1 วชิ าภาวะผู้นำทางการศึกษา กลุ่มท่ี ๔ เรือ่ งการบริหารงานระบบเครือข่าย การบรหิ ารงานระบบเครือข่าย การศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎที ่เี กีย่ วกับเครือข่ายความร่วมมือทางสังคม มีนักวิชาการหลายท่านได้ให้นิยาม เกี่ยวกับความหมายของเครือข่าย ประเภทของเครือข่าย ลักษณะของเครือข่าย รูปแบบของเครือข่าย กระบวนการสรา้ งเครอื ขา่ ย ไวด้ ังน้ี ๑ ความหมายของเครอื ข่าย เครือข่าย มีความสำคัญอย่างยิ่งกับการสร้างความร่วมมือให้กับผูบ้ ริหารและคณะครูในการปฏิบัติงาน แลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์ ตลอดจนผลงานทางวิชาการต่างๆให้ไปสู่เป้าหมายและความสำเร็จ ซึ่งมี นกั วชิ าการหลายท่าน ได้ใหน้ ิยามเกี่ยวกับเครือขา่ ยไว้ ดังน้ี กาญจนา แกว้ เทพ กลา่ วถงึ ความหมายเครือขา่ ยไว้ว่า คอื รปู แบบหนึ่งของการ ประสานงานของบคุ คล กลุม่ หรอื หลายองค์การหลายๆองคก์ ารที่ต่างก็มที รัพยากรเป้าหมายมวี ิธีการ ทำงานและมกี ล่มุ เป้าหมายของตัวเอง บุคคลหรือกลุ่มเหล่านี้ได้เข้ามาประสานงานกันอย่างมีระยะ เวลานานพอสมควรแม้อาจจะไม่มีกิจกรรมร่วมกัน อย่างสม่ำเสมอกต็ ามแตก่ ็จะมีการวางรากฐาน เอาไว้เมื่อฝา่ ยใดฝา่ ยหน่ึงมีความต้องการทจ่ี ะขอความช่วยเหลือหรือ ขอความร่วมมือจากกลุ่มอ่ืนๆ เพ่ือแก้ปัญหาก็สามารถติดต่อไปได้เป็นการเข้าร่วมเป็นองค์การเครือข่ายแม้ว่า องค์การเหล่าน้ีจะมี บางส่ิงบางอย่างร่วมกันเช่นมีเป้าหมายร่วมกันมีประโยชน์ร่วมกันองค์การเหล่านี้ก็ยังคงความ เป็น เอกเทศอยู่ เพราะการเข้าร่วมเปน็ เครือข่ายเปน็ การเข้ารว่ มเพียงบางส่วนขององค์การเทา่ นั้น เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ กล่าวว่า เครือข่าย หมายถึง การที่ปัจเจกบุคคล องค์การหน่วยงานหรือ สถาบันใดๆได้ตกลงที่จะประสานเชื่อมโยงเข้าหากันภายใต้วัตถุประสงค์ หรือข้อตกลงอย่างใดอย่างหน่ึงร่วมกัน อยา่ งเป็นระบบโดยมจี ดุ ม่งุ หมายเพื่อดำเนินกิจกรรมตา่ งๆ ร่วมกนั ธนา ประมุขกูล ให้ความหมายของคำว่า เครือข่าย คือ ภาพข่ายใยแมงมุม ซึ่งแสดงให้เห็นการถักทอ โยงใยกันของเส้นใยที่พาดผ่านกันมาหลายเส้น หลากทิศทาง ดังนั้น คำว่าเครือข่าย คือ การเชื่อมโยงอย่างมี เป้าหมาย เป็นการเชื่อมโยงระหว่างระบบที่ปฏิบัติการอยู่ เข้าด้วยกัน เช่น การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์ เข้าเป็น เครือข่ายอินเตอร์เน็ต เป็นต้นหรืออาจเป็น การเชื่อมโยงระหว่างบทบาทของบุคคลองค์กรต่าง ๆ ภายใต้ วัตถุประสงค์รวมใด ๆ ของภาคีสมาชิก ดังนั้นเครือข่ายจึงเป็นรูปแบบการทำงานในลักษณะสร้างความร่วมมือ ประสานงานกันในแนวราบระหว่างผู้เกี่ยวข้องด้วยสรรพกำลังอันรวมถึง คนสติ ปัญญา ความสามารถและ ทรพั ยากร ในการทำงานเพ่ือเอาชนะอปุ สรรคทจ่ี ุดอ่อนของระบบราชการ และ เป็นแนวทางที่ ตรงกันกับ แนวคิดของการพัฒนาที่ยึดพื้นที่ประสานภารกิจและร่วมทรัพยากร (Area, Function and participation) เปน็ กลยทุ ธ์ในการพัฒนา ประเวศ วะสี ได้กล่าวถงึ เครอื ขา่ ยทางสงั คมที่มีการขยายตวั ออกไปวา่ เครอื ข่ายทางสังคมจะคล้าย เครือข่ายในสมอง โดยโครงสร้างของสมองนั้นจะทำให้เกิดการเรียนรู้ ในระดับที่สูงเพื่อการมีชีวิตรอด และ โครงสร้างทางสังคมจะมีวิวัฒนาการไปเหมือนโครงสร้าง ทางสมองมากขึ้นเร่ือยๆ ซึ่งก่อให้เกิดความเปล่ียนแปลง ทางพฤติกรรมของสังคม จากสังคมใช้ อำนาจไปเป็นสังคมแห่งการเรียนรู้และการท่ีจะเกิดสังคมแห่งการเรยี นรู้ได้ น้ันจะต้องปรับเปลี่ยน โครงสร้างทางสังคมจากแนวดิ่งไปเป็นเครือข่ายสังคมที่มีการโยงใยความสัมพันธ์ ในทุก ทศิ ทาง เปน็ เครือขา่ ยทางสงั คมแหง่ กลั ยาณมิตรหรือเครือข่ายสังคมแห่งการเรยี นรู้ (Learning social networks)
2 วชิ าภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลุ่มที่ ๔ เรอ่ื งการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย โดยที่เครือข่ายสังคมจะต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ได้อย่างต่อเนื่องหรือมี การขยายแนวคิด กระบวนการ ออกไปจงึ จะสามารถปรับตวั ใหอ้ ยู่ ในดลุ ยภาพได้ เสรี พงศ์พิศ ให้วามหมายของเครือข่ายว่า หมายถึง ขบวนการทางสังคมอันเกิด จากการสร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กลุ่ม องค์การ สถาบัน โดยมีเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และ ความต้องการบางอย่าง ร่วมกัน รว่ มกันดำเนินกจิ กรรมบางอยา่ งโดยท่ีสมาชกิ ของเครือขา่ ยยังคง ความเป็นเอกเทศไมข่ ึ้นตอ่ กัน จากความหมายที่กล่าวมา สามารถสรุปได้ว่า เครือข่าย หมายถึง รูปแบบการประสานงานของบุคคล กลุ่มบุคคลหรือองค์การต่างๆ ที่ประสานเชื่อมโยงเข้าหากันภายใต้วัตถุประสงค์ข้อตกลงอย่างใดอย่างหนึ่งร่วมกนั โดยสมาชิกในกลุ่มเครือข่ายยังคงความเป็นเอกเทศไม่ขึน้ ตอ่ กัน ด้วยสรรพกำลงั คน สติปัญญา ความสามารถและ ทรัพยากร เพื่อเป็นกลยุทธ์ในการพัฒนา เป็นโครงสร้างทางสังคมที่คล้ายเครือข่ายในสมองที่มีการโยงใย ความสมั พันธก์ นั ในทุกทศิ ทาง ๒.ประเภทของเครอื ข่าย เครอื ขา่ ยมหี ลากหลายประเภทตามท่ีนักวชิ าการหลายทา่ นได้กลา่ วถึงประเภทของเครือข่าย ไวด้ ังนี้ พระมหาสุทิตย์ อาภากโร (อบอุ่น) การแบ่งประเภท รูปแบบและลักษณะ ความสัมพันธ์ของ เครือข่ายก็เพ่ือสร้างความเข้าใจ และมองเห็นภาพความเคลื่อนไหวของกลุ่ม องค์การเครือข่ายต่างๆ ได้ชัดเจน ย่ิงขน้ึ จากพัฒนาการของความเปน็ เครือขา่ ยในสังคมไทย จะเหน็ ไดว้ า่ มกี ระบวนการเกิดข้ึนของเครือข่ายในภาค ส่วนต่างๆ อย่างมากมาย ทังภาครัฐ ภาคธุรกิจ เอกชน องค์การพัฒนาเอกชน (NGO) และภาคประชาชน รวมท้ัง ในด้านแนวคิด กิจกรรม กม็ กี ระบวนการแบ่งประเภท และรูปแบบของเครือข่ายออกเป็นนัยต่างๆ ดังน้ัน ประเภท และรูปแบบ ของเครือข่ายจึงมีความแตกต่างกันไปตามนิยาม และกิจกรรมท่ีแต่ละกลุ่ม หรือผู้ที่ใช้กิจกรรม เครือข่ายกำหนดขึ้น โดยในที่นี้จะกล่าวถึงเกณฑ์บางประการในการจัดประเภท และรูปแบบของ เครือข่ายเพื่อให้ เหมาะสมกับการประยกุ ตใ์ ช้ในการเสรมิ สร้างการเรียนรูข้ องทุกฝา่ ย ดงั นี้ ๑.เครือข่ายเชิงพ้ืนท่ี (Area) หมายถึง การรวมตัวของ กลุ่ม องค์การ เครือข่าย ท่ีอาศัยพื้นท่ีรูปธรรม หรือพนื้ ทด่ี ำเนนิ การเปน็ ปจั จัยหลักในการทำงานรว่ มกนั เปน็ กระบวนการ พัฒนาท่ี อาศยั กิจกรรมทเ่ี กดิ ข้ึนในพื้นที่ เป้าหมายนำทาง และเป็นการพัฒนาแบบบูรณาการท่ีไม่แยกส่วน ต่างๆ ออกจากกันโดยยึดเอาพื้นที่เป็นที่ต้ังแห่ง ความสำเรจ็ ในการทำงานร่วมกนั ของทกุ ฝ่าย ๒.เครือข่ายเชงิ ประเด็นกิจกรรม (Issue) ได้แก่ เครือขา่ ยทใี่ ช้ประเดน็ กจิ กรรม หรอื สถานการณ์ที่ เกิดขึ้นเป็นปัจจัยหลักในการรวมกลุ่มองค์การ โดยมองข้ามมิติในเชิงพ้ืนที่ มุ่งเน้นการ จัดการในประเด็นกิจกรรม นั้นๆ อย่างจริงจัง และพัฒนาให้เกิดความรว่ มมอื กบั ภาคีอ่ืนๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ๓.เครือข่ายแบ่งตามโครงสร้างหน้าท่ี ได้แก่ เครือข่ายท่ีเกิดขึ้นโดยอาศัยภารกิจ/กิจกรรม และการก่อ ตัวของกลุม่ ผลประโยชนใ์ นสงั คมเปน็ แนวทางในการแบง่ เครือขา่ ย ซ่ึงอาจ แบง่ เปน็ เครือข่ายภาครฐั ภาคประชาชน ภาคธรุ กจิ เอกชน และภาคองค์การพฒั นาเอกชน โดย เครือขา่ ยต่างๆ ดังกลา่ วม่งุ เนน้ การดำเนินการ ภายใต้กรอบ แนวคดิ หลักการ วตั ถปุ ระสงค์ และ เป้าหมายหลักของหนว่ ยงาน หรือโครงสรา้ งหลกั ของกลมุ่ ผลประโยชน์นั้นๆ
3 วิชาภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลุม่ ท่ี ๔ เรื่องการบริหารงานระบบเครือขา่ ย นายธเนศ ศริ ิกิจ กลา่ วถงึ รูปธรรมเครอื ขา่ ยมี ๓ ประเภท คือ ๑.เครอื ข่ายประเภทแลกเปลี่ยน มคี วามสำคัญกับการศึกษาอย่างมาก สอดคลอ้ งกับการวิจัยนี้ท่ีมุ่งเน้น เครือข่ายทางการศึกษา นั่นคือการแลกเปลี่ยนบุคลากรทางการศึกษา มีประเภทการแลกเปลี่ยนอาจารย์ระหว่าง มหาวิทยาลัย เช่น มหาวิทยาลัยนเรศวร โดยศูนย์ศึกษาพม่า กับ มหาวิทยาลัยภาษา มหาวิทยาลัยย่างกุ้ง ทำการ แลกเปลี่ยนอาจารย์โดยอาจารย์ไทยไปสอนภาษาไทยให้กับนักศึกษาพม่า และพม่ามาสอนภาษาพม่าให้กับ นักศกึ ษาไทย เป็นเหตปุ จั จยั ให้มีมหาวิทยาลัยเครอื ข่ายอาเขยี นเกิดขน้ึ ๒.เครือข่ายประเภทติดต่อสื่อสาร มีความสำคัญไม่แพ้ไปจากข้อแรก มีขอบข่ายใช้ในวงการศึกษาโดย การเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลยั ในต่างประเทศนั้น ต้องมีผู้ประสานงานเป็นเครือข่ายดำเนินการต่อทางเอกสาร การ สมัคร การเขา้ อยู่ การเขา้ เรยี น การมสี ิทธทิ จี่ ะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยน้ัน เช่น มหาวิทยาลัยในประเทศอินเดีย นักศกึ ษาวนุ่ พ่ีจะทำหนา้ ท่ตี ิดตอ่ ประสานงานเดนิ เรอื่ งเอกสารการสมคั รให้กับรนน้อง จนมสี ถานภาพนกั ศึกษา ๓.เครือข่ายประเภทความสัมพันธ์ในการอยู่ร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ประชาชน'เครือข่ายนี้เน้นลงที่ภาค ประชาชน ดามที่พระมหาสุทิตย์ อาภากโร กล่าวว่ากระบวนการทำงานของเครือข่ายภาคประชาชนนั้น สามารถ จำแนกเป็น ๒ ระดบั ใหญๆ่ คอื ระดับแรกเป็นการเพ่ิมความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการปรบั เปลยี่ นเรียนรู้ แสะการ จัดการตัวเองของชุมชนและระดับที่ ๒ เป็นการสร้างโอกาส สร้างศักยภาพของเครือข่ายและขยายกลุ่มองค์กร ชมุ ชน ไปยังเครอื ข่ายอื่นๆ จนถงึ ระดับจงั หวดั และระดับประเทศหรอื ข้ามพรมแคนนอกเขตการปกครองทโ่ี ยงใยกัน อย่างทั่วถึง การรวมตัวของภาคประชาชนเหล่านี้เป็นพลังที่ช่วยเสริมสร้างให้เกิดการพึ่งพาตนเองและการพัฒนา สังคม โดยมีเป้าหมายหลัก คือ.การเรียนรู้ การสืบทอดภูมิปัญญาและการปรับตัวของชุมชน เช่น มูลนิธิการศึกษา เพ่อื โลกสเี ขียว (กศบ.) ชมรมคนรกั ป่า สมาคมจติ อาสาประเทศไทย กลุม่ ชักนา่ น เป็นต้น สหัทยา วิเศษ ได้ทำการวิจัยเรื่อง องค์กรเครือข่ายในจังหวัดพะเยา และกล่าวถึงประเภทของ เครือขา่ ยวา่ ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ๑.เครือข่ายที่แบ่งตามลักษณะการเกิดของเครือข่าย โดยเครือข่ายประเภทนี้อาจแบ่งเป็นเครือข่ายใน ด้านต่าง ๆ คือ ๑.๑ เครือข่ายที่เกิดขึ้นจากการจัดตั้งของภาครัฐ เช่น เครือข่ายกองทุนหมู่บ้านเครือข่าย อาสา พัฒนาชุมชน เป็นต้น ซึ่งเป็นเครือข่ายที่มีกระบวนการทำงานและโครงสร้างที่ค่อนข้าง เป็นทางการ มีระเบียบ กฎเกณฑท์ ี่กำหนดมาจากภาครฐั และได้รบั การสนบั สนนุ จากภาคภาครัฐ ในด้านตา่ ง ๑.๒ เครอื ข่ายที่ เกดิ จากการสนับสนุนขององคก์ ารพัฒนาเอกชน ซง่ึ มกี ารรวมกลุ่มเครือ ข่ายตามประเด็นปัญหาสาธารณะที่เกิดขึ้น เช่น ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ด้านการเงินชุมชน ด้านสุขภาพ ด้าน เกษตรกรรม โดยที่ลกั ษณะของเครือขา่ ย ประเภทน้จี ะเป็นกลุ่มเครือข่ายท่เี กิดขึ้น ตามธรรมชาติมลี ักษณะไม่ เป็น ทางการมีการจัดโครงสร้างที่ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนซึ่งอยู่ในลักษณะ แนวราบ (Horizontal) ไม่มีประธานมีการ เปล่ียนแปลงบทบาทในการนำเพ่อื พัฒนาศกั ยภาพของตน ๑.๓ เครือข่ายที่เกิดข้นึ จากการกอ่ ตวั ของภาคประชาชน หรือเครือข่ายภาคประชาชน โดยเป็นเครือข่ายที่ เกิดจากการเรียนรู้ การสั่งสมประสบการณ์ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและเช่ือมโยง กระบวนการ นน้ั เป็นเครอื ข่าย เช่น เครือข่ายวัฒนธรรมพืน้ บ้าน เครือข่ายปราชญ์ท้องถนิ่ เปน็ ตน้
4 วชิ าภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กล่มุ ที่ ๔ เรอ่ื งการบริหารงานระบบเครือขา่ ย ๒.เครือขา่ ยท่ีแบง่ ตามลักษณะของกจิ กรรม ไดแ้ ก่เครอื ขา่ ยที่ดำเนนิ การโดยยดึ ภารกิจหรือ กิจกรรมที่ เกิดข้ึนในแต่ละชว่ งเวลาเปน็ เกณฑ์ ในการแบง่ เครือข่าย โดยเป็นการรวมตัวกัน เพ่อื ทำกิจกรรม เป็นคร้ังคราวตาม สภาพปัญหาที่ เกดิ ขึน้ เช่น เครือข่ายการเรียนรู้ เครือขา่ ยผู้ไดร้ บั ผลกระทบจากโครงการพัฒนาของภาครฐั เป็นต้น สนธยา พลศรี ได้แบ่งประเภทของเครือข่ายตามหลักเกณฑ์ท่ีนิยมใช้กัน ท่ัวไปได้ ๑๖ ลักษณะดังน้ี คอื ๑.แบ่งตามความซับซ้อนของกลไกการทำงาน โดยพิจาณาจากความซับซ้อนใน การรวมตัว และ ขยายตัวของสมาชิกจากความซับซ้อนน้อยแล้วเพ่ิมความซับซ้อนมากข้ึนเป็นลำดับ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑)เครือข่ายชั้นเดียว เป็นเครือข่ายท่ีเกิดจากการรวมตัวของสมาชิกเพียง ระดับเดียว โครงสร้างไม่มีความซับซ้อน มากนัก ๒)เครอื ขา่ ยหลายช้ัน เปน็ เครอื ข่ายท่ีสมาชิก รวมกันในลักษณะของการขยายเครือข่ายออกไปหลายระดับ หรือหลายช้ัน ซึ่งจะมีความซับซอ้ นท่ี หลายระดับ ๒.การแบง่ ตามสถานภาพและบทบาทของสมาชิกแบ่งออกเปน็ ๒ ประเภท คอื ๑)เครือข่ายแนวนอน (Horizontal Network) เป็นเครือข่ายท่ีสมาชิกมีลักษณะคล้ายคลึงกัน เม่ือรวมเป็นเครือข่ายจะมีตำแหน่ง และหน้าท่ีทัดเทียมกัน ไม่มีใครมีอำนาจเหนือกวา่ ใคร แต่ต่างนำศักยภาพของ ตนมาใช้ในการดำเนินงานของเครือข่ายอย่างเต็มที่ ๒)เครือข่ายแนวต้ัง (Vertical Network) เป็นเครือข่ายท่ี สมาชกิ มีลกั ษณะแตกตา่ งกัน เมื่อรวมเปน็ เครือขา่ ยสมาชิกจะมีตำแหน่ง หนา้ ท่ีแตกต่างกันออกไป เช่นสมาชิกแกน นำ สมาชิกธรรมดา สมาชกิ สมทบ เปน็ ต้น ๓.การแบ่งตามระดับการรวมตัวของสมาชิก เป็นการแบ่งประเภทของเครือข่าย ตามลักษณะการมา รวมกันเป็นเครือข่ายของสมาชิก ซึ่งมีระดับแตกต่างกันออกไปหลายระดับ คือ ๑)เครือข่ายระดับบุคคลเป็น เครือข่ายท่ีสมาชิกประกอบด้วยบุคคลต่างๆ มารวมกันเป็นเครือข่าย เช่น เครือญาติ เพ่ือนบ้าน บุคคลท่ีประกอบ อาชีพเดียวกัน เป็นต้น ๒)เครอื ข่ายระดับกลุ่มหรือ องค์การ เป็นเครือข่ายท่ีสมาชิกเกดิ จากการรวมตัวของกลุ่มหรือ องค์การไม่ใช่บุคคล เช่น ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรจังหวัดสงขลา สหพันธ์ครูสามหวัดชายแดนภาคใต้ เครือข่าย กองทุนหมู่บ้าน ระดับต่างๆ เครือข่ายมหาวิทยาลัยในจังหวัดสงขลา สหภาพแรงงานแห่งประเทศไทย เป็นต้น ๓) เครือข่ายระดับบุคคลกับกลุ่มหรือองค์การ เป็นเครือข่ายท่ีสมาชิกประกอบด้วยบุคคลต่างๆ กับกลุ่ม หรือองค์การ ซ่ึงเป็นคนละระดับกัน ๔)เครือข่ายระดับชุมชนต่างๆ เป็นเครือข่ายท่ีสมาชิก ประกอบด้วย ชุมชนขนาดต่างๆ เชน่ ระดับหมู่บ้าน ระดับตำบล ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับ เมืองกับเมือง ประเทศต่อประเ ทศ เป็นต้น หรือ สมาชิกอาจจะประกอบด้วยชุมชนขนาดเดียวกัน หรือต่างขนาดก็ได้ ๕)เครือข่ายระดับสถาบัน เป็นเครือข่ายที่ สมาชิกประกอบด้วยสถาบันประเภท เดียวกัน เช่น สถาบันครอบครัวกับสถาบันครอบครัว หรือสถาบันต่าง ประเภทกัน เช่น สถาบนั ครอบครัวกับสถาบนั ศาสนา เป็นต้น ๔.การแบ่งตามลักษณะการเป็นศูนย์กลางของเครือข่าย เป็นการแบ่งโดยพิจารณา จากลักษณะ ความสัมพันธร์ ะหวา่ งศูนย์กลางกบั สมาชกิ ว่าเป็นแบบใด ซึ่งแบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท คอื ๑) เครือข่ายรวมศนู ย์เป็น เครอื ข่ายทมี ีศนู ย์กลางเพยี งศนู ย์เดยี ว มีลกั ษณะเป็นแบบการรวม อำนาจไวใ้ นศูนย์กลาง สมาชกิ เป็นเพียงผู้ร่วมใช้ บริการจากศูนยก์ ลางเทา่ นั้น หรอื มศี นู ย์กลางเป็น แมข่ า่ ย ส่วนสมาชกิ เปน็ ลกู ข่ายท่ีต้องดำเนินงานตามแมข่ า่ ย เช่น ครุ ุสภา สันนิบาตสหกรณแ์ ห่ง ประเทศไทย เป็นต้น ๒) เครอื ข่ายกระจายศูนย์เปน็ เครือข่ายที่สมาชิกมีอิสระในการ
