44 โทษของแรงเสยี ดทาน ไดแก แรงทฉี่ ุดร้ังไมใ หวัตถเุ คลอื่ นท่ี หรือเคลื่อนท่ไี ดชา เชน - ถาลอ รถยนตก บั พน้ื ถนนถา มีแรงเสยี ดทานมากรถยนตจะแลนชา ตองใชนํ้ามันเชื้อเพลิงมาก ขึน้ เพื่อใหรถยนตมีพลังงานมากพอท่ีจะเอาชนะแรงเสียดทาน - การเคล่ือนตูขนาดใหญ ถาใชว ิธผี ลกั ตปู รากฏวา ตเู คลอ่ื นทยี่ ากเพราะเกดิ แรงเสยี ดทาน จะตองออกแรงผลกั มากข้นึ หรือลดแรงเสยี ดทาน โดยใชผา รองขาตเู พอ่ื ลดแรงเสยี ดทาน จงอธิบายถึงความหมายและประโยชนข องแรงลอยตัว แรงลอยตัว คือ แรงลัพธท่ีของไหลกระทาํ ตอ ผวิ ของวัตถุทจ่ี มบางสวนหรือจมท้ังชิ้นวัตถุซ่ึงเปน แรงปฏิกิริยาโตตอบในทิศทางข้ึนเพื่อใหเกิดความสมดุลกับการที่วัตถุมีนํ้าหนักพยายามจมลงอัน เน่ืองมาจากแรงโนมถวงของโลก ขนาดของแรงลอยตัวมีคาเทากับน้ําหนักของของไหลท่ีมีปริมาตร เทา กับวตั ถุสวนทจี่ ม ซึ่งสามารถพสิ ูจนไ ดโ ดยพจิ ารณาวตั ถุทีจ่ มในของไหล “แรงลอยตวั จะเทา กบั นาํ้ หนกั ของของเหลวที่ถกู แทนที”่ ปจจยั ท่ีเก่ียวขอ งกบั แรงลอยตวั ไดแ ก 1. ชนิดของวัตถุ วัตถจุ ะมีความหนาแนนแตกตา งกนั ออกไปยิ่งวัตถุมีความหนาแนน มาก ก็ยงิ่ จมลงไปในของเหลวมากยิ่งขน้ึ 2. ชนิดของของเหลว ย่ิงของเหลวมีความหนาแนนมาก ก็จะทาํ ใหแรงลอยตัวมขี นาดมากข้ึนดวย 3. ขนาดของวตั ถุ จะสงผลตอปรมิ าตรท่จี มลงไปในของเหลว เมื่อปรมิ าตรทีจ่ มลงไปใน ของเหลวมาก กจ็ ะทาํ ใหแรงลอยตวั มีขนาดมากขึน้ อีกดว ย ประโยชนข องแรงลอยตวั - ใชใ นการประกอบเรือไมใหจมน้ํา - ใชท าํ ชูชีพในการชวยเหลอื ผปู ระสบภัยทางน้าํ - ใชทาํ เครื่องมือวดั ความหนาแนน ของวตั ถุ วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 51 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
45 จงอธบิ ายกฎการเคลื่อนทข่ี องนิวตนั และประโยชนท ีน่ าํ มาใช นิวตันไดคนพบทฤษฎโี ดยบงั เอญิ เหตกุ ารณเ กดิ ข้นึ ในวันหนึง่ ขณะท่ีนิวตันกําลังน่ังดูดวงจันทร แลว กเ็ กดิ ความสงสยั วา ทําไมดวงจนั ทรจึงตองหมุนรอบโลก ในระหวางท่เี ขากําลังนั่งมองดวงจันทรอยู เพลนิ ๆ กไ็ ดย นิ เสียงแอปเปลตกลงพ้ืน เม่ือนิวตันเห็นเชนนั้นก็ให เกิดความสงสัยวาทําไมวัตถุตาง ๆ จงึ ตองตกลงสูพื้นดินเสมอทําไมไมลอยข้ึนฟาบาง ซึ่งนิวตันคิดวาตองมีแรงอะไรสักอยางที่ทําใหแ อป เปล ตกลงพื้นดิน จากความสงสัยขอน้ีเอง นิวตันจึงเริ่มการทดลองเก่ียวกับแรงโนมถวงของโลก การ ทดลองครั้งแรกของนวิ ตนั คือ การนาํ กอ นหนิ มาผกู เชอื ก จากน้ันก็แกวงไปรอบ ๆ ตัว นิวตนั สรุปจาก การทดลองครั้งนี้วาเชือกเปนตัวการสําคัญที่ทําใหกอนหินแกวงไปมารอบ ๆ ไมหลุดลอยไป ดังน้ัน สาเหตทุ ีโ่ ลก ดาวเคราะหตองหมุนรอบดวงอาทิตยและดวงจันทรตองหมุนรอบโลก ตองเกิดจากแรง ดึงดูดที่ดวงอาทิตยที่มีตอโลก และดาวเคราะห และแรงดึงดูดของโลกท่ีสงผลตอดวงจันทร รวมถึง สาเหตทุ ี่แอปเปล ตกลงพ้นื ดินดว ยก็เกดิ จากแรงดงึ ดูดของโลก นิวตันจงึ สรปุ ไดวา เม่ือแรงถูกกระทํากับวตั ถหุ นงึ่ วัตถุนั้นสามารถไดร ับผลกระทบ 3 ประเภทดงั นี้ 1. วตั ถุทอี่ ยูน่งิ อาจเร่มิ เคลอ่ื นที่ 2. ความเร็วของวัตถุทก่ี าํ ลงั เคลอ่ื นท่อี ยูเปล่ยี นแปลงไป 3. ทิศทางการเคลื่อนทข่ี องวตั ถุอาจเปลย่ี นแปลงไป กฎการเคลื่อนที่ของนวิ ตนั มีดวยกนั 3 ขอ 1. วัตถุจะหยุดน่ิงหรือเคล่ือนที่ดวยความเร็วและทิศทางคงที่ไดตอเน่ืองเม่ือผลรวมของแรง (แรงลพั ธ) ทีก่ ระทําตอวัตถุเทา กับศนู ย 2. เม่ือมีแรงลัพธที่ไมเปนศูนยมากระทําตอวัตถุ จะทําใหวัตถุท่ีมีมวลเกิดการเคลื่อนท่ีดวย ความเรง โดยขนาดของแรงจะเทากบั มวลคณู ความเรง 3. ทุกแรงกริ ยิ ายอ มมแี รงปฏิกริ ิยาทมี่ ขี นาดเทากนั แตท ิศทางตรงกันขามเสมอ ประโยชนข องแรงดึงดดู ทง้ั ประโยชนโดยตรงและประโยชนโดยออ ม เชน 52 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
46 1. แรงดึงดูดของโลกทําใหวัตถุตาง ๆ บนพ้ืนโลกไมหลุดลอยออกไปจากโลก โดยเฉพาะ บรรยากาศท่ีหอ หุมโลกไมใหลอยไปในอวกาศ จึงทําใหม นษุ ยด าํ รงชีวติ อยูได 2. แรงดงึ ดูดของโลกทาํ ใหน ํ้าฝนตกลงสพู น้ื ดนิ ใหค วามชมุ ชืน่ แกส งิ่ มชี วี ิตบนพน้ื โลก 3. แรงดงึ ดูดของโลกทําใหน้ําไหลลงจากท่สี ูงลงสทู ีต่ า่ํ ทําใหเ กิดนํ้าตก นาํ้ ในแมน้ําไหลลงทะเล คนเรากอ็ าศัยประโยชนจ ากการไหลของนา้ํ อยางมากมาย เชน การสรางเข่อื นแปลงพลังงานนํ้ามาเปน พลงั งานไฟฟา เปน ตน แรงดนั ของของเหลวและของไหลมปี ระโยชนอยางไรบา ง แรงดนั หรือความดนั ของอากาศที่กระทาํ ตอพื้นผิวโลกเรียกวา ความดันบรรยากาศ ซ่ึงเปนท่ี ทราบกนั ดวี า ของเหลวก็มคี วามดนั ซ่งึ ความดันของของเหลวข้ึนอยูกับปจจัย 3 ประการ คือ ความลึก หรอื ความสงู ความหนาแนน ของของเหลว และแรงโนมถว งของโลก วิธกี ารวัดความดันบรรยากาศ อาจทาํ ไดโดยใชเ ครอ่ื งมอื ท่ีเรียกวา บารอมิเตอร(barometer) ผูประดิษฐบารอมิเตอรเคร่ืองแรกของโลกคือนักคณิตศาสตรชาวอิตาลี ชื่อ ทอรริเชลลี ในป ค.ศ. 1643 เครื่องมือประกอบดวยอางท่ีเติมสารปรอท และหลอดแกวขางในบรรจุดวยปรอทใหเต็มแลว ควํ่าหลอดแกวลงในอางปรอท ดังรูปดานลาง (ปรอทเปนธาตุอีกชนิดหนึ่งท่ีมีสถานะเปนของเหลวท่ี อณุ หภมู หิ อง มคี วามหนาแนน เทากับ 13.4 g/ml) ประโยชนของแรงดนั - ใชคาํ นวนความสงู ของช้ันบรรยากาศ และวดั ความลกึ ของระดบั น้ําทะเล - ใชในทางกลศาสตรใ นระบบไฮโดรลิค ของเครื่องมอื ชนดิ ตาง ๆ - ใชใ นการผลติ กระแสไฟฟา ดวยพลงั น้าํ - ใชใ นอตุ สาหกรรม และธรุ กิจการบนิ - กาลกั นา้ํ ฯลฯ วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 53 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
47 บทที่ 11 พลงั งานในชวี ิตประจาํ วนั และการอนรุ กั ษพ ลงั งาน เนอื่ งจากพลงั งานไฟฟา เปน พลังงานทม่ี ีความสําคญั ในชีวติ ประจําวนั เปน อยา งมาก ทานมคี วาม เขา ใจเกยี่ วกบั พลงั งานไฟฟา อยางไร และมวี ธิ อี นรุ กั ษก ารประหยดั พลังงานไฟฟา อยา งไรบาง พลงั งานไฟฟา หมายถึงพลงั งานรูปแบบหนึ่งทเ่ี กดิ จากการเคลื่อนทีข่ องอเิ ลคตรอนซึง่ สามารถ เปลยี่ นไปเปน พลังงานอีกรปู แบบหนึง่ ได พลงั งานไฟฟาเกดิ จากแหลง กาํ เนิดหลายประเภท ไดแ ก 1. ไฟฟา จากการขัดสี เกิดจากการนําวัสดุตางชนิดกันมาขัดถูแลวทําใหเกิดอํานาจอยางหน่ึง ข้ึนมา และสามารถดูดวัตถุอนื่ ๆทเ่ี บาบางได เราเรยี กอํานาจน้นั วา ไฟฟาสถิต ซ่งึ เมอ่ื เกิดขึ้นแลวจะอยู ในวัตถไุ ดช ัว่ ขณะหนง่ึ แลว หลังจากนนั้ กจ็ ะคอ ยๆเสอ่ื มลงไปจนสุดทา ยกห็ มดไปในที่สดุ 2. ไฟฟา จากปฏกิ ริ ยิ าเคมี การเกิดปฏิกิรยิ าเคมจี ะทาํ ใหป ระจุไฟฟา ในสารเคมีน้ันเคลื่อนท่ีผาน ตัวนาํ ทาํ ใหเกิดเปน ไฟฟา กระแสข้ึนได เรานําหลกั การนีไ้ ปประดิษฐถา นไฟฉาย และแบตเตอรร่ี ถยนต 3. ไฟฟาจากสนามแมเหล็ก เกิดขึ้นไดเมื่อมีการหมุนหรือเคล่ือนที่ผานขดลวดตัดกับ สนามแมเหล็ก ทําใหเกิดกระแสไฟฟาในขดลวด ซ่ึงเรานําหลักการน้ีไปสรางเคร่ืองกําเนิดไฟฟาที่ เรยี กวา ไดนาโม ซึง่ สามารถผลติ กระแสไฟฟาไดทงั้ ไฟฟากระแสตรงและกระแสสลับ 4. ไฟฟา จากแรงกดดนั แรธ าตบุ างชนดิ เมือ่ ไดรบั แรงกดดันมากๆจะปลอยกระแสไฟฟาออกมา ได ซึง่ เรานาํ แรธาตเุ หลา นีม้ าใชป ระโยชนใ นการทําไมโครโฟน หวั เขม็ ของเครอื่ งเลน แผน เสยี ง เปน ตน 5. กระแสไฟฟาจากสัตวบางชนิด สัตวนํ้าบางชนิดมีกระแสไฟฟาอยูในตัว เมื่อเราถูกตองตัว สตั วเ หลา นนั้ จะถกู ไฟฟาจากสตั วเ หลาน้นั ดดู ได เชน ปลาไหลไฟฟา เปนตน 6. กระแสไฟฟาจากพลังงานแสงอาทิตย โดยการนําวัสดุท่ีเมื่อถูกแสงกระทบแลวทําให อิเลคตรอนเคลอ่ื นที่ได เชน ซิลิกอน ซ่ึงอุปกรณที่วานี้เรียกวา โซลารเซล กระแสท่ีไดเปนกระแสตรง เปนพลงั งานไฟฟา ทีม่ คี วามสําคญั มากเพราะเปนพลังงานทางเลือก สะอาด และไมม วี ันหมด เนอื่ งจากกระแสไฟฟาเปนพลังงานท่ีเปลย่ี นเปนพลงั งานรปู แบบอนื่ ไดอ ยางสะดวกและ แพรหลาย จึงมีการใชก ันอยา งมากมายและมแี นวโนม เพม่ิ ขนึ้ อยา งรวดเร็ว จงึ มีความจาํ เปนอยา งยง่ิ ที่ จะตองชวยกนั อนุรักษและประหยดั พลงั งานดงั น้ี 54 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
