ความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม วฒั นธรรมทางภาษา คนไทยทกุ ภาคทุกทอ้ งถิน่ แมจ้ ะพดู ภาษาไทย แตจ่ ะมีสาเนยี งทแ่ี ตกต่างกันในแตล่ ะ ภูมภิ าค เรยี กวา่ ภาษาถิน่ ภาคเหนือ พอ่ แม่ = ป้อ แม่,พีช่ าย=อา้ ย(เปรียบไทใหญ่ อ้าย “พชี่ ายคน แรก”,พ่ีสาว=ป้(ี เย้ย,เย,้ ใย้),ฝรงั่ (ผลไม้)= บะกว้ ยก๋า(จาก หมากกล้วยกา) ภาคกลางเป็นภาษาถิ่นภาคกลางทย่ี อมรบั กนั ว่าเปน็ ภาษามาตรฐานที่ กาหนดใหค้ นในชาตใิ ชร้ ว่ มกัน เพ่อื ส่อื สารให้ตรงกัน เชน่ พอ่ แม่ ชมพู่ มะมว่ ง ข้าวโพด ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ กินเขา้ แลว้ บ่=กนิ ข้าวหรือยงั , ก่ีซี้นงัว=เนอ้ื ววั ย่าง,งามเตบิ =สวยมาก, งึดแฮง, งดึ หลาย= ประหลาดใจเหลือเกิน ประหลาดใจมาก, ภาคใต้ ถุงพลาสตกิ แบบท่มี หี ูหวิ้ =ถงุ กรอบแกรบ,เละเทะ เละตมุ้ เปะ=เนยี น แจก็ แจก๊ ,ยงุ่ เร่ืองของคนอืน่ =ทาถา้ ว,ไม่เอาไหน=เบลอ่ ,ดุร้าย=ด้น,กดั =ขบ
วัฒนธรรมทางด้านการกิน ในแต่ละทอ้ งถน่ิ จะมกี ารปรงุ อาหาร ซ่ึงเปน็ วฒั นธรรมที่สบื ทอดกนั มานาน ใช้วตั ถดุ บิ ทหี่ าได้ในท้องถ่นิ แตแ่ ตกต่างกนั อาหารก็จะมรี สชาตแิ ตกตา่ งกันไปตามรสนิยมของแตล่ ะภาค ภาคเหนอื แกงโฮะ คาวา่ โฮะ แปลวา่ รวม แกงโฮะก็คือแกงท่นี าเอาอาหารหลายอย่างมา รวมกนั สมยั กอ่ นแกงโฮะมักจะทาจากอาหารหลายอยา่ งทเ่ี หลอื จากงานบุญ มาผัดรวมกนั แตป่ ัจจุบนั ใชเ้ คร่ืองปรุงใหมท่ าก็ไดห้ รอื จะเป็นของท่ีค้างคืน และนามาปรุงใหม่อีกคร้ังหนงึ่ แกงโฮะเป็นอาหารที่นิยมแพรห่ ลายมขี ายกนั แทบทกุ รา้ นอาหารพ้ืนเมืองในภาคเหนอื ข้าวซอย เป็นอาหารของไทล้อื ทน่ี ามาเผยแพร่ในล้านนาหรือ ภาคเหนอื ตามตารับเดิมจะใชพ้ ริกป่นผดั โรยหน้าดว้ ย นา้ มนั เมือ่ มาสู่ครัวไทยภาคเหนอื กป็ ระยกุ ต์ใช้พรกิ แกงคว่ั ใส่กะทลิ งไปกลายเป็น เค่ยี วให้ขน้ ราดบนเสน้ บะหม่ี ใส่ เน้อื หรือไก่ กินกบั ผักกาดดอง หอมแดงเปน็ เคร่ืองเคยี ง แกงฮงั เล เปน็ อาหารพน้ื บา้ นของชาวไทใหญอ่ ีกชนดิ หนง่ึ ซง่ึ อาจได้รบั อิทธิพลมา จากอาหารพม่าในอดีต เป็นแกงทที่ าได้งา่ ย ใส่พริกแหง้ ผงแกงฮังเล มะเขอื เทศ และเนื้อ แลว้ นามาผดั รวมกนั
ภาคกลาง ตม้ ยาก้งุ ตม้ ยานา้ ข้น ตม้ ยาน้าข้นถูกเขา้ ใจว่าเป็นต้นตารบั ของต้มยา แต่แท้ท่ีจริง แล้ว เป็นเพยี งการพัฒนามาจากตม้ ยานา้ ใสอกี ทีหนึง่ เพราะเริ่มในสมัย รชั กาลท่ี 6 ชว่ งทีท่ ่านเสดจ็ ประพาสไปเสวยเหลาแถวสามยา่ น สมยั น้ันมีเส หลาของคนจีนเข้ามาใหมร่ า้ นหน่ึง เสหลาแหง่ น้ันทาต้มยากงุ้ ใส่นมเปน็ น้า ขน้ นาพรกิ -ปลาทู น้าพรกิ มมี าตง้ั แต่สมัยกรงุ ศรีอยุธยา โดยคาว่า \"นา้ พริก\" มคี วามหมายมาจาก การปรุงด้วยการนาสมนุ ไพร นา้ พริกปลาทู เปน็ เมนูอาหารที่มีการตานา้ พริก และใส่ปลาทนู ่งึ เขา้ ไปตาร่วมด้วย ปรุงรสใหอ้ อกเผด็ เปรี้ยว เค็ม รบั ประทาน กบั ผักสด ผกั ต้ม นานาชนดิ การปรงุ นา้ พริกใหอ้ รอ่ ยควรใช้ครก แกงเขยี วหวาน ในสมัยกอ่ นน้ัน แกงไทยๆ จะเปน็ แกงเลยี งซะสว่ นใหญ่ และเป็นแกงป่า ตามมาเพราะจะไมใ่ สก่ ะทิตอ่ มามแี กงใส่กะทิเข้ามาในครัว ก็จงึ มีแกงเผด็ หรือที่หลายทอ้ งถน่ิ เขาเรียกกันและคนไทยชา่ งคิด เปล่ียนพรกิ แหง้ สแี ดง มาใช้พริกสดสีเขียวแทนและใสใ่ บพริกสดลงไปตาด้วยในนา้ พรกิ แกง นั้นๆ เพอื่ ใหม้ สี ีเขยี วท่ีเดน่ ชดั ขึ้น
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื สม้ ตา คาว่า \"สม้ ตา\" นัน้ เกิดจากคาสองคาทีน่ ามาผสมกนั ได้แก่คาว่า \"ส้ม\" ซง่ึ เป็นภาษาท้องถิ่นของภาคอีสานทีม่ ีความหมายว่า รสชาติเปรย้ี ว และคาว่า \"ตา\" น้ันกค็ อื การใช้อปุ กรณ์ เครือ่ งครวั ชนิดหน่ึงหรอื กค็ ือ สาก โดยเราจะใช้สากโขลกลงไป เพือ่ ให้วตั ถดุ ิบท้ังหมดเข้ากนั และเมือ่ นาท้ังสองคานี้มา รวมกันก็จะหมายความวา่ อาหารรสเปรยี้ วที่เกิดจากการโขลก หรือตาน่ันเอง อย่างไรก็ตามตาส้มของคนอีสานนนั้ มี ความหมายกวา้ งๆ คนทางภาคอสี านเรียกสม้ ตาว่า ตาบกั หงุ่ หรือตาหมากหุ่ง ม่มั คือไส้กรอกอสี าน ใชเ้ น้อื วัวสับหรอื ตับที่เรียกวา่ “มัม่ ตบั ” นามายดั ใสใ่ นกระเพาะปัสสาวะของววั คนอีสานนยิ มทอดหรอื ย่าง จ้มิ กบั น้าพรกิ หรือแจว่ รับประทานเสนห่ อ์ าหารพน้ื บ้าน อสี านอย่ทู ีร่ ูปแบบการปรุง วตั ถดุ บิ เครอ่ื งปรุงรสชาติ ปลารา้ ทน่ี ามาผสมผสานกัน อยา่ งกลมกลืน สะทอ้ นให้เห็นวฒั นธรรมอาหารของคนอีสานอนั เปน็ ลกั ษณะเฉพาะถิน่ เป็นสำรับอำหำรท่ีคนทวั่ ไปยอมรับในควำมอร่อยและอดุ มด้วยคณุ คำ่ ทำงโภชนำกำร คนภาคอสี าน
ภาคใต้ แกงไตปลา ข้าวยา ชวี ิตของคนภาคใต้เก่ียวข้องกับท้องทะเล อาหารการกินส่วนใหญม่ า ขา้ วยาของชาวใต้ จะอร่อยหรือไม่ก็ข้ึนอยกู่ บั นา้ บดู ูเปน็ สาคญั นา้ บดู มู ี จากทะเล ซงึ ถา้ มมี ากเกินรับประทานกจ็ ะนาอาหารทไี่ ดจ้ ากทะเล รสเคม็ แหลง่ ทม่ี กี ารทาน้าบดู มู ากคือจังหวัดยะลาและปตั ตานี เวลา นั้นมาทาการถนอมอาหาร ไตปลา หรือพุงปลาไดจ้ ากการนาพงุ ปลา นามาใสข่ า้ วยาตอ้ งเอานา้ บดู ูมาปรุงรสก่อน จะออกรสหวานเลก็ นอ้ ย ทูมารีดเอาไสใ้ นออก ลา้ งพุงปลาใหส้ ะอาดแล้วใส่เกลือหมักไว้ แลว้ แตค่ วามชอบ นา้ บดู ูของชาวใตม้ กี ลิ่นคาวของปลาเพราะทามาจาก ประมาณ 1 เดอื นขน้ึ ไป หลังจากนนั้ จงึ จะนามาปรุงอาหารได้ ปลา กลิ่นคลา้ ยของทางภาคอสี าน ลกู ปลาควั่ เกลอื แกงสม้ ออกดิบ (คูน) ลูกปลาคั่วเกลือเป็นอาหารปลาประเภทหนึ่งที่นิยมรับประทานกนั โดยใช้ แกงสม้ ออกดิบ มีสว่ นประกอบของเครื่องปรุงสว่ นใหญ่ออกไปทางรสเผด็ ลูกปลาเล็กปลานอ้ ยท่หี าได้จากทะเล นามาผสมเครือ่ งปรุงและคั่วเกลือ ร้อน เปรย้ี ว สรรพคุณชว่ ยในการขบั ลม ช่วยใหเ้ จริญอาหาร มะนาวและ จนแห้ง ลูกปลาท่นี ิยมนามาควั่ คอื ลกู ปลากะตักหรือลกู ปลาไสต้ นั สม้ แขกมรี สเปรี้ยว สรรพคุณช่วยแกไ้ อ ขับเสมหะและมีวิตามินซสี งู ลูกปลาค่ัวเกลอื เปน็ อาหารทใ่ี หแ้ คลเซยี มสงู มาก จากปลาเล็กปลานอ้ ย ผสมรวมกบั เครือ่ งปรงุ ก็จะชว่ ยเพมิ่ รสชาติ กระตุ้นให้เจริญอาหารได้ดี
วัฒนธรรมดา้ นการแตง่ กาย คนไทยในแตล่ ะภาคมแี บบแผนการแตง่ กายของตนเองมานาน มี การเปล่ียนแปลงให้ดูเหมาะสมไปตามยคุ สมัย และการแตง่ กาย ตามแบบสากลนิยมกไ็ ดร้ ับการนิยมอย่างแพร่หลาย ภาคเหนือ การแต่งกายของคนภาคเหนือท่เี ป็นชาวบา้ นทว่ั ไป ชายจะนุง่ กางเกงขายาวลักษณะแบบ กางเกงขายาวแบบ 3 ส่วน เรยี กติดปากว่า “เตีย่ ว” หรือ เต่ียวสะดอ ทาจากผ้าฝ้าย ย้อม สนี ้าเงินหรือสีดา สว่ นเส้ือก็นยิ มสวมเส้ือผ้าฝ้ายคอกลม แขนสัน้ แบบผา่ อก กระดมุ 5 เม็ด สนี า้ เงินหรอื สดี า เช่นเดียวกัน เรยี กว่า เสอื้ ม่อฮอ่ ม ชดุ นีใ้ ส่เวลาทางาน สาหรบั หญิงชาว เหนอื จะนงุ่ ผา้ ซน่ิ (ผา้ ถงุ )ยาวเกือบถึงตาตมุ่ นิยมนุ่งทัง้ สาวและคนแก่ ผา้ ถุงจะมีความ ประณีต งดงาม ตีนซิน่ จะมลี วดลายงดงาม ส่วนเสือ้ จะเปน็ เสื้อคอกลม มีสีสนั ลวดลาย สวยงามเชน่ เดียวกัน เรือ่ งการแต่งกายนี้ หญิงชาวเหนอื จะแต่งตวั ให้สวยงามอยู่เสมอ ชาว เหนือถือวา่ เป็นเร่อื งสาคญั จนถึงกับมคี าสภุ าษติ ของชาวเหนอื สั่งสอนสบื ตอ่ กนั มาเลยวา่ ภาคกลาง ผชู้ าย สมัยก่อนการเปลีย่ นแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวมใสโ่ จงกระเบนสวม เสอื้ สขี าว ติดกระดุม 5 เม็ด ที่เรียกว่า “ราชประแตน” ไว้ผมสั้นขา้ งๆตัดเกรยี นถงึ หนงั ศรี ษะข้างบนหวีแสกกลาง ผู้หญิง สมัยกอ่ นการเปล่ียนแปลงระบอบการปกครอง นิยมสวมใสผ่ ้าซ่ินยาวครึ่งแข้ง ห่มสไบเฉียงตามสมัยอยธุ ยา ทรงผมเกล้าเป็นมวย และสวมใสเ่ ครื่องประดับเพอื่ ความ สวยงาม
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ ผชู้ าย ส่วนใหญน่ ยิ มสวมเสอ้ื แขนสน้ั สเี ข้มๆ ที่เราเรียกวา่ “ม่อห่อม” สวม กางเกงสเี ดียวกับเสอ้ื จรดเข่า นิยมใชผ้ า้ คาดเอวดว้ ยผา้ ขาวม้า ผ้หู ญิง การแต่งกายสว่ นใหญ่นยิ มสวมใส่ผา้ ซิ่นแบบทอท้ังตัว สวมเสอื้ คอ เปิดเลน่ สีสนั หม่ ผ้าสไบเฉียง สวมเครื่องประดับตามข้อมือ ขอ้ เท้าและคอ ภาคใต้ การแต่งกายภาคใต้ ภาคนีม้ ีการแต่งกายต่างกันตามเชื้อชาติ ถา้ เชอื้ สาย จนี จะแต่งแบบจีน ถ้าเป็นชาวมุสลมิ ก็จะแตง่ คล้ายกบั ชาวมาเลเซีย ปจั จบุ นั แหล่งทาผา้ แบบดัง้ เดิมน้ันเกือบจะสญู หายไป คงพบได้เฉพาะ 4 แหล่งเท่าน้ันคอื ท่ีตาบลพุมเร้ียง จงั หวัดสรุ าษฎร์ธานี , อาเภอเมอื ง จังหวัดนครศรีธรรมราช , เกาะยอ จงั หวดั สงขลา และตาบลนาหมื่นศรี จังหวัดตรงั
ฟ้อนเล็บ หมอลา ฟอ้ นเทยี น เซงิ ภาคเหนือ วฒั นธรรมดา้ นการแสดง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการละเล่นพืนเมอื ง ภาคกลาง ภาคใต้ ลิเก รามโนราห์ เต้นการาเคยี ว หนังตะลุง
ประเพณพี ืนเมอื ง ประเพณพี ื้นเมืองท่ีเดน่ ๆ ของแตล่ ะภูมภิ าค ได้แก่ ภาคเหนือ เชน่ ประเพณีสืบชะตา เป็นพธิ ตี ่ออายุให้แก่ตนเอง ญาติพีน่ ้อง และบา้ นเมอื ง ใหม้ คี วาม เจรญิ รงุ่ เรืองและความเป็นสริ มิ งคล ภาคกลาง เช่น ประเพณีตักบาตรนา้ ผงึ้ เปน็ การถวายเภสัชหรอื ยาแก่พระสงฆ์
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ เช่น ประเพณบี ญุ บงั ไฟ จัดขึนเพ่ือขอฝนตกต้องตามฤดกู าล ภาคใต้ เช่น ประเพณีสารทเดือนสิบ เป็นประเพณีทีไ่ ด้รับอทิ ธิพลมาจากศาสนาพราหมณ์-ฮนิ ดู เปน็ การ อุทิศส่วนกุศลให้แก่ผทู้ ี่ล่วงลับไปแลว้
Search
Read the Text Version
- 1 - 10
Pages: