Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore M559-B1

M559-B1

Published by pragaymaiw, 2021-09-08 11:28:41

Description: M559-B1

Search

Read the Text Version

Facebook page : ฟิสิกส์โกเอก บทที่ 9. คลืน่ กล 47 Ex5 S1 และ S2 เปน็ แหล่งกาเนิดคลนื่ อาพนั เฟสตรงกนั มีความยาวคลน่ื 0.4 เมตร จุด P เป็นจุดแรกทีม่ กี ารแทรก สอดแบบเสรมิ กันตามแนว XP ถา้ ระยะ S2P เปน็ 8.0 เมตร และระยะ S1P มคี า่ เท่าใด P S1 X S2 Ex6 แหล่งกาเนิดคลน่ื อาพัน 2 แหลง่ เฟสตรงกัน ห่างกนั 12 เซนติเมตร มีความถีเ่ ทา่ กบั 10 Hz และคลน่ื เคล่อื นท่ี ดว้ ยอตั ราเร็ว 40 เซนตเิ มตร/วนิ าที เทา่ กนั จงหา 6.1 จดุ A อย่หู า่ งจากแหล่งกาเนิดท้ังสองเป็นระยะ 19 และ 25 เซนติเมตร จุด A จะอยู่บนแนวบัพหรือปฏิบพั ท่ี เท่าใด ............................................................. 6.2 จานวนบพั และปฏบิ ัพทีเ่ กิดขึ้นท้งั หมด พรอ้ มทัง้ วาดรูป ....................................................... Ex7 แหล่งกาเนิดคลน่ื อาพัน 2 แหล่ง เฟสตรงกัน ให้คล่นื ทีม่ ีความยาวคล่ืน  จงวาดแนวบพั และปฏิบัพที่เกดิ ข้นึ ทง้ั หมด จากการแทรกสอดของคล่นื ทง้ั สองเมอ่ื 7.1 เม่ือแหลง่ กาเนิดทัง้ สองห่างกัน 4 7.2 เม่อื แหล่งกาเนดิ ทงั้ สองห่างกนั 2.5

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เลม่ 1 48 Ex8 S1 และ S2 เป็นแหล่งกาเนดิ คล่ืนอาพันห่างกนั 10 เซนตเิ มตร ใหค้ ลื่นเฟสตรงกันและมีระยะห่าง ระหวา่ งหน้าคลนื่ 2 เซนติเมตร 8.1 เมอื่ คล่นื จาก S1 และ S2 แทรกสอดกนั จะเกดิ แนวบพั และแนวปฏบิ ัพทง้ั หมดก่แี นว ................................. 8.2 ระหว่างแหล่งกาเกนดิ ทั้งสอง (S1 และ S2) มีแนวบพั และปฏิบัพกี่แนว ..................................................... Ex9 แหลง่ กาเนิดคลืน่ อาพนั เฟสตรงข้ามกัน 2 แหล่ง ห่างกัน 15 เซนติเมตร ให้คลน่ื ที่มีอัตราเร็ว 20 เซนตเิ มตร/วนิ าที ความถ่ี 4 เฮริ ตซ์ จงหาวา่ ตาแหน่งตอ่ ไปนี้อยู่บนแนวบพั หรือปฏิบพั ที่เท่าใด 9.1 จุด X อยหู่ า่ งจากแหลง่ กาเนดิ ทั้งสองเป็นระยะ 15 และ 20 เซนตเิ มตร ………………………………….. 9.2 จดุ Y อย่หู ่างจากแหลง่ กาเนิดท้งั สองเปน็ ระยะ 15 และ 27.5 เซนตเิ มตร ……………………………….. 9.3 จานวนบพั และจานวนปฏบิ ัพทง้ั หมดท่ีเกิดข้ึน ..............................................................

Facebook page : ฟสิ กิ ส์โกเอก บทที่ 9. คลน่ื กล 49 Ex10 แหลง่ กาเนดิ คลืน่ นา้ อาพนั ใหห้ น้าคลน่ื วงกลมสองแหล่งอยู่ห่างกัน 8 เซนตเิ มตร มคี วามยาวคลน่ื 2 เซนตเิ มตร ทีต่ าแหนง่ หน่งึ ห่างจากแหลง่ กาเนิดคลื่นทง้ั สองเป็นระยะ 10 และ 19 เซนติเมตร ตามลาดับ จะอย่บู นแนวบัพหรอื ปฏิ บพั ทเี่ ทา่ ใด นบั จากแนวกลาง ……………………………………………………. Ex11 คล่นื ต่อเนื่องรปู วงกลมจากแหล่งกาเนิดคลน่ื 2 แหล่ง มแี อมปลจิ ูดเทา่ กนั และความถ่เี ทา่ กัน แตเ่ ฟสต่างกนั 180 องศา มาแทรกสอดกัน ในภาพน้ีจะมีแนวเส้นปฏิบัพก่ีแนว (Ent36) 1. 2 แนว เส้นประ แทน ทอ้ งคลน่ื 2. 3 แนว เส้นทบึ แทน สนั คลื่น 3. 4 แนว 4. 5 แนว Ex12 ในการทดลองการแทรกสอดของคล่นื ผิวนา้ จากแหล่งกาเนิดอาพนั S1 และ S2 ไดผ้ ลดังรปู S1P = 0.5 เมตร, S2P = 0.44 เมตร ถ้าอตั ราเรว็ ของคล่ืนทัง้ สองเปน็ 0.6 m/s จงหาความถข่ี องแหล่งกาเนิดคลน่ื (เส้นทบึ คอื แนวปฏิบพั เสน้ ประคือแนวบัพ) S1 S2 P

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เล่ม 1 50 Ex13 จากรปู เปน็ ภาพการแทรกสอดของคล่ืนผวิ น้าท่เี กิดจากแหล่งกาเนดิ อาพนั S1 และ S2 โดยมี P เปน็ จุดใด ๆ บน แนวเสน้ บพั S1P = 15 เซนติเมตร S2P = 5 เซนติเมตร ถ้าอตั ราเร็วของคลนื่ ทั้งสองเท่ากบั 50 เซนตเิ มตรต่อวินาที แหล่งกาเนิดคล่ืนท้ังสองมีความถี่กเี่ ฮิรตซ์ (ตลุ า 42) ปฏบิ ัพ บัพ P S1 S2 Ex14 S1 และ S2 เปน็ แหลง่ กาเนดิ คลื่นอาพนั ท่ีใหค้ ลื่นเฟสตรงกัน มคี วามถี่ 20 Hz วางอยหู่ ่างกนั 30 เซนติเมตร จุด A และจุด B เป็นตาแหน่งปฏิบพั และระหว่างจุด A และจุด B จะมตี าแหน่งปฏบิ ัพอีก 3 ตาแหนง่ จงหาความเรว็ ของ คลนื่ ท่ีส่งออกมา S1 A 30cm S2 B 40cm Ex15 จากรปู S1 และ S2 เปน็ แหล่งกาเนิดคลน่ื อาพนั ทใ่ี ห้คลื่นความถ่ี 10 Hz อยู่ห่างกัน 20 เซนตเิ มตร แนว AB ขนานกับแนว S1S2 และห่างจาก S1S2 15 เซนตเิ มตร ถ้าจุด A และ B เป็นจดุ บัพ และระหวา่ ง A และ B มี ตาแหน่งบพั 4 ตาแหน่ง จงหาอตั ราเรว็ ของคลื่น S1 20 cm S2 15 cm AB

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทท่ี 9. คล่นื กล 51 5. คล่นื นงิ่ (standing wave) และส่วนประกอบของคลน่ื น่งิ คลน่ื นิ่ง เป็นปรากฏการณ์ท่ีเกดิ จากคลน่ื 2 ขบวน ทมี่ คี วามถ่ีเท่ากนั ความยาวคลืน่ เท่ากัน เคลอ่ื นท่ีสวน ทางกนั ในแนวเสน้ ตรงเดยี วกัน จะเกดิ การแทรกสอดกนั  สิง่ ทค่ี วรรู้เกี่ยวกับคลน่ื น่ิง 1. ตาแหนง่ ที่มกี ารกระจัดของคลื่นรวมเปน็ ศนู ยเ์ สมอ คือ …………….. 2. ตาแหน่งทมี่ ีการกระจัดของคล่ืนรวมเปล่ียนแปลงต้ังแต่ลบมากสุดไปถึงบวกมากสุด คอื ………... 3. จุดบัพทอี่ ยูต่ ดิ กันจะห่างกนั เทา่ กับ …………... 4. จดุ ปฏิบพั ท่ีอยู่ติดกันจะหา่ งกันเทา่ กบั ………….. 5. จุดบพั และปฏบิ ัพที่อยตู่ ิดกันจะหา่ งกนั เทา่ กบั ………….. 6. แอมปลิจูดสูงสุดของจดุ ปฏบิ ัพจะมีคา่ เป็น…………. 7. คาบของคลนื่ น่ิงจะมคี ่าเทา่ กับ ……………. คลืน่ นง่ิ ที่เกดิ จากคลน่ื ตกกระทบและคลน่ื สะทอ้ นมาแทรกสอดกัน 1. เมือ่ จดุ สะท้อนเปน็ ปลายตรึง จดุ สะท้อนจะเปน็ ตาแหน่งบัพ เชน่ การสะท้อนของคลนื่ ในเส้นเชอื ก  2. เมือ่ จดุ สะทอ้ นเปน็ ปลายอิสระ จดุ สะท้อนจะเป็นตาแหน่งปฏิบัพ เชน่ การสะท้อนของคลืน่ น้า 

ฟิสกิ ส์ ม.5 เล่ม 1 52 Ex1 คุณสมบตั ิหรอื ปรากฏการณ์ขอ้ ใด ท่ีใช้อธิบายการเกดิ คลนื่ นิ่ง 1. การแทรกสอด 2. การรวมกนั ไดข้ องคล่นื 3. แหลง่ กาเนดิ อาพันธ์ 4. ถกู ทุกข้อ Ex2 ข้อใดกล่าวถึงคล่ืนนิ่งได้ถูกต้อง ก. เป็นปรากฏการณ์การแทรกสอดของคลน่ื 2 ขบวนทว่ี ง่ิ สวนทางกัน ข. คลืน่ ทจ่ี ะทาให้เกิดคลนื่ นงิ่ จะต้องมีแอมพลิจูดเท่ากันเท่านั้น ค. คล่ืนทจี่ ะทาให้เกดิ คลน่ื น่ิงจะตอ้ งมีความถ่เี ท่ากนั เทา่ นัน้ ข้อทก่ี ลา่ วถูกต้อง คอื 1. ก และ ข 2. ข และ ค 3. ก และ ค 4. ก ข และ ค Ex3 คลน่ื นง่ิ ที่มีความยาวคลนื่ 1.5 เมตร มรี ะยะระหวา่ งบัพกบั ปฏิบพั ถัดไปเทา่ กับเทา่ ใด 1. 0.75 เมตร 2. 0.375 เมตร 3. 1.5 เมตร 4. 0.875 เมตร Ex4 คล่นื นง่ิ เป็นคล่ืนท่ีเกิดจากการแทรกสอดกันของคลนื่ สองขบวนที่มีลักษณะเหมือนกันทกุ ประการ แต่เคลื่อนที่สวนทาง กัน ถา้ คลนื่ นิ่งท่เี กิดข้นึ มีตาแหนง่ บัพและปฏิบัพอยู่ห่างกนั เป็นระยะ 1.0 เมตร คล่ืนท่มี าแทรกสอดกันนจ้ี ะตอ้ งมีความ ยาวคล่ืนกเ่ี มตร Ex5 เชือกเส้นหน่งึ ยาว 1.5 เมตร ปลายขา้ งหน่ึงยดึ ติดกับกาแพง จบั ปลายอีกข้างหนง่ึ สะบัดขนึ้ ลงอย่างสม่าเสมอ ทาให้ เกดิ คลื่นที่มีความยาวคลื่น 0.5 เมตร จงหาว่าระหว่างปลายเสน้ เชอื กทง้ั สองมตี าแหน่งบัพและปฏบิ ัพก่ีตาแหน่ง