48 การประหยดั และอนรุ กั ษพ ลงั งานไฟฟา 1. ปดสวิตชไ ฟ และเครื่องใชไฟฟาทกุ ชนดิ เมื่อเลกิ ใชง าน 2. เลือกซ้ือเคร่ืองใชไฟฟาที่ไดมาตรฐาน ดูฉลากแสดงประสิทธิภาพใหแนใจทุกคร้ังกอน ตัดสินใจ 3. ปดเครอ่ื งปรบั อากาศทุกครัง้ ที่จะไมอยใู นหอ งเกิน 1 ชั่วโมง 4. หมนั่ ทาํ ความสะอาดแผนกรองอากาศของเครือ่ งปรับอากาศบอยๆ เพ่อื ลดการเปลืองไฟใน การทํางานของเคร่อื งปรบั อากาศ 5. ต้งั อุณหภมู เิ คร่อื งปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซยี ส ซง่ึ เปนอณุ หภูมทิ ก่ี าํ ลังสบาย อณุ หภมู ิท่ี เพิ่มขนึ้ 1 องศา ตอ งใชพ ลงั งานเพ่ิมข้ึนรอ ยละ 5 6. ไมค วรปลอ ยใหม คี วามเยน็ รัว่ ไหลจากหองที่ตดิ ต้งั เครือ่ งปรับอากาศ 7. ลดและหลีกเลี่ยงการเก็บเอกสาร หรือวัสดุอื่นใดท่ีไมจําเปนตองใชงานในหองท่ีมี เคร่อื งปรบั อากาศ เพือ่ ลดการสญู เสีย และใชพลังงานในการปรับอากาศภายในอาคาร 8. ตดิ ตงั้ ฉนวนกันความรอนโดยรอบหอ งทมี่ กี ารปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสียพลังงานจาก การถายเทความรอนเขา ภายในอาคาร 9. ควรปลูกตนไมรอบๆ อาคาร เพราะตนไมขนาดใหญ 1 ตนใหความเย็นเทากับ เครอื่ งปรบั อากาศ 1 ตัน หรอื ใหความเยน็ ประมาณ 12,000 บที ยี ู 10. เลอื กซ้ือพัดลมท่ีมีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพดั ลมท่ีไมไดคุณภาพ มักเสียงาย และกนิ กระแสไฟฟามาก 11. หากอากาศไมร อ นเกนิ ไป ควรเปด พัดลมแทนเคร่ืองปรบั อากาศ 12. ใชหลอดไฟประหยดั พลังงาน ใชห ลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอวน ใชหลอดตะเกียบ แทนหลอดไส หรอื ใชหลอดคอมแพคทฟ ลอู อเรสเซนต 13. ควรใชบัลลาสตประหยัดไฟ หรือบัลลาสตอิเล็กโทรนิกคูกับหลอดผอมจอมประหยัด จะชวยเพม่ิ ประสิทธิภาพในการประหยดั ไฟไดอ ีกมาก 14. ควรใชโคมไฟแบบมีแผนสะทอนแสงในหองตางๆ เพื่อชวยใหแสงสวางจากหลอดไฟ กระจายไดอยางเตม็ ประสทิ ธภิ าพ วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 55 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
49 15. หมั่นทําความสะอาดหลอดไฟทบ่ี า น เพราะจะชว ยเพิ่มแสงสวางโดยไมตอ งใชพ ลงั งานมาก ขน้ึ ควรทําอยางนอย 4 ครั้งตอ ป 16. ควรใชสีออนตกแตงอาคาร ทาผนังนอกอาคารเพ่ือการสะทอนแสงท่ีดี และทาภายใน อาคารเพ่อื ทําใหหอ งสวา งไดมากกวา 17. ใชแ สงสวางจากธรรมชาติใหม ากทีส่ ดุ 18. ปดตูเย็นใหสนิท ทําความสะอาดภายในตูเย็น และแผนระบายความรอนหลังตูเย็น สมํ่าเสมอ 19. ไมควรพรมนํา้ จนแฉะเวลารดี ผา เพราะตอ งใชค วามรอ นในการรีดมากขน้ึ 20. ดึงปลก๊ั ออกกอ นการรีดเสอ้ื ผา เสรจ็ เพราะความรอ นทีเ่ หลอื ในเตารดี ยงั สามารถรีดตอ ได 21. เสยี บปลกั๊ ครง้ั เดียว ตอ งรีดเส้อื ใหเ สร็จ ไมควรเสยี บและถอดปลกั๊ เตารีดบอ ยๆ 22. ปด โทรทศั นทันทเี มือ่ ไมมีคนดู เพราะการเปดท้งิ ไวโ ดยไมมีคนดู เปนการสน้ิ เปลอื งไฟฟา 23. ใชเตาแกส หุงตม อาหาร ประหยดั กวาใชเ ตาไฟฟา 24. อยาเสยี บปลก๊ั หมอหุงขาวไว เพราะระบบอุนจะทาํ งานตลอดเวลา ทําใหสิ้นเปลืองไฟเกิน ความจําเปน 25. กาตม น้ําไฟฟา ตองดึงปลัก๊ ออกทนั ทีเมอื่ นํ้าเดือด อยา เสียบไฟไวเมือ่ ไมมคี น 26. แยกสวิตชไ ฟออกจากกัน ใหสามารถเปดปด ไดเฉพาะจุด ไมใชป มุ เดียวเปด ปด ทง้ั ชน้ั ทาํ ใหเ กดิ การสิน้ เปลอื งและสูญเปลา 27. การตดิ ต้งั อุปกรณไ ฟฟา ทีต่ องมกี ารปลอยความรอนเชน กาตม น้ํา หมอหุงตม ไวในหองท่ี มีเครอ่ื งปรับอากาศ 28. ซอมบํารงุ อปุ กรณไฟฟา ใหอ ยใู นสภาพทใี่ ชงานได และหม่ันทําความสะอาดเคร่ืองใชไฟฟา อยเู สมอ จะทําใหลดการส้นิ เปลอื งไฟได 56 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
50 จงบอกคณุ สมบัตขิ องแสง และประโยชนข องแสงพอสังเขป คณุ สมบตั ขิ องแสง 1. การสะทอนของแสง รังสีของแสงจะสะทอนเม่ือตกกระทบผิววัตถุ เรานํามาใช ประโยชน เปนกระจกเงา กระจกมองหลังรถยนต เปน ตน 2. การหักเหของแสง รังสีของแสงจะหักเหเมื่อผานตัวกลางที่แสงผาน เรานํามาใช ประโยชนโดยการทําแวน ตา กลอ งสอ งทางไกล กลอ งถายรปู เปน ตน 3. การแทรกสอดของแสง หมายถึง การที่รังสีตั้งแต 2 รังสีข้ึนไปมารวมตัวในทิศทาง เดยี วกัน หรอื ทศิ ทางตรงขามกัน ตามแตส ถานะการณ เรานาํ มาใชป ระโยชนในการทําเคร่ืองฉายภาพ ตา ง ๆ และระบบแสง สี เสียง เปน ตน เสียงเกิดขนึ้ ไดอ ยางไร เสยี งเกิดขึ้นจากการส่ันสะเทือนของวัตถุ ข้ึนอยูกับความแรงของการส่ันสะเทือน อยูใน รปู คลน่ื เสยี ง เคลอ่ื นท่ีผา นตัวกลางชนิดตา ง ๆ ไดดว ยความเรว็ ที่ไมเ ทากนั พลงั งานเสยี งสามารถสะทอ นไดเม่อื ตกกระทบวัตถุ มีการหักเหเม่ือผานจากตัวกลางหนึ่ง ไปยังตัวกลางหนึ่ง และสามารถเล้ยี วเบนไดในตัวกลางทเ่ี สยี งเคลอ่ื นท่ีผาน เสยี งมีประโยชนในการไดยิน เปนประโยชนในการส่ือสาร เสียงที่มีความถี่ตาง ๆ กันมี ประโยชนใ นการทาํ เสียงดนตรี การสอดแทรกของเสยี งทําใหเ กิดการประสานเสียงใชประโยชนในการ ประพันธบ ทเพลงตางๆ วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 57 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
51 บทท่ี 12 ความสมั พันธร ะหวางดวงอาทิตย โลก และดวงจันทร อะไรบางทเี่ ปน ปรากฎการณทางธรรมชาตทิ ีเ่ กดิ ข้ึนระหวา งดวงอาทติ ย โลก และดวงจันทร ปรากฎการณทางธรรมชาติที่เกิดข้ึนจากการเคล่ือนท่ีของโลก และดวงจันทร ในระบบสุริยะ จักรวาล มดี งั นี้ 1. การเกิดกลางวันกลางคืน เกิดขึ้นจากการหมุนรอบตัวเองของโลก ทําใหโลกไดรับ แสงอาทิตยไมพรอมกัน สวนท่ีไดรับแสงอาทิตยจะเปนกลางวัน สวนที่ไมไดรับแสงอาทิตยจะเปน กลางคืน โดยหมุนรอบตัวเอง 1 รอบใชเวลา 24 ช่ัวโมง เปนกลางวัน 12 ชั่วโมง เปนกลางคืน 12 ช่วั โมง โดยประมาณข้นึ อยกู บั ฤดูกาลดว ย 2. การเกิดขา งข้นึ ขา งแรม เกดิ ข้ึนจากดวงจันทรหมุนรอบโลก ถา ดวงจันทรอยูดานตรงขามกับ ดวงอาทิตยและเพิม่ ข้ึนจะเปนขางข้ึน ถาดวงจันทรอยูขางเดียวกับดวงอาทิตยเพ่ิมข้ึนจะเปนขางแรม ดงั นน้ั คนื วนั ข้นึ 15 คาํ่ ดวงจันทรจะสวา งเตม็ ดวงทส่ี ดุ เพราะดวงจันทรสะทอนแสงดวงอาทิตยมายัง โลกอยางเต็มที่ และคืนวนั แรม 15 คาํ่ ดวงจนั ทรจ ะมดื ทสี่ ุด เพราะไมมีแสงสะทอนมายงั โลก 3. การเกิดสุริยุปราคาและการเกิดจันทรุปราคา เกิดจากการที่ดวงจันทรหมุนรอบโลก และ เกิดข้ึนเมื่อดวงอาทิตย โลก และดวงจันทร อยูในระนาบแนวเดียวกัน สุริยุปราคา เกิดข้ึนเมื่อดวง จันทรบังดวงอาทิตยในเวลากลางวันโดยจะเกิดข้ึนชวงแรม 14-15 คํ่า หรือข้ึน 1 คํ่า ในขณะท่ี จันทรุปราคาเกิดขึ้นจากเงาของโลกไปบังดวงจันทรในคืนขางข้ึนชวงข้ึน 14 – 15 คํ่า หรือ แรม 1 คาํ่ 4. การเกิดฤดกู าล เกิดจากโลกหมุนรอบดวงอาทิตย และเนื่องจากแกนของโลกเอียง (23.44 องศา) ดังน้นั เม่อื เคลื่อนทีร่ อบดวงอาทิตย ทําใหขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใตไดรับแสงจากดวงอาทิตย ไมเ ทา กันในแตล ะเดอื น เดือนท่ีขั้วโลกใดไดรับแสงอาทิตยมาก โลกขางน้ันจะเกิดฤดูรอน และอีกซีก โลกทไ่ี ดร บั แสงนอยกจ็ ะเปน ฤดหู นาว โลกหมุนรอบดวงอาทิตย 1 รอบ ใชเวลา 12 เดือน หรือ 365 วนั 58 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
52 5. การเกดิ ลมบกลมทะเล เกิดขน้ึ จากโลกหมนุ รอบตวั เอง ในเวลากลางวนั พ้ืนดนิ และพื้นนํ้าจะ ไดรับแสงแดดเต็มที่ แตพื้นดินมีนอยกวาพื้นนํ้าถึง 1 ใน 3 และคุณสมบัติของพื้นดินเก็บความรอนได ดีกวานํ้า กลางวันบนบกจึงรอนกวาพ้ืนทะเล ลมก็จะพัดจากทะเลเขาฝงเรียกวา ลมทะเล แตพอ กลางคืนพ้ืนดนิ จะคายความรอ นเรว็ กวา น้ําพนื้ นํ้ามีความรอ นมากกวาพ้ืนดิน ลมจึงพัดจากบกไปทะเล เรียกวาลมบก ตามกฎท่วี า อากาศรอนลอยขนึ้ สเู บือ้ งบน อากาศเย็นไหลไปแทนท่ี 6. นํ้าข้ึน นํ้าลง เกิดข้ึนขณะท่ีดวงจันทรหมุนรอบโลก ถาโลกดวงอาทิตย ดวงจันทร อยใู นแนวเดยี วกนั จะมแี รงกระทําตอ โลกมากทาํ ใหเกิดนํ้าขึ้น เมื่อดวงจันทรเคล่ือนที่ไปอยูในแนวอ่ืน แรงกระทํากจ็ ะนอ ยทําใหเ กดิ น้ําลง วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 59 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
53 บทที่ 13 อาชพี ชา งไฟฟา ทานมคี วามเขาใจในการตอวงจรไฟฟาทถ่ี ูกตอ งอยา งไร จงอธบิ ายและเขยี นวงจรประกอบ วงจรไฟฟาที่ปลอดภยั ตอ งประกอบดวย 1. แหลงกําเนิดไฟฟา อาจจะเปนกระแสสลับหรือกระแสตรง 2. สะพานไฟ อาจเปนคตั เอาทแ บบเบรคเกอร หรอื ฟว กไ็ ด 3. สวิทชไ ฟฟา 4. สายไฟ หรอื ลวดตัวนาํ 5. อุปกรณไ ฟฟา 6. โวลดม ิเตอร (วัดความตา งศักย) 7. แอมมิเตอร (วดั กระแสไฟฟา) 60 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
54 เนอ่ื งจากไฟฟา เปน พลงั งานที่มคี วามจาํ เปน ทา นจะมีวธิ ีอนุรกั ษแ ละประหยดั พลงั งานไฟฟา อยา ง ปลอดภยั ไดอยา งไร การใชเครื่องใชไฟฟาอยา งงาย 1. ไฟฟา แสงสวา ง - ตดิ ต้ังจํานวนหลอดไฟฟาเทาทจี่ ําเปนและเหมาะสมกับการใชง าน - ใชห ลอดไฟฟาชนิดท่ใี ชแ สงสวา งมากแตก นิ ไฟนอย และมอี ายุกีใ่ ชงานยาวนานกวา เชน หลอดฟูออเรสเซนต ควรใชหลอดแบบประหยัดไฟ หรือหลอดตะเกยี บ หลอดคอมแพคท หรอื หลอด LED เปนตน - ทาํ ความสะอาดหลอดไฟฟา หรือโคมไฟเปนประจํา - ตกแตง ภายในอาคารสถานท่โี ดยใชส อี อ นเพื่อเพม่ิ การสะทอ นของแสง - ปด สวติ ซห ลอดไฟฟา ทุกดวงเมอ่ื เลกิ ใชงาน 2. พัดลม - เลอื กขนาดและแบบใหเ หมาะสมกับการใชงาน - ปรับระดบั ความเรว็ ลมพอสมควร - เปดเฉพาะเวลาท่ีจําเปน เทานน้ั - หม่ันบํารุงดแู ลรกั ษาใหอ ยใู นสภาพทด่ี ี 3. เครอื่ งรบั โทรทศั น - ควรเลอื กขนาดท่เี หมาะสมกับครอบครัวและพื้นที่ในหอง - ควรเลือกชมรายการเดยี ว หรือเปด เมอื่ ถงึ เวลาท่มี รี ายการทต่ี องการชม - ถอดปลั๊กเคร่อื งรบั โทรทัศนท กุ ครง้ั เม่อื ไมม คี นชม 4. เครอ่ื งเปา ผม - ควรเชด็ ผมใหหมาดกอนใชเครื่องเปาผม - ควรขยแ้ี ละสางผมไปดว ยขณะใชเครอ่ื งเปา ผม - เปาผมดวยลมรอ นเทาท่ีจาํ เปน วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 61 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
55 5. เตารดี ไฟฟา - พรมน้าํ เสอ้ื ผาแตพ อสมควร - ปรับระดบั ความรอ นใหเหมาะสมกบั ชนิดของเสอ้ื ผา - เร่ิมตนรีดผา บาง ๆ ขณะที่เตารีดยังรอนไมมาก - เสื้อผาควรมีปรมิ าณมากพอสมควรในการรดี แตล ะครง้ั - ถอดปล๊ักกอ นเสร็จส้นิ การรดี 2-3 นาที เพราะยงั คงมคี วามรอ นเหลอื พอ 6. หมอ ชงกาแฟ - ใสน ํ้าใหมปี ริมาณพอสมควร - ปดฝาใหส นทิ กอนตม - ปด สวิตซทนั ทีเมอ่ื นํ้าเดือด - หมอ หุงขา วไฟฟา - เลือกใชขนาดท่เี หมาะสมกบั ครอบครวั - ถอดปลก๊ั ออกเมื่อขา วสกุ หรอื ไมมีความจาํ เปน ตองอุนใหรอ นอีกตอ ไป 7. ตูเยน็ - เลือกใชข นาดทีเ่ หมาะสมกบั ครอบครัว - ตั้งวางตเู ย็นใหหา งจากแหลงความรอน - ไมค วรนาํ อาหารท่ีรอ นเขา ตูเ ย็นทันที - ไมควรใสอาหารไวในตเู ย็นมากเกนิ ไป - หม่นั ละลายนํา้ แข็งออกสัปดาหละครง้ั - หมนั่ ทําความสะอาดแผงระบายความรอน - ไมควรเปดประตูตเู ย็นบอ ย ๆ หรอื ปลอยใหเ ปดทิง้ ไว - ดแู ลยางขอบประตูตูเยน็ ใหป ด สนทิ เสมอ 8. เครอื่ งทําความรอน - เลือกใชข นาดที่เหมาะสมกับครอบครวั - ไมควรปรับระดบั ความรอนสงู จนเกิดไป - ควรปดวาลวบา งเพือ่ รักษานาํ้ รอนไวข ณะอาบนาํ้ 62 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
56 - ไมควรใชเครอ่ื งทาํ ความรอ นในฤดูรอน - ปด วาลว นํา้ และสวติ ซท ันทีเมื่อเลกิ ใชง าน 9. เครอ่ื งปรบั อากาศ - หองทีต่ ิดตัง้ เครื่องปรับอากาศ ควรใชฝาเพดานท่มี คี ณุ สมบัตเิ ปนฉนวนปอ งกันความรอ น - เลือกขนาดของเคร่อื งใหเหมาะสมกับขนาดพืน้ ที่หอง - เลอื กใชเ ครอ่ื งปรบั อากาศทไ่ี ดร ับการรบั รองคณุ ภาพและชว ยประหยดั พลังงาน - ปรบั ระดบั อณุ หภมู ิและปรมิ าณลมใหเ กดิ ความรสู ึกสบายในแตละฤดูกาล - หม่นั ดูแลบํารงุ รกั ษาและทาํ ความสะอาดช้นิ สวนอุปกรณแ ละเคร่ืองใหอ ยใู นสภาพทีด่ อี ยู เสมอ - ดูแลประตูหนาตา งใหปดสนทิ เสมอ - ใชพ ดั ลมระบายอากาศเทา ทจ่ี าํ เปน - ปด เคร่ืองกอนเลกิ ใชพนื้ ที่ปรับอากาศประมาณ 2-3 นาที 10.เครอ่ื งซกั ผา - ในการซกั แตล ะครัง้ ควรใหป รมิ าณเสื้อผา พอเหมาะกับขนาดเครอ่ื ง - ควรใชวธิ ผี ่ึงแดดแทนการใชเครอ่ื งอบผา แหง - ศึกษาและปฏิบัติตามวิธีการในคมู ือการใช ถา ทา นเปน ชางเดนิ สายไฟฟา ในบานหรอื ชางไฟฟา ทานจะคาํ นงึ ถึงสิ่งใดบาง 1. ความปลอดภยั และอบุ ัตเิ หตุจากอาชพี ชา งไฟฟา 1) กอ นลงมอื ปฏิบัติงานกบั อปุ กรณไฟฟา ใหต รวจหรอื วดั ดวยเคร่ืองมอื วดั ไฟฟา วา ในสายไฟ หรอื อุปกรณน ัน้ มไี ฟฟา หรอื ไม 2) การทาํ งานกบั อุปกรณไฟฟา ในขณะปดสวติ ชไฟหรือตัดไฟฟา แลว ตอ งตอ สายอุปกรณน้ัน ลงดินกอนทาํ งานและตลอดเวลาทีท่ าํ งาน 3) การตอ สายดินใหต อ ปลายทางดาน\" ดิน \"กอนเสมอจากนนั้ จึงตอ ปลายอกี ขา งเขา กบั อปุ กรณไฟฟา วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 63 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ
57 4) การสัมผสั กับอุปกรณไฟฟา แรงดันตา่ํ ใดๆ หากไมแนใจใหใชอ ุปกรณท ดสอบไฟวดั กอ น 5) การจับตอ งอปุ กรณท มี่ ีไฟฟา จะตองทาํ โดยอาศยั เครื่องมือ-อปุ กรณ และวธิ กี ารที่ถูกตอ ง เทา นั้น 6) เครือ่ งมือเครอื่ งใชที่ทาํ งานกบั อุปกรณไฟฟา เชน คีม ไขควง ตองเปนชนิดท่ีมีฉนวนหุม 2 ชัน้ อยางดี 7) ขณะทาํ งานตอ งม่ันใจวา ไมมีสว นใดสวนหน่งึ ของรางกายหรือเคร่อื งมือท่ีใชอ ยูสมั ผัสกบั สว นอื่นของอปุ กรณท ี่มกี ระแสไฟดวยความพล้งั เผลอ 8) การใชก ญุ แจปองกันการสบั สวติ ช การแขวนปา ยเตือนหา มสบั สวิตชตลอดจนการปลด กญุ แจและปายตองกระทําโดยบุคคลคนเดียวกันเสมอ 9) การขึ้นทสี่ ูงเพอื่ ทาํ งานกบั อุปกรณไ ฟฟาตองใชเ ขม็ ขดั นิรภัย หากไมมกี ารใชเ ชอื กขนาดใหญ คลองเอาไวกบั โครงสรางหรือสวนหนึง่ สว นใดของอาคาร 10) การทํางานเกีย่ วกับไฟฟา หากเปนไปไดค วรมีผูชวยเหลืออยดู วย 2. การบรหิ ารจัดการและการบริการท่ดี ี บรกิ ารทด่ี ี หมายถงึ ความตงั้ ใจและความพยายามในการใหบรกิ ารตอ ผรู ับบรกิ าร มรี ะดบั การ ปฏิบัติ ดังนี้ 1 ใหบ รกิ ารแกผรู ับบรกิ าร ดว ยความเตม็ ใจ - ใหบริการท่ีเปนมติ รภาพ - ใหขอมูลขาวสารทถี่ ุกตองชัดเจนแกผูรบั บริการ - แจงใหผ รู ับบริการทราบความคบื หนา ในการดําเนินเรอ่ื ง หรอื ขน้ั ตอนงานตา ง ๆ ทใี่ หบ ริการอยู - ประสานงานใหแกผ รู บั บริการไดอ ยา งตอ เนือ่ งและรวดเร็ว 2 ชวยแกปญ หาใหแ กผ ูร บั บรกิ าร - ชว ยแกปญ หาหรอื หาแนวทางแกไ ขปญ หาทเี่ กดิ ข้ึนแกผรู ับบริการอยา งรวดเรว็ ไมบา ยเบ่ียง ไม แกตวั หรือปดภาระ - ผูร ับบริการไดรับความพึงพอใจและนาํ ขอขัดของท่ีเกดิ จากการใหบริการไปพฒั นาใหก าร บรกิ ารดียง่ิ ข้นึ 64 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธุ์
58 3 ใหบรกิ ารที่เกนิ ความคาดหวงั แมต อ งใหเ วลาหรอื ความพยายามอยางมาก - ใหเ วลาแกผ รู บั บรกิ ารเปนพเิ ศษ เพอื่ ชวยแกปญหาใหแ กผ ูรบั บรกิ าร - นาํ เสนอวิธกี ารในการใหบ รกิ ารท่ีผูรับบริการจะไดรับประโยชนสงู สดุ 4 เขา ใจและใหบ รกิ ารทตี่ รงตามความตอ งการท่ีแทจ ริงของผรู บั บริการได - พยายามทาํ ความเขาใจดว ยวธิ ีตาง ๆ เพอ่ื ใหบรกิ ารไดตรงตามความตอ งการท่แี ทจ ริงของ ผูร บั บริการ - ใหค ําแนะนําทเ่ี ปนประโยชนแ กผูรับบรกิ าร เพ่อื ตอบสนองความตอ งการ 5 ใหบ รกิ ารทเ่ี ปน ประโยชนอ ยางแทจริงใหแ กผรู บั บรกิ าร - คิดถงึ ประโยชนของผรู บั บรกิ ารในระยะยาว - เปน ท่ีปรกึ ษาท่ีมสี ว นชวยในการตัดสินใจทผ่ี ูรบั บริการไวว างใจ - สามารถใหความเห็นท่ีแตกตา งจากวีการหรอื ขั้นตอนท่ีผรู ับบริการตอ งการใหส อดคลอ งกบั ความจาํ เปน ปญ หา โอกาส เพอ่ื ประโยชนอ ยา งแทจริงของผูรับบริการ วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 65 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
59 กจิ กรรมทายเลม กิจกรรมที่ 1 เรื่อง ทกั ษะทางวทิ ยาศาสตร กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร และโครงงานทางวิทยาศาสตร เวลาทีใ่ ชใ นการจัดกจิ กรรม 60 นาที สือ่ การเรียนรู / กจิ กรรม 1. ขอ ความ / สถานการณ ฝกปฏบิ ัติ 2. กระดาษปรูฟ 3. ปากกาเคมี 4. ใบความรกู ิจกรรม วธิ ดี าํ เนินการ หลังจากครูไดดําเนินการจัดการความรูทักษะทางวิทยาศาสตรและกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตรและโครงงานวิทยาศาสตรใหกับนักศึกษาหรือนักศึกษาไดศึกษาเรียนรูในเร่ืองทักษะทาง วิทยาศาสตรและกระบวนการทางวิทยาศาสตรและโครงงานวิทยาศาสตรเรียบรอยแลวใหนักศึกษา ความเขาใจบทเรยี นโดยทํากิจกรรมรว มกับเพอื่ นจากแบบฝกตอ ไปน้ี ตอนที่ 1 จงเขียน คาํ ถาม / ปญหาและสมมตุ ฐิ านจากสถานการณทกี่ ําหนดให 1. วันน้ีแมไปซื้อมะเขือมาจากตลาด ใหมะลิชวยหั่นมะเขือ เพ่ือจะทําแกงเขียวขวาน หลังท่ีมะลิหั่น มะเขอื เสร็จแลว นัน้ เห็นเนื้อมะเขือทถี่ กู หัน่ จะคอ ยๆกลายเปน สีนํา้ ตาล คาํ ถาม / ระบปุ ญ หา ตัง้ สมมตุ ฐิ าน 66 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
60 2. มานะเปดฝาตมุ เพ่อื รองนา้ํ เวลาฝนตกหลังจากผา นไป 7 วัน มานะเห็นมลี ูกนํา้ ในตุม คาํ ถาม / ระบุปญหา ตั้งสมมุติฐาน 3. พอ กลบั จากทํางานเรียกใหม านี ลกู สาวเอานา้ํ เยน็ มาใหด ่ืม มานรี นิ นาํ้ ดื่มจากตูเย็นใสแ กว ขณะเดิน ถอื มาพบวามือของมานีที่จับแกว น้าํ เปย ก คาํ ถาม / ระบุปญหา ตั้งสมมตุ ฐิ าน 4. หองนอนของมาลัยอยูดานทิศตะวันตกกอนนอนมาลัยจะเปดเครื่องปรับอากาศกอนเขานอน 1 ช่ัวโมงแตม าลยั รูสึกวาแอรไมคอยเย็นท้ังๆท่ีเครื่องปรับอากาศทํางานเปนปกติและไดมีการซอ มบํารุง เปน ประจํา คาํ ถาม / ระบุปญหา ตงั้ สมมตุ ฐิ าน วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 67 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
61 5. มาลีซ้ือตนไมมาปลูกทีบ่ า นรดนํา้ พรวนดินตามปกติ วนั ตอ มามาลีซื้อปยุ มาใสตน ไม หลงั จานั้น 3 วัน ตนไมเ ริม่ เหยี่ วเฉาและตาย คําถาม / ระบปุ ญ หา ต้งั สมมตุ ฐิ าน ตอนท่ี 2 สํารวจส่ิงแวดลอ มรอบตวั ในทองถิ่น ชมุ ชนทวั่ ไป ขอกําหนด ขอบเขตการสํารวจ บรเิ วณขอนไม ใหนักศึกษาบันทึกการสํารวจบริเวณที่มีขอนไมผุ หรือไมผุพัง ตามพ้ืนที่รอบ ๆ บานหรือ สถานศกึ ษาโดยการวาดรูปหรือเขยี นชอ่ื ส่ิงทพี่ บบันทึกลงในตารางพรอมกับตอบคําถาม อปุ กรณส ํารวจ 1. แวน ขยาย 2. เทอรโ มมอเตอร 3. ไฮโกรมิเตอร วธิ ีสํารวจ 1. ระดมความคิดในการสํารวจ 2. แบงหนา ท่ใี นการทํางานและวางแผน ใหช ดั เจน 3. ศึกษาการใชอุปกรณรวมกันใหเขาใจ 4. ใชแ วน ขยายสองดวู าพบส่งิ มีชีวิตอาศัยอยหู รอื ไมห รือพบซากสัตวชนิดใด 5. บนั ทึกสภาพของขอนไมน ้ันวา บรเิ วณท่ีสาํ รวจนน้ั มีแสงแดดสอ งถงึ หรือไม บริเวณที่แสงแดดสองถึง คิดเปนสดั สว นเทา ไรของพนื้ ท่ี เชน 1 สวน 4 ของพ้ืนที่ทาํ การสาํ รวจ 6. บันทึกผลการสาํ รวจในใบบนั ทกึ กิจกรรม 68 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
62 ตารางบนั ทกึ ผลการสาํ รวจและตอบคําถาม สง่ิ มชี วี ติ ส่งิ ไมม ีชีวิต แสงแดด-รม เงา สภาพทัว่ ไป ความช้ืน อุณหภูมิอากาศ 1. บรเิ วณขอนไมผ ุมีมีสภาพเปนอยา งไร ……………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. ถาแบง กลมุ สิง่ มีชีวิตทีเ่ ปนพชื และสตั วม ีอะไรบา ง ……………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. นา้ํ ฝนมีประโยชนอ ยา งไรตอกลมุ ส่ิงมชี วี ิตท่อี าศยั อยบู นขอนไมผ ุ ……………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 69 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธุ์
63 4. ความชืน้ บนขอนไมม ีผลตอ สงิ่ มีชวี ิตเปนอยางไร ……………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. สภาพท่วั ไป แสงแดด รมเงา ความชื้น อณุ หภูมิ เปน อยา งไร ……………………………………………………………………………………………………….…………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ตอนท่ี 3 โครงงานวิทยาศาสตร โครงงานวทิ ยาศาสตรคืออะไร มกี ปี่ ระเภท จงยกตัวอยางชื่อโครงงานวิทยาศาสตรใ นแตละประเภทมา อยา งนอย 2 โครงงาน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 70 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธุ์
64 กจิ กรรมท่ี 2 เร่อื ง สงิ่ มชี ีวิต และ ระบบนเิ วศ คาํ ชีแ้ จง ใหน ักศกึ ษาสาํ รวจพืชชนิดตา ง ๆ ในทองถ่นิ แลวเลือกพืชท่ีนักศึกษาสนใจ หรือประทับใจ แลวบนั ทึกขอมลู ท่สี งั เกตไดล งโดยการเขียนบรรยายสิ่งท่สี งั เกตเห็นลงในตารางและทําเครอ่ื งหมาย ลงใน ช่อื พืช...............................................สถานทีส่ าํ รวจ............................จํานวนที่พบ................................ ลกั ษณะทศ่ี กึ ษา ลกั ษณะท่สี ังเกตเหน็ สรุปผลการศึกษา / เหตผุ ล 1. สว นประกอบ ของตน พชื 1.1 ราก ............................................................. รากแกว ............................................................. รากฝอย 1.2 ลําตน ............................................................. เหนือดนิ ............................................................. ใตดิน 1.3 .ใบ ............................................................. ใบเด่ยี ว ............................................................. ใบประกอบ 1.4 เสน ใบ ............................................................. แบบขนาน ............................................................. แบบรา งแห 1.5 ดอก ............................................................. ............................................................. ประกอบดว ย ............................................................. ............................................................. สว นตาง ๆ ดังนี้ ............................................................. ............................................................. 2. การ ............................................................. ............................................................. ขยายพันธุ ............................................................. ............................................................. ขยายพันธโุ ดย ............................................................. ............................................................. วิธีการใดไดบาง วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 71 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
65 3. ชนิดของพืช เปน พืชใบเล้ียงเด่ยี ว เพราะ จาํ แนกตาม เปน พืชใบเลี้ยงคู ....................................................... ลักษณะใบ ............................................................. ............................................................. 4. การ มีการเจริญเติบโตดี เพราะ เจริญเตบิ โตของ ตน แคระแกรน ....................................................... พืช ............................................................. ............................................................. 5. พืชชนิดน้ี ............................................................. ............................................................. นําไปใช ............................................................. ............................................................. ประโยชนไ ด ............................................................. ............................................................ อยางไรบาง 72 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
66 กจิ กรรมท่ี 3 เรอื่ ง คายความรอ น - ดดู ความรอ น กับการเปล่ยี นลักษณะ คาํ ช้ีแจง 1. ผเู รยี นท่จี ะทาํ กจิ กรรมน้ีตอ งศกึ ษาบทเรียนบทท่ี 7 มาแลวอาจจะศึกษาจากช้ันเรยี น หรือ ศกึ ษาดว ยตนเองได 2. ใหผูเรียนศึกษา และทํากิจกรรมน้ีดวยตนเอง โดยอานและตอบคําถามไปที่ละคําถาม ตามลาํ ดับ “เม่ือวตั ถสุ องกอนใหญใ ด ๆ ทม่ี ีความรอนตาง กันเมอื่ นาํ มาใกลกันหรือสัมผัสกัน ความรอนจะถายเท จากวตั ถุกอนที่มีความรอ นกวาไปหาวตั ถุกอ นท่ีมีความรอนตํา่ กวาเสมอ” เหตกุ ารณท ี่ 1 ใชฝา มือสัมผัสกอ นนํ้าแข็ง จงตอบคาํ ถามตอ ไปนี้ 1) วัตถุกอ นท่ี 1 คอื วตั ถุกอ นท่ี 2 คือ ฝามอื กอ นนา้ํ แขง็ 2) วตั ถุวตั ถทุ ่มี ีความรอ นสงู กวา วตั ถทุ มี่ ีระดับความรอนตาํ่ กวา คอื ........................................... คือ ................................................. 3) ความรอนจะถายเทจาก ......................................................................................................... 4) วัตถใุ ดคายความรอน ............................................... วตั ถใุ ดดดู ความรอ น ........................... 5) เมือ่ นา้ํ แข็งดดู ความรอ นเขา ไปนาํ้ แขง็ เปลี่ยนสถานะอยางไร .......................................................................................................... วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 73 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
67 เหตุการณท ี่ 2 ตม นํ้าดวยกาตม นํ้า วตั ถุกอ นที่ 2 คูท 1่ี การตม น้าํ ดว ยกาตม นาํ้ เมอื่ ตดิ ไฟเปนผลสําเร็จแลว กานํ้าอนูมิเนยี ม 1. วัตถุกอ นท่ี 1 อากาศบริเวณเปลวไฟ 2. วันถทุ ่ีมีระดบั ความรอ นสูงกวา คอื วัตถุที่มรี ะดับความรอ นต่ํากวา คอื ............................................ ............................................ 3. ความรอ นจะถา ยเทจาก......................................................................................................... 4. วัตถใุ ดดดู ความรอ น................................................ คทู ี่ 2 เปรยี บเทยี บกาตม นํ้าอลมู ิเนียมกบั นา้ํ ที่บรรจุอยูในกาตมนํ้าขณะตม 1. วัตถกุ อนท่ี 1 คือ กาตม น้ําอลมู เิ นียม วตั ถุกอ นท่ี 2 คอื นํ้าในกาตมนํา้ 2. วัตถุทม่ี ีระดบั ความรอนสูงกวาคือ วตั ถุทีม่ รี ะดบั ความรอ นตาํ่ กวาคือ ..................................................... ...................................................... 3. ความรอนจะถายเทจาก.............................................................................. 4. วัตถใุ ดคายความรอน วัตถุใดดดู ความรอน ..................................................... ..................................... 5. เม่อื นํ้าไดรับความรอ นนาํ้ จะเปล่ยี นสถานะอยางไร ............................................................................................................................................. 74 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสินธุ์
68 เหตุการณที่ 3 เม่ืออากาศรอ น/เมอ่ื แสงแดดแผดเผามาทผ่ี วิ น้าํ 1. อากาศรอน น้าํ ในบงึ 2. ความรอ นถายเทจาก........................ ไปยัง.................................. 3. นา้ํ ในบงึ ไดรบั ความรอนแลวจะเปลย่ี นแปลงสถานะอยางไร ................................................................................................................... 4. การระเหยของน้าํ คือการเปลีย่ นแปลงจาก นํา้ ไอนาํ้ (ลอยสูบ รรยากาศ) เปน การเปลี่ยนแปลงแบบดูดความรอนหรือคายความรอ น ......................................................................................................... วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 75 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธุ์
69 เหตุการณที่ 4 บรรจกุ อนนํ้าแข็งลงในแกว เพยี งครง่ึ แกว วางท้งิ ไว จงอธิบายวาหยดนํ้าที่มาเกาะรอบๆ แกวเกดิ ขน้ึ ไดอ ยางไร 1. วตั ถทุ ่ี 1 ไอนํา้ ในอากาศ วตั ถทุ ี่ 2 น้ําเย็น/นํ้าแขง็ ในแกว 2. วัตถุใดมีความรอ นสงู กวา วัตถใุ ดมีความรอนต่าํ กวา .......................................... ............................... 3. ความรอ นถายเทอยา งไร ................................................................................................................. 4. ไอนา้ํ ในอากาศรอบๆแกวน้ําเปลยี่ นถานะอยา งไร .............................................................................. 5. ถาจะใหไอน้ําเปลี่ยนสถานะเปนนํ้า ตองใหไอน้ําไปสัมผัสกับวัตถุท่ีมีระดับความรอนสูงกวา หรือตาํ่ กวา ระดับความรอ นของไอน้าํ น้ัน ................................................................................................................................................... 76 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
70 เหตุการณที่ 5 การเกดิ ฝน เมฆ 1. เมือ่ เมฆฝนซงึ่ เปนกลมุ ไอนํ้านาดใหญล อยไปเหนือผนื ฟา ซงึ่ เย็นกวา ความรอนจะถา ยเทจาก ............................................................................................................................................ 2. ถา เมฆฝนคายความรอนออกไปเมฆจะเปลย่ี นสถานะอยางไร ..................................................................................................................................................... 3. ถาเมฆฝนลอยไปบริเวณที่ไมมปี าไม ซึง่ ระดบั ความรอนสงู กวา เมฆฝนจะเปล่ยี นสถานะเปนนาํ้ ฝนได หรอื ไม เพราะเหตใุ ด ..................................................................................................................................................... วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 77 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธ์ุ
71 สรปุ ผลการทาํ กิจกรรม ใหเ ลอื กเตมิ วา ดูดความรอ น หรือ คายความรอ น 1. การเปล่ยี นแปลงของนาํ้ นาํ้ แข็ง → นา้ํ → ไอนํา้ เปล่ยี นแปลงแบบ....................ความรอ น ไอน้าํ → นํา้ → น้ําแขง็ เปล่ียนแปลงแบบ...................ความรอน 2. การเปลี่ยนสถานะของสารทั่วๆไป ของแข็ง............................................... ของเหลว...............................................กา ซ กาซ......................................................ของเหลว.................................................ของแขง็ 78 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธุ์
72 กิจกรรมที่ 4 เรอื่ ง แรงและการเคลอื่ นทขี่ องแรง คําชแี้ จง ใหนักศึกษาเขยี นคําตอบลงในชองวางใหส มบรู ณ ตอนที่ 1 จากรปู เปนแรงประเภทใด 1. แรงประเภท............................................................................ ประโยชน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 79 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
73 2. แรงประเภท ........................................................................... ประโยชน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ 3. แรงประเภท ........................................................................... ประโยชน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................................................... 80 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
74 4. แรงประเภท ......................................................................... ประโยชน ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ ตอนที่ 2 จงขดี เครื่องหมาย ขอ ที่ถกู และขีดเคร่ืองหมาย หนา ขอ ทผ่ี ดิ ..............1.บันไดท่ใี ชม ักจะมยี างหมุ ตีนบนั ไดไว เมือ่ จะใชง านเรามกั จะนําบนั ไดพงิ ไวท่ีกําแพง เพอื่ เพ่มิ แรงเสยี ดทานใหเ ล่ือนงา ย ..............2. กฬี าประเภทปน เขาท่ีจําเปน ตองมีแรงเสยี ดทานมาก ..............3. ลกู ปน ลอ ของจกั รยานชวยลดแรงเสียดทานในขณะทร่ี ถจักรยานแลน อยูบนถนน ..............4. ลวดลายและดอกยางของลอ ยางรถยนตท ุกประเภทสรางไวเ พ่มิ ความเร็ว ..............5. เมอื่ ยานพาหนะเคลื่อนทีอ่ ยบู นผิวนํ้า บนถนน หรือในอากาศจะเกดิ แรงเสียดทานใน ทศิ ทางเดียวกับการเคลอื่ นท่ีของยานพาหนะ ..............6. เราลากกระสอบใสข า วสารไปบนพ้ืนคาของแรงเสยี ดทานจะมากหรือนอ ยขึ้นอยกู ับพ้ืนท่ี ผวิ สัมผสั วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 81 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
75 ..............7. ทกุ แรงกริ ยิ ายอมมแี รงปฏิกริ ิยาทีม่ ขี นาดเทา กันแตท ิศทางตรงขา มกนั เสมอเปน กฎขอที่ 3 ของนวิ ตัน ..............8. วตั ถจุ ะรกั ษาสภาวะอยูน ่ิงหรอื สภาวะเคลอ่ื นท่อี ยา งสมาํ่ เสมอในแนวเสนตรง นอกจากมี แรงลพั ธซ ่ึงมีคาไมเปน ศนู ยม ากระทํา ..............9. แรงดึงดดู ของโลกทําใหเรากระโดดไดสงู ข้ึน ..............10. ผูเลน ทมี ตรงขามสงบอลมาแลวนกั ศึกษาใชเ ทาสกดั บอลจะทาํ ใหลูกบอลเคล่อื นที่เร็วขน้ึ 82 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
76 กจิ กรรมท่ี 5 เรอ่ื ง พลงั งานในชีวติ ประจาํ วันและการอนรุ ักษพ ลงั งาน เวลาท่ีใชในการจัดกิจกรรม 60 นาที ส่อื การเรยี นรู / กิจกรรม 1. ขอ ความ / สถานการณ ฝก ปฏบิ ตั ิ 2. กระดาษปรูฟ 3. ปากกาเคมี 4. ใบความรูกจิ กรรม วธิ ดี าํ เนินการ หลังจากครูไดดําเนินการจัดการความรูพลังงานในชีวิตประจําวันและการอนุรักษพลังงาน ใหก ับนกั ศกึ ษาหรือนกั ศกึ ษาไดศึกษาเรยี นรใู นเรอ่ื งพลงั งานในชีวิตประจําวันและการอนุรักษพลังงาน เรียบรอยแลวใหนกั ศกึ ษา ความเขาใจบทเรยี นโดยทาํ กิจกรรมรวมกบั เพื่อนจากแบบฝกตอไปน้ี “ไฟฟานับวา เปนพลังงานท่ีมีความจําเปนตอชีวิตประจําวันของคนเราเปนอยางมากแตไฟฟาท่ีเราใช กนั อยทู ุกวนั ไมไดเ กิดจากธรรมชาติหากแตเกิดจากการสรางสรรคของมนุษย มีการประดิษฐอุปกรณ เครอ่ื งมือสาํ หรับผลติ กระแสไฟฟาซึ่งในปจจบุ ันจําเปนตองหาทรัพยากรตางๆนํามาใชเปนพลังงานใน การผลิตไฟฟาซงึ่ ในแตล ะปป ระเทศไทยตอ งนาํ เขา พลงั งานที่นํามาใชผลติ ไฟฟาในแตละปนับแสนลาน บาท” จากขอ ความดังกลา ว นักศึกษาจะมีวิธีใดบางที่จะชวยลดการใชพลังงานและการใชไฟฟา จง บอกวิธีมาอยา งนอย 10 วธิ ี 1. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 2. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 3. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 4. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 5. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 6. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 83 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
77 7. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 8. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 9. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… 10. …………………………………………………………………………………………………………………….…………………… จงตอบคําถามตอ ไปนี้ 1. จงอธบิ ายความหมายของพลงั งานทดแทนใหเขาใจ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. พลังงานทดแทนมกี ปี่ ระเภท อะไรบา ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. ประโยชนของพลงั งานทดแทนมีอะไรบา ง ตอบมาอยา งนอย 5 ขอ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… อานขอความจากสถานการณต อ ไปนีแ้ ลวตอบคาํ ถาม “การใชพ ลังงานซึ่งไดจากทรัพยากรธรรมชาติท่ีสวนใหญเปนพลังงานเช้ือเพลิงฟอสซิลหรือพลังงาน ส้นิ เปลอื งยอมมีผลกระทบตอ สงิ่ แวดลอ ม ทง้ั กระบวนการคน หาพลังงานและผลจากการนําพลังงานมา ใชอ าจจะมีผลในระดับทองถิ่น ภูมิภาคและระดับโลก ไมวาจะเปนผลกระทบในระดับใดลวนมีผลตอ ความเปนอยูของสิ่งมีชีวิต และส่ิงแวดลอมทั้งส้ิน ไดแก ผลกระทบสภาพภูมิประเทศ ทรัพยากรดิน 84 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสินธ์ุ
78 มลพิษดนิ มลพษิ อากาศ มลพษิ เสียง มลพิษน้าํ รวมทั้งผลกระทบในระดับโลก คือ ภาวะเรอื นกระจก ทําใหเ กิดโลกรอน การทําลายชน้ั โอโซน เหลา น้ลี วนทาํ ใหโ ลกขาดดุลยภาพ ดังนั้นในการใชทรัพยากร พลงั งาน ตองคํานึงถงึ ผลกระทบจากการใชพ ลงั งานเหลานนั้ ดว ย ใหเ ปนไปตามหลกั อนุรักษวิทยา” 1. ปญ หาทเ่ี กดิ ขนึ้ คอื อะไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. หากใชพ ลังงานฟอสซิลมากๆจะสง ผลกระทบตอสิ่งแวดลอ มอยา งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. นักศกึ ษามวี ธิ กี ารแกไ ขปญหาน้ีอยางไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 85 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
80 กจิ กรรมท่ี 6 เรอื่ ง ความสัมพนั ธร ะหวางดวงอาทติ ย โลก และดวงจันทร คาํ ชแี้ จง ใหลากเสนความสัมพันธปรากฎการทางธรรมชาตทิ ี่เกดิ ข้ึนระหวา ง ดวงอาทติ ย โลก และ ดวงจันทร การเกิดกลางวนั กลางคนื โลกดวงอาทิตย์ ดวงจนั ทร์อยู่ในแนวเดยี วกนั จะมี การเกิดข้างข�น� ข้างแรม การกระทา� ตอ่ โลกมากเมื�อดวงจนั ทร์เคล�ือนที��ปใน น�า� ข�น� น�า� ลง แนวอื�นแรงกระทา� ก็จะน้อย การเกิดสรุ ิยปุ ราคาและการ ดวงจันทร์หมนุ รอบโลกถ้าดวงจนั ทร์อย่ดู ้านตรง เกิดจันทรุปราคา ข้ามกับดวงอาทติ ย์จะเป็ นข้างขน� � ถ้าดวงจนั ทร์อยู่ การเกิดลมบกลมทะเล ด้านเดยี วกบั ดวงอาทิตย์จะเป็ นข้างแรม การเกิดฤดกู าล การท�ีโลกหมนุ รอบตัวเองทา� ให้โลก�ม่รับ แสงอาทิตย์�ม่�ร้อมกนั ส่วนท�ี� ด้รับแสงจะเป็ น กลางวนั สว่ นท��ี ม�่ ด้รับแสงจะเป็ นกลางคนื โลกหมนุ รอบดวงอาทติ ย์เนอ�ื งจากแกนโลกเอียง ����� อง�า ดงั นนั � เม�อื เคล�อื นที�รอบดวงอาทติ ย์ท�า ให้ขวั � โลกเหนือและขัว� โลกใต้�ด้รับแสงอาทิตย์�ม่ เท่ากนั แตล่ ะดอื น ดวงจนั ทร์หมนุ รอบโลกและดวงอาทิตย์ โลก และ ดวงอาทิตย์ โลก ดวงจันยทร์อย่ใู นแนวระนาบ เดยี วกนั โลกหมนุ รอบตวั เองในเวลากลางวนั �ืน� ดนิ และ�ืน� น�า� จะ�ด้รับแสงแดดเตม็ ท�ีแต�่ ืน� ดนิ มีน้อยกวา่ �ืน� น�า� กลางวนั บนบกจ�งร้อนกวา่ ทะเลลมจะ�ดั จาก ทะเลเข้าหา�ั�ง 86 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
81 กิจกรรมท่ี 7 เรื่อง อาชีพชา งไฟฟา ตอนท่ี 1 ความเขาใจในการตอวงจรไฟฟา คําช้ีแจง ใหผเู รยี นศึกษาการตอ วงจรไฟฟา ท่ถี กู ตองและอธบิ ายวงจรไฟฟา สวทิ ช์ไฟ หลอดไฟ สะพานไฟ แหล่งกําเนิดไฟฟ้ า องคประกอบวงจรไฟฟา วงจรน้ปี ระกอบดว ย ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………….. วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 87 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
82 ตอนท่ี 2 วธิ อี นุรกั ษแ ละประหยดั พลงั งานไฟฟา คําชีแ้ จง ใหผ เู รียนศึกษาวธิ ีการอนรุ ักษแ ละประหยดั พลงั งานไฟฟา 1. วธิ อี นุรกั ษแ ละประหยัดพลังงานไฟฟาเครอื่ งรับโทรทัศน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 2. วธิ ีอนรุ ักษและประหยัดพลงั งานไฟฟา เตารีดไฟฟา ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 3. วิธอี นรุ กั ษแ ละประหยดั พลงั งานไฟฟาไฟฟา แสงสวา ง ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 4. วิธอี นุรกั ษแ ละประหยัดพลังงานไฟฟา ตเู ยน็ ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 5. วิธีอนรุ ักษแ ละประหยัดพลังงานไฟฟา เครอ่ื งทําความรอน ………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………… 88 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
แนวข้อสอบ ชดุ ท่ี 1 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 89 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
ระดบั ประถมศึกษา (หลกั สูตร กศน. 2551) รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ 1. ข้อใดเป็นการแกป้ ัญหาฝนแลง้ โดยอาศยั หลักการทางวทิ ยาศาสตร์ ก. การปลกู ปา่ ข. การบวงสรวง ค. การทาบุญบ้ังไฟ ง. การทาบญุ แห่นางแมว ตอบ ก. 2. แพทยห์ รอื พยาบาลสอบถามอาการของผู้ปว่ ยจดั อยู่ในข้นั ตอนใด ก. การสังเกต ข. การสรปุ ผล ค. การตงั้ ปัญหา ง. การรวบรวมข้อมูล ตอบ ง. 3. การวดั ปรมิ าตรน้า ควรเลือกใช้อปุ กรณท์ างวิทยาศาสตร์ข้อใด ก. บีกเกอร์ ข. ขวดรูปชมพู่ ค. กระบอกตวง ง. หลอดทดสอบ ตอบ ค. 4. พลต้องการพัฒนาเคร่ืองเกี่ยวข้าวให้มีประสทิ ธิภาพเพ่มิ มากขึน้ พลควรทาโครงงานประเภทใด ก. ทฤษฎี ข. ทดลอง ค. การสารวจ ง. ส่ิงประดษิ ฐ์ ตอบ ง. 5. จากการสงั เกตใบหญ้าทถ่ี กู หนิ ทบั จะมีสีซีด ปัจจัยใดที่มีผลตอ่ สีของใบหญ้ามากท่ีสดุ ก. นา้ ข. แสงแดด ค. กา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ง. ก๊าซคารบ์ อนมอนอกไซด์ ตอบ ข. อธบิ าย ไมม่ กี ารสงั เคราะหแ์ สง 90 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
ระดับประถมศกึ ษา (หลักสูตร กศน. 2551) รายวิชาวิทยาศาสตร์ 6. กระบองเพชรสามารถเจริญเติบโตได้ดีในทะเลทราย เนอื่ งจากมีการปรบั ตัว ข้อใด ก. ลาต้นเปน็ พุม่ ข. ลาต้นขรุขระ ค. รากเปน็ รากฝอย ง. ใบเป็นหนามแหลม ตอบ ง. อธบิ าย เพอื่ ลดการสงั เคราะห์แสง ลดการระบายนา้ 7. หากตอ้ งการขยายพนั ธพุ์ ืชยืนตน้ สาหรับใช้เป็นร่มเงา ควรเลอื กใช้วธิ ใี ด ก. ปกั กิ่ง ข. ตอนก่งิ ค. เสยี บยอด ง. เพาะเมลด็ ตอบ ค. 8. นกเอี้ยงบนหลงั ควาย มคี วามสัมพันธ์ตรงกบั ขอ้ ใด ก. กวางกับเสือ ข. พยาธิในลาไส้ ค. ดอกไมก้ ับแมลง ง. กาฝากกบั ตน้ ไมใ้ หญ่ ตอบ ค. อธบิ าย การอยู่รว่ มกบั แบบไดป้ ระโยชนร์ ว่ มกนั คอื นกเอยี้ งกนิ เหาและแมลงทอี่ ยกู่ บั ควาย ไดป้ ระโยชนท์ ง้ั สอง 9. ขอ้ ใดเขียนห่วงโซอาหารไดถ้ ูกตอ้ ง ก. เหยี่ยว กบ ตกั๊ แตน ข้าว ข. ผักกาด หนอน ไก่ คน ค. ตัก๊ แตน ข้าว กบ เหยยี่ ว ง. หนอน ผกั กาด กบ เหย่ียว ตอบ ข. อธบิ าย ผผู้ ลติ ผบู้ ริโภค ผบู้ ริโภค ผบู้ รโิ ภค 10. ขอ้ ใดคอื ทรัพยากรธรรมชาติทใี่ ช้ไมห่ มดสนิ้ ก. นา้ ข. นา้ มัน ค. แรธ่ าตุ ง. ก๊าชธรรมชาติ วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศกึ ษา : พว11001 91 ส�ำนักงาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
ตอบ ก. รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา (หลักสตู ร กศน. 2551) 11. ข้อใดเป็นการรักษาคุณภาพทรพั ยากรดินและเป็นการใช้ดนิ ให้มีประสทิ ธิภาพสงู สดุ ก. การปลกู พชื หมุนเวยี น ข. การทาเกษตรกรรมในพ้ืนที่ลาดชนั ค. การปลูกพชื ชนิดเดยี วซ้าในพ้นื ท่เี ดิม ง. การเผาหนา้ ดินเพอื่ เตรียมการเพาะปลกู ตอบ ก. 12. ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ข้อใดที่ส่งผลเสียตอ่ ผลผลติ ทางการเกษตร ก. เมฆ ข. หมอก ค. น้าค้าง ง. ลูกเหบ็ ตอบ ง. 13. ข้อใดกล่าวไมถ่ กู ต้องเกี่ยวกับความหมายของสาร ก. สมั ผสั ได้ ข. ตอ้ งการที่อยู่ ค. เปน็ ของแข็ง ง. เป็นส่ิงทีม่ ีตวั ตน ตอบ ค. อธบิ าย สารจะมลี กั ษณะเปน็ ของแขง็ ของเหลว และกา๊ ซ 14. สารใดไมเ่ ปลยี่ นแปลงรปู รา่ งตามภาชนะบรรจุ ก. หินน้ามัน ข. น้าโคลน ค. น้ามนั ดบิ ง. กา๊ ซธรรมชาติ ตอบ ก. อธบิ าย เปน็ ของแขง็ รปู รา่ งไมเ่ ปลยี่ นแปลง 15. ปัจจัยขอ้ ใดเกี่ยวข้องกบั การเปลย่ี นแปลงสถานะของสารนอ้ ยทีส่ ดุ ก. ความรอ้ น ข. ความดันไอ ค. ความร้อนแฝง ง. ความแนน่ หนาของปรมิ าตร ตอบ ง. 92 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
ระดบั ประถมศึกษา (หลักสตู ร กศน. 2551) รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ 16. ควรใช้วิธกี ารใดแยกถ่านและผงเหล็กออกจากกนั ก. การกรอง ข. การใช้แม่เหลก็ ค. การกลน่ั ลาดับสว่ น ง. การสกดั โดยการกลัน่ ด้วยไอน้า ตอบ ข. อธบิ าย แม่เหลก็ จะใชแ้ ยกของแขง็ ออกจากกนั 17. วธิ ีท่ีประหยัดและสะดวกที่สดุ ในการแยกเกลอื ออกจากน้าทะเล คอื ข้อใด ก. การกลั่น ข. การกรอง ค. การตกผลกึ ง.การระเหยแหง้ ตอบ ง. 18. สารปรุงแต่งขอ้ ใดไมม่ คี ุณค่าทางโภชนาการ ก. สผี สมอาหาร ข. เกลือแกง ค. น้าตาล ง. นา้ ปลา ตอบ ก. 19. สารขอ้ ใดไมเ่ หมาะกับการทาความสะอาดรา่ งกาย ก. สบู่ ข. แชมพู ค. ยาสีฟนั ง. ผงซักฟอก ตอบ ง. อธบิ าย ผงซกั ฟอกมสี ว่ นผสมของเบสแก่ 20. ถา้ เด็กเล็กท้องอืด ควรทาท้องดว้ ยอะไร ก. ยาเหลอื ง ข. คาราไมน์ ค. มหาหงิ ค์ ง. น้ามนั เหลือง ตอบ ค. วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 93 สำ� นกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสนิ ธ์ุ
ระดบั ประถมศึกษา (หลักสูตร กศน. 2551) รายวชิ าวิทยาศาสตร์ 21. เมอื่ ออกแรงกระทากับวัตถุ วัตถจุ ะเคล่ือนที่ไปทางใด ก. ไมม่ ีทศิ ทางทีแ่ น่นอน ข. ตง้ั ฉากกับแรงท่ีกระทา ค. ตรงขา้ มกบั แรงทกี่ ระทา ง. ทิศทางเดยี วกบั แรงท่กี ระทา ตอบ ง. 22. พจิ ารณารปู ต่อไปนี้ ซ้าย ขวา 40N m 20N วัตถุ จากรูป เม่ือออกแรงดงึ วตั ถุมวล m ไปด้านซ้ายดว้ ยแรง 40 นิวตนั และออกแรงดงึ ไปด้านขวา 20 นิวตัน วัตถุ จะเล่อื นไปทางใดด้วยแรงขนาดเท่าใด ก. ทางขาว ดว้ ยแรง 60 นวิ ตัน ข. ทางขาว ด้วยแรง 20 นวิ ตัน ค. ทางซ้าย ดว้ ยแรง 60 นวิ ตัน ง. ทางซ้าย ดว้ ยแรง 20 นิวตัน ตอบ ง. 23. ขอ้ ใดกลา่ วถูกตอ้ งเก่ยี วกับการใชอ้ ุปกรณ์ไฟฟา้ ตามหลักการอนุรักษพ์ ลงั งาน ก. ตงั้ ต้เู ย็นหา่ งจากผนังอยา่ งนอ้ ย 10 เซนติเมตร ข. ตัง้ อุณหภมู เิ ครอ่ื งปรบั อากาศท่ีอณุ หภูมิ 25 องศาเซลเซียส ค. ใช้เครือ่ งใชไ้ ฟฟ้าท่มี ฉี ลากประหยดั ไฟเบอร์ 3 ขน้ึ ไป ง. นาอาหารร้อนใส่ตู้เยน็ ทนั ที หลังจากปรงุ เสร็จใหมๆ่ ตอบ ข. 24. ข้อใดกล่าวถึงคุณสมบัตขิ องแสงได้ถูกต้อง ก. แสงเป็นคลนื่ ตามยาว ข. แสงเดนิ ทางเป็นวถิ ีโคง้ ค. แสงเดนิ ทางชา้ กวา่ เสียง ง. แสงเป็นคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟ้า ตอบ ง. 94 วิทยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
ระดบั ประถมศึกษา (หลกั สูตร กศน. 2551) รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ 25. สภาวะทเี่ รียกวา่ “หตู ึง” หมายถงึ ข้อใด ก. ไมส่ ามารถไดย้ ินเสยี งดงั ข. ความสามารถในการได้ยินลดลง ค. ความสามารถในการแยกเสยี งลดลง ง. ไม่สามารถไดย้ ินและตดิ ต่อพดู คยุ ได้ ตอบ ข. 26. พลงั งานข้อใดมีผลกระทบต่อสภาพแวดลอ้ มน้อยท่ีสุด ก. นิวเคลยี ร์ ข. ปโิ ตรเลียม ค. แสงอาทิตย์ ง. ความร้อนใตพ้ ิภพ ตอบ ค. 27. ถา้ ต้องการชมปรากฏการณ์สรุ ิยปุ ราคาได้ชดั เจนและปลอดภยั มากที่สุด ควรปฏิบัตติ ามข้อใด ก. มองโดยใช้ตาเปล่า ข. มองผา่ นแว่นขยาย ค. มองผ่านกล้องโทรทรรศน์ ง. มองผา่ นกระจกกรองแสงหรอื แผ่นกรองแสง ตอบ ง. 28. จนั ทรุปราคา เป็นปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่เกิดจากขอ้ ใด ก. ดวงจันทรโ์ คจรรอบโลก ข. ตาแหน่งของโลกอยรู่ ะหว่างดวงจนั ทรก์ ับดวงอาทิตย์ ค. ตาแหนง่ ของดวงจันทรอ์ ยู่ระหวา่ งโลกกบั ดวงอาทติ ย์ ง. ตาแหนง่ ดวงอาทิตยอ์ ยรู่ ะหว่างดวงจันทร์กบั โลก ตอบ ข. 29. ในการต่อวงจรไฟฟ้าถ้าหลอดไฟหลอดหนงึ่ ขาดทาใหห้ ลอดอืน่ ๆไมต่ ิดเป็นการต่อวงจรแบบใด ก. ต่อแบบอนกุ รม ข. ตอ่ แบบขนาน ค. ต่อแบบผสม ง. ต่อแบบตรง ตอบ ก. อธบิ าย 0 วทิ ยาศาสตร์ ระดับประถมศึกษา : พว11001 95 สำ� นกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธ์ุ
ระดบั ประถมศกึ ษา (หลกั สตู ร กศน. 2551) รายวิชาวิทยาศาสตร์ 30. ข้อใดเป็นการให้ความรเู้ กยี่ วกับไฟฟา้ ไปใชอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและปลอดภัยที่สุด ก. เขียว ไมใ่ ชอ้ ุปกรณไ์ ฟฟา้ ที่ชารุด ข. แดง จบั ปลัก๊ ไฟฟ้าขณะตัวเปียก ค. ดา ตัดก่ิงไมท้ พี่ าดกับสายไฟฟา้ แรงสงู ขณะฝนตก ง. ขาว ใช้ชอ้ นโลหะตักอาหารจากกระทะไฟฟา้ ทยี่ ังไมถ่ อดปลั๊ก ตอบ ก. 96 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวดั กาฬสนิ ธุ์
แนวข้อสอบ ชดุ ท่ี 2 วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 97 ส�ำนกั งาน กศน.จงั หวัดกาฬสินธ์ุ
ระดบั ประถมศึกษา (หลกั สตู ร กศน. 2551) รายวชิ าวิทยาศาสตร์ 1. ความหมายของวทิ ยาศาสตรข์ ้อใดสมบรู ณท์ ส่ี ุด ก. ความรู้ท่ีเกิดจากการศกึ ษาดว้ ยตนเอง โดยการศกึ ษาและอบรม ข. ความรทู้ เี่ กิดข้นึ ตามธรรมชาติ โดยการใชเ้ ทคโนโลยี ค. ความรู้ท่ีเกิดขน้ึ จากประสบการณเ์ ดมิ ของบุคคล โดยใชท้ ักษะกระบวนการศึกษาด้วยตนเอง ง. การศกึ ษาหาความรู้ เรื่องราว ปรากฏการณธ์ รรมชาติอยา่ งมรี ะบบ ขัน้ ตอน โดยใช้กระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ ตอบ ง. 2. “เกษตรกรคาดคะเนว่าพืชไมเ่ จริญเติบโต ลาต้นแคระแกร็น นา่ จะเกดิ จากสภาพของดิน” การคาดคะเน เป็นข้ันตอนใดในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ก. ระบปุ ัญหา ข. ตงั้ สมมตฐิ าน ค. รวบรวมข้อมลู ง. วิเคราะหข์ ้อมูล ตอบ ข. 3. การทายากนั ยงุ จากสมุนไพร เป็นโครงงานวิทยาศาสตรป์ ระเภทใด ก. ทฤษฎี ข. สารวจ ค. ทดลอง ง. สิง่ ประดิษฐ์ ตอบ ง. 4. ธาตุอาหารหลกั ของพชื คือขอ้ ใด ก. แมงกานสี เหล็ก โบรอน ข. ฟอสฟอรสั ออกซเิ จน เหล็ก ค. ออกซเิ จน ไนโตรเจน แมงกานสี ง. ไนโตรเจน ฟอสฟอรสั โพแทสเซียม ตอบ ง. 5. อวยั วะในระบบการย่อยอาหารของมนษุ ย์ขอ้ ใดเรยี งลาดบั ไดถ้ ูกตอ้ ง ก. ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไสเ้ ลก็ ทวารหนัก ข.ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ทวารหนัก ลาไส้ใหญ่ ค. ปาก กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก หลอดอาหาร ทวารหนกั ง. ปาก หลอดอาหาร ลาไส้เล็ก กระเพาะอาหาร ทวารหนัก ตอบ ก. 98 วทิ ยาศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 สำ� นักงาน กศน.จังหวดั กาฬสินธุ์
ระดับประถมศกึ ษา (หลกั สตู ร กศน. 2551) รายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ 6. ขอ้ ใดคือปัจจยั ท่ที าใหน้ กอพยพจากแถบไซบเี รียมาประเทศไทย ก. อาหาร ข. แหล่งน้า ค. แหลง่ ท่ีอยอู่ าศัย ง. อณุ หภมู ขิ องอากาศ ตอบ ง. อธบิ าย อากาศหนาวไมเ่ หมาะกบั การดารงชวี ิตของนก 7. เหตใุ ดต้องมกี ารขยายพันธส์ุ ตั ว์ ก. เพมิ่ จานวน ข. ใหเ้ กดิ สายพนั ธุใ์ หม่ ค. ใหส้ ตั ว์มีรูปรา่ งทเี่ ปลย่ี นไป ง. ให้สัตวม์ ี 2 เพศในตัวเดียวกัน ตอบ ก. 8. พจิ ารณาห่วงโซ่อาหารต่อไปนี้ พชื ตก๊ั แตน นก เหย่ียว ขอ้ ใดเป็นผ้ผู ลิต ก. นก ข. พืช ค. เหยี่ยว ง. ตั๊กแตน ตอบ ข. 9. ตัก๊ แตนใบโศก มีลาตน้ เขียวหรือนา้ ตาลมองดูคลา้ ยใบไม้ จัดอยูใ่ นการปรบั ตัวดา้ นใดมากท่สี ดุ ก. พฤติกรรม ข. การสืบพนั ธ์ุ ค. การหาอาหาร ง. ลักษณะรปู ร่าง ตอบ ง. 10. ขอ้ ใดทาให้เกดิ ผลกระทบตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติมากท่ีสดุ ก. การปลกู พชื แบบขัน้ บนั ได ข. การปลูกพชื ชนิดเดียวกันซ้าซาก ค. การสึกกร่อนและการพงั ทลายของดนิ ง. การนาถุงพลาสตกิ ทใี่ ช้แลว้ มาใช้ใหม่ ตอบ ค. อธบิ าย การสกึ กรอ่ นและการพงั ทลายของดนิ เปน็ การทาลายหนา้ ดนิ วิทยาศาสตร์ ระดบั ประถมศึกษา : พว11001 99 ส�ำนกั งาน กศน.จังหวัดกาฬสนิ ธุ์
ระดบั ประถมศกึ ษา (หลกั สูตร กศน. 2551) รายวิชาวิทยาศาสตร์ 11. ผูเ้ รียนควรปฏิบตั ิตนอยา่ งไงจึงจะเป็นการใชท้ รพั ยากรป่าไมไ้ ด้อย่างค้มุ ค่า ก. การนาไมม้ าสร้างบา้ น ข. การนาไม้มาทาเฟอรน์ ิเจอร์ ค. การนาไม้มาเปน็ เช้อื เพลิง ง. การนาเศษไมม้ าประดษิ ฐ์เป็นของเล่นเดก็ ตอบ ง. 12. ขอ้ ใดกลา่ วถงึ การเกิดหมอกไดถ้ ูกต้อง ก. อณุ หภูมิในอากาศ และความเย็นทาให้เมฆแปรสภาพเป็นละอองนา้ ข. การลอยตัวของไอน้าในอากาศ แล้วกลน่ั เป็นหยดนา้ ค้างตกลงมายังพื้นดนิ ในตอนเชา้ ค. การกล่ันตัวของก้อนเมฆในท้องฟา้ ทาให้ละอองน้าเกดิ การรวมตวั มขี นาดใหญ่หยดลงสู่พื้นดิน ง. การกลน่ั ตวั ของไอนา้ ในอากาศ กระทบความเย็นและควบแนน่ เปลย่ี นสถานะเป็นละอองนา้ คลา้ ยควนั สีขาว ลอยตดิ พืน้ ดิน ตอบ ง. 13. เรามคี วามจาเปน็ ตอ้ งใช้สารเพราะเหตุใด ก. ความเจริญทางการศกึ ษา ข. การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ค. ความเจรญิ กา้ วหน้าของวิทยาศาสตร์ ง. สนองความต้องการใช้งานของมนษุ ย์ ตอบ ค. 14. สารใดมโี มเลกุลหา่ งกันมากท่ีสุด ก. น้าแขง็ ข. นา้ ท่ี 4◦C ค. ไอน้า ง. นา้ ที่ 25◦C ตอบ ค. อธบิ าย นา้ แขง็ ๐๐ ของเหลว ๐ ๐ ๐ กา๊ ซ(ไอนา้ ) ๐ ๐ ๐๐ ๐ ๐ ๐ ๐๐ 15. ปัจจัยสาคญั ทส่ี ดุ ทีม่ ีผลต่อการเปล่ยี นแปลงสถานะของน้า คือข้อใด ก. อุณหภูมิ ข. ความกดอากาศ ค. ปริมาณของสาร ง. รูปร่างภายนอกของสาร 10ต0อบวิทกย.าศาสตร์ ระดบั ประถมศกึ ษา : พว11001 ส�ำนักงาน กศน.จังหวดั กาฬสนิ ธ์ุ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124