Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุ่งครุ

หนังสือภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุ่งครุ

Description: หนังสือภูมิปัญญาท้องถิ่น ทุ่งครุ

Search

Read the Text Version

EDITOR. TALK “ท่งุ คร”ุ ชมุ ชนยา่ นฝง่ั ธนบุรที ่ีก�ำ ลงั ก้าวสภู่ าวะการเปลีย่ นแปลงไปสคู่ วามเป็นเมอื ง (urban- ization) คลองถูกถมเปน็ ถนน ไร่สวน ไร่ส้มก�ำ ลงั เปลี่ยนเป็นคอนโดตกึ สงู ชาวไร่ชาวสวนกำ�ลงั ถูกเปลยี่ น สภาพเปน็ แรงงาน แมว้ า่ การเปลี่ยนแปลงจะโถมเขา้ สชู่ ุมชนดงั้ เดิมแห่งนี้ แต่สงิ่ หนงึ่ ทีช่ มุ ชนพยายาม รักษาไว้ก็คือ ภูมิปัญญาและวิถคี นบางมด ลงุ เกษมเลา่ วา่ สมัยลุงยังเล็กพอ่ สอนท�ำ วา่ วและเล่นวา่ ว ลุง จะมคี วามสขุ ทุกคร้ังทไ่ี ดท้ ำ�วา่ วและสอนเดก็ ๆหรือคนท่ีสนใจท�ำ ว่าว ในขณะทีค่ ณุ ปา้ สมควรเล่าย้อนถึง อดีตสมัยทุง่ ครุยงั คงเป็นสวน มีตน้ กล้วยแทบทกุ บา้ น แต่กอ่ นกลว้ ยใครออกผลก็เอามาแจกจ่าย ท�ำ ขนม แบ่งกันกิน จนเป็นท่มี าของขนมไทยหลายๆ ประเภท หรอื แมก้ ระทง่ั ภมู ิปัญญาการเล้ียงไก่ชนน้นั ไดส้ ะทอ้ น ให้เหน็ ถงึ ความผูกพัน ความสัมพันธ์ของคนกับไก่ การดูแลที่ใส่ใจหลอมรวมกบั ภูมิปัญญาตา่ งๆ ตง้ั แต่ การเลือกพนั ธไ์ุ ก่ การฝกึ ไก่ การอาบน�้ำ ทำ�แผล และหากจะกลา่ วถงึ งานศลิ ปะ คงไมพ่ ้น การท�ำ หัวโขน เลก็ ทล่ี ุงสุวชิ าไดก้ ล่าวว่าอยากรกั ษา ถา่ ยทอดและสืบสานงานหวั โขนเล็กไปยงั รุน่ ลูกรุน่ หลาน หลายครงั้ เดก็ ต่างชาติมาเหน็ หวั โขนเลก็ โดยเฉพาะหัวโขนหนุมาน เดก็ ตนื่ เต้นดีใจมาก ในขณะทเ่ี ดก็ ไทยยงั ไม่รดู้ ้วย ซำ�้ ว่าคอื อะไร ความรู้สกึ นี้ย่ิงผลักดนั ให้คุณลุงอยากเผยแพรง่ านหัวโขนเลก็ ของตนเอง นอกจากนีย้ งั มี ภมู ิปญั ญาการปลกู ส้มบางมด เอกลักษณ์อนั โดดเด่นของทุ่งครุ ที่ลุงปรีชาได้เล่าถงึ ทีม่ าท่ไี ปและเคลด็ - ลับการปลกู สม้ ทีข่ น้ึ ช่อื วา่ อรอ่ ยและมรี สชาติที่ไมเ่ ปน็ รองใคร ส่งิ เหล่านี้เป็นแคต่ วั อยา่ งภมู ิปัญญาของ ชาวทงุ่ ครุ จะเห็นวา่ ในชมุ ชนเล็กๆ ท่ีก�ำ ลงั จะถูกเปล่ยี นผา่ นเป็นชุมชนเมืองเตม็ ตวั น้นั ยงั แฝงภูมปิ ญั ญา ทอ้ งถน่ิ มากมายทช่ี วนให้ค้นหา หนงั สอื เล่มน้จี ึงเปน็ การคน้ หาของดีทงุ่ ครนุ ัน่ เอง ดร.ภาสนันทน์ อัศวรักษ์ TEAM. จัดท�ำ โดย หน่วยจดั การขอ้ มลู ชมุ ชน (Community Data Management Unit : CDMU) รว่ มกับ : คณะศิลปศาสตร,์ สำ�นักงานวชิ าศึกษาทั่วไป, ชุมชนท่งุ ครุ เน้ือหา / เรียบเรียง ดร.ภาสนันทน์ อศั วรกั ษ์ กฑาศกั ด์ิ ด�ำ รงคส์ ุข สุดารัตน์ ขาวปล้มื นศ.วิชาภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่ินไทย รูปประกอบ กฑาศกั ดิ์ ดำ�รงค์สุข สดุ ารัตน์ ขาวปลม้ื 3

4

FOREWORD. สายวชิ าสงั คมศาสตร์และมนุษยศาสตรไ์ ดท้ �ำ งานกับชุมชนทุ่งครมุ าหลายปี จากการลงไป ท�ำ งานกบั ชมุ ชนพบวา่ ในชุมชนมีหลายอย่างทมี่ ีคุณค่าที่ควรจะมกี ารจดั การความร้เู หล่าน้ีไวใ้ หอ้ ยคู่ ู่กบั ชมุ ชนและถ่ายทอดให้เยาวชนคนรุ่นหลงั ได้เรียนร้เู รอ่ื งราวของชมุ ชนที่ตนเองอาศยั อยู่ เพ่ืออนรุ กั ษ์ความรู้ เหล่านใ้ี ห้อย่คู ชู่ ุมชน จึงไดม้ อบหมายใหด้ ร.ภาสนันทน์ อัศวรกั ษ์และคณะท�ำ งานหนว่ ยจัดการข้อมูลชุมชน สายวิชาสังคมศาสตรแ์ ละมนษุ ยศาสตร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีพระจอมเกลา้ ธนบุรี ทำ�การรวบรวมองคค์ วามรู้เกี่ยวกบั ภูมปิ ญั ญาในเขตทุง่ ครุ โดยจัดทำ�ในรปู ของหนังสอื เชงิ สารคดีดงั ท่ี ปรากฎ ขอขอบคุณ ดร.ภาสนันทน์ อศั วรักษแ์ ละคณะท�ำ งานหนว่ ยจัดการข้อมลู ชมุ ชน ทีใ่ ชค้ วามวิรยิ ะ อตุ สาหะท�ำ ให้งานการรวบรวมภูมิปญั ญาท่งุ ครสุ �ำ เรจ็ ลงได้ดว้ ยดี สายวิชาสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ได้ตระหนักถึงความสำ�คัญและคุณค่าของหนังสือ เล่มนี้ จึงไดต้ ิดต่อขอสนับสนนุ การจดั พมิ พ์ไปยังอาจารยส์ ุชาติ เพริดพริ้ง ทป่ี รีกษาอธิการบดดี ้าน กจิ การมหาวทิ ยาลยั และคณุ สุวิชัย เศรษฐเสถยี ร ผอู้ ำ�นวยการส�ำ นกั งานมหาวทิ ยาลัยสัมพนั ธ์ ซ่งึ ให้การ สนบั สนนุ ให้มีการจัดพมิ พเ์ ผยแพร่ แกห่ น่วยงาน สถาบนั การศึกษา ชมุ ชนและประชาชนท่ีสนใจทั่วไป หวงั วา่ หนังสอื “THE 20 BEST THINGS IN THUNGKHRU” เล่มนี้จะช่วยอนุรักษ์ภูมิปัญญา ของชาวทงุ่ ครุและช่วยถา่ ยทอดภมู ปิ ัญญาท้องถน่ิ ใหอ้ ยูค่ ่กู ับเยาวชนทงุ่ ครสุ ืบตอ่ ไป ผศ.ดร. สุรพงษ์ ชูเดช ประธานสายวิชาสังคมศาสตรแ์ ละมนุษยศาสตร์ 5

CONTENTS 10 14 THAI STEAMED BANANA CAKE 18 ขนมกล้วย 22 THAI DESSERT (MS. WING) 26 ขนมไทยป้าวิง 30 MEDICINAL PLANTS 34 สมุนไพรกับประโยชน์ทางยา 38 DRIED BETEL NUT การทำ�หมากแห้ง RAISE GOATS การเลี้ยงแพะ COCK FIGHTING การเลี้ยงไก่ชน RED-WHISKERED BULBUL นกปรอดหัวจุก THAI KITE (CHULA) ว่าวจุฬา 6

LIKAY HULU (FOLK PERFORMANCE) 42 ลิเกฮูลู 46 SWORDPLAY (KRABIKRABONG) 50 กระบี่กระบอง 54 GAMELAN ORCHESTRA 58 วงปี่พาทย์ ACTOR’S MASK (HUAKHON) หัวโขนเล็ก CARVING BRASS BOWL การสลักลายขันทองเหลือง 7

MAKING ARTIFICAL FLOWERS (used during a funeral) 62 การทำ�ดอกไม้จันทน์รูปดอกกุหลาบ 66 PRODUCT FROM COCONUT SHELL 70 ผลิตภัณฑ์จากกะลามะพร้าว 74 MAKING COCONUT BROOMS 78 การทำ�ไม้กวาดทางมะพร้าว 82 BOAT BUILDER 86 การต่อเรือ YOK YO (RAFT DIP NET FOLK WISDOM FISHERY) การยกยอ TRENCH GARDEN สวนท้องร่อง GROWING BANG MOD ORANGE TREES การปลูกส้มบางมด 8

THE 20 BEST THINGS IN THUNGKHRU 9

10

THAI STEAMED BANANA CAKE ขนมกล้วย “ภมู ิปญั ญาทอ้ งถนิ่ จากเขตทุง่ ครุ ชมุ ชนประชาอทุ ิศ 43” กล้วยเป็นผลไม้ท่ีรับประทานง่าย #01 การเลือกรับประทานกล้วยนั้น คนส่วนใหญ่มัก จะนิยมรับประทานกล้วยที่เหลืองกำ�ลังดี ไม่ดิบ ข้ันตอนการทำ�ขนมกล้วย จากการ หรือสุกงอมเกินไป จึงทำ�ให้เกิดปัญหาว่ากล้วย ลงพนื้ ทสี่ มั ภาษณป์ า้ สมควร (เจา้ ของสตู ร) ท�ำ ให้ ทสี่ กุ งอมเกนิ ไปมกั จะเหลอื ทง้ิ ไมม่ คี นรบั ประทาน เราได้เห็นกระบวนการต่าง ๆ ท่ีน่าสนใจ แฝงไป ปัญหานี้จึงได้กลายเป็นปัญหาเร่ืองกล้วย ๆ ที่ ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านเล็ก ๆ น้อย ๆ ตลอด ชาวบ้านในชุมชนประชาอุทิศ 43 ได้เห็นถึงวิธี ขั้นตอนการผลิต ซึ่งเป็นกระบวนการท่ีใช้มือทำ� แก้ไข จนกลายมาเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่น่า ทง้ั หมด โดยขนั้ แรกเรม่ิ ตน้ จากการปลอกเปลอื ก สนใจ กล้วยให้สะอาด ถ้าพบเส้นใยจากเปลือกกล้วย กระบวนการทำ�ขนมกล้วยจะเลือกใช้ หรอื รอยช�ำ้ ใหใ้ ชม้ ดี ตดั ออก เพราะรอยช�้ำ จะท�ำ ให้ กล้วยท่ีสุกงอมนำ�มาแปรรูปเป็นขนมกล้วยที่น่า ขนมมรี สชาติเปร้ยี ว ขนั้ ตอนตอ่ ไปใสแ่ ปง้ ขา้ วเจ้า รับประทาน ขนมกล้วยในแต่ละพื้นท่ีก็จะมีสูตร และแป้งข้าวเหนียวลงไป จากนั้นผสมกล้วยกับ การทำ�ที่แตกต่างกันไป เช่นเดียวกับชุมชนแห่ง แปง้ กลายเปน็ เนอ้ื เดยี วกนั โดยใชม้ อื นวดใหเ้ ขา้ กนั นี้ที่มีกระบวนการผลิตขนมกล้วยที่มีเอกลักษณ์ และแฝงไปดว้ ยภมู ปิ ญั ญาชาวบ้าน #1. คุณป้าสมควร เจา้ ของสูตรขนมกลว้ ย 11

เหตุท่ีไม่ใช้เครื่องมือในข้ันตอนนี้เพราะว่าการใช้ #02 เคร่ืองป่นั จะท�ำ ใหก้ ลว้ ยเละเกินไปและไม่อรอ่ ย การ ใช้มือนวดทำ�ให้เราสามารถควบคุมส่ิงต่างๆ ได้ดี กวา่ อกี ทง้ั ยงั เปน็ การแสดงออกถงึ ความประณตี การเอาใจใส่ในกระบวนการผลิตขนมกล้วยของ ชาวบ้านด้วย ขั้นตอนต่อไปนำ�มะพร้าวที่ขูดแล้ว ใสล่ งไป ½ ลกู โดยคณุ ปา้ ยังบอกอีกวา่ มะพร้าวมี สรรพคุณแก้ท้องเสีย ล้างสารพิษได้ ขั้นตอนต่อ ไปให้ใสน่ ้�ำ ตาลทรายขาวลงไป ¼ กก. และใสเ่ กลือ ลงไป 1 ช้อนชา นวดให้เข้ากันแล้วพักไว้ซักครู่ หลังจากน้ันเข้าสู่ข้ันตอนการประดิษฐ์ภาชนะไว้ สำ�หรับใส่ขนมกล้วย โดยเป็นการใช้ประโยชน์จาก ใบตองของต้นกล้วย ซ่ึงใบตองจะช่วยทำ�ให้ขนม มีกลิ่นหอมน่ารับประทานมากขึ้น โดยเราสามารถ เลอื กไดว้ า่ จะประดษิ ฐภ์ าชนะใบตองเปน็ รปู อะไร โดย ในทน่ี ค้ี ณุ ปา้ ไดเ้ ลอื กประดษิ ฐเ์ ปน็ รปู เรอื จากนน้ั น�ำ ขนมทท่ี �ำ ไวม้ าใสภ่ าชนะใหเ้ รยี บรอ้ ย แลว้ น�ำ มะพรา้ ว ขูดผสมเกลือเล็กน้อยมาโรยเป็นหน้าขนม เพ่ือ ความสวยงามและให้น่ารับประทานมากข้ึนไปอีก หลงั จากนนั้ กน็ �ำ ขนมไปนง่ึ ประมาณ 20 - 30 นาที ถา้ นง่ึ นานเกนิ ไปขนมจะแขง็ และไม่อร่อย หลังจาก ยกขึ้นจากเตาเราก็จะได้ขนมกล้วยท่ีอร่อยและน่า รบั ประทานแลว้ ประวตั ทิ มี่ าของขนมกลว้ ยอาจจะไมม่ ขี อ้ มลู ทช่ี ดั เจน แตจ่ ากการศกึ ษาขอ้ มลู ทางประวตั ศิ าสตร์ พบว่ากล้วยมีถ่ินกำ�เนิดอยู่ที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นหน่ึงในผลไม้ท่ีเก่าแก่ท่ีสุดในโลก โดยผู้คน ในอดีตมักบ­­ ริโภคกล้วยกันมานานแล้วก่อนที่จะเกิดเป็นประเทศไทยเสียอีก ดังนั้นขนมกล้วยน้ันอาจเกิด จากวฒั นธรรมร่วมในการกนิ กลว้ ยท่เี กิดขึน้ ในภูมภิ าคเอเชยี ตะวนั ออกเฉยี งใต้ และได้มกี ารมีการพฒั นา รูปแบบของการบริโภค หรอื การแปรรูปอาหารซงึ่ แตกต่างกันไปตามพืน้ ทท่ี างสงั คมและวฒั นธรรม 12

ปัจจัยท่ีทำ�ให้เกิดภูมิปัญญาในการผลิตขนมกล้วยของ ชุมชนประชาอุทิศ 43 จากการบอกเล่าของผู้คนในชุมชนกล่าวไว้ วา่ “สมยั กอ่ นเมอื งไทยบา้ นไหน ๆ กต็ อ้ งมตี น้ กลว้ ย เพราะตน้ กลว้ ย สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ใช้ได้ทั้งผลกล้วย ก้านกล้วย ใบตอง ลำ�ตน้ ปลีกล้วย และรากกลว้ ย แถวน้ีจะมคี นปลกู กันมาก ออกลกู ออกผลทีจะเอามาแจกแบ่งกันกินสนุกสนาน พอเหลือ ๆ ก็ เอามาแปรรูปเป็นนั่นน่ี แล้วแต่เคลด็ ลบั ของแต่ละบา้ น” ทำ�ใหเ้ ห็นได้ ว่าสิ่งแวดล้อมสัมพันธ์กับชีวิตของชุมชน สิ่งแวดล้อมภายนอก เป็นอย่างไรก็ส่งผลไปสู่วัฒนธรรมของชุมชนนั้น ๆ เช่นเดียวกับ ตน้ กลว้ ยทช่ี าวบา้ นน�ำ มาแปรรปู ใหเ้ ปน็ ขนมกลว้ ยสะทอ้ นความเปน็ ชมุ ชนได้อยา่ งนา่ สนใจ ลักษณะของการถ่ายทอดภูมิปัญญาน้ีเกิดจากการ สืบทอดกันภายในครัวเรือนของชุมชน โดยในแต่ละครัวเรือนก็จะมี เคล็ดลบั ที่แตกต่างกันออกไป ขนึ้ อยู่กบั สว่ นผสม การคิดคน้ สูตร ใหม่ ๆ ส�ำ หรบั คณุ ปา้ สมควรไดอ้ าศยั วธิ กี ารครพู กั ลกั จ�ำ โดยอาศยั ชว่ งทคี่ ุณแมข่ องป้าทำ�กบั ขา้ วแล้วจึงเขา้ ไปช่วย หรือเวลามีงานใน ชุมชนป้าก็จะคอยเข้าไปช่วย จึงท�ำ ให้ไดส้ ูตรขนมมาจากหลาย ๆ ท่ี แล้วน�ำ มาฝึกฝนเอาเองตามความชอบ โดยอาศยั การลองผิดลอง ถกู ใสน่ นู่ นน่ี น่ั จนไดก้ ลายเปน็ สตู รเฉพาะตวั ซง่ึ เปน็ การสะทอ้ นใหเ้ หน็ ว่าภูมิปัญญาท่ีเกิดขึ้นในแต่ละพ้ืนที่ถึงจะเหมือนกันแต่ก็ยังมีความ แตกตา่ งกนั ตามความชอบความถนดั ในเเต่ละครอบครวั #03 #2. ใชม้ อื นวดแปง้ ท�ำ ให้งา่ ยตอ่ การ ควบคมุ #3. ภาชนะจากใบตองของต้นกล้วย 13

14

THAI DESSERT (MS. WING) ขนมไทยป้าวิง “ภูมิปัญญาท้องถน่ิ จากเขตทงุ่ ครุ ชมุ ชนบางมด หมู่ 2” ภูมิปัญญาที่เกิดข้ึนจากการส่ังสม ความรู้ในการทำ�ขนมไทยมาเป็นเวลานาน ทำ�ให้ กลายเป็นภูมิปัญญาในการผลิตขนมไทยท่ีหาดู #01 หากินยากในปัจจุบัน โดยขนมไทยท่ีว่าเกิดจาก ฝีมือของคุณป้าวิง ผู้ที่เติบโตและอาศัยอยู่ใน ขนมดอกโสนเป็นการนำ�ดอกโสนไป ชมุ ชนหมู่ 2 บางมด มาเกอื บ 60 ปี ซง่ึ คุณป้า คลกุ กบั แปง้ ขา้ วเจา้ และน�ำ ไปนง่ึ ใหส้ กุ จากนน้ั โรย ได้ทำ�ขนมไทยออกมาขายทุกวัน ในแต่ละวันจะมี ดว้ ยน�ำ้ ตาลกบั มะพรา้ วขดู ซง่ึ จะมรี สชาตทิ อ่ี รอ่ ย จำ�นวนขนมไม่ตำ่�กว่า 10 ชนิด ทั้งขนมใส่กะทิ มากหากรบั ประทานในขณะทก่ี �ำ ลงั ท�ำ เสรจ็ ใหม่ ๆ เชน่ ลอดชอ่ ง สาคขู า้ วเหนยี วเปยี ก เตา้ สว่ น ขา้ ว ปา้ วงิ ไดบ้ อกวา่ ดอกโสนนน้ั เปน็ ดอกไมท้ มี่ คี ณุ คา่ เหนียวถั่วดำ� ฯลฯ หรือจะเป็นขนมแบบเป็นชิ้น ทางอาหารสงู และมคี ณุ สมบตั ทิ างยา คอื ชว่ ยแก้ เชน่ ถั่วแปะ ข้าวตม้ มัด ข้าวเหนียวกล้วย กล้วย ร้อนใน สำ�หรับข้ันตอนการทำ�มีการแฝงความรู้ เชื่อม ฯลฯ โดยคุณป้าบอกว่าขนมของป้าน้ันจะ ที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านในการสร้างความหอม ทำ�สดใหม่ วันตอ่ วัน หากขายไม่หมดก็จะทิ้ง ไมม่ ี ของกะทิ โดยเป็นการใช้ใบเตยในการสร้างกล่ิน การเกบ็ ไวข้ ายวนั ตอ่ ไป เพราะขนมของปา้ ไมไ่ ดใ้ ส่ หอม อกี ทง้ั ยงั ใชก้ ารอบขนมดว้ ยควนั เทยี น เพอ่ื สารกนั บดู จึงเก็บได้ไม่นาน เพราะป้าวิงต้องการ เพิ่มกล่นิ หอมของขนมด้วย ให้ขนมอร่อยและเป็นธรรมชาติมากท่ีสุด ทาง ดา้ นวตั ถุดบิ ปา้ วิงได้เลือกวัตถุดบิ ท่หี าได้ภายใน ทอ้ งถ่นิ เช่น มะพรา้ วและกล้วยจากสวน รวมไป ถงึ ดอกโสนซึ่งเป็นวตั ถุดบิ ทีใ่ ช้ท�ำ ขนม ซ่ึง “ขนม ดอกโสน” เป็นขนมทคี่ ุณปา้ ภมู ิใจนำ�เสนอในการ ท�ำ ครง้ั นี้ #1. ขนมดอกโสน 15

จดุ เรม่ิ ตน้ ของการท�ำ ขนมไทยขาย ปา้ วงิ บอกวา่ ชาวบา้ นนยิ มท�ำ กนั มานานแลว้ ในชมุ ชนหมู่ 2 บางมด แตด่ ว้ ยสภาพสงั คม เศรษฐกจิ ทเี่ ปลยี่ นแปลงไปท�ำ ใหป้ จั จบุ นั เหลอื เพยี งปา้ คนเดยี วทยี่ งั คงท�ำ อยู่ เพราะเปน็ งานทท่ี �ำ ไดท้ บี่ า้ น อกี ทง้ั ดว้ ยวยั ทมี่ ากท�ำ ใหป้ า้ วงิ เลอื กทจี่ ะทงิ้ อาชพี สาวโรงงานหนั มาสานตอ่ ใน อาชพี น้ี สำ�หรับปัจจัยที่ทำ�ให้เกิดภูมิปัญญาในการทำ�ขนมไทยของชุมชนหมู่ 2 บางมดนั้น เกิดจาก สภาพแวดลอ้ มภายรอบชมุ ชนทเี่ ปน็ สวนตา่ ง ๆ ทงั้ สวนมะพรา้ ว สวนสม้ สวนกลว้ ย ท�ำ ใหก้ ลายเปน็ แหลง่ วัตถุดบิ ช้ันดใี นการนำ�มาประกอบการท�ำ ขนมไทย โดยไมต่ อ้ งไปขวนขวายซ้อื จากขา้ งนอก 16

#02 ภมู ิปญั ญานม้ี กี ารถา่ ยทอดแบบรนุ่ สู่ร่นุ โดยทัง้ เป็นการสืบทอดภายในครวั เรือน และ สืบทอดจากผู้รู้เร่ืองขนม โดยป้าวิงได้สูตรขนม เคล็ดลับต่าง ๆ มาจากเพื่อนบ้าน ซ่ึงสะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมความเป็นอยู่ของชุมชน ท่ีมีการอาศัยพ่ึงพากัน ซ่ึง เปน็ วถิ ชี วี ติ ทเ่ี ริม่ จะหายไปจากสงั คมไทยในปัจจบุ ัน #2. ขนมไทยสว่ นมากจะใช้น้ำ�กะทเิ ปน็ สว่ นผสม #3. การท�ำ ขนมจะแบง่ เปน็ สองหม้อ เพราะขนมที่ปา้ วงิ ท�ำ นั้นมหี ลากหลายชนิด #03 17

18

MEDICINAL PLANTS สมุนไพรกับประโยชน์ทางยา “ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ จากเขตทุง่ คร”ุ คนไทยมีวัฒนธรรมที่อาศัยพึ่งพา ชาวบ้านได้นำ�องค์ความรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติในการดำ�รงชีพ ไม่ว่าจะเพ่ืออยู่หรือ สมุนไพรนำ�มาประยุกต์ใช้ทำ�เป็นยารักษาโรค เพื่อกิน ประสบการณ์ทำ�ให้มนุษย์ค้นพบว่าสิ่งที่ รักษาอาการเจ็บปวด หรือแม้แต่เพื่อความสวย อยใู่ นธรรมชาตบิ างชนดิ กม็ ปี ระโยชน์ บางชนดิ ก็ ความงาม ประโยชน์ที่แท้จริงของสมุนไพรจะ มีโทษตอ่ ร่างกาย ท�ำ ให้เกิดการน�ำ เอาพชื พรรณ ถูกนำ�มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหนข้ึน ในธรรมชาติมารักษาอาการเจ็บป่วย ซ่ึงเกิดข้ึน อยู่กับความรู้ภูมิปัญญาของชาวบ้านแต่ละคน จากการน�ำ เอาพชื พรรณทม่ี อี ยรู่ อบตวั น�ำ มาลอง เช่นเดียวกับชุมชนหมู่ 6 ทุ่งครุ ท่ีมีภูมิปัญญา ผดิ ลองถูก คดิ คน้ วิธกี ารต่าง ๆ จนเกิดเป็น “ยา ด้านสมุนไพรเกี่ยวกับความงาม โดยเกิดข้ึน สมุนไพร” ขึน้ จากคุณยายพรทิพย์เป็นผู้ที่นำ�สมุนไพรมาทำ� เป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลทางด้านความงามของ ในพ้ืนท่ีชุมชนเขตทุ่งครุชาวบ้านใน ผิวพรรณ โดนอาศัยตำ�ราแพทย์แผนโบราณ พน้ื ทน่ี ส้ี ว่ นใหญย่ งั คงวถิ ชี วี ติ แบบดงั้ เดมิ คอื การ จากครอบครัวของตน คุณยายเล่าว่าสมุนไพร พง่ึ พาอาศยั ธรรมชาตใิ นการด�ำ รงชวี ติ ถงึ แมว้ า่ ท่ี นำ � ม า ใ ช้ เ ป็ น ส มุ น ไ พ ร ท่ี ป ลู ก เ อ ง ใ น ร้ั ว บ้ า น สังคมจะมกี ารพฒั นาก้าวหน้าไปเพียงใด แต่ชาว ปลอดภัยจากสารเคมี ทำ�ให้เราสามารถมั่นใจ บา้ นกย็ งั ไมท่ งิ้ ภมู ปิ ญั ญา วฒั นธรรมดงั้ เดมิ ของ ได้ว่าสูตรแพทย์แผนโบราณนี้ทั้งปลอดภัยและ ตนไป เพราะปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างล้วนกลาย ปลอดสารพิษ คุณยายได้นำ�สูตรสมุนไพรมา เป็นส่ิงท่ีถูกกำ�หนดค่าด้วยเงินตรา การพึ่งพา พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพ่ือความงาม โดยผลิต อาศัยสิ่งท่ีชาวบ้านสามารถผลิตได้เองจึงเป็น เป็นน้ำ�หมักสมุนไพร ซ่ึงนำ�ไปใช้พอกหรือขัด ทางเลอื กทดี่ ีในยคุ น้ี นอกจากนัน้ สรรพคณุ ทาง ผวิ ทัง้ นว้ี ัตถุดบิ นัน้ ได้มาจากขมิน้ อ้อย ขมนิ้ ชนั ยาของสมุนไพรน้ันยังสามารถพิสูจน์ได้ทาง ไพล ใบสม้ ปอ่ ย ใบหนาด ตะไคร้หอม ลูกมะกรดู วิทยาศาสตร์ ว่าสามารถรักษาอาการเจ็บป่วย ใบมะขาม และอื่น ๆ ซึ่งเป็นสูตรลับเฉพาะของ ตา่ ง ๆ ไดจ้ รงิ อีกดว้ ย คณุ ยายทไี่ ดม้ าจากการถา่ ยทอดภมู ปิ ญั ญาจาก รุ่นสูร่ ่นุ ภายในตระกูลเทา่ น้ัน 19

#01 20

ถัดไปเป็นชุมชนวัดกลางนา ที่ได้มี ผลจากการเรียนรู้ของมนุษย์ทำ�ให้ การนำ�เอาสมุนไพรมาทำ�เป็นยาระงับกลิ่นกาย เราได้ภูมิปัญญาที่สามารถพึ่งพาธรรมชาติใน และเป็นยาแก้ปวดฟัน โดยมีการใช้ส่วนผสมของ การรักษาโรคภัยไข้เจ็บของมนุษย์ได้ โดยที่ไม่ เกลือและสารส้มท่ีสตุแล้ว (คือกระบวนการที่ ต้องออกไปหาหมอก็สามารถช่วยเหลือตัวเอง ทำ�ใหส้ ารส้มสะอาด ดว้ ยการนำ�ไปตง้ั ไฟโดยไม่ใช้ ได้ แต่ก็จำ�เป็นต้องมีความรู้ในการนำ�ไปใช้ด้วย นำ้�) อีกทัง้ ยังเพม่ิ กานพลูเข้าไปชว่ ยในการสร้าง ถึงแม้การแพทย์แผนปัจจุบันจะมีการพัฒนาไป กลนิ่ หอมเพื่อใหน้ า่ ใชม้ ากขน้ึ หรอื จะเปน็ สมุนไพร มาก ทว่าก็ไม่ได้ปฏิเสธการแพทย์สมุนไพรแบบ ระงบั กลนิ่ ผสมสารสม้ ทส่ี ตแุ ลว้ สามารถน�ำ มาทา ชาวบ้าน แต่การนำ�สมุนไพรมาใช้จำ�เป็นต้อง บริเวณที่มีกล่ินอบั ชนื้ ไดเ้ ลย ศึกษาถึงสรรพคุณให้ดีก่อน โดยอาจศึกษาจาก ผลวจิ ยั ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้ ปจั จบุ นั กระบวนการท�ำ ยา นอกจากน้ัน การใช้ประโยชน์จากพืช ไดพ้ ฒั นาท�ำ ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพมากขนึ้ ยาสมยั ใหม่ สมุนไพรไม่จำ�เป็นต้องนำ�ไปแปรรูปก่อนใช้อย่าง บางชนดิ กอ็ าศยั พชื สมนุ ไพรเขา้ ไปเปน็ ตวั ยาดว้ ย เดยี ว สว่ นประกอบของต้นพชื บางชนดิ สามารถ แต่ถึงอย่างไรในโลกนี้ก็ไม่ได้มียาวิเศษที่รักษาได้ น�ำ เอามาท�ำ เปน็ ยารกั ษาอาการเจบ็ ปวดตา่ ง ๆ ได้ ทกุ โรค กอ่ นทเ่ี ราจะเลอื กใช้ยาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเปน็ เลย เชน่ ใบพลบั พลงึ เปน็ ตน้ โดยตดั ใบพลบั พลงึ ยาจากแพทย์สมัยใหม่หรือจากสมุนไพรก็จำ�เป็น ท่ีโตเต็มที่ แล้วนำ�ไปอังไฟด้วยเตาแก๊สหรือเตา ต้องได้รับคำ�แนะนำ�จากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อน ถ่าน โดยต้องใชไ้ ฟออ่ น อังใบให้ท่ัวพอรอ้ น ให้ใบ ใชเ้ สมอ พลับพลงึ อ่อนตวั แตอ่ ยา่ อังใหไ้ หม้ โดยลองจบั ดู ว่าร้อนพอหรือยัง หลังจากน้ันนำ�ไปพันรอบ ๆ บรเิ วณทป่ี วดเมอ่ื ย จะท�ำ ใหร้ สู้ กึ อนุ่ ๆ ความรอ้ นที่ ไดจ้ ะชว่ ยใหอ้ าการดขี นึ้ โดยจะไปชว่ ยกระตนุ้ ท�ำ ให้ เลือดไหลเวยี นได้ดี #1. ใบพลับพลงึ จากชุมชนหลงั สวนธนบุรีรมย์ 21

22

DRIED BETEL NUT การทำ�หมากแห้ง “ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิน่ จากเขตท่งุ ครุ ชุมชนมตมิ ติ ร” วัฒนธรรมการกินหมากอยู่คู่กับ #01 คนไทยมาช้านานนบั แตอ่ ดตี ครัง้ ในสมยั จอมพล ป. พิบูลสงคราม มีการยกเลิกการค้าหมาก หลังจากนั้นก็จะนำ�หมากแห้งท่ีได้ ท�ำ ใหว้ ัฒนธรรมการกินหมากค่อยๆ เลือนหายไป มาเก็บรักษาไว้ในถังพลาสติกขนาดใหญ่ มีฝา อาจจะพบบา้ งประปรายตามพน้ื ทช่ี นบท หมากจงึ ปิดมิดชิดเพื่อรอออกจำ�หน่าย โดยคุณสุนันทา เปน็ ของหายากขน้ึ ในปจั จบุ นั แตใ่ นพนื้ ทที่ งุ่ ครนุ นั้ กล่าวว่า “เราจะขายหมากแห้งปีต่อปี ส่วนมาก ยังคงหาหมากแห้งได้ นั่นคือท่ีชุมชนมติมิตรท่ี จะขายใหก้ บั กลมุ่ คนทกี่ นิ หมากพลู และขายใหก้ บั เลยี้ งชีพด้วยการปลูกหมากและแปรรูปหมากแห้ง คนในชุมชนที่ต้องการซ้ือฝากผู้เฒ่าผู้แก่ท่ีต่าง คุ ณ สุ นั นท า ผู้ ใ ห้ สั ม ภ าษ ณ์ จ ะ นำ � จงั หวัด” เอาผลหมากสดที่เก็บจากสวนไปส่งขายหรือ การทำ�หมากแห้งสืบทอดมาต้ังแต่ บางครั้งก็นำ�ผลหมากสดไปตากแห้งเพื่อแปรรูป รุ่นพ่อจนถึงรุ่นปัจจุบันรวมระยะเวลาประมาณ เป็นหมากแห้ง การแปรรูปหมากแห้งนั้นมีหลาย 60 ปีมาแล้ว เป็นการสืบทอดความรู้ภายใน ขั้นตอน ต้ังแต่การคัดเลือกหมากสดท่ีจะต้อง ครัวเรือน จากคนรุ่นหน่ึงส่งต่อให้กับคนอีกรุ่น แก่ประมาณ 70-80 % สังเกตจากหน้าหมาก หนง่ึ มกี ารเรยี นรแู้ ละฝกึ ฝนจนเกดิ ความช�ำ นาญ เม่ือเฉาะออกมาแล้วหน้าหมากเต็มถือว่าหมาก เปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะตัว ทะลายน้ันใช้ได้ เมื่อได้หมากสดตามต้องการ แล้วจะนำ�มาเฉาะ ซอย และตากแดด ตามลำ�ดับ ในขั้นตอนน้ีจะใช้กระด้งเป็นภาชนะในการตาก #1. หมากน�ำ ไปตากแห้ง หมากโดยจะต้องตากประมาณ 4-5 แดด ขอ้ ระวัง คือห้ามโดนฝน หากโดนฝนจะทำ�ให้หมากข้ึนรา การตากน้อยแดดก็เช่นกันจะทำ�ให้หมากขึ้นราได้ ดังน้ันหากย่ิงเราตากแดดนานเท่าไร หมากก็จะมี คุณภาพดีเท่านั้น แต่ก็อาจจะสูญเสียนำ้�หนักได้ เมอ่ื น�ำ ไปชัง่ ขาย 23

#02 24

ปจั จยั ทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การเกดิ ภมู ปิ ญั ญา ถึงแม้ในปัจจุบันจะไม่พบการกินหมาก คือ ปัจจัยด้านสภาพภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ในสงั คมเมืองแล้วก็ตาม แต่ในย่านชานเมอื งหรอื ธรรมชาติท่ีเป็นปัจจัยท่ีเอ้ือต่อการปลูกต้นหมาก ต่างจังหวัดผู้เฒ่าผู้แก่บางบ้านยังคงกินหมาก และแปรรูปหมากแห้ง ทั้งสภาพอากาศ น้ำ�ที่ กันอยู่ ชุมชนแห่งน้ีจึงเป็นผู้ผลิตและผู้จำ�หน่าย ดี และดินท่ีอุดมไปด้วยแร่ธาตุ นอกจากนี้ปัจจัย ท่ีสำ�คัญ แต่เป็นท่ีน่าเสียดายท่ีการทำ�หมากแห้ง ด้านลักษณะทางสังคมวัฒนธรรมยังมีส่วนทำ�ให้ จะต้องส้ินสุดลงเพียงแค่รุ่นคุณสุนันทา ด้วย เกิดภูมิปัญญาน้ี เนื่องจากในอดีตหมากถูกนำ� เหตุปัจจัยหลายๆ ด้านทั้งความนิยมของการ มาใช้เป็นเคร่ืองบ่งบอกฐานะทางสังคม และยังใช้ ปลูก ตน้ หมากลดจำ�นวนลง โดยหมากแต่ละตน้ ในพิธีไหว้ครูและบายศรีสู่ขวัญอีกด้วย จึงสะท้อน น้ันมีอายุประมาณ 10 ปี เม่ือต้นหมากรุ่นน้ีตาย ได้ว่า การกินหมากถือเป็นวัฒนธรรมท่ีอยู่คู่กับ ลงชาวบ้านก็ไม่ได้นำ�หมากมาปลูกเสริม เพราะ คนไทยมาชา้ นาน ราคาของต้นหมากในปัจจุบันมีราคาสูงไม่คุ้มต่อ การลงทุนปลูก นอกจากน้ีคนข้ึนต้นหมากยัง หายากอีกด้วย จึงเป็นท่ีน่าเสียดายท่ีภูมิปัญญา #2. หมากแหง้ พรอ้ มจ�ำ หนา่ ย ดงั้ เดมิ ทอ่ี ยคู่ กู่ บั วถิ ชี าวสวนในสงั คมเมอื งนน้ั ตอ้ ง หายไป เหลือแต่เพียงท้องร่องท่ีว่างเปล่ากับภาพ ความทรงจำ�ในอดีตใหห้ วนคดิ ถงึ เพยี งเท่านน้ั 25

26

RAISE GOATS การเลี้ยงแพะ “ภูมิปญั ญาทอ้ งถน่ิ จากเขตทุง่ ครุ ชุมชนดารีซีน” ชมุ ชนดารซี นี เปน็ ชมุ ชนทม่ี ชี าวมสุ ลมิ ก า ร เ ลี้ ย ง แ พ ะ ข อ ง ชุ ม ช น ด า รี ซี น อาศัยอยเู่ ป็นจ�ำ นวนมาก ทำ�ให้พน้ื ทแ่ี ห่งน้ีเตม็ ไป จะเป็นการเล้ียงแบบปล่อยให้หากินเองตาม ดว้ ยเรอ่ื งราวทส่ี ะทอ้ นความเชอ่ื ในศาสนาอสิ ลาม ธรรมชาติ ตามแหล่งท่ีมีหญ้าในชุมชน โดยผู้ เชน่ เดยี วกบั การเลยี้ งแพะทเ่ี ปน็ หนง่ึ ในสญั ลกั ษณ์ เลี้ยงจะคอยน่ังเฝ้าแล้วคอยต้อนกลับในช่วง ท่ีแสดงออกถึงความเชื่อในศาสนาอิสลาม โดย เย็นๆ ซึ่งบางคร้ังผู้เล้ียงก็จะให้กากถ่ัวเหลือง ชาวมสุ ลิมมคี วามเชอ่ื ว่า แพะเป็นสัตวท์ ี่มบี ญุ และ หรือต้นถั่วแห้งเป็นอาหาร เพ่ือสุขภาพและความ ประเสริฐ แพะจึงมักจะถูกนำ�ไปใช้ในพิธีกรรมที่ อดุ มสมบรู ณ์ของแพะด้วย โดยสายพนั ธทุ์ ี่ชุมชน ส�ำ คญั ต่าง ๆ ในศาสนา เลี้ยงจะเป็นลูกผสมระหว่างพันธ์ุซาแนนกับแพะ พ้ืนเมือง แพะจะสามารถผลิตน้ำ�นมได้ก็เฉพาะ โดยการเล้ียงแพะของผู้คนในชุมชนน้ี ตอนทมี่ ันคลอดลูกออกมาแล้วเทา่ น้นั ท�ำ ให้ช่วง ถือว่าเป็นอาชีพหนึ่ง โดยจะเป็นการเลี้ยงไว้เพ่ือ ที่แม่แพะยังตอ้ งให้นมลูกประมาณ 1 ถึง 2 เดอื น เอาน้ำ�นมไปจำ�หน่าย ซึ่งราคาท่ีขายสามารถทำ� จ�ำ เป็นต้องกกั เก็บนำ้�นมไว้เพ่ือนำ�ไปจำ�หน่าย รายไดว้ ันละ 300 ถงึ 500 บาท โดยจะมคี นมารับ น�ำ้ นมแพะไปบรรจขุ วดขายอกี ทตี ามชมุ ชนตา่ ง ๆ #01 #1. เมื่อปล่อยให้แพะได้หากินตามธรรมชาติแล้ว ก็ต้องนำ�กลับมา อยใู่ นคอกเหมือนเดมิ 27

#02 28

การเล้ียงแพะในชุมชนเกิดข้ึนมาแล้ว ยาวนานกวา่ 10 ปี ปจั จยั ทีท่ ำ�ใหเ้ กดิ ภูมิปัญญา ในการเลี้ยงแพะเกิดข้ึนจากสภาพแวดล้อมท่ี เหมาะสมและความเชื่อท่ีเกี่ยวข้องกับศาสนา ซึ่ง ชาวบ้านท่ีน่ีส่วนใหญ่น้ันจะนับถือศาสนาอิสลาม แพะผูกพันกับชีวิตของชาวมุสลิมมาเป็นเวลา นาน ซง่ึ นอกจากจะเปน็ แหลง่ สรา้ งรายไดแ้ ลว้ แพะ ยังเป็นสัตว์ที่ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานใน ศาสนาอสิ ลาม ซงึ่ กลา่ วถงึ แพะในดา้ นทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กับความเชื่อ อีกท้ังแพะถูกใช้เป็นส่วนหนึ่งใน พิธีกรรมท่ีสำ�คัญของศาสนา ทำ�ให้แพะถูกยก เป็นสัตว์ท่ีศักด์ิสิทธิ์ เป็นสัญลักษณ์ของความ หวังและโชคลาภ ซ่ึงแพะที่ถูกเล้ียงไว้ท่ีนี่จะถูกนำ� ไปเชือดเม่ือมีเด็กในชุมชนเกิด โดยเน้ือที่ได้จะถูก แบง่ ให้ชาวบ้านอกี ด้วย การสืบทอดภูมิปัญญาในการเล้ียง แพะในชุมชนน้ันเป็นการสืบทอดโดยการบอกเล่า ถ่ายทอดเทคนิคต่าง ๆ ในการเลี้ยงดูจากรุ่นสู่ รุน่ ท้ังจากครอบครวั และผทู้ ี่มปี ระสบการณ์ #2. แพะจะถกู ปลอ่ ยมาเลย้ี งภายนอกคอก และใหอ้ าหารเสรมิ จ�ำ พวก ถ่ัวเหลือง เปน็ ตน้ #3. แพะทย่ี งั อายุน้อยจำ�เปน็ ต้องมีการดูแลทด่ี ี จงึ ถกู เลย้ี งไวใ้ นคอก เพื่อการดแู ลเปน็ พเิ ศษ #03 29

30

COCK FIGHTING การเลี้ยงไก่ชน “ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ จากเขตทุง่ ครุ ชมุ ชนใต้สะพานโซน 1” ในเม่ือแพะเป็นสัตว์ที่เก่ียวข้องกับ จากการลงพ้ืนที่พบว่า แต่ละบ้านใน วิถีชีวิตของชาวมุสลิมแล้ว “ไก่” ก็เป็นสัตว์ท่ี ชุมชนนี้ แต่ละคนจะมีเทคนิคในการเลี้ยงไก่ชนที่ เก่ียวข้องกับวิถีชีวิตของชาวพุทธเช่นกัน “ไก่” แตกต่างกัน เพราะถอื ว่าการเลย้ี งดูไกช่ นน้นั เป็น เป็นสัตว์ท่ีคนไทยนิยมเล้ียงไว้เป็นอาชีพเสริม ศาสตร์ท่ีจะเผยแพร่กันไม่ได้ง่าย ๆ เพราะต้อง จากการเพาะปลกู เพอ่ื น�ำ ไปเปน็ อาหารทงั้ เนอื้ และ มีไก่หน่ึงตัวเท่าน้ันท่ีจะชนะในสังเวียน จนกลาย ไข่ เพราะว่าต้นทุนในการเล้ียงน้อย อาศัยเพียง เป็นภูมิปัญญาการเล้ียงดูไก่ชนของแต่ละบ้านที่ แค่เมล็ดพืชท่ีอยู่ตามพื้นจากการทำ�การเกษตร มคี วามแตกตา่ งกนั หรือกินไส้เดือนและแมลงบางชนิดเท่านั้น ท้ังน้ี บ้านหลังแรกที่เราพบจะเลี้ยงไก่ท่ีเป็น นอกจากการเลี้ยงไว้เพ่ือบริโภคแล้ว การเลี้ยง พันธุ์ผสมระหว่างไทยกับพม่า โดยเทคนิคการ “ไกช่ น” ยงั สามารถสะทอ้ นความเปน็ ชมุ ชน แสดง เล้ียงไก่ของเจ้าของบ้านหลังนี้จะอยู่ท่ีการต้มนำ้� ใหเ้ ห็นถงึ วถิ ชี วี ิต ภูมิปัญญาได้เป็นอยา่ งดี ใหไ้ ก่อาบ โดยไก่ทีอ่ าบจะต้องเป็นไก่ตวั ผู้ที่จะใช้ไป การเล้ียงไก่ชนเป็นอะไรท่ีมากกว่า แขง่ ชนเทา่ นนั้ โดยการตม้ น�ำ้ ดว้ ยใบมะขาม ตะไคร้ เร่ืองราวที่เราเคยได้รับรู้มา การเลี้ยงไก่ชนของ และไพล ต้มให้ไก่อาบเช้าเยน็ จะท�ำ ให้สบายตัวและ ชุมชนใต้สะพานโซน 1 ในเขตทุ่งครุ ได้สะท้อน แข็งแรง นอกจากนั้นยังมีวิธีฝึกไก่หน้าใหม่โดย ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนกับไก่ ความ การจับไปลงแข่งชนเลย ซึ่งถือว่าจะเป็นการฝึก สมั พันธ์ระหว่างคนกบั คน การดแู ลเล้ยี งดทู ่ีใสใ่ จ ไปในตัว ซึ่งเทคนิคเหล่านี้ปู่ ย่า ตา ยายเป็นคน เปรียบเสมือนสัตว์เลี้ยงคู่ใจอย่างสุนัขของคนใน สอนมาแลว้ ใช้อยู่จนถึงปจั จุบนั ปัจจุบัน ต้องกล่าวไว้ก่อนว่าการเล้ียงไก่ชนมัก เป็นกลุ่มคนในชนบทเท่าน้ันท่ียังให้ความสนใจ เพราะคนภายนอกมักจะตัดสินการชนไก่ว่าเป็น ส่ิงไม่ดี แต่คนท่ีคุ้นเคยวิถีชีวิตแบบเกษตรกรรม จะเข้าใจของถึงวิถีการชนไก่ 31

#01 ในบ้านหลังที่สองไก่ท่ีเลี้ยงจะเป็นไก่พันธุ์ไทยแท้ พันธ์ุเหลืองหางขาวสีประดู่ เทคนิคการ เลี้ยงของบ้านหลังที่สองคือ การต้มน้ำ�ให้ไก่อาบและให้ยาบำ�รุงกิน โดยการต้มน้ำ�ให้ไก่อาบจะเป็น เทคนคิ เหมือนกับบ้านหลังแรก แตเ่ ทคนิคทีแ่ ตกตา่ งคอื การท�ำ ยาสมุนไพร โดยจะนำ�เอาไพล ตะไคร้ บอระเพด็ ขมน้ิ ชนั พรกิ ไทยด�ำ น�ำ มาต�ำ รวมกนั ใหล้ ะเอยี ดจนกลายเปน็ ผง น�ำ เอาปลาชอ่ นมายา่ งแลว้ แกะเนอื้ น�ำ มารวมกบั ผงทต่ี �ำ ไวแ้ ลว้ ปนั้ ใหเ้ ปน็ กอ้ นขนาดประมาณขอ้ นวิ้ มอื แลว้ น�ำ ไปใหไ้ กก่ นิ โดยการ ยดั เข้าปากไปเลย ส่วนวิธีการฝึกไก่ของบา้ นน้คี ือจะจับไกช่ นกนั ในบ้านกอ่ น โดยสวมใสน่ วม 32

คือการนำ�เอาผ้ามาพันที่เดือยเพ่ือไม่ให้ไก่เจ็บ การเล้ียงไก่ชนของชุมชนใต้สะพาน ตัวมาก เพราะไก่จะใช้เดือยตำ�กัน พอฝึกดูว่าตัว โซน 1 เกิดข้ึนมาต้ังแตส่ มยั บรรพบรุ ุษ เนอ่ื งจาก ไหนใช้ได้ก็จะใช้ไปแข่งในสนาม โดยก่อนแข่งจะ สภาพปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ลักษณะสังคม นำ�ไก่มาเอาเสลดออกก่อนเพื่อทำ�ให้คอโล่ง เม่ือ ท่ีเป็นการเกษตรในอดีต การนำ�ไก่มาชนถือเป็น ชนเสร็จก็จะนำ�มาทำ�ซำ้�อีกที ส่วนวิธีการรักษา กิจกรรมนันทนาการในช่วงสมัยน้ัน แต่ปัจจุบัน แผลจะให้กินยาของคน และหากแผลหนักก็จะน�ำ ไก่ชนถือได้ว่าเป็นไก่เศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ กระเบอ้ื งมาลนไฟใหอ้ นุ่ ๆ แลว้ น�ำ เอาไปทาบทแ่ี ผล ให้กับชุมชน เพราะทำ�ให้เกิดกระบวนการซื้อขาย ของไกเ่ พอื่ กระตนุ้ ใหแ้ ผลเกดิ การรกั ษาตวั เอง ซงึ่ แลกเปลีย่ นทีต่ ามมาดว้ ย เทคนคิ เหลา่ นก้ี เ็ ปน็ เทคนคิ ทส่ี บื ทอดกนั มาภายใน ตระกลู เชน่ กนั #02 สว่ นในบา้ นหลงั ทส่ี ามไกท่ เ่ี ลย้ี งจะเปน็ และเนื่องจากการชนไก่เป็นการแข่งขัน ทำ�ให้ พันธุผ์ สมระหวา่ งไทยกบั พม่า เทคนิคในการดูแล ก า ร เ ลี้ ย ง ไ ก่ ช น ไ ด้ ก ล า ย เ ป็ น อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ท่ี มี เปน็ เชน่ เดยี วกนั กบั บา้ นหลงั อน่ื แตจ่ ะตา่ งกนั ตรง การสืบทอดกันเฉพาะรุ่นต่อรุ่นเท่าน้ัน ซึ่ง ที่ส่วนผสมในการต้มน�ำ้ ใหไ้ ก่อาบ โดยบา้ นหลังที่ องค์ความรู้ท่ีจะถูกฝังไปกับตัวบุคคลใดบุคคล สามจะใช้ตะไคร้ ขา่ มะกรูด เพอื่ ใหเ้ นอ้ื ตึงและแขง็ หนึ่งตลอดหากไม่มีการบอกเล่าต่อไปยังบุคคล การเลย้ี งดไู กช่ นเราจะเหน็ วา่ แตล่ ะบา้ น อ่ืน มีเทคนิคภูมิปัญญาที่แตกต่างกันตามความรู้ที่ ได้ส่ังสมมาในครอบครัวและประสบการณ์ในการ #1. ไก่ชนท่เี ลย้ี งไวจ้ ะถูกดแู ลเป็นพิเศษ เลย้ี งดไู กช่ น ซง่ึ นอกจากจะสะทอ้ นภมู ปิ ญั ญาแลว้ #2. สนามฝกึ ปล้ำ�ส�ำ หรบั ไกช่ น ไก่ชนยังถือเป็นกีฬา เป็นกิจกรรมสันทนาการท่ี ช่วยสร้างความเหนียวแน่น สร้างความสามัคคี ใหก้ ับชมุ ชนได้เช่นกัน 33

34

RED-WHISKERED BULBUL นกปรอดหัวจุก “ภูมิปญั ญาทอ้ งถ่ินจากเขตทุ่งครุ ชมุ ชนคอลิดีน” การเลี้ยงนกปรอดหัวจุกของชุมชน หลังจากน้ันได้มีการจัดการแข่งขัน คอลดิ นี เปน็ การเลยี้ งนกทไี่ มใ่ ชเ่ พยี งแคเ่ พอื่ ความ นกปรอดหัวจุกข้ึนซึ่งนาน ๆ จะจัดซักครั้งหน่ึง เพลิดเพลินอย่างเดียว แต่เป็นการสร้างความ โดยเป็นการจัดท่ีชุมชนประชาอุทิศซอย 79 ซ่ึง เข้าใจ อาศัยพฤติกรรมทางธรรมชาติของนก เป็นการแข่งขันท่ีคนภายนอกสามารถมาร่วมได้ มาสร้างให้เกิดเป็นองค์ความรู้และการแข่งขันที่ อีกท้ังยังเป็นการประชาสัมพันธ์ชุมชนให้เป็นท่ี ชว่ ยสรา้ งความสมั พนั ธแ์ ละเผยแพรช่ อื่ เสยี งของ รู้จักมากขึ้นอีกด้วย ซ่ึงการแข่งขันนี้เกิดขึ้นมา คนในชุมชน จากลักษณะของนกปรอดหัวจุกซ่ึงจะอยู่กันเป็น ฝูง แล้วจะต้องมีผู้นำ�ซ่ึงเป็นตัวผู้ ผู้จัดจึงได้เอา การเลี้ยงนกปรอดหัวจุกในช่วงแรก คุณสมบัติน้ันมาใช้เป็นการแข่งขันเพื่อหาผู้นำ� เป็นการเล้ียงไว้เพ่ือความเพลิดเพลิน นำ�ไปดูและ กลุ่มของนกปรอดหัวจุกทีม่ เี สียงทไี่ พเราะทสี่ ุด ฟังเสียงเล่น เนื่องจากนกปรอดหัวจุกจะมีเสียง ร้องที่ไพเราะ ฟังสบาย ทำ�ให้ชาวบ้านบางคนได้ จับนำ�มาเลี้ยงไว้ในบ้าน ต่อมาก็ได้เริ่มแจกจ่าย ใหเ้ พือ่ นบา้ นทส่ี นิท หลังจากน้นั ไมน่ านการเลีย้ ง นกปรอดได้เริ่มแพร่หลายมากข้ึน จนกลายเป็น วา่ บา้ นทกุ หลงั จะตอ้ งมกี รงนกปรอดหวั จกุ แขวน อยู่ตามบ้าน คุณเสนีย์ นุชมี ซึ่งเป็นผู้นำ�ชุมชน คอลดิ นี ไดเ้ ลา่ วา่ ตอนตนเขา้ มาในหมบู่ า้ นแทบทกุ บ้านกม็ กี รงนกแขวนกันมากอยู่แล้ว ตอ่ มาจงึ ได้ ก่อตั้งเป็นชมรมเพ่ือแลกเปลี่ยนความรู้เก่ียวกับ นกกนั โดยเปน็ การสรา้ งความรกั ใครก่ ลมเกลยี ว กนั ในกลมุ่ คนชมุ ชนอกี ดว้ ยโดยใชน้ กปรอดหวั จกุ เปน็ ส่อื กลาง 35

เมอ่ื น�ำ นกตวั ผมู้ าอย่รู วมกนั ทำ�ใหน้ กเกดิ การหาจา่ ฝงู ข้ึน โดยจะวัดกนั ท่เี สยี งของนก นกตัว ไหนที่มีเสียงเพราะท่ีสุดก็จะได้เป็นจ่าฝูง และผู้เล้ียงก็จะเป็นฝ่ายชนะและได้รับรางวัลไป การเลี้ยงนกจึง จ�ำ เปน็ ตอ้ งอาศยั การดแู ลเอาใจใสเ่ ปน็ อยา่ งดี โดยผเู้ ลยี้ งตอ้ งเรยี นรเู้ กยี่ วกบั นกของตวั เองอยตู่ ลอดเวลา จะตอ้ งศึกษาวา่ นกรอ้ งแบบน้ีหมายถึงอะไร เปน็ ตน้ การสรา้ งความเข้าใจจะช่วยทำ�ใหด้ แู ลนกได้ดีขนึ้ และ ท�ำ ใหน้ กรอ้ งไดเ้ กง่ ขน้ึ จนกลายเปน็ เทคนคิ ภมู ปิ ญั ญาในการดแู ลนกปรอดหวั จกุ ทม่ี อี ยใู่ นเฉพาะตวั บคุ คล เท่านน้ั 36

การเลือกนกท่ีจะมาแข่งขันต้องดู ความพร้อมของนกก่อน โดยนกต้องไม่มีอายุ นอ้ ยเกนิ ไปหรอื แกเ่ กนิ ไป ซง่ึ วธิ กี ารสงั เกตกจ็ ะเปน็ ไปตามความช�ำ นาญของแตล่ ะบคุ คล ผนู้ �ำ ชมุ ชน ได้เล่าว่า การจะสังเกตนกว่าพร้อมหรือไม่ให้ดูท่ี แก้ม ถ้าแก้มเร่ิมมีสีแดงก็สามารถนำ�มาแข่งขัน ได้ สว่ นนกแกใ่ หส้ ังเกตทีแ่ ข้ง ซงึ่ แข้งจะหนาออก มาเป็นเกล็ด นอกจากน้ันยังต้องอาศัยเทคนิค ส่วนตวั ในการดแู ลนก การสงั เกต การใหอ้ าหาร ท่ีมีประโยชนถ์ ึงจะท�ำ ใหน้ กเป็นผู้ชนะได้ การสืบทอดองค์ความรู้เกิดจากการ ศึกษาสังเกตด้วยตัวเอง จนไปถึงการศึกษา แลกเปลย่ี นเทคนิคกันในชมุ ชน เป็นการเก็บเกี่ยว ประสบการณ์และนำ�มาพัฒนาเป็นองค์ความรู้ ภูมิปัญญาเฉพาะตัวบุคคล แล้วนำ�ไปสู่การเผย แพร่กนั ระหว่างชุมชน #01 #1. การรวมตัวกันเพ่ือมาประลองแข่งขัน ช่วยสร้างมิตรภาพ ระหว่างกัน 37

38

THAI KITE (CHULA) ว่าวจุฬา “ภูมปิ ญั ญาทอ้ งถ่นิ จากเขตทุ่งครุ ชมุ ชนหลงั สวนธนบรุ ีรมย์” ภมู ปิ ญั ญาการท�ำ วา่ วเปน็ ภมู ปิ ญั ญา #01 ที่ เ ข้ า ม า มี บ ท บ า ท อ ยู่ ใ น วิ ถี ชี วิ ต ข อ ง ค น ไ ท ย #02 มาเป็นเวลานาน โดยว่าวได้ถูกนำ�ไปใช้เป็น เครอื่ งมอื ท่เี กย่ี วขอ้ งกับเรื่องการเมอื ง ประเพณี และศาสนาดว้ ย แตจ่ ดุ ประสงค์หลกั จริง ๆ ของ การเล่นว่าวคือการเล่นเพื่อผ่อนคลาย ถือเป็น กจิ กรรมนนั ทนาการ เลน่ เพอ่ื ความสนกุ สนานกนั มากกว่า โดยว่าวท่ีเป็นแบบฉบับและเอกลักษณ์ ของชาวไทยคือ ว่าวจุฬาและว่าวปักเป้า ซึ่ง การเล่นว่าวทั้ง 2 ชนิดนี้นั้นเล่นมาต้ังแต่ สมัยอยุธยาตอนปลาย และเป็นท่ีนิยมมากที่สุด ใ น ช่ ว ง รั ต น โ ก สิ น ท ร์ ต อ น ต้ น ไ ด้ มี ก า ร จั ด แขง่ ขันกนั มีกฎ กติกา และรางวัลส�ำ หรับผู้ชนะ ด้วย หลังจากน้ันการเล่นว่าวจึงได้กระจายไป อยู่ทั่วทุกท่ีในประเทศไทย เช่นเดียวกับชุมชน หลังสวนธนบุรีรมย์ ท่ีมีภูมิปัญญาท่ีเก่ียวข้อง กบั การท�ำ วา่ วจฬุ า ซง่ึ มเี อกลกั ษณแ์ ละเปน็ ทนี่ ยิ ม ของคนไทยอกี ดว้ ย #1. ลุงเกษมผทู้ ี่ยังคงสบื สานการทำ�วา่ วจุฬาอยู่ #2. อุปกรณใ์ นการเหลาไม้ 39

การท�ำ วา่ วจฬุ าในชมุ ชนหลงั สวน ในข้ันตอนการเหลาไม้ที่จะใช้ทำ� ธนบุรีรมย์น้ี เกิดข้ึนจากฝีมือของคุณลุง โครงว่าว จะมีเทคนิคการเหลาแบบพิเศษ เกษม แจ้งหิรัญ ผู้ซึ่งเป็นคนท่ีถ่ายทอด เป็นการเหลาท่ีต้องรักษาผิวไม้เอาไว้เพื่อให้ ภูมิปัญญาในการทำ�ว่าวจุฬาให้กับคนใน ว่าวเด้งได้ดี พอได้โครงว่าวแล้วนำ�มาติด ชุมชน โดยว่าวจุฬาท่ีคุณลุงทำ�จะมีอยู่ กระดาษท่ีตัววา่ ว แลว้ จะมีการขงึ วา่ วไวด้ ว้ ย สองแบบคือ แบบจุฬาส่วน 3 จะมีลักษณะ เชือกในระนาบเดียวกัน ที่องศาเท่า ๆ กัน ใหญ่ มีหน้ากว้าง 1 เมตร นำ�ไปใช้ในการ เรียกว่า “สักหมู่” ซ่ึงจะทำ�เฉพาะในว่าวจุฬา แข่งขัน ส่วนแบบทีส่ องคอื แบบจฬุ าสว่ น 4 สว่ น 3 เทา่ นน้ั และมกี ารตกแตง่ ดว้ ย “ลกู กา มีลักษณะเล็กกว่าแบบส่วน 3 มีหน้ากว้าง หรือลกู ปลา” ทมี่ ีลักษณะเป็นสีเ่ หลี่ยม หรอื 50 เซนติเมตร ใช้เล่นเพื่อความสนุกสนาน สีเ่ หล่ียมขนมเปียกปนู และรปู ดอกไม้แล้วแต่ ในการท�ำ วา่ วจะตอ้ งใชไ้ มใ้ นการขนึ้ โครงวา่ ว ความชอบ นำ�ไปติดอยู่ตรงแนวเชือกที่ขึง โดยจะใชไ้ มไ้ ผส่ สี กุ ทม่ี อี ายปุ ระมาณ 4 – 5 ปี ไว้ เมอ่ื ว่าวอยู่บนฟ้า จะชว่ ยป้องกนั กระดาษ เท่านั้น เพราะตัวไม้จะสปริงดัดงอ ยืดหยุ่น ขาดจนเปน็ รไู ด้ ได้ดี และจะไม่นิยมใช้ไม้ตรงที่มีตาไม้ เพราะ นอกจากจะเล่นเพ่ือเป็นกิจกรรม ไม่สามารถนำ�ไปดัดงอในข้ันตอนการขึ้น นันทนาการ สร้างความสนุกสนานกัน โครงวา่ วได้ เนอ่ื งจากจะท�ำ ใหไ้ มห้ กั และเปราะ ในชุมชนแล้ว ทางชุมชนยังมีการจัดการ ได้ง่าย เม่อื ไดไ้ ม้ท่ีจะทำ�วา่ วแลว้ ตอ้ งดูว่าถ้า แข่งขันว่าวขึ้นในช่วงเดือน กุมภาพันธ์ – ไม้มีเนื้อหนาไปก็ต้องนำ�ไปตากแดดให้แห้ง มิถนุ ายน ซงึ่ เปน็ ช่วงหนา้ วา่ ว เพราะมลี มดี ประมาณ 4 เดือน แต่ถ้าเป็นไม้เน้ือไม่หนา เหมาะส�ำ หรบั การออกไปเลน่ ท�ำ ใหเ้ กดิ มกี าร จะนำ�ไปตากแดดประมาณ 3 เดือน เพ่ือลด แขง่ ขนั เพอื่ สรา้ งความสมั พนั ธภ์ ายในชมุ ชน ความช้ืนภายในไม้ ในส่วนไมต้ รงที่บวมออก และเผยแพรภ่ มู ปิ ญั ญานไี้ ปสเู่ ดก็ รนุ่ ใหมด่ ว้ ย มาจะดัดยาก กจ็ ะใช้นำ�้ มนั พชื ทาบริเวณไมท้ ี่ ก า ร สื บ ท อ ด ภู มิ ปั ญ ญ า น้ี บวม แลว้ น�ำ ไปองั ไฟ โดยระหวา่ งนน้ั ใหด้ ดั ไม้ คณุ ลงุ เกษมไดม้ าจากครอบครวั ของคณุ ลงุ ใหต้ รง ความร้อนจะช่วยท�ำ ให้เนอ้ื ไมท้ บ่ี วม ซ่ึงเป็นการถ่ายทอดความรู้ความชำ�นาญ ออกมายบุ ตวั ลงและชว่ ยท�ำ ใหก้ ารดดั ไมง้ า่ ย ไปสู่รุ่นต่อรุ่น จนมาถึงรุ่นของคุณลุง โดย ขึ้น จากนั้นใช้ผ้าเย็นห่อเนื้อไม้ให้อยู่ตัว จึง คณุ ลงุ ยนิ ดที จี่ ะถา่ ยทอดองคค์ วามรนู้ ใี้ หก้ บั จะสามารถนำ�มาทำ�เป็นโครงว่าวได้อย่าง คนในชุมชนและบุคคลท่ีสนใจในการละเล่นนี้ สมบรู ณ์ ดว้ ย 40

#03 #3. ใชน้ ำ�มนั ทาท่ีไม้เพื่อน�ำ ไปเผาไฟออ่ น ๆ แลว้ ทำ�การดดั #04 #4. อปุ กรณ์ในการดัดไม้ มที ัง้ หมด 3 ขนาด 41

42

LIKAY HULU (FOLK PERFORMANCE) ลิเกฮูลู “ภมู ิปญั ญาทอ้ งถิ่นจากเขตทงุ่ ครุ ชุมชนคลองรางจาก” เม่ือพูดถึงการละเล่นท่ีเก่ียวข้องกับ #01 การรอ้ งร�ำ ท�ำ เพลงของไทยแลว้ ถา้ ใหน้ กึ ถงึ เราก็ คงนกึ ถงึ การรอ้ งเพลงฉอ่ ย ทกี่ �ำ ลงั ฮติ เปน็ ทรี่ จู้ กั อยู่ในปัจจุบัน แต่หากให้พูดถึงการละเล่นอย่าง เดียวกันในแบบของชาวมุสลิมน้ัน เราก็คงจะ นึกถึงลิเกฮูลู แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยได้ยิน หรือได้รู้จักมากนัก แต่ลิเกฮูลูถือเป็นเอกลักษณ์ ของชาวมสุ ลมิ ทค่ี วรค่าแกก่ ารรักษาไว้ ลิเกฮูลูเป็นเพลงพ้ืนบ้านของภาค ใต้ หรือเรียกอีกอย่างว่า ดิเกร์ โดยลิเกฮูลูน้ัน เป็นการผสมผสานวัฒนธรรมระหว่างไทยและ มุสลิม โดยได้แบบอย่างมาจากการละเล่นลำ�ตัด ของไทย ลเิ กฮลู แู ตเ่ ดมิ มเี นอ้ื รอ้ งเปน็ ภาษาอาหรบั เรยี กวา่ “ซเี กรม์ รั ฮาแบ” เปน็ การรอ้ งโดยใชภ้ าษา อาหรับซึ่งมีความไพเราะ แต่ว่าคนส่วนใหญ่ก็ไม่ เขา้ ใจความหมายของภาษา จงึ ไดม้ กี ารน�ำ เอาเนอ้ื เพลงภาษาพน้ื เมอื ง ตเี ขา้ กบั ร�ำ มะนา จงึ กลายมา เป็นลิเกฮลู ูในปัจจุบนั #1. ภาพของคุณวรินธร สมยั ยงั คงเลน่ อยู่ทอ่ี ิสลามวิทยาลัย 43

#02 การตัง้ วงหรอื การตัง้ คณะลเิ กฮลู ใู นปจั จบุ ัน คณะ หน่ึงจะมลี ูกคปู่ ระมาณ 10 – 12 คน ผู้รอ้ งเพลงประจ�ำ คณะ อยา่ งนอ้ ยคณะละ 2 – 3 คน แตเ่ ดมิ ผแู้ สดงจะเปน็ ชายลว้ น แต่ ปัจจบุ ันผูห้ ญิงก็สามารถมาเข้ารว่ มได้ นอกจากนั้นลิเกฮูลูยังใช้เน้ือหาของบทเพลงที่ เก่ียวขอ้ งกบั ศาสนา และปัญหาของสังคม เปน็ การชว่ ยสร้าง ความเขา้ ใจเร่ืองของศาสนาอสิ ลามอีกด้วย เนื่องจากลิเกฮูลูเป็นภูมิปัญญาที่มาจากภาค ใต้ หลายคนอาจสงสัยว่าลิเกฮูลูเดินทางมาถึงชุมชนคลอง รางจากได้อย่างไร จุดเริ่มของลิเกฮูลูของท่ีนี่ เริ่มต้นจาก คณุ วรนิ ธร อนิ ทรจนั ทร์ ซง่ึ เปน็ นกั ศกึ ษาอยทู่ โี่ รงเรยี นอสิ ลาม วิทยาลัยแห่งประเทศไทยในเขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร ให้สัมภาษณ์ว่า ตนน้ันได้เล่นลิเกฮูลูอยู่ในวงที่วิทยาลัยมา ตง้ั แต่ม.3 จนจบการศึกษา 44

หลังจากนั้นจึงกลับมาอยู่ท่ีชุมชน จึงเกิดความคิดในการแผ่ยแพร่ภูมิปัญญาน้ี ไปสู่เด็ก ๆ รุ่นใหม่ ลิเกฮูลูจึงได้ถูกถ่ายทอด ไปสู่เด็ก ๆ ในหมู่บ้านมานับแต่น้ัน โดยไม่มีการ เกบ็ เงนิ คา่ สอน ซง่ึ คณุ วรินธร อนิ ทรจันทร์ เตม็ ใจที่จะเผยแพร่ภูมปิ ญั ญานใี้ ห้ไปสเู่ ด็กรุน่ ใหม่ ใหไ้ ด้เข้าใจในเรอื่ งของวัฒนธรรม ประเพณี การแสดงของชาวไทยมุสลมิ ด้วย #2, 3. ภาพการแสดงลเิ กฮลู ูของเดก็ ๆ ในชมุ ชน #03 45

46

SWORDPLAY (KRABIKRABONG) กระบี่กระบอง “ภูมิปัญญาท้องถนิ่ จากเขตท่งุ ครุ ชมุ ชนคอลดิ นี ” การละเลน่ กระบ่กี ระบอง เมอ่ื เราพดู การละเล่นกระบ่ีกระบองของชาวไทย ถงึ คำ�นี้ เรากจ็ ะนกึ ถงึ ภาพการต่อสทู้ ี่แสดงออก มสุ ลมิ เกดิ ขนึ้ จากการผสมผสานทางวฒั นธรรม ถึงความเป็นไทย มีการร่ายรำ�ท่าทางที่ดูอ่อน ระหว่างชาวมุสลิมกับชาวมอญ ตามประวัติแล้ว ช้อย ผสมกับกระบวนท่าที่ดูแข็งแรงจากท่า เรามีการติดต่อกับชาวมุสลิมมาตั้งแต่ก่อนสมัย ฟันดาบ แต่ถ้าหากบอกว่า ชาวมุสลิมก็มีการละ รัชกาลท่ี 1 ในประเทศไทยก็ได้มีการเข้ามาของ เล่นกระบี่กระบองเหมือนกัน เราก็คงเกิดความ ชาติพันธ์ุต่าง ๆ รวมไปถึงชาวมุสลิมที่เข้ามาใน สงสยั เพราะเรามกั จะตดิ อยกู่ บั ภาพของชายไทย เขตพระประแดง สมุทรปราการ โดยได้อพยพ ใสช่ ุดนกั รบแบบไทย ๆ แตง่ กายแบบทหารกล้าใส่ เข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ร่วมกับกลุ่มชาวมอญ นาน ชดุ สแี ดงแบบนกั รบสมยั กอ่ น เราอาจตดั สนิ ไดว้ า่ วันเข้าจึงได้เกิดการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม มนั ตอ้ งเปน็ รปู แบบของความเปน็ ไทยแทแ้ น่ ๆ ซงึ่ ทำ�ให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม เกิด ภาพที่เราเห็นกันอยู่ท่ัวไปน้ันเป็นภาพของการละ การพึ่งพาอาศัยกัน จึงมีการส่งต่อความรู้ เลน่ กระบก่ี ระบองแบบชาวไทยพทุ ธ ซงึ่ จรงิ ๆ แลว้ ภูมิปัญญาให้แก่กัน และมีการดัดแปลงให้เข้ากับ ยังมีการละเล่นกระบ่ีกระบองแบบชาวไทยมุสลิม วัฒนธรรมดง้ั เดมิ ของตน อย่อู กี ดว้ ย การละเลน่ กระบกี่ ระบองเกดิ ขน้ึ มาจาก ศิลปะการตอ่ สจู้ รงิ ๆ ของคนไทยในอดีต ซึง่ แต่ เดิมเป็นการฝึกซ้อมรบเพื่อนำ�ไปต่อสู้จริงกับ ขา้ ศกึ แตห่ ลงั ศกึ สงบชาวบา้ นกจ็ ะน�ำ มาเปน็ การ แสดง การละเลน่ เพอื่ เปน็ กจิ กรรมทผ่ี อ่ นคลายและ ยังเปน็ การขัดเกลาฝีมอื เอาไวด้ ว้ ย 47

โดยการละเล่นกระบี่กระบองจะถูก #01 แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ แบบแรกคือ “สายตีนัด ไม”้ หมายถงึ การเล่นแบบมกี ารนดั หมายท่วงท่า เอาไวก้ ่อน ซึง่ เปน็ การแสดงแบบที่เห็นอยูบ่ ่อยใน ปัจจุบนั แบบทีส่ องคือ “สายตีป่า” หมายถงึ การ เลน่ กนั แบบสด ๆ ไมม่ กี ารนดั หมายทว่ งทา่ กนั มา ก่อน ซึ่งทำ�ให้การเล่นแบบนี้มีความต่ืนเต้น และ สนุกสนานมากกว่าแบบแรก แต่การเล่นแบบนี้ มกั จะมกี ารเจบ็ ตวั กนั จรงิ ๆ ในระหวา่ งการแสดง แต่ทั้งน้ีก็ได้มีกฎกติกามาคอยควบคุมอยู่ โดย สมัยก่อนมักจะเล่นกันเป็นคู่ ๆ แต่ปัจจุบันจะเล่น แบบ 4 บาน คือมีผูเ้ ล่น 4 คน ไมม่ ีใครอย่ขู า้ งใคร สามารถตีไม้ใส่กันได้หมด ซึ่งการเล่นแบบนี้จะมี ข้อห้ามคือจะไม่ให้เด็กทำ�การแสดง เพราะต้อง อาศัยความช�ำ นาญมาก กระบีก่ ระบองถอื เปน็ การละเลน่ ทีม่ มี า แตโ่ บราณ ถอื เปน็ ภมู ปิ ญั ญาดงั้ เดมิ ของชาวไทย ทงั้ สายไทยพทุ ธและไทยมสุ ลมิ ซงึ่ ในปจั จบุ นั เหลอื อยูเ่ พยี ง 2 คณะคือ คณะบา้ นปากกลัด และคณะ สเลมาน ที่อยูใ่ นชมุ ชนคอลิดีนแห่งนี้ โดยมชี อ่ื วง วา่ วงลูกปีกกา #1, 2. ภาพการแสดงการเลน่ กระบ่ีกระบองของวงลกู ปีกกา 48

วงลูกปีกกาเกิดข้ึนจากการก่อต้ังของ อาจารย์สเลมาน โดยการแสดง กระบ่กี ระบองน้เี พลงทีใ่ ชใ้ นการเลน่ จะเปน็ เพลงอาหรับ แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ เพลงช้าจะใช้ในช่วงตอนรำ� เพลงเร็วจะใช้ตอนตีกันเพ่ือเป็นการปลุกใจ โดยเสียง ดนตรที ใ่ี ชม้ าจากเครอ่ื งเคาะ และกลองต่าง ๆ โดยกลองทีใ่ ช้จะเป็นกลองทอม และ เคร่อื งดนตรปี ระกอบจังหวะท่ีใช้จะเปน็ แอคคอเดยี น ทรัมมาลนิ และฉง่ิ เป็นตน้ การสบื ทอดภมู ปิ ญั ญาเกดิ จากการเรยี นรู้ การแลกเปลย่ี นทางวฒั นธรรม ระหว่างไทยมอญและไทยมุสลิม โดยเป็นการส่ังสมจนเกิดความชำ�นาญ ซึ่งการ สืบทอดความรู้นี้ต้องเป็นผู้ท่ีชำ�นาญแล้วเท่าน้ัน โดยการละเล่นนี้จะให้ความสำ�คัญ กับพิธีกรรมต่างๆ ต้องมีการไหว้ครูเพื่อเป็นการแสดงออกถึงความเคารพต่อ ศาสตร์และศิลป์ท่ีถูกถ่ายทอดหรือนำ�มาใช้ด้วย ภายในคณะสเลมานเองมีการ ถ่ายทอดความรู้น้ี โดยผู้ท่ีสนใจสามารถไปเรียนรู้การละเล่นกระบี่กระบองได้ โดย ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งส้ิน ซึ่งถือเป็นการช่วยสืบสานการละเล่นกระบี่กระบองใน แบบแผนของชาวไทยมุสลมิ ท่ีหาดูได้ยากมากแล้วในปจั จุบัน #02 49

50

GAMELAN ORCHESTRA วงปี่พาทย์ “ภูมปิ ญั ญาท้องถิน่ จากเขตทงุ่ ครุ ชมุ ชนหมู่ 5 ทุ่งคร”ุ ดนตรีไทยอยู่คู่ผืนแผ่นดินไทยและ #01 คนไทยมาอย่างช้านาน นับตั้งแต่ครั้งสมัย กรุงศรีอยุธยา กรุงรัตนโกสินทร์ จนถึงสมัย #1. คณุ จรินทรเจา้ ของวงปพี่ าทย์ ชมุ ชนหมู่ 5 ทุ่งครุ ปัจจุบัน วงปี่พาทย์ หรือ พิณพาทย์ น้ันเป็น ศิลปะการแสดงแขนงหนึ่งท่ีมีพัฒนาการและมี นอกเหนือจากงานบวช งานโกน ประวัติศาสตร์ยาวนานจนได้รับการคัดเลือกให้ จุกก็สามารถใช้ปี่พาทย์บรรเลงได้ ส่วนใน เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมท่ีควรค่า งานอวมงคล เช่น งานศพ ในสมัยโบราณนั้น แก่การอนรุ ักษ์ ชาวบ้านมักจะใช้วงป่ีพาทย์เคร่ืองไทยในการ ปี่พาทย์ เป็นเครื่องบรรเลงท่ีใช้ บรรเลง เพราะเครื่องมอญยังไม่แพรห่ ลาย แต่ บรรเลงในงานมหรสพต่างๆ หรือเรียกรวม ปัจจุบันคนจะนิยมใช้วงป่ีพาทย์เครื่องมอญ กันว่า “วงปี่พาทย์” คุณจรินทร์เจ้าของวงปี่ ในการบรรเลงงานศพมากกว่า วงป่ีพาทย์จะ พาทย์ชุมชนหมู่ 5 ทุ่งครุ กล่าวว่า ป่ีพาทย์ บรรเลงเพลงยกศพตั้งแต่ทำ�พิธียกศพ ชักศพ ส่วนใหญ่แล้วจะนำ�ไปบรรเลงได้ท้ังงานมงคล ตลอดจนการเวยี นศพรอบเมรุ เมอ่ื เสรจ็ สน้ิ การ (แต่ไม่นิยม) และงานอวมงคล ในงานมงคล ยกศพแล้วจะบรรเลงเพลงเชิญ ต่อด้วยเพลง เช่น งานบวชนาคโบราณจะนิยมใช้ป่ีพาทย์ ประโคมศพ และบรรเลงเพลงมอญต่อไปเรือ่ ยๆ เคร่ืองไทย มีต้ังแต่เครื่องห้า เครื่องหก และ จนจบพิธี เพลงมอญที่ใช้ในการบรรเลงนั้นมี เคร่ืองคู่ ซ่ึงจะข้ึนอยู่กับทุนทรัพย์ของผู้จ้าง ความยืดหยุ่น ไม่ตายตัว ผู้บรรเลงสามารถ หากใครมีทุนมากก็จ้างวงใหญ่ หากใครมีทุน กำ�หนดเพลงเองได ้ น้อยก็จ้างวงเล็กแทน ส่วนเพลงที่ใช้ในงาน บวช หากเป็นงานเย็นก็จะเริ่มต้นด้วยเพลง โหมโรงเย็น ซึ่งในเพลงโหมโรงเย็นก็จะประกอบ ไปด้วยเพลงสาธุการ ตระโหมโรง รัวสามลา ตน้ ชุบ เข้าม่าน ปฐม ลา เสมอ เป็นต้น หากเป็น งานเชา้ กจ็ ะบรรเลงเพลงโหมโรงเชา้ และตอ่ ดว้ ย เพลงช้า 51


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook