Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือภูมิปัญญาท้องถิ่นบางขุนเทียน

หนังสือภูมิปัญญาท้องถิ่นบางขุนเทียน

Description: หนังสือภูมิปัญญาท้องถิ่นบางขุนเทียน

Search

Read the Text Version

ล้นิ จ่ี บางขนุ เทียน คณุ ปรชี า พวงรอด

รูปภาพจาก : www.pptvhd36.com/news/ประเดน็ รอ้ น/79013 42

ล้ินจี่บางขุนเทยี น หากจะนกึ ถึงลนิ้ จี่ที่มีรสชาติหวานอร่อยที่หาได้ในเขตกรุงเทพฯนั้น คงหนีไปไม่ พน้ พ้นื ที่ “คุ้งล้นิ จี่” ในเขตบางขุนเทียน หากย้อนไปเมือ่ 50–60 ปีทีแ่ ลว้ เขตบางขุนเทียน น้นั มพี ื้นท่ีการปกครองไปถึงเขตจอมทองและเขตบางบอน ซึ่งมีการปลูกลิ้นจี่เป็นผลไม้ เศรษฐกิจหลักที่มีชื่อเสียงเป็นอย่างมากก่อนที่จะมีลิ้นจี่สมุทรสงครามเสียอีก และที่มา ของคำ�ว่า “คงุ้ ล้ินจี่” ต้องเกรน่ิ นำ�เสียกอ่ นว่าเร่ิมมาจากคลองบางขุนเทียนทแี่ ยกจาก คลองสนามชยั และคลองดา่ นท่ีมาบรรจบกนั ซง่ึ คลองบางขนุ เทียนนจ้ี ะมีโค้งน้ำ�และคุง้ นำ้ � อย่มู ากทีอ่ ยู่เลยวดั บางขุนเทยี นนอก วัดบางขนุ เทยี นกลาง และวัดบางขนุ เทยี นในออกไป สองฝ่ังของคุ้งน้ำ�จะเต็มไปดว้ ยสวนลิ้นจี่ จึงทำ�ให้พื้นที่นีถ้ ูกเรียกว่า “คุง้ ล้ินจ”่ี น่นั เอง ปจั จุบันการปลกู ลิ้นจ่ีในพื้นที่คุ้งน้ำ�นี้เหลือน้อยลงไปทุกวัน แต่ก็ยังโชคดที ่ียงั มี ชาวบ้านในพนื้ ท่ีคอยอนุรักษเ์ อาไวไ้ ดแ้ ก่ สวน “ลงุ ชา” ของคุณปรีชา พวงรอด ลน้ิ จ่ี บางขนุ เทียนจะมีลักษณะที่แตกต่างจากลิ้นจี่ในพื้นที่อื่น นั่นคือจะมีผลขนาดกลางทไี่ ม่ ใหญจ่ นเกนิ ไป เปลอื กจะมีสแี ดงคลำ้ �ออกไหม้ รสชาตหิ วานอรอ่ ย มเี มด็ ขนาดเลก็ หรอื ท่ี เรยี กกนั วา่ “เมด็ ตาย” เวลาท่ีแกะเปลอื กออกจะพบวา่ มีเย่ือหุม้ บางๆสีชมพูหุ้มเนือ้ ล้ินจี่ไว้ อีกทหี นึง่ ล้ินจ่ีเปน็ ผลไมท้ ่ีเจริญเติบโตไดด้ ีในฤดูหนาว หากปไี หนมอี ณุ หภมู ิต่ำ�มากลน้ิ จี่ก็ จะออกผลไดด้ แี ละสามารถเกบ็ ผลผลิตได้ในช่วงเดือนมนี าคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี ใน สวนของลุงชาน้นั จะปลูกลิน้ จีอ่ ยู่ 2 สายพนั ธ์ุด้วยกันนน่ั คอื พันธกุ์ ะโหลกใบยาว ต้องใช้ ระยะเวลา 5 ปี ต้นลิน้ จี่จงึ จะเริม่ ออกผล ลน้ิ จพ่ี ันธ์กุ ะโหลกใบยาวน้ีจะให้รสชาตทิ ี่หวานฉ่ำ� เน้อื กรอบ เม็ดมขี นาดไมใ่ หญม่ าก ผลมขี นาดกลางไม่เลก็ จนเกนิ ไป ส่วนอีกสายพันธุ์หนึ่งคือ พันธุ์กระโถนท้องพระโรง ซึ่งต้นจะแก่ช้ากว่าพันธ์ุ กะโหลกใบยาว โดยรวมแล้วลิ้นจพ่ี ันธุก์ ระโถนท้องพระโรงน้จี ะมีอายุราว 150 ปี ลกั ษณะ ผลจะมีขนาดใหญ่ รสฝาด หนามที่เปลอื กจะเนยี นคลา้ ยลิน้ จที่ างภาคเหนอื และทีส่ ำ�คัญ คอื ลิ้นจี่พันธก์ุ ระโถนท้องพระโรงในสวนของลงุ ชาเหลือเพียงต้นเดยี วเทา่ นน้ั ในส่วนของการเพาะปลูกลิ้นจี่ของลุงชาจะใช้วิธีการตอนกิ่งชำ�ให้รากงอกจน เต็มถุงจากน้ันจึงนำ�ออกมาเพ่ือเตรียมปลูกลงในดินโดยต้องเตรียมพื้นที่ปลูกให้มีความ สูงกว่าพื้นดินปกติ วธิ ีการบำ�รุงรักษาลุงชาจะใช้ปยุ๋ ไสเ้ ดือนทีท่ ำ�เองเพือ่ ใหต้ น้ ลิ้นจี่เจริญ งอกงามตามธรรมชาติและปลอดสารพิษให้ได้มากที่สุดเพ่ือความปลอดภัยของตัวลุง ชาและผู้บริโภค ลุงชาเล่าวา่ ในช่วงที่ตน้ ลนิ้ จ่ีออกผลจะมีเสยี งดงั ทัง้ กลางวนั และกลางคืน ตลอดค้งุ นำ้ � เน่ืองมาจากการ“ชักตะขาบ”ซง่ึ เปน็ วิธที ่ีจะทำ�ใหเ้ กดิ เสียงดงั เพื่อไลส่ ัตว์ตา่ งๆ ท่ีจะมากัดแทะผลล้นิ จี่ใหอ้ อกไปได้ 43

อย่างไรก็ตามลุงชาเล่า ว่าระยะหลังมานี้ล้ินจ่ีบางขุนเทียน ไมอ่ อกผลมานานถงึ 10 ปี อนั เนื่องมาจากสภาพอากาศไม่เอ้ือ อำ�นวยแต่สำ�หรับคนที่สนใจลุง ชาจะเปิดให้ชมสวนล้ินจ่ีท่ีมีอายุ ยาวนานกว่าร้อยปีอีกท้ังยังได้ เรียนรู้การทำ�สวนพร้อมสัมผัส ธรรมชาตไิ ดอ้ ย่างใกลช้ ดิ 44

พะอง

46

พะอง การทำ�สวนผลไม้ในไทยนับได้ว่าเป็นงานหนักก็ว่าได้ท้ังงานในข้ันตอนการเพาะ ปลกู และการเก็บเกย่ี วผลผลติ จงึ ทำ�ใหเ้ กษตรกรผูท้ ีท่ ำ�สวนผลไม้จำ�ต้องมีเคร่อื งมอื หรือ อุปกรณ์ต่างๆที่ใช้ในการทุ่นแรง ไม่อย่างนั้นแล้วก็คงต้องเข้าโรงพยาบาลกันไม่มากก็ น้อยจากอาการปวดเมื่อยตามร่างกายและกว่าจะมาเป็นผลไม้ลูกโตๆที่ให้เราหาซื้อได้ตาม ท้องตลาดนั้น เกษตรกรผู้ที่ทำ�สวนผลไม้ต้องใช้เวลาอย่างมากในการเกบ็ เกีย่ วผลผลติ ย่ิงไปกว่าน้ันหากเป็นสายพันธ์ุผลไม้ท่ีมีลำ�ต้นสูงก็คงต้องใช้เวลาในการปีนป่ายเพื่อเก็บ เกีย่ วผลผลติ ไปมากเลยทีเดียว ดังเช่นสวนลิ้นจี่ของลุงชา ที่ออกผลที่ให้รดชาติหวาน กำ�ลังดีน้ันตอ้ งออกแรงและใช้เวลาเก็บเกี่ยวมาก แต่ลุงชาก็มีเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหา เหล่านน้ั ไดน้ ่นั คือ “พะอง” คุณปรีชา พวงรอด (ลุงชา) เลา่ ว่า พะองหรอื บนั ไดไมไ้ ผ่ท่ีใช้เกบ็ ล้นิ จเ่ี ปน็ ภมู ิปัญญาอย่างหนง่ึ ในการประดิษฐเ์ ครือ่ งมอื ที่ช่วยในการเก็บเกยี่ วผลไม้ พะองนน้ั เป็น ไม้ไผป่ ่าท่ีตัดแขนง (กงิ่ ) ให้ยาวพอๆกับเท้าของคนเพือ่ ให้เหยยี บข้นึ ลงไดใ้ ช้สำ�หรบั พาดขึ้น ตน้ ไมเ้ พื่อใชแ้ ทนบนั ใด อีกแบบหนงึ่ ก็คือพะองท่ใี ช้ไมไ้ ผห่ ลายๆลำ�ผกู ตอ่ กนั ข้ึนไปเนอ่ื งจาก ต้นไมน้ ้ันมคี วามสูงมากกว่าความยาวของไม้ไผ่ พะองทำ�จากไม้ไผ่ลำ�ยาวที่มีตาของไผ่ ยาวประมาณ 3–5 นิว้ ซ่งึ จะใช้ไผส่ ดท่ีเมื่ออย่ไู ปสกั พกั จะคอ่ ยๆแหง้ ไปเอง ไม้ไผ่ลำ�ยาว ทีจ่ ะนำ�มาทำ�นั้นควรมีความยาวอยู่ที่ประมาณ 8 เมตร (แล้วแต่ความสูงของลำ�ต้น ที่ต้องการจะปีน) ต้นไหนมีความสูงมากจะใช้พะองหลายลำ�มาต่อกัน พะองที่มีความ สงู มากๆส่วนใหญจ่ ะเปน็ การตอ่ ของไม้ไผ่จำ�นวน 4 ลำ� ด้วยกนั ในส่วนของวธิ ีการทำ� พะองจะต้องนำ�ไม้มาเจาะเขา้ ไปทต่ี วั ไม้ไผใ่ ห้ทะลสุ องขา้ ง มตี ะกร้าเกี่ยวกบั ลูกพะอง การนำ� พะองไปใชง้ านสำ�หรับการปนี นน้ั จะต้องไม่นำ�พะองพงิ ลำ�ต้น แตจ่ ะวางพะองในลกั ษณะต้งั ฉาก 90 องศากับพน้ื ดิน โดยใช้เชือก 3 เส้นมดั พะองไวก้ บั ลำ�ต้นรง้ั ไวไ้ มใ่ หเ้ กิดการล้ม เชอื ก 3 เสน้ ที่จะนำ�มามดั นั้นต้องมัดบรเิ วณคอและโคนตะขอ อกี ทั้งเชือกสามารถหย่อน ลงมาให้คนขา้ งลา่ งคอยถ่ายลิน้ จ่ีได้ ในการเรพ่ ะองแต่ละครง้ั ต้องใชค้ นเดินถ่ายลน้ิ จีก่ ับคน ขึ้นเกบ็ อย่างไรก็ตามเกษตรกรสามารถปรับเปล่ียนพะองให้มีความเหมาะสมกับลำ�ต้น ของพชื พันธ์ุผลไมใ้ นสวนได้ โดยการปรับเปล่ียนขนาดความยาวของไมไ้ ผน่ น่ั เอง 47

48

ตะขาบ

คุณปรีชา พวงรอด ภูมิปัญญา ตะขาบ 50

ตะขาบ เม่ือไดย้ นิ ว่าสวนผลไมห้ ลายๆคนคงเข้าใจว่าเป็นงานที่ยากลำ�บาก เนื่องจาก ต้องให้ความใส่ใจในการดูแลรักษาในทุกข้ันตอนไม่ว่าจะเป็นการบำ�รุงด้วยปุ๋ยหรือการดูแล ผลไม้จากสตั ว์ตา่ งๆทจี่ ะมาแทะกิน เช่น หนู กระรอก ค้างคาว เป็นตน้ ซึ่งเกษตรกรแตล่ ะ คนคงมีวิธีการดูแลและป้องกันสัตว์เหล่าน้ีโดยวิธีการที่แตกต่างกันออกไปแต่เกษตรกรใน พืน้ ทีค่ ้งุ ลิ้นจ่ี เขตบางขุนเทยี น มีวธิ กี ารในการดแู ลและปอ้ งกนั สตั ว์ท่คี อยแทะเลม็ ผลลิน้ จ่ี ไดอ้ ยา่ งไมน่ า่ เช่อื นั่นคอื “ตะขาบ” คุณปรีชา พวงรอด (ลุงชา) เล่าว่า “ตะขาบ” ในที่นี้ไม่ใช่สัตว์แตอ่ ย่างใด หากแต่เปน็ เครอ่ื งมอื ท่ีเกษตรกรผูท้ ำ�สวนผลไม้ใช้ไล่สัตว์ที่จะมาทำ�ลายผลลิ้นจี่ โดยชัก ให้เกิดเสยี ง ตัวตะขาบนั้นทำ�มาจากลำ�ไม้ไผ่ผา่ ซีกแลว้ นำ�มาเจาะรรู อ้ ยเชือกแขวนตะขาบ ผ่านไปตามก่ิงไม้ นั่งรา้ น และบา้ นของเกษตรกร โดยจะมกี ารร้อยตะขาบจำ�นวนมากเพื่อ ที่เวลาเกษตรกรทำ�การชกั ตะขาบเขา้ หาตวั แล้วปล่อยนั้น จะทำ�ใหต้ ะขาบตวั แรกไปกระทบ กบั ตะขาบตัวที่สองและกระทบกับตะขาบตัวถัดไป ซึ่งจะเป็นการกระทบแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงตะขาบตัวสุดท้าย ลักษณะของการกระทบนีจ้ ะทำ�ให้เกดิ เสยี งไปทวั่ ทัง้ สวน ซงึ่ เป็น ภูมิปัญญาท่ีจะช่วยให้เกษตรกรลดระยะเวลาการทำ�งานได้มากอีกทั้งประหยัดต้นทุนใน การจัดซือ้ อปุ กรณไ์ ล่สตั ว์จากรา้ นค้าต่างๆ แต่การใชต้ ะขาบนัน้ เหมาะสำ�หรับสวนผลไม้ ที่ไม่มีเพ่อื นบา้ นเรือนเคยี งอาศัยในบรเิ วณโดยรอบ เพราะการชกั ตะขาบจะทำ�ให้เกดิ เสยี ง ดงั มาก จึงเป็นเหตุผลให้เกษตรกรที่ทำ�สวนผลไม้ในปัจจุบนั หนั มาใช้หลอดไฟนีออนกัน มากขึ้น เพอ่ื เปน็ การปรบั ตัวให้เขา้ กบั สงั คมเมอื งหรอื ชุมชนเมอื งทมี่ ีผู้คนเขา้ มาอาศัยเพม่ิ มากขึน้ 51

52

ชมุ ชนบางกระด่ี วิถเี รยี นรวู้ ัฒนธรรมมอญ 44

ตามหน้าประวัติศาสตร์ไทยจะพบว่าสัญลักษณ์ของชาวมอญนั่นก็คือ “หงส์” ตามความหมายและที่มาในตำ�ราทางประวัติศาสตร์นน้ั กลา่ วไวว้ า่ กอ่ นทีจ่ ะ มาเป็นกรุงหงสาวดีของพมา่ มแี มน่ ำ้ �ขนาดใหญ่ และมผี ืนดินทตี่ รงกลางของแมน่ ำ้ � และมหี งส์ 1 คู่ ทบี่ ินรอ่ นลงมาเกาะผืนดิน ซึ่งในขณะนั้นพระพุทธเจ้าได้เสด็จและ ทอดพระเนตรไปยังหงส์คู่รักคู่น้ันจึงโปรดให้สร้างเป็นเมืองหงสาวดีในเวลาต่อมา เม่ือเวลาล่วงเลยไปจนถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยแห่ง กรุงรตั นโกสินทร์ ชาวมอญใหม่กไ็ ดเ้ ร่มิ อพยพย้ายถิ่นฐานเข้ามาอย่ใู นประเทศไทย ซึง่ แสดงให้เห็นวา่ มไิ ด้มีแตช่ นชาตสิ ยามเทา่ น้ันท่อี าศัยอยู่ในประเทศไทย แต่ยังมีชาว มอญจำ�นวนไม่นอ้ ยทีอ่ าศัยอย่ใู นประเทศไทยจนถึงปจั จุบัน 54

หากกล่าวถึงชาวมอญท่ีอาศัยอยู่ในประเทศไทยทุกคนคงจะนึกถึง ชาวมอญที่เกาะเกร็ดจังหวัดนนทบุรีเป็นประการแรก ถัดมาก็จะเป็นชาวมอญ พระประแดงจังหวัดสมุทรปราการหรือจะเป็นชาวมอญสามโคกจังหวัดปทุมธานีแต่ ยังมชี มุ ชนมอญอีกหนึ่งชุมชนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานคร เขตบางขุนเทียนนั่น คือ ชาวมอญบางกระดี่ โดยมวี ดั บางกระดเี่ ปน็ ศูนยร์ วมใจของผู้คนแหง่ นี้ ซ่งึ คณุ ถวลิ มอญดะ ได้เล่าถึงเหตุทเ่ี รียกชาวมอญบางกระดไ่ี วว้ ่า พ้ืนทนี่ ีม้ ีปลากระด่ีวา่ ย อยมู่ าก ชาวมอญบางกระดีน่ ม้ี เี อกลักษณ์ วฒั นธรรมที่น่าสนใจและสามารถดำ�รง ไว้ซง่ึ ความเป็นตวั ตนจนถึงรนุ่ ลูกหลาน ทงั้ วฒั นธรรมการแตง่ กาย อาหาร เครอื่ ง ดนตรี ประเพณีวันสงกรานต์ การเล่นทะแยมอญ เป็นต้น 55

56

พิพิธภณั ฑ์ “ศูนยศ์ ิลปวฒั นธรรมมอญ บางกระดี่” มีโครงสร้างของพิพิธภัณฑ์เป็นเรือน ไม้ท่ีมใี ต้ถุนโลง่ มีพ้นื ทรี่ าวๆ 100 ตารางเมตร ซึ่ง เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งแรกในชุมชนท่ีได้รวบรวมภาพ เ ก่ า ๆ ที่ เ ล่ า ถึ ง ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ข อ ง ช า ว ม อ ญ บางกระดีไ่ ด้เป็นอย่างดี อีกทั้งยงั มีสิ่งของตา่ งๆท่ีควร ค่าต่อการเกบ็ รักษา พพิ ิธภัณฑ์น้ีเกดิ จากความรว่ ม มือกันของชาวบ้านในชุมชนที่มีความต้องการที่จะ สร้างพิพิธภัณฑ์พ้ืนบ้านเพื่อใช้เป็นศูนย์รวมในการ อนุรักษ์และสืบสานประเพณีวัฒนธรรมชาวมอญไม่ ใหส้ ญู หายไปทงั้ พระคัมภีรอ์ ักษรมอญ รปู ถ่ายเกา่ ๆ พระพุทธรปู เคร่ืองดนตรี เคร่ืองประดบั โบราณและ เครอื่ งมือเครือ่ งใช้ต่างๆ ************************************ อย่างไรก็ตามพิพิธภัณฑ์น้ีไม่ได้เรียกเก็บ คา่ เข้าชมแต่อย่างใด หากอยู่ได้ด้วยเงินบริจาคตาม กำ�ลังศรัทธาของนักท่องเท่ียวและผู้ที่เข้าเยี่ยมชม และสามารถเดินทางไปเย่ียมชมได้จากรถโดยสาร ประจำ�ทาง โดยติดต่อได้ที่คุณ ถวลิ มอญ หากใช้รถ สว่ นตวั กส็ ามารถนำ�ไปจอดรถได้ที่วัดบางกระดี่ ซึ่ง เดินทางไปเยีย่ มชมได้ไม่ยากเลย 57

58

ชากาวรแมตง่ อกาญย 54

คณุ ถวิล มอญดะ ภมู ิปญั ญา การแต่งกายชาวมอญ 60

การแต่งกายชาวมอญ ในปัจจุบันการแต่งกายในชีวิตประจำ�วันของชาวมอญนั้นไม่ได้แตกต่าง ไปจากคนไทย ซึ่งมีเครื่องแต่งกายไปตามกระแสนิยมของคนแต่ละวัย หากในงานบุญ งานประเพณีและวันสำ�คัญทางศาสนา ซึ่งคุณถวิล มอญดะ กล่าวว่าชาวมอญจะให้ ความสำ�คัญในการแต่งกายตามวัฒนธรรมและประเพณีของตนเอง โดยที่ผู้ชายจะนุ่ง โสร่งลายตารางหมากรุก สวมเสอื กุยเฮงประกอบด้วยผา้ พาดไหล่ ส่วนผหู้ ญิงน้นั จะนุ่ง ผ้าซ่ินสวมเส้ือลูกไม้ตามสมัยนิยมประกอบกับสไบเฉียงพาดบ่าและผู้สูงอายุจะนุ่งซิ่นหรือ โจงกระเบนก็ได้สวมเส้ือผ่าอกลายลูกไม้หรือผ้าชนิดอ่ืนๆประกอบด้วยสไบเฉียงเช่นกัน ซึง่ วิธกี ารพาดสไบของทั้งชายและหญิงนนั้ มคี วามแตกต่างกนั ตามลักษณะของงาน การ พาดสไบของฝา่ ยชายจำ�แนกได้เป็น 3 รูปแบบ คอื การพาดตามงานธรรมดาจะมกี าร พาดท่ีบ่าขา้ งไหนกไ็ ดแ้ ต่จะพาดเพียงข้างเดียวเท่านั้น การพาดตามงานรื่นเริงจะนำ�สไบ พาดไว้ทงั้ สองของบ่าโดยนำ�มาคล้องด้านหน้าแล้วปล่อยชายสไบไว้ดา้ นหลงั และการพาด ตามงานบญุ ตา่ งๆหรือพาดเพือ่ ไปวัดนั้นจะมกี ารพาดแบบสไบเฉียง ในส่วนการพาดสไบ ของฝ่ายหญิงนั้นจะมีการพาดสไบ 3 รปู แบบเช่นกันแตจ่ ะแตกต่างตรงทีก่ ารพาดสไบไว้ ทัง้ สองของบา่ จะปลอ่ ยชายไว้ท่ีด้านหนา้ สำ�หรับผา้ สไบนั้นถอื วา่ มีความสำ�คญั เปน็ อยา่ งย่ิงเวลาไปวัด เพราะผ้าสไบ จะเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อพระสงฆ์และสามารถใช้เป็นผ้ากราบได้ด้วย แต่เดิมโสร่งที่ผู้ชายมอญสวมใส่น้ันหญิงชาวมอญในหมู่บ้านจะเป็นคนทอข้ึนมาเองซึ่งมี ลายเฉพาะทีเ่ ป็นของชาวมอญเองน่นั คือ “ลายตาเหล่ียม” ผ้าพาดบ่าของผชู้ ายน้ันจะ เป็นผ้า “หยาดอะบัว” ซง่ึ เป็นผา้ ขาวม้า ส่วนผา้ อกี แบบหนงึ่ คือ “หะเหรมิ่ โตะ๊ ” ตามพิธีบวชของนาคชาวบางกระด่ีน้ันจะต้องแต่งกายตามประเพณีโดยการ ห่มสไบที่ทำ�จากผ้าแพรแล้วนำ�มาจีบทบกันสองช้ันหรือจะใช้สไบผ้าแพรสองผืนก็ได้ โดยสไบดา้ นในจะเป็นสชี มพูและสไบด้านนอกจะเป็นสีเหลือง ผ้านุ่งจะเป็นสีพื้นลอยชาย จะไม่มีการเย็บ ในส่วนของวิธีการนุ่งนั้นจะนุ่งกรองเท้าโดยการพับจีบหน้านางโดยทนี่ าค จะต้องนำ�ดอกไม้มาทัดหู ซึ่งชาวมอญบางกระดี่จะนิยมทำ�เองโดยจะทำ�อุบะจากลกู ปดั ส่วนเครือ่ งประดบั ของนาคบางกระดกี่ ็จะนิยมใส่เครื่องทอง สร้อยจะเป็นลายประคำ�โรย (เจิกแมะแฟ) ส่วนขอ้ เทา้ ของนาคก็จะใส่กำ�ไลข้อเท้าทมี่ ีขนาดใหญท่ ีท่ ำ�ด้วยเงนิ ตามความ เชอ่ื ของชาวมอญบางกระด่ี การแต่งกายนาคท่ีกลา่ วมาข้างตน้ ชาวมอญบางกระด่ีเชือ่ ว่าเปน็ การเลียนแบบเจา้ ชายสิทธัตถะในการหนีออกบวช ซึ่งจริงๆแล้วชาวมอญในรฐั พม่ากจ็ ะแตง่ กายคล้ายเจา้ ชายสทิ ธัตถะดว้ ยเชน่ กนั 61

มอญในบางกระดี่ในสมัยที่อพยพมานั้นไม่มี ชุดแต่งกายท่ีคล้ายคลึงกับเครื่องแต่งกายของกษัตริย์ ในสมัยทเ่ี จ้าชายสทิ ธัตถะหนีออกบวช เลยใช้ผ้าซนิ่ และ ผ้าสไบของแม่เป็นส่วนใหญ่เพราะมีความเชื่อว่าการท่ี นาคนำ�ชุดของแม่มาใส่ในการออกบวชถือว่าจะได้เป็น พุทธบูชา จงึ ปฏบิ ัตกิ นั ตอ่ มาจนถงึ ทุกวนั นี้ ในสว่ นของ การแต่งกายของเด็กชาวมอญในวัย 7 ปี น้นั จะนยิ มไว้ ทรงผม 2 แบบ เดก็ ผูห้ ญงิ จะไวผ้ มจุกโดยจะเล้ียงผมให้ ยาวโกนผมบริเวณอ่ืนทิ้งแล้วมัดจุกกลางศีรษะค่อนมา ทางด้านหน้า ส่วนเดก็ ผู้ชายน้นั จะไวจ้ กุ ตรงขวัญคอ่ นไป ทางดา้ นหลงั ท่ีเรียกวา่ “เปีย” ซึ่งลกั ษณะการไว้ผมของ เด็กชาวมอญคล้ายคลึงกับการไว้ผมของเด็กตามความ เชอ่ื คนไทยที่มมี านาน 62

เกลา้ กมาวรยผม

64

การเกลา้ มวยผม การเกล้าผมนั้นเป็นวิธีเสริมความงามอย่างหน่ึงที่ผู้หญิงมักจะทำ�กันเป็นส่วน มาก ถงึ แม้จะมีการเปลย่ี นแปลงด้านความสวยความงามในปัจจบุ ัน แตห่ ญิงชาวมอญบาง กระดี่กย็ ังคงไว้ในการเกล้าผมแบบโบราณ เครือ่ งมอื และอปุ กรณ์ท่ใี ช้ในการเกล้าผมก็ยังคง เป็นรปู แบบทใ่ี ช้กันมาตั้งแต่รุ่นบรรพบรุ ษุ ซึง่ เรมิ่ จะหาชมได้ยากข้ึนทุกวนั คณุ ถวิล มอญดะ ได้เล่าใหฟ้ งั วา่ หญิงชาวมอญน้ันชอบท่จี ะไวผ้ มยาวและบำ�รงุ ดว้ ยนำ้ �มันมะพรา้ วทช่ี ว่ ยใหม้ ีเสน้ ผมสลวยสวยงามและไม่แตกกระเซิงออกจากกัน ในการ เกล้ามวยผมแบบมอญนั้นจะรวบผมเอาไว้ในตำ�แหน่งที่ค่อนลงไปทางหลังศีรษะซึ่งลักษณะ การเกล้าผมของหญิงมอญจะมี 2 ลักษณะด้วยกัน คือ การเกล้ามวยผมแบบลูกจันทน ์ (ศกฮะก๊อด) และการเกล้ามวยผมโดยใช้กระดานแบนๆมาตีที่มวยผม (ศกตรอง) เพื่อ ให้มวยผมบานออกดูแล้วมีความสวยงาม ซงึ่ จะใช้โลหะ 2 ชนิดท่ชี ว่ ยใหย้ ดึ มวยผมใหอ้ ยู่ กับที่น่นั คอื “อะนด่ โซ่ก” มีลักษณะเป็นตัวยูแคบ และ “ฮะเหลยี่ งโซก่ ” มีลกั ษณะเป็นรูป ปกี กา จากนั้นก็จะนำ�เครื่องประดับผมที่มีสีสันสวยงามที่เรียกว่า “แหมะเกวยี่ ปาวซก่ ” คือ ระย้าลูกปดั รดั มวยผม ซงึ่ หญงิ มอญจะนำ�มาประดับรอบมวยผมให้เกดิ ความสวยงาม มากข้ึนและหญิงชาวมอญบางคนก็จะนำ�ดอกไม้สดมาประดับผมเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน ระย้าลูกปัดรัดมวยผมน้ีเป็นเอกลักษณ์การแต่งกายของหญิงชาวมอญสามารถ แบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ส่วนดว้ ยกนั คอื ลูกปัดไหมพรมท่ีมีสสี ันตา่ งๆซึง่ ขัน้ ตอนของการทำ�น้ันจะ ตอ้ งทำ�ทีละลูก โดยการพันไหมพรมให้มีขนาดตามต้องการจากนั้นก็ตัดตกแต่งให้เป็นทรง กลม อีกส่วนหน่ึงคือส่วนของระย้าทีท่ ำ�ดว้ ยลูกปดั พลาสติก ทีต่ ้องร้อยเรียงใหเ้ ป็นตาขา่ ย หรือรังผึ้งก็ได้ การประดับผมด้วยระย้าลูกปัดรัดมวยผมนี้เป็นเอกลักษณ์การแต่งกาย ดง้ั เดมิ ของชาวมอญนำ้ �เค็ม (ชาวมอญบางกระด่ี ชาวมอญเจด็ ริ้ว ชาวมอญบา้ นเกาะ เป็นต้น) แต่ในปัจจุบันการประดับมวยผมด้วยระยา้ ลกู ปัดนีแ้ พรห่ ลายมากย่งิ ขนึ้ ท้ังในกลุ่ม ชาวมอญพื้นทอี่ ่นื ๆและหญิงไทยที่ชื่นชอบเครื่องประดับย้อนยุค จนทำ�ให้เกิดเป็นการค้า หรือสนิ ค้าทำ�มือข้นึ มาจำ�หน่ายยังท้องตลาดตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งถือว่า เป็นการเผยแพรว่ ัฒนธรรมอนั ดขี องชาวมอญใหเ้ ป็นท่รี ู้จกั มากยง่ิ ขึน้ 65

ถึงเกร็ดยา่ นบ้านมอญแตก่ อ่ นเกา่ ผู้หญิงเกลา้ มวยงามตามภาษา เดยี๋ วนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุก๊ ตา ทัง้ ผดั หน้าจบั เขมา่ เหมอื นชาวไทย โอส้ ามญั ผันแปรไมแ่ ทเ้ ทยี่ ง เหมือนอย่างเยี่ยงชายหญงิ ทิ้งวสิ ยั นห่ี รอื จติ คิดหมายมหี ลายใจ ทจี่ ติ ใครจะเปน็ หนง่ึ อยา่ พงึ คดิ รูปภาพจาก : http://www.nationtv.tv/main/content/378498174/ 66

ทะแกายรลมะเลอ่นญ

คุณกัลยา ปงุ บางกะด่ี ภูมิปญั ญา การละเล่นทะแยมอญ 68

การละเลน่ ทะแยมอญ ทะแยมอญน้ันเป็นการละเล่นหรือการแสดงของชาวมอญท่ีออกเสียงเพี้ยน มาจากคำ�ว่า “แตะ๊ แหยฺะฮ์” ซึ่งคำ�วา่ “ทะแย” ตามพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ให้ความหมายไว้ว่า “ช่อื เพลงไทยโบราณทำ�นองหนงึ่ ใช้บรรเลงด้วยปีใ่ น การเสด็จพระราชดำ�เนินโดยกระบวนพยุหยาตรากลองโยน” อีกนยั หนง่ึ ตามความเห็น ของพระมหาจรูญจอกสมุทร กล่าวว่า “ทะแย” นา่ จะเปน็ คำ�ภาษาไทยทเี่ พีย้ นมาจาก ภาษามอญวา่ “แตะเหยห”์ แปลวา่ “ร้อง” ศัพทน์ ้ีมีปรากฏเป็นลายลักษณอ์ ักษรใน ภาษามอญแตค่ นมอญไม่ค่อยนำ�มาใชเ้ ปน็ ภาษาพดู ดงั น้ัน “แตะเหยห”์ จงึ คงปรากฏ เป็นภาษาเขยี นเท่าน้นั และถ้านำ�คำ� “แตะเหยห์” มาเทยี บคำ�ต่อคำ�ใหเ้ ป็นภาษาไทยจะได้ ตรงกับคำ�วา่ “ทเยห”์ และคำ�มอญกต็ รงกบั คำ�ว่า “หมน่ หรือโมน” จึงน่าจะเปน็ ไปได้ท่ี คนไทยเรียกเพ้ียนจาก “แตเหยห์โมน” มาเปน็ “ทะแยมอญ” ในที่สดุ ซ่งึ คณุ ลุงกัลยา ปงุ บางกะดี่ ไดเ้ ลา่ ว่า ทะแยมอญเปน็ การร้องโต้ตอบกัน ซ่ึงเป็นลักษณะของเพลงปฏิพากย์และมีความคล้ายกับการร้องเพลงปฏิพากย์ของไทย เชน่ เพลงอแี ซว เพลงเรอื เพลงลำ�ตัด เพลงฉอ่ ย เป็นตน้ ทะแยมอญจะแบง่ นักร้อง ออกเปน็ สองฝ่าย คือ นกั ร้องฝ่ายหญงิ “แหม็ะแขวกนฮิ ์แปรา” และนกั ร้องฝา่ ยชาย “แหม็ะแขวกนิฮ์เตราะฮ์” ซงึ่ จะมกี ารรอ้ งโตต้ อบกันเปน็ คู่ๆผสมผสานไปกบั การร่ายรำ� ภาษาทีใ่ ชใ้ นการละเลน่ ทะแยมอญดง้ั เดิมนน้ั จะเป็นภาษามอญทั้งหมด แต่เมื่อยุคสมัย เปลี่ยนไปประกอบกับชาวมอญอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในประเทศไทยมากขึ้น จนทำ�ให้ การละเล่นทะแยมอญในปัจจุบันจะมีการร้องในภาษามอญผสมกับการร้องภาษาไทย ปนกนั ไป ในสว่ นของเครอื่ งดนตรีท่ีใช้น้ันประกอบไปด้วยฉิ่ง (หะเดหรือคะเด) เปิงมาง (ปงุ ตงั ) ขลยุ่ (อะโลด) จะเข้มอญ (จยาม) และซอ (โกร) ซงึ่ เคร่อื งดนตรที งั้ 5 ช้ินน้ี จะเรียกว่าเป็นวงดนตรี “โกรจยาม” แตใ่ นการละเล่นสมยั ใหม่จะมีการเพมิ่ เครอ่ื งดนตรี เข้าไปเพื่อใหท้ ำ�นองสอดคลอ้ งกบั ซอมอญและทำ�นองเพลงสมยั ใหม่มากยิ่งขึน้ คอื ซอ ด้วง กรบั กลองรำ�วง และฉาบเล็ก 69

การละเล่นทะแยมอญเป็นการแสดง ซ่ึ ง ส า ม า ร ถ แ ส ด ง เ ป็ น ม ห ร ส พ ไ ด้ ทั้ ง ง า น ม ง ค ล และงานอวมงคล เนื้อหาของคำ�ร้องจะมีลักษณะ เฉพาะของงานแต่ละประเภท เช่น เทศกาลงาน ทางพุทธศาสนาจะร้องพรรณนาถึงอานิสงส์ของ การทำ�บญุ งานแตง่ งานจะรอ้ งพรรณนาประวตั ิ ของบ่าวสาวและร้องพรรณนาอบรมสั่งสอนการ ใชช้ วี ิตคู่และสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อกัน ซึ่งจะจบดว้ ย การรอ้ งเพือ่ อวยพรใหค้ ่บู า่ วสาวมคี วามสขุ งาน ศพจะมีการร้องพรรณนาประวัติและความดีของ ผู้ตาย งานวันสงกรานต์และงานลอยกระทงจะ เป็นการร้องเก้ียวพาราสีกันของฝ่ายชายและ ฝ่ายหญิง ซึ่งบทร้องดัง้ เดิมน้ันจะร้องโตต้ อบกัน ด้วยการปฏิภาณท่ีมีท้ังการเล่าเป็นเรื่องราวและ การเก้ียวพาราสกี นั เป็นต้น ทำ�นองดนตรที ี่ใช้ ในการเลน่ ทะแยมอญแบง่ เปน็ 2 ลกั ษณะ คอื ทำ�นองท่ีมีชื่อเรียกตรงกับเพลงไทยแต่จะมีทำ�นอง บางสว่ นทแ่ี ตกต่างออกไปจากของไทย เช่น แขก มอญ สีนวล จีนแส เป็นตน้ ซงึ่ ทำ�นองเหล่านี้ จะนำ�มาใช้สำ�หรับการบรรเลงเริ่มแรกก่อนการ แสดงทะแยมอญและทำ�นองในลักษณะท่ีสองจะ เป็นทำ�นองมอญดั้งเดิมท่ีมีช่ือเรียกเป็นภาษา มอญซึ่งจะใช้บรรเลงเพลงมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เชน่ เดิมเจิน โปดเซ หะแกงวั อะหล่นเซีย เปน็ ตน้ ********************************* อย่างไรก็ตามประเพณีและวัฒนธรรม ของชาวมอญที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยนั้นมีการ เปลยี่ นแปลงไปบา้ งตามกาลเวลา ซงึ่ มีความผสม ผสานไปกับวัฒนธรรมประเพณีไทยเพ่ือให้ชาว ไทยไดเ้ ข้าไปมสี ่วนรว่ ม ประกอบกับประเทศไทยได้ กลายเป็นฐานรากของการใช้ชีวิตของชาวมอญ อย่างสมบรู ณ์แลว้ 70

ประเพณีสงกรานต์ ชุมชนบางกระดี่ รูปภาพจาก : https://siamrath.co.th/n/34206

รูปภาพจาก : http://www.komchadluek.net/news/regional/271899 72

ประเพณสี งกรานต์ ชุมชนบางกระดี่ คำ�ว่าประเพณีฟังแล้วให้ความรู้สึกถึงการรวมตัวของกลุ่มคนและความอบอุ่น ที่ไดท้ ำ�กจิ กรรมร่วมกับคนบ้านเดียวกัน หรือเชื้อชาติเผ่าพันธุ์เดียวกัน ซึ่งประเพณี สงกรานต์น้นั ก็เปน็ ประเพณหี นึง่ ที่ทำ�ใหผ้ คู้ นนึกถึงบา้ น นึกถึงญาติพีน่ ้อง นกึ ถึงบุพการี เช่นเดียวกันกับประเพณีสงกรานต์ของชุมชนชาวมอญบางกระด่ีที่จะมารวมตัวกัน เตรียมงานและประกอบอาหารท่ีมเี อกลกั ษณ์พเิ ศษทห่ี าชมได้ยาก โดยจะเร่ิมเตรยี มงาน ต้ังแต่วันท่ี 5 เมษายน ไปจนจบงานในวันท่ี 19 เมษายน ตามคำ�เล่าของคณุ ถวลิ มอญดะ เลา่ ไวว้ า่ ในวนั ที่ 5 เมษายน ชาวบ้านใน ชมุ ชนจะเริ่มกวนกะละแม โดยกุศโลบายของการกวนกะละแมนี้ คือการรวมตวั กนั ของ เพ่ือนบา้ นทจ่ี ะมาช่วยกวนกะละแม เปน็ การสรา้ งพลงั สามคั คีใหเ้ กดิ แกช่ ุมชน การกวน 1 ครั้ง จะใชเ้ วลาถึง 8 ชั่วโมง เรยี กได้วา่ เปน็ งานท่ีเหน่อื ยล้าอย่างทีส่ ุด แตท่ ุกคนก็เตม็ ใจ ทำ� งานกวนกะละแมนต้ี ้องทำ�ใหเ้ สร็จภายในวันที่ 11 เมษายน เนอ่ื งจากผูเ้ ป็นพอ่ และแม่ ในแต่ละบ้านจะจัดกะละแมใส่พานโตกทองเหลืองแล้วให้ผู้เป็นลูกไปส่งมอบหรือแลกกะละแม กบั ครอบครวั อื่นในวันที่ 12 เมษายน และครอบครัวท่ีได้รับกะละแมนัน้ กจ็ ะมอบกะละแม กลับมาดว้ ยซ่งึ วถิ กี ารส่งมอบหรอื การแลกนี้ เป็นกุศโลบายหนึ่งท่สี อนถงึ ความนอบน้อม ถอ่ มตนและการเช่อื มสมั พนั ธไมตรี พอเขา้ ถึงวันท่ี 13 ไปจนถึงวนั ที่ 14 เมษายน จะเป็นวันหุงขา้ วแช่ โดยจะเร่ิมหงุ ในวนั ที่ 12 แล้วนำ�มารับประทานในวันที่ 13 หากจะรับประทานในวันท่ี 14 กต็ อ้ งหงุ ตง้ั แต่ วันที่ 13 ดว้ ย ทำ�แบบน้ไี ปจนถงึ วนั ที่ 15 แต่กอ่ นที่จะนำ�ไปหุงน้ันต้องนำ�ข้าวไปตัง้ ทีศ่ าล เพียงตานอกบ้านเสียก่อน เพื่อเชิญนางสงกรานต์ลงมา โดยวิธีการหุงนน้ั คอ่ นขา้ งจะ ซบั ซอ้ นแต่กไ็ ม่ยากไปเสยี ทีเดยี ว ก่อนหุงจะตอ้ งนำ�ขา้ วมาซาวนอกบา้ น 7 ครั้ง ล้างน้ำ� 7 หน และต้องเตรียมกบั ขา้ วไว้ 7 อย่าง เพราะชาวบ้านมีความเชอื่ ทีว่ ่านางสงกรานต์ นน้ั มอี ยู่ 7 คน หลงั จากนนั้ จะนำ�ข้าวแชท่ ่ีได้ไปถวายพระ และเมือ่ นำ�กลบั มาผู้เปน็ ภรรยา ของครอบครวั จะต้องนำ�ขา้ วแช่มาจดั ไวใ้ นโตกทองเหลอื งอยา่ งสวยงาม มาขอขมาผู้เป็น สามีที่เคยล่วงเกินไวต้ ่อกนั ดว้ ยการกราบ 3 ครงั้ จากนนั้ ผู้เป็นสามีก็จะยกมอื ไหว้รบั 73

ในวนั ที่ 16 ถงึ 18 เมษายน จะเป็นวันสรงน้ำ�พระโดยในชว่ งเช้าจะเป็นการทำ� กิจกรรมการตักบาตรแบบปกติท่ัวไปพอเริ่มเข้าสู่ช่วงบ่ายก็จะเร่ิมไปรวมตัวกันที่บ้าน ญาติผู้ใหญ่ท่ีมีความสำ�คัญต่อครอบครัวเพื่ออาบน้ำ�ก่อนนำ�ฉัตรธงไปที่วัดเพ่ือกราบไหว้ บรรพบุรษุ ทไี่ ด้เสยี ชวี ิตไปแลว้ และในช่วงกลางคนื ของวนั ท่ี 16 ถงึ 18 เมษายน จะมีการเลน่ สะบา้ หรือทอยสะบา้ เพอ่ื เป็นการเชอ่ื มสัมพันธไมตรีของคนในชุมชนใหแ้ ข็งแกร่ง รกั ในความ เป็นชาติพันธเ์ุ ดยี วกนั จากนน้ั ในวันท่ี 19 เมษายน จะเป็นงานประเพณีทรงเจ้าของเจา้ แม่ที่ อาศยั อยทู่ ้ายหมูบ่ า้ นจึงจะถอื ว่าหมดงานสงกรานต์ในปนี น้ั ๆ งานสงกรานต์บางกระดี่เป็นการนำ�คุณค่าทางวัฒนธรรมมาใช้เสริมสร้างความ รกั ความสามัคคีในชุมชนเปน็ การสบื สานประเพณวี ฒั นธรรมใหอ้ ยูค่ ชู่ มุ ชนตลอดไป ****************************************** รปู ภาพจาก : www.sentangsedtee.com/food-recipes-for-job/article_1629 74

การทำ�ตบั จาก

คุณพรทิพย์ เตียเปิ้น ภมู ิปญั ญา การทำ�ตบั จาก 76

การทำ�ตับจาก บ้านจากหรือบ้านต้นจากนี้เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ของป้าพรทพิ ย์ เตยี เป้นิ ในการมุงหลงั คาบ้านเรอื น ซง่ึ ใบจากเป็นวัสดุธรรมชาตทิ มี่ ีความ ทนทานต่อแดดและฝนอีกท้ังยังเป็นภูมิปัญญาที่ช่วยในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย การเย็บตับจากเพื่อมุงหลังคาน้ันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านท่ีมีมาแต่โบราณ เปน็ การนำ�ต้นจากทีข่ ้นึ อยหู่ นาแนน่ ริมแม่นำ้ � จนเรียกกันว่าปา่ จาก มาใช้ให้เกดิ ประโยชน์ ในการทำ�ตับจากจะใช้ใบจาก หวายลงิ และไมไ้ ผ่ผ่าซีกทำ�เปน็ ไม้ก้าน ใบจากจะไมใ่ ชใ้ บอ่อน เพราะไมท่ นทานและแตกงา่ ย นำ�หวายลงิ มาผา่ ตน้ หน่ึงได้ 4 เส้น ตากแดดให้แหง้ ที่ ใช้หวายลงิ ในการเย็บเพราะเหนียวและทน ไมก้ ้าน ใชไ้ ม้ไผ่นำ�มาผา่ ซีก ตัดเป็นท่อนยาว 1.10-1.30 เมตร ในสว่ นของการทำ�ตับจากนัน้ จะต้องนำ�ใบจากมาวางตอ่ กันเปน็ คแู่ ลว้ นำ� เขม็ ทรี่ อ้ ยหวายมาเยบ็ จากบนลงลา่ ง จากน้นั นำ�ใบจากคู่ต่อไปมาเรียงทับส่วนทีเ่ ยบ็ เอาไว้ แล้วเยบ็ ตอ่ กนั อีกทีไปเรอ่ื ยๆจนหมดตับหรือได้ขนาดตามต้องการ ซ่งึ ใบจาก 1 ตับ นนั้ จะใช้ใบจากประมาณ 28-30 ใบ แต่ละใบควรมีความกว้างอย่ทู ่ี 1–1.5 เซนตเิ มตร และ ควรจะมคี วามยาวอย่ทู ี่ 20 เซนติเมตร จึงจะทำ�ใหก้ ารมุงหลังคาทที่ ำ�จากใบจากนั้นมี ขนาดที่เหมาะสมและมคี วามสวยงาม นำ�ไปตากใหแ้ ห้งเพ่ือสง่ ขายไวม้ ุงหลงั คาต่อไป ใน ปัจจุบันการมุงหลังคาด้วยตับจากเป็นที่ต้องการของตลาดและเป็นท่ีนิยมเป็นอย่างมาก ทง้ั นำ�ไปมงุ ตามวัด สำ�นกั สงฆ์ ฟารม์ เห็ด กระตอ๊ บ บ่อกงุ้ บอ่ ปลา รสี อรท์ เพราะ เป็นของทไ่ี ดจ้ ากธรรมชาติ เยน็ อยู่สบาย แถมยงั มีอายกุ ารใช้งานอย่ไู ด้ 6 ปี ท้งั น้ียัง สามารถไปศึกษาและเยยี่ มชมไดท้ ี่พพิ ธิ ภัณฑ์ต้นจาก ชมุ ชนบางกระด่ี เขตบางขนุ เทียน อย่างไรก็ตามการสืบทอดภูมิปัญญาในการทำ�ตับจากเป็นการสืบทอดศิลปะ วถิ ชี วี ิต และเป็นการสรา้ งรายไดใ้ ห้กบั ชมุ ชนมอญบางกระดี่ รวมไปถึงเปน็ แหล่งท่องเท่ยี ว ของชมุ ชนทสี่ รา้ งช่อื เสยี งใหก้ ับชุมชนเป็นอย่างมากอีกด้วย 77

78

การทำ�แสป้ ดั 66

คุณรอด นิ่มตานี ภูมปิ ัญญา การทำ�แส้ปดั 80

การทำ�แสป้ ดั บ้านแส้น้ันเป็นบ้านที่อยู่ในชุมชนบางกระด่ีที่มีการทำ�แส้จากภูมิปัญญา ท้องถนิ่ ของผูอ้ าวุโสภายในชุมชนนนั่ คือ คุณลงุ รอด นิม่ ตานี วัย 67 ปี บา้ นแสน้ ้ัน อยู่ในชุมชนบางกระด่ีแต่ก่อนท่ีจะรู้จักการทำ�แส้หลายคนคงจะไม่รู้ว่าแส้น้ันทำ�มาจาก สว่ นหนึ่งของต้นจาก ซึ่งในชุมชนบางกระดี่ “ต้นจาก” ถือได้ว่าเป็นพืชชนิดหนง่ึ ทม่ี ี ความสำ�คัญและเก่ียวพันกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวมอญบางกระด่ีต้ังแต่โบราณ เกอื บทุกสว่ นของต้นจากสามารถนำ�มาใชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลากหลาย แตจ่ ะมสี ่วนหนง่ึ ของ ตน้ จากทีท่ ุกคนไมค่ อ่ ยนำ�มาใช้กนั น่นั คือ “กา้ นโหมง่ ” ก้านโหม่งท่ีจะนำ�มาทำ�แส้นี้จะมีความเหนียวคงทนมีอายุการใช้งานได้ประมาณ 2 ปี หรอื มากกว่าน้ัน ซ่งึ สามารถนำ�มาใชป้ ระโยชนใ์ นการปดั ฝนุ่ ปดั ทีน่ อน ปัดฟกู ปดั หมอน ปัดยงุ เป็นต้น ในส่วนของวธิ กี ารทำ�แสน้ นั้ ควรจะเลือกตดั ก้านโหม่งท่ีเปน็ ดอก คเ่ี พราะจะใหไ้ ด้ความยาวที่เหมาะสม หลังจากนั้นให้นำ�ก้านโหม่งมาตีด้วยไม้ที่มีลักษณะ เป็นท่อนกลมยาวประมาณ 1 ฟุต ตีตามแนวตัง้ จนได้ความยาวที่ต้องการโดยไม่ตอ้ งปอก เปลือกออกก็จะทำ�ให้ไดแ้ สอ้ อกมาเป็นเสน้ ๆแล้วจงึ นำ�หวีซึ่งทำ�จากตะปูประมาณ 5-6 ตัว ที่ตอกติดกับไม้มาสางแส้ที่ผ่านการตีจนเป็นเส้นจากข้างในก่อนแล้วจึงพลิกกลับมาสาง ดา้ นนอก จากน้ันนำ�ไปตากแดดทง้ิ ไวป้ ระมาณ 2-3 ช่วั โมง รอจนแหง้ แล้วค่อยนำ�มา แขวนผ่ึงลม สำ�หรบั การนำ�มาตากแดดนจี้ ะตอ้ งตากดา้ นในกอ่ นแล้วคอ่ ยพลิกกลับมา ตากดา้ นนอกทีหลงั จนแห้งท้งั สองดา้ น ซ่งึ ใน 1 วัน จะตีแสไ้ ดป้ ระมาณ 4-5 อนั ใช้ เวลาตใี นการตีอันละประมาณ 1 ชั่วโมง และจะต้องตากแดดอย่างตอ่ เนื่อง ดังนน้ั ควรจะ เลอื กวันในการตแี สท้ ม่ี แี ดดดีๆ ในสว่ นของความยาวท่ีเหมาะสมตอ่ แส้ 1 อนั รวมดา้ ม จบั ด้วยจะยาวประมาณ 90-100 เซนตเิ มตร ซ่ึงจะมีความพอดีตอ่ การใช้งานและตอ้ ง นำ�กา้ นโหมง่ มาตีตอนสดๆเท่านั้น หากเก็บไว้นานจะทำ�ให้แห้งจนไม่สามารถนำ�มาตีได้ ในส่วนของเคล็ดลับในการทำ�แส้น้ันคุณลุงรอดเล่าว่าในขั้นตอนการตีแส้แต่ละ อันจะใสน่ ำ้ �หนกั ไม่เท่ากัน หากใส่น้ำ�หนักที่ไม่เหมาะสมก็จะทำ�ให้เส้นแส้ที่ตีขาดหรือด้าม แตก ส่วนข้นั ตอนของการตากแดดน้นั จะต้องตากเม่อื ตเี สรจ็ แล้ว และจะตอ้ งไม่นำ�ไปตาก แดดอีกเพราะดา้ มจับจะยุบตวั และมีการแตก หากใช้การตากผึ่งลมความคงทนของแสก้ ็ จะมมี ากขน้ึ ในสว่ นของขน้ั ตอนการยอ้ มสนี น้ั ลกู คา้ ทเ่ี ปน็ นกั ทอ่ งเทย่ี วจะไมน่ ยิ ม สว่ นใหญ่ นกั ทอ่ งเทย่ี วจะนยิ มสแี บบธรรมชาตมิ ากกวา่ 81

82

รปู ภาพจาก : www.aswinbkk.com/bangkhadi/ ขนมเมด็ ขนนุ ยกั ษ์

รูปภาพจาก : https://www.youtube.com/watch?v=noQtl2I6iqI คุณเปย๊ี ก สอนสำ�แดง ภูมปิ ัญญา ขนมเมด็ ขนุนยักษ์ 84

ขนมเมด็ ขนุนยักษ์ บ้านขนมป้าเปี๊ยกเป็นร้านขนมไทยสูตรชาวมอญในพ้ืนที่ท่ีไม่ไกลจากซอย ชุมชนบางกระดีแ่ ยก 2 (เขตบางขุนเทยี น) ท่ีเปดิ ได้ประมาณ 6–7 ปี บ้านขนมป้าเปยี๊ ก นีข้ ายขนมไทยหลากหลายและขนึ้ ชือ่ ว่าอรอ่ ยไมแ่ พใ้ ครท้งั ทองหยบิ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมสาล่ี ขนมหม้อแกง ขา้ วเหนียวมูล ฯลฯ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ ขนมเมด็ ขนุนยักษ์ทมี่ ี สีเหลืองอรา่ มเตะตาและเปน็ สนิ คา้ ยอดนยิ มที่ขายดีเป็นอนั ดับหนง่ึ ก็ว่าได้ สูตรในการทำ�ขนมเม็ดขนุนยักษ์นี้ได้รับการถ่ายทอดมาแล้วต้ังแต่สมัยคุณ ทวดของปา้ เปี๊ยก โดยจะต้องเตรียมวัตถุดิบต่างๆให้พร้อมนั่นคือ ถั่วทองที่ผ่านการ แช่นำ้ �แลว้ 7–8 ชว่ั โมง เพอื่ ใหถ้ ่ัวทองนิม่ มากพอท่จี ะนำ�มาน่ึงได้ หวั กะทิ มะพรา้ วขูด ไข่แดงจากไข่เปด็ น้ำ�ตาลทราย นำ้ �ลอยดอกมะลิ และน้ำ�ตาลทรายสำ�หรับทำ�น้ำ�เชอื่ ม เมื่อเตรียมวัตถุดิบเรียบร้อยแล้วจึงนำ�ถั่วทองท่ีแช่น้ำ�จนน่ิมแล้วมาบดให้ละเอียดแล้ว นำ�มาผสมกับหวั กะทแิ ละมะพรา้ วขดู จากนัน้ จงึ นำ�ไปกวนในกระทะทองเหลืองจนเปน็ เนอ้ื เดียวกนั จากนน้ั เตมิ นำ้ �ตาลทรายแลว้ กวนต่อไปจนสว่ นผสมท้ังหมดแห้งพอทีจ่ ะนำ�มาป้ัน เป็นทรง กลมรีได้ เม่อื ปน้ั เมด็ ขนนุ แลว้ กต็ ้องมาตไี ข่แดงท่ีรีดไขข่ าวออกจนหมด จากน้นั ต้งั กระทะทองเหลอื งใหร้ อ้ นใส่นำ้ �ตาลทรายและนำ้ �ลอยดอกมะลิลงไป รอจนน้ำ�ตาลทราย ละลายและเดือด (ไมต้ อ้ งกวน) จงึ นำ�ตะแกรงถ่ีมาตกั เอากากนำ้ �ตาลหรอื สง่ิ ทไ่ี ม่ตอ้ งการ ออกแล้วจะได้นำ้ �เช่ือมท่ใี สและมีกลน่ิ หอมอ่อนๆ จงึ ปิดไฟทก่ี ระทะได้ จากนนั้ นำ�เม็ดขนุนท่ี ผ่านการชุบไข่แดงแล้วมาหยอดลงไปในน้ำ�เช่ือมใสที่ยังมีความร้อนอยู่แล้วจึงเปิดไฟกระทะ อกี ครงั้ จากน้ันรอจนสุกจึงชอ้ นข้ึนมาได้และจะเหน็ ว่าขนมเม็ดขนุนเหลอื งเปน็ เงาสวยงาม ในส่วนเคล็ดลับต่างๆนั้นคือไข่แดงท่ีจะนำ�มาใช้น้ันต้องเป็นไข่แดงท่ีสดมากๆเพื่อ ท่เี วลานำ�เมด็ ขนนุ มาชบุ จะได้ติดอยู่บนผิวของเมด็ ขนนุ ได้ไมห่ ลดุ ลอก ไมค่ วรใสม่ ะพรา้ ว หรือกะทิมากเกินไปเพราะจะทำ�ให้ผิวของเม็ดขนุนล่ืนจนชุบไข่แดงไม่ติดและในขั้นตอนของ การทำ�น้ำ�เช่ือมควรมีความข้นพอประมาณเพ่ือท่ีจะทำ�ให้ไข่แดงติดผิวเม็ดขนุนได้มากข้ึน ซ่ึงในขณะน้ีบ้านขนมป้าเปี๊ยกเร่ิมมีช่ือเสียงขึ้นมากเพราะด้วยรสชาติท่ีนักท่องเที่ยวพร้อม การันตไี วว้ ่าอรอ่ ยไมแ้ พใ้ คร อกี ทง้ั ยังมรี าคาไมแ่ พง หากใครเดินทางไปที่บางกระดก่ี ็ต้อง แวะบ้านขนมปา้ เป๊ยี ก จะไดเ้ รยี กวา่ ไปแลว้ ไม่เสียเทย่ี ว ซึง่ ชาวมอญมกั จะนำ�ขนมเม็ดขนนุ หรือขนมหวานตา่ ง ๆ ไปถวายพระในงานบุญงานกศุ ลซึ่งไมแ่ ตกต่างจากวัฒนธรรมไทย 85

รปู ภาพจาก : https://www.aswinbkk.com/bangkhadi/ รปู ภาพจาก : www.facebook.com/pages/ขนมหวานปา้ เปย๊ี ก/354417384580703 86

87

หน่วยจดั การขอ้ มลู ชุมชน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอมเกล้าธนบรุ ี

ขอขอบคุณ คณุ จรญั อ่วมสะอาด (ลุงสอน) คุณเกรยี งศกั ดิ์ ฤกษ์งาม คณุ ปรชี า พวงรอด คณุ ถวลิ มอญดะ คณุ กัลยา ปุงบางกระดี่ คณุ พรทิพย์ เตยี เปลิ้ คณุ รอด นิ่มตานี คุณเปย๊ี ก สอนสำ�แดง คุณอริญญา ฤกษ์งาม

THE BEST THING OF LOCAL WISDOM IN BANGKHUNTIEN