5 วชิ าภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กลุม่ ที่ ๔ เรื่องการบริหารงานระบบเครือขา่ ย ดำเนินงาน แต่ จะมีคณะกรรมการร่วมทำหน้าที่เป็นศูนย์กลาง หรือประสานงานเครือข่าย ๓) เครือข่ายผสม เป็น เครือข่ายท่ีมีโครงสร้างท้ังรูปแบบรวมศูนย์และกระจายศูนย์ร่วมกัน กล่าวคือ มีศูนย์กลางทำหน้าท่ี ประสานงาน ระหว่างสมาชิก แต่ให้สมาชิกมีอิสระในการติดต่อประสานงานกันได้โดยตรงอีกด้วย ๔) เครือข่ายเชิงซ้อนเป็น เครือข่ายที่โครงสร้างเปิดโอกาสให้สมาชิกสามารถติดต่อประสานงาน ร่วมมือกันดำเนินงานภายในเครือข่ายได้ โดยตรง โดยมศี ูนย์กลางประสานงานหลายศนู ย์ ๕.การแบ่งตามระดับความสัมพันธ์กับศูนย์กลางเป็นการแบ่งประเภทของเครือข่าย โดยพิจารณาจาก ระดับความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกกับศูนย์กลางของเครือข่าย แบ่งได้ ๓ ประเภท คือ ๑) เครือข่ายใกล้ชิด (Intimate Network) เป็นเครือข่ายท่ีประกอบด้วย สมาชิกที่ใกล้ชิดกับบุคคลที่ เป็นจุดศูนย์กลางมากที่สุด เช่น เครือข่ายญาติพ่ีน้อง เพ่ือนสนิท เป็นต้น ๒) เครือข่ายรอง (Effective Network) เป็นเครือข่ายที่ประกอบด้วย สมาชิกที่บุคคลผู้เป็นศูนย์กลางรู้จักคุ้นเคยน้อยกวา่ กลุ่ม เครือข่ายใกล้ชิด ได้แก่ ญาติพี่น้องลำดับห่างๆ คนท่ีรู้จัก คุ้นเคยทั่วๆไป เป็นต้น ๓) เครือข่ายขยาย (Extended Network) เป็นเครือขา่ ยทีประกอบด้วย สมาชิกซ่ึงบุคคลผู้ เปน็ จุดศนู ยก์ ลางไม่รจู้ ัก โดยตรง แต่สามารถติดต่อสัมพนั ธ์โดยผ่านบุคคลในเครอื ข่ายใกล้ชิดอีกทีหนึ่ง ๖.การแบ่งตามขนาดของเครือข่าย เป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากจำนวนของ สมาชิกท่ีรวมกันเป็น เครือขา่ ย แบง่ ออกได้ ๒ ประเภท คอื ๑) เครือข่ายขนาดใหญ่หรือเครือขา่ ยรวม (Total Network) เป็นเครือข่ายที ประกอบด้วยสมาชิกเป็นจำนวนมาก เช่น เครือข่ายกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองแห่งประเทศไทย ซึงสมาชิก ประกอบด้วยกองทุนหมู่บ้าน และชุมชนเมืองต่างๆ มากกว่า ๗๐,๐๐๐ กองทุน ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่ง ประเทศไทยซ่ึงสมาชิกประกอบด้วย สหกรณ์การเกษตรทุกอำเภอ เป็นต้น ๒) เครือข่ายขนาดเล็กหรือเครือข่าย ย่อย (Sub Network) เป็น เครือข่ายท่ีมีขนาดเล็กกว่าเครือข่ายรวม มารวมกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ข้ึน เช่น กองทุนหมู่บ้าน ของแต่ละหมู่บ้านรวมกันเป็นเครือข่ายกองทุนหมู่บ้านระดับตำบล ผลิตภัณฑ์หน่ึงตำบลหน่ึง ผลิตภณั ฑ์ของแตล่ ะตำบลรวมกันเปน็ เครอื ขา่ ยผลิตภัณฑห์ น่ึงตำบลหน่ึงผลติ ภัณฑ์ระดบั อำเภอ เปน็ ตน้ ๗.การแบ่งตามแหล่งกำเนิดของเครือข่าย เป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากลักษณะ ของท่ีมาหรือแหล่ง เกิดของเครือข่ายเป็นสำคัญ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) เครือข่ายธรรมชาติ เป็นเครือข่ายท่ีเกิดขึ้นเองโดย ธรรมชาติ เน่ืองจากมีปัจจัยบางอย่างสนับสนุน เช่น เครือญาติเดียวกัน นับถือศาสนาเดียวกัน ร่วมถ่ินกำเนิด เดียวกัน ประสบปัญหาเหมือนกัน เป็นต้น ๒) เครือข่ายจัดตั้ง เป็นเครือข่ายที่เกิดจากการจัดตั้งของมนุษย์โดยมี วัตถุประสงค์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เพ่ือป้องกัน แก้ไขปัญหาชุมชน เพื่อพัฒนาอาชีพ เพื่อการเพิ่มพูนรายได้เพ่ือ รวมพลงั ของคนในชมุ ชน เพื่อความ ม่ันคงของชุมชนหรอื จัดต้ังขนึ้ ตามนโยบายของรฐั บาล เป็นต้น ๘.การแบ่งตามลักษณะของสมาชิกท่ีเช่ือมโยงเป็นเครือข่าย เป็นการแบ่งโดย พิจารณาจาก ความ เหมอื น หรือความคล้ายคลึงกันของสมาชกิ และความแตกต่างกนั ของสมาชิก แบง่ ได้ ๒ ประเภท คือ ๑) เครือข่าย ประเภทเดียวกัน เป็นเครือข่ายท่ีสมาชิกประกอบด้วยบุคคล กลุ่ม หรือองค์การที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน เช่น เครือข่ายสินค้าหนึ่งตำบลหน่ึงผลิตภัณฑ์จังหวัดต่างๆ สมาพันธ์ครูแห่งประเทศไทย สมัชชาคนจนภาคอีสาน สันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย ชมรม กำนันผู้ใหญ่บ้านแห่งประเทศไทย เครือข่ายมหาวิทยาลัยราชภัฎภาคใต้ เป็นต้น ๒) เครือข่ายต่าง ประเภทกัน เป็นเครือข่ายที่สมาชิกประกอบด้วยสมาชิกซึ่งมีความแตกต่างกัน แต่มา
6 วิชาภาวะผู้นำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เรอ่ื งการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย รวมกันเปน็ เครือขา่ ยเนื่องจากมีวตั ถปุ ระสงค์ร่วมกัน เชน่ เครือขา่ ยประชารัฐจงั หวัดต่างๆประชาคมจังหวัด ต่างๆ เปน็ ตน้ ๙.การแบ่งตามลักษณะความสัมพันธ์กับรัฐบาล เป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากการ จัดตั้ง และการ สนบั สนนุ จากรัฐบาลเป็นสำคญั แบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ ๑) เครือขา่ ยภาครฐั เปน็ เครือข่ายท่ีเกิดจากการจัดต้ัง หรือการสนับสนุนโดยรัฐบาล เช่น เครือข่ายอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อม เครือข่ายหน่ึ งตำบลหน่ึง ผลิตภัณฑ์ เครือข่ายกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง และ เครือข่ายอื่นๆ ที่จัดตั้งและสนับสนุนโดยกระทรวง กรม และหน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาล ๒) เครือข่ายภาคเอกชน เป็นเครือข่ายที่ประชาชนร่วมกันจัดตั้งข้ึนเพื่อ วัตถปุ ระสงคบ์ างอย่าง โดยไม่อยใู่ ตก้ ารบังคับบัญชาของรัฐบาล เช่น สโมสรออนไลนแ์ หง่ ประเทศไทย สโมสรโรตารี แห่งประเทศไทย สมาคมธนาคารแห่งประเทศไทย สมาคมพ่อค้าจังหวัดต่างๆ ๓) เครือข่ายองค์การพัฒนาเอกชน เป็นเครอื ข่ายทเี่ กดิ จากองค์การพฒั นาเอกชน (Non Government Organization= N.G.O.) ซ่ึงไม่ถูกบงั คับบัญชา โดยรัฐบาล มีวัตถุประสงค์เพ่ือการพัฒนาในด้านต่างๆ โดยไม่ แสวงหากำไร เช่น คณะกรรมการประสานงาน องคก์ ารพัฒนาเอกชนแหง่ ประเทศไทย คณะกรรมการ ประสานงานองคก์ ารพัฒนาเอกชนภาคใตเ้ ป็นตน้ ๑๐.การแบ่งตามลักษณะของงานเป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากลักษณะกิจกรรมการ ดำเนินงานของ เครือข่าย แบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ๑) เครือข่ายพ้ืนที่ (Area Network) เป็นเครือข่าย ที่ดำเนินงานอยู่ในพื้นท่ี เดียวกัน โดยกิจกรรมมีความหลากหลายแตกต่างกันออกไป เช่น อยู่ใน หมู่บ้านเดียวกัน ตำบลเดียวกัน อำเภอ เดียวกัน จังหวัดเดียวกันประเทศเดียวกัน เป็นต้น แต่รวมกัน เป็นเครือข่าย ๒) เครือข่ายกิจกรรม (Issue Network) เป็นเครือข่ายที่ดำเนินงานในกิจกรรมที่เหมือนกัน หรือคล้ายคลึงกัน ซ่ึงอาจจะครอบคลุมพื้นที่หลาย หม่บู ้าน หลายตำบล หลายอำเภอ หลายจงั หวดั หลายประเทศ เป็นต้น ๑๑.การแบ่งตามกฎหมายเป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากการจดทะเบียน หรือการไม่ จดทะเบียน ถูกต้องตามกฎหมายของเครือข่าย แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) เครือข่ายทีไม่เป็นนิติ บุคคล เป็นเครือข่ายที่ รวมตวั กันอยา่ งไม่เป็นทางการ หรอื ยงั ไม่ได้ดำเนินการจดทะเบยี นเป็นนิติ บุคคลตามท่ีกฎหมายกำหนด เชน่ ชมรม สมาคมต่างๆ ท่ียังไม่จดทะเบียนเป็นนิติบุคคล เป็นต้น ๒) เครือข่ายนิติบุคคล เป็นเครือข่ายท่ีดำเนินการจด ทะเบียนเป็นนิติบุคคลถูกต้องตามกฎหมาย และระเบียบของส่วนราชการ เช่น ชุมนุมสหกรณ์เครดิตยูเนียนแห่ง ประเทศไทย สมาคมออนไลน์แหง่ ประเทศไทย หอการคา้ แห่งประเทศไทย เป็นต้น ๑๒.การแบ่งตามรูปแบบความร่วมมือระหว่างสมาชิกเป็นการแบ่งโดยพิจารณาจาก ลักษณะความ ร่วมมือของสมาชิกในการดำเนินงานของเครือข่าย แบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ ๑) เครือข่ายไม่เป็นทางการ (Informal Network) เป็นเครือข่ายที่สมาชิกรวมกันเป็นเครือข่าย โดยไม่ต้องมีการลงนาม ไม่ต้องมีระเบียบ กฎเกณฑ์ท่ีเป็นลายลักษณ์อักษรแต่มารวมกันด้วยความจริงใจ เพ่ือการบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน เช่น เครือข่าย ขององค์การพัฒนาเอกชน เป็นต้น ๒) เครือข่ายเป็นทางการ (Formal Network) เป็นเครือข่ายท่ีสมาชิกรวมกัน ภายใต้พันธสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษร มีการกำหนดโครงสร้าง กฎระเบียบของเครือข่ายบทบาท หน้าที่ของ สมาชกิ ไว้อย่างชัดเจน เช่น สภาทนายความ เครือข่ายอาสาสมัครสาธารณสุข (อ.ส.ม.) เปน็ ต้น
7 วชิ าภาวะผู้นำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เรื่องการบริหารงานระบบเครือข่าย ๑๓.การแบง่ ตามคุณสมบตั ขิ องเครือข่ายเปน็ การแบ่งโดยพจิ ารณาจากคุณลกั ษณะ ของการรวมกันเป็น เครือขา่ ย แบ่งเปน็ ๒ ประเภท คือ ๑) เครอื ขา่ ยเทียม เปน็ เครอื ขา่ ยท่ีขาดคุณสมบัติของการเป็นเครือข่ายแต่เข้าใจ ว่าเป็นเครือข่าย เพราะเป็นเพียงการรวมกันของสมาชิกแต่ไม่ได้ ร่วมกันแบบเครือข่าย ไม่มีวัตถุประสงค์และ เป้าหมายร่วมกันไม่มีความตั้งใจท่ีจะดำเนินกิจกรรม ร่วมกัน ตัวอย่างเช่น สมาชิกของสมาคมศิษย์เก่าบาง สถาบันการศึกษาที่มีการจัดงานชุมนุมศิษย์เก่า ทุกปีสมาชิกในรุ่นเดียวกันต่างมาสังสรรค์กันในลักษณะของการ รับประทานอาหารเท่าน้ัน ไม่ได้มี กิจกรรมอื่นใดอีก เป็นต้น ๒) เครือข่ายแท้เป็นเครือข่ายท่ีสมาชกิ มารวมกันเป็น เครอื ข่ายแลว้ มี ลกั ษณะของการเปน็ เครือขา่ ยท่ีแทจ้ รงิ ๑๔.การแบ่งตามลักษณะของเครือข่ายเป็นการแบ่งโดยพิจารณาลักษณะที่สำคัญของ เครือข่าย แบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ ๑) เครือข่ายการเรียนรู้ เป็นเครือข่ายเพื่อการแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิด ประสบการณ์ ภูมิปัญญา และเทคโนโลยีต่างๆ เช่น ชมรมแพทย์แผนไทยภาคใต้เป็นต้น ๒) เครือข่ายกิจกรรม เป็นเครือข่าย ช่วยเหลือ และร่วมมือทำกิจกรรมในลักษณะเดียวกัน หรือ สนับสนุนส่งเสริมกัน เช่น เครือข่ายวิสาหกิจชุมชน เครือข่ายสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ เป็นต้น ๓) เครือข่ายทรัพยากร เป็นเครือข่ายที่ระดม และจัดการ ทรัพยากรในท้องถิ่น ภาคราชการ เอกชน เข้าไปส่งเสริมสนับสนุนการขาดแคลนทรัพยากรในแต่ละพ้ื นที่ให้ สามารถดำเนินการตอ่ ไป ได้อย่าที่คาดหวัง เช่น เครือขา่ ยประมงชายฝั่งจังหวดั สงขลา เปน็ ตน้ ๑๕.การแบ่งตามวิชาชีพของสมาชิก เป็นการแบ่งโดยพิจารณาจากลักษณะการประกอบอาชีพของ สมาชิกเครือข่ายเป็นสำคัญ ซ่ึงเป็นหลายประเภท เช่น เครือข่ายครู เครือข่าย นักวิชาการ เครือข่ายนักการเมือง เครือข่ายกำนนั ผใู้ หญ่บา้ น เครอื ขา่ ยแพทยแ์ ผนไทย เครือข่าย นกั วิจัย เปน็ ตน้ ๑๖.การแบ่งตามลักษณะกิจกรรมของเครือข่าย เป็นการแบ่งโดยพิจารณาจาก ลักษณะของกิจกรรม หรืองานท่ีดำเนินการ ซึ่งแบ่งออกเป็นหลายประเภท เช่น เครือข่ายสตรี เครือข่ายเด็กและเยาวชน เครือข่ายคน พิการ เครือข่ายผู้สูงอายุ เครือข่ายสิ่งแวดล้อม เครือข่ายภูมิปัญญาชาวบ้าน เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค เครือข่าย สุขภาพ เครอื ขา่ ยสทิ ธิมนษุ ยชน เครือข่ายการ เรียนรรู้ ว่ มกันของชมุ ชน เปน็ ต้น จากการแบ่งประเภททง้ั หมาดท่ีกลา่ วมา สามารถสรุปได้ว่าเครอื ขา่ ยสามารถแบ่งได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งเชิงพื้นที่ลักษณะการทำกิจกรรม ตามโครงสร้างหน้าที่ ตามประเภทการแลกเปลี่ยน การติดต่ อสื่อสาร ความสัมพันธ์การอยู่ร่วมกันกับชุมชนและท้องถิ่น ลักษณะการเกิดเครือข่าย ลักษณะของกิจกรรม ความซับซ้อน ของกลไกการทำงาน สถานภาพและบทบาทของสมาชิก ระดับการอยู่ร่วมกันของสมาชิก การเป็นศูนย์กลางของ เครือข่าย ความสัมพันธ์กับศูนย์กลาง ขนาดของเครือข่าย แหล่งกำเนิดของเครือข่าย สมาชิกที่เชื่อมโยงเป็น เครือข่าย ความสัมพันธ์กับรัฐบาล ลักษณะของงาน ตามกฎหมาย ความร่วมมือระหว่างสมาชิก คุณสมบัติของ เครือขา่ ย วชิ าชีพของสมาชิกและลักษณะกจิ กรรมของเครือข่าย
8 วชิ าภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กลมุ่ ท่ี ๔ เร่ืองการบริหารงานระบบเครือขา่ ย ๓. ลักษณะของเครือข่าย ลักษณะของเครือขา่ ย มีนักวิชาการและนักวจิ ัยได้ใหน้ ยิ าม ไว้ดงั น้ี นฤมล นริ าทร ได้กลา่ วถึงลกั ษณะของเครือขา่ ยไวด้ งั น้ี ๑. เครือข่ายมีลักษณะเป็นโครงสร้างทางความคิด (Cognitive Structure) ไม่ว่าจะพัฒนาไปถึงระดับ ใด บุคคลที่เกี่ยวข้องในองค์การเครือข่ายจะมีกรอบความคิดเกี่ยวกับองค์การเครือข่าย ใกล้เคียงกันในด้าน ความสามารถ ความคาดหวงั ตอ่ เครือขา่ ย ๒. องค์การเครือข่ายไม่มีลำดับขั้น (Hierarchy) การเชื่อมโยงระหว่างองค์การ เครือข่ายเป็นไปใน ลักษณะแนวราบแต่ละองค์การเป็นอิสระต่อกนั แตร่ ะดบั ความเป็นอิสระของแต่ละองค์การอาจไม่เทา่ กนั ๓. องค์การเครือข่ายมีการแบ่งงานกันทำ (Division of Labour) การท่ีองค์การเข้า มาร่วมเป็น เครือข่ายกันเพราะส่วนหน่ึงคาดหวังการพึ่งพาแลกเปล่ียนความสามารถระหว่างกัน ดังนั้นหากองค์การใดไม่ สามารถแสดงความสามารถนำไปสกู่ ารพ่ึงพิงและขน้ึ ต่อกัน ๔. ความเข้มแข็งขององค์การท่ีร่วมกันเป็นเครือข่ายจะนำไปสู่ความเข้มแข็ง โดยรวมของ เครือข่าย ดงั นั้นการพฒั นาของแต่ละองค์การเครือข่ายจงึ เปน็ ส่ิงสำคัญ ๕. องค์การเครือข่ายกำหนดการบริหารจัดการกันเอง (Self-regulating) ในการ ทำงานร่วมร่วมกันใน ลักษณะแนวราบ จำเป็นต้องมีความสมานฉันท์ โดยผ่านกระบวนการทางประชาธิปไตยโดยตรง ซึ่งหมายถึงการ ต่อรอง ตกลงระหว่างองค์การเครือข่ายเก่ียวกับการบริหาร จัดการภายในเพ่ือให้เครือข่ายสามารถบรรลุ วตั ถปุ ระสงค์ได้ ๖. ความสำเร็จขององค์การเครือข่ายมิใช่จะได้มาเพียงช่ัวข้ามคืนแต่ต้องอาศัย ระยะเวลาในการบ่ม เพาะความสัมพันธ์ความศรัทธา และความไว้เนื้อเชื่อใจ ตลอดจนสร้างกรอบ ทางความคิดเพื่ อให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงข้อมูลข่าวสาร การแก้ไขปัญหารว่ มกนั อยา่ งสร้างสรรค์ รวมทั้งการดำเนินการรว่ มกันระหว่างองค์การ เครือขา่ ยอยา่ งต่อเน่ือง เสรี พงศ์พศิ ไดก้ ล่าวถึง ลักษณะเครือขา่ ย ซ่ึงมลี กั ษณะ ๕ ลักษณะ ดงั น้ี ๑. เปน็ องคก์ รคือ องค์กรของบคุ คลทีม่ าร่วมกนั เพื่อกิจการท่ีตนประสงคเ์ ดียวกัน ๒. เปน็ เวที ทำกจิ กรรมทางสังคม โดยการแลกเปลย่ี นเรียนร้รู ่วมกัน ๓. มีการสื่อสารท่ตี อ่ เน่อื ง ไม่ใชแ่ บบเฉพาะกิจ ๔. มสี มาชกิ ทีม่ คี วามรู้สกึ ผกู พันกับโครงสรา้ งทพ่ี ฒั นาขน้ึ มารว่ มกันและรว่ มกันรับผดิ ชอบ ๕. มีสถานท่ี หรือฐานอยู่ทค่ี วามเป็นเจา้ ของร่วมกนั และความมุง่ มน่ั ท่ีจะทำตาม วัตถปุ ระสงค์ที่วางไวร้ ่วมกนั รวมทัง้ เครือ่ งมือหรอื วธิ กี ารในการดำเนินการท่คี ดิ ไวร้ ่วมกัน\" LOMC สนธยา พลศรี ได้สรปุ ลักษณะสำคัญของเครือขา่ ย ไวด้ ังนี้ ๑. มีแกนนำและสมาชิกท่ีเข้มแข็ง สามารถดำเนินงาน และขยายกิจการของ เครือข่ายได้และมี ประสทิ ธิภาพ ๒. มีภูมิปัญญาและองค์ความรู้ของเครือข่าย ที่อาจจะเกิดจากสมาชิก หรือชุมชน ท้องถิ่นท่ีสมาชิกอยู่ อาศัย หรือจากภายนอกชุมชน หรอื จากการบรู ณาการภูมิปัญญาทั้งสองได้อย่าง เหมาะสมกบั เครือข่าย
9 วชิ าภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลุม่ ท่ี ๔ เรอื่ งการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย ๓. มีสัมพันธภาพท่ีดี เครือข่ายมีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสมาชิก และภายนอกทำให้การดำเนินงาน ของเครอื ข่ายราบรื่น เปน็ ที่ยอมรบั และประสบความสำเร็จ ๔. การเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสมาชิก เครือข่ายมีช่องทางให้สมาชิกได้มีเวทีสำหรับ การแลกเปลี่ยน เรยี นรู้ และสามารถดำเนนิ การได้อย่างสะดวก ทำใหส้ มาชิกไดร้ บั ความรู้ และ ประสบการณ์ตลอดเวลา ๕. การทำกิจกรรมและความต่อเน่ือง เครือข่ายสามารถคิด และดำเนินกิจกรรมได้ ด้วยตนเอง สมำ่ เสมอ และตอ่ เน่ือง ไม่ขาดตอน ไมต่ อ้ งพ่ึงพาจากภายนอก ๖. ทรัพยากรและการแบ่งปัน เครือข่ายมีทรัพยากรในการดำเนินงานอย่างเพียงพอ อาจจะโดยการ จัดหาของเครอื ข่ายเอง หรือการแบง่ ปันกับองค์การ และเครือข่ายอื่นๆ ทำให้ เครือข่ายสามารถดำเนินกิจกรรมได้ และมปี ระสทิ ธภิ าพ ๗. การเรียนรู้และนวัตกรรม สมาชิกของเครือข่ายมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการ ต่างๆ สามารถสร้าง นวตั กรรม ทั้งทเี่ ป็นความรู้ และเทคโนโลยใี หม่ๆ มาใช้ประโยชนไ์ ด้ ๘. การส่ือสาร เครือข่ายสามารถส่ือสารระหว่างเครอื ข่ายกับสมาชกิ ได้ง่าย สะดวก และรวดเร็ว ทำให้ สมาชกิ ได้ทราบข้อมลู ขา่ วสารท่ีทนั สมยั และเปน็ ประโยชน์ ๙. การบริหารจัดการท่ีดี เครือข่ายมีการบริหารจัดการท่ีดี เหมาะสมกับการดำเนินงานของเครือข่าย ทำให้เครือขา่ ยดำเนนิ กิจกรรมได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ และเกิดประสิทธิผล ๑๐. ระบบการติดตามและประเมินงาน เครือข่ายมีระบบการติดตาม และประเมิน งานท่ี มี ประสิทธิภาพ มีฐานข้อมูลท่ีเก่ียวกับเครือข่ายอย่างเพียงพอ สามารถให้การสนบั สนุน ช่วยเหลือสมาชิกได้ทันเวลา และเหมาะสม วิชิต สุรัตน์เรืองชัย และคณะ ได้กล่าวถึงลักษณะของเครือขา่ ยไว้ ๒ ลักษณะ คือ ลักษณะโดยทั่วไป และลักษณะร่วมของเครอื ข่าย ๑. ลักษณะทั่วไปของเครือข่าย โดยทั่วไปเครือข่ายทุกประเภทมีลักษณะดังต่อไปนี้ เป็นการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิก เครือข่ายเป็นการถักทอสายใย สัมพันธ์ของสมาชิกเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบโดยมี ลักษณะเหมอื นกบั ตาข่าย หรอื ใยแมงมุม ๒. สมาชกิ ของเครอื ข่ายอาจจะมลี ักษณะบางประการรว่ มกนั เช่น อาศยั อยู่ในชมุ ชนเดยี วกนั หรอื อาณา บริเวณใกล้เคียงกัน ประกอบอาชีพเดียวกันหรือเกี่ยวข้องกัน ใช้ทรัพยากร เช่น สายน้ำ ป่าไม้ ทุ่งหญ้าร่วมกัน ประสบปัญหาหรือวิกฤตการณ์ร่วมกัน เป็นต้น ลักษณะดังกล่าวเป็น ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้เกิดการรวมกันเป็น เครอื ขา่ ยเรว็ ข้นึ ๓. สมาชิกของเครือข่ายอาจจะมีลักษณะบางประการแตกต่างกัน เช่น เพศ อายุระดับการศึกษา ศาสนา เผา่ พนั ธุ์ ฐานะทางเศรษฐกจิ เป็นตน้ ลักษณะเหล่าน้ที ำใหเ้ ครอื ขา่ ยมีความ หลากหลายและมพี ลัง ๔. มีลักษณะหลายมิติ เครือข่ายเป็นระบบความสัมพันธ์ของสมาชิกที่มีหลายลักษณะ เช่น เป็น ความสมั พันธ์ของธรรมชาติโดยทัว่ ไป ทั้งสิ่งทมี่ ีชวี ิตและสง่ิ ทไ่ี มม่ ีชีวิต ความสัมพนั ธเ์ ชิง กระบวนการของการทำงาน ความสมั พันธใ์ นการร่วมมือกันของมนษุ ย์ในทางสังคมวทิ ยาความ สมั พนั ธใ์ นลักษณะของการประสานงาน เป็นพลัง ในการทำงาน เป็นเครือขา่ ยประชาสังคม เป็นเครอื ขา่ ยของการเรยี นรู้ เป็นตน้
10 วิชาภาวะผู้นำทางการศึกษา กล่มุ ท่ี ๔ เรอ่ื งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย ๕. มีลักษณะเป็นการรวมพลังหรือศักยภาพของสมาชิกเข้าด้วยกัน ไม่ใช่พึ่งพิงอิงสมาชิกอื่นๆ เพียง ฝา่ ยเดียว สมาชิกจึงตอ้ งนำศกั ยภาพของตนออกมาใช้อยา่ งเต็มที่ พลงั ของ เครือขา่ ยเปน็ แบบทวคี ูณหรอื แบบก้าว กระโดด ๖. สมาชิกมารวมกันด้วยความสมัครใจไม่ใช่เพราะถูกบีบบงั คับ เช่น เนื่องจากไม่สามารถแก้ไขปัญหา ไดด้ ้วยตนเอง มองเห็นประโยชนท์ ่จี ะได้รับจากการเขา้ รว่ มเปน็ เครือข่าย เปน็ ต้น ๗. ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสมาชิกเป็นแบบกลั ยาณมติ ร คอื มคี วามสมานฉันท์ สามัคคี มีความเอ้ืออาทร สนับสนนุ ช่วยเหลอื เกอ้ื กูลกนั ไม่ขัดแยง้ ไม่ชงิ ดชี ิงเด่นกัน ๘. สมาชกิ มคี วามสมั พันธ์กันในชว่ งระยะเวลาหน่ึง จนมคี วามรสู้ ึกว่าต่างเปน็ ส่วน ประกอบของกันและ กัน แม้ว่าบางเครือข่ายจะร่วมกิจกรรมกันนาน ๆ ครั้งก็ตาม แต่ยังคงมีสายใย สัมพันธ์เชื่อมโยงกันและพร้อมที่จะ ร่วมกจิ กรรมอยเู่ สมอ ๙. สมาชิกมีการดำเนินกิจกรรมร่วมกันกิจกรรมของเครือข่ายอาจจะมีกิจกรรมเดียว หรือหลาย กจิ กรรมก็ได้ เชน่ การเยย่ี มเยยี นกนั การประชุมสัมมนาร่วมกัน การแลกเปล่ยี นความรู้ และประสบการณ์กัน การ จัดเวลาสรุปบทเรียนร่วมกัน การปฏิบัติการเพื่อแก้ไขปัญหาบางอย่าง ร่วมกัน การสนับสนุนช่วยเหลือกันในด้าน ต่างๆ เป็นต้น กิจกรรมเหล่านี้เป็นกิจกรรมที่สมาชิกร่วมกัน ดำเนินการเป็นครั้งคราวหรืออย่างสม่ำเสมอและ ตอ่ เนื่องก็ได้ ๑๐. มีความสัมพันธ์เท่าเทียมกัน สมาชิกของเครือข่ายมีโครงสร้างความสัมพันธ์ที่เสมอภาคกันแบบ แนวราบ คือไม่มีใครบังคับบัญชาแต่มีลักษณะเป็นหุ้นส่วนกัน มีอิสระในการดำเนิน กิจกรรมของตนเองไม่รู้สึกว่า ตอ้ งสญู เสยี อสิ ระของตนเองไป ๑๑. การมีพันธะสัญญาร่วมกัน เครือข่ายมีลักษณะเป็นข้อตกลงระหว่างสมาชิกที่จะดำเนินกิจกรรม ตา่ ง ๆ ร่วมกัน ซึง่ ขอ้ ตกลงร่วมกนั นเี้ ปน็ แนวทางในการดำเนินงานของเครอื ขา่ ย ๑๒. การติดต่อสื่อสารระหว่างสมาชิก เครือข่ายมีลักษณะเป็นการติดต่อสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างสมาชิก เพราะการตดิ ต่อสือ่ สารระหว่างกนั เป็นการเชอื่ มโยงความสมั พันธแ์ บบ หนึ่งของเครือขา่ ยนัน่ เอง ๑๓. การบูรณาการเป็นการร่วมกันของสมาชิกในด้านต่างๆ คือ การกำหนดวัตถุประสงค์เป้าหมาย แผนงานและโครงการ กิจกรรม ทรัพยากร การบริหารจัดการ ผลประโยชน์ เป็นต้น อันเป็นการรวมระบบย่อย ตา่ งๆ เข้าเปน็ ระบบใหมท่ ม่ี ีคุณภาพ มพี ลงั หรือศักยภาพท่ีมากกว่าเดมิ ๑๔. เครือข่ายมีหลายระดบั ตามจำนวนของสมาชิก เช่น ระดับบุคคล ระดับกลุ่ม ระดับองค์กร ระดับ สถาบนั ระดบั ชมุ ชน ระดบั จังหวดั ระดบั ภูมิภาค ระดับประเทศ ระดบั ทวีป เป็นตน้ ๑๕. หากเครือข่ายเป็นเครือข่ายระดับกลุ่มกับกลุ่มหรือองค์กรกับองค์กรขึ้นไป สมาชิกอาจจะเป็น อสิ ระตอ่ กันมารวมกันเป็นบางเรื่องบางส่วนเท่านั้น เมื่อดำเนินกจิ กรรมประสบความสำเรจ็ แลว้ กอ็ าจจะสลายตัวก็ ได้ แล้วมารวมตัวกันอีกครั้งเมื่อจะทำกิจกรรมครั้งใหม่ ส่วนการบริหาร เครือข่าย อาจใช้การประชุมร่วมกันเป็น ครั้งคราว หรือจัดตั้งเป็นองค์กรร่วมแก้ไขโดยขึ้นอยู่กับ ลักษณะของเครือข่าย ความจำเป็นในการดำเนินกิจกรรม และความเห็นพ้องระหวา่ งสมาชิกของ เครือขา่ ย ๑๖. เครือข่ายบางเครอื ขา่ ยอาจจะดำรงอยูไ่ ด้นาน แต่บางเครือขา่ ยอาจจะล่มสลายได้ง่าย ทง้ั น้ีข้นึ อยู่ กบั ประสทิ ธิภาพของสมาชิก การบริหารจดั การและการพัฒนาเครอื ขา่ ยเปน็ สำคัญ
11 วชิ าภาวะผู้นำทางการศึกษา กลมุ่ ท่ี ๔ เร่อื งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย ๑๗. มีลกั ษณะเปน็ พลวัต เครอื ขา่ ยมีระบบการทำงานท่ีเคล่ือนไหวอย่ตู ลอดเวลาไม่หยุดนิ่ง เหมือนกับ ระบบหายใจของสิ่งมีชีวิตที่หยุดเคลื่อนไหวที่ต้องล้มตายไปจากโลก ลักษณะ ประการหนึ่งของเครือข่ายจึงได้แก่ ระบบการขับเคลอื่ นการดำเนนิ งานของสมาชกิ และการหาสมาชิก ใหม่โดยไมห่ ยุดยง้ั ๑๘. เป็นการเรียนรู้ร่วมกัน เครือข่ายมีลักษณะของการแลกเปลี่ยนความรู้และ ประสบการณ์ระหว่าง สมาชกิ ด้วยกันหรือระหว่างสมาชิกกับคนอื่น ๆ เช่น ผรู้ ู้ ผู้เชี่ยวชาญท่อี ยนู่ อก เครอื ข่ายนักวชิ าการสาขาต่างๆ การ เรียนรู้ร่วมกันเพื่อสรุปบทเรียน การปรับปรุงข้อผิดพลาดที่ผ่านมา การจัดทำแผนและโครงการ เป็นต้น ซึ่งทำให้ สมาชิกดำเนินกิจกรรมของเครอื ข่ายได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ สรุปได้วา่ เครือข่ายจะมลี ักษณะที่แตกตา่ งกนั ออกไปท้ังนีข้ ้ึนอยู่กบั ความสัมพนั ธ์ หรอื วตั ถุประสงค์ของ การรวมกลุ่มหรือจัดตั้งกลุ่มเครือข่าย ว่าจะเป็นลักษณะเครือข่ายแบบใดแต่ความสำเร็จของกลุ่มเครือข่ายทุก รูปแบบจะข้นึ อยูท่ ส่ี มาชิกว่าจะมีความร่วมมือกนั มากน้อยเพยี งใด ๔. รปู แบบของเครอื ขา่ ย รปู แบบของเครือขา่ ยสามารถแสดงให้เหน็ ถงึ การเชอ่ื มโยงสัมพันธก์ นั ในการตดิ ต่อส่ือสารทัง้ นีเ้ พื่อให้ได้ เหน็ ถงึ ลักษณะของการตดิ ต่อสัมพนั ธข์ องคน กล่มุ คน องค์กร เพือ่ การประกอบการตัดสินใจเข้ารว่ มเครือขา่ ยหรือ การติดต่อส่อื สารกันอย่างมีประสิทธภิ าพและเกิดประสิทธิผล ซง่ึ มนี กั วิชาการหลายทา่ น ได้กลา่ วไวด้ งั น้ี ขนิฏฐา กาญจนรังสีนนท์ ได้อธิบายว่า เครือข่ายมีรูปแบบมากมายและมีบางคนพยายามจำแนกโดย ใชค้ ุณลักษณะของสมาชกิ พ้ืนทท่ี างภูมศิ าสตรก์ ิจกรรมหลกั วัตถปุ ระสงค์และโครงสร้างของเครอื ขา่ ย เปน็ เกณฑ์ ๑. คุณลักษณะของสมาชิกเครือข่ายอาจจำแนกตามประเภทของสมาชิก เช่น ชาวนา นักวิจัยหรือ วิศวกร บางคนรวมคนที่ทำงานในระดับเดียวกันเป็นประเภทเดียวกันหรือเน้นเครือข่ายแนวราบ เช่น เครือข่าย ชาวนา (ประกอบด้วยคนที่เป็นชาวนาเท่านั้น) บางคนก็รวมคนที่ทำงานสาขาเดียวกันแต่ต่างระดับกันเข้าด้วยกัน หรอื เน้นเครือขา่ ยแนวตั้ง เชน่ ชาวนา นักวจิ ัยดา้ นการเกษตร หนว่ ยงานกำหนดนโยบายการเกษตร และหนว่ ยงาน ระหว่างประเทศท่ีทำงานเกี่ยวข้องกับการเกษตร เป็นต้น บางเครือข่ายมสี มาชิกแบบบุคคล แตบ่ างแห่งก็มีสมาชิก เปน็ องค์กรหรือสถาบนั และบางแห่งมีสมาชิกแบบบุคคลและองค์กรรว่ มกนั ๒. พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ เป็นการจำแนกเครือข่ายที่ดำเนินงานในพ้ืนที่หนึ่งบางแห่งเป็นเครือข่าย ระดบั ประเทศ เครือขา่ ยระดบั ภมู ิภาค เครอื ข่ายระดบั ชมุ ชนล่มุ นำ้ เครอื ขายเกษตรกรภาคเหนือ เปน็ ต้น หรอื อาจแบง่ ตามเขตทีม่ ีระบบนิเวศทางการเกษตรเหมอื นกัน เช่น เครือขายข้อมลข่าวสารในพนื้ ท่ีแห้งแล้ง (Arid Lands Information Network) ๓. วัตถุประสงค์ของเครือข่าย เครือข่ายจำนวนมากตั้งขึ้นเพื่อการแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารระหว่าง สมาชิกและการแบ่งปันข้อมูลข่าวสารเป็นวัตถุประสงค์หลักของเครือข่ายบางเครือข่ายตั้งขึ้นเพื่อความร่วมมือใน การวิจัยศึกษา ฝึกอบรมหรือตลาด บางเครือข่ายมุ่งเพื่อการแลกเปลี่ยน เครื่องมือในการประกอบอาชีพ บาง เครือข่ายม่งเป็นกลุ่มพลังกระตุ้นความ ตระหนักของสังคม และเข้าไปมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐเพ่ือ พิทักษ์ผลประโยชน์ของสมาชิก เครือข่ายหลายแห่ง มีวัตถุประสงค์หลายด้าน ทั้งแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ท้ัง รว่ มมอื กันในการจัดการฝกึ อบรมและวจิ ยั รวมทัง้ ผลกั ดนั นโยบาย
12 วชิ าภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กล่มุ ที่ ๔ เร่อื งการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย รุ่งโรจน์ เพชระบูรณิน กล่าวว่ารูปแบบเครือข่ายพิจารณาจากลกั ษณะความ สัมพันธ์ของสมาชิกและ แกนกลางประสานเครอื ข่ายมี ๓ รปู แบบ คอื ๑. รูปแบบรวมศูนย์เป็น เครือข่ายท่ีองค์การ หรือกลุ่มบุคคลท่ีเป็นสมาชิกมีความร่วมมือประสานงาน และมคี วามสัมพันธก์ บั กลมุ่ แกนสูง ความเป็นเครอื ขา่ ยกนั ระหวา่ งสมาชิกมีน้อยมาก หรอื ไมม่ ีเลย ๒. รูปแบบกระจาย เป็น เครือข่ายองค์การแกนหรือกลุ่มแกนกลางประสาน ตลอดจนสมาชิกการ ติดต่อสื่อสาร ประสานงาน ร่วมมือซึ่งกันและกัน กระจายการประสานงานเชื่อประสานสัมพันธ์กันในระหว่าง สมาชิกดว้ ยกัน และกบั กลมุ่ แกน ซึ่งกล่มุ แกนจะคอยทำหนา้ ท่ีเอ้ืออำนวยความสะดวกตา่ งๆ ให้แก่สมาชิก ๓. รปู แบบกระจายเชิงซ้อน เปน็ เครือข่ายกระจายที่สมาชิกเครอื ข่าย สามารถติดต่อประสาน งานร่วมมือ ซ่ึงกันและกัน และขยายการติดต่อไปยังกลุ่มหรือองค์การอื่น ๆ ซ่ึงกลุ่มหรือองค์การต่างๆ เหล่าน้ัน เป็นเครือขา่ ยซ่ึงกนั และกันมลี ักษณะเปน็ เครือขา่ ยเชิงซ้อน โดยกล่มุ แกนหรือองค์การแกนจะมี ผ้ปู ระสานงานหรือ เลขานุการเครอื ข่ายหลายคน อรรณพ พงษ์วาท ได้เสนอแนะรูปแบบเครือข่ายความร่วมมือ ในการบริหารจัดการสถานศึกษา ไว้ ๖ รูปแบบ ไดแ้ ก่ ๑. รปู แบบสถานศกึ ษาข้ันพน้ื ฐานของรัฐรวมตัวกันเปน็ เครือขา่ ย ๒. การรวมตัวกันเป็นเครือข่ายของสถานศึกษาข้ันพื้นฐานของรัฐแหง่ ใดแห่งหนึ่ง หรือ หลายๆแห่งกบั ภาคส่วนอ่นื ไดแ้ ก่ บคุ คล ครอบครัว องค์กรชมุ ชนองคก์ รเอกชน องค์กรวชิ าชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสงั คมอืน่ ท่ีจัดการศกึ ษาในรปู แบบที่หลากหลาย ๓. รูปแบบเครือข่ายสถานศึกษาขั้นพื้นฐานของรัฐกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ได้แก่ องค์การ บริหารส่วนจังหวดั เทศบาล องคก์ ารบรหิ ารสว่ นตำบล หรอื องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รปู แบบอนื่ ๆ ๔. รูปแบบเครือขา่ ยสถานศกึ ษาขั้นพ้ืนฐานของรัฐกับสถานศึกษาข้ันพื้นฐานของเอกชน ๕. รปู แบบเครอื ขา่ ยสถานศึกษาข้นั พื้นฐานของรฐั กบั เอกชนและภาคส่วนอ่นื ๆ ทร่ี ะบุไว้ ในรปู แบบที่ ๒ และ ๓ ๖. รูปแบบเครือข่ายที่อาจเกิดจากการริเริ่มระหว่างสถานศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งของรัฐและ ของเอกชน หรอื ระหว่างสถานศึกษาข้ันพื้นฐานกับองค์กรปกครองสว่ นท้องถิน่ และภาคสว่ นอ่นื ๆ ในเขตพน้ื ที่การศึกษาโดยไม่มี การช้ีนำกำกับหรือครอบงำบงการจากหน่วยงานหรือองค์กร ทางการศึกษาใด ๆ และยังให้ข้อเสนอแนะไว้ว่า รูปแบบของเครือข่ายโรงเรียนควรตั้งอยู่ บนหลักการ ความสมัครใจ ความเสมอภาค การพึ่งพิงพึ่งพาอาศัยกัน ความสมั พนั ธ์ ทง้ั แนวราบและแนวนอนและตอ้ งลดความเปน็ ราชการลง (Less bureaucratic model) บนพน้ื ฐาน ของการไมร่ วมศูนย์ ทีจ่ ะเป็นอปุ สรรคในการก กอ่ ตวั และการดำรงอยตู่ ลอดจนการดำเนินงานของเครอื ข่าย สรุปได้ว่า รปู แบบของเครอื ขา่ ยจะมอี ยมู่ ากมาย ทั้งน้ีขนึ้ อยู่กบั วัตถุประสงค์การจดั ต้งั ซงึ่ อาจจะจำแนก ตามประเภทของสมาชิก พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ วัตถุประสงค์ของเครือข่าย การรวมศูนย์เครือข่าย การกระจาย เครือข่าย หรอื จะเป็นรปู แบบของเครอื ข่ายสถานศึกษา ของทง้ั ภาครฐั และเอกชน
13 วิชาภาวะผูน้ ำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เร่อื งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย ๕. กระบวนการสร้างเครือข่าย กระบวนการสร้างเครือข่ายเป็นขั้นตอนสำคัญที่เราจะต้องมีการวางแผนการก่อตัวเครือข่ายให้มีความ ครอบคลุมและทุกคนสามารถเข้าถึงเน้นการมีส่วนรว่ มของสมาชิก หากมีกระบวนการสร้างเครือข่ายที่ดีก็จะทำให้ กลุ่มเครือข่ายมีความม่ันคงและสามารถท่ีจะเป็นช่องทางในการแลกเปล่ียนเรียนรูซ้ ึ่งกันและกันไดเ้ ป็นอย่างดี ซึ่งมี นกั วชิ าการหลายทา่ นได้กล่าวถงึ กระบวนการสร้างเครอื ข่ายไวด้ ังนี้ เกรยี งศกั ดิ์ เจริญวงศศ์ กั ด์ิ กลา่ วถงึ กระบวนการสรา้ งเครือขา่ ยออกเป็น ๔ ขั้นตอน คอื ๑. ขั้นตอนการก่อรูปเครือข่าย (NetworkForming) ไว้ว่าการก่อตัวของเครือข่ายน้ันอาจเกิดได้จากสอง แนวทางใหญๆ่ แนวทางแรกคือเครือขา่ ยท่ีเกดิ จากรัฐเข้าไปริเร่ิม (State Initiative) และเครือข่ายท่ีประชาชนเป็น แกนนำจัดตั้ง (Citizen Initiative) และในการรวมตัวของเครือข่ายที่สองนั้นหน่วยงานภาครัฐก็อาจเข้าไปช่วยใน ฐานะของผู้สนับสนุน (Supporter) และผู้อำนวยความสะดวก(Facilitator) ให้การจัดตั้งเครือข่ายทำได้ง่ายขึ้น ซ่ึง กระบวนการกอ่ ตัวของเครอื ขา่ ยมีดังน้ี ๑.๑ การสร้างเครือข่ายตะหนักในปัญหาและสำนึกในการรวมตัว เกิดจากฉันทานุมติของทุก ภาคีที่เกี่ยวข้อง อันจะนำมาซ่ึงความร่วมมือร่วมใจ และมีความจำเป็นในการสร้างกระแสให้เป็นกระแสสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระแสท่ีลงไปสู่ประชาชนในระดับรากหญ้าใช้กลยุทธ์ในการประชาสัมพันธ์ เช่น การใช้สื่อมวล ชล การจัดรายการโทรทัศน์หรือวิทยุการทำจดหมายข่าวการเปิดเวทีระดมความคิดเห็น การให้หน่วยงานท่ี เก่ียวข้องดำเนินการจัดสัมมนาเป็นต้น เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างภาพลักษณ์สื่อสารให้สังคมได้รับรู้โดยการ กำหนดกล่มุ เปา้ หมายให้ชดั เจน ๑.๒. การสร้างจุดร่วมของผลประโยชน์เป็นการหาประเด็น (issues) ที่จะเป็น ศูนย์กลางที่จะทำให้เกิดการรวมตัวกัน และการเข้าหากันอย่างเป็นกลุ่มเป็นก้อน ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งประเด็นที่เป็น รูปธรรมและนามธรรม ๑.๓. การแสวงหาแกนนำทด่ี ีของเครือข่าย โดยการหาผู้เล่นหลัก (Key Actors) ใน แต่ละภาคี และกลุ่มเป้าหมาย ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมและมีอิทธิพลเพียงพอในการผลัก ดันด้านต่างๆ เช่น ด้านโยบาย ด้าน การสรา้ งกระแส ดา้ นข้อมลู ขา่ วสารเป็นต้น ๑.๔. การสรา้ งแนวรว่ มสมาชิกของเครอื ขา่ ย เปน็ การสรา้ งแนวร่วมของสมาชิกเครอื ข่ายให้กว้าง ขวงและการดึงปัจเจกบุคคลกลุ่ม องค์การที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าเป็นสมาชิกเครือข่ายในลักษณะของ “ดาวกระจาย”โดยเน้นที่แกนนำของกลุ่ม หรือองค์การที่มีการรวมตัวหรือเข้มแข็งอยู่ก่อนแล้วจะทำให้การก่อตั้ง เครอื ขา่ ยเปน็ ไปได้เรว็ ข้นึ ๒. การจัดระบบบริหารเครือข่าย (Network Organizing) เป็นการจัดระบบเครือขา่ ยท่จี ะช่วยให้ เครือข่ายสามารถดำเนนิ งานไปได้อยา่ งราบรืน่ โดยมีองค์ประกอบดังนี้ ๒.๑.การจัดผังกลุ่มเครือข่าย (Mapping) หน่วยงานที่รับผิดชอบในการรวบรวม ข้อมูลของ เครือข่ายทุกกลุ่มในประเทศโดยเอาข้อมูลของแต่ละเครือข่ายมาทำการจัดแผนที่หรือแผนผังของเครือข่าย (Network Map) ในภาพรวมระดับประเทศ จัดผังตามความสนใจและวัตถปุ ระสงค์ของเครือข่ายเพือ่ ที่จะได้ทราบ ว่ามีเครือข่ายกี่กลุ่มที่มีเป้าหมายการดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน การกระจายตัวของเครือข่ายตามเป้าหมาย การทำงานเป็นอย่างไร เพ่ือที่จะทราบเปา้ หมายที่ยงั ขาดเครือข่ายเข้าไปช่วยจัดการ ด้วยเหตนุ ี้จึงควรท่ีจะมีแผนท่ี
14 วิชาภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กลุ่มที่ ๔ เรอื่ งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย เครอื ขา่ ยทีช่ ัดเจนและทันสมัย จะช่วยสนับสนุนการรวมตวั เพื่อเครือข่ายแต่ต้องคำนึงถึงการยินยอมในการเข้าร่วม เครือข่ายรวมทง้ั ค่านิยม ความเชื่อและวฒั นธรรมของแตล่ ะพ้ืนทีท่ ีแ่ ตกตา่ งกนั ๒.๒. การจัดบทบาทหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย (Role and Responsibility) หลักการ สำคัญ ในการจัดแบ่งบทบาทหน้าที่คือ การนำเอาความสนใจ ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของสมาชิกแต่ละ คนมาเสริมกัน การมอบหมายหน้าที่ความรับผิดชอบควรเป็นไปในลักษณะทีเอ้ือให้สมาชิกเข้าร่วมได้แม้มีเวลา จำกดั ซง่ึ ผู้ทบี่ ทบาทในการกำหนดหนา้ ทคี่ วามรบั ผดิ ชอบคือผู้นำนั่นเอง ๒.๓. การจัดระบบติดต่อสื่อสาร (Communication System) เปรียบเสมือนกลไกที่เชื่อม สมาชิกของเครือข่ายเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นช่องทางในการแลกเปลีย่ น เรียนรู้และแพรก่ ระจายความคิด ซ่ึงมีผล ตอ่ การรกั ษา และขยายตวั ของเครือข่าย ซึ่งแนวทางการสรา้ งระบบการติดต่อส่ือสารสามารถกระทำได้ท้ังแบบเป็น ทางการเช่น การจัดเวทีประชาคม การประชุม การสัมมนา เป็นต้นและช่องทางการสื่อสารที่ไม่เป็นทางการ เช่น การพบปะสังสรรค์ระหวา่ งบุคคลหรือกลมุ่ บุคคลในโอกาสสำคญั ตา่ งๆ จดหมายขา่ วระหวา่ งสมาชกิ เป็นตน้ ๒.๔. การจัดระบบเรียนรู้ร่วมกัน (Learning System) เครือข่ายจะพัฒนาให้กา้ วหน้าไปได้มาก น้อยเพียงใดข้ึนอยู่กับระดับการเรียนรู้ความสามารถของสมาชิกเครือข่ายด้วยการทำให้เครือข่ายแข็งแรงจึงต้อง อาศัยระบบการพัฒนาสมาชิกของเครือข่ายอย่างต่อเนื่องผ่านระบบการเรียนรู้ร่วมกันทั้ งในรูปแบบของการ ฝึกอบรม การศึกษาดูงาน การสัมมนา และการเรียนรู้จากการปฏิบัติร่วมกัน (Interactive Action Learning) ซ่ึง กระบวนการเรียนรู้ร่วมกันจะดำ เนินไปก็ต่อเม่ือสมาชิกในเครือข่ายต้องมีใจเปิดกว้างยินดีรับฟังความคิดเห็นท่ี แตกตา่ ง สมาชกิ แต่ละคนใหค้ วามสนใจและเคารพต่อความคิดเหน็ ของผอู้ ื่น ต่างคนตา่ งประนปี ระนอมภายใต้ความ คดิ เห็นท่แี ตกตา่ งมิใช่ยึดม่ัน ในความคิดของตนเอง ๒.๕. การจัดระบบสารสนเทศ (Information System) ความมีหน่วยงานเป็นแกนกลางทำ หน้าที่จัดระบบฐานข้อมูล ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ เป้าหมายรูปแบบ วิธีการความสำเร็จปัญหาและอุปสรรคและ ข้อมูลอื่นที่จำเป็น ระบบสารสนเทศควรยึดหลักการใช้งานได้ง่าย (User Friendly) เป็นข้อมูลที่ทุกคนสามารถ เขา้ ถึงและใชง้ านได้ (Accessible) และเผยแพรไ่ ดก้ ระจายออกไปอย่างกวา้ งขวาง ซ่ึงเครือข่ายฐานข้อมูลท่ีดจี ะช่วย เพื่อประสิทธภิ าพของการแลกเปลีย่ นขอ้ มลู และเรียนร้รู ะหวา่ งกัน ๓. การใช้ประโยชนเ์ ครอื ขา่ ย(Network Utilizing) ๓.๑. การใช้ครือขา่ ยเพื่อเป็นเวทีกลางประสานงานร่วมกัน เปน็ ชอ่ งทางในการประสานความ เข้าใจระหว่างกันในด้านวัตถุประสงค์ขอบข่าย แผนการทำงาน วิธีการทำงานตลอดจนแนวทางปฏิบัติให้ไปใน ทิศทางเดียวกนั ๓.๒. การใช้ครือข่ายเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนสารสนเทศและความรู้ยิ่ง เครือข่ายมีอัตราการ หมุนเวียนแลกเปล่ียน (Velocityof Exchange) สารสนเทศและความรูร้ ะหวา่ งสมาชิกมากขึ้นเท่าใด เครือข่ายน้ัน ก็จะยิ่งเกิดการเรียนรู้ระหว่างกันมากขึ้นเท่าน้ัน เพราะการแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือบทเรียนใหม่ๆ ที่ค้นพบ ข้ึนมาจะช่วยต่อยอดความคิด และความรู้ระหว่างสมาชิกเครือข่ายอีกทั้งยังช่วยประสานงานให้รู้ว่าปัจจุบัน ใคร สนใจเรอื่ งเดยี วกัน บา้ งซงึ่ อัตราการหมุนเวียนของการแลกเปล่ียนข้ึนอยู่กับความสะดวกของการพบปะกันระหว่าง สมาชิกความสามารถในการเขา้ ถึงสารสนเทศและประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศของเครอื ข่าย ดังนั้นเครือข่าย พึงกระทำให้สมาชิกพบปะกัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และทำให้สมาชิกเข้าถึงสารสนเทศได้ง่ายที่สุด เช่นเดยี วกัน
15 วชิ าภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เรอ่ื งการบริหารงานระบบเครือข่าย ๓.๓. การใช้เครอื ขา่ ยเพื่อเปน็ เวทีแลกเปล่ยี นและระดมทรัพยากรควรมีหน่วยงานกลาง เข้ามาทำหน้าที่สนับสนุนเงินทุนเพ่ิมจากส่วนที่เครือข่ายได้ระดมจากสมาชิกในกลุ่มอยู่แล้วโดยอาจดำเนินการ ประสานงานกบั องค์การระหว่างประเทศ หรอื มูลนธิ ใิ นตา่ งประเทศท่ีมจี ดุ หมายเหมือนกนั กับเครือข่ายน้ัน หรืออาจ ทำหน้าทเ่ี ป็นศูนย์กลางข้อ มลู ขา่ วสารเร่อื งแหลง่ เงินทนุ วสั ดุอปุ กรณ์และบุคลากรเพ่ือให้เครือข่ายเขา้ มาสบื ค้น ได้ โดยมหี น่วยงานกลางดำเนินการประสานความรว่ มมือกับหนว่ ยงานต่างประเทศแทนเครือข่ายก็ได้นอกจากน้ีก็อาจ ใช้วิธีสร้างระบบรับรองเครือข่ายเช่น การออกเอกสารรบั รองเครือข่าย เพ่ือให้เครือข่ายสามารถนำไปใช้ขอทุนจาก ธุรกิจโดยตรงได้ ๓.๔. การใชเ้ ครอื ขา่ ยเพื่อเปน็ เวทีสร้างสรรคแ์ ละพฒั นา ความรูใ้ หมๆ่ ควรให้สมาชิกของ แต่ละเครือข่ายมีทักษะในการศึกษาวิจยั ด้วยตนเอง ในกระบวนการที่เปน็ วิทยาศาสตร์ (Scientific Thinking) ซ่ึง องคค์ วามรใู้ หมๆ่ จะเกดิ จากเครือขา่ ย หากมกี ารแลกเปล่ียนความรู้และลงมือศึกษาค้นควา้ ร่วมกันระหว่างสมาชิก และลกั ษณะองค์ความรู้ทไ่ี ด้รับจะสอดคล้องกับบรบิ ทแวดลอ้ มของพ้ืนท่ีของตนเอง ๓.๕. การใชเ้ ครอื ข่ายเพ่ือเปน็ เวทสี ร้างกระแสผลัก ดนั ประเด็นใหมๆ่ เครอื ข่าย สามารถ ที่เป็นผู้ปลุกกระแสบางเรื่อง เพ่ือปลุกให้สังคมเกิดความตื่นตัวในเรื่องนั้นๆ และอาจรวมถึงการขยายผลออกไปใน วงกว้างขึ้นด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระดับความกว้างและความเข็มแข็งของเครือข่าย รวมไปถึงความสามารถของ เครือข่ายในการครอบคลุมกลุ่มคนหลักๆ ของสังคมความต่อเนื่องของกิจกรรม และความเป็นเอกภาพในการ ร่วมมือ ๔. การธำรงรักษาเครือขา่ ย (Network Maintaining) ๔.๑. การจัดกจิ กรรมร่วมทด่ี ำเนินการอย่างตอ่ เน่อื งการจะรกั ษาเครือข่ายสามารถกระทำได้ด้วย กำหนดโครงสร้างของกิจกรรมอย่างชัดเจน ทั้งในแง่ของเวลา ความถี่และการจัดกิจกรรมที่มีความน่าสนใจเพียง พอที่จะดึงดูดสมาชิกให้เข้าร่วม โครงสร้างของกิจกรรมดังกล่าวอาจมิได้เป็นกิจกรรมเดียวสำหรับสมาชิกทุกคน โดยรวม แตน่ ่าจะพจิ ารณาถงึ ความตอ้ งการเฉพาะของสมาชกิ ในระดับย่อยลงไปแตล่ ะคนแตล่ ะกล่มุ ย่อยด้วย ๔.๒. การรักษาสมั พนั ธภาพทดี่ รี ะหว่างสมาชิกเครอื ข่าย สัมพนั ธ์ที่ดเี ปน็ องคป์ ระกอบ สำคัญยิ่งในการช่วยรักษาเครือข่ายให้ยั่งยืนต่อไป ซ่ึงควรมีการจัดกิจกรรมบางอย่างเพื่อการกระชับความสัมพันธ์ ระหว่างสมาชิกโดยเฉพาะและควรจัดอย่างสม่ำเสมอและเมื่อใดท่ีเกิดความขัดแย้งหรือความไม่เข้าใจกัน ที่อาจ เกิดขึ้นได้ก็ต้องรับแก้ไขและดำเนินการไกล่เกล่ียให้เกิดความเข้าใจกันใหม่และควรมีมาตรการปอ้ งกัน ปัญหาก่อน เกิดความขดั แยง้ ระหว่างกนั ๔.๓. การดำเนินกลไกสรา้ งระบบจงู ใจ สมาชกิ จะยังเข้าร่วมกจิ กรรมของเครือขา่ ยตราบ เท่าท่ียังมีสิ่งจูงในเพียงพอดึงดูดให้เข้าไปมีส่วนร่วม ดังนั้นในการรักษาเครือข่ายและการขยายเครือข่ายจึง จำเป็นต้องกำหนดกลไกบางประการที่จะช่วยจูงใจให้สมาชิกเกิดความสนใจอยากเข้ามามีส่วนร่วม เช่น การให้ คา่ ตอบแทน การใหเ้ กียรตยิ ศชอ่ื เสยี ง เปน็ ต้น ๔.๔. การจัดหาทรพั ยากรสนับสนนุ อยา่ งเพยี งพอ หลายเครอื ขา่ ยตอ้ งหยุดดำเนินการไป เน่ืองจากขาดทรัพยากรที่มาสนับสนุนการดำเนินการ ดังนั้นหน่วยงานของรัฐควรจะมีบทบาทในการสนับสนุนการ ดำเนินงานของเครือข่ายอีกท้ังประสานงานและอำนวยความสะดวกให้แก่องค์การเอกชนในการจัด ต้ังโครงการ สนับสนนุ การดำเนินงานอีกทางหนึ่งด้วย
16 วิชาภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กล่มุ ที่ ๔ เรือ่ งการบริหารงานระบบเครือขา่ ย ๔.๕. การใช้ความช่วยเหลือและชว่ ยแก้ปัญหา แต่ละเครอื ข่ายอาจจะเกดิ ปัญหาระหวา่ ง การดำเนนิ การไดโ้ ดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง เครือข่ายที่พงึ่ เริ่มตน้ ดำเนนิ การใหมๆ่ การมที ป่ี รกึ ษาทด่ี ีคอยให้คำแนะนำและ ความช่วยเหลือจะช่วยให้เครือข่ายสามารถดำเนินการต่อไปได้และจะช่วยสนับสนุนเครือข่ายให้เกิดความเข้มแขง็ ย่ิงขน้ึ โดยอาจเปน็ การจัดตั้งศนู ย์ความร่วมมือระหวา่ งภาครัฐเอกชนและประชาชนในการดำเนนิ บทบาทหน้าท่ีหลัก อนั ไดแ้ ก่การให้ความชว่ ยเหลือใหค้ วามร้แู ละสร้างผนู้ ำเป็นตน้ ๔.๖. การสร้างผู้นำรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่องกุญแจหลักของการรักษาเครือข่ายให้คงอยู่และดำเนิน ต่อไปได้อย่าง ยั่งยืนคือการสร้างผู้นำรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ซ่ึงแต่ละเครือข่ายจะต้องมีการคัด เลือก ฝึกฝน และ ส่งเสรมิ ให้เกดิ การพัฒนาผู้นำรุ่นใหม่ขึ้นมาอยู่เสมอโดยแตล่ ะเครือข่ายต้องคดั เลือกท่ีมีคุณสมบัติเหมาะสม ท้ังด้าน ความรู้ความสามารถ การมีประสบการณร์ ่วมกบั เครอื ขา่ ยและเป็นท่ียอมรบั นับถอื และสามารถเปน็ ศูนย์ รวมใจของ คนในเครือขา่ ยได้ บัณฑร อ่อนดำและคณะ ได้จำแนกกระบวนการสร้างเครือขา่ ยออกเป็นขนั้ ตอนต่างๆ ดังน้ี ๑. ขั้นตระหนักถึงความจำ เป็นในการสร้างเครือข่าย (Realization) เพื่อที่ทำงานให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งพิจารณาองค์การต่างๆ ที่เห็นว่าเหมาะสมเข้าเป็นเครือข่ายในการทำงานโดยต้องพิจารณาว่าจะได้เข้า ร่วมกับ ใคร จะได้รับผลประโยชน์หรือสละประโยชน์ด้านใดบ้าง และระยะเวลาในการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายนาน เท่าใด ๒. ขั้นการติดต่อกับองค์การที่จะเป็นสมาชิก หรือภาคีเครือข่าย (Courtship) ซึ่งความต้องการ และ อยากที่จะทำกิจกรรมตอบสนองความต้องการเหมือนกัน โดยจะต้องสร้างความคุ้น เคย และการยอมรับรวมทั้ง ความไวว้างใจ เป็นข้ันเตรยี มกลุ่ม หรือเครือข่ายมีการปลกุ จิตสำนกึ อยากจะมาแกป้ ญั หาและพัฒนาร่วมกัน ๓. ขั้นการสร้างพันธกรณีร่วมกัน (Commitment) เป็นการสร้างความผูกพันตกลงที่จะทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มองค์การจะต้องมีความรู้เพียงพอที่จะทำกิจกรรม จึงต้องเสริมความรู้ที่จำเป็น อาจมีการแลกเปลี่ยนทั้ ง ภายในและภายนอกเครือข่าย เช่น ศึกษาดูงาน ฝึกอบรม ฯลฯเรียกว่าเป็น กลุ่มศึกษาเรียนรู้และเป็นที่มาของการ สร้างเครือขา่ ยการจัดการความรูด้ งจะกลา่ วถงึ ต่อไป ๔. ขั้นการพัฒนาความสัมพันธ์ (Building) เป็นสร้างผลงานรูปธรรมร่วมกัน โดยมีการแบ่งปัน ใช้ ทรัพยากรร่วมกัน มีการตกลงในเร่ืองการบรหิ ารจัดการเครือข่ายกำหนดกิจกรรมและบทบาท แต่ละองค์การต้องมี การปรับกระบวนการทำงานให้เอ้อื ต่อประโยชนข์ องเครือข่าย แต่ยงั คงความเปน็ เอกเทศของตนเองเอาไว้ ๕. ขั้นการเรียนรู้ร่วมกัน และขยายผล เมื่อผลงานรูปธรรมของเครือข่ายปรากฏชัดเจนก็จะทำให้ ความสัมพันธ์ในเครอื ขา่ ยแนน่ แฟ้นมากขึ้น อยากทีจ่ ะเรยี นรรู้ ว่ มกัน และขยายกจิ กรรมหรือขยายกล่มุ ออกไป ๖. การใชป้ ระโยชนเ์ ครอื ข่าย (Network Utilizing) ๖.๑. การใช้เครือข่ายเพื่อเป็นเวทีกลางประสานงานร่วมกัน เป็นช่องทางในการประสานความ เข้าใจระหว่างกันในด้านวัตถุประสงค์ขอบข่าย แผนการทำงาน วิธีการทำงานตลอดจนแนวทางปฏิบตั ิให้เป็นไปใน ทศิ ทางเดียวกนั ๖.๒. การใช้ครือข่ายเพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนสารสนเทศและความรู้ซึ่งเครือข่ายมีอัตราการ หมุนเวียนแลกเปลี่ยน (Velocityof Exchange) สารสนเทศและความรูร้ ะหว่างสมาชกิ มากขึ้นเทา่ ใด เครือข่ายนนั้ ก็จะยิ่งเกิดการเรียนรู้ระหว่างกันมากขึ้นเท่านั้น เพราะการแลกเปลี่ยนประสบการณ์หรือบทเรียนใหม่ๆ ที่ค้นพบ
17 วิชาภาวะผู้นำทางการศึกษา กลุม่ ท่ี ๔ เรือ่ งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย ขึ้นมาจะช่วยต่อยอดความคิด และความรู้ระหว่างสมาชิกเครือข่ายอีกทั้งยังช่วยประสานงานให้รู้ว่าปัจจุบัน ใคร สนใจเรื่องเดียวกัน บ้าง ซึ่งอัตราหมุนเวียนของการแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่ กับความสะดวกของการพบปะกันระหว่าง สมาชกิ ความสามารถในการเข้าถงึ สารสนเทศและประสิทธิภาพของระบบสารสนเทศของเครือข่าย ดงั นัน้ เครือข่าย พึงกระทำให้สมาชิกพบปะกัน ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้และทำให้สมาชิกเข้าถึงสารสนเทศได้ง่ายที่สุด เชน่ เดยี วกัน ปาริชาติ วลยั เสถียร ไดส้ รปุ กระบวนการสรา้ งเครอื ข่ายไวด้ งั น้ี ๑. ข้ันตระหนักถงึ ความจำ เปน็ ในการสรา้ งเครือขา่ ย เป็นขั้นตอนท่ีผู้ปฏบิ ัตงิ านหรอื ฝา่ ยจดั การ ตระหนักถึงความจำเป็นในการสรา้ ง เครือข่าย เพื่อที่จะทำงานให้บรรลุเป้าหมาย รวมทั้งพิจารณาองค์กรตา่ ง ๆ ที่ เห็นว่าเหมาะสมเข้าเป็น เครือข่ายในการทำงาน คำถามในขั้นตอนนี้คือ ๑) จะเข้าร่วมเป็นเครือข่ายกับองค์กรใด ๒) จะได้รับ ประโยชน์หรือต้องสละประโยชน์ด้านใดบ้างในการเข้าร่วมเป็นเครือข่ายระยะเวลาใดในการเข้าร่วม เครอื ขา่ ย คำตอบสำหรับคำถามเหล่าน้ี อาจมกี ารเปลีย่ นแปลงเมอ่ื ระยะเวลาในการทำงาน ผา่ นไประยะหนงึ่ แลว้ ๒. ขนั้ ตดิ ต่อกบั องค์กรทจี่ ะเป็นเครอื ข่ายหลงั จากที่ได้ตดั สินใจในองค์กรทเี่ ห็นวา่ เหมาะสมใน การเข้าร่วมเครือข่าย จะเป็นขั้นตอนของการติดต่อสัมพันธ์เพื่อชักชวนเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการทำงาน ซึ่งจะ เกิดขึ้น เมื่อองค์กรมีความต้องการเหมือนกัน และต้องการกระทำกิจกรรมตอบสนองความต้องการเหมือนกัน ดังนั้นจะต้องสร้างความคุ้นเคยและการยอมรับ รวมทั้งความไว้วางใจระหว่างกัน เป็นขั้นตอนของ การปลูก จติ สำนึกโดยการใหร้ างวัล กระตุ้นใหอ้ ยากแกป้ ญั หาร่วมกัน อาจเรยี กขัน้ ตอนน้วี ่าเป็น ข้ันตอนการเตรียมกลุ่มหรือ เตรยี มเครอื ข่าย ๓. ขั้นการสร้างพันธกรณีร่วมกัน เป็นขั้นตอนของการสร้างความผูกพันร่วมกัน ซึ่งหมายถึง การตกลง ในความสัมพันธ์ต่อกัน ในขั้นตอนนี้องค์กรจะเขา้ สู่การตกลงที่จะทำงานร่วมกัน ซึ่งในการที่จะทำกิจกรรม ร่วมกัน เพื่อตอบสนองความต้องการหรือแก้ปัญหา กลุ่มองค์กรจะต้องมีความรู้ที่จำเป็น ซึ่งอาจจะทำโดยการแลกเปลี่ยน ความรู้ และอาจเรียกขั้นตอนนี้ว่ากลุ่มศึกษาเรียนรู้ (Learning Group) หากพิจารณาในประเด็นของระดับการ สร้างเครอื ขา่ ยก็จะเป็นข้นั ตอนของ informal cooperation ๔. ขั้นการพฒั นาความสัมพันธเ์ ปน็ ขน้ั ตอนที่การสร้างเครอื ขา่ ยปรากฏผลงานเป็นรูปธรรม เป็นขัน้ ตอน การเริ่มทำกิจกรรมโดยใช้ทรัพยากรร่วมกัน มีการตกลงในเรื่องการบริหารจัดการกลุ่ม ซึ่งเริ่มต้น ด้วยการกำหนด วัตถุประสงค์ของกลุ่ม กำหนดกิจกรรม จัดวางข้อตกลงในการทำงาน กำหนด บทบาทของสมาชิก รวมทั้งสิทธิ หน้าที่ของหัวหน้ากลุ่ม เป็นต้นในขั้นกลุ่มกิจกรรม (Action Group) หากพิจารณาในประเด็นระดับการสร้าง เครือขา่ ยเรียกวา่ เปน็ ขนั้ ตอนของ Formal Agreement ๕. ขั้นตอนการขยายกิจกรรมหรือขยายกลุ่ม หลงั จากข้ันตอนการพฒั นาความสัมพนั ธ์ จนนำไปสกู่ าร ทำกิจกรรมร่วมกัน จนมีผลงานปรากฏเป็นทีเ่ ด่นชัด องค์กรเครือข่ายรู้สึกว่าตนได้รับผลประโยชน์จากการเข้าเป็น เครือข่าย ความสัมพันธ์จะแนน่ แฟ้นขึน้ การเรียนรูร้ ่วมกันนอกจากจะเปน็ ประโยชน์ต่อการทำงาน ฝ่ายปฏบิ ัติการ แล้ว ยังเป็นประโยชนต์ ่อการสร้างความสัมพันธ์ด้วยความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ซึ่งจะนำไปสู่การขยายกิจกรรมหรือ ขยายกลุ่มตามพื้นที่หรือตามลักษณะกิจกรรม ในด้านระดับการสร้างเครือข่าย ขั้นตอนนี้อาจอยู่ในระ ดับการเข้า “ลงทนุ ” ในองคก์ รใหม่ (Minority Investment) และการจดั ตงั้ องคก์ รใหมร่ ่วมกนั (Joint Venture)
18 วิชาภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กล่มุ ที่ ๔ เรือ่ งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย ๖. ข้นั ตดิ ตาม และประเมินผล เปน็ ขน้ั ตอนการประเมินผลการดำเนินงานตามแผนที่เกิดจากเครือข่าย ความ รว่ มมอื เพื่อไปสูก่ ารปรับปรงุ หรอื เปล่ยี นแปลงแผนการดำเนนิ งานน้ันอีก ภทั รวรรธน์ นิลแก้วบวรวชิ ญ์ กลา่ วถงึ ชั้นตอนการสร้างรูปแบบการพฒั นาเครือขา่ ยความรว่ มมอื ทางวิชาการ ประกอบดว้ ย ๖ ขนั้ ตอน มรี ายละเอยี ดของข้ันตอน ดังน้ี ๑. ขัน้ ตระหนกั ถงึ ความจำเป็นในการสร้างเครือขา่ ย ประกอบดว้ ย ๑) การสรา้ ง ความตระหนักแก่ สมาชกิ ในองค์กรเพอ่ื การพฒั นา ๒) การสรา้ งความเชอ่ื มนั่ ในศกั ยภาพของตนเอง ๓) การสร้างความซื่อสตั ย์และจรงิ ใจต่อกนั และกนั ของสมาชิก ๔) สมาชิกเข้าร่วมเครือขา่ ย ดว้ ยความเตม็ ใจ ๕) สมาชกิ ยอมรบั ในวัฒนธรรมองค์กรร่วมกนั ๖) สมาชิกตระหนักถึงความสำคัญ ของเครือข่ายอยู่เสมอ ๗) เครือขา่ ยมคี วามพร้อมและมีการเตรยี มกลุ่มหรอื เตรียมเครอื ขา่ ย ๘) กลมุ่ บุคคล หนว่ ยงาน องคก์ รที่จะรวมตัวเป็นเครือขา่ ยต้องมเี ป้าหมายและ ความต้องการเหมือนกัน ๒. ข้นั ประสานหนว่ ยงาน องคก์ รเครือข่าย ประกอบด้วย ๑) มกี ารประชาสมั พนั ธ์ แลกเปลีย่ นข้อมลู ข่าวสาร ความรู้ ทักษะ ๒) มีการเชอ่ื มโยงสมาชิกท่ีไม่มีโอกาสติดตอ่ กันเพื่อให้ เข้ากันได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ ๓) มีการส่ือสารใหส้ มาชิกเครอื ข่ายสนใจทำกิกรรมรว่ มกัน ๔) มกี ารชใี้ หส้ มาชกิ เครือข่ายเหน็ สภาพปญั หาและประเด็นการพัฒนาร่วมกนั ๕) มกี ารประสาน หนว่ ยงาน/องค์กรเครือขา่ ยท่ีเปน็ แหลง่ วชิ าการ ๖) เสนอโครงการความรว่ มมือเพื่อการแบง่ ปนั ทักษะและประสบการณ์แก่ เครอื ขา่ ย ๗) กำหนดและสรา้ งขอ้ ตกลงเปน็ พันธสญั ญารว่ มกัน ๘) สมาชกิ เครอื ขา่ ยมีความเออื้ เฟอื้ เผ่อื แผ่ และมคี วามจริงใจต่อเพอ่ืนร่วมงาน ในเครอื ข่าย ๓. ขน้ั สรา้ งพนั ธสัญญาร่วมกัน ประกอบดว้ ย ๑) สมาชกิ เครือข่ายกำหนด วัตถุประสงคแ์ ละข้อตกลงในการทำงานรว่ มกนั ๒) เครือขา่ ยมกี ารดำเนนิ การแบบมสี ่วนร่วม ๓) มกี ารกำหนดบทบาทของสมาชิกใหช้ ดั เจน ๔) สมาชกิ สร้างส่งเสริมและดำรงไว้ ซึง่ ความสัมพนั ธอ์ ันดีต่อกัน ๕) มกี ารส่ือสารแบบสองทางและสื่อสารอยา่ งทั่วถึง และ
19 วชิ าภาวะผู้นำทางการศึกษา กลุม่ ที่ ๔ เรอ่ื งการบริหารงานระบบเครือข่าย ๖) สมาชิก มีการแลกเปลยี่ นเรียนรูแ้ ละดำเนนิ งานตามแผนอยา่ งเป็นระบบ ๔. ขน้ั บรหิ ารจดั การเครือขา่ ย ประกอบดว้ ย ๑) เครือข่ายมีกระบวนการ ดำเนนิ งานอย่างเป็นระบบ ๒) เครอื ขา่ ยมีการจัดทำแผน ๓) เครอื ข่ายมีการปฏบิ ัติตามแผน ๔) เครอื ขา่ ยมกี ารประเมินผล ๕) เครือข่ายมกี ารกำหนดโครงสรา้ งและบทบาทหน้า ๖) เครือขา่ ยมกี ารควบคุมตรวจสอบ ๕. ข้ันพฒั นาความสมั พนั ธ์ ประกอบดว้ ย ๑) สมาชิกในเครอื ข่ายมีความสมั พันธเ์ ปน็ กลั ยาณมิตรต่อกัน ๒) สมาชกิ มอี ิสระในความคิดยอมรับความคิดเห็นของกนั และกัน ๓) มีการเสริมสรา้ งวฒั นธรรมเครอื ขา่ ยเพอื่ ขจดั ความขดั แยง้ ๔) มกี ารเสรมิ สรา้ งกจิ กรรม สาธารณะเวทีแหง่ การแลกเปลีย่ นเรียนรู้ ๕) มกี ารสรปุ และทบทวนสิ่งท่ีได้เรยี นร้รู ว่ มกัน ๖) มีบรรยากาศแบบพลังเกอื้ กลู สามคั คี ๗) เครือข่ายมกี ารทำงานเป็นทมี ๘) เครือข่ายมีความสมั พนั ธ์ ทแี่ น่นแฟ้นต่อกัน ๙) มีการรกั ษาสัมพันธภาพที่ดรี ะหวา่ งสมาชกิ ทุกระดบั ๑๐) เครอื ข่าย มีความโปร่งใสสามารถตรวจสอบได ้ ๖. ข้ันรกั ษาความสัมพนั ธอ์ ย่างตอ่ เนื่อง ประกอบด้วย ๑) มีการจัดกิจกรรมร่วมกัน ทด่ี ำเนินอย่างตอ่ เน่ือง ๒) มกี ารรักษาสมั พนั ธภาพที่ดีระหวา่ งสมาชิกเครือข่าย ๓) กำหนดกลไก สร้างระบบจูงใจ ๔) จัดหาทรัพยากรสนับสนนุ เพียงพอ ๕) ให้ความช่วยเหลือและชว่ ยแกไ้ ขปญั หา ๖) มีการสร้างผนู้ ำร่นุ ใหม่อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง กระบวนการสรา้ งเครอื ขา่ ยโดยทวั่ ไปก็จะมีอย่ดู ว้ ยกัน ๖ ขั้นตอนได้แก่ ๑. ขั้นตระหนกั ถงึ ความจำ เป็น ในการสร้างเครือข่าย ๒. ขั้นติดต่อกับองคก์ รที่จะเป็นเครือข่าย ๓. ขั้นการสร้างพันธกรณีร่วมกัน เป็นขั้นตอนของ การสร้างความผูกพันร่วมกัน ๔. ขั้นการพัฒนาความสัมพันธ์ เป็นขั้นตอนที่การสร้างเครือข่ายปรากฏผลงานเป็น รปู ธรรม เปน็ ขน้ั ตอน ๕. ขั้นตอนการขยายกจิ กรรมหรอื ขยายกล่มุ
20 วชิ าภาวะผูน้ ำทางการศึกษา กลมุ่ ท่ี ๔ เร่ืองการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย ๖.ปจั จัยการสรา้ งเครอื ข่าย สถานศึกษามีหน้าที่ในการให้ความรู้ทางวิชาการแก่นักเรียน จะต้องดำเนินการให้ครอบคลุมขอบข่าย งานวิชาการที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ได้แก่ การพัฒนาหรือการดำเนินการเกี่ยวกับการให้ความเห็นการ พัฒนาสาระหลักสูตรท้องถิ่น การวางแผนงานด้านวิชาการ การจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษา การพัฒนา หลกั สูตรของสถานศึกษา การพฒั นากระบวนการเรียนรู้ การวัดผลประเมินผล และดำเนนิ การเทยี บโอนผลการเรียนการวิจัยเพื่อ พัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศกึ ษา การพัฒนาและส่งเสรมิ ให้มแี หล่งเรียนรูก้ ารนิเทศการศึกษา การแนะแนว การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การส่งเสริมชุมชนใหม้ ีความเข้มแข็งทางวิชาการ การประสานความร่วมมือในกรพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาและ องค์การอื่น การส่งเสริมและสนับสนุนงาน วิชาการบุคคล ครอบครัว องค์การ หนว่ ยงาน สถานประกอบการ และสถาบนั อื่นทจ่ี ัดการศึกษา การจดั ทำระเบยี บ และแนวปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั งานดา้ นวชิ าการของสถานศึกษา การคัดเลอื กหนังสือแบบเรยี น เพื่อใช้ในสถานศึกษา และ การพฒั นาและใชส้ อื่ เทคโนโลยีเพือ่ การศกึ ษา การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษา จึงเป็นความร่วมมือระหว่าสถานศึกษากับ สถานศึกษาอื่นโดยสมัครใจ ที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารหรือทำกิจกรรมร่วมกันในด้านวิชาการระหว่าง สถานศึกษา ได้แก่ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การจัดหาและพัฒนาส่ือ นวัตกรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา การประเมินผลและการเทียบโอน การนิเทศการเรียนการสอน การพัฒนา ระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา และการวจิ ยั เพอื่ พัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยท่สี มาชกิ ในเครือข่ายยังคง มีความเป็นอิสระในการดำเนินกิจกรรมของตนเอง ผลจากความร่วมมือของสถานศึกษาในอายทำให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงในมิติต้าน เจตคติ ดา้ นความสำคัญ และด้านโครงสร้างองค์การผู้บริหารสถานศึกษาจึงเป็นบุคคลที่มี ความสำคญั ในการส่งเสริม สนบั สนุนให้เครือข่ายายความร่วมมือระหว่างสถานศึกษาใหด้ ำเนินไปด้วยความราบร่ืน และประสบความสำเร็จ จะต้องมที กั ษะต่างๆ ทีจ่ ำเป็นตามลำดบั ความสำคัญจากมากไปหานอ้ ย ดงั นี้ ๖.๑. การมีภาวะผู้นำ ผูน้ ำเปน็ บุคคลทส่ี ำคญั ตอ่ ความสำเรจ็ ของเครอื ขา่ ย เพราะผู้นำมหี นา้ ที่และความรับผดิ ชอบโดยตรงท่ี จะต้องวางแผน สัง่ การ ดูแลและควบคุมให้บคุ ลากรขององคก์ ารปฏิบัตงิ านต่างๆ ใหป้ ระสบความสำเรจ็ ตาม เปา้ หมายและวตั ถุประสงคท์ ่ีตั้งไว้ เสนห่ ์ จุย้ โต กลา่ วว่า ภาวะผูน้ ำ หมายถงึ กระบวนการใช้อำนาจอิทธิพลของผ้นู ำในการชักจูงหรือชี้นำ บุคคลอื่นให้ปฏิบัติงานสำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ โดยพิจารณาจากพฤติกรรมการปฏิบัติงาน ได้แก่ แบบยืด กฎระเบียบ แบบบงการ แบบจูงใจ และแบบมีพิจารณาจากบทบาทที่แสดงออก ได้แก่ แบบบิดามารดาปกครอง บุตรเล่ห์กล และแบบผู้เชี่ยวชาญ สุดท้ายพิจารณาจากผลงานของผู้นำ ได้แก่ แบบมีประสิทธผิ ลมาก และแบบที่มี ประสทิ ธผิ ลน้อย
21 วชิ าภาวะผูน้ ำทางการศึกษา กลุม่ ที่ ๔ เร่ืองการบริหารงานระบบเครือขา่ ย ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำเครือข่ายจะทำอย่างไรหรือมีวิธีการนำอย่างไร จึงทำให้ ผ้ใู ต้บังคบั บัญชาเกิดความผูกพันกับงานแล้วทุ่มเทความสามารถและพยายามท่ีจะทำให้งานสำเร็จด้วยความเต็มใจ ผู้บริหารสถนศึกษาจึงควรมีภาวะผู้นำด้านวิชาการในการพัฒนาหลักสูตรสอดคล้องกับความสนใจและความถนัด ของผเู้ รยี น การพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การวดั และประเมนิ ผล การวจิ ยั เพือ่ พัฒนาคุณภาพการศึกษา การนิเทศ การเรียนการสอนให้มีคุณภาพและต่อเนื่องเป็นระบบ การจัดหาและพัฒนาสื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการ ศกึ ษา และการพฒั นาระบบประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา ๖.๒ การมวี สิ ยั ทศั น์ร่วมกนั การมีวิสัยทัศน์ร่วมกัน คือ ภาพอนาคตขององค์การที่สมาชิกทุกคนในองค์การต้องการให้เกิดขึ้น เพื่อให้มองเห็นจุดมุ่งหมายและแนวทางปฏิบัติร่วมกัน โดยสมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางให้ สอดคล้องกับนโยบาย เป้าหมาย และภารหน้าที่ขององค์การ เป็นสิ่งแรกที่ผู้บริหารสถานศึกษาต้องมีและต้อง ถ่ายทอดวิสัยทัศน์ให้ครูในโรงเรียนได้เข้าใจอย่างชัดเจน สามารถนำวิสัยทัศน์ลงสู่นโยบาย แผนงานและการ ปฏิบัติงานอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ดังนั้น ในการกำหนดวิสัยทัศน์ด้านวิชาการของสถานศึกษา จะต้องให้บุคลากรทกุ ฝ่ายที่มีส่วนได้เสียทั้งภายในและภายนอกเข้ามาร่วมในการตัดสินใจทุกขั้นตอน จึงจะทำให้เกิดการยอมรับและ ร่วมมอื ในการทำงาน Thompson ได้เสนอวิธกี ารสรา้ งวิสัยทัศน์ ดังน้ี สถานศกึ ษาต้องรวบรวมข้อมูลจากผู้มีประสบการณ์ด้วย การพูดคุยหรือการรับฟังความคิดเห็น นำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์และสังเคราะห์เพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อน อุปสรรค และโอกาสของสถานศึกษาทั้งในอดีตปัจจุบันเพื่อนำไปสู่มุมมองในอนาคต โดยเปิดโอกาสให้บุคคลใน องคก์ ารได้มีสว่ นรว่ มในการกำหนดวสิ ัยทศั น์ดว้ ยเพือ่ ใหเ้ กดิ การยอมรับ ตอ่ จากนั้นตอ้ งนำเอาความคดิ ทเี่ ป็นวิสัยทัศน์ออกมาเป็นคำพดู หรือภาพมีพลังในการกระตุน้ ให้สมาชิกเกิด ความรู้สกึ ว่าหน่วยงานเป็นของตามคิดเขียนออกมาเปน็ คำสำคัญ แลว้ ใชว้ ธิ กี ารเชือ่ มโยงความคิดทมี่ งุ่ มน่ั ให้เกิดเป็น จินตนาการที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ ผู้บริหารสนองนำวิสัยทัศน์ออกเผยแพร่ในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้าง แรงจูงใจและโน้มน้าวให้ผู้เห็นคล้อยตามและให้การสนับสนุนก่อนที่จะนำวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นไปสู่การปฏิบัติโดย ความร่วมมือของทุกฝ่าย สิ่งที่ประการหนึ่ง คือ การประเมินผลเพ่ือตรวจสอบวิสัยทัศน์ ว่ามีสอดคล้องความ ต้องการของชุมชนและสถานศึกษาหรือไม่ ยังมีส่วนใดที่ควรปรับเปลี่ยนให้มีความถูกต้องเหมาะสม ซึ่งควรมีการ ดำเนินการเป็นระยะๆ ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องเปน็ ผูช้ ้ีแนวทางหรอื นำเสนอวิสัยทัศน์ใหแ้ ก่สถานศกึ ษา โดยการจัด ประชุมหรือเสวนากลุ่มเพื่อช่วยกันสรุปเป็นวิสัยทัศน์และกำหนดเป้าหมายด้านวิชาการในอนาคตร่วมกัน มีการ วางแผนพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาชั้นพื้นฐานคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น การพัฒนา กระบวนการสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน การจัดโครงสร้างเครือข่าย การวัดและประเมินผลผู้เรียนการ จดั หาและพฒั นาส่อื นวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการศกึ ษา มีการวจิ ัยเพอ่ื พฒั นาคุณภาพการศึกษา การจดั ระบบ นทิ ศภายในสถานศึกษา และการสร้างระบบพฒั นาประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษาร่วมกนั
22 วชิ าภาวะผูน้ ำทางการศึกษา กลุ่มที่ ๔ เรื่องการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย ๖.๓ การมีสว่ นร่วมของสมาชกิ การมสี ว่ นรว่ มของสมาชิกมีความจำเป็นสำหรบั เครือข่าย ถา้ สมาชิกเครอื ข่ายมสี ่วนร่วมในทุกขั้นตอน จะใหเ้ กดิ ความรว่ มมือกนั ทำงาน Erin กล่าวว่า การมสี ่วนร่วมเปน็ กระบวนการให้สมาชิกเขา้ มามสี ่วนเก่ียวข้องในการดำเนนิ งานพฒั นา ร่วมคิด ร่วมตัดสนิ ใจ แกป้ ญั หาของตนเอง เนน้ การมีสว่ นเก่ียวขอ้ งอย่างแข็งขันกับสมาชกิ ใช้ความคดิ สร้างสรรค์ และความชำนาญของสมาชิกแกไ้ ขร่วมกบั การใชว้ ทิ ยาการทีส่ มและสนบั สนนุ ติดตามการปฏบิ ตั งิ านขององค์การ และเจ้าหน้าท่ีทเี่ ก่ยี วข้อง Cohen & Uphoff ได้แบง่ ชนดิ ของการมสี ว่ นร่วม คอื การมสี ่วนรว่ มในใจว่าควรทำอะไร การมสี ว่ น รว่ มในการปฏบิ ัติการ ประกอบด้วยการสนับสนนุ การบริหารและการประสานขอความร่วมมือ การมีสว่ นรว่ มใน ผลประโยชนท์ างวตั ถุ ผลประโยชน์ทางสังคม หรอื ผลประโยชน์สว่ นบุคคล ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำเครือข่ายจึงต้องเปิดโอกาสให้สมาชิกซึ่งประกอบด้วยครูและ บุคลากรของสถานศกึ ษาเขา้ มามีสว่ นร่วมในการบริหารงาน โดยเฉพาะงานดา้ นวิชาการในลกั ษณะเครือขา่ ยร่วมมือ ในการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน ผู้ปกครอง และชุมชน การพัฒนาการเรียนรู้ให้ ผู้เรียนได้เรียนจากประสบการณ์จริง การวัดผลและประเมินผล การพัฒนาสื่อนวัตกรรม และเทคโนโลยีทางการ ศกึ ษาใหท้ นั สมยั มปี ระสิทธภิ าพ และการนำระบบสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ ๖.๔ การสนบั สนนุ การใช้ทรัพยากรร่วมกัน ทรัพยากรเป็นสิ่งจำเป็นและมีความสำคัญต่อการบริหารจัดการ โดยเฉพาะด้านวิชาการ เพราะเป็น ตัวกระตุ้นที่ทำให้กิจกรรมการเรียนการสอนของเครือข่ายดำเนินไปได้โดยและทรัพยากรจะมีบทบาทต่อกิจกรรม หรือการดำเนินภารกิจของเครือข่ายปริมาณและคุณภาพ ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำเครือข่ายจะต้องมี ความรู้ ความเข้าใจและสามารถบริหารทรัพยากรร่วมกันให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยทั่วไปอาจแบ่งทรัพยากรตาม แนวคิด 4 M5\" ซึ่งประกอบดว้ ย คน เงิน วัสดุส่ิงของ และการจดั การ ซ่งึ ทรพั ยากรเหล่าน้จี ะช่วยให้ดำเนินกิจกรรม การเรยี นการสอนของนักเรยี นใหม้ ีคณุ ภาพและได้ผลตามความม่งุ หมายของการจัดการศกึ ษา ผู้บริหารสถานศึกษาจึงมีส่วนสำคัญในการบริหารทรัพยากรทางการศึกษา มีหน้าที่ในการกำหนด นโยบายและแผนพัฒนาการศึกษาของสถานศึกษา การบริหารทรัพยากรต้องอาศัยหลักการสำคัญ ได้แก่ หลัก ความเป็นธรรม หลักความเสมอภาค หลักประสิทธิภาพและประสิทธิผล หลักความพอเพียง หลักการกระจาย อำนาจ หลกั เสรภี าพ และหลักการปฏบิ ตั ไิ ด้จรงิ ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงต้องให้การสนับสนุนการใช้ทรัพยากรร่วมกันเพื่อให้เกิดความคุ้มค่า ด้วย การการสนับสนุนให้สถานศึกษาเป็นเครือข่ายในการใช้ครู บุคลากรผู้เรียน ปราชญ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น การใช้ งบประมาณ การใช้สื่อ วัสดุอุปกรณ์ นวัตกรรมและการมีส่วนร่วมในการประเมินผลคุณภาพภายในสถานศึกษา เทคโนโลยีทางการศึกษา การสร้างแบบทดสอบวัดและประเมินผล ร่วมกันในกระบวนการเรียนรู้ การให้ครูและ
23 วชิ าภาวะผู้นำทางการศึกษา กลมุ่ ท่ี ๔ เร่ืองการบริหารงานระบบเครือข่าย บุคลากรทำวิจัยร่วมกันเพื่อพัฒนาคุณภาพทรัพยากรร่วมกันในการนิเทศการเรียนการสอน และการใช้ทรัพยากร รว่ มพฒั นาระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา ๖.๕ การวัดและประเมินผล การวัดและประเมินผลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่องกัน มีความหมายครอบคลุมที่มีความสัมพันธ์และ เก่ยี วขอ้ งกัน ๒ ลักษณะ คอื การวดั ผล และ การประเมินผล Guilford ไดน้ ยิ ามวา่ การวัดผลเปน็ การจัดคา่ ตัวเลขให้แก่วัตถุหรือเหตกุ ารณ์ โดยมกี ฎเกณฑ์แน่นอน Ebel ได้นิยามวา่ การวัดผลเปน็ กระบวนการกำหนดจำนวนให้กบั สมาชิกของสิ่งของหรือบคุ คล Smith ได้นิยามวา่ การวัดผลเป็นการรวบรวมข้อมูล ขอ้ ความ หรอื ขา่ วสารอย่างมรี ะบบ Gronlund & Linn ได้นิยามว่า การวัดผลเป็นกระบวนการให้คำอธิบายที่เป็นตัวเลขตามระดับที่ แตกตา่ งกันแกค่ ุณลกั ษณะของแต่ละบุคคล\"ส่วนการประเมินผลน้ัน นกั การศึกษาหลายทา่ นใหค้ วามหมาย ดังน้ี Guilford ไดน้ ิยามว่า การประเมนิ ผลเปน็ การตัดสนิ คุณค่าของการกระทำ\" Good กล่าวว่า การประเมินผลเป็นกระบวนการในการตดั สินความสำคัญของปรากฏการณอ์ ยา่ งหน่ึง กับปรากฏการณ์อีกอย่างหนงึ่ โดยใช้มาตรฐานทก่ี ำหนดไว้ Aikin กล่าวถึงการประเมินผลว่า เป็นกระบวนการบรรยาย เก็บรวบรวมข้อมูลป้าหมาย การวางแผน การดำเนินการ และผลกระทำเพ่ือนำไปเปน็ แนวทางเพอ่ื สร้างความนา่ เช่ือถือ และเพอ่ื ส่งเสรมิ ให้เกิดความเขา้ ใจใน สถานการณ์ Cronbach ให้ความหมายการประเมนิ ผลว่า เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลและใช้ข้อมูลนั้นเพื่อตัดสนิ ใจ เกี่ยวกับโครงการฯ Geen ให้ความหมายการประเมินผลว่า เป็นกระบวนการดัดสินคุณค่าข้อมูลที่ได้จากการวัดอย่างมี ระบบ Grontund & Linn ไดน้ ยิ ามการประเมนิ ผลวา่ เปน็ การตัดสินคา่ ของผลที่ใตโ้ ดยพิจารณาจากข้อมลู ทัง้ เชงิ ปรมิ าณและเชงิ คุณภาพ Worthen & Sander ให้ความหมายของการประเมินว่า เป็นการพิจารณาคุณค่าของสิ่งๆ หน่ึง ประกอบดว้ ย การจดั หาสารสนเทศเพื่อตดั สินคุณค่าของแผนงาน ผลผลิตกระบวนการ หรือการบรรลุวัตถุประสงค์ หรือการพิจารณาศักยภาพของทางเลือกต่างๆ ทใี่ ชใ้ นการดำเนินงานเพ่ือให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำเครอื ข่ายความร่วมมอื ด้านวิชาการจึงต้องสนบั สนุน ส่งเสริม ให้สมาชิกเครือข่ายร่วมกันสร้างเครื่องมือในการวัดและประเมินผล การสร้างเครื่องมือวัดความสามารถนักเรียน ด้านพุทธิพิสัย ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย การสร้างแบบประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน การสร้างแบบ ประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน การสร้างแบบประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน และการ สร้างแบบประเมินคณุ ธรรม จริยธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
24 วิชาภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลุ่มที่ ๔ เร่ืองการบริหารงานระบบเครือข่าย ๖.๖. การพฒั นาสมาชิกเครอื ข่าย สมาชิกเครือข่ายมีความสำคัญที่ทำให้องค์การบรรลุเป้าหมาย ผู้นำเครือข่ายจะต้องมีหน้าที่เลือกสรร บุคคลที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมเข้ามาทำงานในองค์การ จำเป็นต้องมีการพัฒนาสมาชิกเครือข่ายให้ สามารถปฏบิ ัติหนา้ ที่งานดา้ นวิชาการใหบ้ รรลวุ ัตถปุ ระสงค์สามารถพัฒนาไดห้ ลายรูปแบบ เชน่ การประชุมสมั มนา การฟังบรรยายการศกึ ษาดูงาน การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ และการปฐมนิเทศบคุ ลากรใหม่ Chruden & Sherman กล่าวว่า การพัฒนาสมาชิกเครือข่ายเป็นกระบวนการศึกษา ฝึกอบรม บุคลากรเพื่อให้ได้บุคลากรที่เหมาะสมกับความต้องการขององค์การซึ่งการพัฒนานั้น คือ การพัฒนาด้านทักษะ ความรู้ ทัศนคติ และบคุ ลิกภาพ\" Mondy & Noe ให้ความหมายการพัฒนาสมาชิกเครือข่ายว่า เป็นการใช้ทรัพยากรมนุษย์ให้บรรลุ วัตถปุ ระสงค์ขององค์การ และกลา่ วเพ่ิมเติมวา่ ผบู้ ริหารทุกระดับต้องเก่ียวข้องกับการบริหารทรัพยากรมนุษย์ โดย อาศัยพลังความสามารถของคนปฏิบัติงานให้สำเร็จจึงต้องใช้ความสามารถในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ของ ผู้บริหาร การพัฒนาสมาชิกเครือข่ายสามารถทำได้หลายรูป แบบ ได้แก่ การสัมมนา การบรรยาย การฝึกอบรม การศกึ ษาดูงาน การแลกเปล่ียนเรยี นรู้ การปฐมนเิ ทศบคุ ลากร ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาในฐานะผู้นำเครือข่ายจะต้องพัฒนาสมาชิกเครือข่ายมีการอบรมเทคนิค วิธีการ นวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ร่วมกันเพื่อพัฒนาผู้เรียนการสัมมนาแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับการจัดการ เรียนรู้รว่ มกัน เกี่ยวกับการวัดและประเมินผลผู้เรยี น การอบรมพัฒนาสอื่ นวัตกรรมและเทคโนโลยี การทำวิจัยเพ่ือ พัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา และการสัมมนารว่ มกันเกยี่ วกับระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา ๖.๗. การส่อื สาร การสือ่ สาร มีความสำคัญสำหรับเครือขา่ ยความร่วมมือ เพราะในการทำงานร่วมกนั ทุกขนั้ ตอน ทั้งผู้นำ และสมาชิกเครือข่ายต้องมีการประสานสัมพันธ์ซึ่งกันและกันตลอดเวลางานที่มอบหมายให้ทำจึงจะประสบ ความสำเร็จ งานดา้ นการส่ือสารเป็นหวั ใจสำคัญท่จี ำเปน็ จะต้องมคี วามสามารถในการส่ือสารกับผู้อื่นได้อย่างดี ไม่ ว่าจะเป็นการพูด การฟัง กาเขียนการอ่าน ตลอดจนมีความสามารถในการใช้เครื่องมือสื่อสารชนิดต่างๆ ได้อย่าง ถูกต้องนอกจากนี้ การสื่อสารยังช่วยให้การดำเนินกิจกรรมต่างๆ ของหน่วยงานเป็นไปตรงดามวัตถุประสงค์ท่ีวาง ไว้ กอ่ ให้เกิดผลสำเร็จในการปฏิบัตงิ าน ผลของการส่ือสารเกิดจากองคป์ ระกอบของกระบวนการส่ือสารท่ีประกอบ ไปดว้ ย ผู้ส่งสารทำการส่งขา่ วสารโดยผา่ นช่องทางการส่ือสารไปยังผู้รับสาร และเมือ่ ผรู้ ับสารได้รบั สารน้ันแล้วย่อม เกิดเหตกุ ารณ์อย่างใดอย่างหน่ึงขึ้น โดยสงิ่ ทเ่ี กิดข้นึ นน้ั อาจเปล่ียนแปลงด้านความรู้อารมณ์ รวมไปถึงความรู้ ความ เขา้ ใจและพฤติกรรมของผรู้ บั สารนนั้ ด้วย การเปลี่ยนแปลงจากผลของการสื่อสาร ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงความรู้ การเปลี่ยนทัศนคติ และการ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยการเปล่ียนแปลงสามารถแบ่งได้ตามหลักเกณฑ์ไม่ดีของผลที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการ พิจารณาว่าผลของการสื่อสารในต่อให้เกิดผลดีต่อบุคคลหรอื เป็นผลที่ทำให้ผู้ส่งสารบรรลุวัตถุประสงค์ตามที่ตั้งใจ
25 วิชาภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กลุ่มที่ ๔ เร่ืองการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย หรือไม่ ทั้งผลทางบวก ซึ่งเป็นผลของการสื่อสารที่บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้ส่งสารที่ตั้งไว้และก่อให้เกิดดีต่อบุคคล และผลทางลบ ที่เป็นผลของการสื่อสารท่ีไม่บรรลุวัตถุประสงค์ที่ผู้ส่งคาดหมายไว้ อีกทั้งยังก่อให้เกิดผลไม่ดีต่อตัว บุคคลอีกด้วย สิ่งสำคัญที่สุดในการติดต่อสื่อสาร คือ การสร้างอารมณ์และความรู้สึกพึงพอใจเพราะจะทำให้ ข่าวสารนั้นไหลออกไปอย่างราบรื่น ในทางกลับกันถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี เพราะชาดความพึงพอใจในการ ติดต่อสอื่ สาร ขา่ วสารก็จะถูกชะงกั ลง ตังนนั้ ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาในฐานะผนู้ ำเครอื ข่ายความรว่ มมอื ด้านวชิ าการจึงตอ้ งมีความรู้ ทกั ษะในการ สอื่ สารโดยผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ ออนไลน์ เพื่อใหเ้ กิดผลการปฏบิ ตั งิ านประสบความสำเร็จในเร่ืองหลักสตู ร สถานศึกษา กระบวนการเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล การวจิ ยั เพอื่ พัฒนาบูรณภาพการศึกษา การนเิ ทศการ เรยี นการสอน และการประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา จากที่ได้กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ผู้บริหารสถานศึกษาที่ประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำเครือข่ายความ ร่วมมือด้านวิชาการนั้น จะต้องมีความรู้ความสามารถในการใช้ศาสตร์ความรู้และศิลปะในการบริ หารเครือข่าย เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา นอกจากนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีระบบ การทำงานที่จะช่วยให้บุคลากรในเครือข่ายสามารถทำงาน และผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ เช่น ควรวางแผนการบริหารจัดการทรัพยากร การดำเนินงานตามแผนปฏิบัติการ การติดตามและการประเมินผล นักเรียน การรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์และการสังเคราะห์ข้อมูล การสร้างเครือข่ายร่วมกัน เพื่อสนับสนุนการ เรียนรู้ของผู้เรียนให้เกิดประสิทธิภาพ เช่น การเข้าร่วมสัมมนา การร่วมในสมาคมเครือข่ายระหว่างโรงเรียน การ ทำงานร่วมกับผู้ปกครอง มีทักษะในการบริหาร การเปลี่ยนแปลง โดยการใช้ข้อมูลและสารสนเทศเพื่อใช้ในการ กำหนดยุทธศาสตร์ และการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ ทักษะด้านคุณภาพ โดยผู้บริหารต้องเป็นผู้ที่ยึดหลัก คณุ ธรรมในการบริหารงาน มคี วามเชอื่ มน่ั ในตนเอง เปน็ ผู้ใฝ่เรียนรอู้ ยา่ งสมำ่ เสมอต้องเป็นผ้นู ำและเป็นผู้สนับสนุน การทำงาน ความสามารถด้านการแก้ปัญหา การนำยุทธศาสตร์การมีส่วนร่วมมาใช้เป็นฐานในการแก้ปัญหาใน เครือข่าย มีการศึกษารายละเอยี ดของเหตุการณ์ต่างๆ มีการทดสอบสมมติฐาน การวิเคราะห์ มีการแก้ปัญหาด้วย นวัตกรรมใหม่ โดยคำนึงถงึ การบรรลุผลในวิสัยทัศน์และยุทธศาสตรข์ องเครอื ขา่ ยของโรงเรียนเปน็ หลกั ๗.ประโยชน์ของการสรา้ งเครือข่ายในการบรหิ ารสถานศกึ ษา ปัจจุบันองค์กรจำนวนมากทั้งภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะบุคลากรและหน่วยงานทางการศึกษา สถานศกึ ษาตั้งแต่ ระดบั นโยบายคอื กระทรวงศึกษาธกิ ารและองคก์ รหลัก ทัง้ ๕ องคก์ รหลกั จนถงึ หนว่ ยปฏิบัติใน พื้นที่ มีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ตลอดจนสถานศึกษาที่กระจายตัวอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศ ได้ตระหนักถึง บทบาทสำคัญของการมีเครือข่ายวา่ เป็น เครื่องมอื ท่มี ีคุณค่าในการพัฒนาและสามารถช่วย ผลักดันการทำงานของ สถานศกึ ษาให้ประสบผลสำเรจ็ ได้มากยง่ิ ข้นึ เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ และคณะ ได้กล่าวไว้ว่า การพัฒนาในปัจจุบันมักจะดำเนินการในรูปแบบ เครือข่าย และเป็นไปไม่ได้ที่สถานศึกษาใดสถานศึกษาหนึ่งจะทำงานให้ประสบผลสำเร็จได้ด้วยตนเอง การ ดำเนนิ งานในรูปแบบเครอื ข่ายจะเกดิ ประโยชนต์ ่อสมาชกิ และองค์กรเครือข่ายอยา่ งมาก ซงึ่ มีประโยชน์ท่ีเกิดขึ้นกับ บุคลากร และหน่วยงานทางการศึกษา โรงเรียนอยา่ งนอ้ ย ๖ ประการ ดังน้ี
26 วิชาภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กลุม่ ที่ ๔ เรอ่ื งการบริหารงานระบบเครือข่าย ๑.) เปน็ เวทีสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรปู้ ระสบการณ์ ข้อมลู ข่าวสารและความรู้ใหมๆ่ ทำใหเ้ กดิ กระบวนการเรยี นรู้ร่วมกันของคณุ ครู บุคลากรทางการศึกษาและหน่วยงาน สถนศึกษาเครือขา่ ยเพ่ือนำไปสูก่ าร พฒั นาเครือขา่ ยตาม วัตถปุ ระสงคท์ ่ีกำหนดไวอ้ ยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ ๒.) เป็นแหล่งระดมทรัพยากรนำไปสู่การแลกเปลี่ยนทรัพยากรและการจัดการทรัพยากรร่วมกัน ไม่ว่า เป็นบคุ ลากร คุณครู เงนิ ทนุ สถานศกึ ษา หรอื วสั ดุ อปุ กรณ์ ต่าง ๆ เพื่อเปน็ การช่วยเหลอื ซง่ึ กันและกัน เข้าทำนอง ผู้ทมี่ คี วามพร้อมมากกว่าใหค้ วามช่วยเหลือ ผทู้ ีม่ คี วามพร้อมน้อยกว่า ๓.) เป็นการระดมสรรพกำลังเพื่อร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ปัญหา ที่เกิดขึ้นร่วมกัน เป็นการร่วมแรงร่วม ใจ ในการปฏิบัตงิ านทำงาน สนองนโยบายชาติ ซง่ึ จะนำไปสูค่ วามสามัคคีของสมาชิกและเครือข่ายสถานศึกษา ๔.) เปน็ การปอ้ งกันการทำงานช้ำซ้อน ลดความ สิน้ เปลืองของทรัพยากรดว้ ยการทำงานร่วมกันอย่างมี ระบบ รู้บทบาทหนา้ ท่ขี องตนเองเพื่อนำไปสู่เปา้ หมายของสถานศึกษาในการทำงานร่วมกนั ๕.) เป็นเวทีกลางสำหรับการประสานความรว่ มมือในการจัดการศึกษาในสถานศึกษาจากทุกภาคส่วนที่ มีความประสงคจ์ ะทำงานรว่ มกนั ในรปู แบบเครอื ขา่ ยท้งั บุคลากรครู ชมุ ชน หน่วยงานทอ้ งถนิ่ ผู้ปกครองเป็นตน้ ๖.) เป็นการรวมพลังในการทำงานที่ยากๆ ที่คน หรือหน่วยงานเดียวไม่สามารถทำได้สำเร็จ ต้องอาศัย ความร่วมแรงร่วมใจของกลุม่ หรือทีมหรือหลายๆหนว่ ยงาน มารว่ มกนั ทำงานในลักษณะของเครือข่ายความรว่ มมือ สำนักงานคณะกรรมการพฒั นาระบบราชการ (กพร.) ได้กำหนดการปรับเปลี่ยนการบริหารราชการ ของหน่วยงานภาครัฐ ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในลักษณะของหุ้นส่วนการพัฒนา จะก่อให้เกิด ประโยชนต์ ่อหน่วยงานภาครฐั ในหลายประการ ได้แก่ ๑. การตัดสินใจที่มีคุณค่าและความหมาย เพราะภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดลำดับ ความสำคัญของโครงการ แผนงาน การใช้งบประมาณ ๒. การใช้ทรัพยากรอย่างรอบคอบ เพราะภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการติดตามและและ ประเมินผลการดำเนินงาน ๓. ภาคประชาชนได้เข้ามามสี ่วนเก่ยี วข้องอย่างสร้างสรรค์ เพ่อื หาทางแก้ไขปัญหาสาธารณะต่างๆ ทำ ใหแ้ นวทางเหลา่ น้นั ได้รบั การสนับสนุนเมอ่ื นำไปปฏบิ ัติ และทำใหภ้ าครฐั ไมต่ อ้ งทำงานในลักษณะโดดเดี่ยวตอ่ ไป ๔. การทำงานในลกั ษณะหุ้นส่วน โดยภาครฐั ปรบั เปล่ียนบทบาทเปน็ ผปู้ ระสานและอำนวยความ สะดวก ซึ่งสอดคล้องกับบทบาทภาครัฐในการบริหารราชการยุคใหม่ ทำให้หน่วยงานภาครัฐสามารถลดขนาดลง และทำงานได้อย่างมปี ระสิทธิภาพมากขึ้น เพราะมีหุ้นสว่ นการพัฒนามาช่วยแบ่งเบาภาระด้านค่าใช้จา่ ย บุคลากร และงบประมาณ ๕. ความสามารถในการให้บริการที่ดขี ้ึน เพราะสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่าง ทั่วถงึ มีประสิทธิภาพและตรงจดุ เช่น สาธารณสุข การศกึ ษา เปน็ ตน้ ๖. ความสัมพันธ์ระหว่างภาครัฐและประชาชนมีความไว้วางใจเป็นพื้นฐาน อันเป็นผลสืบเนื่องจากการได้ ร่วมคิด ร่วมทำและร่วมรับผลประโยชน์ รวมทั้งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและองค์ความรู้อย่างเปิดเผย ระหวา่ งกัน
27 วิชาภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลุ่มท่ี ๔ เรอ่ื งการบริหารงานระบบเครือข่าย จอมพงศ์ มงคลวนชิ กลา่ วว่า ประโยชนข์ องการมสี ่วนรว่ มบรหิ ารงานในรูปแบบเครือข่าย มดี งั นี้ ๑. ทำให้การบริหารหรือการพิจารณาแนวทางในการแก้ปัญหามีความหลากหลายเป็นไปอย่างถี่ถ้วน รอบคอบ เพราะเป็นการระดมแนวคิดจากบุคคลที่มีความหลากหลายทั้งด้านความรอบรู้และ ประสบการณ์ ๒. ทำใหม้ ีการถ่วงดลุ อำนาจซงึ่ กนั และกัน โดยมใิ ห้บคุ คลใดบุคคลหนงึ่ มอี ำนาจมากเกนิ ไป ซง่ึ อาจนำไปสู่ การใชอ้ ำนาจในทางทีไ่ ม่ถูกต้อง อันจะกอ่ ใหเ้ กิดผลเสยี หายแก่องคก์ ารได้ ๓. เป็นการขจัดปัญหามิให้มีการดำเนินนโยบายใดๆ มีผลต่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งมากหรือน้อยเกินไป ซึ่งจะ กอ่ ใหเ้ กดิ ความยตุ ิธรรมในการดำเนินการต่อทุกฝ่ายได้ ๔. กอ่ ให้เกดิ การประสานงานทีด่ ี ทำให้การบริหารงานเป็นไปอย่างราบรื่นและมปี ระสทิ ธิภาพ ๕. การรวมตัวกันของบุคคลเป็นเครือข่ายจะก่อให้เกิดพลังเข้มแข็ง สามารถขัดเคลื่อนกิจกรรมให้เป็นไป ตามวัตถุประสงคแ์ ละเปา้ หมาย โดยทกุ คนมคี วามรสู้ ึกเปน็ เจา้ ของ ดงั นน้ั เครือขา่ ยมปี ระโยชนเ์ กิดข้ึนกบั บุคลลากร หนว่ ยงานทางการศึกษาในดา้ นการเป็นเวทแี ลกเปล่ียน ประสบการณ์ การแลกเปลี่ยนทรัพยากร การประสานความร่วมมือในการจัดการศึกษา การหาแนวทางในการ จัดการกับปัญหาอุปสรรคต่างๆที่เกิดขึ้นร่วมกัน การถ่วงดุลอำนาจระหว่างกันตลอดจนสามารถสร้างระบบการ สอ่ื สารระหวา่ งกัน การเกิดนวตั กรรมใหมๆ่ และการตดิ ต่อสมั พนั ธ์ทดี่ ีต่อกนั ๙.กรณีศึกษาการบริหารงานระบบเครือขา่ ย มุมมองการบรหิ ารงานระบบเครือข่ายของโรงเรียนขนาดใหญ่ โดยนายเกรียงไกร แกว้ มีศรี ผอู้ ำนวยการโรงเรียนสุราษฎรธ์ านี การบริหารงานระบบเครือขา่ ย จะประกอบไปด้วย องคก์ รหลัก 3 องค์กร ดังนี้ 1.เครือข่ายคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำหน้าที่พิจารณา เสนอ ให้ข้อเสนอแนะ ร่วมกัน พัฒนาโรงเรียนตามกฎหมาย ให้ความเห็นชอบแผนการจัดการศึกษา จัดหาบุคคลกรทางการศึกษา งบประมาณ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาอื่นๆ คณะกรรมการมาจากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้ที่มีความรู้ความสามารถ หลากหลายด้าน 2.เครอื ข่ายสมาคมผูป้ กครอง เกดิ จากผูป้ กครองจากระดับช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี๑ ถงึ ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปี ท๖ี่ คดั เลอื กมาเปน็ ผนู้ ำเครือขา่ ยในการดแู ลประสานใหค้ วามร่วมมือในการจดั การเรยี นการสอนของครู การเรียนรู้ ของนักเรียน ส่งเสริมการพัฒนาสื่อนวัตกรรมต่างๆ ให้ข้อเสนอแนะวิธีการจัดการเรียนรู้และมีส่วนในการดูแล ช่วยเหลือนักเรียน เม่อื นกั เรยี นอยนู่ อกสถานศึกษา 3.สมาคมศิษย์เก่า มีบทบาทเรื่องการสื่อสารระหว่างผู้ปกครองและครูรวมไปถึงประสานงานลดช่องว่าง ระหว่างผู้ปกครองและครูในการดูแลนักเรียน คณะกรรมการเครือข่ายสมาคมผู้ปกครอง ครู มาจาก ผู้ปกครองท่ี เกษียณอายุราชการไปแล้ว ครูเก่าๆที่เคยช่วยเหลือโรงเรียนมาก่อน และตั้งเป็นสมาคมเป็นนิติบุคคลที่ถูกต้อง นอกจากนย้ี งั มีบทบาทในดา้ นวิชาการ การจดั กิจกรรม การสนบั สนนุ ดา้ นวสั ดุอปุ กรณต์ า่ งๆ
28 วชิ าภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลุม่ ท่ี ๔ เร่อื งการบรหิ ารงานระบบเครือขา่ ย ผลทไ่ี ด้จากการบริหารงานระบบเครือข่าย มดี ังน้ี ➢เครือข่ายคณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน ซงึ่ เกดิ จากบทบาทหน้าท่เี ปน็ หลัก บทบาทหนา้ ที่ทำ อย่างไรผลที่ได้ก็ยอ่ มเป็นเชน่ นัน้ กลา่ วคอื หากวา่ เราให้ข้อเสนอแนะในการบริหารจดั การศกึ ษาควบคู่ กบั ผ้บู รหิ าร ผลที่ไดค้ ือ งานในลักษณะของโครงการ ผลการปฏบิ ตั ิงาน ทิศทางในการพัฒนาและ ขับเคลอ่ื นนโยบายให้กับโรงเรียน และผลยอ่ มเกดิ กบั ผูเ้ รยี นเป็นหลกั ➢เครือข่ายสมาคมผู้ปกครอง ผลท่ไี ด้คือ เชอื่ มโยงประสานให้โรงเรยี นขจดั ปัญหาทมี่ ากระทบในเรอ่ื ง ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ จาการมารวมตัวกันของคนจำนวนมาก โรงเรียนสามารถส่ือสารระหวา่ งโรงเรียน ผู้ปกครองและนักเรียนสนบั สนนุ การจัดการเรยี นรู้ได้ ➢ สมาคมศิษยเ์ กา่ ผลที่ได้คือสนบั สนุนอุปกรณ์ งบประมาณตา่ งๆที่นอกเหนือจากงบกลางที่ทาง โรงเรยี นไดร้ ับจัดสรรจากรัฐ ทงั้ สามกลมุ่ น้ีมาชว่ ยสนบั สนุนโรงเรยี นจะทำใหโ้ รงเรียนมีความเข้มแขง็ มีความพร้อมในการพฒั นา โรงเรียน อาคารเรียน วสั ดุอุปกรณ์ เทคโนโลยีต่างๆ ปัญหาอุปสรรค ในการบริหารงาน การที่ทุกคน ผู้บริหาร ครู นักเรียน เครือข่ายต่างๆ ดำเนินไปตาม บทบาทหน้าที่ของตนเอง ไม่ก้าวล่วงหน้าที่ซึ่งกันและกัน ช่วยประสานความร่วมมอื ให้เกิดประโยชนแ์ ก่ผู้เรียนเปน็ สำคัญ ปัญหาก็จะไม่มี หากจะมีอุปสรรคที่อาจจะเกิดขึ้น ก็คือเรื่องผลประโยชน์ หากว่ากลุ่มต่างๆ เข้ามาใน สถานศกึ ษาเพอื่ หาผลประโยชน์อะไรบางอยา่ ง ปัญหาตา่ งๆก็จะเกดิ ขึน้ มุมมองของการบริหารจัดการเครอื ข่ายในอนาคต ต้ังใจที่จะนำเครือข่ายท้งั หมดมารว่ มกันพฒั นา โรงเรียนในทุกมติ ิ ไดแ้ ก่ มติ ดิ ้านกายภาพ ด้านสงั คม มิตดิ ้านนกั เรียน มิตดิ ้านวิชาการ ซึ่งเปน็ มติ ทิ ่เี ข้มแขง็ และ ประสบความสำเรจ็ มากในปจั จุบันของโรงเรยี นสรุ าษฎร์ธานี บทสรปุ สุดทา้ ยฝากไว้วา่ หากเครอื ข่ายในทุกองค์กรหลัก ถ้าสามารถจะหล่อหลอมใหเ้ ข้าใจตรงกนั ใน บทบาทหนา้ ที่ ไมม่ ผี ลประโยชน์แอบแฝง หากเร่ืองต่างๆเหลา่ น้ีสามารถบูรณาการกันได้สถานศกึ ษากจ็ ะดำเนินไป ได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและพัฒนาไปได้สูงสดุ แนน่ อน
29 วชิ าภาวะผู้นำทางการศึกษา กลุ่มที่ ๔ เรอื่ งการบริหารงานระบบเครือขา่ ย มุมมองการบริหารงานระบบเครือขา่ ยของโรงเรยี นขยายโอกาส นายรัฐกร ผดงุ กจิ ผอู้ ำนวยการโรงเรยี นวัดบางตะพาน ๑. แนวทางการดำเนนิ งานกลุม่ เครอื ข่ายการศกึ ษาของท่านในปัจจุบนั เป็นอยา่ งไร มกี ารวางแผนบรหิ ารเครือข่ายโดยจัดโครงสร้างการบรหิ ารงานเครือข่ายออกเป็นฝ่ายงาน ๔ ฝ่าย โดยการ จัดผังกลุ่มเครือข่าย ดังนี้ ๑.ประธานเครือข่าย ๒.รองประธานเครือข่าย ๓. เลขา ๔. บริหารงานวิชาการ ๕. บรหิ ารงานท่ัวไป ๖. บรหิ ารงานบุคคล ๗. บรหิ ารงานการเงิน บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในเครือข่าย มีการจัดกิจกรรมประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง มีการจัดระบบติดต่อส่ือสารภายในเครือข่ายโดยใช้กลุ่ม Line การจัดระบบสารสนเทศในการประชาสัมพันธ์ งานของเครือข่าย จัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ของผู้บริหารและครู ของโรงเรียนในเครือข่าย จัดระบบติดตาม ประเมินผลการทำงานด้านต่างๆของโรงเรยี นในเครอื ข่าย ๒. ผลที่ได้จากการการบริหารจดั การเครือข่ายสถานศึกษาของท่านมอี ะไรบ้าง ๑. ผูบ้ ริหารสามารถปรกึ ษากันและตดั สนิ ใจได้เร็ว แกป้ ญั หาไดเ้ รว็ ๒. ลดค่าใช้จา่ ยในการทำกิจกรรมตา่ งๆของโรงเรียน ๓. ให้คำปรึกษาบริการแกโ่ รงเรียนไดต้ รงความต้องการ ๔. ทำให้มแี หล่งขอ้ มูลเพมิ่ มากข้ึนในการบรหิ ารงานในโรงเรียน ๕. ทำให้มแี หล่งแลกเปล่ียนเรียนรใู้ นการบริหารงานทัง้ 4 ฝ่าย ๖. ทำให้การทำงานไดย้ ืดหยุ่นอาศัยความชำนาญหลายฝ่ายชว่ ยเสนอ ๓. ปญั หาอปุ สรรคในการบริหารจัดการเครือข่ายมีหรือไม่อย่างไร ถา้ มีทา่ นมีแนวทางการแก้ไขปัญหา นน้ั อยา่ งไร ปัญหาตอนนี้เรื่องสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด ๑๙ เลยทำให้การจัดกิจกรรมของเครือข่ายต้อง ลดลงหรือบางกิจกรรมตอ้ งยกเลิกไป กจิ กรรมท่ีจดั ก็ตอ้ งจัดในรปู แบบ Online เปน็ ส่วนใหญ่ ๔. มมุ มองการบรหิ ารจดั การเครือข่ายสถานศึกษาในอนาคตของท่านเป็นอย่างไร (ในสถานการณโ์ ควดิ -๑๙) สำหรับมุมมองการบริหารจัดการเครือข่ายในสถานการณ์ โควิด ๑๙ คิดว่าการบริหารงานในเครือข่าย ดำเนินงานไปตามโครงสร้างของงานแต่ละฝ่าย แต่ต้องปรับรูปแบบในการพูดคุยเป็นระบบ Online เพื่อลดการ พบปะและการแพร่ระบาดของโรค และกจิ กรรมบางอยา่ งกต็ ้องลดลงตามสถานการณ์ สรุป
30 วิชาภาวะผู้นำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เรอ่ื งการบรหิ ารงานระบบเครือข่าย มุมมองการบรหิ ารงานระบบเครือข่ายของโรงเรยี นขนาดกลาง นางพึงจิต แพวเิ ศษ รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรยี นท่าสะทอ้ นวทิ ยาเป็นโรงเรยี นมัธยมศกึ ษาขนาด กลาง อยใู่ นเครือขา่ ยสง่ เสริมประสิทธิภาพการจดั การมธั ยมศึกษาจังหวดั สุราษฎรธ์ านี ๑. แนวทางการดำเนนิ งานกลุ่มเครอื ข่ายการศกึ ษาของท่านในปจั จุบันเปน็ อย่างไร มีการบริหารงานแบบคณะกรรมการเครอื ข่าย ตวั แทนจากผูอ้ ำนวยการสถานศึกษาจากทกุ โรงเรียนใน จ.สุราษฎร์ธานี มีการคัดเลือก แต่งตั้งประธานเครือข่ายที่เป็นผู้อำนวยการจากโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษที่มีความ พร้อม มีศักยภาพ และเป็นโรงเรียนที่มีที่ตั้งอยู่เป็นศูนย์กลางในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ในการพัฒนาด้านวิชาการ พัฒนาศักยภาพครู นักเรียนในเครือข่าย และโรงเรียนขนาดเล็กอย่างโรงเรียนท่าสะท้อนจะมีบทบาทในการเป็น ผู้นำศูนยว์ ิชาการดา้ นกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และจะมีเครือข่ายย่อยๆ ออกเป็น ๓ สหวิทยาเขต คือ สหวิทยาเขตท่ี ๑ สหวิทยาเขตที่๒ และ สหวิทยาเขตที่๓ โดยการแต่งตั้งคณะกรรมการเครือข่ายย่อยอีกครั้งหนึ่ง การรวมศูนย์ เครือข่ายยอ่ ยจะรวมโรงเรยี นที่มีขนาดเล็กและมบี ริบทใกล้เคียงกนั มีจำนวนนักเรยี นใกล้เคียงกนั เพื่อแลกเปลี่ยน เรยี นรู้ และศึกษาแนวทางในการดำเนินงานต่างๆ เป็นเครือข่ายแบบโรงเรยี นพี่โรงเรียนน้อง ท่โี รงเรยี นพี่จะคอยให้ ความช่วยเหลือตา่ งๆ ท้งั ด้านวชิ าการ งบประมาณ การพัฒนาบคุ ลากร และการพฒั นาตัวนักเรียน ๒. ผลท่ีไดจ้ ากการการบรหิ ารจดั การเครือขา่ ยสถานศึกษาของท่านมีอะไรบา้ ง โรงเรียนได้รับการช่วยเหลือ และได้รับโอกาสในการพัฒนาบุคคลกร จากการอบรม ประชุมต่างๆ ที่โรงเรียนอาจจะขอเข้าร่วมกับโรงเรียนเครือข่ายเพื่อไม่ให้กับทบกับงบประมาณของโรงเรียนด้วย ส่วนด้าน นักเรียน จะขอความอนุเคราะห์จากเครือข่ายในการติว o-net ร่วมกัน เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาและโรงเรยี น ไดย้ ังไดแ้ นวทางในการพฒั นาโรงเรยี นตอ่ ไปอีกดว้ ย ๓. ปญั หาอปุ สรรคในการบริหารจัดการเครือข่ายมหี รือไม่อย่างไร ถ้ามีทา่ นมีแนวทางการแก้ไขปัญหา นัน้ อยา่ งไร ปัญหาทีพ่ บในเครือข่ายระดบั ใหญ่ คือ การส่ือสาร กิจกรรมทีไ่ ม่ได้ออกเป็นหนังสือราชการ ทางโรงเรียนก็ อาจจะไม่ทัน หรือไม่ทราบข่าวสารและในสถานการณ์โควิด ภายใต้ปัญหาน้ีก็จะมีด้านดี ในการติดต่อสื่อสารของ กลมุ่ เครือข่ายคือการจัดกิจกรรมโดยผ่านทางออนไลน์ ผ่านกล่มุ line ของเครือข่าย และโรงเรยี นพยายามนำเสนอ ผลงานของโรงเรยี น ผบู้ ริหาร ผ่านทางการประชาสมั พันธก์ ลุม่ เครอื ข่ายดว้ ย ๔. มุมมองการบรหิ ารจดั การเครอื ขา่ ยสถานศกึ ษาในอนาคตของท่านเป็นอยา่ งไร (ในสถานการณ์โควิด-๑๙) ในสถานการณ์ปัจจุบันต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการจัดการองค์ความรู้ โดยผ่านระบบของ เครอื ขา่ ย แลกเปลี่ยนเรยี นรู้ซ่ึงกันและกนั ในเครือข่ายและพยายามผลักดันให้โรงเรยี นได้มสี ่วนร่วมในกิจกรรมของ เครอื ข่ายมากข้ึน
31 วิชาภาวะผนู้ ำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เร่ืองการบริหารงานระบบเครือข่าย บรรณานุกรม กาญจนา แกว้ เทพ. เครื่องมอื การทำงานแนววฒั นธรรมชมุ ชน. กรุงเทพมหานคร: สภาคาทอลกิ แหง่ ประเทศไทยเพ่ือการพฒั นา, ๒๕๓๘. เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศศ์ ักด.ิ์ การจดั การเครอื ข่าย:กลยุทธ์สำคัญสคู่ วามสำเร็จของการปฏิรปู การศกึ ษา. กรงุ เทพมหานคร: สถาบันอนาคตศกึ ษาเพื่อการพัฒนา, ๒๕๔๓. นฤมล นิราทร. การสร้างเครือขา่ ยการทำงาน: ขอ้ ควรพิจารณาบางประการ. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๓. บัณฑร อ่อนดำและคณะ. ยุทธศาสตรใ์ นการพัฒนาชนบท. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์เจริญ วิทยาการพิมพ์, ๒๕๒๔. ประเวศ วะสี. ชมุ ชนเข้มแข็ง ทุนทางสังคมไทย หนังสือชุดชุมชนเข้มแขง็ ลำดับท่ี ๑. กรงุ เทพมหานคร: สำนกั งานกองทนุ เพอื่ สังคมและธนาคารออมสนิ , ๒๕๔๑. ปาริชาติ วลัยเสถียร. กระบวนการและเทคนคิ การทำงานของนกั พัฒนา. กรงุ เทพมหานคร: โครงการสง่ เสริมการเรยี นรู้เพื่อชุมชนเป็นสขุ , ๒๕๔๓. พระมหาสุทติ ย์ อาภากโร. เครือขา่ ย : ธรรมชาตคิ วามรู้และการจดั การ. กรุงเทพมหานคร: โครงการ เสริมสร้างการเรียนรู้เพื่อชมุ ชนเป็นสุข (สรส), ๒๕๔๗. สหทั ยา วเิ ศษ. เครอื ขา่ ย:ธรรมชาตคิ วามรู้และการจัดการ. องคก์ ารเครือขา่ ยในจังหวัดพะเยา นนทบรุ ี: แขนงวิชารฐั ศาสตรม์ หาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๗. เสรี พงศพ์ ิศ. เครอื ขา่ ย:ยุทธวธิ เี พ่อื ประชาคมเข้มข้น ชุมชนเขม้ แข็ง. กรุงเทพมหานคร: เจรญิ วทิ ย์การพมิ พ์, ๒๕๔๘. สนธยา พลศรี. เครอื ข่ายการเรยี นรู้ในงานพฒั นาชมุ ชน. กรุงเทพมหานคร: โอเอสพรินตงิ เฮา้ ส์, ๒๕๕๐. อรรณพ พงษว์ าท. การบรหิ ารเพอื่ การปฏิรปู การศึกษา. กรุงเทพมหานคร: เยลโลการพิมพ์, ๒๕๔๔. ภัทรวรรธน์ นลิ แกว้ บวรวชิ ญ์. “รปู แบบการพัฒนาเครือขา่ ย ความร่วมมือทางวชิ าการของสำนักงาน เขตพ้นื ทป่ี ระถมศึกษา สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน”, ดุษฎนี พิ นธ์ปรัชญาดษุ ฎี บณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศกึ ษา. คณะศึกษาศาสตร์: มหาวทิ ยาลยั บรู พา, ๒๕๕๙. รงุ่ โรจน์ เพชระบูรณนิ . “เครือข่ายภาคประชาชนในการป้องกนั และแก้ไขปญั หาการทจุ ริต คอรัปชนั่ ”. วทิ ยานพิ นธป์ ริญญาดษุ ฎีบัณฑติ , บณั ฑติ มหาวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๖. ธนา ประมขุ กูล. “เครือข่าย”. สง่ เสรมิ สุขภาพและอนามยั สิง่ แวดล้อม, ปที ี่๒๔ ฉบบั ท๓่ี (กรกฎาคม- กนั ยายน): ๒๓-๒๘. ธเนศ ศริ กิ จิ , การสร้างเครอื ขา่ ยและการสอ่ื สารอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ, สอื่ การบรรยาย, (ม.ป.ป.) หนา้ ๖. (อัดสำเนา). วชิ ิต สุรตั นเ์ รืองชัย และคณะ. “โครงการวิจยั และพัฒนาการสง่ เสรมิ นวัตกรรมเครอื ขา่ ยการเรียนรู้
32 วิชาภาวะผ้นู ำทางการศึกษา กลมุ่ ที่ ๔ เรอ่ื งการบริหารงานระบบเครือข่าย ของครแู ละบคุ ลากรทางการศึกษาเพือ่ พฒั นาคณุ ภาพผเู้ รียนระยะที่ ๑”. คณะศึกษาศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยบรู พา หนา้ ๒๓-๒๕. (อดั สำเนา). ขนษิ ฐา กาญจนรังสนี นท์. การสร้างเครือข่ายเพอ่ื การพัฒนา. กรงุ เทพมหานคร: เอกสาร ประกอบการเรยี น ภาควิชาการพฒั นาชุมชน, คณะสงั คมสงเคราะห์ศาสตร์,มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร,์ ๒๕๔๐), หนา้ ๘. (อัดสำเนา).
Search
Read the Text Version
- 1 - 34
Pages: