปี ฏิสัมพนั ธก์ ับคนอน่ื ดีข้นึ รจู้ กั เก็บของเป็นระเบยี บ รู้จักสงั เกต การรจู้ ักแบง่ ปนั มคี วามสามคั คี ร้จู กั กตกิ า ผลตอ่ ครู ทาํ ให้ครูมีความช่างสงั เกตมาขน้ึ เปดิ โอกาสให้เด็กเข้าถงึ หนังสอื มีเทคนคิ การเล่า และการอ่านนิทานเพ่ิมข้ึน มปี ฏิสัมพันธก์ บั ผปู้ กครองเดก็ มากขึ้น โครงการวิจัยเรอื่ งชวนกนั อ่านหนังสอื ใหเ้ ด็กฟงั เร่ิมแรกทางโครงการมหี นงั สอื ใหก้ บั พอ่ แม่ ผู้ปกครองไปอ่านใหเ้ ด็ก ๆ ฟงั คนละ 2 เลม่ จะอ่านเวลาไหนกไ็ ดเ้ พียงวันละไม่กน่ี าที จากนั้น 2-3 เดือน มหศั จรรยแ์ ห่งการอา่ นกเ็ กิดขึ้นหลายประการ เช่น เกิดหนอนหนงั สือตวั น้อย ทีมวิจยั ทอ่ี อกเก็บข้อมลู พัฒนาการหลังจากการอา่ นหนงั สือให้ เดก็ ๆ ฟงั เล่าว่าหนงั สือเปน็ แรงดึงดดู ใหเ้ ด็ก ๆ เข้าหาอย่างรวดเรว็ จนแทบจะพูดไดเ้ ลยว่า “การอา่ น เป็นธรรมชาติของเดก็ ” เช่น น้องนรดิ า อยกู่ ับตายายและน้าสะใภ้วันแรกที่ได้หนังสือไปก็จะอย่กู ับ หนังสอื เกอื บทง้ั วนั ชนิดไปไหนก็เอาไปด้วย เพราะท้งั บา้ นไม่มีหนังสอื เลยสักเลม่ เมอื่ อ่านใหฟ้ ังเพียง 2-3 คร้ังกจ็ ะจําได้ และบางคร้ังกส็ ง่ เสยี งอา่ นตามเพราะเปน็ เดก็ ที่มคี วามจําดีมาก เชน่ เดียวกบั สิรริ าช อายุ 1 ปี 1 เดือน ซ่ึงเวลาไปเยีย่ ม ตากบั ยายท่เี ล้ยี งก็บอกวา่ “เขาชอบหนงั สือเปด็ ” วนั หนึง่ เห็นเปด็ เดิน ผา่ นก็ช้ีแล้วร้องเสยี งดังเลยี นแบบในหนงั สือ คณุ แม่ของนอ้ งอายุ 3 เดือน คนหน่ึงสะท้อนว่า “แตก่ ่อนคดิ วา่ เดก็ เล็กไม่น่าจะฟงั รู้เรื่อง แตพ่ อเร่มิ อ่านหนงั สอื เขาจะนง่ั นิ่งเหมือนกาํ ลงั ฟงั อารมณ์ดี และหลับง่ายเวลาอา่ นหนังสอื ใหฟ้ ัง” ซง่ึ ตรงกับประสบการณ์ของคุณยายท่เี ลยี้ งน้องนภัสนนั ท์ วยั 7 เดอื นบอกวา่ “เวลาต่นื นอนก็จะอา่ นใหฟ้ ัง ใหด้ ูภาพประกอบไปดว้ ย จะคยุ อ้อแอต้ าม อารมณ์ดี จะอ่านและทําท่าทางประกอบตามหนงั สือ อุ้มใส่ ตักจับมอื ปรบจะชอบมาก” จากประสบการณอ์ ันปล้ืมปตี ขิ องบรรดาพอ่ แมผ่ ปู้ กครองที่นาํ เอา “การอา่ น”ไปปฏบิ ตั ดิ ้วย ตนเองจนเหน็ ผลแน่นอนวา่ สิง่ เหลา่ นเี้ ป็นการช่วยสร้างพัฒนาการทางสมองแกเ่ ด็ก ๆ ในวัยกําลงั คมู่ อื การทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 52
เจริญเตบิ โต สิ่งทแี่ อบซ่อนมาคือความสัมพนั ธ์ของเดก็ ๆ และผ้ใู หญ่ และสําคัญกว่านนั้ คือ เกดิ สังคม แห่งการเรียนรู้ จุดเดน่ ของโครงการ โครงการวิจยั เรอื่ งชวนกนั อ่านหนังสอื ให้เด็กฟังมจี ดุ เด่น 4 ประการ คอื 1. ความเปล่ยี นแปลงในตัวคน คอื ตวั เดก็ พอ่ แม่ผปู้ กครองและครู 2. เปน็ รปู ธรรมของสร้างนกั อ่าน แสดงใหเ้ หน็ ว่าการอา่ นท่ไี มใ่ ชว่ ฒั นธรรมของชุมชน ชนบทก็สามารถสรา้ งใหเ้ กดิ ข้ึนโดยเนน้ สรา้ งเด็กทเี่ ลก็ ๆ และทงั้ นักวจิ ยั และผูป้ กครองที่เข้ารว่ มโครงการ ตา่ งก็ได้เรียนรู้วา่ “หนังสอื เพียงเลม่ เดียวกส็ ามารถสรา้ งหนอนหนังสือได้” 3. เปน็ โอกาสของคนชายขอบ ทาํ ใหเ้ ดก็ ในครอบครัวทไ่ี มม่ โี อกาสแม้แต่จะสมั ผสั หนงั สือ ไดเ้ ขา้ รว่ มโครงการนอกจากน้ียงั มีครอบครวั สามี ภรรยาใบท้ ง้ั คูท่ ่ีสมัครเขา้ ร่วมโครงการ ซงึ่ แม้ทัง้ สองจะ ไมส่ ามารถเล่านทิ านหรืออ่านหนงั สือให้ลูกฟงั ได้ แต่ลกู ของเขายงั มีโอกาสฟังคุณยาย พ่ี ๆ หรือคนข้าง บา้ นมาอ่านหนงั สือให้ฟงั จนเธอกลายเป็นหนอนหนังสือไปอกี คน เดก็ พูดไดแ้ ละใช้ภาษามือเกง่ กรณนี ้ี ทําให้เหน็ มิติของความเกอ้ื กลู กนั ในชุมชนทเี่ ปน็ รปู ธรรมชดั เจนอยา่ งหน่งึ จดุ เด่นเหล่านี้ สง่ ผลให้ผูห้ ลักผูใ้ หญข่ องจงั หวัดยโสธรขานรับทจ่ี ะทาํ ใหก้ ารอ่านเปน็ วาระ ของจังหวดั และในเบ้อื งตน้ มีพืน้ ทที่ ่ีสมัครเขา้ รว่ มโครงการจาํ นวนมาก ไดแ้ ก่ สถานีอนามัย / โรงพยาบาล จาํ นวน 40 แหง่ อบต./เทศบาล 37 แห่ง โรงเรียน 35 แห่ง กศน.2 อําเภอ จึงนบั เปน็ โอกาสอันดขี องชาวยโสธรทจ่ี ะเรียนรูร้ ่วมกนั ในการผลกั ดันการอา่ นใหเ้ ป็นยุทธศาสตรข์ องจังหวัด ซ่งึ หากมีกระบวนการตดิ ตามและหนุนเสริมทดี่ ีจะเป็นรปู ธรรมของการพฒั นาคนของจังหวดั ท่ียังไม่เคย ปรากฏทีไ่ หนมาก่อน การใช้ประโยชนเ์ ชงิ พนื้ ท่ี : กรณี กศน.อาเภอ ปี พ.ศ.2552 หลังจากสน้ิ สดุ โครงการวจิ ัยเรอื่ ง ชวนกนั อา่ นหนงั สอื ให้เด็กฟัง ซ่ึงสนับสนุน งบประมาณ โดย สกว.ทีมงานวจิ ัยทม่ี นี างนรรถฐยิ า ผลขาว เป็นหวั หนา้ ทมี ไดร้ ว่ มกนั จดั ทําหนงั สอื เล่ม เลก็ ความหนา 56 หนา้ ชื่อ “การเดินทางของหนอนหนังสือตวั นอ้ ยสโู่ ลกแหง่ การเรยี นรู้” เม่ือนายณฐ จฑุ าสงค์ นักวิชาการศกึ ษา กศน.อาํ เภอฆอ้ งชัย จังหวดั กาฬสินธไ์ ดอ้ ่านหนงั สอื เล่มน้ไี ดเ้ กิดแรงบันดาลใจ นําไปสู่การสง่ เสรมิ ใหค้ รูศนู ยก์ ารเรยี นชุมชนนาํ ไปใชก้ บั การจดั การศกึ ษาให้เด็กวัยแรกเกดิ ถงึ 6 ขวบ จาํ นวน 60 คน โดยใชช้ ่ือโครงการ “อา่ นหนงั สือให้ลูกฟัง” ถอื เป็นสว่ นหน่งึ ของหลักสตู รการเรียนการ สอนวิชาภาษาไทย วิธีการดาเนนิ โครงการ มดี ังนี้ 1. ช้ีแจงทาํ ความเขา้ ใจถึงความสาํ คญั ของการอา่ นหนงั สอื ให้ลกู ฟงั กับนกั ศึกษา กลุม่ เปาู หมาย 2. ร่วมแลกเปลีย่ นเรียนรปู้ ระสบการณ์การอ่านหนังสือใหเ้ ด็กฟังกับเครือขา่ ยวิจยั เพ่อื สง่ เสริมการเรยี นรูข้ องเด็กและเยาวชนจังหวดั ยโสธร 3. กศน.อําเภอฆอ้ งชัย จงั หวัดกาฬสินธ์สนบั สนนุ หนงั สอื นทิ านในโครงการ 4. ครูศูนย์การเรียนทําหน้าที่ตดิ ตามใบงานคอื ใหน้ กั ศึกษาทําบนั ทึกการอา่ นทกุ ครั้งวา่ อ่านเรอ่ื งอะไร อ่านอยา่ งไร ทาํ ใบสงั เกตทุกคร้ังว่าท่าทีของลูกเป็นอย่างไร พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง อย่างไร คู่มือการทาวิจัยปฏิบตั ิการในชุมชน : 53
ดําเนนิ การผา่ นไป 2 เดอื น ผลปรากฏว่าเดก็ ๆ กลายเป็นหนอนหนงั สอื อยา่ งรวดเรว็ เด็ก ๆ ตดิ หนงั สือเล่มที่ตวั เองชอบและอ่านเปน็ ประจําไมย่ อมเปลยี่ นได้แก่ เฉลียวฉลาด ความจาํ ดี มรี ะเบียบ วนิ ยั ว่านอนสอนง่าย ซึง่ ตรงกบั ประสบการณข์ องทีมงานโครงการวิจัยชวนกนั อา่ นหนังสอื ใหเ้ ด็กฟงั ที่ ถอดบทเรยี นและนาํ มารอ้ ยเปน็ หนังสือเล่มเล็ก ในสว่ นของนักศกึ ษา กศน.ทรี่ ว่ มโครงการซึ่งเป็นคนอา่ นหนงั สือ พบว่านกั ศกึ ษาทกั ษะการ เขียนดขี ้นึ จากการเขยี นใบบันทึก และใบสงั เกตการณอ์ ่านอย่างสม่ําเสมอ มีพฒั นาการใส่ใจดแู ลลกู หลาน มากข้นึ หลายคนใชเ้ งอื่ นไขในการสอนเรื่องอ่ืน ๆ ใหก้ ับลกู ๆ ไดเ้ ป็นอย่างดี นอกจากนยี้ งั พบว่า ครอบครัวใกลเ้ คียงเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมการเลย้ี งดตู ามไปดว้ ย ผลการดาํ เนนิ งาน โครงการดงั กลา่ วส่งผลให้ กศน.อาํ เภอฆ้องชัย จังหวัดกาฬสนิ ธุ์ ไดร้ ับ รางวัลนวตั กรรมการศกึ ษายอดเยี่ยมของ กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์ ปี พ.ศ.2552 ซง่ึ ปจั จบุ ัน กศน.อําเภอ ฆอ้ งชัย ยงั เดนิ หน้าหนนุ สรา้ งหนอนหนังสือตวั นอ้ ยอย่างคึกคกั คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 54
5. ช่ืองานวิจยั กระบวนการและรูปแบบการขยายผลการทาํ เกษตรอินทรยี เ์ พ่ือพัฒนาเศรษฐกจิ ชมุ ชน ท้องถิ่น ตําบลลวงเหนอื อําเภอดอยสะเก็ด จงั หวัดเชียงใหม่ หัวหนา้ ทีมวจิ ัย นางบาลเย็น สุนนั ตา (เรม่ิ โครงการ 1 กรกฎาคม 2550) พเ่ี ลย้ี งงานวิจัย คุณปณธิ ี บญุ สา เจ้าหนา้ ทีโ่ ครงการ สกว.แม่โจ้ ตําบลลวงเหนือ เป็นอกี ตําบลหน่งึ ทปี่ ระชาชนร้อยละ 80 ในหมู่บ้านทําการเกษตรและการ ทาํ การเกษตรยคุ ร่งุ เรืองในสมัยก่อนมีการใช้สารเคมแี ละไดผ้ ลผลิตทางการเกษตรสงู สงิ่ ที่ตามมาคอื เกดิ ภาวะสารเคมีตกคา้ ง คนในชมุ ชนเปน็ โรคผวิ หนงั และสขุ ภาพยํ่าแย่ อีกทงั้ ผลผลิตท่มี อี อกมาจาํ นวนมาก ทําให้เกดิ การกดราคาจากพอ่ คา้ คนกลาง ในปี 2547 คณุ บาลเย็น สุนันตา จากสถาบนั เกษตรกรรมยั่งยืน ไดม้ าให้ความร้กู บั ชุมชนเร่ืองการทาํ เกษตรโดยไมใ่ ช้สารเคมี การปรับเปลยี่ นวถิ กี ารผลิต ควบคไู่ ปกับการ ทําบัญชคี รัวเรือน ทาํ ให้เหน็ ความแตกต่างดา้ นตน้ ทุนการผลติ และความปลอดภยั ในเรื่องสุขภาพ จึงเกิด เกษตรกรกลุ่มหนงึ่ จํานวน 8 ครัวเรอื น ที่บา้ นสันทราย หมู่ 6 ตําบลลวงเหนือ อาํ เภอดอยสะเกด็ จังหวดั เชยี งใหม่ เร่มิ ทาํ เกษตรอินทรียไ์ ดท้ ดลองทาํ จนเหน็ ผลดที ีเ่ กดิ ขน้ึ ท้งั ตอ่ ตนเอง ครอบครวั และชมุ ชนจงึ ตอ้ งการขยายผลการทําเกษตรอนิ ทรยี ์โดยอาศยั กระบวนการวจิ ัยท้องถิ่นเปน็ เครือ่ งมือขยายผล ตอ่ มาในปี 2550 คณุ บาลเยน็ สนุ ันตา และทมี งานจึงได้เสนอโครงการวิจัยเร่ือง กระบวนการและรูปแบบการขยายผลการทาํ เกษตรอินทรยี ์เพ่ือพฒั นาเศรษฐกจิ ชุมชนทอ้ งถิน่ ตําบลลวง เหนือ อําเภอดอยสะเกด็ จังหวัดเชียงใหม่ และไดเ้ ริ่มดําเนินการเม่อื 1 กรกฎาคม 2550 วัตถุประสงค์ 1. เพ่อื ศกึ ษาสถานการณ์ประสบการณแ์ ละบทเรียนการทําเกษตรอินทรีย์ในตําบล ลวงเหนือ 2. เพอื่ ศึกษาปัจจยั และเง่อื นไขความสาํ เร็จการทาํ เกษตรอนิ ทรยี ์ ตําบลลวงเหนอื 3. เพื่อศกึ ษากระบวนการและขยายผลการทําเกษตรอนิ ทรียท์ ่เี หมาะสมต่อการพัฒนา เศรษฐกิจชมุ ชนตําบลลวงเหนอื วิธีดาเนนิ งาน 1. ทมี งานวิจยั ได้เริ่มทบทวนความรูก้ ารทาํ เกษตรอินทรียข์ องกลมุ่ เกษตรกรแรกเรมิ่ จํานวน 8 ครวั เรอื น บา้ นสนั ทราย หมู่ 6 ตําบลลวงเหนอื โดยการแลกเปลย่ี นประสบการณก์ ารทาํ เกษตร อินทรยี ์ แลกเปลยี่ นทั้งวิธีคดิ วธิ กี าร ขนั้ ตอนการทาํ เกษตรอนิ ทรยี ์ของแต่ละคนและถอดความรู้ออกมา เปน็ แนวปฏิบัติ 2. นําเสนอความรดู้ ้านเกษตรอนิ ทรยี เ์ รม่ิ จากการเล่าประสบการณต์ ั้งแต่อดตี จนถงึ ปัจจุบันใหแ้ กก่ ลมุ่ ผูส้ นใจเกษตรอนิ ทรียใ์ ห้เกิดความเขา้ ใจและตระหนักถึงความปลอดภยั จากการ อปุ โภค-บริโภค อาหารแบบอนิ ทรีย์ทําใหร้ า่ งกายสมบรู ณ์ แข็งแรงไม่มีโรคภยั ไข้เจบ็ มารบกวน จากการ ใช้เคมเี หมือนเมอ่ื กอ่ น และสิ่งสําคัญชาวบา้ นไดร้ บั รู้ถงึ การปลูกพืชอนิ ทรีย์เอาไวก้ ิน ทีเ่ หลือถึงเอาไปขาย เวลากินก็ได้กนิ ผักทไ่ี มม่ สี ารเคมีเวลาขายผ้ซู ื้อก็ไดผ้ กั ที่ไม่มสี ารเคมเี ชน่ กัน 3. ขยายแนวคิดการจดั ทําบญั ชรี ายรบั -รายจ่าย ในครวั เรอื น เพอื่ ใหส้ มาชกิ ได้รบั รวู้ ่าแต่ ละวนั แต่ละเดือนมีรายรบั รายจ่ายเทา่ ใด สนิ้ เดือนนํารายรับ-รายจ่ายมาสรุปเพอ่ื จะไดร้ วู้ ่ามีรายรบั - รายจ่ายเป็นอยา่ งไร รายจ่ายทไี่ มจ่ ําเปน็ ตัดออกไป มีการใช้จา่ ยอยา่ งสมเหตุสมผลกับฐานะความเป็นอยู่ ไม่ฟงูุ เฟอู จนเกนิ เหตุโดยยึดถอื หลกั ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง คูม่ อื การทาวจิ ัยปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 55
4. พฒั นาฟาร์มต้นแบบของเกษตรอนิ ทรียจ์ าํ นวน 7 ฟารม์ ใน 7 หมบู่ า้ นเพือ่ ให้ชมุ ชนได้ ทดลองปฏบิ ัติจรงิ และสมั ผัสได้ด้วยตนเอง 2. ผลทเี่ กิดขนึ้ ระดับตาบล 2.1 นายกเทศมนตรี และรองนายกเทศมนตรี เทศบาลตําบลลวงเหนือ ได้เข้ามามสี ่วนร่วม ทีมวจิ ยั ตั้งแต่ตน้ และสง่ เจา้ หน้าท่ที ม่ี ีส่วนเกีย่ วขอ้ ง เชน่ นกั วิชาการเกษตร เจา้ หน้าท่สี าธารณสขุ นกั พัฒนาชมุ ชนเขา้ ร่วมกิจกรรมเพือ่ ใหเ้ ข้าใจในการทํางานของทีมวจิ ยั และร่วมกนั อบรมหลักสูตรตา่ ง ๆ ของการทําเกษตรอนิ ทรยี ใ์ ห้แกช่ มุ ชน นอกจากน้ีเมอ่ื พบประเดน็ ปัญหาแลว้ ทางทมี งานวจิ ัย ก็นาํ เสนอ ตอ่ สภาเทศบาลพร้อมเสนอแนะแนวทางแก้ไข ตลอดจนขอรบั การสนับสนุนงบประมาณเพือ่ ดาํ เนินงาน ตามข้อมูล ขอ้ เท็จจรงิ ท่ที ีมงานวิจยั นาํ เสนอ เพอื่ นาํ ไปสูก่ ารพฒั นาชุมชนทอ้ งถน่ิ อยา่ งย่งั ยนื ตอ่ ไป ทําให้ การแก้ไขปญั หาของเทศบาลตรงจุด ทนั ตอ่ สถานการณ์ในขณะน้นั และเทศบาลไม่ตอ้ งเสยี งบประมาณ ใหห้ นว่ ยงานอน่ื มาทาํ วิจยั ในพนื้ ทีอ่ ีก เป็นการประหยดั ค้มุ ค่าและเป็นการบรู ณาการความคิดและการ บรหิ ารจดั การท่ดี ีของทอ้ งถนิ่ ที่จัดทาํ ขน้ึ โดยชมุ ชนและเพื่อชุมชนอย่างแทจ้ รงิ 2.2 ทาํ ใหเ้ ทศบาลตาํ บลมองเหน็ สภาพในแง่มุมเดียวกนั กับชาวบา้ นและเกษตรอินทรีย์ก็ เป็นทางเลือกหนง่ึ ที่แก้ไขปัญหาได้ตรงจุดท้ังการลดปัญหาต้นทนุ การผลิต ปัญหาโรคภัยไขเ้ จ็บ เน่ืองจาก มาจากการใชส้ ารเคมีในการเกษตรและสามารถลดปัญหาเรอ่ื งขยะในชุมชนได้ เน่อื งจากตําบลลวงเหนอื มพี ้ืนท่ีการเกษตรเปน็ จาํ นวนมาก การรณรงค์ไมเ่ ผาตอซงั ข้าว โดยการไถกลบ การนาํ เศษวชั พชื ก่ิงไม้ ใบไม้ มาทําเปน็ ปุยหมกั เปน็ ส่วนหนึง่ ทล่ี ดการเผา และผลท่ไี ดค้ ือปยุ ใช้ทดแทนสารเคมี อีกปญั หาหนึง่ คือในการทาํ นาข้าวมีหอยเชอร่รี ะบาดในพืน้ ท่ี ทมี วจิ ัยไดจ้ ดั อบรมทํานาํ้ หมักชีวภาพจากหอยเชอรี่ โดย อุดหนุนงบประมาณวสั ดุอุปกรณ์เพ่อื ให้ตัวแทนเกษตรกรในแตล่ ะหมู่บ้าน นาํ ไปปฏบิ ตั เิ พอื่ นาํ ไปใช้ใน พ้ืนทขี่ องตนเอง นอกจากนที้ างทมี วิจยั และเทศบาลตาํ บลลวงเหนือ ยังไดน้ ําขอ้ มูลและความรทู้ เ่ี กิดขนึ้ ใน ชมุ ชน มาทาํ งานกบั โครงการอาหารปลอดภัยของ สสส.การทาํ ปุยหมกั ขา้ วพันธอุ์ นิ ทรีย์ ข้าวก่าํ พนั ธ์ุดอย สะเก็ด การทําแกส๊ ชวี ภาพจากมูลสตั ว์ เป็นการลดรายจา่ ยจากครัวเรอื น โดยความรว่ มมอื กับ กระทรวงวิทยาศาสตร์และมหาวทิ ยาลัยราชมงคลลา้ นนาด้านการเกษตร เปน็ ต้น คูม่ อื การทาวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชมุ ชน : 56
ใบงานท่ี 3 การต้ังคาถามการวจิ ัยและตวั อย่างงานวจิ ยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน 1. จากการสังเกตปรากฏการณ์ทเ่ี กิดขน้ึ จรงิ ของกลุ่มออมทรัพยใ์ นจังหวดั สรุ นิ ทร์ มีดังน้ี “กลมุ่ ออมทรัพยใ์ นจงั หวัดสุรนิ ทร์นนั้ มกี ารกอ่ ตง้ั ข้นึ อยา่ งมากมาย แต่ทวา่ หลงั จากผา่ นไปสกั ระยะหนึ่ง กล่มุ ออกทรัพยท์ เี่ หลือรอดชวี ิตอยู่นน้ั มจี านวนไมม่ าก และแม้แต่ในจานวนทรี่ อดชวี ติ นน้ั กลมุ่ ออม ทรัพย์ท่ีมีสขุ ภาพสมบรู ณ์แขง็ แรงใหบ้ รกิ ารสมาชกิ ได้อยา่ งแท้จรงิ และเต็มท่ี ก็ย่ิงมจี านวนนอ้ ยลงไป อกี ...” ให้ท่านตงั้ คําถามการวจิ ยั ใหส้ อดคล้องกบั วงจรชวี ิต (Life cycle) ของปรากฏการณก์ ล่มุ ออม ทรัพยใ์ นจังหวดั สุรนิ ทร์ ดงั กลา่ วขา้ งตน้ วงจรชวี ติ ของปรากฏการณ์ คาถามวจิ ัยเชงิ อธบิ าย 1. การเกดิ ขน้ึ 2. การดํารงอยูไ่ ด้ 3. การเปลยี่ นแปลง 4. การลม่ สลาย 2 . มีกิจกรรมอะไรบ้างทค่ี วรนํามาใช้ในกระบวนการวิจัยปฏิบตั ิการเพ่อื พฒั นากลุม่ ออมทรัพยใ์ น ตาํ บลของทา่ นทกี่ อ่ ตั้งขึ้นแล้วใหด้ าํ รงอยู่ไดไ้ ม่ลม้ เลกิ ไป 1. ........................................................................................................................................................ 2. ........................................................................................................................................................ 3. ........................................................................................................................................................ 4. ......................................................................................................................................................... 5. ......................................................................................................................................................... คมู่ อื การทาวจิ ัยปฏิบตั ิการในชุมชน : 57
3 . ให้ยกตัวอยา่ งกระบวนการคดั โจทย์วจิ ยั ในชมุ ชน โดยใชเ้ วทชี าวบา้ นมาจาํ นวน 1 กรณี ตัวอยา่ ง .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... . ค่มู อื การทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 58
4. ยกตวั อย่างชนิ้ งานวจิ ัยเพ่ือทอ้ งถน่ิ (สนับสนุน สกว.) จากการค้นคว้าจากเอกสารหรือ อินเตอร์เน็ตโดยพิจารณาเลอื กชน้ิ งานทีค่ รู กศน. สามารถนาํ มาปรบั ใช้กบั ภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายได้ จํานวน 1 เรื่อง .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... .................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ค่มู ือการทาวจิ ัยปฏิบตั กิ ารในชุมชน : 59
แนวคาตอบ ใบงานท่ี 1 ใบงานท่ี 2 ใบงานที่ 3 ใบงานที่ 1 ความหมาย ความสาคญั และกระบวนการสาคญั ของการวิจัยปฏิบัตกิ ารในชุมชน 1. ความหมายของการวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั ิการ (Action research หรือ Field experiment) อยา่ งน้อย 2 ความหมาย 1) การวิจัยเชิงปฏบิ ตั กิ าร หมายถงึ งานวจิ ัยทีช่ าวบา้ นใชภ้ ูมปิ ัญญาผสมกบั หลกั วิชาการวจิ ยั นาํ ความรู้ท่ีได้จากผลการวจิ ัยไปใชไ้ ด้ประโยชน์จรงิ รู้จักค้นพบวธิ ีแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง จนสามารถหาทาง แก้ปัญหาไดอ้ ย่างถูกวธิ ี เหมาะสมตามสภาพของภมู สิ งั คม (ปรญิ ญา สิงหเ์ รือง , 2554:13) 2) วิจยั เชิงปฏบิ ัตกิ าร หมายถงึ เปน็ การวจิ ยั ทีม่ ุง่ อาศยั บคุ คลหลายฝาุ ย โดยเฉพาะบุคคลใน กระบวนการดําเนนิ การวิจยั ตัง้ แต่ข้ันตอนแรกคือ การวิเคราะหก์ าํ หนดปญั หาการวจิ ัยจนกระทง่ั ถึง ขน้ั ตอนสดุ ทา้ ย คอื การสรปุ เขยี นรายงานวิจัยการวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารตามความหมายดงั กล่าวมักจะพบมาก ในการดาํ เนินงานแก้ไขปญั หาหรอื พฒั นาชวี ติ ความเป็นอยู่ของกลมุ่ บุคคลในชมุ ชนต่าง ๆ ไม่วา่ จะเป็น ชมุ ชนชนบทหรือชุมชนในเมืองก็ตาม (รตั นะ บัวสนธ์,2551:93) 2. เพราะเหตใุ ดจึงกล่าววา่ การวิจัยเชิงปฏิบตั กิ ารในชมุ ชนมีขอ้ จํากัดในการสรุปอ้างองิ ผลการวิจยั การวจิ ยั เชิงปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชนไม่มงุ่ นาํ ผลไปวางนยั สรุปท่วั ไปทางทฤษฏหี รอื หลกั การทั่วไป มี เหตุผลดังน้ี คู่มอื การทาวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 60
1) การมีส่วนร่วมของผปู้ ฏิบัติซึง่ เปน็ หลกั การสาํ คัญของการวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชนส่งผลกระทบ ต่อขอบเขตและขนาดของงานวจิ ัยทาํ ใหง้ านวจิ ัยแบบนม้ี ักจะมขี นาดเล็กซ่งึ ทําใหม้ ีผลตอ่ ความเป็น ตวั แทนของขอ้ คน้ พบจึงกอ่ ใหเ้ กดิ ข้อจํากัดในการสรปุ อา้ งองิ ผลการวิจยั 2) การวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในชุมชนมกั ไมไ่ ด้ออกแบบการวิจยั ให้สามารถควบคุมตวั แปรภายนอกได้ เหมือนการวิจัยเชิงวชิ าการ จึงมตี ัวแปรภายนอกส่งผลรบกวน เนื่องจากสภาพที่เกดิ ขึ้นในชุมชนจะปล่อย ให้เปน็ ไปตามธรรมชาติ ข้อค้นพบท่ไี ด้บางคร้งั จึงไมส่ ามารถยืนยันไดห้ นักแน่นว่าผลท่ีเกิดข้ึนกับผคู้ นใน ชมุ ชนนน้ั เกิดขึน้ มาจากปจั จยั ใด แต่ตราบใดปัญหาในชมุ ชนหมดไปหรือคลค่ี ลายลงได้กถ็ ือว่าการวจิ ยั คร้ังนัน้ ประสบความสาํ เรจ็ 3) การวจิ ัยปฏบิ ัติการในชุมชนไมใ่ ชว่ ิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรไ์ มใ่ ช่การทดสอบสมมุติฐาน ดว้ ย วิธกี ารทางสถิตจิ ากการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู เพอื่ หาข้อสรุป ไมอ่ ้างผลจากกลุม่ ตัวอย่างไปสู่ประชากร เหมือนการวิจัยอน่ื ๆ แต่การวิจัยปฏิบตั ิการในชมุ ชนเนน้ วิธีการทางสงั คมศาสตร์หลาย ๆ วิธีรว่ มกันเพอ่ื กอ่ ให้เกดิ การปรบั ปรุงเปลีย่ นแปลงของสถานการณม์ ากกวา่ การอธิบายหรอื ตีความสถานการณ์ 3. สภาพการและวธิ ีคิดของนกั วิชาการและคนทอ้ งถนิ่ มีช่องวา่ งในการสื่อสารและความคาดหวงั ของ แตล่ ะฝาุ ยทม่ี ตี อ่ งานวจิ ยั ปฏิบัติการในชุมชนแตกต่างกันอยา่ งไร แนวคดิ ของฝุายนกั วชิ าการตอ่ งานวิจยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน 1) มุ่งวชิ าการและวธิ กี ารที่ถกู ต้อง 2) ไดข้ อ้ เท็จจรงิ 3) มีความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์และขาดมติ ิทางสังคม 4) มที ัศนคตแิ ละความเป็นผถู้ า่ ยทอด มากกวา่ ความเป็นผู้ไปเรยี นรใู้ นท้องถ่ิน จึงเขา้ ไปวจิ ัย ชุมชนในแบบผู้รู้ 5) ใชภ้ าษาวิชาการ 6) ไดผ้ ลงาน แนวคดิ ฝ่ายคนท้องถน่ิ 1) อยากได้ความรู้ แต่ขาดแหล่งข้อมูล 2) ยอมรับข้อเท็จจรงิ ไมไ่ ด้ในบางครง้ั 3) ขาดความรทู้ างวทิ ยาศาสตร์ 4) มภี ูมิปญั ญาในท้องถิ่น แตม่ คี วามรู้สกึ ดอ้ ยในการนําไปใช้ 5) ไมม่ ีโอกาสมีสว่ นร่วม 6) ไมเ่ ข้าใจภาษาวิชาการ 7) ตอ้ งการได้ใชข้ ้อมูล 4. สํานกั งานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย (สาํ นักงาน กศน.) ได้ให้ ความสําคญั ของการวิจัยปฏบิ ตั ิการในชมุ ชนไว้อยา่ งไรบ้าง สํานกั งาน กศน.ไดก้ ําหนดนโยบายและจุดเนน้ การดาํ เนนิ งานในแต่ละปี โดยใหค้ วามสําคัญของการ วจิ ัยปฏบิ ัติการในชมุ ชน ดงั นี้ 1) การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ของ กศน.ตําบลตามคมู่ อื การดาํ เนินงาน กศน.ตําบล (2552) ระบุให้ “ใช้กระบวนการวจิ ยั เชงิ ปฏิบตั กิ ารแบบมสี ่วนร่วมหรอื วจิ ัยเชิงปฏบิ ัติการในช้ันเรียนและการ คู่มอื การทาวิจัยปฏิบตั กิ ารในชุมชน : 61
จัดการความรูเ้ ปน็ กระบวนการสาคญั ในการแกป้ ญั หาหรอื พัฒนาการจดั กระบวนการเรยี นรู้ และ คุณภาพการเรยี นรขู้ องผูเ้ รยี น” 2) สง่ เสริมกระบวนการเรียนรตู้ ลอดชวี ิตในชมุ ชน โดยพัฒนาศกั ยภาพการเรียนรู้ของคนใน ชมุ ชน ส่งเสรมิ บทบาทของภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ ในการจดั กจิ กรรมการเรยี นร้แู ละศูนย์การเรยี นแบบตา่ ง ๆ 3) พฒั นาหัวหน้า กศน.ตาํ บล/แขวงให้มสี มรรถนะสงู ขึน้ ในการบรหิ ารจดั การ กศน.ตาํ บล/ แขวง และปฏบิ ัติงานตามภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเน้นการเป็น นกั จดั การความร้แู ละเป็น ผอู้ านวยความสะดวก ในการเรยี นรู้เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรียนรูท้ ม่ี ปี ระสิทธภิ าพอย่างแท้จรงิ 4) สง่ เสรมิ และสนับสนุนให้มกี ารพฒั นานวัตกรรมเพอื่ การพัฒนาสมรรถนะในการปฏบิ ตั งิ าน ของบุคลากรอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 5) ชมุ ชนได้รับการสง่ เสริมกระบวนการเรยี นรมู้ ีกจิ กรรมเพอ่ื แก้ปัญหาและพัฒนาชมุ ชนโดยใช้ รปู แบบการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศัย โดยมี กศน.ตาํ บลและศูนย์การเรยี นชุมชน ตา่ ง ๆ เป็นกลไกสง่ เสรมิ การเรยี นรู้ 6) พัฒนาครูและผ้ทู ่เี กี่ยวขอ้ งใหส้ ามารถจัดการเรียนรูไ้ ดอ้ ย่างมีคณุ ภาพโดยสง่ เสรมิ ใหม้ ี ความรู้ ความสามารถในการจัดทาํ แผนการสอน การจัดกระบวนการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลและ การวจิ ัยเบ้อื งตน้ 7) สง่ เสริมการพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนเพอื่ สง่ เสริมการศกึ ษา ตลอดชีวิตที่หลากหลาย สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของกลุม่ เปูาหมายและชมุ ชน 8) ส่งเสรมิ การจัดกระบวนการเรียนรใู้ นชุมชนโดยการจัดทาํ แผนชุมชน จดั เวทชี าวบ้าน การศึกษาดูงาน การฝกึ อบรม เพ่ือนําไปแกป้ ญั หาหรอื พัฒนาชมุ ชน 5. ใหบ้ อกความแตกต่างระหว่างการวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชุมชนกับการวิจัยเชิงวชิ าการ เปรยี บเทียบ ความแตกต่างของการทาํ วจิ ยั ปฏิบตั กิ ารในชุมชนกบั การวจิ ัยเชงิ วชิ าการได้ดังน้ี ประเดน็ การวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในชุมชน การวิจัยเชิงวชิ าการ 1. เปาู หมาย มงุ่ สรา้ งความรูเ้ ฉพาะเพอ่ื ใช้ในชุมชน 2. ผู้วิจยั ท่คี รู กศน.รบั ผิดชอบ มุง่ สรา้ งความรทู้ ั่วไป ซ่งึ สามารถ 3. วงจรของการวิจยั ดาํ เนนิ การโดยครู กศน.มีลกั ษณะ สรุปอา้ งอิงได้ การวจิ ยั แบบรว่ มมือกับชาวบ้าน ใช้ 4. วิธกี ารวจิ ยั วงจรทํางานแบบ PAOR ดาํ เนนิ การโดยนกั วิชาการหรอื Plan,Act,Observe,Reflect โดย นักศกึ ษาในมหาวทิ ยาลยั ทไี่ มไ่ ด้ ขั้นตอน Reflect (สะทอ้ นกลับ)เป็น ปฏิบตั งิ านในชุมชน ขน้ั ตอนทเ่ี ดน่ ทที่ าํ ใหก้ ารวิจัยนี้ต่าง จากการวิจัยอน่ื ใชว้ งจรการวิจัยการทําวจิ ัย แบบ กาํ หนดปัญหา ศึกษาเอกสารที่ ไม่เน้นการกาํ หนดกรอบแนวคดิ เกย่ี วขอ้ งออกแบบการวิจัย ทฤษฏี แตใ่ ชป้ ระสบการณข์ องครู (กาํ หนดประชากร กลุ่มตวั อยา่ ง กศน.ทีป่ ฏบิ ตั งิ านในชมุ ชน ไม่เนน้ สร้างเครอ่ื งมอื เกบ็ ข้อมลู วิเคราะห์ข้อมลู ) สรปุ และอภปิ ราย ผลการวิจัย ยดึ แบบแผนการวิจัย การออกแบบ การวิจัยที่รดั กมุ มกี ารกําหนด กรอบแนวคิดทฤษฏี ตรวจสอบ คมู่ อื การทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 62
ประเดน็ การวจิ ัยปฏิบัตกิ ารในชุมชน การวจิ ัยเชงิ วิชาการ แบบแผนการวจิ ยั มาก ใช้การวจิ ัยเชิง ทฤษฏแี ละพัฒนาทฤษฏี ใช้การ คุณภาพมากกวา่ เชิงปริมาณ วิจัยเชิงปรมิ าณมากกวา่ 5. การกาํ หนดวธิ กี าร ใช้วธิ ีการเชงิ อตั วสิ ัย (subjective) องิ ทฤษฏหี รอื มผี ลการวจิ ยั รองรับ แกไ้ ขปัญหาในชมุ ชน โดยอาศยั ประสบการณค์ รนู ักวิจยั แต่ จะใชว้ ธิ ีการเชงิ ปรนัยในการ ตรวจสอบผลการวจิ ยั 6.กลมุ่ เปาู หมายท่ี ชุมชนเป็นหนว่ ยวเิ คราะหข์ อ้ มูล ชาวบา้ นเป็นตวั แทนประชาการ ตอ้ งทําวจิ ยั ชาวบา้ นผทู้ เี่ กี่ยวขอ้ งเป็นผู้รว่ มวจิ ัย นาํ ไปสู่การเปลี่ยนแปลงตาม เปาู หมายทกี่ าํ หนด 7.ขอ้ มลู วจิ ัย ครู กศน.และชาวบ้านรว่ มกันเก็บ อาจใชว้ ิธีการเกบ็ ข้อมูลแบบ ขอ้ มูล ใช้วธิ กี ารสงั เกตหลกั ฐานการ เดยี วกบั การวิจยั เชิงปฏบิ ัติการใน แสดงพฤติกรรมของกลมุ่ เปาู หมาย ชั้นเรียน แต่โอกาสใกล้ชดิ กบั ข้อมูลสว่ นใหญเ่ ป็นข้อมลู เชงิ คณุ ภาพ แหล่งข้อมูล (ชุมชน) จะมีนอ้ ย 8.การวิเคราะห์ขอ้ มูล ใชก้ ารวเิ คราะหเ์ น้ือหา ไม่เนน้ การ สว่ นใหญ่ใชว่ ธิ กี ารวเิ คราะหท์ าง วเิ คราะห์ด้วยสถติ ิชั้นสงู สถิติเนน้ การสรุปอา้ งองิ 9.การอภปิ รายแปล ครู กศน.ผู้ทําวิจยั และเพ่ือนครจู ะมี นักวจิ ัยอภิปรายภายใตก้ รอบ ความหมาย ข้อ การแลกเปลยี่ นประสบการณก์ าร ทฤษฏที ่ีใช้ในการวิจยั และใชค้ วาม คน้ พบจากการวิจัย วจิ ยั รว่ มกัน มกี ารถกอภิปรายถึง คดิ เหน็ ของนกั วจิ ัยประกอบการ วิธกี ารแกป้ ญั หาทใ่ี ชแ้ ละผลทเ่ี กดิ ข้ึน อภิปราย 10.ช่วงเวลาในการทาํ ทําเป็นสว่ นหน่งึ ให้สอดคลอ้ งกับ เปน็ นกั วจิ ัยท่ีเฝูาสงั เกตหรือเก็บ วิจัย ภาระงานในชมุ ชน และทาํ อย่าง ขอ้ มูลอยหู่ า่ ง ๆ แม้จะมโี อกาสเข้า รวดเร็ว เพอื่ ใหส้ ามารถทดลองใชผ้ ล ไปทาํ ในชมุ ชนแตก่ จ็ ะเปน็ ช่วงชนั้ ตามแนวทางท่ีครู กศน.ผวู้ ิจัย เมอ่ื ทาํ เสร็จกถ็ อยหา่ งออกมา การ ตัดสินใจจะใช้ วางแผนการวจิ ยั อาจต้องใช้ เวลานานกวา่ การวิจยั ปฏิบตั ิการใน ชมุ ชน 11.การใช้ผลการวจิ ยั นาํ ผลไปใช้แกป้ ัญหาของชุมชนทันที ผลการวิจยั อาจไมไ่ ด้นําไปใช้ในทาง และตรวจสอบผลท่เี กิดขึ้น ไม่เนน้ ปฏิบตั จิ ริง แต่อาจมีการตพี มิ พ์ การตพี ิมพเ์ ผยแพร่ เปน็ บทความ เผยแพรเ่ ป็นบทความวิจยั หรอื วิชาการ บทความทางวิชาการ คู่มือการทาวิจยั ปฏิบัติการในชุมชน : 63
ใบงานที่ 2 ความหมาย รูปแบบและระเบียบวิจยั เพือ่ ท้องถ่ิน 1. การวจิ ัยเชิงปฏิบัตกิ ารแบบมีสว่ นร่วม (Participatory Action Research : PAR) นอกจากจะมี ความหมายภายใต้หลักการวา่ “เป็นปัญหาของชาวบ้าน ชาวบา้ นเป็นทีมวิจยั และมกี ารปฏบิ ัติเพือ่ แกป้ ัญหา” แล้วยงั มีผนู้ ยิ ามความหมายของ PAR ไวอ้ ยา่ งหลากหลาย ขอใหท้ า่ นยกตวั อย่างความหมาย ของ PAR จาํ นวน 2 ข้อ ความหมาย PAR ขอ้ ที่ 1 (กมล สดุ ประเสรฐิ ,2537)การวจิ ัยปฏบิ ตั ิการแบบมสี ่วนรว่ ม (Participation Action Research หรอื PAR) เปน็ เทคนิคการศกึ ษาและวิเคราะห์ปัญหาชุมชนทีเ่ น้น ให้คนในชมุ ชนสามารถรวมตวั กันในรปู ขององค์กรประชาชนท่มี ีประสทิ ธิภาพ โดยเพิ่มศกั ยภาพของคน ในชุมชนดว้ ยระบบข้อมูล ให้ประชาชนเหน็ ความสาํ คญั ของข้อมูล เพราะข้อมูลจะชว่ ยให้คนในชุมชน สามารถวเิ คราะหป์ ัญหาของชมุ ชนตอ่ ไปได้ จึงตอ้ งฝกึ อบรมเพอื่ สร้างทีมงานวิจยั ของชมุ ชนขึน้ ลักษณะสาคัญของการวจิ ัยปฏิบตั ิการแบบมีส่วนรว่ มมดี งั น้ี 1) ผูศ้ กึ ษาและวิเคราะห์ปญั หาชมุ ชนตอ้ งไปใช้ชีวิตร่วมกับคนในชมุ ชนเพื่อใหไ้ ด้ขอ้ มูลที่ ลกึ ซ้งึ และถูกตอ้ ง 2) เนน้ การจัดการชมุ ชนและการมีสว่ นรว่ มในรปู ของการรวมตวั เปน็ องค์กรของคนใน ชุมชน นกั พัฒนาชุมชนหรือผศู้ ึกษาวเิ คราะหป์ ญั หาของชุมชนทําหน้าทีเ่ ปน็ นักจดั องค์กรช่วงฝกึ อบรม เสรมิ สร้างความรู้ และทักษะในการวจิ ัยใหเ้ ทา่ น้นั 3) ให้คนในชุมชนคิดและตดั สินใจโดยตนเองโดยไมม่ ีการครอบงาํ และมีบทบาทในทุก ขนั้ ตอน นกั พฒั นาชุมชนพียงช่วยประสานงานใหค้ วามรูท้ างวิชาการและเทคนิคตา่ ง ๆ เท่านั้น 4) เป็นการผสมผสานแนวความคดิ ของการจัดการชมุ ชน ( Community Organization) และการเรยี นรขู้ องชุมชนเขา้ ดว้ ยกนั (Problem Based Learning) ความหมายของ PAR ขอ้ ท่ี 2 (พันธ์ทุ ิพย์ รามสตู ร,2540) การวิจยั ปฏิบัตกิ ารอยา่ งมสี ่วนร่วม (PAR) เปน็ กระบวนการทางประชาธิปไตยอยา่ งหน่งึ ทบ่ี คุ คลจํานวนหนึ่งนําความรทู้ ี่ไดจ้ ากการ ศึกษาวิจัยและลงมือกระทาํ ดว้ ยตนเองมาปรบั ปรุงแก้ไข หรือเปลีย่ นแปลงสงั คมของตน การวจิ ัย ปฏิบัตกิ ารอย่างมสี ่วนรว่ ม (PAR) จึงเปน็ รปู แบบการวจิ ัยที่ประชาชนผูเ้ คยเปน็ ประชากรทถ่ี ูกวจิ ัยกลบั บทบาทเปลย่ี นเปน็ ผู้รว่ มในการทําวจิ ัยนน่ั เอง โดยการมสี ่วนรว่ มนีจ้ ะตอ้ งมตี ลอดการวจิ ยั นบั แตก่ าร ตัดสนิ ใจวา่ ควรจะตอ้ งศึกษาวิจัยในชุมชนน้ัน ๆ หรือไม่ การประมวลหลักฐานและขอ้ มลู เพ่อื กาํ หนด ปญั หาวิจัย การเลอื กระบุประเด็นปญั หา การสรา้ งเครอื่ งมอื การเกบ็ ข้อมูล การวิเคราะห์และการเสนอ สิง่ ท่คี น้ พบ จนกระทั่งการกระจายความรทู้ ไี่ ดจ้ ากการวิจัยไปสกู่ ารลงมอื ปฏิบตั ิ คมู่ อื การทาวิจัยปฏบิ ตั ิการในชมุ ชน : 64
2. ใหย้ กตวั อย่างงานวจิ ยั ปฏิบัตกิ ารในชุมชนทม่ี ีลกั ษณะ “เป็นปัญหาของชาวบา้ น ชาวบา้ นเปน็ ทีม วจิ ยั และมีการปฏบิ ตั ิการเพ่อื แกป้ ญั หา” จํานวน 1 เรือ่ ง (อาจเปน็ งานวิจยั ท่ีไดจ้ ากการอ่านเอกสาร ค้นควา้ ทางอนิ เตอรเ์ นต็ หรือลงมือปฏบิ ัตกิ ารจรงิ ในสนาม) ตัวอย่างงานวจิ ัยปฏบิ ตั ิการในชมุ ชนทีล่ ักษณะเป็นปญั หาของชาวบ้าน “ชาวบ้านเปน็ ทีมวจิ ยั และ มกี ารปฏบิ ตั กิ ารเพ่ือแก้ปญั หา” จํานวน 1 เรื่อง มดี งั น้ี ชือ่ โครงการวิจัย การศกึ ษาและพัฒนารูปแบบการเลยี้ งโค-กระบอื ที่เหมาะสมบนพ้นื ท่สี งู อาํ เภอนาํ้ หนาว จงั หวัดเพชรบรู ณ์ : กรณศี กึ ษา ต.วังกวาง อําเภอนา้ํ หนาว จังหวดั เพชรบูรณ์ หัวหน้าทีม นายวไี ซ ด้วงทอง ความเป็นมา ทา่ มกลางกระแสการปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ขา้ วโพด ยางพารา ทําใหเ้ กิดความขดั แย้ง ระหวา่ งคนเลีย้ งวัวและเกษตรกร ตาํ บลวงั กวาง อาํ เภอนํ้าหนาว จังหวดั เพชรบรู ณ์ ซ่ึงตงั้ อยทู่ างทิศ ตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ของจงั หวัดเพชรบูรณ์ ห่างจากตัวทต่ี ัง้ ของจังหวัดระยะทาง 165 กโิ ลเมตร ต้ังอยู่ บนที่ราบสงู บนทิวเขาเพชรบูรณ์ ตดิ กบั อุทยาน พ้ืนที่สว่ นใหญ่เปน็ ภเู ขาสูงชมุ ชนส่วนใหญป่ ระกอบ อาชีพเกษตรกรรม ไดแ้ ก่ ทาํ ไร่ขา้ วโพด รบั จ้างทัว่ ไป บางสว่ นมกี ารเลยี้ งโค-กระบอื สืบทอดมาจาก บรรพบรุ ุษสืบตอ่ กนั จนถงึ ปจั จบุ ัน วัตถุประสงค์ เพ่อื ศกึ ษารูปแบบ ขอ้ มูล สถานการณผ์ ูเ้ ลย้ี งโค กระบอื และภูมปิ ัญญาในการเลย้ี งโค กระบือของชาวบา้ นจากอดีตถึงปจั จบุ นั และเพอื่ คิดคน้ หารปู แบบ วธิ กี ารในการเลย้ี งโค กระบือ บนพื้นท่ี สงู ทส่ี อดคลอ้ งเหมาะสมกบั พ้นื ทีไ่ ปปฏิบัตขิ องชาวตาํ บลวงั กวาง ผลการวจิ ัย ทมี งานวจิ ยั ไดก้ าํ หนดทศิ ทางและเปาู หมายของการเก็บรวบรวมขอ้ มูลและการเรียบเรยี ง ข้อมูลทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง ทีมวจิ ัยชาวบา้ นไดพ้ บรปู แบบการเลยี้ งโค กระบือ 5 รูปแบบ คือ 1. รปู แบบการเลย้ี งโค กระบอื ไวท้ ีบ่ ้านโดยเกย่ี วหญ้ามาให้กนิ 2. รูปแบบการลอ้ มสวน นา ไร่ ดว้ ยลวดปล่อยกระแสไฟฟาู 3. รปู แบบการเล้ียงในปาุ ชุมชน ทาํ คอกไวใ้ นปาุ 4. รปู แบบการเลยี้ งแบบปล่อยอุทยาน 5. รูปแบบนายฮอ้ ยเลีย้ งไวใ้ กล้บา้ นรอขาย ซึง่ ทั้ง 5 รปู แบบมีขอ้ ดแี ละขอ้ เสยี ท่แี ตกต่างกนั ออกไปเกษตรกรสามารถเลือกนําไปปฏิบัติ ไดแ้ ลว้ แต่ความเหมาะสม ความตอ้ งการของแตล่ ะคนทีม่ แี นวคิดแตกต่างกันไป สามารถเลือกนาํ มา ประยุกต์ใช้ในเหมาะกับการดําเนินชีวติ ของเกษตรกร “เกิดความลงตวั ” เชน่ ถา้ คนทไ่ี ม่มีเวลาในการ เล้ียงวัวทํางานอยา่ งอนื่ ก็ควรเลย้ี งวัวรูปแบบการลอ้ มสวน ไร่ ดว้ ยลวดปล่อยกระแสไฟฟูา ลงทุนแค่คร้ัง เดียวง่ายต่อการเล้ยี งววั เป็นต้น ในการดูแลรักษามีการใช้ยาสมุนไพร เชน่ การใช้เปลือกตน้ ประดู่มาให้ วัวเหยียบเวลาเปน็ แผลทเ่ี ทา้ การใชร้ ากตน้ ผกั หนามทบุ ผสมเกลอื เพอ่ื เปน็ ยาชูกําลงั ให้วัว ควาย งานวิจัยทาํ ใหเ้ กดิ เวทใี นการพดู คุย (โสกนั ) ของคนเลีย้ งควาย เกิดการแลกเปล่ยี นรูปแบบ การเลย้ี ง การใช้ยาสมุนไรในการรกั ษาโรคทเี่ กดิ ขึน้ กับววั ควาย เวทีดงั กลา่ วได้ก่อรูปเปน็ สภาแห่งการ พูดคยุ (สภาววั ควาย) การจบั เขา่ คยุ กนั สมาชิกสภาจะเป็นเปน็ ผูเ้ ลย้ี งวัว ควายในชุมชนมีผอู้ าวุโสเป็นที่ ปรึกษาใหก้ ับสภาวัว ควาย ปจั จบุ นั มีสมาชิกสภา 15 คน สภาเขา้ ไปมบี ทบาทในการแกไ้ ขปญั หาเรื่อง การตลาดเพอ่ื ตอ่ รองกับพอ่ คา้ คนกลาง และสรา้ งกระบวนการเรียนร้เู รื่องการตลาด และทส่ี ําคัญท่ีสดุ ใน การแกไ้ ขปญั หาของสภาคือการกําหนดขอ้ ตกลงร่วมระหวา่ งผูเ้ ลย้ี งวัว ควาย กับกรณคี วามเสยี หายท่ี คู่มอื การทาวจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 65
เกิดขน้ึ จากววั ควาย เขา้ ไปกนิ ต้นยางพาราของเกษตรกรในชุมชน จากเดมิ ทีม่ ชี าวสวนยางจะปรับ ค่าเสียหายตน้ ละ 2,000 บาท แตด่ ว้ ยการพูดคยุ ของสภาววั ควายและเกษตรกรทําใหม้ กี ารปรบั ค่าเสียหายเพยี งต้นละ 100 บาท และกาํ หนดเปน็ กตกิ าของชุมชนในการปรับค่าเสยี หายท่เี กดิ ข้นึ จากวัว ควายเขา้ ไปกดั กินผลผลติ ทางการเกษตร ผลในการดาํ เนินการวจิ ยั ครัง้ นไ้ี ดส้ รา้ งความเข้าใจและสรา้ งการเรยี นร้ใู นกระบวนการวิจัย กบั ชมุ ชน ทาํ ให้ทราบความเป็นมาของคนในตําบลวงั กวางว่ามาจากทีไ่ หนกัน รวู้ า่ ใครเปน็ ใคร การกนิ อยู่ สมยั กอ่ น การดาํ เนินชวี ิต วธิ กี ารเลี้ยงวัวสมัยก่อนและปจั จบุ ันกส็ ามารถนาํ ไปใช้ในการพฒั นาระบบการ เลยี้ งโคกระบอื ให้เหมาะสมสอดคลอ้ งกบั สภาพของพ้นื ท่สี ูงและจดั ทาํ ฟาร์มตวั อยา่ งทมี่ ีระบบการจดั การ แบบเลย้ี งโค กระบือท่เี หมาะสมเพือ่ จุดประกายการเรียนรใู้ หก้ บั ชุมชน สง่ ผลให้มจี าํ นวนผู้เลยี้ งโคกระบือ เพมิ่ ข้ึน นอกจากนี้ยงั เกดิ สภาผู้เลีย้ งวัว ควาย ตําบลวงั กวาง เพือ่ เปน็ เวทใี นการปรึกษาหารอื ในการ แกไ้ ขปญั หาตา่ ง ๆ ที่เกิดขน้ึ เช่น ปญั หาววั ควายไปกินต้นยางพาราของเกษตรกรคนอ่ืน ๆ กใ็ ช้เวทีสภา วัว ควายเปน็ เคร่อื งมอื ในการทาํ ขอ้ ตกลงระหว่างผู้เล้ยี ง กบั เกษตรกรสวนยาง ใหเ้ กิดความยตุ ิธรรม ทํา ใหช้ ุมชนอยู่อยา่ งสนั ติและสมดุล คู่มอื การทาวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารในชุมชน : 66
ใบงานท่ี 3 การตงั้ คาถามการวิจยั และตัวอย่างงานวจิ ยั ปฏิบัติการในชมุ ชน 1. จากการสังเกตปรากฏการณ์ทเี่ กดิ ขึ้นจรงิ ของกลมุ่ ออมทรัพย์ในจังหวัดสรุ นิ ทร์ มดี งั นี้ “กลุ่มออม ทรัพย์ในจงั หวดั สรุ นิ ทร์นั่นมกี ารก่อต้งั ข้ึนอย่างมากมาย แต่ทว่าหลงั จากผ่านไปสกั ระยะหนง่ึ กลมุ่ ออมทรพั ยท์ เี่ หลือรอดชวี ติ อย่นู ั้นมีจานวนไมม่ าก และแมแ้ ตใ่ นจานวนท่ีรอดชวี ิตนัน้ กล่มุ ออมทรัพย์ ท่มี คี ณุ ภาพสมบูรณ์แขง็ แรงใหบ้ ริการสมาชิกได้อย่างแท้จริงและเต็มทก่ี ย็ ง่ิ มีจานวนน้อยลงไปอกี ...” ใหท้ า่ นต้ังคาํ ถามการวจิ ยั ให้สอดคล้องกับวงจรชวี ติ (Life cycle) ของปรากฏการณก์ ลมุ่ ออมทรัพย์ใน จังหวดั สรุ นิ ทร์ ดงั กล่าวข้างต้น วงจรชวี ิตของปรากฏการณ์ คาถามการวิจยั 1.การเกิดขึ้น กลุม่ ออมทรพั ยใ์ นหมู่บ้านเกิดขน้ึ ไดอ้ ย่างไรมเี หตปุ ัจจยั อะไรบ้าง ท่ีจะ ช่วยอธบิ ายการเกดิ ข้ึนของกลุม่ ออมทรพั ย์ในหมบู่ ้านดังกลา่ ว 2.การดาํ รงอยู่ได้ มีเหตุหรอื ปัจจยั อะไรบา้ งทที่ าํ ใหก้ ลมุ่ ออมทรพั ย์ในหมบู่ า้ น ซ่ึงเกดิ ขึน้ แล้วยังดํารงอยูอ่ กี ในปจั จบุ ัน เพราะเหตุใดจงึ ไมห่ มดไปเหมือนทอี่ ืน่ ๆ 3.การเปลย่ี นแปลง เพราะเหตุใดกลมุ่ ออมทรพั ยข์ องหมบู่ า้ นจงึ เปลยี่ นแปลงไป(จากเดิม เมื่อตง้ั ข้นึ ครัง้ แรก) เช่น เปลย่ี นจากขนาดเล็กไปส่ขู นาดปานกลาง จาก ขนาดปานกลางไปสู่ระดับใหญ่ 4.การลม่ สลาย เพราะเหตุใดกลมุ่ ออมทรพั ยข์ องบางหมบู่ ้านจงึ ล้มเลิกไป 2. มกี ิจกรรมอะไรบา้ งที่ควรนาํ มาใชใ้ นกระบวนการวิจัยปฏบิ ตั กิ ารเพ่อื พัฒนากลมุ่ ออมทรพั ย์ใน ตาํ บลของทา่ นทกี่ อ่ ต้ังขน้ึ แลว้ ไมล่ ้มเลกิ ไป (ยกตัวอยา่ งมา 5 กจิ กรรม) ก่อนจะกาํ หนดกิจกรรมเพอ่ื ลงมอื ปฏบิ ตั สิ รา้ งความเข้มแข็งให้กับกล่มุ ออมทรัพย์ในหมูบ่ า้ นควร เตรียมการดังน้ี 1. มคี าํ ถามวิจยั ชดั เจนโดยปัญหาและโจทยว์ ิจัย หรือขอ้ สงสัยทต่ี อ้ งการหาคาํ ตอบจาก สมาชิกกลุ่มออมทรพั ย์ 2. มสี มาชกิ ของกลุม่ ออมทรัพย์เข้ามารว่ มทีมงานโครงการวจิ ยั 3. การศกึ ษาใหร้ ูส้ ภาพทเ่ี ปน็ อยู่ของกลมุ่ ออมทรพั ย์ให้ทราบสาเหตุ ปจั จยั เง่ือนไข โครงสรา้ งและตน้ ทนุ ความร้แู ละประสบการณเ์ ก่ียวกับเรือ่ งนั้นให้เหน็ เด่นชัดเพอ่ื เปน็ ฐานทํางานในชว่ งที่ สอง 4. การทดลองปฏิบัตกิ าร (Action) เพอ่ื หาวธิ กี ารไปสสู่ ภาพทดี่ ขี ้นึ โดยทดลองทางเลอื กท่ี เห็นว่าดีทส่ี ุด และเปน็ ไปได้มากทสี่ ดุ พรอ้ มกับวิเคราะห์สรุปกระบวนการและผลทเี่ กดิ ข้ึนเปน็ ความรู้ สําหรับกลมุ่ ออมทรัพย์/ชุมชนและเพ่อื ส่ือใหผ้ ู้อนื่ ทราบและนําไปปรับใช้ได้ ตวั อยา่ งกิจกรรม เพ่ือเสริมสร้างความเข้มแขง็ ให้กลุ่มออมทรัพย์ ซึ่งดาํ เนนิ การในรูปแบบ วจิ ยั ปฏบิ ัติการ ได้แก่ 1. การอบรมสมาชกิ กลมุ่ ออมทรพั ยเ์ รื่องอุดมการณข์ องกลุ่มออมทรัพย์ คมู่ ือการทาวิจยั ปฏบิ ตั ิการในชมุ ชน : 67
2. การพัฒนาองค์กรกลุ่มออมทรัพยเ์ พื่อเสรมิ สรา้ งความเขม้ แข็งในการปฏิบัตกิ าร 3. การพัฒนาระบบบัญชีกลมุ่ ออมทรพั ย์ 4. การประชมุ ปฏิบัตกิ ารกล่มุ สมาชิกเรือ่ งระเบียบการดําเนนิ งาน กล่มุ สมาชิกทีส่ อดคลอ้ ง กับสภาพวิถีชวี ิตสมาชิก 5. การแกป้ ัญหาหนี้สิน ด้วยบัญชคี รัวเรือน และปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพียง 3. ใหย้ กตัวอยา่ งกระบวนการคดิ โจทยว์ จิ ัยในชมุ ชน โดยใช้เวทีชาวบ้าน มาจาํ นวน 1 กรณีตัวอยา่ ง กรณีตวั อย่างผลการจดั เวทชี าวบา้ นคน้ หาโจทย์วิจยั ในชุมชน มดี งั นี้ นายสุจินต์ หล่ิมโตประเสริฐ ผู้อาํ นวยการสาํ นกั ส่งเสริมการมีสว่ นร่วมของประชาชน สถาบนั พัฒนาการชลประทาน ไดเ้ ขียนเลา่ ประสบการณก์ ารนําเอางานวิจยั เพ่ือทอ้ งถ่ินมาเปน็ เครื่องมือ เสริมสรา้ งความเข้มแขง็ ให้องค์กรผูใ้ ชน้ ้ําโดยนาํ ร่องทก่ี ลมุ่ บรหิ ารคลองส่งนํา้ ฝงั่ ขวาของฝายบา้ นคา่ ย ตําบลหนองตะพาน อาํ เภอบ้านคา่ ย จังหวัดระยอง เมือ่ กลางปี 2550 โดยใช้เวทชี าวบ้านในการคน้ หา ศกั ยภาพของคนและสภาพปญั หาทเ่ี กดิ ขน้ึ ในชุมชน ผลการดําเนินงานจดั เวทีชาวบ้านและใช้การวิจัย เพือ่ ทอ้ งถิ่นคิดโจทยป์ ญั หาวจิ ยั ในชุมชน มดี ังน้ี ตลอด 3 เดือนแรกไม่ประสบผลเท่าทคี่ วร เนื่องจากเกษตรกรทีเ่ ข้าร่วมเวทหี มุนเวยี น เปล่ยี นหนา้ มาตลอด เพราะต้องทํามาหากนิ หรือติดภารกจิ สว่ นตัว บางคนไมเ่ ห็นความสําคัญของการ ประชุมใน 3 เดือนตอ่ มาจงึ ปรบั วิธกี ารใหมเ่ ปน็ การชวนกันไปพัฒนา (ขดุ ลอกคสู ง่ นา้ํ ) เนื่องจากคนใน ชุมชนนี้ยังมปี ระเพณีการลงแขกสบื ทอดกันมาจนถึงปจั จบุ นั โดยคนในหมู่บา้ นไปช่วยกนั ขุดลอกคูสง่ น้ํา ของหมบู่ ้านอนื่ สลบั กนั ไปดว้ ยแนวคดิ ว่า “เขาอยู่ที่อื่นเขายังมาช่วยที่นาเรา ๆ ต้องไปชว่ ยกันเอาแรง” พ่ี สนั่นฝากแนวคิดน้ไี วก้ ับเวที ทาํ ใหก้ ารขุดลอกไดง้ านมากและเสรจ็ เรว็ แถมยงั สนกุ อีกด้วย เพราะทาํ ไป พูดคุยกนั ไป นอกจากนนั้ ก็ยังเพลิดเพลนิ กบั เสยี งเพลงจากเครอื่ งขยายเสยี งของคนในหมู่บา้ นด้วย “ทาํ คนเดยี วมันเงียบ” ชาวบ้านคนหน่งึ บอกในเวทถี อดบทเรยี นงานพัฒนา การถอดบทเรียนในงานพฒั นาหรอื ขุดลอกคูสง่ นํ้าทุกคร้งั จะใช้เครือ่ งมือสร้างการเรียนรู้ แบบมสี ่วนรว่ มด้วยการวิเคราะห์หลังการปฏิบัติ (After Action Review : AAR) เพราะการดาํ เนนิ โครงการพฒั นาต่าง ๆ จุดม่งุ หมายสาํ คัญคอื การเปลย่ี นแปลงพฤติกรรม วิธีคดิ และระบบคุณค่าของ บคุ คล และองคก์ ร ซง่ึ การจะเปลย่ี นได้ตอ้ งเกดิ จากการเรยี นร้รู ว่ มกนั จากการปฏบิ ตั ิ (Action Learning) มใิ ช่เกิดจากการอบรมสัง่ สอนหรอื ถา่ ยทอดซึ่งอยใู่ นลกั ษณะการครอบงาํ เพยี งอยา่ งเดียวเหมอื นดั่งคาํ พูด ของลงุ แรมซง่ึ มอี ายุ 74 ปี บอกวา่ “ไดบ้ ญุ มาทาํ แบบนรี้ สู้ กึ สบายใจ ภมู ิใจมองหนา้ กันก็ได้เหน็ หนา้ ว่า คน ๆ นี้เคยมาช่วยเรา” สําหรับคนที่อยู่ตรงน้ียงั ไมม่ าลุงพาประธานกลุ่มฯ บริหารบอกวา่ “ทําไปเรือ่ ย ๆ จนให้เขาได้อายเองสักวันเขาก็ตอ้ งมา” ผลของการปรับวธิ กี ารจากการนั่งประชมุ มาเป็นการพัฒนาแลว้ ถอดบทเรียน ทาํ ให้คน้ หา คนทม่ี ใี จเพื่อสาธารณะมากข้นึ ถึงแม้จะต้องใชเ้ วลาไปถึง 9 เดอื น แต่ไดแ้ กนนาํ สาํ คญั ๆ ของตําบล เชน่ นายก อบต. กํานัน ผใู้ หญบ่ า้ น สมาชกิ อบต. และชาวบ้านท่มี ีแนวคดิ การพึงพาตนเองหลากหลาย ขน้ึ งานในขัน้ แรกน้เี สมือนเปน็ งานสรา้ งฐานรากที่ต้องใช้เวลา แต่หากเข้มแขง็ แลว้ การต่อยอดใหส้ ูงขนึ้ ก็ จะไม่มีปญั หาและกระทําได้รวดเร็ว เชน่ เดียวกบั ทีช่ มุ ชนบ้านใหม่ พจิ ติ ร ซ่งึ ใช้เวลาช่วงนีป้ ระมาณ 11 เดือนเลยทีเดยี ว สว่ นโจทย์วิจัยทีช่ าวบา้ นร่วมกนั ค้นหาทใ่ี ชเ้ วทีระดบั ตาํ บลก็เริม่ ชดั มากข้ึน ในโจทยแ์ รกท่ี คนในชมุ ชนมองคลา้ ยกนั คอื ความกงั วลว่าจะไม่มคี นมาสืบทอดอาชีพเกษตรกรรม เพราะลูกหลานมุง่ แต่ คูม่ ือการทาวิจัยปฏบิ ตั ิการในชุมชน : 68
เรยี นใหส้ งู เพือ่ ทาํ งานสบาย ๆ จนหลายคนบอกวา่ พวกเขาคือชาวนายคุ สดุ ทา้ ย บางคนก็เรม่ิ ขายทนี่ า ใหก้ ับนายทนุ ไปสรา้ งโรงงานอุตสาหกรรมหรือหม่บู า้ นจดั สรร เพราะยิ่งทาํ นาก็ยง่ิ ยากจนสู้ค่าปยุ คา่ ยาท่ี แพงขึ้นไม่ไหว สว่ นอกี โ จทยท์ ีช่ าวบา้ นสนใจคอื การสร้างพลงั อาํ นาจให้กับกลมุ่ ผู้ใชน้ า้ํ อย่างไร เพอ่ื ให้ การบริหารจัดการปจั จัยการผลิตตา่ ง ๆ เกดิ ความเปน็ ธรรมยั่งยนื และพง่ึ ตนเอง การฝนโจทย์วิจยั ของฝายบา้ นคา่ ยให้ชดั ขึน้ ยงั คงเดนิ หน้าต่อไปพรอ้ มกบั มองหาทมี วจิ ัยท่ี เห็นชัดข้นึ มาอีกระดบั หนงึ่ โจทย์วจิ ัยโดยชุมชนแบบนเี้ ม่ือนํามาวจิ ยั ปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชน ผลทเี่ กดิ ขึ้นจะ ช่วยใหก้ ลุม่ ผูใ้ ชน้ ้ําหรือชุมชนเกดิ ความเข้มแขง็ ทง้ั พลังทางปัญหาและพลังกลุม่ สามารถอยกู่ ับการ เปลี่ยนแปลงจากโลกภายนอกไดอ้ ยา่ งเทา่ กันทัง้ ในปัจจบุ ันและอนาคต 4. ยกตัวอยา่ งชิ้นงานวจิ ยั เพอื่ ทอ้ งถ่ิน (สนับสนนุ โดย สกว.) จากการคน้ ควา้ จากเอกสารหรือ อินเตอร์เน็ต โดยพิจารณาเลอื กชิ้นงานทค่ี รู กศน.สามารถนาํ มาปรบั ใชก้ บั ภาระงานที่ได้รับมอบหมาย จํานวน 1 เร่อื ง ตัวอย่างงานวจิ ัยเพอ่ื ทอ้ งถน่ิ 1 เรือ่ ง ท่คี รู กศน.สามารถนําไปใชเ้ ปน็ แนวทางพฒั นา การศึกษาอาชพี มีดังน้ี ช่ือเร่อื ง แนวทางพัฒนาองค์ความรดู้ ้านการตลาดตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งของ กลมุ่ สตรีบ้านตน้ โจ้กคําซาว ตําบลสันกาํ แพง อาํ เภอสนั กําแพง จังหวัดเชียงใหม่ ชือ่ ผวู้ จิ ยั ศภุ ฤกษ์ ธาราพิทกั ษ์วงศ์ และจนิ ดา ศรีสําราญ ความเป็นมา กวา่ 6 ปที ่ผี ่านมาทกี่ ลุ่มสตรจี ากบา้ นตน้ โจก้ คําซาว อําเภอสนั กาํ แพง จงั หวัดเชียงใหม่ ได้ มีการรวมตวั ขึน้ ภายใต้การนําของ คณุ ปาู บงั อร อภิญญาวงศเ์ ลศิ ขา้ ราชการบํานาญทไ่ี ดท้ ่มุ เทในการ ดาํ เนินงานโดยหวงั ให้คนในชุมชนมรี ายได้เสริมจากรายไดห้ ลัก โดยไดเ้ รม่ิ กอ่ ต้ังกลมุ่ ด้วยการรวมกลุ่ม ตดั เยบ็ ผ้าเชด็ มือจากเศษผ้า เนอื่ งจากในหมู่บ้านมโี รงงานเยบ็ ผา้ คุณปาู ในฐานะประธานกล่มุ จงึ มองเหน็ ลทู่ างในการนาํ เศษผ้าเหล่านั้นมาเปล่ียนให้เป็นเงนิ และระดมสมาชิกเพ่ิมมากขึน้ คณะกรรมการกลมุ่ จงึ มีความเห็นวา่ ควรเพิ่มตวั ผลิตภณั ฑใ์ ห้มากข้นึ จากกําลังการผลิตทีเ่ พ่มิ ขน้ึ ทาํ ให้ปัจจุบันกลมุ่ มีผลติ ภัณฑ์ 5กล่มุ ได้แก่ ผลิตภณั ฑน์ ้ําสมุนไพร ผลติ ภณั ฑ์นํ้าหอมระเหย ผลิตภัณฑ์จากเศษผ้า ผลิตภัณฑจ์ าก กระดาษสาและผลิตภัณฑน์ ้าํ ยาสะอาดไปโอ โดยยดึ แนวคดิ ในการประยกุ ตใ์ ช้ทรัพยากรในชุมชนท้งั ทรัพยากรทางธรรมชาตแิ ละภมู ิปญั ญาจึงทําใหป้ ัจจัยการผลิตส่วนใหญ่ได้จากพ้ืนทีไ่ มว่ า่ จะเป็น น้าํ ลูกหวา้ มะตมู เสาวรส เปน็ ตน้ นอกจากน้ยี ังไดร้ ณรงค์ฟน้ื ฟูภูมปิ ัญญาในการนาํ ผา้ ฝาู ยทไ่ี ด้จากการ ตดั เยบ็ เสอ้ื ผ้าจากโรงงานในหมู่บา้ นนาํ มาเย็บเป็นผลิตภัณฑก์ ระเปา จากเศษผา้ ในปัจจุบนั โดยคนใน ชุมชนทางกลมุ่ ยังมีความตอ้ งการทีจ่ ะรอื้ ฟ้นื ภูมปิ ัญญาในการทอผา้ ทีม่ ีอยใู่ นอดีต จะทําให้กลมุ่ ไดผ้ ้าฝาู ย ท่ตี รงกบั ความตอ้ งการของกลุ่มและสามารถผลิตเปน็ ผลติ ภัณฑ์ไดห้ ลากหลายข้นึ กจิ กรรมทัง้ หมดของ กลมุ่ พฒั นาสตรีบ้านตน้ โจ้ก (คาํ ซาว) สามารถสรา้ งรายไดเ้ สรมิ ใหแ้ ก่สมาชิกไดใ้ นปัจจบุ ันกลมุ่ มสี มาชกิ ทั้งสิ้น จาํ นวน 31 คน และไดใ้ ช้พ้นื ท่ขี องวดั คาํ ซาวในการดาํ เนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ของกลุ่ม โจทยค์ าถามการวจิ ัย ด้วยความมงุ่ มั่นตงั้ ใจของกลุ่มสตรีทาํ ให้การทาํ งานสามารถขบั เคลือ่ นมาได้อย่าง ตอ่ เน่อื ง แต่ทวา่ อยา่ งไรกต็ ามทางกลุม่ ก็ยงั ประสบกับปัญหาตา่ ง ๆ อาทิ เชน่ ยอดจาํ หนา่ ยผลติ ภณั ฑ์ ของกลมุ่ ได้จากการรับคาํ ส่ังซ้ือของลูกค้า หากไม่มีคาํ ส่ังซอ้ื กจ็ ะไม่มกี ารผลติ ทาํ ให้รายได้ของกลมุ่ ไม่ แน่นอนปญั หาอีกดา้ นหนงึ่ คือ ปัญหาในด้านชอ่ งทางการจัดจาํ หนา่ ย ซึง่ กลมุ่ ยงั ไมส่ ามารถกาํ หนด กลมุ่ เปูาหมายทชี่ ัดเจนได้ บทเรียนที่ผา่ นมาจะเหน็ ว่ากลุ่มรับคาํ สัง่ ซ้ือไดเ้ ปน็ จํานวนมาก แต่ยังเปน็ คํา คู่มือการทาวิจัยปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 69
สง่ั ซื้อจากพอ่ คา้ คนกลาง ผนู้ ําไปจาํ หนา่ ยตอ่ ในแหลง่ บอ่ สร้าง ซง่ึ เป็นคําส่งั ซ้ือทไี ดร้ บั ผลตอบแทนตาํ่ ทํา ใหร้ ายไดท้ กี่ ลมุ่ ไดร้ ับไมส่ ามารถตอบแทนสมาชกิ กลมุ่ ไดอ้ ย่างเพยี งพอ ทาํ ใหก้ ลุ่มสมาชิกส่วนหนงึ่ ไม่ สนใจในการทาํ ผลิตภณั ฑ์จากการตดั เยบ็ จากสถานการณด์ งั กล่าว จึงนําไปสูก่ ารก้าวเข้าสู่ “งานวิจยั เพอ่ื ทอ้ งถน่ิ ” ภายใตก้ ารหนุนเสรมิ ของอาจารย์ศภุ ฤกษ์ ธาราพทิ กั ษว์ งศ์ อาจารย์จากมหาวทิ ยาลยั ราชภฏั เชยี งใหม่ ลูกหลานของบชุมชนน้นี ่นั เอง กจิ กรรมพฒั นากลุม่ (Treatment) อาจารยศ์ ภุ ฤกษ์ ธาราพิทักษ์วงศ์ และคณะไดด้ าํ เนนิ การพฒั นากล่มุ โดยเชญิ ผูเ้ ชี่ยวชาญ และนักวชิ าการไปใหค้ วามรู้ โดยจัดฝึกอบรมใหแ้ กส่ มาชกิ กลุม่ ฯท่ีสนใจใน 5 ด้านดว้ ยกนั คือ ดา้ นการ ออกแบบ และพฒั นาผลติ ภัณฑ์ ดา้ นการสร้างตราสนิ ค้า ด้านการจดั จาํ หน่าย ด้านการกาํ หนดลูกค้า เปูาหมายและการกําหนดตาํ แหนง่ ทางการตลาด และด้านการวางแผนการตลาดเพ่อื นําเสนอผลติ ภณั ฑ์ ใหต้ รงกบั ความต้องการของผซู้ ้ือ ท้งั นีท้ างกล่มุ วจิ ยั ไดม้ กี ารนาํ ผลติ ภณั ฑ์ที่ได้จากการพฒั นานาํ ไปทดสอบตลาดทก่ี ลมุ่ ยังไม่ เคยนําผลิตภัณฑไ์ ปนําเสนอ คือแหลง่ จาํ หน่ายในหา้ งสรรพสินคา้ โดยทาํ การปรบั ปรุงทงั้ ตวั ผลติ ภณั ฑ์ บรรจภุ ณั ฑแ์ ละการตั้งราคาแลว้ ทาํ การสํารวจข้อมลู จากกลมุ่ ผู้บรโิ ภคทงั้ ในหา้ งสรรพสินค้าและผ้บู รโิ ภค ทซี่ ้อื ผลติ ภัณฑจ์ ากงานแสดงสนิ ค้าตา่ ง ๆ ซึ่งพบว่าชอ่ งทางตลาดใหมน่ นั้ กลุม่ ผู้สนใจสว่ นใหญ่เป็นผหู้ ญิง เปน็ ผูท้ ่นี ยิ มซ้ือสินคา้ ในห้างสรรพสินค้า มีบรรจภุ ณั ฑ์ท่ีมาตรฐาน การลดราคามผี ลต่อการซ้ือไมม่ ากนกั เน่ืองจากนิยมซื้อสินคา้ ทีม่ คี ุณค่าหากเปน็ สินคา้ ทส่ี นใจกจ็ ะตัดสนิ ใจซื้อโดยจะนยิ มซ้อสินคา้ ในมลู คา่ 500 บาทขึ้นไป สินคา้ หัตถกรรมสว่ นใหญท่ ซ่ี ้อื จะเป็นของใชส้ ่วนตวั โดยใหค้ วามสาํ คัญกับความคงทน ของสินค้าที่สามารถใชไ้ ดใ้ นระยะยาวมีความสวยงามผลิตจากวัสดุท่ีมีคุณภาพ การมสี ่วนร่วมและความสาเรจ็ เมอ่ื กลุ่มสตรกี ้าวสูง่ านวจิ ยั เพือ่ ทอ้ งถ่นิ ดว้ ยหัวใจท่มี ุ่งม่นั และตงั้ ใจ แมต้ อ้ งผ่านการประชุม หารอื มากมายนบั ไมถ่ ้วน ท้ังในชว่ งกระบวนการพัฒนาข้อเสนอโครงการและในชว่ งของการดาํ เนนิ งาน แต่กไ็ ม่เคยปรากฏอาการเบื่อหนา่ ย หรอื ท้อถอย แตท่ กุ ครั้งกลบั เตม็ ไปดว้ ยพลงั และความมุง่ ม่นั แมใ้ น บางครงั้ ของการจดั กิจกรรม จะมภี ารกิจมากมายเขา้ แทรกแซง แตท่ างกลุ่มก็พยายามจัดสรรตวั แทนและ หนุนเวยี นเปลย่ี นกนั เขา้ รว่ มการดาํ เนนิ งานอยา่ งต่อเน่อื งไปจนถึงกิจกรรมทดลองปฏิบัตติ า่ ง ๆ กไ็ ดม้ ี ความพยายามเรยี นรูร้ ว่ มกนั จากความมงุ่ มน่ั ดังกลา่ ว ทาํ ใหป้ ัจจบุ ันทางกลุม่ สามารถพัฒนาผลติ ภัณฑ์ เข้าสู่ตลาดได้อย่างต่อเนอื่ ง รวมทงั้ มีระบบของการบริหารจัดการ การจําหนา่ ยรวมไปถึงการทาํ บัญชี ที่ รัดกมุ และตรวจสอบได้ง่ายยิ่งขึน้ ณ วันน้ี การเดนิ ทางกลุ่มสตรบี ้านตน้ โจก้ คาํ ซาว ยังไม่ได้สนิ้ สดุ ลง และยงั คงมหี ลายสง่ิ หลายอย่างทีต่ ้องได้รับการพัฒนาและปรับปรุง กระบวนการทไี่ ด้เรียนรู้ เครอื ข่ายท่ไี ด้รูจ้ ักและ แลกเปลีย่ น รวมไปถึงความมงุ่ มน่ั และตั้งใจของกลุ่มเอง นา่ จะเปน็ พลังสาํ คญั ใหก้ ารเตบิ โตของกลมุ่ ยงั สามารถดําเนินไดอ้ ย่างต่อเนอื่ ง วนั น้งี านวิจัยเพอื่ ท้องถิน่ จึงเป็นเพียงจุดเลก็ ๆ ของการกา้ วไปข้างหนา้ ของกลมุ่ สตรีที่ชอ่ื ว่า “กลมุ่ พัฒนาสตรบี ้านต้นโจก้ คําซาว” พรุ่งนี้พลังของสตรีกลมุ่ น้นี า่ จะจะยงั คง ปรากฏอยา่ งไมห่ ยดุ ยั้งตอ่ ไป คมู่ ือการทาวิจัยปฏบิ ตั ิการในชุมชน : 70
แบบทดสอบหลังเรยี น คาส่ัง เลือกคาตอบทถ่ี กู ท่ีสุดเพยี งข้อเดยี ว 1. การวิจยั เพอื่ ท้องถิ่นมีความสําคญั ต่อการพฒั นาอย่างไร ก. คนในชมุ ชนมสี ว่ นรว่ มในการวจิ ยั ข. เข้าใจสภาพของชุมชนท้องถิ่นอยา่ งถ่องแท้ ค. ไดข้ ้อมูลแทจ้ รงิ เพ่ือไปใชใ้ นการวางแผนพัฒนา ง. ไดค้ าํ ตอบทแี่ ทจ้ ริงไม่มปี ระเดน็ บิดเบอื น 2. ข้อใด ไม่ใช่ กลวธิ ีทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกับการวจิ ยั ปฏบิ ตั ิการอย่างมีส่วนรว่ ม ก. การศกึ ษาผูใ้ หญ่ ข. การฝกึ ฝนอาชีพ ค. กระบวนการกลมุ่ ง. กระบวนการแกป้ ญั หา 3. ผลท่ีเกิดจากการวิจยั เพ่อื ท้องถ่ินคือ ขอ้ ใด ก. ประชาชนมีความรู้เพิ่มขึน้ ข. ประชาชนมีงานทาํ เพมิ่ ขึ้น ค. ประชาชนมกี ารกนิ ดอี ยดู่ ีขึ้น ง. ประชาชนตระหนกั ในหน้าท่ีของตนเองต่อชุมชน 4. ข้อใด ไม่ใช่ แนวคดิ เกีย่ วกับการวิจยั เพื่อทอ้ งถ่ิน ก. คนทุกคนมีความสามารถในการคิดและแก้ปัญหา ข. ปญั หาที่จะแก้ควรเร่ิมจากความรูส้ กึ ของประชาชน ค. ความรู้ความสามารถของประชาชนมคี วามสําคญั เท่า ๆ กบั นกั วจิ ัย ง. ประชาชนมีการศกึ ษานอ้ ยจึงต้องมนี ักวิจัยเขา้ ไปช่วยแก้ปญั หา 5. การวิเคราะหป์ ัญหาของชุมชน คอื ขนั้ ตอนใดของการวิจัยปฏบิ ตั ิการอยา่ งมสี ว่ นรว่ ม ก. การคัดเลอื กชุมชน ข. สํารวจข้อมูลเบื้องต้น ค. ศกึ ษาปญั หาและประเมินทรพั ยากร ง. แจง้ ชมุ ชนทราบปญั หาของตนเอง 6. ข้อใดคอื ความหมายของการวิจยั ปฏิบตั ิการในชุมชน ก. การค้นหาความจริงอยา่ งมีเทคนคิ เฉพาะ ข. การรวมกนั หาความจรงิ อยา่ งมขี น้ั ตอน โดยนกั วชิ าการ ค. การคน้ หาความจริงอย่างมีแบบแผน โดยนักพฒั นาชมุ ชน ง. การค้นหาความจรงิ อย่างมีระบบ โดยชาวบา้ นในชุมชนรว่ มมือกนั คมู่ อื การทาวิจัยปฏบิ ัติการในชมุ ชน : 71
7. ขอ้ ใดเปน็ องคป์ ระกอบสําคญั ของการวิจัยปฏิบตั ิการในชุมชน ก. การมสี ว่ นรว่ มของประชาชน ข. การเก็บข้อมลู โดยการสัมภาษณแ์ บบมโี ครงสรา้ ง ค. การศึกษาเอกสารงานวิจยั ทเี่ กี่ยวขอ้ ง ง. การมรี ูปแบบการวจิ ยั ที่ชดั เจน 8. ขอ้ ใดเป็นจุดมุ่งหมายการทาํ วจิ ัยปฏบิ ตั กิ ารในชมุ ชน ก. บนั ทึกข้อมูลของชุมชน ข. พฒั นาผลงานวิชาการของชมุ ชน ค. ประเมนิ ตดั สนิ ผเู้ รยี นในชมุ ชน ง. หาสาเหตุของปัญหาและแกป้ ัญหาในชุมชน 9. สงิ่ ทต่ี ้องการศกึ ษาหรือหาคาํ ตอบจากประเด็นปญั หาการทําวจิ ยั ปฏบิ ัติการในชุมชน คือ ขอ้ ใด ก. ชื่องานวจิ ัย ข. วตั ถปุ ระสงค์ของงานวิจยั ค. ความสําคญั ของการความเป็นมา ง. ข้นั ตอนการดําเนนิ งานวจิ ัย 10. การวจิ ัยเพ่อื ทอ้ งถน่ิ มคี วามสาํ คัญตอ่ การพัฒนาอยา่ งไร ก. คนในชมุ ชนทอ้ งถิน่ มสี ่วนร่วมในการวิจยั ข. ไดค้ าํ ตอบทแี่ ท้จรงิ ไมม่ ีประเดน็ ที่บิดเบือน ค. เขา้ ใจสภาพของชุมชนทอ้ งถิ่นอย่างถ่องแท้ ง. ได้ข้อมูลทแ่ี ทจ้ ริงเพือ่ นาํ ไปใชใ้ นการวางแผนพัฒนา 11. เมื่อใดตอ้ งใช้การวิจยั เพ่อื พฒั นาชุมชน ก. เมอ่ื ต้องการคน้ หาชุมชนเพ่ือพัฒนา ข. เมอ่ื ตอ้ งการศกึ ษาปัญหาความยากจน ค. เมอ่ื ผู้ศึกษาตอ้ งไปใชช้ วี ิตร่วมกบั คนในชมุ ชน ง. เม่ือต้องการแกป้ ัญหาในชุมชน แต่ยงั ไม่พบวิธีการทด่ี ที สี่ ุด 12. หวั ใจสําคัญโครงการวิจัยเร่ืองการอนรุ ักษแ์ ละฟน้ื ฟูปูแสมโดยการมีสว่ นรว่ มของโรงเรยี นและ ชุมชนวดั ศรสี วุ รรณคงคาราม อําเภอเมอื ง จังหวดั สมุทรสงคราม อยทู่ ี่ขอ้ ใด ก. อนรุ กั ษแ์ ละฟ้ืนฟูปแู สมที่มีจํานวนลดนอ้ ยลงใหม้ ปี ริมาณเพมิ่ ข้นึ ข. กระบวนการสร้างจติ สาํ นึกแก่เดก็ และเยาวชนให้มคี วามรกั และหวงแหนทอ้ งถิ่น ค. ได้เรียนรู้และเขา้ ใจถงึ ประวตั ิศาสตรข์ องชมุ ชน ง. ความสาํ คญั ของสายน้ําและลาํ คลองทีเ่ ช่ือมโยงกับการประกอบอาชพี คมู่ อื การทาวจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชน : 72
13. องคป์ ระกอบที่ควรนาํ มาใช้ในการประเมนิ ความเปน็ ไปได้ของการดําเนินงานงานวจิ ยั เพื่อ ทอ้ งถน่ิ คือขอ้ ใด ก. นโยบายของรัฐ ข. ทรัพยากรที่มอี ยู่ในท้องถน่ิ ค. ความพรอ้ มของนักวจิ ัย ง. ความต้องการของคณะกรรมการบริหารหมู่บา้ น 14. หวั ขอ้ การวิจยั ขอ้ ใดควรใชร้ ปู แบบการวิจยั เพื่อทอ้ งถ่ิน ก. การพัฒนามาตรฐานเกษตรธรรมชาติเพ่อื เพม่ิ มูลคา่ เศรษฐกิจชมุ ชน ข. การจัดการงานศพโดยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพยี งตาํ บลไหลห่ นิ อาํ เภอเกาะคา จงั หวดั ลําปาง ค. การเปรียบเทียบปญั หาการใชแ้ ละความต้องการเทคโนโลยีสารสนเทศของสาํ นกั งาน กศน. จงั หวดั แม่ฮ่องสอน ง. การพัฒนาความเข้มแขง็ ของกลุม่ อาชพี ไม้เทพธาโร หม่ทู ี่ 1 ตําบลเขากอบ อาํ เภอห้วยยอด จังหวัดตรงั 15. การวจิ ัยเพ่ือทอ้ งถ่นิ หวั เรื่องใดเก่ียวขอ้ งกบั พลงั สตรใี นชนุ ชนมากท่สี ดุ ก. การสรา้ งสนั ติสุขในครวั เรอื น ข. การฟน้ื ฟูวัฒนธรรมทอ้ งถิน่ ค. การอนรุ ักษ์และฟื้นฟูลายผ้านาหม่นื ศรี ง. การสรา้ งเศรษฐกิจชุมชน 16. งานวิจยั เรื่องการศกึ ษาความคิดเห็นของกํานันผใู้ หญบ่ า้ นเกยี่ วกบั การมีส่วนร่วมทางการเมอื ง ระดบั ทอ้ งถนิ่ ในจังหวัดแพร่ เครอ่ื งมือที่นิยมใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู คือข้อใด ก. แบบทดสอบ ข. แบบสอบถาม ค. แบบสงั เกต ง. แบบสมั ภาษณ์ 17. ประโยชนส์ ูงสดุ ของการทาํ วจิ ัยปฏบิ ัตกิ ารในชุมชนคอื ข้อใด ก. การได้แนวทางการแก้ปญั หา ข. ประยกุ ต์ใชใ้ นการดาํ เนินงาน ค. การได้ทฤษฏีการศึกษาชุมชนท่ีตรงกบั สภาพจริง ง. การเพ่ิมพนู ข้อมลู พ้นื ฐานสาํ หรบั การวางแผน คู่มอื การทาวิจัยปฏบิ ัติการในชุมชน : 73
18. การศึกษา “กรณีตัวอย่างงานวจิ ัยชุมชน” ใหป้ ระโยชน์ต่อผู้วจิ ยั ในขอ้ ใดมากท่สี ดุ ก. กาํ หนดชอ่ื เรอ่ื งไดก้ ะทัดรดั ข. ตัง้ สมมตุ ฐิ านงานวิจัยได้ถูกต้อง ค. ไดแ้ นวคดิ ในการออกแบบการวจิ ัย ง. นําเคร่อื งมือวิจยั มาประยกุ ตใ์ ช้ 19. การสรปุ ผลการวจิ ัยทีถ่ กู ต้อง ต้องสอดคลอ้ งกบั ข้อใด ก. ความเป็นมาของการวจิ ัย ข. วตั ถุประสงค์ของการวิจัย ค. แบบแผนการวิจยั ง. กล่มุ ตวั อย่างในการวจิ ัย 20. การวางแผนการวิจัยควรคํานงึ ถึงขอ้ ใดมากท่ีสุด ก. คน เวลา และการจดั การ ข. มผี รู้ ูเ้ รือ่ งการวิจัยช่วยดาํ เนนิ การ ค. สามารถดาํ เนนิ การโดยใช้งบประมาณน้อยทีส่ ุด ง. สามารถตอบคาํ ถามวัตถปุ ระสงค์การวิจยั ได้ *********************** คมู่ ือการทาวิจยั ปฏบิ ัตกิ ารในชมุ ชน : 74
เฉลย แบบทดสอบก่อนเรียน ข้อ เฉลย ขอ้ เฉลย ข้อ เฉลย ข้อ เฉลย 1 ง 6 ค 11 ง 16 ค 2 ก 7 ข 12 ง 17 ข 3 ง 8 ก 13 ค 18 ก 4 ข 9 ก 14 ข 19 ง 5 ก 10 ข 15 ข 20 ข แบบทดสอบหลังเรียน ขอ้ เฉลย ข้อ เฉลย ขอ้ เฉลย ข้อ เฉลย 1 ก 6 ง 11 ง 16 ข 2 ข 7 ก 12 ข 17 ก 3 ง 8 ง 13 ข 18 ค 4 ง 9 ข 14 ข 19 ข 5 ค 10 ก 15 ค 20 ก คู่มือการทาวิจัยปฏบิ ตั กิ ารในชุมชน : 75
บรรณานุกรม กมล สดุ ประเสริฐ. การวิจยั เชงิ ปฏิบัตกิ ารแบบมสี ่วนร่วมของผปู้ ฏิบตั งิ าน. เอกสาร ประกอบการบรรยาย โครงการพัฒนาบุคลากรผรู้ ับผิดชอบในการจัดทาํ ชุดวิชา ปี2537. เอกสารโรเนยี วเย็บเลม่ .2537 . กาญจนา แก้วเทพ. การวิจัย : จากจดุ เริม่ ตน้ จนถงึ จดุ สุดทา้ ย. กรงุ เทพ: สํานักงานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั (สกว.)2548. กรมการศกึ ษานอกโรงเรยี น กระทรวงศึกษาธิการ. ชุดวิชาวจิ ยั การศกึ ษานอกโรงเรียน เลม่ 7 การวิจัยเชงิ ปฏบิ ตั ิการอยา่ งมีส่วนรว่ ม. กรุงเทพ: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรบั สง่ สนิ ค้าและ พสั ดุภณั ฑ์ (ร.ส.พ.). 2547. ปริญญา สิงห์เรือง. วจิ ยั ...คน้ ทางเลอื กที่เหมาะสมในแบบฉบบั ของโรงเรียนชาวนาเกษตรอินทรีย์ บา้ นดอนหมู. กรงุ เทพ: สํานักงานกองทนุ สนบั สนุนการวจิ ัย. (สกว.) 2554. พันธุ์ทพิ ย์ รามสูตร. การวิจยั ปฏิบัตกิ ารอย่างมสี ว่ นร่วม. กรงุ เทพ: โรงพิมพพ์ .ี เอ ลิฟวิ่งจาํ กัด. 2540. วิชติ สรุ ตั นเ์ รอื งชยั . การวจิ ยั เพอื่ พฒั นาการเรยี นการสอน. วารสารศกึ ษาศาสตร์ปีที่ 14 ฉบับท่ี 2 พฤศจิกายน 2545 – มนี าคม 2546 หนา้ 31. ชลบุรี: คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบรู พา รัตนะ บัวสนธิ. ปรชั ญาวจิ ยั . กรงุ เทพ: สํานักพิมพ์แห่งจฬุ าลงกรณ์ มหาวทิ ยาลยั .2551. ปาน กมิ ป.ี หนว่ ยที่ 12 การวิจยั เชิงปฏบิ ตั ใิ นการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย. การวจิ ยั เพือ่ พฒั นาการศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัย. นนทบุรี : โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. 2555. สทิ ธิ เทวธีระรตั น์ และคณะ. การสอื่ สารแบบมสี ว่ นร่วมเพือ่ จัดการปัญหาขยะของประชาชนท้องถนิ่ อาเภอปากชอ่ ง จงั หวดั นครราชสมี า. อา้ งในการวจิ ัย:จากจุดเริ่มต้นจนถึงจุดสุดท้าย เขยี นโดย กาญจนา แก้วเทพ. กรุงเทพ : สาํ นักงานกองทนุ สนับสนุนการวิจยั . (สกว.) 2548. สาํ นักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สาํ นกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธกิ าร. บทคัดย่องานวิจัย กศน.ปี 2546-2551. กรุงเทพ: รงั ษีการพิมพ.์ 2551. สํานกั งานกองทนุ สนับสนุนการวจิ ยั (สกว.). การใช้ประโยชนจ์ ากงานวจิ ยั สกว.ปี 2552 และป2ี 554. กรงุ เทพ :สํานกั งานกองทนุ สนบั สนนุ การวจิ ยั . สุชนิ เพ็ชรกั ษ์. รายงานการวจิ ยั เพ่อื พัฒนาวธิ วี จิ ัยทเ่ี หมาะสมกับงาน กศน.ในระดบั หมู่บ้านและ ตาบล. ลําปาง: โรงพิมพ์สถาบัน กศน.ภาคเหนือ. 2553. สุธรรม กนั ดาํ . “พลงั ผหู้ ญิงกบั การสร้างการเปลีย่ นแปลง” จดหมายข่าวงานวจิ ัยเพื่อท้องถนิ่ ปีท่ี 13 ฉบบั ท่ี 4 ประจําเดอื นกรกฎาคม – สงิ หาคม 2555. เชยี งใหม่ : หจก.วนิดาการพิมพ์. 2555. อุทัย ดลุ ยเกษม. วิธวี ิทยาการวจิ ัย. เอกสารประกอบการสัมมนาทางวิชาการเรอื่ ง พลวตั รการพฒั นา ชนบทไทย :วิธีวิทยาการวิจยั การพฒั นาและการศกึ ษา วนั ท่ี 11-12 มกราคม 2543. คณะธรุ กจิ การเกษตร มหาวทิ ยาลยั แม่โจ้. เอกสารอัดสาํ เนา.2543. คู่มือการทาวิจยั ปฏิบตั กิ ารในชุมชน : 76
คณะผู้จดั ทา ที่ปรึกษา นายประเสริฐ หอมดี ผูอ้ ํานวยการสถาบนั กศน.ภาคเหนอื นางนาถยา ผิวมั่นกิจ รองผอู้ ํานวยการสถาบัน กศน.ภาคเหนอื ผู้รวบรวมและเรยี บเรียง นายนิรันดร์ ยงไสว ครูชํานาญการพิเศษ Arkwork นางลาํ เจียก สองสดี า ครู ชํานาญการ ผูพ้ มิ พ์ นางทศั นยี ์ เปยี้ ปลกู เจ้าหนา้ ท่ธี ุรการ เอกสารวชิ าการ ลําดบั ที่ 07/2557 สงิ หาคม 2557 คูม่ อื การทาวจิ ยั ปฏิบตั กิ ารในชุมชน : 77
Search