Facebook page : ฟสิ ิกส์โกเอก บทท่ี 9. คลืน่ กล 53 Ex6 แหลง่ กาเนิดคลน่ื น้าในถาดคลืน่ อย่หู ่างจากผิวสะท้อนระนาบตรง 20 เซนติเมตร ใหค้ ล่นื ทม่ี ีความยาวคลนื่ 4 เซนตเิ มตร ตกกระทบผวิ สะท้อนในแนวต้ังฉาก จงหาว่าระหวา่ งแหล่งกาเนิดและผิวสะท้อนจะมตี าแหน่งบพั และปฏบิ ัพก่ี ตาแหน่ง Ex7 เชือกขึงตรึงยาว 1.2 เมตร สัน่ ดว้ ยความถี่ 100 เฮริ ตซ์ เกดิ ปฏิบพั 3 ตาแหนง่ ความเรว็ ของคลน่ื ในเส้นเชอื กเป็น เท่าใดในหนว่ ยเมตรต่อวนิ าที Ex8 เส้นดา้ ยปลายดา้ นหนงึ่ ผูกติดกบั ปลายของส้อมเสียงที่สั่นดว้ ยความถี่ 250 Hz สว่ นปลายอีกด้านหน่งึ ผา่ นรอกล่ืน และมีมวลถ่วงใหเ้ ส้นด้ายตงึ เมื่อสอ้ มเสียงสั่นปรากฏเกิดคลน่ื น่ิงดงั รูป แสดงวา่ ความเร็วคลื่นในเส้นดา้ ยมีค่าเท่าใด (ตลุ า 42) 1. 50 m/s 2. 100 m/s 3. 150 m/s m 4. 200 m/s 0.6 m Ex9 เชอื กยาว 1 เมตร ปลายข้างหน่งึ ถูกตรงึ ปลายอีกข้างหน่ึงตดิ กับเครื่องสั่น ทีส่ นั่ ในแนวตง้ั ฉากกบั เส้นเชือกและสน่ั ดว้ ยความถ่ี 80 เฮิรตซ์ ถ้าเกดิ คลนื่ นงิ่ มีปฏิบัพ 4 แห่ง อัตราเรว็ ของคลื่นในเชือกเปน็ เทา่ ใด (มนี า 46) 1. 20 m/s 2. 27 m/s 3. 40 m/s 4. 53 m/s

ฟสิ ิกส์ ม.5 เลม่ 1 54 การบา้ น 4 การแทรกสอดของคลืน่ 1. การแทรกสอดของคลน่ื บนผิวน้าจากแหลง่ กาเนิดอาพันธ์ 2 แหล่ง ทาใหเ้ กิดคล่ืนนิง่ พจิ ารณากรณีต่อไปน้ี ก. สันคลน่ื ซ้อนทับสนั คลน่ื ข. สนั คลื่นซอ้ นทับทอ้ งคลื่น ค. ทอ้ งคลนื่ ซอ้ นทับทอ้ งคลนื่ การซอ้ นทับกนั กรณีใดทีให้เกดิ จุดบพั (PAT2 ม.ี ค.52) 1. ก. และ ค. 2. ข. 3. ข. และ ค. 4. ค. 2. แหลง่ กาหนดคลน่ื อาพันธ์ให้คล่ืนวงกลมสองแหล่งอยหู่ ่างกัน 10 เซนตเิ มตร มีความยาวคลนื่ 2 เซนตเิ มตร ท่ี ตาแหนง่ หา่ งจากแหล่งกาเนดิ คลื่นท้งั สองเป็นระยะ 10 เซนตเิ มตร และ 19 เซนตเิ มตร ตามลาดบั จะอยบู่ นแนวบัพ หรอื ปฏิบพั ที่เทา่ ใด นับจากแนวกลาง (Ent37) 1. ปฏบิ พั ที่ 4 2. บพั ท่ี 4 3. ปฏิบัพท่ี 5 4. บัพที่ 5 3. S1 และ S2 เป็นแหลง่ กาเนิดอาพันให้คล่ืนเฟสตรงกนั โดย S1P – S2P = 80 เซนติเมตร และ P อย่บู นแนวปฏิบัพท่ี 4 ถ้า Q อยูบ่ นแนวบพั ที่ 5 แลว้ คา่ S1Q – S2Q มคี า่ เทา่ ใด 1. 70 cm 2. 80 cm 3. 90 cm 4. 100 cm 4. แหลง่ กาเนิดอาพนั 2 แหล่ง เฟสตรงกนั ให้คลน่ื ที่มอี ัตราเร็ว 0.4 เมตร/วนิ าที ความถ่ี 0.2 เฮริ ตซ์ ท่จี ดุ จดุ หนึ่งซึ่ง หา่ งจากแหล่งกาเนดิ ท้ังสองเป็นระยะ 8 และ 10 เมตร ตามลาดบั อยู่บนแนวปฏบิ ัพหรอื บัพทเี่ ท่าใด 1. ปฏบิ ัพที่ 1 2. บพั ที่ 1 3. ปฏิบัพท่ี 2 4. บัพท่ี 2

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทท่ี 9. คลืน่ กล 55 5. แหล่งกาเนดิ อาพัน 2 แหล่ง เฟสตรงขา้ มกนั ให้คลื่นที่มีอัตราเร็ว 0.8 เมตร/วินาที ความถ่ี 0.2 เฮิรตซ์ ท่จี ดุ จุดหนงึ่ ซง่ึ หา่ งจากแหล่งกาเนดิ ทั้งสองเป็นระยะ 8 และ 14 เมตร ตามลาดับ อยบู่ นแนวปฏิบัพหรอื บพั ทีเ่ ทา่ ใด 1. ปฏบิ ัพท่ี 1 2. บพั ท่ี 1 3. ปฏิบพั ที่ 2 4. บพั ที่ 2 6. A และ B เป็นแหลง่ กาเนิดอาพันธใ์ ห้เฟสตรงขา้ มกนั ห่างกัน 10 เซนติเมตร ใหค้ ลน่ื ท่ีมีความยาวคลืน่ 4 เซนติเมตร จงหาแนวบัพและปฏบิ ัพท่ีเกดิ ขึ้นระหวา่ ง A และ B 7. แหลง่ กาเนิดคลืน่ น้าสร้างคลน่ื น้าทีส่ องตาแหนง่ A และ B มีความยาวคล่นื 1.5 เซนติเมตร และได้แนวของเสน้ ปฏิ บัพดังแสดงในรูป อยากทราบวา่ AC และ BC มคี วามยาวต่างกันเท่าใด (Ent38) 1. 1.5 cm C B 2. 3 cm A 3. 4.5 cm 4. 6 cm

ฟิสกิ ส์ ม.5 เล่ม 1 56 8. S1 และ S2 เป็นแหลง่ กาเนดิ อาพันธ์สองแหล่งทท่ี าใหเ้ กิดคลน่ื ผิวน้าท่มี ีความถเ่ี ทา่ กันและความยาวคลน่ื 2 เซนตเิ มตร พบวา่ บนเสน้ ตรงที่ตอ่ ระหว่างแหลง่ กาเนดิ ทง้ั สองมีบพั 6 บัพ ถ้า Q เปน็ จุดในแนวปฏิบพั ที่ 2 นับจากปฏบิ พั กลางจดุ Q จะอยู่หา่ งจาก S1 และ S2 เป็นระยะตา่ งกันก่ีเซนตเิ มตร (Ent41) Q S1 S2 บัพ 9. ในการทดลองการแทรกสอดของคลน่ื นา้ โดยจดุ กาเนดิ คลืน่ อาพนั ธ์ 2 จดุ ผู้ทดลองเห็นว่ามแี นวปฏิบพั หลายแนว เกิดข้ึนระหว่างจดุ กาเนดิ ทั้งสองน้นั และถา้ ลดระยะระหว่างจดุ กาเนดิ ลงทุก ๆ 6 มลิ ลิเมตร จานวนแนวปฏบิ ัพจะลดลง 2 แนว คล่นื น้ามคี วามยาวคลนื่ เทา่ ใดในหน่วยมลิ ลิเมตร (มีนา 44) 10. จากรปู S1 และ S2 เป็นช่องแคบ ถา้ มีคลนื่ หนา้ ตรงความยาวคล่นื 1.0 เซนติเมตร ตกกระทบทามมุ 60 องศา กับ แนว S1 S2 ซึ่งหา่ งกัน 3.0 เซนตเิ มตร การแทรกสอดท่จี ุด P จะเปน็ อย่างไร (ตลุ า 41) 1. จะไมเ่ กิดการแทรกสอดของคล่ืน 4.0 cm P 2. จะเกดิ จุดปฏิบัพ S1 3. จะเกดิ จดุ บพั 4. เกิดการแทรกสอดท่ีไม่ใช่ท้ังบพั และปฏบิ พั 4.5 cm 1.0 cm 60o S2

Facebook page : ฟสิ ิกส์โกเอก บทที่ 9. คลนื่ กล 57 11. คลน่ื น่ิงในเสน้ เชือกท่ีเวลาตา่ ง ๆ 3 เวลาดงั รูป จงหาความเร็วของคลื่นในเชอื กน้ี (มนี า 42) เวลา 0 วนิ าที 0 30 60 90 cm 120 0 30 เวลา 0.01 วนิ าที cm 0 30 60 90 120 เวลา 0.02 วนิ าที 120 60 90 cm 1. 15 m/s 2. 30 m/s 3. 60 m/s 4. 120 m/s 12. เม่ือใชเ้ ครื่องเคาะสัญญาณเวลา ซ่ึงเคาะ 50 รอบตอ่ วินาที มากระตนุ้ เส้นเชือก ทาใหเ้ กิดคลื่นน่ิงมปี ฏิบพั 4 ลูกใน ความยาว 1.80 เมตร ความเร็วของคลื่นในเสน้ เชือกเปน็ กีเ่ มตรต่อวนิ าที (Anet49) 1.8 m 13. เชอื กขึงตงึ ยาว 1.2 เมตร สนั่ ดว้ ยความถ่ี 100 เฮริ ตซ์ เกิดปฏบิ ัพ 3 ตาแหนง่ ความเรว็ ของคลื่นในเส้นเชอื กเป็น เท่าใดในหน่วยเมตรตอ่ วินาที (Ent48)

ฟิสกิ ส์ ม.5 เล่ม 1 58 14. จากรูปเปน็ คล่นื นิง่ ในเส้นเชอื กทม่ี ปี ลายท้ังสองยึดแน่นไว้ ถ้าเส้นเชอื กยาว 90 เซนตเิ มตร และความเร็วคล่นื ในเส้น เชอื กขณะน้ันเทา่ กับ 2.4x102 เมตรต่อวนิ าที จงหาความถ่ขี องคลน่ื (มนี า 43) 1. 200 Hz 90 cm 2. 267 Hz 3. 400 Hz 4. 800 Hz 15. คล่นื น้ามาแทรกสอดกันเกิดคลน่ื นิ่งดังรปู ถ้าคลนื่ น้ามีความเรว็ 30 เมตร/วนิ าที จงหาความถีข่ องคล่ืนน้า 4.5 m

Facebook page : ฟิสกิ สโ์ กเอก บทที่ 9. คลื่นกล 59 5. การเลยี้ วเบนของคล่นื 1. หลกั ของฮอยเกนส์ แต่ละจุดบนหนา้ คล่ืนถือไดว้ ่าเปน็ แหลง่ กาเนิดของคลน่ื ใหม่ ทีใ่ หก้ าเนดิ คลืน่ ซ่งึ เคล่ือนท่ีออกไปทุกทิศทกุ ทาง ด้วยอตั ราเร็วเทา่ กับอัตราเร็วของคลืน่ เดมิ น้นั หนา้ คลื่นใหม่ หนา้ คล่ืนใหม่  หนา้ คล่ืนเดมิ  หนา้ คล่ืนเดมิ 2. การเลยี้ วเบนของคล่นื นา้ ผ่านช่องแคบเด่ยี ว ลกั ษณะของการเลีย้ วเบนและการแทรกสอดแบ่งเปน็ กรณตี า่ ง ๆ ดงั น้ี 2.1 d   เกิดการเลีย้ วเบน ไมเ่ กิดการแทรกสอด เป็นจดุ กาเนิดคล่นื แบบจดุ 2.2 d   เกดิ การเล้ียวเบน ไมเ่ กิดการแทรกสอด (เลี้ยวเบนเด่นชัดทสี่ ุด) 2.3 d   เกดิ การเล้ียวเบนและเกิดการแทรกสอด (มีแนวบัพ, ปฏบิ ัพ) d d d   

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เลม่ 1 60 P เมื่อ d คือ ความกว้างของสลิตเดีย่ ว (m) x L คอื ระยะจากสลิตเดี่ยวถึงฉาก (m) x คือ ระยะจากจุด P ถงึ แนวกลาง (m) d  คอื มมุ ท่จี ุด P เบนจากแนวกลาง L คอื ความยาวคลน่ื ของแสง (m) n คือ ตาแหนง่ ของการแทรกสอดของจุด P 3. การเลีย้ วเบนของคล่ืนนา้ ผ่านช่องแคบคู่ ชอ่ งแคบค่ทู าให้เสมอื นคล่นื เป็นแหลง่ กาเนิดสองแหลง่ ดังน้ันจึงเกิดการเล้ียวเบนเมื่อผ่านชอ่ งแคบแตล่ ะชอ่ ง และ จะเกดิ การแทรกสอดระหว่างช่องท้ังสองเสมอ (เกิดการเล้ยี วเบนและเกิดการแทรกสอด) S1 Ao S2 P x d L

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทท่ี 9. คลน่ื กล 61 Ex1 ขอ้ ความขอ้ ใดเป็นหลักของฮอยเกนส์ 1. จดุ ทกุ จดุ ถ้าถกู รบกวนสามารถเป็นแหลง่ กาเนดิ คลนื่ ได้ 2. คลืน่ เม่ือผา่ นส่งิ กีดขวาง บางส่วนของคลนื่ สามารถเล้ยี วเบนได้ 3. แตล่ ะจุดบนหน้าคลื่นสามารถถือได้ว่าเป็นแหลง่ กาเนดิ คลน่ื ใหม่ 4. เมอื่ คลื่นผา่ นชอ่ งแคบเล็ก ๆ จะเกิดการแทรกสอดกนั ได้ Ex2 ข้อใดกล่าวถูกต้องเกี่ยวกับคลื่นผวิ น้า 1. เมอ่ื คลน่ื หนา้ ตรงเคลอ่ื นที่ผา่ นชอ่ งแคบเด่ียว จะเกิดการเลย้ี วเบนและแทรกสอดพร้อม ๆ กัน 2. เมื่อคลื่นผ่านชอ่ งเปิดทมี่ คี วามกว้างมากกวา่ ความยาวคลืน่ มาก ๆ จะไมเ่ กดิ การแทรกสอด 3. เมื่อคล่ืนผ่านชอ่ งเปิด 2 ชอ่ ง จะเกดิ การเล้ียวเบนและการแทรกสอดเสมอ 4. เมอ่ื คล่นื ผ่านชอ่ งเปิด 2 ช่อง โดยแต่ละชอ่ งแคบมาก ๆ จะเกิดการเลีย้ วเบนแต่ไมเ่ กิดการแทรกสอด Ex3 ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ ณุ สมบัตขิ องคล่นื น้า 1. เมือ่ คลนื่ หน้าตรงเคล่ือนที่ผ่านชอ่ งเปดิ ทีก่ ว้างนอ้ ยกว่าหรอื เทา่ กบั ความยาวคล่ืนแล้ว คลื่นที่ผา่ นชอ่ งเปิดจะเป็น คลื่นหน้าวงกลม 2. ถา้ จดุ กาเนดิ คล่นื อยทู่ ี่จุดโฟกัสของผิวสะทอ้ นรปู พาราโบลาแล้ว คล่ืนสะท้อนจากผิวพาราโบลาจะเปน็ คลื่นหน้า ตรง 3. เมื่อคลน่ื เคล่ือนทจ่ี ากเขตนา้ ตน้ื สู่เขตนา้ ลกึ ความยาวคลนื่ และอตั ราเร็วจะลดลง 4. เมื่อทิศทางการเคลื่อนที่ของคลืน่ ตั้งฉากกับผวิ รอยตอ่ ของตัวกลางทม่ี ีสมบัตติ า่ งกัน ทศิ ทางการเคลอื่ นที่จะคงเดิม แต่ความยาวคลน่ื และอตั ราเรว็ เปลยี่ น Ex4 เมื่อทาการทดลองชดุ ถาดคลื่น โดยจัดให้คลน่ื ระนาบ เคลื่อนท่ผี ่านชอ่ งเปิดแบบต่าง ๆ ผลสรปุ ทีค่ าดวา่ จะได้รับ ตอ่ ไปนี้ ขอ้ ใดผิดบา้ ง ก. เมื่อคลน่ื ผา่ นชอ่ งเปิดทแ่ี คบกวา่ ความยาวคลน่ื จะเกิดการเลี้ยวเบน แตไ่ มเ่ กดิ การแทรกสอด ข. เม่อื คล่นื ผา่ นช่องเปิดที่กวา้ งกว่าความยาวคล่ืน จะเกดิ การเลี้ยวเบน และเกิดการแทรกสอด ค. เมอื่ คลื่นผ่านช่องเปิด 2 ช่อง โดยแต่ละช่องแคบกว่าความยาวคล่นื จะเกดิ การเล้ยี วเบน และเกิดการแทรกสอด ง. เมอ่ื คลื่นผา่ นชอ่ งเปิด 2 ช่อง โดยแต่ละชอ่ งกว้างกว่าความยาวคล่นื จะเกิดการเลยี้ วเบน แตไ่ มเ่ กดิ การแทรก สอด คาตอบ คือ 1. ขอ้ ก. 2. ขอ้ ง. 3. ข้อ ก. และ ง. 4. คาตอบเปน็ อย่างอ่นื Ex5 ถ้าใหค้ ลืน่ นา้ เคลอื่ นท่ผี ่านช่องเปดิ ที่มคี วามกว้าง 2.2 cm คล่ืนนา้ ที่มคี วามยาวคลนื่ เท่าใดจึงจะแสดงการเล้ียวเบน ได้เด่นชดั ที่สุด 1. 0.5 cm 2. 1.0 cm 3. 1.5 cm 4. 2.5 cm

ฟิสกิ ส์ ม.5 เลม่ 1 62 Ex6 แหลง่ กาเนิดคลื่นอาพนั 2 แหล่งใหเ้ ฟสตรงกัน หา่ งกัน 6 เซนติเมตร ปรากฏวา่ แนวเสริมกนั ครั้งแรกเบนออกจาก แนวกลาง 300 จงหาความยาวคลนื่ ของแหลง่ กาเนดิ ทง้ั สอง Ex7 S1 และ S2 เป็นแหลง่ กาเนดิ อาพนั สองแหล่ง ห่างกัน 10 เซนติเมตร มีเฟสตรงกัน ให้คลนื่ ที่มคี วามยาวคลนื่ 1.0 เซนตเิ มตร จุด P คือตาแหน่งท่ีเกิดการแทรกสอดแบบเสริมกนั เป็นคร้ังที่สองจากแนวกลาง จดุ P ห่างจากแนวกลาง เท่าใด P S1 X 10cm  L  60cm. S2 Ex8 ช่องเปดิ เล็ก ๆ 2 ช่องอยู่หา่ งกนั 8 เซนตเิ มตร เมอ่ื คล่นื หน้าตรงความยาวคลืน่ 2.5 เซนติเมตร มาตกกระทบใน แนวตรงฉาก จงหาแนวปฏบิ พั ทเี่ กิดข้ึนทงั้ หมด

Facebook page : ฟสิ กิ สโ์ กเอก บทที่ 9. คลื่นกล 63 Ex9 คลืน่ หนา้ ตรงความยาวคลนื่ 2 เซนติเมตร เคล่ือนท่ีผา่ นชอ่ งเด่ียวทม่ี ีความกวา้ ง 6 เซนตเิ มตร จงหาว่าเมอื่ คล่ืน ผา่ นช่องเดี่ยวน้ันจะเกิดแนวบัพขึน้ ท้ังหมดก่ีแนว (และแนวปฏิบพั ก่แี นว) Ex10 คลน่ื น้าหน้าตรงเคลอื่ นทเ่ี ขา้ หาชอ่ งเปิดเด่ยี วกว้าง 1.0 เมตร และชอ่ งเปดิ ห่างจากแนวสังเกต 10.0 เมตร จงหา วา่ บัพที่ 1 และ 2 ทีป่ รากฏบนแนวสงั เกต หา่ งจากแนวกลางของชอ่ งเปิดเด่ียวเท่าใด กาหนดให้ ความยาวคลืน่ เป็น 0.5 เมตร Ex11 คลน่ื หน้าตรงเคลื่อนที่ผา่ นชอ่ งเดี่ยวทมี่ ีความกวา้ ง 3 เซนติเมตร เมือ่ ความถขี่ องคลื่นเป็น 20 Hz มแี นวบพั เกดิ ขน้ึ โดยแนวบัพเสน้ ท่ีสองจะเบนไปจากแนวตรงกลางเป็นมุม 60O จงหาคา่ ความเร็วของคลื่นนี้

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เลม่ 1 64

Facebook page : ฟสิ กิ ส์โกเอก เรียนฟิสกิ สอ์ อนไลน์ : www.physicskoake.com ฟสิ ิกส์ ม.5 เลม่ 1 บทที่ 10. เสียง

Facebook page : ฟสิ กิ ส์โกเอก เรยี นฟิสกิ สอ์ อนไลน์ : www.physicskoake.com สารบญั บทที่ 10. เสียง VDO คร้งั ที่ เวลา (ช่วั โมง) เร่อื งที่สอน หน้า VDO ครง้ั ท่ี 1 0:28 1. เสียงและสมบัตขิ องเสยี ง 1–3 VDO ครั้งที่ 2 3 – 10 VDO คร้ังที่ 3 2:01 1. เสยี งและสมบตั ิของเสยี ง 7 – 19 VDO ครง้ั ที่ 4 2:02 1. เสียงและสมบัตขิ องเสยี ง 19 – 29 VDO ครง้ั ที่ 5 2. ความเขม้ เสยี งและระดบั ความเข้มเสียง 32 – 40 VDO ครั้งท่ี 6 44 – 52 1:50 2. ความเขม้ เสียงและระดบั ความเขม้ เสียง 3. การบีตส์ 2:07 4. การส่นั พอ้ งของเสยี ง 2:00 5. ปรากฏการณด์ อปเพลอร์ 6. คล่นื กระแทก

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทที่ 10. เสียง 1 10. เสียง 1. เสยี งและสมบัตขิ องเสยี ง 1. เสียง เกิดจากการสน่ั (อดั -ขยาย) ของโมเลกุลอากาศ (ตวั กลาง) ตอ้ งอาศัยตัวกลางในการเคล่ือนที่จงึ เปน็ คล่นื กล และโมเลกุลอากาศส่นั ในทิศเดยี วกบั ทศิ การเคลือ่ นทขี่ องคล่ืนเสียงจึงเป็นคลน่ื ตามยาว กราฟการกระจัดของโมเลกุลอากาศกับระยะทาง, กราฟความดันกบั ระยะทางของคลนื่ เสียง การกระจัด อากาศปกติ มคี ล่นื เสยี ง ระยะทาง ความดัน ระยะทาง

ฟสิ ิกส์ ม.5 เล่ม 1 2 สิ่งท่คี วรรู้ 1. ความถขี่ องเสยี ง บอกระดับเสียง โดยเสียงท่มี ีความถส่ี ูงจะเป็นเสียงแหลม เสียงทีม่ ีความถต่ี ่าจะเป็นเสียงทุ้ม มนุษยส์ ามารถไดย้ ินเสยี งที่มีความถี่ 20 - 20 000 Hz 2. ความเขม้ และระดบั ความเขม้ เสียง บอกความดงั – ค่อย ของเสยี ง มนษุ ย์สามารถได้ยนิ เสยี งท่ีมคี วามเข้ม 10-12 - 1 W/m2 มนุษยส์ ามารถได้ยนิ เสียงที่มรี ะดับความเข้ม 0 – 120 dB 3. คณุ ภาพเสียง บอกลักษณะของคล่ืนเสยี ง ซ่ึงแหล่งกาเนดิ เสียงต่างชนิดกันจะให้คล่นื เสียงท่ีมีลักษณะตา่ งกนั ทาใหส้ ามารถแยกไดว้ ่า เปน็ แหลง่ กาเนิดเสียงใด รปู ร่างคลืน่ เสยี งของ Bassoon และ Flute ต่างกนั ทาให้เราสามารถแยกได้วา่ เป็นเสยี งของอะไร 4. อัตราเร็วเสียงในตัวกลางต่างชนดิ กัน จะต่างกนั ขน้ึ กบั สมบตั ิการอดั ไดข้ องตัวกลางแต่ละชนิด เชน่ vอากาศ = 331 m/s, vไฮโดรเจน = 1,270 m/s, vนา้ = 1,450 m/s, vเหล็ก = 5,100 m/s อัตราเร็วของเสียงในของไหล B = ค่าสัมประสิทธิค์ วามยืดหยุ่นของ Bulk (Bulk Modulus) (N/m2) = P V V  = ความหนาแน่นของของไหล (kg/m3)

Facebook page : ฟสิ กิ สโ์ กเอก บทท่ี 10. เสยี ง 3 อตั ราเร็วของเสียงในของแขง็ Y = ค่ามอดลู ัสความยืดหยุ่นของวัตถุ (N/m2)  = ความหนาแนน่ ของของแข็ง (kg/m3) อตั ราเร็วของเสียงในของแก๊ส , R = ค่าคงที่ของแกส๊ M = มวลโมเลกุลของก๊าซ (kg) T = อณุ หภมู ใิ นหน่วย K 2. อัตราเรว็ เสียงในอากาศ 2.1 อตั ราเร็วเสียงที่ทุกอุณหภมู ิ เมอื่ T = อุณหภมู ิในหนว่ ย K 2.2 อัตราเร็วเสียงโดยประมาณที่อุณหภูมริ ะหว่าง -30OC ถงึ 45OC เมื่อ t = อุณหภูมิในหนว่ ย 0C 2.3 การเปรียบเทยี บอัตราเร็วเสียง

ฟิสิกส์ ม.5 เลม่ 1 4 3. สมบัตขิ องคลนื่ เสียง 3.1 การสะท้อนของเสียง S มนุษย์จะไดย้ นิ เสียงก้อง (echo) หรอื เสียงสะทอ้ น เม่อื เวลาท่เี สียงใชส้ ะท้อนกลบั มาถงึ ผฟู้ ังมากกวา่ เทา่ กบั 0.1 วนิ าที คล่ืนเสียงจะสะท้อนเมอ่ื สิ่งกดี ขวางมีขนาดใหญ่กวา่ หรือเท่ากับความยาวคลืน่ เสยี ง 3.2 การหกั เหของเสียง การหักเหของเสียงเกิดเมอื่ เสียงเคล่อื นทีผ่ ่านบรเิ วณทม่ี อี ุณหภมู ิต่างกัน ทาให้ทศิ ทางการเคลือ่ นท่ขี องเสยี ง เปล่ียนไป LHoigwh.......T.Teemmpp High....Temp Low....Temp

Facebook page : ฟิสกิ สโ์ กเอก บทที่ 10. เสียง 5 3.3 การแทรกสอดของเสียง เกดิ เมื่อมแี หล่งกาเนดิ เสียงอาพัน 2 แหลง่ ทาใหเ้ กดิ ตาแหนง่ ปฏิบัพและบพั ปฏิบัพ (A) ตาแหน่งท่ีมีการแทรกสอดแบบเสริมกันเสมอ จะมเี สียงดังกว่าปกติ บพั (N) ตาแหนง่ ทม่ี กี ารแทรกสอดแบบหักลา้ งกนั เสมอ จะมีเสยี งค่อยกว่าปกติ A3N3A2 N2 A1 N1 A0 N1 A1 N2 A2N3A3 S1 S1 Ex1 อตั ราเรว็ ของเสียงในอากาศน่ิงข้ึนอยกู่ ับข้อใด (ตุลา 41) 2. อุณหภูมขิ องอากาศ 1. ความถีข่ องการสน่ั ของแหล่งกาเนิด 4. ความเข้มของเสยี ง 3. ความเรว็ ของแหล่งกาเนิดเสียง Ex2 ขอ้ ใดถูก 1. ส่วนอัดของคลืน่ เสียง เปน็ สว่ นที่มีความดนั นอ้ ยกว่าความดันบรรยากาศ 2. คลน่ื เสียงเป็นคล่ืนตามขวาง, คลืน่ แสงเปน็ คลืน่ ตามยาว 3. ส่วนอดั ของคลนื่ เสยี ง จะมีการกระจัดของโมเลกุลอากาศเป็นศนู ย์ 4. อตั ราเรว็ เสียงในอากาศน่งิ ขึ้นกบั ความถ่ีของเสียง Ex3 จงเรียงลาดบั ความเรว็ เสียง เม่ือ V1 = ความเร็วเสยี งในอากาศที่ 30 0C V2 = ความเร็วเสยี งในอากาศที่ 0 0C V3 = ความเร็วเสียงในน้า V4 = ความเร็วเสียงในโลหะ

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เลม่ 1 6 Ex4 จงหาความเร็วเสยี งในอากาศที่อณุ หภูมิ 5 0C, 15 0C และ 100 0C Ex5 อตั ราเรว็ เสียงจากสมการ v = 331 T / 273 เป็นอตั ราเรว็ ของเสยี งที่ถูกตอ้ งทไ่ี ดจ้ ากผลการทดลอง แตส่ ามารถ ประมาณไดจ้ ากสูตร v = 331 + 0.6t เมอ่ื อณุ หภมู ิของอากาศอยู่ระหวา่ ง -35 ถึง 45OC ถา้ ใช้สมการประมาณในการหาอัตราเรว็ เสียงที่ 20OC จะคานวณอตั ราเร็วเสียงคลาดเคล่อื นไปก่ีเปอร์เซน็ ต์ Ex6 ถา้ อตั ราเร็วเสียงในกา๊ ซหน่ึงทอ่ี ุณหภมู ิ 270C วัดได้ 350 เมตร/วินาที ถา้ อุณหภูมิเปล่ยี นไปเปน็ 3270C อัตราเรว็ เสียงในก๊าซน้นั เปน็ เท่าใด Ex7 เสยี งเคลื่อนทผี่ ่านอากาศบรเิ วณหนง่ึ มีอัตราเรว็ 342 เมตร/วนิ าที เมือ่ ผ่านไปยงั อีกบริเวณหนง่ึ อตั ราเร็วเปล่ียนเป็น 345 เมตร/วนิ าที จงหาว่าบริเวณท้งั สองมอี ุณหภูมแิ ตกต่างกันกอี่ งศาเซลเซยี ส

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทที่ 10. เสียง 7 Ex8 เรือได้ส่งสัญญาณไปยังเรอื ข้างเคียง เสยี งได้เดินทาง 2 ทาง คอื ในอากาศ และในทะเล สัญญาณนไ้ี ด้รับโดยเรือท่ี อยูข่ ้างเคยี งกินเวลาตา่ งกัน 5 s จงหาระยะห่างระหว่างเรือนี้กบั เรือข้างเคียง (อัตราเร็วเสยี งในน้า = 1400 m/s, อตั ราเร็วเสียงในอากาศ = 350 m/s) Ex9 ชายคนหน่ึงกาลงั ว่ายนา้ เห็นเรอื บรรทุกกาลังจะจม และเห็นแสงไฟจากการระเบิดของเรือ 1 ครง้ั แตป่ รากฏวา่ ได้ ยินเสียงระเบิดตามมา 2 คร้ัง ในเวลาหา่ งกัน 2.4 วินาที ถ้าขณะนั้นอัตราเรว็ เสียงในอากาศเท่ากบั 340 เมตร / วนิ าที และอัตราเรว็ เสยี งในน้าเทา่ กับ 1496 เมตร / วินาที อยากทราบว่าตาแหนง่ ท่ีเรอื จมอย่หู ่างจากชายคนนั้นเทา่ ใด Ex10 ในวนั หน่งึ มอี ณุ หภูมิ 15๐ C ชายคนหน่ึงตะโกนเข้าใสห่ น้าผาสงู แล้วปรากฏวา่ ได้ยินเสียงสะทอ้ นกลับมาในเวลา 1.8 วินาที หน้าผาน้ันอยู่ห่างจากเขาเท่าใด Ex11 ชายคนหนึง่ อย่หู น้ากาแพง หันหน้าตะโกนเขา้ หากาแพง ถ้าเขาตอ้ งการให้เกิดเสียงก้องเขาตอ้ งอยู่ห่างจากกาแพง อยา่ งน้อยเท่าใด (อัตราเร็วเสยี งในอากาศเท่ากบั 340 เมตร/วินาที)

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เลม่ 1 8 Ex12 ชายคนหนงึ่ ยืนอยู่ระหว่างหน้าผา แล้วยิงปืนออกไป เขาได้ยนิ เสยี งสะทอ้ นคร้ังท่ี 1 และ 2 หลังจากยิงปืน 1.5, 2.5 วินาที จงหาระยะห่างระหวา่ งหน้าผาทัง้ สอง (อัตราเรว็ เสยี งในอากาศเท่ากับ 340 เมตร/วินาท)ี Ex13 บอลลูนลอยขึน้ ด้วยความเรว็ สม่าเสมอ 20 m/s ขณะทอี่ ยู่สงู จากพื้นดนิ ระยะหนึ่งสง่ คลนื่ เสียงความถี่ 1,000 Hz ลง มา และไดร้ ับสญั ญาณเสยี งสะท้อนกลับเม่อื เวลา 4 s ขณะท่สี ง่ คล่นื เสียงบอลลูนลอยสงู จากพ้นื เท่าใด ความเร็วเสยี ง ขณะนัน้ เป็น 350 m/s Ex14 เรอื ลาหนง่ึ วงิ่ เขา้ หาหน้าผาเรียบด้วยความเรว็ 10 เมตรต่อวินาที เม่ือเปิดหวดู ข้นึ คนในเรือได้ยนิ เสยี งหวูดสะทอ้ น จากหน้าผาในเวลา 2.0 วินาที ถา้ ขณะนน้ั ความเร็วเสียงในอากาศเปน็ 350 เมตรต่อวินาที ขณะเปิดหวูดเรือห่างจาก หน้าผาเปน็ ระยะเทา่ ใด (มีนา 42) 1. 340 m 2. 350 m 3. 360 m 4. 370 m Ex15 ปลอ่ ยกอ้ นหนิ ลงไปในบ่อลึก 20 เมตร พบวา่ อกี 2.06 วินาทีต่อมาได้ยินเสียงก้อนหนิ กระทบกน้ บ่อ อตั ราเร็วของ เสยี งที่ได้จากข้อมูลนี้เปน็ เท่าใด (ตุลา 43) 1. 333 m/s 2. 340 m/s 3. 347 m/s 4. 352 m/s

Facebook page : ฟิสิกสโ์ กเอก บทท่ี 10. เสียง 9 Ex16 โรงงานผลติ ผลไม้กระป๋องแห่งหนึ่งต้องการคัดขนาดของผลไม้ ในขณะกาลังไหลผ่านมาตามรางน้า โดยอาศยั การ สะทอ้ นของเสียงจากเครอื่ งโซนาร์ โดยต้องการแยกผลไม้ท่ีมขี นาดใหญ่กว่า และเลก็ กว่า 7.5 เซนติเมตร ออกจากกัน จง หาความถ่ีท่เี หมาะสมของคลื่นโซนาร์ (ความเรว็ ของเสยี งในน้า = 1500 เมตร/วินาท)ี (Ent35) 1. 1 กิโลเฮริ ตซ์ 2. 2 กิโลเฮิรตซ์ 3. 10 กโิ ลเฮิรตซ์ 4. 20 กโิ ลเฮริ ตซ์ Ex17 เสียงระเบดิ ใตน้ ้า หักเหขน้ึ สอู่ ากาศโดยมีมุมตกกระทบ 300 จงหามุมหักเหทีอ่ อกสอู่ ากาศ ถา้ อัตราเร็วเสยี งใน อากาศและในน้าเปน็ 350 และ 1400 เมตร/วนิ าที ตามลาดบั Ex18 ถา้ สมมติว่าบนทอ้ งฟ้าที่ฝนตกมีอุณหภูมิ -39 ๐C แตบ่ ริเวณใกล้พืน้ ดินมีอุณหภูมิ 39 ๐C อยากทราบว่า เสียงฟา้ ร้องจะต้องทามมุ ตกกระทบเท่าใด คนท่พี น้ื จงึ จะไม่ไดย้ นิ Ex19 เสยี งเคลือ่ นทจ่ี ากบริเวณท่ี 1 ไปยังบรเิ วณท่ี 2 ซ่ึงอัตราเร็วเพ่มิ ขึ้นเป็น 2 เท่าของอัตราเรว็ เดิม จงหามุมวกิ ฤต ระหวา่ งบริเวณท้ังสอง

ฟิสกิ ส์ ม.5 เล่ม 1 10 Ex20 แหล่งกาเนดิ เสียงอยู่ห่างจากกาแพง 1.50 เมตร ผู้สงั เกตยืนห่างจากกาแพงออกไป 5.00 เมตร ในแนวเดียวกับ แหลง่ กาเนิด สามารถรบั เสียงได้ท้ังที่ออกจากแหลง่ กาเนดิ โดยตรง และจากการสะท้อนทก่ี าแพง ถ้าขณะนั้นความเร็วเสียง ในอากาศมคี า่ 348 เมตร/วินาที ความถี่ตา่ สุดของแหล่งกาเนดิ ท่ีทาให้ผู้สงั เกตได้ยินเสยี งค่อยท่ีสุดมีค่ากเี่ ฮิรตซ์ (Ent36) Ex21 S1, S2 เปน็ ลาโพง 2 ตัว วางห่างกัน 2 เมตร ตาแหน่ง O ห่างจาก S1, S2 เปน็ ระยะ 6, 5 เมตร ตามลาดบั ถา้ อตั ราเร็วเสียงในอากาศเปน็ 340 m/s ความถเ่ี สียงตา่ ที่สดุ ที่มีการแทรกสอดแบบหักล้างกนั แลว้ ทาให้ผูร้ บั เสยี ง ณ ตาแหนง่ O ไดย้ นิ เสียงเบาที่สุด เป็นเท่าใด Ex22 S1 และ S2 เปน็ แหลง่ กาเนิดคล่ืนเสยี งที่ส่งคลื่นเสียงท่ีมีความถี่เทา่ กัน ถ้าจุด X เป็นจดุ ท่ีไดย้ ินเสยี งดงั มาก ห่าง S1 เป็นระยะ 10 m ห่าง S2 เปน็ ระยะ 12 m ความถขี่ องคลื่นเสียงอยา่ งต่ามคี า่ เท่าใด (Vเสียง= 340 m/s) Ex23 แหลง่ กาเนดิ เสียงความถี่ 680 Hz สองแหลง่ วางห่างกัน 6 เมตร ถา้ เดินจากแหลง่ กาเนิดเสียงตัวหน่ึงไปยงั อีกตัว หน่งึ จะไดย้ นิ เสียงเบาลงก่คี ร้ัง (อากาศอณุ หภมู ิ 15 ๐C)

Facebook page : ฟิสกิ สโ์ กเอก บทที่ 10. เสยี ง 11 Ex24 หลอดรปู คร่งึ วงกลม มีรศั มีความโคง้ r ถ้าใสค่ ล่ืนเสียงเข้าไปทางดา้ น A ด้วยความยาวคลื่น  ถามวา่ r ต้องมี คา่ น้อยสดุ เทา่ ใด เสยี งทอ่ี อกทาง B จงึ จะคอ่ ยทีส่ ุด AB Ex25 คลื่นเสียงจากแหล่งกาเนดิ S ในรปู ผ่านไปยงั ผู้สังเกตท่ี R ตามหลอด A ซง่ึ มคี วามยาวคงท่ี และตามหลอด B ซ่ึงปรบั ความยาวได้ ถา้ จากการทดลองพบว่า ผสู้ ังเกตท่ี R ได้ยินเสียงค่อยและดังสลบั กนั เมอ่ื เลอ่ื นหลอด B ออกห่าง จากหลอด A ทุก ๆ 8 cm ถ้าความเรว็ ของเสยี งในหลอดเทา่ กับ 340 m/s จงหาความถ่ขี องเสยี งนี้ S AB R Ex26 คลื่นเสียงหน่ึงผา่ นเขา้ ทางชอ่ งหน้าตา่ งกว้าง 0.6 เมตร ในแนวตง้ั ฉาก ผู้ฟงั ท่ียืนข้างหน้าต่างจะได้ยินเสียงชัดเจน ถ้าขณะนั้นอากาศมีอุณหภมู ิ 25OC ความถี่ของเสียงนีม้ ีค่าเทา่ ใด

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เล่ม 1 12 การบา้ น 1 เสียงและสมบัตขิ องเสียง 1. ข้อใดตอ่ ไปนท้ี ม่ี ผี ลทาให้อัตราเร็วของคล่ืนเสียงในอากาศเปลีย่ นแปลงได้ (Onet52) 1. ลดความถ่ี 2. เพิ่มความยาวคล่นื 3. เพมิ่ แอมพลิจูล 4. ลดอณุ หภูมิ 2. วงดนตรที ี่ประกอบดว้ ยเคร่ืองดนตรหี ลายชนดิ เม่ือเล่นพร้อมกันแตส่ ามารถแยกได้วา่ เสียงใดเปน็ เสยี งไวโอลนิ เสยี งใด เปน็ เสียงขลุ่ย และเสียงใดเปน็ เสียงเปยี โน เนอื่ งจากเสียงดนตรีแตล่ ะชนดิ มีลักษณะเฉพาะตามขอ้ ใดทตี่ ่างกนั (Ent41) 1. ระดับเสยี ง 2. ระดับความเข้มเสียง 3. ความถีเ่ สยี ง 4. คุณภาพเสยี ง 3. ถ้าดีดกตี าร์แล้วพบว่าเสียงที่ไดย้ ินตา่ กวา่ ปกติ จะมวี ธิ ปี รบั แก้ใหเ้ สียงสูงข้ึนได้อยา่ งไร (Onet49) 1. เปลยี่ นใชส้ ายเสน้ ใหญ่ขน้ึ 2. ปรับสายให้หยอ่ นลง 3. ปรบั ตาแหนง่ สายใหย้ าวขึน้ 4. ปรับสายใหต้ ึงขน้ึ 4. ระดับเสยี งและคุณภาพเสียงข้ึนอยู่กบั สมบตั ิใดตามลาดบั (Onet50) 1. ความถ่ี รูปรา่ งคลืน่ 2. รูปร่างคลื่น ความถ่ี 3. แอมพลิจูด ความถี่ 4. ความถ่ี แอมพลิจดู 5. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีเปน็ วัตถุประสงค์ของการบผุ นังของโรงภาพยนตร์ด้วยวัสดกุ ลืนเสียง (Onet50) 1. ลดความถ่ีของเสยี ง 2. ลดความดังของเสียง 3. ลดการสะท้อนของเสียง 4. ลดการหักเหของเสยี ง 6. ขอ้ ใดไมถ่ ูกตอ้ ง (Onet52) 1. คา้ งคาวอาศัยคลนื่ เสยี งในยา่ นอนิ ฟราโซนกิ ในการบอกทศิ ทางและจับเหยื่อ 2. สนุ ัขสามารถไดย้ นิ เสียงทีม่ คี วามถใ่ี นยา่ นอัลตราโซนิกได้ 3. เสียงทม่ี ีความถี่ในยา่ นอินฟราโซนิกจะมีความถี่ตา่ กว่าความถี่ท่ีมนษุ ยส์ ามารถได้ยิน 4. คลื่นเสียนอตั ราโซนกิ สามารถใชท้ าความสะอาดเคร่อื งมือแพทย์ 7. เม่อื เสียงเดนิ ทางจากแหล่งกาเนดิ เสยี งที่หยุดน่งิ ผ่านตัวกลางหนึ่งเข้าไปในอีกตวั กลางหนึง่ ปริมาณใดของเสียงที่ไม่ เปลี่ยนแปลง (PAT2 มี.ค.52) 1. ความถี่ 2. ความยาวเคลอ่ื น 3. อัตราเร็วคล่ืน 4. ไม่มปี ริมาณใดท่ีไมเ่ ปลี่ยนแปลง 8. ขอบเขตความสามารถของการได้ยินเสยี งของหูคนเราข้นึ อย่กู ับปรมิ าณใดของเสียง 1. ระดับความเขม้ เสียง และความถขี่ องเสียง 2. คณุ ภาพเสียงและความเขม้ เสียง 3. อตั ราเร็วของเสียง และกาลังเสียง 4. แอมพลจิ ูด และความยาวคล่ืน

Facebook page : ฟสิ กิ ส์โกเอก บทท่ี 10. เสยี ง 13 9. การทเ่ี กิดฟ้าแลบแล้วไม่ได้ยนิ เสยี งฟา้ รอ้ งเปน็ เพราะสมบัติใดของเสียง 1. การสะท้อน 2. การหักเห 3. การแทรกสอด 4. การเล้ยี วเบน 10. สาเหตทุ ี่ทาใหป้ ระชาชนที่สถานีรถไฟหัวลาโพงฟังประกาศทีใ่ หร้ บี ออกจากบริเวณชานชาลาไม่รูเ้ รอื่ ง และทาให้หนี รถไฟทีว่ ่ิงเข้าชนชานชาลาไม่ทนั นน้ั นา่ จะเป็นข้อใดมากที่สดุ 1. ลาโพงตดิ ตั้งสูงเกินไป ทาให้ระดับความเข้มเสยี งท่ีมาถึงหผู ้ฟู ังมีค่าน้อย เน่ืองจากความเข้มเสยี งแปรผกผันกบั กาลงั สองของระยะหา่ งจากแหลง่ กาเนดิ เสียงไปยงั ผ้ฟู ัง 2. คนที่หนไี ม่ทัน คอื คนทย่ี นื อยใู่ นบรเิ วณทเี่ สียงจากลาโพงสองตวั แทรกสอดกัน แล้วเกดิ บัพหรือเป็นบรเิ วณใกลก้ ับ ท่ีเกิดบัพ ทาให้ได้ยินเสียงค่อยมาก 3. คนที่หนไี ม่ทัน คือ คนที่ยืนอยใู่ นบรเิ วณทเี่ สียงจากลาโพงสองตัวแทรกสอดกนั แล้วเกดิ ปฏิบัพหรอื เป็นบรเิ วณใกล้ กับที่เกดิ ปฏบิ ัพ ทาใหไ้ ดย้ ินเสียงคอ่ ยมาก 4. เสียงประกาศสะท้อนไปมาหลาย ๆ ครงั้ ทาใหฟ้ ังไมร่ ู้เรอ่ื งฃ 11. อตั ราส่วนของอัตราเร็วเสยี งในอากาศทีอ่ ุณหภมู ิ 77 0C ตอ่ 427 0C เปน็ เทา่ ใด 12. สว่ นอัดกบั สว่ นอดั ท่ตี ิดกันของคลื่นเสยี งในอากาศวดั ได้ 0.8 เมตร และแหล่งกาเนดิ เสยี งมีความถ่ี 440 เฮิรตซ์ ขณะนัน้ อากาสมีอุณหภูมกิ อ่ี งศาเซลเซียส 1. 15OC 2. 25OC 3. 35OC 4. 45OC 13. เคร่อื งโซนารใ์ นเรือประมงได้รบั สัญญาณสะทอ้ นจากท้องทะเล หลังจากสง่ สัญญาณลงไปเปน็ เวลา 0.4 วนิ าที ถา้ อตั ราเร็วเสยี งในน้าเปน็ 1500 เมตรต่อวนิ าที ทะเลมีความลกึ เท่ากบั ขอ้ ใด (Onet52) 1. 150 เมตร 2. 300 เมตร 3. 600 เมตร 4. 900 เมตร

ฟสิ ิกส์ ม.5 เล่ม 1 14 14. เรือหาปลาลาหนึ่งตรวจหาฝูงปลาด้วยโซนาร์ โดยส่งคล่นื ดลของเสียงความถสี่ งู ลงไปในทะเล ถา้ ฝงู ปลาอยู่หา่ งจาก เครอื่ งกาเนิดคล่นื ไปทางหัวเรือเป็นระยะ 120 เมตร และอยู่ลึกจากผิวน้าเป็นระยะ 90 เมตร หลังจากส่งคลนื่ ดลจากโซ นาร์ไปเป็นเวลาเท่าใด จงึ จะไดร้ ับคล่นื ที่สะท้อนกลับมา กาหนดให้ความเร็วเสียงในน้าทะเลเท่ากับ 1,500 เมตร/วินาที (Ent37) 120 m 1. 0.1 s 2. 0.2 s 3. 0.3 s 90 m 4. 0.4 s 15. คลื่นเสยี งเคลอื่ นทใ่ี นอากาศจากบริเวณท่ีมอี ุณหภมู ิ T1 สบู่ ริเวณท่มี อี ณุ หภมู ิ T2 โดย T2 = 1.21T1 กาหนดมุมตก กระทบเทา่ กบั  และมีมมุ หกั เหเท่ากับ  จงหา sin1 sin2 16. เสยี งเดินทางจากบรเิ วณท่ีมอี ากาศเยน็ อณุ หภูมิ -73OC เข้าสูบ่ ริเวณท่ีมอี ากาศร้อน อุณหภมู ิ 39.5OC จะเกดิ ปรากฏการณ์สะทอ้ นกลบั หมดเมื่อเสียงทามมุ ตกกระทบเท่าใดในบรเิ วณอากาศเย็น 1. 30O 2. 37O 3. 45O 4. 53O 17. ลาโพง 2 ตัว วางหา่ งกัน 2.5 เมตร ให้เสียงมคี วามถเ่ี ทา่ กัน 340 Hz ถ้าอตั ราเร็วเสียงในอากาศเปน็ 340 เมตร/ วนิ าที ระหวา่ งลาโพงท้ังสองมีตาแหนง่ ทเ่ี กดิ เสียงดงั และค่อยทั้งหมดกี่แนว

Facebook page : ฟิสกิ สโ์ กเอก บทที่ 10. เสียง 15 18. จากรปู เป็นท่อซ่งึ ตรงกลางมที างแยกเปน็ สว่ นโค้งรปู ครง่ึ วงกลม รัศมี r เท่ากบั 14 เซนตเิ มตร ถ้าอตั ราความเร็วของ เสียงในทอ่ เทา่ กบั 344 เมตรตอ่ วินาที ใหค้ ลน่ื เสียงเขา้ ไปในทอ่ ทางดา้ น S ความถ่ขี องเสยี งที่ทาให้ผ้ฟู งั ที่ปลายด้าน D ได้ยนิ เสียงค่อยท่ีสุดมคี า่ เท่าใด (Ent41) 1. 287 Hz 2. 574 Hz S rD 3. 718 Hz 4. 1075 Hz

ฟสิ กิ ส์ ม.5 เล่ม 1 16 2. ความเข้มเสยี งและระดบั ความเข้มเสยี ง 1. ความเขม้ เสียง (sound intensity, I) เปน็ อตั ราสว่ นของกาลงั เสียงของแหลง่ กาเนดิ เต่อพื้นท่ีรบั เสยี ง บอกความดงั - คอ่ ยของเสียง I = ความเข้มเสยี ง ณ จดุ ใดๆ ( Watt / m2 ) P = กาลังของแหลง่ กาเนิดเสยี ง ( Watt ) P= W = พลังงานเสยี ง(จลู ) t เวลา(วินาท)ี 2. ระดบั ความเข้มเสียง (sound level, ) เปน็ ปรมิ าณทีบ่ อกความดัง – คอ่ ยของเสียง ในหนว่ ยเดซิเบล  = ระดบั ความเข้มเสยี ง (dB) 0 = ความเขม้ เสียงตา่ สดุ (10-12 W/m2) ส่ิงทคี่ วรรู้ ความเข้มเสยี งนอ้ ยที่สดุ ท่คี นเรม่ิ ได้ยิน 0 =……………Watt / m2, จะได้ระดับความเข้ม 0 =..………….dB ความเขม้ เสยี งมากท่ีสดุ ท่ไี ดย้ นิ แลว้ ปวดหู max =………….Watt / m2, จะได้ระดับความเขม้ max =………….dB ความเขม้ สัมพัทธ์ (Relative Intensity) คอื อตั ราส่วนของความเข้มเสยี งต่อความเข้มเสียงน้อยสุด 1 เบล = ............ เดซเิ บล I (W/m2) 10-12 10-11 10-10 10-9 10-8 10-7 10-6 10-5 10-4 10-3 10-2 10-1 100  (dB)

Facebook page : ฟสิ ิกส์โกเอก บทที่ 10. เสียง 17 3. การเปรียบเทียบความเขม้ เสยี งและระดบั ความเข้มเสยี งสาหรบั 2 สภาวะ P1 P2 R1 R2 4. ทบทวนลอการิธึมส์ 1. นยิ าม ถ้า y = ax แล้ว จะไดว้ ่า x = logay เมื่อ a  1 และ n เป็นจานวนจริง 2. สมบัตบิ างประการของลอการิธึมส์ 1. loga1 = 0 4. log ab = log a + log b 2. logaa = 1 3. log an = n log a 5. log a = log a – log b b Ex จงหาคา่ ของลอการธิ ึมสต์ อ่ ไปน้ี 1. log 80 = ……………………………………. 2. log 0.0025 = ………………………………. 3. log 6 x105 = …………………………….. 5 Ex ถา้ log A   0.3 จงหาค่า A 1012

ฟิสกิ ส์ ม.5 เล่ม 1 18 Ex1 แหล่งกาเนิดเสียงให้พลังงานเสยี ง x10- 10 Watt อยากทราบว่าระยะห่างมากทส่ี ุดท่ีสามารถได้ยนิ เสียงจาก แหล่งกาเนิดนีเ้ ปน็ เทา่ ใด Ex2 เสยี งผ่านหน้าตา่ งในแนวต้ังฉาก มคี า่ ความเขม้ เสียงท่ีผา่ นหนา้ ต่างเฉลี่ย 1.0x10-4 วัตต์ตอ่ ตารางเมตร หน้าต่าง กวา้ ง 80 เซนตเิ มตร สูง 150 เซนตเิ มตร กาลังเสียงท่ผี ่านหน้าตา่ งมคี ่าเท่าใด (Onet49) 1. 0.8x10-4 W 2. 1.2x10-4 W 3. 1.5x10-4 W 4. 8.0x10-4 W Ex3 แหลง่ กาเนดิ เสียงกาลัง 220 วตั ต์ กระจายเสียงออกโดยรอบอยา่ งสมา่ เสมอ จงหาความเข้มของเสียงที่จุดซ่งึ ห่าง จากแหล่งกาเนิดเสียง 100 เมตร ถา้ การแพร่ของคลื่นเสียงในช่วง 100 เมตร พลังงานเสียงถูกดดู กลนื ไป 10 % (ตลุ า 41) 1. 7.9 x 10-4 W/m2 2. 9.0 x 10-4 W/m2 3. 15.8 x 10-4 W/m2 4. 18.0 x 10-4 W/m2 Ex4 แหล่งกาเนิดเสยี งใหค้ ลน่ื มีพลังงาน 0.8x10-3 จูล ในเวลา 2 วนิ าที ถา้ อากาศดูดกลนื พลงั งานเสยี ง 20 % จงหา ความเข้มเสียง ณ ตาแหน่ง 10 m จากแหล่งกาเนิดเสียง

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทท่ี 10. เสียง 19 Ex5 ชายคนหนึ่งได้ยินเสยี งความเข้ม 10- 8 Watt/m2 เขาเดินออกมาจนได้ยนิ เสียง 10- 12 Watt/m2 อยากทราบว่าเขาอยู่ ห่างจากแหล่งกาเนิดเสียงเป็นกเ่ี ท่าของระยะเดิม Ex6 นาย ก และ นาย ข เหน็ พลุลกู หนึ่งแตกกลางอากาศเปน็ มุมเงย 37 และ 53 องศา ตามลาดบั ความเขม้ ของเสียง พลุท่ีนาย ก ได้ยิน เป็นกเี่ ทา่ ของความเข้มของเสยี งพลุท่นี าย ข ได้ยิน Ex7 แหล่งกาเนิดเสียง 1 ตวั มกี าลัง 20 วัตต์ ณ จุด X วัดไดว้ ่าเสียงมคี วามเข้ม 10- 3 Watt / m2 หากเพ่มิ แหลง่ กาเนดิ เสยี งเป็น 10 ตวั จงหาระดับความเข้มเสียงทีจ่ ุด X Ex8 จุด A มคี วามเขม้ เสียง 2x10-5 วตั ตต์ อ่ ตารางเมตร จุด A มรี ะดับความเข้มเทา่ ใด Ex9 ที่ตาแหนง่ หนึง่ มคี วามเขม้ สัมพัทธ์เป็น 8 จะมรี ะดบั ความเข้มเท่าใด ( log 2 = 0.3 )

ฟสิ ิกส์ ม.5 เล่ม 1 20 Ex10 จากกราฟแสดงช่วงความถีแ่ ละระดับความเข้มเสียงทหี่ ปู กตสิ ามารถรับรู้ สาหรบั เสียงท่ีความถี่ 40 เฮิรตซ์ ความ เข้มเสียงที่คนเร่ิมได้ยนิ มีค่าเท่าใด (ถา้ ความเขม้ เสียงตา่ สุดที่คนไดย้ ินเทา่ กบั 10-12 W/m2) (Ent37) 1. 10-12 W/m2 2. 10-10 W/m2 3. 10-8 W/m2 4. 10-6 W/m2 Ex11 ถา้ ระดบั ความเข้มเสียงจากแหล่งกาเนดิ เสยี งหนึง่ เปลย่ี นจาก 20 เดซิเบลเป็น 40 เดซเิ บล ความเข้มเสยี งเพ่ิมข้นึ ก่ี เท่า (PAT2 ต.ค.52) 1. 2 2. 10 3. 20 4. 100 Ex12 ระดบั ความเขม้ เสียงในโรงงานแห่งหน่ึงมีคา่ 80 เดซิเบล คนงานผหู้ นงึ่ ใสเ่ ครอ่ื งครอบหูซง่ึ สามารถลดระดบั ความ เข้มลงเหลอื 60 เดซเิ บล เคร่อื งดงั กล่าวลดความเขม้ เสยี งลงก่ีเปอร์เซ็นต์ (มนี า 44) 1. 80 % 2. 88 % 3. 98 % 4. 99 % Ex13 เสยี งรบกวนบนถนนวัดระดับความเข้มเสียงได้ 90 เดซเิ บล แตภ่ ายในรถยนต์ท่ีปิดมิดชิด ระดบั ความเขม้ เสียงลด เหลือ 70 เดซิเบล ถามว่าความเขม้ เสียงภายในรถยนตเ์ ปน็ ก่เี ปอร์เซน็ ต์ ของความเข้มเสยี งนอกรถยนต์ (Anet49) 1. 77 % 2. 70 % 3. 20 % 4. 1 %

Facebook page : ฟิสกิ สโ์ กเอก บทที่ 10. เสียง 21 Ex14 ไวโอลิน 1 ตวั ใหเ้ สียงมรี ะดบั ความเข้มเสยี ง 30 dB ไวโอลนิ 10 ตวั ให้เสยี งมีระดับความเขม้ เสียงเท่าใด Ex15 การแสดงดนตรีในสถานทแ่ี ห่งหนง่ึ บรเิ วณรอบ ๆ สถานที่ได้ตดิ ตั้งวัสดทุ ี่สามารถดูดกลนื เสียงได้อยา่ งสมบรูณ์ ผูช้ ม การแสดงคนหนง่ึ อยหู่ ่างจากผู้เล่นดนตรีเป็นระยะทาง r ถ้าตอ้ งการใหเ้ สยี งท่ีไดย้ นิ มีความเขม้ เพม่ิ ขึ้น 2 เท่า ผู้ชมดนตรี จะตอ้ งเปลี่ยนท่นี งั่ ให้อยูห่ ่างจากผูแ้ สดงเป็นระยะเท่าใด (Ent37) 1. 1 r 2 1 2. 2 r 3. 2 1 2 r 1 4. 4 r Ex16 โรงงานแห่งหนึง่ สง่ เสียงดัง P Watt นาย A, B ในรปู ได้ยนิ เสยี งมีระดับความเข้ม 90, 70 dB ตามลาดับ จง หาวา่ A, B อยหู่ า่ งกนั กีเ่ มตร P Watt B A 10 m

ฟสิ ิกส์ ม.5 เล่ม 1 22 Ex17 ชายคนหน่งึ ยนื หา่ งจากลาโพง 20 เมตร เขาไดย้ ินเสียง 80 dB ถา้ เขาเดนิ เขา้ หาลาโพงเปน็ ระยะทางหน่งึ จนเขา ได้ ยินเสียง 100 dB จงหาระยะทางท่เี ขาเดนิ Ex18 นักรอ้ งหมู่ 40 คน จะสง่ เสียงดงั 50 dB ทร่ี ะยะหา่ ง 20 เมตร ถามวา่ ถา้ มีนักรอ้ ง 50 คน จะใหร้ ะดบั ความเขม้ เสียงเท่าใด ท่ีระยะ 25 เมตร Ex19 เสียงจากเคร่อื งจักรวัดระดบั ความเขม้ เสยี งทร่ี ะยะหา่ ง 0.5 m เท่ากบั 100 dB ถา้ มเี ครอื่ งจักรทใี่ ห้กาลงั เสยี งเท่ากับ เครอ่ื งน้ีเดนิ พรอ้ มกัน 2 เครอ่ื ง ผสู้ ังเกตสวมเครอ่ื งป้องกันเสยี ง ซ่ึงลดความเข้มเสยี งได้ 95 % จะได้ยินเสยี งท่ีมรี ะดบั ความเขม้ เสยี งเทา่ ใด ขณะยนื หา่ งจากเครอ่ื งจกั ร 4 m

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทท่ี 10. เสียง 23 การบา้ น 2 ความเข้มและระดับความเข้มเสยี ง 1. แมลงวันกระพอื ปีก ส่งพลังงานเสียง 4x10- 12 Watt คนจะไดย้ ินเสียงแมลงวนั บนิ ห่างจากคนไกลสุดกีเ่ มตร 2. ณ จุดหนง่ึ เสียงจากเคร่อื งจกั รมีระดับความเข้มเสยี งวัดได้ 50 เดซเิ บล จงหาความเขม้ เสยี งจากเครอื่ งจักร ณ จุดนน้ั กาหนดให้มีความเขม้ เสยี งที่เร่ิมไดย้ นิ เปน็ 10-12 วตั ตต์ ่อตารางเมตร (ตุลา 43) 1. 10-5 W/m2 2. 10-7 W/m2 3. 10-9 W/m2 4. 10-17 W/m2 3. คลนื่ เสียงถูกส่งออกจากแหล่งกาเนิดเสียงที่เป็นจุด กาลังเสียงทส่ี ่งออกไปมีคา่ 3.14 วตั ต์ ผ้ฟู ังได้ยนิ ระดับความเข้ม เสียงเปน็ 80 เดซเิ บล จงหาระยะห่างระหว่างผู้ฟงั กับแหล่งกาเนิดเสียง (Ent48) 1. 25 m 2. 50 m 3. 100 m 4. 180 m 4. แหลง่ กาเนดิ เสยี งใหค้ วามเขม้ เสียง 120 เดซเิ บล บนพื้นท่ี 1 cm2 ในเวลา 2 วินาที จะมีพลงั งานเสยี งเทา่ ใด 5. หไู ดร้ ับระดบั ความเขม้ เสยี ง 40 dB โดยไมม่ ีการสะทอ้ น ถา้ หากแกว้ หทู ่ีรับพลังงานมพี ้ืนท่ี 8x10- 5 m2 ดงั นั้นใน 1 s หจู ะได้รบั พลังงานกจ่ี ูล

ฟิสกิ ส์ ม.5 เล่ม 1 24 6. ชายคนหนึ่งสวมเครอ่ื งปอ้ งกันเสียง ซง่ึ ลดความเขม้ เสียงได้ 84.5% เมอ่ื เขาอยหู่ ่างจากแหล่งกาเนิดเสยี ง 3 เมตร พบวา่ เสยี งมีความเข้ม 120 dB จงหากาลังของแหล่งกาเนดิ เสียง (=3.1) 7. ตาแหนง่ A และ B อยู่ห่างจากแหลง่ กาเนิดเสียงซึง่ มีกาลังคงทเ่ี ปน็ ระยะทางไม่เทา่ กนั ถา้ ความเข้มของเสยี งท่ี ตาแหน่ง A เป็น 1000 เทา่ ของความเข้มเสียงท่ตี าแหน่ง B จงหาความแตกต่างของระดบั ความเข้มเสียงระหว่างตาแหนง่ ทง้ั สอง (Ent36) 1. 10 dB 2. 20 dB 3. 30 dB 4. 40 dB 8. นักร้องประสานเสยี ง 1 คน ทาให้คนฟงั ที่ระยะหนงึ่ ไดย้ ินเสียง 60 dB เมื่อเพม่ิ จานวนนักร้องเปน็ 10 คน คนฟังท่ี ระยะเดยี วกันนี้ จะได้ยินเสียงก่ี dB 9. เคร่ืองเจาะถนนเครอื่ งหนง่ึ อยหู่ ่างจากนาย ก. 10 เมตร เขาวัดระดับความเข้มเสยี งได้เปน็ 90 เดซิเบล ถา้ มเี ครอ่ื ง เจาะสามเครือ่ งทีเ่ หมอื นกันทกุ ประการอยหู่ ่างจากเขา 10 เมตรเท่ากนั เมือ่ เครอื่ งเจาะท้ังสามทางานพรอ้ มกนั เขาจะวัด ระดับความเข้มเสียงได้เปน็ เท่าใด (ตุลา 45) 1. 93 dB 2. 95 dB 3. 120 dB 4. 270 dB

Facebook page : ฟิสิกสโ์ กเอก บทท่ี 10. เสียง 25 10. ระดบั เสียงจากการทางานของเครอื่ งจักร 5 เครื่อง มีคา่ เป็น 100 เดซเิ บล ถา้ เดนิ เครื่องจกั รเพียง 1 เคร่อื ง ระดับ เสยี งใหม่จะเป็นเทา่ ใด (Anet50) 1. 93 dB 2. 83 dB 3. 60 dB 4. 20 dB 11. ในการทดลองเร่ืองความเขม้ ของเสียง วัดความเขม้ ของเสียงทต่ี าแหน่งทอ่ี ยหู่ า่ งไป 10 เมตรจากลาโพงได้ 1.2 x 10-2 วัตต์ตอ่ ตารางเมตร ความเข้มเสียงทีต่ าแหน่ง 30 เมตรจากลาโพงจะเป็นเท่าใด (มีนา 44) 1. 1.1 x 10-2 W/m2 2. 0.6 x 10-2 W/m2 3. 0.4 x 10-2 W/m2 4. 0.13 x 10-2 W/m2 12. ระดับความเขม้ เสยี งที่ระยะ 3 เมตรห่างจากแหล่งกาเนิดวัดได้ 120 เดซิเบล จงหาว่าทีร่ ะยะหา่ งจากแหล่งกาเนิดนี้ เท่าไร จึงจะวัดระดับความเขม้ เสยี งได้ 100 เดซิเบล (มีนา 47) 1. 3.6 m 2. 4.3 m 3. 10.8 m 4. 30 m 13. นาย ก ยนื ท่ีขอบสนามหญ้าด้านหนง่ึ (จดุ A) ซึง่ รถตดั หญ้าทางานอยู่กึง่ กลางสนาม (จุด B) จะวัดระดับความเข้ม เสียงได้ 77.34 เดซเิ บล ถ้ารถตัดหญา้ เลือ่ นไปอย่ทู ขี่ อบสนามด้านตรงขา้ ม (จุด C) จะวดั ระดบั ความเขม้ เสียงได้กเี่ ดซเิ บล (มีนา 46) นาย ก. A BC

ฟิสิกส์ ม.5 เล่ม 1 26 14. ลาโพงตวั หน่ึงให้เสยี งท่ีมคี วามเข้ม I0 ท่รี ะยะหา่ งจากลาโพง 10 เมตร ถ้าต้องการเสยี งความเข้ม 2I0 จะต้องไปอยทู่ ี่ ตาแหนง่ ซงึ่ ห่างจากลาโพงเท่าใด (ตลุ า 45) 1. 5 m 2. 7 m 3. 14 m 4. 20 m 15. ถ้าสมมตวิ า่ ขณะเครอื่ งบินโดยสารไอพ่นกาลงั บินข้ึนจากสนามบิน กอ่ ให้เกดิ เสยี งท่มี ีระดับความเข้มเสียง 120 เดซิ เบล ณ จุดทีห่ า่ งจากเครอ่ื งบนิ 200 เมตร จะต้องปลกู บ้านห่างจากสนามบนิ ไปไกลเท่าใด จึงจะได้ยนิ เสียงเครือ่ งบนิ ดงั ไม่เกิด 80 เดซเิ บล (Ent35) 1. 10 กโิ ลเมตร 2. 20 กิโลเมตร 3. 30 กิโลเมตร 4. 40 กโิ ลเมตร 16. ลาโพง A และ B มกี าลังเสียง 1.0 และ 4.0 วตั ต์ตามลาดับ ระดบั ความเขม้ เสียงท่ตี าแหนง่ ห่างจาก A เท่ากบั 2 เมตร กบั ระดับความเข้มเสียงทีต่ าแหนง่ หา่ งจาก B เทา่ กับ 4 เมตร ตา่ งกนั กเ่ี ดซิเบล (ในการวัดระดบั ความเข้มเสยี ง นน้ั ทาคนละเวลา) (ตุลา 47) 1. 0 2. 3 3. 12 4. 30 17. มอเตอรไ์ ซค์เหมอื น ๆ กัน 3 คนั แลน่ มาจากปากซอย พอมาถงึ กลางซอย คันหนง่ึ จอดและดับเครื่องยนต์ นาย ก. ซึง่ มีบ้านอยู่สดุ ซอย จะวัดความแตกต่างของระดบั ความเขม้ เสียงจากมอเตอร์ไซคท์ ีป่ ากซอยกบั ที่กลางซอยไดก้ ่เี ดซิเบล (ตุลา 46) 1. 4.3 dB 2. 3.0 dB 3. 2.3 dB 4. 1.2 dB

Facebook page : ฟสิ กิ สโ์ กเอก บทท่ี 10. เสยี ง 27 3. การบตี ส์ (Beats) บีตส์ (beats) เกดิ จากการได้ยินเสียงจากแหลง่ กาเนิดเสยี ง 2 แหลง่ ทม่ี ีความถี่ใกล้เคยี งกัน ไปรวมกนั จะไดย้ นิ เสียง ดงั – ค่อย สลับกนั ความถบ่ี ีตส์มากสุดท่ีมนุษย์ไดย้ ิน คอื 7 Hz b = ความถีบ่ ตี ส์ = จานวนครั้งของเสียงดังค่อยใน 1 วินาที  = ความถี่เฉล่ยี = ความถ่ีของเสียงท่ไี ด

ฟิสิกส์ ม.5 เลม่ 1 28 Ex1 สมบตั ติ ามขอ้ ใดของคลื่นเสียงท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การเกิดบีตส์ (Onet52) 1. การสะท้อน 2. การหกั เห 3. การเลี้ยวเบน 4. การแทรกสอด Ex2 เมอ่ื จะทาการทดลองเกี่ยวกับสมบัตขิ องคลืน่ เสียงเรอื่ งบีตส์ เราจาเปน็ ต้องใช้ (Ent31) 1. เครอื่ งกาเนิดสัญญาณเสียง 1 เคร่อื ง ลาโพง 1 ตวั 2. เครอ่ื งกาเนดิ สัญญาณเสียง 1 เครือ่ ง ลาโพง 2 ตวั 3. เครือ่ งกาเนดิ สัญญาณเสียง 2 เครื่อง ลาโพง 2 ตวั 4. เครื่องกาเนิดสัญญาณเสียง 3 เครอ่ื ง ลาโพง 3 ตวั Ex3 คลน่ื 2 ขบวน A และ B แอมปลจิ ดู เท่ากนั มีความถี่ 200 และ 204 Hz ตามลาดบั ถ้าคลื่นทง้ั สองเขา้ รวมกัน เปน็ คลน่ื C จงหาความถ่ีของคลน่ื C และความถ่ีบีตส์ของคลื่น C Ex4 คลน่ื เสียง 2 ขบวน มาพบกัน เกิด 5 บีตส์/วินาที และไดย้ ินเสียงความถี่ 350 Hz จงหาความถ่ีจรงิ ของคลืน่ ท้ังสอง นี้ Ex5 สอ้ มเสียงอันหนงึ่ มีความถ่ี 675 เฮริ ตซ์ เคาะพร้อมกับสอ้ มเสยี งอนั ท่ีสองจะเกิดเสยี งบตี สท์ กุ 0.25 วินาที ส้อมเสยี ง อนั ท่ีสองมีความถเี่ ท่าใดได้บา้ ง

Facebook page : ฟิสกิ ส์โกเอก บทท่ี 10. เสยี ง 29 Ex6 ถ้าต้องการให้ได้ยินเสียงดัง-ค่อยสลับกนั ไป 50 คร้ัง ในเวลาคร่ึงนาที จะต้องเคาะส้อมเสียงทม่ี ีความถี่ 500 เฮริ ตซ์ พร้อมสอ้ มเสียงท่มี ีความถี่ก่ีเฮิรตซ์ Ex7 เคาะส้อมเสยี งอนั หน่ึงพรอ้ มกับสอ้ มเสียงมาตรฐาน ความถี่ 453 Hz ปรากฏว่าได้ยินเสยี งบีตส์ 4 คร้ัง/วนิ าที ถ้านา ขผ้ี ึง้ มาตดิ กับส้อมเสียงอนั นั้น ปรากฏว่าความถีบ่ ีตส์จะเพมิ่ ข้ึน สอ้ มเสยี งอันนัน้ มคี วามถเี่ ทา่ ไร Ex8 ส้อมเสียง A ความถี่ 600 Hz เคาะกับสอ้ มเสยี ง B ได้ยินเสยี งดัง-ค่อยสลบั กันไป 30 ครงั้ ในเวลา 5 วินาที ถา้ ขดั สนมิ ออกจากสอ้ มเสยี ง A ปรากฏว่าเสยี งดงั -คอ่ ยสลับกันไปลดลง จงหาความถีข่ องส้อมเสียง B Ex9 ส้อมเสียง X และ Y เคาะรวมกนั เกิดบีต 5 คร้ัง ในเวลา 1 s และถ้าเคาะ Y และ Z รว่ มกันเกดิ บีต 2 คร้งั ใน เวลา 1 วินาที ถ้าเคาะ X และ Z ร่วมกนั จะเกิดบีตก่คี รงั้ ในเวลา 1 วินาที

ฟสิ ิกส์ ม.5 เล่ม 1 30 การบ้าน 3 การบตี ส์ 1. ในการเทียบเสียงกตี าร์กบั หลอดเทียบเสียงมาตรฐาน เมื่อดีดสายกีตารพ์ รอ้ มกับหลอดเทยี บเสยี งเกิดบีตส์ขึน้ ทค่ี วามถ่ี หน่ึง แตเ่ มื่อขันใหส้ ายตึงขน้ึ เล็กนอ้ ยความถขี่ องบีตส์สูงขน้ึ ความถี่ของเสียงกีตารเ์ ดมิ เปน็ อย่างไร (Onet51) 1. สูงกว่าเสียงมาตรฐาน 2. ต่ากวา่ เสยี งมาตรฐาน 3. เท่ากับเสยี งมาตรฐาน 4. อาจจะมากกว่าหรือน้อยกวา่ เสียงมาตรฐานก็ได้ 2. ในการปรับเทียบเสียงของเปียโนระดับเสียง C โดยเทียบส้อมเสยี งความถ่ี 256.0 Hz ถา้ ได้ยินเสียงบีตส์ความถี่ 3.0 คร้งั /วนิ าที ความถท่ี เ่ี ป็นไปไดข้ องเปียโนมีค่าเทา่ ใด (Ent40) 1. 256 Hz 2. 254.5 หรือ 257.5 Hz 3. 253 หรือ 259 Hz 4. 250 หรอื 262 Hz 3. คลื่นเสียง 2 ขบวนมาพบกัน เกดิ เสียงดัง-คอ่ ยสลบั กัน 21 คร้งั ในเวลา 3 วนิ าที และได้ยนิ เสียงที่ความถ่ี 650 Hz จงหาความถี่จรงิ ของคล่นื เสียงทั้งสองน้ี 4. ลวดขึงตงึ สองเสน้ ใหเ้ สยี งท่ีมคี วามถ่ีมลู ฐาน 110.0 เฮริ ตซ์ และ 110.8 เฮริ ตซ์ ตามลาดับ ถ้าดีดลวดทัง้ สองเสน้ น้ี พรอ้ มกนั จะได้ยนิ เสยี งดัง-ค่อยสลับกัน ถามวา่ ภายใน 20 วินาที จะได้ยนิ เสยี งดงั ขึน้ ก่ีครง้ั (มนี า 47) 1. 16 2. 20 3. 25 4. 32 5. นกั ดนตรีคนหนึ่งเล่นไวโอลนิ ความถ่ี 507 เฮิรตซ์ และนักดนตรอี กี คนหน่งึ เล่นกตี าร์ ความถ่ี 512 เฮิรตซ์ ถา้ ท้ังสอง คนเลน่ พร้อมกนั จะเกิดปรากฎการณบ์ ีตสท์ ่คี วามถเ่ี ทา่ ใด (Ent41) 1. 2.5 Hz 2. 5.0 Hz 3. 10 Hz 4. 509.5 Hz


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook