s,p,d-ออร์บทิ ลั
f-ออร์ บทิ ลั
f-ออร์ บทิ ลั
แบบจำลองอะตอมกลุ่ม หมอก Erwin Shroedinger* (1887 - 1961)* นกั ฟิสิกส์ชาวออสเตรีย
แบบจำลอง อะตอม
แบบจำลองอะตอมกลุ่มหมอกใช้ความร้พู น้ื ฐานทางกลศาสตร์ควอนตัม มาสรา้ งสมการคล่ืน (Waveequation) เพื่อคานวณหาโอกาสท่ีจะพบอิเลก็ ตรอนในระดับพลังงานตา่ งๆจากสมการคลืน่ ทาใหท้ ราบว่าเราไม่สามารถบอกตาแหนง่ ท่ีแน่นอนของอเิ ล็กตรอนได้ แตอ่ เิ ล็กตรอนจะกระจายอยู่ทัว่ ทุกทิศทุกทางของอะตอมดังนั้นแบบจาลองอะตอมแบบกลมุ่ หมอกจงึ กลา่ วว่า “อะตอมประกอบด้วยกลุ่มหมอกอเิ ลก็ ตรอนรอบนิวเคลียสท่ีมลี ักษณะเป็ นทรงกลม บริเวณกลุ่มหมอกทบึ แสดงว่าโอกาสท่ีจะพบอเิ ลก็ ตรอนมีมากและบริเวณกลุ่มหมอกจางโอกาสทจ่ี ะพบอเิ ล็กตรอนมนี ้อย”
1780-1849 Johann DobereinerCa Sr Ba (40 + 137) ÷ 2 = 88 Johann Dobereiner จดั เรียงธาตเุ ป็น40 88 137 หมวดหมู่ โดยนาธาตทุ ่ีมีสมบตั ิคล้ายกนั มาจดั ไว้ในหมเู่ ดียวกนั หมลู่ ะ 3 ธาตุ เรียงตามมวลอะตอมจากน้อยไปมาก และธาตแุ ตล่ ะหมมู่ วลอะตอมท่ีอย่ตู รง กลางจะเป็นคา่ เฉลย่ี ของมวลอะตอมของ อีก 2 ธาตุ โดยประมาณ กฎนีเ้รียกวา่ Law of Triads
1837-1898 John Newlands Li Be B C N O F Na Mg Al Si P S Cl K CaJohn Newlands ได้จดั ธาตตุ า่ ง ๆ เป็นตารางธาตุ โดยพยายามเรียงลาดบั ตามมวลอะตอมจากน้อยไปมากเป็นแถวตามแนวนอน สมบตั ขิ องธาตจุ ะมีสมบตั ิคล้ายกนั เป็นชว่ ง ๆ ของธาตทุ ี่ 8 ตารางธาตแุ บบนีม้ ีข้อจากดั คือใช้ได้กบั 20 ธาตุแรกเทา่ นนั้
1834-1907 Dimitri MendeleevDmitri Ivanovich Mendeleev ได้เสนอการจดั ตารางธาตอุ อกมาในลกั ษณะคล้าย ๆกนั โดยพบวา่ สมบตั ติ ่าง ๆ ของธาตสุ มั พนั ธ์กบั มวลอะตอมของธาตุ ตาม PeriodicLaw คือ “ สมบตั ขิ องธำตุเป็ นไปตำมมวลอะตอมของธำตุโดยเปล่ียนแปลงเป็ นช่วง ๆ ตำมมวลอะตอมท่ีเพ่มิ ขนึ้ ”
1834-1907 Dimitri Mendeleevตำรำง เปรียบเทยี บสมบัตขิ องธำตุเอคำซลิ ิคอนกับเจอร์เมเนียมท่ที ำนำยและท่คี ้นพบ สมบตั ิ เอคาซิลิคอนทานายเม่อื เจอร์เมเนยี มพบเม่ือ พ.ศ. 2414 พ.ศ. 2429 มวลอะตอม (ค.ศ. 1871) (ค.ศ.1886) สขี องธาตุ ความหนาแน่น (g/cm3) 72 72.6 จดุ หลอมเหลว (0C ) เปน็ โลหะสเี ทา เปน็ โลหะสเี ทา สูตรของออกไซด์ความหนาแน่นของออกไซด์ (g/cm3) 5.5 5.36 เม่อื ผสมกับกรดไฮโดรคลอริก สงู 958 GeO2 GeO2 4.7 4.70 ละลายไดเ้ ลก็ น้อย ไม่ละลายที่ 25 0C
1887-1915 Henry MoseleyHenry Moseley ได้จัดเรียงธำตุตำมเลข He was able to derive the relationship between x-ray frequency and numberอะตอมจำกน้ อยไปหำมำก ดังนั้นใน of protonsปัจจุบัน Periodic Law มีควำมหมำยว่ำ“สมบัติต่ำง ๆ ของธำตุจะขึน้ อยู่กับเลขอะตอมของธำตุนัน้ และขึน้ อยู่กับกำรจัดอเิ ลก็ ตรอนของธำตุเหล่ำนัน้ ”
ตารางธาตใุ นปัจจบุ นั
กำรจดั เรียงอเิ ลก็ ตรอนชัน้ นอกสุดของ ns1 ธำตุ ns2 d1 4f5f d5 d10 ns2np1 ns2np2 ns2np3 ns2np4 ns2np5 ns2np6
Periodic Classification of the Elements
การต้งั ช่ือธาตุทค่ี ้นพบใหม่
การต้งั ช่ือธาตุทค่ี ้นพบใหม่การตงั้ ชื่อธาตทุ ี่ค้นพบในยคุ แรกจะใช้ชื่อนกั วทิ ยาศาสตร์ที่ค้นพบ ธาตบุ างธาตถุ กูค้นพบโดยนกั วทิ ยาศาสตร์หลายคณะ ทาให้มีช่ือเรียกและสญั ลกั ษณ์ต่างกนั
การต้งั ช่ือธาตุท่คี ้นพบใหม่ การที่คณะนกั วิทยาศาสตร์ตา่ งคณะตงั้ ชื่อแตกตา่ งกนั ทาให้เกิดความสบั สน International Union of Pure and AppliedChemistry (IUPAC) จงึ ได้กาหนดระบบการตงั้ ช่ือขนึ ้ ใหม่ โดยใช้กบั ช่ือธาตทุ ่มี ีเลขอะตอมเกิน 100 ขนึ ้ ไป ทงั้ นีใ้ ห้ตงั้ ช่ือธาตโุ ดยระบเุ ลขอะตอมเป็นภาษาละตนิ แล้วลงท้ายด้วย -iumระบบกำรนับเลขในภำษำละตนิ เป็ นดงั นี้ 1 = un (อุน) 0 = nil (นิล) 3 = tri (ไตร) 2 = bi (ไบ) 5 = pent (เพนท์) 4 = quad (ควอด) 7 = sept (เซปท์) 6 = hex (เฮกซ์) 9 = enn (เอนน์) 8 = oct (ออกต)ฺ
สมบตั ขิ องธาตุตามหมู่และตามคาบ 1. ขนาดอะตอม 2. รัศมีไอออน 3. พลงั งานไอออไนเซชนั 4. อเิ ลก็ โตรเนกาตวิ ิตี 5. สมั พรรคภาพอิเลก็ ตรอน 6. จดุ เดือดจดุ หลอมเหลว 7. เลขออกซเิ ดชนั
แรงดงึ ดดู ของนิวเคลียส (Zeff) บง่ บอกถงึ อิเลก็ ตรอนที่อยใู่ นชนั้ นอกสดุ วา่ สามารถถกูดดู โดยประจทุ ่ีนิวเคลยี สได้มากน้อยเพียงใด ทาให้พบวา่ ถ้าจานวนอิเล็กตรอนมากขนึ ้แรงดงึ ดดู ของนวิ เคลยี สจะมากขนึ ้ ด้วย ทาให้ Zeff มากขนึ ้Element Al Si P S Cl ArAtomic# 13 14 15 16 17 18Zeff 1+ 2+ 3+ 4+ 5+ 6+
รัศมอี ะตอมสว่ นใหญ่ใช้คา่ รัศมีอะตอม ซงึ่ อาจใช้หนว่ ยเป็นพิโกเมตร (pm) หรือแองสตรอม (A๐ )1. รัศมีโคเวเลนต์ รัศมีโคเวเลนต์ คือระยะทางคร่ึงหนงึ่ ของความยาวพนั ธะ โคเวเลนต์ ระหวา่ งอะตอมชนิดเดียวกนัความยาวพนั ธะ Cl-Cl = 198รัศมีอะตอมของ Cl = 198/2 = 99 pmถ้าความยาวพนั ธะ C-Cl = 176 pm = 77 pmรัศมีอะตอมของ Cl = 99 pmดงั นนั้ รัศมีอะตอมของ C = (176-99)
2. รัศมแี วนเดอร์วาลส์ รัศมีแวนเดอร์วาลส์ คือระยะทางครึ่งหนงึ่ ของระยะ ระหวา่ งนิวเคลียสของอะตอมที่อยใู่ กล้ที่สดุ H2 H2Kr Krรัศมีแวนเดอร์วาลส์ของ Kr = 200 pm รัศมีแวนเดอร์วาลส์ของ H = 120 pm
3. รัศมโี ลหะ รัศมีโลหะ คือมีคา่ เทา่ กบั คร่ึงหนงึ่ ของระยะระหวา่ ง นิวเคลียสของอะตอมโลหะท่ีอยใู่ กล้กนั มากท่ีสดุMg Mg รัศมีอะตอมของโลหะ Mg = 320/2 = 160 pm 320 pm
รัศมไี อออน Mg : 1s2 2s2 2p6 3s2 160 pmรัศมีไอออน คือระยะระหวา่ งนิวเคลยี สของไอออนคหู่ นงึ่ ๆ ที่มีแรงยดึ เหนี่ยวซงึ่ กนั และกนั ในโครงผลกึ Mg2+ : 1s2 2s2 2p6 65 pm O : 1s2 2s2 2p4 73 pm O2- : 1s2 2s2 2p6 140 pm
ขนำดอะตอม ธาตุในคาบเดียวกัน เม่ือเลขอะตอมเพิ่มขนึ ้ ขนาดอะตอมจะเลก็ ลง เน่ืองจากธาตใุ นคาบ เดียวกนั มีจานวนระดบั พลงั งานเท่ากนั แตเ่ มื่อเลขอะตอมเพิ่ม จานวนโปรตอนจะเพ่ิมขนึ ้ ด้วย แรงดงึ ดดู ระหวา่ งนิวเคลยี สกบั เวเลนซ์อิเลก็ ตรอนเพิ่มขนึ ้ ขนาดจึงลดลงธาตุในหมู่เดียวกัน เม่ือเลขอะตอมเพิ่มขึน้ ขนาดอะตอมจะใหญ่ขึน้ เพราะเม่ือเลขอะตอมเพ่ิมขึน้ จะมีจานวนระดบั พลงั งานเพิ่มขึน้ แม้ว่าจ า น ว น โ ป ร ต อ น จ ะ เ พิ่ ม ขึ น้ด้วยก็ตาม แต่แรงดึงดูดต่อเวเลนซ์อิเล็กตรอนมีน้อย จึงทาให้ขนาดใหญ่ขึน้ กล่าวได้ว่ า ก ร ณี นี ก้ า ร เ พ่ิ ม ร ะ ดั บพลังงานมีผลมากกว่าการเพิ่มจานวนโปรตอน
“ไอออนของโลหะ ขนำดไอออนในหมู่เดียวกนั จะมีขนาดใหญ่ข้ึนเมือ่ “ไอออนของ อโลหะในหมู่เลขอะตอม เดียวกนั จะมีเพิ่มข้ึน” และ ขนาดใหญ่ข้ึน“ไอออนของโลหะ เมือ่ เลขอะตอมในคาบเดียวกนั จะ เพ่ิมขึ้น” และมีขนาดเล็กลงเมือ่ “ไอออนของ โลหะในคาบเลขอะตอม เดียวกนั จะมีเพ่ิมข้ึน” ขนาดเล็กลง เมือ่ เลขอะตอม เพ่ิมข้ึน”
Ionization energy:พลงั งานท่ีใช้ในการดงึ e- หลดุ ออกจากในสภาวะก๊าซ อะตอมใดมขี นาดเลก็ จะทาให้ดงึ e- ออกยาก IE สงู อะตอมใดมีขนาดใหญ่ จะทาให้ดงึ e- ออกงา่ ย IE ต่า
First Ionization Energy Plot 2500 HeFirst ionization energy (kJ/mol) Ne 2000 F Ar 1500 N 1000 HO Cl Kr 500 Be C P Br B Zn As Li Mg S Ca Ti Fe Ni Se Si Sc Cr Co Ge V Mn Cu Ga Sr Na Al Rb K 0 5 10 15 20 25 30 35 40 Atomic number
ตำมคำบ จานวนประจบุ วกเพ่ิมมากขนึ ้ e- ถกู ดงึ ดดู มาอย่ใู กล้ Nu ได้มาก e- หลดุ ยาก IE สงู ตำมหมู่ First Ionization Energy เพมิ่ ขนึ้First Ionization Energy เพ่ิมขึ้น ระดบั พลงั งาน มากขนึ ้ e- อย่ไู กล Nu มาก e- หลดุ งา่ ย IE ตา่
Electron AffinityElectron affinity (EA) คือพลงั งานท่ีปลดปล่อยออกมาจากการรับอิเลก็ ตรอนของอะตอมธาตุแลว้ เกิดเป็นแอนไอออน ณ สถานะแกส๊X (g) + e- ธาตทุ ี่มี EA สงู จะคายพลงั งานออกมามากเม่ือรับF (g) + e- อิเลก็ ตรอนเข้าไป ทาให้เกิดไอออนลบท่ีมีความเสถียรO (g) + e- มาก ดงั นนั้ ค่า EA จึงใช้ทานายความสามารถในการ เป็นไอออนลบ กล่าวคือ ธาตทุ ี่มี EA สงู จะสามารถ X-(g) เกิดเป็นไอออนลบได้ง่ายกวา่ ธาตทุ ี่มี EA ต่า F-(g) H = -328 kJ/mol EA = -328 kJ/mol O-(g) H = -141 kJ/mol EA = -141 kJ/mol
Electron Affinityธาตุในหมู่เดียวกัน ค่าสัม ธาตุในคาบเดียวกัน คา่ สมั พรรคภาพอิเลก็ ตรอนเพ่ิมขนึ ้พรรคภาพอิเล็กตรอนลดลง จากซ้ายไปขวาของตารางธาตุ เพราะธาตทุ างขวามีขนาดจากบนลงล่าง เพราะธาตุข้ างบนมีขนาดเล็กกว่าธาตุ เลก็ กว่าธาตทุ างซ้าย จึงรับ e- ได้ดีกวา่ e- ที่เข้ามาใหมจ่ ะข้ า ง ล่า ง จึ ง มี แ ร ง ดึง ดูด ถกู ดงึ ดดู ด้วย Nucleus ได้มากกวา่ EA จงึ มากกวา่ระหว่างประจบุ วกที่นิวเคลียสกับอิเล็กตรอนที่เพ่ิมเข้ าในอะตอมได้มากกว่า ระยะทางจากนิวเคลียสถึงขอบเขตของอะตอมสัน้ กว่าอะตอมท่ีมีขนาดใหญ่ ที่อยู่ข้ างล่ างของห มู่ ธ า ตุ ข้ า ง บ น รั บอิ เ ล็ก ตร อ น ได้ ดี ก ว่า ธ า ตุข้างลา่ ง EA จงึ มากกวา่
Electronegativityอเิ ลก็ โตรเนกาตวิ ิต้ี ( Electronegativity ) เปน็ คา่ สมมติท่แี สดงความสามารถในการดงึ ดดู อิเล็กตรอนคู่ร่วมพนั ธะจาก Nucleus e- ครู่ ่วมพนั ธะของอะตอมที่มีขนาดเลก็ จะได้รับแรงดงึ ดดู จาก Nucleus มาก EN สงู e- ครู่ ่วมพนั ธะของอะตอมทม่ี ีขนาดใหญ่ จะได้รับแรงดงึ ดดู จาก Nucleus น้อย EN ต่า อะตอมท่ีมีสภาพไฟฟา้ ลบมาก จะดงึ อเิ ลก็ ตรอนท่ีใช้ร่วมกันในการเกิดพันธะโคเวเลนต์เข้าหาตวั เองได้มากกว่า ได้มีผู้หาค่าสภาพไฟฟ้าลบไว้หลายแบบ แต่ท่ีนิยมใช้อ้างอิงมากที่สุด คือ ของพอลิง โดยกาหนดให้ฟลอู อรีนมีค่าสภาพไฟฟา้ ลบมากที่สดุ คือ เท่ากบั 4.0 และซีเซียม ( Cs )มีสภาพไฟฟา้ ลบน้อยท่ีสดุ คือเทา่ กบั 0.7
Electronegativity ธาตใุ นคาบเดียวกนั คา่ EN จะเพิ่มขนึ ้ จากซ้ายไปขวา เพราะ ขนาดอะตอมเลก็ ลงทาให้ได้รับแรงดงึ ดดู จากนิวเคลยี สมากกวา่ อะตอมที่มีขนาดใหญ่ EN จงึ สงู ขนึ ้ธาตหุ มู่เดียวกนั คา่ ENจะลดลงจากบนลงล่างเพราะขนาดอะตอมใหญ่ขึน้ ท า ให้ นิ ว เค ลีย สมีโอกาสดึงดูดอิเล็กตรอนได้ น้ อยกว่าอะตอมท่ีมีขนาดเลก็ EN จงึ ต่าลง
จุดหลอมเหลวและจุดเดือด ก. โลหะในหม่เู ดียวกัน คอื หมู่ IA , IIA, และ IIIA “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมีแนวโน้มลดลง เม่อื เลขอะตอมเพ่มิ ขนึ้ ” เน่ืองจำกควำมแขง็ แรงของพนั ธะโลหะลดลงเพรำะมขี นำดอะตอมใหญ่ขึน้ ข. โลหะในคาบเดยี วกัน คอื โลหะในหมู่ IA , IIA, และ IIIA ในคำบต่ำงๆ “จุดหลอมเหลวและจุดเดือดมแี นวโน้มสูงขึน้ เม่อื เลขอะตอมเพ่มิ ขึน้ ” เน่ืองจำกมีพนั ธะโลหะท่ีแข็งแรงมำกขนึ้ ทงั้ นีเ้ พรำะอะตอมมขี นำดเล็กลงและมีจำนวนเวเลนต์อเิ ล็กตรอนเพ่มิ ขนึ้หมำยเหตุ สาหรับธาตหุ มู่ IVA และ VA จดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดมีแนวโน้มของการเปลี่ยนแปลงไม่ชดั เจน เนื่องจากมีโครงสร้างและแรงยดึ เหนี่ยวระหวา่ งอะตอมท่ีแตกต่างกนัหมู่ IA หมIู่ VA (โลหะ) สงู ตา่
จุดหลอมเหลวและจุดเดือด ก.อโลหะในหมู่เดียวกนั คือ หมู่ VIA , VIIA, และ VIIIA “จดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดมีแนวโน้มเพิ่มขนึ ้ เมื่อเลขอะตอมเพิ่มขนึ ้ ” เน่ืองจากแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ คือแรงวนั เดอร์วาลส์เพ่ิมขนึ ้ เพราะมวลโมเลกลุ และขนาดโมเลกลุ เพ่ิมขนึ ้ ข. อโลหะในคาบเดียวกนั คือ อโลหะ หมู่ VA, VIA , VIIA, และ VIIIA “จดุ หลอมเหลวและจดุเดอื ดมีแนวโน้มลดตา่ ลงเมื่อเลขอะตอมเพ่ิมขนึ ้ ” เน่ืองจากแรงยดึ เหน่ียวระหวา่ งโมเลกลุ คือ แรงวนัเดอร์วาลส์มีค่าลดลง เพราะขนาดของโมเลกลุ เลก็ ลง โดยเฉพาะก๊าซเฉ่ือยเป็นก๊าซประเภทโมเลกลุเด่ยี ว และมีขนาดเลก็ มีจดุ หลอมเหลวและจดุ เดอื ดตา่ มากหมู่ VA หมVู่ IIIA (อโลหะ) ตา่ สงู
จุดหลอมเหลว จดุ เดอื ด
Oxidation Numberเลขออกซเิ ดชนั ( Oxidation Number ) เป็นตวั เลขเพ่อื แสดงคา่ ประจไุ ฟฟ้าหรือประจไุ ฟฟา้ สมมตขิ องไอออนหรืออะตอมของธาตุ ซงึ่ สว่ นใหญ่เป็นเลขจานวนเตม็ รวมทงั้ ศนู ย์และอาจมีเคร่ืองหมายเป็นบวกหรือลบก็ได้ กำรกำหนดค่ำเลขออกซเิ ดชนั มีกฎดงั นี้ คือ 1. อะตอมของธาตตุ า่ ง ๆ ในสภาวะอิสระ ไมว่ า่ จะอยใู่ นรูปท่ีเป็นอะตอมเดียวหรือโมเลกลุ จะมีเลขออกซเิ ดชนั เทา่ กบั ศนู ย์ เชน่ Na Be He O2 S8 2. ไอออนที่มีอะตอมเดี่ยวเลขออกซิเดชนั จะมีคา่ เทา่ กบั ประจขุ องไอออนนนั้ เช่น Na+ มีเลขออกซเิ ดชนั เท่ากบั +1 Be2+ มีเลขออกซิเดชนั เทา่ กบั +2 O2- มีเลขออกซิเดชนั เทา่ กบั -2 3. เลขออกซิเดชนั ของโลหะอลั คาไล ( หมู่ IA ) และโลหะอลั คาไลน์เอริ ์ท ( หมู่IIA ) ในสารประกอบตา่ ง ๆ มีคา่ เทา่ กบั +1 และ +2 ตามลาดบั
ยก4เ.วเ้นลใขนอกอรกณซเิี ดชนั ของออOกxซiเิ dจนaใtนioสnารNปรuะmกอbบeสrว่ นมาก มีคา่ เทา่ กบั -2•สารประกอบเปอร์ออกไซด์ เชน่ H2O2 และ Na2O2 ออกซเิ จนมีเลขออกซเิ ดชนั -1•สารประกอบซปุ เปอร์ออกไซด์ เช่น KO2 ออกซเิ จนมเี ลขออกซเิ ดชนั -1/2•สารประกอบ OF2 ออกซเิ จนมีเลขออกซเิ ดชนั +2 5. เลขออกซิเดชนั ของไฮโดรเจนในสารประกอบสว่ นมากมีคา่ เท่ากบั +1ยกเว้นในสารประกอบพวกไฮไดรด์ไอออนกิ ซง่ึ ไฮโดรเจนมีคา่ เลขออกซิเดชนัเทา่ กบั -1 เชน่ LiAlH4 และ NaBH4 6. ผลรวมทางพชี คณิตของเลขออกซิเดชนั ของอะตอมทงั้ หมดในสตู รเคมีใด ๆจะมคี า่ เท่ากบั ประจสุ าหรับกลมุ่ ของอะตอมที่เขียนแสดงในสตู รนนั้ ๆ เชน่ผลรวมของเลขออกซเิ ดชนั ของ KMnO4 เทา่ กบั 0 ผลรวมของเลขออกซเิ ดชนัของ NO3- เทา่ กบั -1
Oxidation Numberตัวอย่างท่ี1 จงหาเลขออกซิเดชนั ของ S ใน H2SO4 ตัวอยา่ งท2ี่ จงหาเลขออกซิเดชันของ Co ใน [Co(CN)6]4-สมมติเลขออกซิเดชนั ของ S = x สมมตเิ ลขออกซเิ ดชนั ของ Co = xเลขออกซิเดชนั ของ H = +1 เลขออกซิเดชันของ CN- = -12 อะตอมของ H มีเลขออกซิเดชันรวม = (+1 2) = +2 ผลรวมเลขออกซิเดชันของ CN = (-1 6) = -6เลขออกซิเดชนั ของ O = -2 ผลรวมเลขออกซเิ ดชนั ธาตทุ ง้ั หมดในไอออนเทา่ กบั ประจุ4 อะตอมของ O มีเลขออกซเิ ดชันรวม = (-2 4) = -8 ของไอออนผลรวมของเลขออกซิเดชนั ธาตุทง้ั หมดในสารประกอบ เทา่ กบั -4เท่ากับ 0 ดังน้นั x + (-6) = -4ดังนน้ั +2 + x + (-8) = 0 x = +2 x = +6 เลขออกซเิ ดชันของ Co ใน [Co(CN)6]4- = +2เลขออกซเิ ดชันของ S ใน H2SO4 = +6
Oxidation Number
อ้างองิ• กระทรวงศึกษาธิการ สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี. (2559). หนังสือเรยี นรายวิชาเพมิ่ เติม เคมี เลม่ 1 (พมิ พค์ รงั้ ท่ี 9). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ สกสค.• กระทรวงศกึ ษาธกิ าร สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี. (2558). หนงั สอื เรยี นรู้เพม่ิ เติมเพอ่ื เสรมิ ศกั ยภาพวทิ ยาศาสตร์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 4-6 เคมี เลม่ 1. กรงุ เทพฯ: พัฒนาคุณภาพวชิ าการ.• Kessel, H. V., et al. (2003). Nelson Chemistry 12. Ontario: Nelson.• Neuss, G. (2007). Chemistry Course Companion. Oxford: Bell and Bain.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142