นาฏศิลป์ จัดทำโดย ม.4/8 นาย ศักดิธัช รักยิ่ง เลขที่3 นาย วรเมธ พัฒนศรี เลขที่7 นาย ณัฐพล แต่งสวน เลขที่15 นาย พยัคฆ์ อุสาหะ เลขที่17
หลักการชมการแสดงนาฏศิลป์และละคร หลักในการชมละคร มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแสดงที่ชม มีมารยาทในการดู ปิดโทรศัพท์ ไม่รบกวนคนอื่น การแสดงจบควรปรบมือเพื่อให้เกียรติผู้แสดง แสดงออกทางอารมณ์ คล้อยตามกับบทผู้แสดง หลักการวิจารณ์การแสดงนาฏศิลป์ การบรรยาย เป็นการพูด/เขียน ถึงสิ่งที่เห็น รับรู้สึก ต่างๆของการแสดง วิเคราะห์องค์ประกอบต่างๆของการ แสดง ความเป็นเอกภาพเป็นอันหนึ่ง เดียวกัน ความงดงามของการร่ายรำ ความถูก ต้องตามแบบแผน
หลักการวิจารณ์การแสดงละคร โครงเรื่อง แบบต้น ให้รู้ว่าใครคือใคร เหตุการณ์ในเรื่อง สถานที่ เวลา พื้นฐาน ชัดเจนไหม แบบกลาง มีอุปสรรคใหญ่ ตอนจบเร้าอารมณ์ แบบปลาย คลี่คลายปัญหา ได้มากน้อยเพียงใด ได้ สิ่งที่น่าสนใจมากๆใน เรื่อง ตัวละครและ การใช้บทเจรจาการแสดง ตัวละครสามารถ บทบาท พฤติกรรมสอดคล้องกับ ดึงดูดคนดูได้มาก บุคลิกของตัวละคร น้อยเพียงใด ตัวละครแสดงได้ สมจริงหรือไม่ แนวคิดของ ผู้ประพันธ์ต้องการสื่ออะไร ดูแล้วได้แนวคิด เรื่อง แนวคิดสร้างเพื่ออะไร เช่น ปรัชญาอะไร เพื่อความบันเทิง เห็นด้วยกับแนวคิด ภาพที่เห็น หรือไม่ ฉาก การแสดง สอดคล้อง สามารถนำแนวคิดมา กับตัวละคร สร้าง ใช้ได้จริงไหม บรรยากาศเหมาะสม สร้าง อารมณ์ที่สอดคล้องกัน สม ตัวละครแสดงได้เป็น เหตุสมผลกัน ธรรมชาติหรือไม่ ชุดที่ใช้ในการเเสดง การแต่งหน้าเหมาะกับ เรื่องไหม
หลักการประเมินคุณภาพของการ แสดงนาฏศิลป์และการแสดง คุณภาพด้านการแสดง ละคร การนำเสนอการแสดงชัดเจนเรื่องประเภท ผู้แสดงมีเอกลักษณ์ในการแสดง มีความ งามในระดับพื้นฐาน ผลงานให้คุณค่าทางสังคม คุณภาพด้านองค์ประกอบการแสดง เครื่องประกอบการแสดงบนเวทีต่างๆ ถูก ต้องตามแบบแผน ยุคสมัย ระบบเสียงชัดเจน เครื่องเเต่งกาย เเต่งหน้า สมฐานะบทบาท ตัวละคร หลักการประเมินการแสดงนาฏศิลป์ ลีลาในการเคลื่อนไหวถูกต้องตามแบบแผน ดนตรี การขับร้อง ท่วงทำนอง เครื่องแต่งกาย และลีลา การเคลื่อนไหวมีความสอดคล้องกัน
ละครตะวันตก ประวัติการละครตะวันตก 1. ละครยุคดั้งเดิม (The Theatre of the past) 1.1 การละครยุคกรีก (250 ปีก่อน พ.ศ. – พ.ศ. 250) ละครกรีกสันนิษฐานว่า ถือกำเนิดขึ้นประมาณ 800 – 700 ปีก่อน คริสตกาล โดยเริ่มจากการประกวดการร้องรำทำเพลงเป็นหมู่(Choral dance) ซึ่งเรียกว่า ดิธีแรมบ์ (dithyramb) ในเทศกาลที่จัดขึ้นเพื่อ บวงสรวงเทพเจ้าไดโอนีซุส (Dionysus) เทพเจ้าแห่งเหล้าองุ่นและความ อุดมสมบูรณ์ จากการร้องรำทำเพลงเป็นหมู่โดยกลุ่มคนที่เรียกว่า คอรัส(Chorus) ใน การแสดง ดิธีแรมบ์ ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปสู่การแสดงในรูปแบบ ของละคร กล่าวคือมีนักแสดงเดี่ยวๆ แยกออกมาต่างหาก และทำการ สนทนาโต้ตอบกับกลุ่มคอรัส ฉะนั้น แทนที่จะเป็นเพียงการร้องเพลงเล่า เรื่องจากพวกคอรัสตรงๆ ก็เปลี่ยนเป็นการสนทนาระหว่างตัวละครกับ กลุ่มคอรัส ละครโศกนาฏกรรม ละครแทรเจดีของกรีกแสดงให้เห็นชีวิตตัวละครตัวเอก ที่มีความน่า ยกย่องสรรเสริญ แต่ต้องดิ้นรนต่อสู้กับอำนาจของชะตากรรมซึ่งเทพเจ้า เป็นผู้ลิขิต แม้ว่าในที่สุดจะต้องพ่ายแพ้และประสบหายนะ แต่เป็นความ พ่ายแพ้ที่ดิ้นรนต่อสู้ถึงที่สุดแล้ว เรื่องราวของละครกรีกยุคแรกๆ เป็นการ สรรเสริญและเล่าเรื่องราวเทพเจ้า โดยมักนำโครงเรื่องมาจากมหากาพย์อี เลียด (Iliad) และ โอดิสซี (Odyssey) ละครสุขนาฏกรรม เป็นละครที่ให้ความรู้สึกตลกขบขัน เพราะความบกพร่องของ มนุษย์ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น ซึ่งเกี่ยวกับการเมือง สงครามและสันติภาพ ทัศนะเกี่ยวกับศิลปะในแง่ต่างๆ การโจมตี หรือเสียดสีตัวบุคคล ฯลฯ คอมเมดีเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นใหม่ มากกว่านำมาจากตำนานเช่นแทรเจดี
ละครในยุคโรมัน ได้รับอิทธิพลจากละครของกรีกอย่างมาก และได้มีละคร ชนิดใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกหลายชนิด 1)ละครโศกนาฏกรรม ได้รับอิทธิพลจากคอมเมดีกรีก (2)ละครสุจนาฏกรรม ได้รับอิทธิพลจากตำนานกรีก ได้มีนักเขียนบทละคร ชาวโรมัน ชื่อ เซเนกา ได้เขียนบทละครที่มีอิทธิพลต่อนักเขียนบทละครยุคต่อ มา คือ ยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยา (ยุคเรอเนอซองส์) ลักษณะของละครเซเนกา มี ดังนี้ โครงสร้างของละครแบ่งเป็น 5 องค์ เรื่องราวเกี่ยวพันกับเหตุการณ์รุนแรง หรือการกระทำที่สยดสยอง เช่น การ ฆ่าตัวตายโดยใช้มีดแหวะหน้าท้อง การนำเนื้อมนุษย์มาเลี้ยงเป็นอาหารแก่ แขกรับเชิญเพื่อเป็นการแก้แค้น เป็นต้น ความพยาบาทอาฆาตแค้น มักปรากฏเป็นเหตุจูงใจที่สำคัญในการกระทำ ของตัวละคร มีเรื่องราวของภูตผีปีศาจและการใช้เวทมนตร์คาถา ซึ่งแสดงให้เห็นอำนาจ เหนือธรรมชาติที่มีต่อมนุษย์ (3) ละครแพบูลาอาเทลลานา เป็นละครตลกสั้นๆ ใช้ตัวละครที่ไม่ลึกซึ้งและ มีลักษณะซ้ำกันทุกเรื่อง ใช้เรื่องราวชีวิตในชนบทของชาวบ้านสามัญ ละคร ชนิดนี้ได้รับความนิยมสูงสุด มายม์ (Mime) เป็นละครสั้นๆ ตลกโปกฮา มีการใช้ผู้หญิงแสดงบทของผู้ หญิง (เป็นละครประเภทแรกที่ใช้ผู้หญิงแสดง) ไม่มีการสวมหน้ากาก แสดง เรื่องราวชีวิตของคนในเมือง ระยะหลังมายม์แสดงเรื่องราวที่ผิดทำนองคลอง ธรรม เช่น การคบชู้สู่ชาย ความชั่วช้าสามานย์ ภาษาที่หลาบโลน ทำให้เกิด การต่อต้านจากคริสต์ศาสนิกชน (4) แพนโทมายม์ (Pantomime) เป็นการร่ายรำที่มีความหมายโดยใช้นัก แสดงคนเดียว ซึ่งเปลี่ยนบทบาทโดยการ “เปลี่ยนหน้ากาก” มีพวกคอรัสเป็น ผู้บรรยายเรื่องราว มักเป็นเรื่องราวที่เคร่งเครียดและได้จากตำนานปรัมปรา มีเครื่องดนตรีประกอบหลายชิ้น เช่น ขลุ่ยและเครื่องตี
ละครยุคกลาง การละครในโรมันถึงยุคเสื่อม เป็นเวลากว่า 300 ปี จนกระทั่งประมาณ พ.ศ.1400 คริสตจักรทำให้ละครกลับมาฟื้ นตัวอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเริ่ม จัดการแสดงเป็นฉากสั้นๆ ประกอบเรื่องราวจากพระคัมภีร์ไบเบิล การแสดง จะจัดขึ้นในโบสถ์ เรื่องราวที่แสดงเกี่ยวกับพระเยซู และเรื่องราวในคัมภีร์ ไบเบิล เช่น วันคริสต์มาส เป็นต้น ในราว พ.ศ.1700 (ตรงกับยุคสุโขทัย) เริ่มมีการแสดงนอกโบสถ์ แสดงโดย ภาษาท้องถิ่น มีฆราวาสและสมาคมอาชีพต่างๆ เป็นผู้จัดการแสดง โดยได้รับ การสนับสนุนจากคริสตจักร การแสดงจะแสดงทั้งบนเวทีที่อยู่กับที่และเวทีที่ เคลื่อนที่ได้ เวทีที่อยู่กับที่ มีหลายลักษณะ ทั้งเวทีสี่เหลี่ยมจัตุรัสดูได้สามด้าน เวทีครึ่งวงกลม และเวทีวงกลมที่ดูได้รอบทิศ ส่วนเวทีเคลื่อนที่ มักจะเป็น ฉากที่มีล้อเคลื่อนไปได้ เน้นกลไกการจัดฉาก 1. ละครศาสนา เป็นละครที่แสดงในวัด เพื่อประกอบพิธีทางศาสนา เมื่อละคร มาแสดงนอกวัด ก็ยังคงใช้เรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิล เรียกว่ามิสตรี เพล ย์(Mystery Play) นอกจากนั้น ยังมีละครมิระเคิล เพลย์ (Miracle Play)ที่แสดงเรื่องราวชีวิต ของนักบุญและผู้พลีชีพเพื่อศาสนา และละครมอแรลลิตี เพลย์ (Morality Play) ที่แสดงเรื่องราวของคนธรรมดาสามัญที่ต้องต่อสู้กับทางเลือกระหว่าง ความดีและความชั่ว 2.ละครฆราวาส (1) ละครพื้นเมือง แสดงเรื่องราวการผจญภัยของวีรบุรุษที่มีชื่อเสียง เช่น โรบินฮูด เป็นต้น ความสนุกสนานอยู่ที่การต่อสู้ การแสดงฟันดาบ ระบำ สวยๆ การเข่นฆ่ากัน ฯลฯ ละครพื้นเมืองใช้นักแสดงสมัครเล่น แสดงในเทศกาล ใหญ่ๆ (2) ละครฟาร์ส (Farce) เป็นละครตลกที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาและไม่ได้มุ่งผล ทางการสั่งสอนศีลธรรม แสดงให้เห็นสันดานดิบของมนุษย์ ที่มีความเห็นแก่ได้ โดยแสดงออกในลักษณะที่ขบขัน เป็นการเล่ห์เหลี่ยมไหวพริบให้เข้ากับ ประโยชน์ของตน (3) ละครอินเทอร์ลูด (Interlude) ละครที่แสดงคั่นระหว่างงานเลี้ยงฉลอง มีทั้งเรื่องน่าเศร้า และเรื่องตลก แต่ไม่เกี่ยวกับศาสนาและการสอนศีลธรรม
ยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยาในอิตาลีหรือ ยุคเรอเนซองส์(Renaissance) ตรงกับ สมัยอยุธยาของไทยเรา เป็นยุคที่มีผลกระทบโดยตรงต่อลักษณะการสร้าง โรงละคร การวางรูปเวที การจัดวางฉาก การประพันธ์บท และการจัดการ แสดงละคร บทละครยุคนี้ มีทั้งละคร คอมเมดี (Comedy) ละครแทรเจดี(Tragedy) ซึ่งได้รับอิทธิพลจากละครโรมัน รูปแบบละครในยุคเรอเนเซองส์นี้ ส่วน ใหญ่จัดการแสดงเพียงฉากเดียว แต่เป็นฉากที่ใหญ่โตมโหฬาร วิจิตร พิสดาร การแต่งกายหรูหรา มีขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ และมีเหตุการณ์ มหัศจรรย์เกิดขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงเกิดรูปแบบการแสดงที่สนองความ ต้องการด้านนี้ 2 ประการ คือ การแสดงสลับฉากที่เรียกว่า อินเตอร์เมทซี (Intermezzi) และ โอเปรา (Opera)
ละครสมัยใหม่ ในภาวการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังอยู่ในภาวะยุ่งเหยิงจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของประเทศทางยุโรปในขณะ นั้น (ประมาณสมัยรัชกาลที่ 4-5 ของไทย) มีผลต่อเนื่องมาถึงความแออัดของผู้คนในเมือง จากการที่กรรมกรในชนบท อพยพเข้ามาอยู่กันหนาแน่นตามเมืองใหญ่ ความอดอยากและอัตราของอาชญากรรมพุ่งสูงขึ้น แนวความคิดเพ้อฝันแบบ ละคร โรแมนติค และ ความไม่สมจริงแบบละครเมโลดรามา ดูจะไม่สอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เป็นอยู่เลย ศิลปะการละครเริ่ม เปลี่ยนแปลงมาสู่การแสวงหาความเป็นจริงมากขึ้น จึงเกิดละครในรูปแบบใหม่ ที่ละทิ้งธรรมเนียมเดิมขึ้น เช่น (1) ละครแนวสัจจนิยม (Realism) และแนวธรรมชาตินิยม(Naturalism) ละครสมัยใหม่ ที่เรียกกันว่าแนวสัจจนิยมหรือแนวสมจริง (Realism) และแนวธรรมชาตินิยม (Naturalism) ให้ ความสำคัญมากแก่คนธรรมดาสามัญยิ่งกว่ายุคที่ผ่านมา ก่อนหน้านั้นตัวละครที่เป็นสามัญชนจะเข้ามามีบทบาทก็เพียง ตัวประกอบ ตัวคนใช้ ปราศจากความสำคัญ ส่วนตัวเอกจะเป็นคนฐานะร่ำรวย สมบูรณ์พร้อมด้วยฐานันดรศักดิ์ทุกประการ แต่ละครสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงรูปโฉมดังกล่าวเสียสิ้น ละครสมัยใหม่ไม่จำกัดวิถีชีวิตของสามัญเอาไว้ ทว่า จะนำมาสู่สาระของเรื่องราวให้มากขึ้น ตัวละครเอกอาจจะเป็น ชาวนา เสมียน โจร ขอทาน โสเภณี ฯลฯ เทคนิคการแต่งตัวก็เปลี่ยนตามไปด้วย การเสนอละครเรื่องหนึ่งไม่ใช่การสมมติขึ้น เท่านั้น แต่ตัวละครทุกตัวมีชีวิตความเป็นอยู่เช่นนั้นจริงๆ ตัวละครไม่รับรู้ว่ากำลังมีผู้ชมจ้องดูอยู่ เทคนิคนี้เรียกว่า “แบบฝาที่ สี่” (Fourth Wall) หมายถึง ตัวละครอยู่ในบ้านซึ่งมีผนังสี่ด้าน ผู้ชมกำลังมองจากด้านใดด้านหนึ่งที่เป็นด้านที่สี่ คือ ด้าน หน้าเวที รูปแบบการเขียนบทละครเวทีตามทฤษฎีเหมือนจริงและธรรมชาติ จึงถือประเด็นสำคัญว่าจะบิดผันให้แตกต่างจาก ความสมจริงไม่ได้เด็ดขาด ต้องเสนอภาพอย่างตรงไปตรงมา อย่างเป็นกลาง และเที่ยงธรรมที่สุด โดยไม่บิดเบือนไปจากสิ่งที่ เห็น มักจะเน้นถึงชีวิตของกรรมกรที่ประสบความทุกข์ยาก สะท้อนความจริงของสังคมในยุคนั้น การใช้ฉาก และแสง มีความ สำคัญมากกว่าในอดีต ฉากเป็นแบบ 3 มิติมากกว่าใช้ภาพวาด แสงใช้แสงจากไฟฟ้าแทนแสงเทียนและตะเกียงน้ำมัน นักเขียนบทละครแนวสัจจนิยมคนสำคัญ คือ เฮ็นริค อิบเส็น (Henrik Ibsen พ.ศ.2369 – 2449 ตรงกับ สมัยรัชกาลที่ 3-5) ชาวนอรเว ละครของเขาแสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างหน้าที่ ที่คนเรามีต่อตนเองและต่อผู้อื่น โดย พยายามหาเหตุผลให้แก่การกระทำของตัวละครอย่างถี่ถ้วนรอบคอบ การดำเนินเรื่องจะพัฒนาไปอย่างสมเหตุสมผล คำพูด ฉาก และเครื่องแต่งกาย พิถีพิถันเลือกมา เพื่อให้สอดคล้องกับลักษณะของตัวละคร (2) ละครแนวต่อต้านสัจจนิยม (Anti – realism) ก. ละครสัญญลักษณนิยม (Symbolism) เป็นละครที่ใช้วัตถุหรือการกระทำที่เป็นสัญลักษณ์ ซึ่งจะกระตุ้นและโยงความ รู้สึกนึกคิดของคนดูเข้ากับญาณพิเศษที่นักเขียนรู้สึกเกี่ยวกับความเป็นจริง ละครชนิดนี้ พยายามมองให้ลึกลงไปถึง สัจธรรมที่ไม่อาจจับต้องได้ เช่น ความหมายของชีวิตและความตาย จึงมักดูลึกลับ ลางเลือน และสร้างปมปริศนาไว้ให้ขบคิด ข. ละครเอ็กซ์เปรสชั่นนิสม์ (Expressionism ศิลปะช่วงประมาณปี พ.ศ.2400 ที่มุ่งแสดงความรู้สึกมากกว่าแสดงให้ เหมือนจริง) เป็นละครที่เสนอความเป็นจริงตามความคิดของตัวละคร ซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงที่ปรากฏแก่สายตาคน ทั่วไป โดยใช้ฉากที่มีสภาพไม่เหมือนจริง ใช้คำพูดที่ไม่เป็นเหตุเป็นผลนัก หรือใช้ข้อความสั้นๆ ห้วนๆ ฉากแบบเอ็กซ์เปรสชั่น นิสม์ มีลักษณะพิเศษที่สะท้อนความรู้สึกภายในของตัวละคร เน้นรูปลักษณะภายนอก สีสัน และขนาดที่ผิดปกติไป ค. ละครเพื่อสังคม (Theatre for Social Action) หรือละครเอพิค (Epic Theatre) เป็นละครที่กระตุ้นความสำนึก ทางสังคม นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงแก้ไขสังคมให้ดีขึ้น โดยไม่คำนึงถึงความเป็นกลางแบบธรรมชาติ หรือการบันทึกความเป็น จริงแบบตรงไปตรงมา แต่นักเขียนบทละครอาจโน้มเอียงมีอคติจนเห็นได้ชัด จุดสำคัญ คือ ต้องการให้ผู้ชม ชมอย่าง ไตร่ตรองมากกว่าจะให้เห็นคล้อยตามเรื่องไป ผู้ชมจะถูกทำให้ตระหนักอยู่ทุกขณะที่กำลังชมละครว่า นั่นคือการแสดงทั้งสิ้น เป็นเสนอออกมาให้ได้รู้ได้เห็นเท่านั้น หาใช่ความเป็นจริงไม่ ผู้ชมจะต้องคิดพิจารณาตาม ด้วยวิจารณญาณที่รอบคอบ ละครแนวนี้ มีบทบาทสำคัญมากต่อสังคมโลกและการละครเวทีสมัยใหม่ นักเขียนบทละครคนสำคัญ คือ แบร์โทลท์ เบรชท์ (Berthold Brecht พ.ศ.2441 – 2499) ชาวเยอรมัน ซึ่งเขาเชื่อในความเปลี่ยนแปลง ว่าทุกสิ่งไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ จะต้องเปลี่ยนไปเสมอ และถ้าเราตระหนักในความควรไม่ควร มันจะเปลี่ยนแปลงในทางดีขึ้น บทละครที่มีชื่อเสียงของเขา เช่น คนดีแห่งเสฉวน แม่คูราซกับลูกของเธอ ชีวิตของกาลิเลโอ เป็นต้น
วิวัฒนาการละครไทย สมัยน่านเจ้า มีนิยายเรื่อง นามาโนห์รา เป็น นิยายของพวกไต หรือคนไทย ใน สมัยน่านเจ้าที่มีปรากฏอยู่ ก่อน หน้านี้คือ การแสดงจำพวกระบ เช่นระบหมวก ระบำนกยุง สมัยสุโขทัย รับวัฒนธรรมของอินเดีย ผสม ผสานกับ วัฒนธรรมไทย มีการบัญญัติ ศัพท์ขึ้นใหม่ เพื่อนใช้เรียก สมัยอยุธยา ศิลปะการแสดงของไทย ว่า โขน ละคร ฟ้อนร่า การแสดงละครชาตรี ละครนอก ละครใน แต่เดิม ที่เล่นเป็นละครเร่ จะแสดงตามพื้นที่ว่าง โดยไม่ต้องมีโรงละคร เรียกว่า ละครชาตรี ต่อมา ได้มีการวิวัฒนาการ เป็นละครร่า เรียกว่า ละครใน ละครนอก โดยปรับปรุงรูปแบบ ให้มีการแต่งการ ที่ประณีตงดงามมากขึ้น มีดนตรีและบทร้อง และ มีการสร้างโรงแสดง สมัยธนบุรี สมัย บทละครในสมัยอยุธยาได้สูญหายไป สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้า ตากสินมหาราช ทรงรวบรวมศิลปิน บทละคร ที่เหลือมาทรงพระราชนิพนธ์บทละคร เรื่อง รามเกียรติ์ อีก 5 ตอน
สมัยรัตนโกสินทร์ ร.๑ มีการพัฒนารูปแบบการแสดงโขน โดย การน่าละครในเข้ามาผสมผสานในการ ว่าเป็นเรื่องและมีการส่งครูละครไทยไป ฝึกหัดละครหลวงในราชสำนักกัมพูชาอีก ด้วย ร.๒ เป็นยุคที่วรรณคดีเจริญถึงขีดสุดเรื่องอิเกนาได้นับการ ยกย่องว่าเป็น ยอดของละครรา ร.๓ รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯ ให้กลยครหลวง พระบรม วงศานุวงศ์ พากันกหัดโนน สมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ละคร บรรดาครูของหลวงต่างออกไปเป็นครูฝึกหัด โบน ละคร ในสมัยนี้จึงเกิดคณะละครต่างๆ ขึ้นอย่าง มากมาย
ร.๔ มีการฟื้ นฟูนครหลวง พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ราษฎร ฝึกหัดละครผู้หญิง และได้มีการบัญญัติข้อห้ามในการ แสดงที่ไม่ใช่ละครหลวงทั้งหมด 5 ข้อ เนื่องจากละครได้ แพร่หลายสู่ประชาชนมากยิ่งขึ้น ร.๕ การละครไทยมีวิวัฒนาการขึ้นอีกรูปแบบหนึ่ง เนื่องจาก อิทธิพล ของชาติตะวันตก ละครหลวงเปลี่ยนแปลงมาจัดแสดง แบบละครเอกชนมากขึ้น มีการกำเนิดละคราบบรรพ์และละครพันทาง ร.๖ การจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดโขนละคร ดนตรี ปี่ พาทย์ และ กรมมหรสพขึ้นเพื่อดูแลกิจการโขนละคร โจน ละครดนตรีปี่ พาทย์เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ร.๗ รัชกาลที่ ๗ มีการจัดตั้งกรมศิลปากร โดยอนงานช่าง กองวังนอกและ สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กองมหรสพไปอยู่ในสังกัดกรมศิลปากร โทนของกรม มหรสพ กระทรวงวัง จึงเป็น \"โขนกรมศิลปากร มา ตั้งแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา
ร.๘ มีการจัดตั้งโรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ขึ้นเพื่อให้ การศึกษาทั้งทางด้านศิลปะและสามัญ ได้เกิดละครแบบ ใหม่เรียกว่า “ละครหลวงวิจิตรวาทการ เปิดคณะละคร ของเอกชน ร.๙ มีสถาบันเปิดสอนการละครมากขึ้น การแสดงละคร ไทยมีรูปแบบที่หลากหลาย ละครซึ่งเป็นที่นิยมสูงสุด คือ ละครโทรทัศน์ มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมการละครจาก นานาชาติ
Search
Read the Text Version
- 1 - 14
Pages: