[Document subtitle]เอกสารประกอบการสอน บทที่ 1 ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบั สารสนเทศ
1 บทที่ 1 ความรู้ทวั่ ไปเกย่ี วกบั สารสนเทศ สารสนเทศมีความสาคญั และเก่ียวขอ้ งกบั มนุษยท์ ้งั ในการดาเนินชีวิต การส่ือสาร การพฒั นาดา้ นต่าง ๆ ปัจจุบนั เป็ นยุคของขอ้ มูลข่าวสาร ผทู้ ี่ไดร้ ับรู้ขอ้ มูลข่าวสารมากยอ่ มไดเ้ ปรียบในการต่อสู้ดิ้นรนหาหนทางแก้ปัญหาเพ่ือความอยู่รอด ทาให้มนุษยจ์ าเป็ นต้องเรียนรู้และเลือกใช้ขอ้ มูล ในการพฒั นาและนาประโยชน์จากสารสนเทศไปใช้ความหมายของสารสนเทศ สารสนเทศ ตามความหมายของพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 หมายถึงข่าวสาร การแสดงหรือช้ีแจงข่าวสาร ขอ้ มูลต่าง ๆ (ราชบณั ฑิตยสถาน, 2546 : 1182) ซ่ึงรวมถึงขอ้ มูล ข่าวสาร ขอ้ เท็จจริง และความคิดต่าง ๆ ที่ไดม้ ีการประมวลผล บนั ทึก จดั พิมพ์ หรือเผยแพร่ในรูปแบบต่าง ๆ สามารถนาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดท้ ้งั ส่วนบุคคลและสังคม (ธาดาศกั ด์ิ วชิรปรีชาพงษ,์ 2548 :9) และสอดคลอ้ งกบั รุ่งฤดี อภิวฒั นศรและคณะ (2551 : 1) กล่าววา่ สารสนเทศหมายถึง ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ข้อเท็จจริง ที่มีการนาไปเผยแพร่ในรูปแบบของสื่อต่าง ๆโดยเฉพาะในปัจจุบนั เห็นไดช้ ดั เจนจากการเผยแพร่บนส่ืออิเล็กทรอนิกส์ มหาวิทยาลยั บูรพา คณาจารยภ์ าควชิ าบรรณารักษศาสตร์ (2550 : 2) กล่าวถึงสารสนเทศวา่คาวา่ สารสนเทศหรือสารนิเทศ เป็ นศพั ทบ์ ญั ญตั ิราชบณั ฑิตยสถาน กาหนดใหใ้ ชไ้ ดท้ ้งั สองคา ในภาษาองั กฤษใชค้ าวา่ Information มีรากศพั ท์มาจากภาษาลาตินวา่ Informatio หมายถึง ความคิดขอ้ เท็จจริง จิตนาการซ่ึงไดม้ ีการสื่อสาร จดบนั ทึก จดั พิมพ์ เผยแพร่ ซ่ึงอาจเป็ นการส่ือสารในลกั ษณะที่เป็นทางการหรือไมเ่ ป็นทางการก็ได้ อัมพร นามเหลา (2542 : 4) กล่าวว่า สารสนเทศ หมายถึง ข่าวสาร ข้อมูล ความรู้ขอ้ เทจ็ จริงความคิดที่ไดม้ ีการบนั ทึกไวใ้ นสื่อหรือทรัพยากรสารนิเทศแบบตา่ ง ๆ ซ่ึงบุคคลสามารถรับรู้ไดด้ ว้ ยวธิ ีใดวธิ ีหน่ึง เพอื่ นาไปใชป้ ระโยชนไ์ ดต้ ามความตอ้ งการ ดงั น้นั สรุปไดว้ ่าสารสนเทศ หมายถึง ความรู้ เรื่องราว ขอ้ มูล ข้อเท็จจริง ข่าวสารความรู้สึก ความคิด ประสบการณ์ต่าง ๆ โดยผา่ นการกลน่ั กรอง ประมวล เรียบเรียงอย่างเป็ นระบบตามหลกั วชิ าการและจดั เก็บในรูปของสื่อชนิดต่าง ๆ หลายรูปแบบ เพื่อถ่ายทอดเผยแพร่ให้ผอู้ ่ืนทราบและใชป้ ระโยชน์ในการพฒั นาดา้ นต่าง ๆ
2ลกั ษณะของสารสนเทศทด่ี ี ปัจจุบนั มีขอ้ มูล ข่าวสาร ความรู้เกิดข้ึนมากมาย จนบางคร้ังผูใ้ ช้อาจเห็นว่ามีแหล่งขอ้ มูลขา่ วสารมากเกินไป จะทาอยา่ งไรจึงจะให้ไดส้ ารสนเทศตรงกบั ความตอ้ งการมากที่สุดและพจิ ารณาเลือกใช้ในส่ิงที่ก่อให้เกิดประโยชน์มากท่ีสุด ดังน้ัน ผูใ้ ช้จึงจาเป็ นต้องพิจารณาคุณค่าของสารสนเทศ ดงั น้ี 1. ความถูกตอ้ งเที่ยงตรง (Accuracy) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งมีความถูกตอ้ ง ไมม่ ีขอ้ ผดิ พลาดหรือความคลาดเคล่ือน 2. ตรงตามความตอ้ งการ (Relevancy) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งมีเน้ือหาตรงตามความตอ้ งการของผใู้ ชแ้ ละสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ได้ 3. ความครบถว้ นสมบูรณ์ (Completeness) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งครอบคลุมรายละเอียดที่สาคญั ทุกเรื่องในส่ิงที่ตอ้ งการทราบ 4. ความน่าเช่ือถือได้ (Reliability) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งมีความเชื่อถือได้ ท้งั น้ีอาจข้ึนกบั กระบวนการเก็บขอ้ มูล และแหล่งที่มาของขอ้ มูล 5. ตรวจสอบได้ (Verifiable) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งสามารถตรวจสอบไดว้ า่ มีความถูกตอ้ ง โดยอาจตรวจสอบกบั แหล่งขอ้ มูลท่ีมีสารสนเทศเดียวกนั 6. ความชดั เจน (Clarity) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งมีการรวบรวม เรียบเรียงและนาเสนอท่ีมีความชดั เจนง่ายต่อการเขา้ ใจ 7. ความสามารถในการเขา้ ถึง (Accessibility) สารสนเทศที่ดีควรมีการเขา้ ถึงไดง้ ่าย 8. ทนั ตอ่ เหตุการณ์ (Timely) สารสนเทศท่ีดีตอ้ งสามารถหาไดร้ วดเร็วทนั ต่อการใช้ประโยชน์ (ธาดาศกั ด์ิ วชิรปรีชาพงษ,์ 2548 : 11)ความสาคัญของสารสนเทศ จากสภาพความทนั สมยั ของเทคโนโลยแี ละความเจริญกา้ วหนา้ ดา้ นวทิ ยาการต่าง ๆ ขอ้ มูลข่าวสาร ความรู้ เกิดข้ึนอยา่ งมากมาย ทาให้บุคคล องค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ เห็นความสาคญัและความจาเป็ นที่จะตอ้ งใชส้ ารสนเทศ ดงั น้นั สารสนเทศจึงมีบทบาทเขา้ มาเก่ียวขอ้ งต่อบุคคลท้งัดา้ นการดาเนินชีวติ ประจาวนั อาชีพ การงาน การพฒั นาสติปัญญาความรู้ เทคโนโลยีที่เก่ียวขอ้ ง
3กบั สารสนเทศยงั ช่วยอนุรักษ์ ส่งเสริม ถ่ายทอดศิลปวฒั นธรรมไปสู่อนุชนรุ่นหลังต่อ ๆ ไปนอกจากน้ีสารสนเทศยงั มีบทบาทสาคญั ต่อการเมือง การปกครอง และธุรกิจ ทาใหส้ ารสนเทศมีความสาคญั ในดา้ นตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ดา้ นการเรียนการสอน อาจารยผ์ สู้ อนตอ้ งมีการเตรียมการสอนและผเู้ รียนตอ้ งมีการคน้ ควา้ อยตู่ ลอดเวลาในการเรียน การเลือกใชส้ ารสนเทศท่ีมีคุณค่าและตรงกบั รายวชิ า จะทาให้การเรียนการสอนเกิดประสิทธิภาพมากยงิ่ ข้ึน 2. ดา้ นการศึกษาคน้ ควา้ วจิ ยั นกั วจิ ยั จาเป็นตอ้ งมีแหล่งสารสนเทศท่ีดีมีคุณคา่ และทนั สมัยจะทาให้การศึกษา ค้นควา้ วิจยั เกิดความน่าเชื่อถือและนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. ดา้ นการตดั สินใจในการดาเนินการตา่ ง ๆ การบริหารงานทุกสาขาอาชีพตอ้ งมีการตดั สินใจท่ีถูกตอ้ ง การเลือกใชส้ ารสนเทศที่มีคุณคา่ จะช่วยใหก้ ารตดั สินใจเกิดประโยชน์อยา่ งสูง 4. ดา้ นความเขา้ ใจอนั ดีระหวา่ งกนั บุคคลท่ีอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมซ่ึงมีความแตกต่างกนั ท้งัดา้ นเช้ือชาติ ศาสนา ขนบธรรมเนียมประเพณีวฒั นธรรมและความคิดเห็น สามารถอยูร่ ่วมกนั ได้ดว้ ยการรับรู้สารสนเทศแลว้ นามาปรับเขา้ หากนั จะช่วยใหเ้ กิดความเขา้ ใจและมีโลกทศั นท์ ี่กวา้ งข้ึน 5. ดา้ นวทิ ยาการและเทคโนโลยตี า่ ง ๆ พฒั นาการทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีพฒั นาไปอยา่ งรวดเร็วมาก ทาให้ตอ้ งมีการแสวงหาและตามให้ทนั ต่อความเจริญกา้ วหน้าต่าง ๆเพื่อใชป้ ระโยชนจ์ ะช่วยใหเ้ กิดผลดีตอ่ การพฒั นาตนเองและประเทศชาติ 6. ดา้ นเอกลกั ษณ์และววิ ฒั นาการของชาติ สารสนเทศมีความเก่ียวขอ้ งเชื่อมโยงกบัวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น ประวตั ิศาสตร์และภูมิปัญญาต่าง ๆ ทาให้เกิดความภาคภูมิใจ ความหวงแหนต่อส่ิงต่าง ๆ ความสามคั คี และความมนั่ คงในชาติ 7. ดา้ นการสร้างค่านิยมและทศั นคติท่ีดี การท่ีประชาชนในประเทศไดร้ ับสารสนเทศในทุกรูปแบบโดยไม่มีขีดจากดั สามารถสร้างคา่ นิยมและทศั นคติท่ีดีใหเ้ กิดข้ึนในสังคมได้ 8. ดา้ นการประหยดั เวลาในการดาเนินการและเสริมคุณคา่ ของผลงาน สารสนเทศท่ีมีคุณคา่ จะช่วยลดปัญหาการเสียเวลาและการลองผดิ ลองถูก 9. ดา้ นการประหยดั คา่ ใชจ้ ่าย เครือขา่ ยความร่วมมือของสถาบนั บริการสารสนเทศช่วยให้ผใู้ ชส้ ามารถเขา้ ถึง และสืบคน้ สารสนเทศไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางและไดข้ อ้ มูลในเชิงลึก ทาให้ประหยดัค่าใชจ้ ่ายในการเขา้ ถึงขอ้ มูลแต่ละเร่ือง (อาภากร ธาตุโลหะ, 2547 : 2-3)
4แหล่งสารสนเทศ (Information Resources) ทรัพยากรสารสนเทศเป็ นหัวใจสาคญั ของสถาบนั บริการสารสนเทศ เพราะสถาบนับริการสารสนเทศมีภารกิจหลกั ในการสะสม จดั เก็บ และให้บริการทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ท้งั ในสาขาวชิ าทวั่ ไปและสาขาวชิ าเฉพาะ สถาบนั บริการสารสนเทศมีหลายประเภท ไดแ้ ก่หอ้ งสมุด (Library) ศูนยส์ ารสนเทศ (Information Center) ศูนยข์ อ้ มูล (Data Center) หน่วยงานสถิติ (Statistic Department) ศูนยว์ ิเคราะห์สารสนเทศ (Information Analysis Clearing House)ศูนยป์ ระมวลและเผยแพร่สารสนเทศ (Information Clearing House) ศูนยแ์ นะแหล่งสารสนเทศ(Referral Center) และหน่วยงานจดหมายเหตุ (Archives) นอกจากน้ียงั รวมถึงสถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิ ชย์ ซ่ึงได้แก่ บริษัทค้าสารสนเทศ (Information Company) ศูนย์บริการสารสนเทศทนั สมยั (Current Awareness Services) สานกั ติดต่อและให้คาปรึกษาทางสารสนเทศ(Extension Services Lesion and Advisory) ศูนย์บริการสาระสังเขปและดรรชนี (Abstractingand Indexing Services) เครือข่ายบริการสารสนเทศ (Network Information Service) ประเภทของแหล่งสารสนเทศ แหล่งสารสนเทศสามารถจาแนกได้ ดงั น้ี 1. แหล่งสารสนเทศที่เป็นสถาบนั บริการสารสนเทศ ไดแ้ ก่ หน่วยงานที่ทาหนา้ ท่ีมุ่งเนน้การจดั หา จดั เก็บอยา่ งเป็ นระบบและรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศหรือแจกจ่ายประมวลผลขอ้ มูลหรือสารสนเทศเฉพาะดา้ น เฉพาะสาขาวชิ า เพื่อบริการผูใ้ ชเ้ ฉพาะกลุ่ม รูปแบบของการให้บริการจะมีความหลากหลายตามวตั ถุประสงคห์ รือตามความตอ้ งการของผใู้ ช้ เช่น หอ้ งสมุด ศูนยเ์ อกสารศูนยข์ อ้ มูล ศูนยส์ ารสนเทศ ศูนยว์ ิเคราะห์สารสนเทศ ศูนยป์ ระสานงานสารสนเทศ ศูนยใ์ ห้บริการคดั เลือกสารสนเทศเฉพาะบุคคล หอจดหมายเหตุ นอกจากน้ียงั มีสถาบนั บริการสารสนเทศเชิงพาณิชย์ เช่น บริษทั หรือนายหนา้ คา้ สารสนเทศ ที่ผใู้ ชต้ อ้ งเสียค่าใชจ้ า่ ยในการรับบริการ 2. แหล่งสารสนเทศบุคคล เป็ นสารสนเทศและความรู้ท่ีสะสมไวข้ องแต่ละคน เช่นประสบการณ์ ความคิดของตนเองหรือบุคคลอ่ืนซ่ึงอาจเป็ นการพูดคุยขอคาปรึกษา เพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึงสารสนเทศท่ีตอ้ งการ เช่น ผูท้ รงคุณวฒุ ิ เพื่อนร่วมอาชีพ นกั วิจยั ผเู้ ช่ียวชาญในสาขาต่าง ๆ หรือบุคคลผมู้ ีความเชี่ยวชาญในแต่ละสาขาอาชีพ 3. แหล่งสารสนเทศท่ีเป็ นสถานที่ ซ่ึงอาจไม่ใช่แหล่งสะสม รวบรวมขอ้ มูลโดยตรง เช่นโบราณสถาน พิพิธภณั ฑ์ อนุสาวรีย์ สถานท่ีสาคญั ทางประวตั ิศาสตร์ การเมือง ศาสนา แต่มีขอ้ มูลที่มีคุณค่าและเป็นประโยชน์ตอ่ การศึกษาคน้ ควา้
5 4. แหล่งสารสนเทศส่ือมวลชน ไดแ้ ก่ หนงั สือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร วิทยุ โทรทศั น์ซ่ึงมีบทบาทสาคญั ในการผลิต และเผยแพร่สารสนเทศไปยงั ผูร้ ับข่าวสารหรือคนในสังคมเป็ นจานวนมาก 5. แหล่งผลิต และจาหน่ายสารสนเทศ หมายถึง หน่วยงานหรือองค์กรท่ีทาหน้าที่ผลิตและจาหน่ายทรัพยากรสารสนเทศ เพ่ือประโยชนแ์ ก่สาธารณะ หรือมุง่ หวงั ผลกาไรทางการคา้ เช่นหน่วยงานทางราชการ สถาบนั การศึกษา สมาคม มูลนิธิ สานกั พิมพ์ ร้านจาหน่ายหนงั สือและส่ือสารสนเทศประเภทตา่ ง ๆ 6. แหล่งสารสนเทศข่ายงานคอมพิวเตอร์ เป็ นแหล่งสารสนเทศที่สามารถ ค้นหาสารสนเทศท่ีตอ้ งการไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวางทุกสาขาวชิ า เช่น เครือข่ายคอมพิวเตอร์เฉพาะที่ (Intranet)เครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Internet) ผูใ้ ชส้ ามารถสืบคน้ และเลือกใชส้ ารสนเทศไดอ้ ยา่ งสะดวกรวดเร็วประหยดั เวลาและค่าใช้จ่าย ไม่ตอ้ งไปใช้บริการที่สถาบนั บริการสารสนเทศและสามารถสืบคน้สารสนเทศจากทุกแหล่งสารสนเทศได้ทั่วโลก (มหาวิทยาลัยบูรพา คณาจารย์ภาควิชาบรรณารักษศาสตร์, 2550 : 8) สถาบันบริการสารสนเทศ สถาบนั บริการสารสนเทศ เป็นหน่วยงานท่ีก่อต้งั ข้ึน มีวตั ถุประสงคใ์ นการใหบ้ ริการท้งั นกั ศึกษา อาจารย์ บุคลากรและนกั วชิ าการ ซ่ึงมีการจดั บริการในหลากหลายรูปแบบตามที่ผใู้ ช้ตอ้ งการ สามารถแบ่งสถาบนั บริการสารสนเทศเป็นประเภทตา่ ง ๆ ดงั น้ี 1. ห้องสมุด (Library) เม่ือกล่าวถึง “หอ้ งสมุด” ส่วนใหญ่ยงั เขา้ ใจว่าเป็ นที่เก็บรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศชนิดต่าง ๆ เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้ แต่ปัจจุบันห้องสมุดมีลักษณะเป็ น“ข่ายงานสารสนเทศ” หรือศูนยเ์ ช่ือมโยงขอ้ มูลที่ผูใ้ ชส้ ามารถสืบคน้ ขอ้ มูลข่าวสารท่ีให้การเขา้ ถึงสารสนเทศแก่ผูใ้ ช้ ดงั น้ันห้องสมุด จึงกลายเป็ นห้องสมุดท่ีปราศจากกาแพง (Library WithoutWalls) ห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Library) ห้องสมุดเสมือน (Cirtual Library) และห้องสมุดดิจิทลั (Digital Library) ท่ีผูใ้ ชส้ ามารถเขา้ ถึงสารสนเทศจากทว่ั โลกไดอ้ ยา่ งสะดวกและรวดเร็วอาจไม่ตอ้ งเสียเวลาและค่าใชจ้ ่ายในการเดินทางไปยงั ห้องสมุดแห่งน้นั ห้องสมุดจึง เป็ นที่รวมของสรรพวิชา ห้องสมุดหรือหอสมุดในภาษาองั กฤษใช้คาว่า Library ซ่ึงมาจากคาในภาษาลาตินวา่ Libraria แปลว่า ท่ีเก็บหนังสือ มีรากศพั ท์คาวา่ Liber แปลวา่ หนังสือ (มหาวิทยาลยับูรพา คณาจารยภ์ าควิชาบรรณารักษศาสตร์, 2550 : 6) (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546 : 1278) ให้ความหมายของห้องสมุด ว่าเป็ นแหล่งรวบรวมทรัพยากรสารสนเทศประเภทต่าง ๆ ไวอ้ ยา่ งเป็ นระบบระเบียบโดยผูศ้ ึกษาวิชาบรรณารักษศาสตร์และสารสนเทศศาสตร์ มีกระบวนการคดั เลือก
6จดั หา จดั หมวดหมู่ บนั ทึก จดั เกบ็ และใหบ้ ริการอยา่ งเป็นระเบียบมีแบบแผน ใชเ้ ป็ นแหล่งคน้ ควา้หาความรู้แก่ผใู้ ช้ ดงั น้นั ห้องสมุด หมายถึง แหล่งท่ีสะสมรวบรวมสรรพวิทยาการต่าง ๆ ท่ีผูใ้ ช้สามารถสืบค้นและเข้าถึงสารสนเทศท่ีบันทึกในวสั ดุตีพิมพ์ วสั ดุไม่ตีพิมพ์และสื่ ออิเล็กทรอนิกส์หลากหลายรูปแบบ มีการคดั เลือก จดั เก็บอยา่ งเป็ นระบบ เพ่ือบริการแก่ผใู้ ชต้ ามความตอ้ งการ จดับริหารงานโดยบรรณารักษ์ เป็ นสถาบนั ที่สาคญั ของสังคม สร้างสมสืบทอดและเผยแพร่มรดกทางการศึกษา วฒั นธรรม กิจกรรมการคิดคน้ ตลอดจนวิทยาการใหม่ ๆ สร้างความเจริญก้าวหน้าต่อสังคมและประเทศชาติ หอ้ งสมุดมีความสาคญั ดงั น้ี 1. เป็ นแหล่งรวมแห่งสรรพวิทยาการต่าง ๆ จดั เป็ นศูนยก์ ลางการเรียนรู้ เป็ นสถานท่ีใหก้ ารศึกษา ผใู้ ชส้ ามารถคน้ ควา้ ขอ้ มูลข่าวสารท่ีตอ้ งการไดท้ ุกสาขาวชิ า 2. เป็นสถานท่ีที่ทุกคนสามารถเลือกคน้ ควา้ ความรู้ต่าง ๆ โดยอิสระ อาจเป็นการศึกษาคน้ ควา้ เพ่ิมเติมให้เขา้ ใจดียง่ิ ข้ึนในสาขาที่กาลงั ศึกษาอยู่ ท้งั จากหนงั สือหรือส่ือต่าง ๆ ท่ีทางหอ้ งสมุดจดั ไวใ้ หบ้ ริการ ตามความสนใจของแตล่ ะบุคคล 3. เป็นสถานท่ีบริการเพ่อื การศึกษา มีบริการช่วยการคน้ ควา้ และเสนอแนะการอ่านจึงเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการอา่ นและการศึกษาคน้ ควา้ ดว้ ยตนเอง 4. หอ้ งสมุดจดั หาทรัพยากรสารสนเทศใหม่ ๆ เสมอ ช่วยใหผ้ ใู้ ชม้ ีความรู้ทนั สมยั ทนัต่อเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลกอยเู่ สมอ 5. เป็นสถานที่ช่วยสนบั สนุนและส่งเสริมการใชเ้ วลาวา่ งใหเ้ ป็นประโยชน์ 6. ฝึกฝนและสร้างนิสัยในการระวงั รักษาวสั ดุของหอ้ งสมุด อนั เป็นสาธารณประโยชน์ด้วยความระมดั ระวงั โดยมีกฎระเบียบ ขอ้ ควรปฏิบตั ิในการใช้บริการห้องสมุดร่วมกนั (รุ่งฤดีอภิวฒั นศรและคณะ, 2551 : 2-3) หอ้ งสมุดมีวตั ถุประสงค์ ดงั น้ี 1. เพอ่ื การศึกษา (Education) เป็นแหล่งการเรียนรู้ท่ีสนบั สนุนการศึกษา ท้งั การศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั ที่ช่วยให้ผูศ้ ึกษาค้นควา้ เกิดความรู้กวา้ งขวางยง่ิ ข้ึน 2. เพื่อให้ความรู้และข่าวสารต่าง ๆ (Information) เป็ นแหล่งวทิ ยาการความรู้ใหม่ ๆและขอ้ มูลข่าวสารต่าง ๆ ท้งั ภายในและต่างประเทศทว่ั โลกทาให้ผูใ้ ชบ้ ริการมีความรู้ทนั สมยั ทนัเหตุการณ์และรู้เท่าทนั
7 3. เพือ่ การคน้ ควา้ วจิ ยั (Research) ในการศึกษาคน้ ควา้ วจิ ยั ถือเป็นสิ่งสาคญั ทางวชิ าการเพราะการวิจยั สามารถใช้เป็ นเคร่ืองมือนาเพื่อการพฒั นาในดา้ นต่าง ๆ ห้องสมุดจึงเป็ นแหล่งรวมทรัพยากรสารสนท่ีใช้เป็ นขอ้ มูลในการศึกษาคน้ ควา้ วิจยั ซ่ึงเป็ นการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่เพ่ือความเจริญกา้ วหนา้ ในสาขาวชิ าน้นั 4. เพื่อความจรรโลงใจ (Inspiration) เป็นแหล่งบริการสารสนเทศบางประการ เช่นชีวประวตั ิบุคคลสาคญั ศิลปะ ฯลฯ ช่วยให้ผูใ้ ชเ้ กิดแนวคิด ความสุขทางใจ เกิดความช่ืนชมและประทบั ใจในความดีงานของผอู้ ่ืน ซ่ึงเป็ นแรงกระตุน้ หรือบนั ดาลใจเห็นคุณค่าของความรู้สามารถนาไปพฒั นาตนเองไดแ้ ละสงั คมได้ 5. เพื่อนนั ทนาการหรือพกั ผอ่ นหยอ่ นใจ (Recreation) เป็นแหล่งบริการสารสนเทศประเภทเริงรมย์ เบาสมอง ผใู้ ชไ้ ดร้ ับความเพลิดเพลิน ท้งั จากหนงั สือหรือชุดวีดิทศั น์ ฟังเพลง ถือเป็นงานอดิเรกเป็นการบนั เทิง พกั ผอ่ นหยอ่ นใจท่ีมีคุณคา่ มีสารประโยชนโ์ ดยไม่สิ้นเปลือง(ธาดาศกั ด์ิ วชิรปรีชาพงษ,์ 2548 : 14) หอ้ งสมุดแบง่ เป็นประเภทตา่ ง ๆ ได้ ดงั น้ี (กฤษณา บุตรปาละ, (2541 : 12-14) ; ธาดาศักด์ิ วชิรปรีชาพงษ์, (2548 : 15) ;มหาวิทยาลยั บูรพา คณาจารยภ์ าควิชาบรรณารักษศาสตร์, (2550 : 7) ; รุ่งฤดี อภิวฒั นศรและคณะ,(2551 : 6) ไดแ้ บง่ ประเภทของหอ้ งสมุดออกเป็น 5 ประเภท คือ 1. หอ้ งสมุดโรงเรียน (School Libraries) คือ หอ้ งสมุดท่ีจดั ต้งั ข้ึนในโรงเรียนระดบัการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน รวบรวมวสั ดุสารสนเทศประเภทต่าง ๆ เพ่ือสนบั สนุนการเรียนการสอนในโรงเรียนให้มีประสิทธิภาพและบรรลุเป้าหมายตามวตั ถุประสงค์ของหลักสูตรท่ีเน้นผูเ้ รียนเป็ นศูนยก์ ลาง เป็นการปลูกฝังใหน้ กั เรียนมีนิสัยรักการอา่ นและใฝ่ หาความรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง 2. หอ้ งสมุดสถาบนั อุดมศึกษา (Academic Libraries) เป็นหอ้ งสมุดที่จดั ต้งั ข้ึนในวิทยาลัยและมหาวิทยาลยั เป็ นแหล่งศึกษาค้นควา้ ประกอบการเรียนการสอนและการวิจยั ของอาจารยแ์ ละนกั ศึกษา บริการทางวิทยาการและส่งเสริมศิลปวฒั นธรรม เป็ นแหล่งเพ่ิมพูนความรู้ดว้ ยตนเองใหก้ วา้ งขวางยง่ิ ข้ึน เพ่อื เป็นพ้ืนฐานของการประกอบอาชีพในอนาคต 3. หอ้ งสมุดเฉพาะ (Special Libraries) คือ หอ้ งสมุดท่ีต้งั ข้ึนเพ่อื สนองความตอ้ งการของบุคคลเฉพาะสาขาวิชาให้บริการแก่ผูใ้ ช้เฉพาะกลุ่ม รวบรวมวสั ดุสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชาเช่น ห้องสมุดธนาคารกรุงเทพฯ ห้องสมุดกรมวิชาการเกษตร ห้องสมุดกรมวิทยาศาสตร์บริการซ่ึงสังกดั อยู่ในหน่วยงานราชการ องค์การ บริษัท สมาคม ธนาคาร พิพิธภณั ฑ์ มหาวิทยาลัยองคก์ ารระหวา่ งประเทศ 4. หอ้ งสมุดประชาชน (Public Libraries) คือ หอ้ งสมุดท่ีมีหนา้ ท่ีจดั ใหบ้ ริการแก่
8ประชาชนทุกเพศ ทุกวยั ทุกอาชีพ และทุกระดบั การศึกษา มีท้งั ห้องสมุดประชาชนในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทุกจงั หวดั หอ้ งสมุดเคลื่อนที่ จดั ต้งั ข้ึนโดยหน่วยงานภาครัฐเป็ นส่วนหน่ึงของการบริการทางการศึกษา มุ่งส่งเสริมใหป้ ระชาชนมีนิสัยรับผิดชอบต่อสังคม เช่น ห้องสมุดประชาชนสวนลุมพินี สังกดั กรุงเทพมหานคร ห้องสมุดประชาชนในจงั หวดั ต่าง ๆ ซ่ึงอยู่ในความดูแลของการศึกษานอกโรงเรียน ท้งั หอ้ งสมุดประชาชนระดบั อาเภอ ระดบั ตาบล หอสมุดเฉลิมราชกมุ ารี 5. หอสมุดแห่งชาติ (National Libraries) คือ หอ้ งสมุดท่ีเป็นแหล่งสารสนเทศท่ีสาคญัของชาติ เก็บรวบรวมงานเขียนอยา่ งหลากหลายท่ีพบในราชอาณาจกั รท้งั หมด ความรู้ท่ีเก็บในหอไตรคือ ธรรมะ แต่ความรู้ท่ีเก็บในห้องสมุดเป็ นเรื่องราวเกี่ยวกบั ผคู้ น วรรณกรรม ประวตั ิศาสตร์วรรณกรรมและศาสตร์ต่าง ๆ ของอาณาจกั ร ความรู้อื่น ๆ นอกจากคมั ภีร์ศาสนา เช่น ตาราโหราศาสตร์ ยา คาถาอาคม กฎหมาย และการทหาร บนั ทึกลงในศิลาจารึก ต้นฉบบั ตวั เขียนเอกสารจดหมายเหตุ เป็ นแหล่งเก็บสิ่งพิมพท์ ี่ผลิตข้ึนในประเทศและมีหนา้ ที่กาหนดเลขมาตรฐานสากลประจาหนังสือ (International Standard Book Number = ISBN) และเลขมาตรฐานสากลประจาวารสาร (International Standard Serial Number = ISSN) เป็ นศูนยข์ อ้ มูลวารสารระหวา่ งชาติแห่งภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ เป็ นศูนยก์ ลางแลกเปลี่ยนและยืมเอกสารแห่งชาติสากลหอสมุดแห่งชาติของไทยต้งั อยทู่ ่ีทา่ วาสุกรี ถนนสามเสน กรุงเทพฯ และมีหอสมุดแห่งชาติสาขาอยู่ตามภาคต่าง ๆ เช่น ชลบุรี สมุทรสงคราม นครราชสีมา เชียงใหม่ เป็นตน้ 2. ศูนย์เอกสารหรือศูนย์สารสนเทศ (Document Center or Information Center)เป็นแหล่งจดั หาและจดั เก็บเพือ่ ใหบ้ ริการสารสนเทศเฉพาะเร่ืองแก่ผใู้ ชเ้ ฉพาะกลุ่ม เช่น นกั วจิ ยั นกัธุรกิจ นกั วิทยาศาสตร์ เป็ นตน้ เพ่ือประโยชน์ต่อการคน้ ควา้ วิจยั และปฏิบตั ิงานในยุคปัจจุบนั ท่ีมีปัญหา ภาวะสารสนเทศที่เพิ่มจานวนอย่างมากมายท่วมทน้ ห้องสมุดในรูปแบบเดิมไม่สามารถสนองความตอ้ งการของผูใ้ ช้ไดส้ มบูรณ์ โดยศูนยน์ ้ีจะมีบรรณารักษ์ นกั วิจยั นักเอกสารสารเทศนักบรรณานุกรม ทาหน้าท่ีบริหารและเนินงาน เพ่ือคดั เลือก เผยแพร่สารสนเทศ และบริการคน้ ควา้ จากเอกสารให้แก่ผูใ้ ชต้ ามตอ้ งการ ศูนยน์ ้ีจะเนน้ วธิ ีการดาเนินงานเก่ียวกบั เอกสาร แต่ศูนย์สารสนเทศจะเนน้ การใหบ้ ริการแก่ผใู้ ช้ 3. ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เป็นหน่วยงานที่ผลิตขอ้ มูลตวั เลข หรือขอ้ มูลดิบ เพือ่เผยแพร่ให้ผูใ้ ช้ ในรูปของส่ือสิ่งพิมพ์ ศูนย์ข้อมูลที่น่าในใจในประเทศไทย เช่น ศูนย์ข้อมูลพลังงานแห่งประเทศไทยสานักงานพลังงานแห่งชาติ ศูนย์ข้อมูลข่าวสารการตลาดของสภาหอการคา้ แห่งประเทศไทย ฯลฯ
9 4. หน่วยงานสถิติ (Statistic Department) เป็นขอ้ มูลในลกั ษณะของสถิติเป็นตวั เลขเพือ่ ช่วยในการตดั สินใจของหน่วยงานในการศึกษาคน้ ควา้ วจิ ยั ทุกแขนง ซ่ึงมีความสาคญั สาหรับนกับริหาร นกั วชิ าการ นกั การศึกษา นกั วิจยั ลกั ษณะหน่วยงานสถิติของประเทศไทยจาแนกไดเ้ ป็ น5 ประเภท คือ 4.1 หน่วยงานสถิติ เป็นหน่วยงานท่ีผลิตสถิติในรูปของผลพลอดไดจ้ ากสายงานบ ริ ห าร มี ก ระจัด ก ระจายอยู่ใน ก ระ ท รวง ก รม ต่ าง ๆ ใน ก ระท รวงเดี ยวกัน เช่ นกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ เป็นตน้ 4.2 หน่วยงานประมวลผลขอ้ มูลสถิติ เป็นหน่วยงานท่ีดาเนินงานโดยใชเ้ คร่ืองคอมพิวเตอร์ประมวลขอ้ มูลสถิติท่ีสาคญั ๆ ไดแ้ ก่ ศูนยค์ อมพิวเตอร์ กรมทางหลวง ศูนยส์ ถิติการพาณิชย์ กระทรวงพาณิชย์ ศูนยข์ อ้ มูลพลงั งานแห่งประเทศไทย สานกั งานพลงั งานแห่งชาติเป็ นตน้ 4.3 หน่วยงานสถิติขนาดใหญ่ เป็นหน่วยงานที่จดั ต้งั ข้ึนเพ่อื ปฏิบตั ิงานสถิติโดยเฉพาะสาหรับประเทศไทย ไดแ้ ก่ สานกั งานสถิติแห่งชาติ ทาหนา้ ที่ในการจดั ทาสามะโนประชากร และสารวจเชิงสถิติ เพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซ่ึงขอ้ มูลพ้นื ฐานของประเทศไทย 4.4 หน่วยงานสถิติเฉพาะเร่ือง เป็นหน่วยงานภายในกระทรวง กรม เช่น ศูนยส์ ถิติการเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ศูนยส์ ถิติการพาณิชยข์ องกระทรวงพาณิชย์ เป็นตน้ 4.5 หน่วยงานสถิติของสถาบนั การศึกษา มีหลายหน่วยงาน เช่น สานกั งานคณะกรรมการวจิ ยั แห่งชาติ สถาบนั ประชากรศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั เป็นตน้ 5. ศูนย์ประมวลและแจกจ่ายสารสนเทศ (Information Clearing House) ทาหนา้ ที่รวบรวมสารสนเทศท่ีมีกระจดั กระจาย เพื่อแจกจ่ายแก่ผูใ้ ช้ ให้ผูใ้ ช้สามารถเข้าถึงสารสนเทศโดยเฉพาะสารสนเทศที่ไม่ไดต้ ีพิมพเ์ ผยแพร่จากแหล่งเดียวกนั โดยจดั ทาในรูปของบรรณานุกรมดรรชนี ศูนยแ์ จกจ่ายสารสนเทศที่สาคญั เช่น หอสมุดแห่งชาติ เป็นตน้ 6. ศูนย์วเิ คราะห์สารสนเทศ (Information Analysis Center) ทาหนา้ ที่เลือกสรรประเมินค่า และสังเคราะห์สารสนเทศเฉพาะวิชา โดยการนามาวิเคราะห์ ประเมิน สรุปย่อ และจดั เก็บในลกั ษณะของแฟ้มขอ้ มูล ใบขอ้ มูล (Sheet) และปริทศั น์ (Review) เพ่ือให้คาตอบซ่ึงเป็ นแนวทางเลือกเพ่อื แกไ้ ขปัญหาของผใู้ ช้ ศูนยว์ เิ คราะห์สารสนเทศมีประโยชน์ต่อนกั วจิ ยั นกั วชิ าการในรูปแบบของการบริการข่าวสารทนั สมยั และในรูปของสิ่งพมิ พ์ 7. ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศ (Referral Center) ใหบ้ ริการตอบคาถามและช่วยเหลือผใู้ ชใ้ นการเขา้ ถึงสารสนเทศต่าง ๆ เช่น ส่ือส่ิงพิมพ์ สถาบนั บริการสารสนเทศตา่ ง ๆ สถาบนั วจิ ยับุคคลที่เป็นผรู้ ู้ผเู้ ชี่ยวชาญในสาขาวชิ าตา่ ง ๆ ศูนยจ์ ะมีนามานุกรมและรายชื่อแหล่งสารสนเทศ
10ต่าง ๆ ให้บริการสารสนเทศที่เป็ นคาตอบแก่ผูใ้ ช้โดยตรง ศูนย์แนะแหล่งสารสนเทศที่สาคญัไดแ้ ก่ สถาบนั ไทยคดีศึกษา เป็นตน้ (รุ่งฤดี อภิวฒั นศรและคณะ, 2550 : 16-18) 8. หอจดหมายเหตุหรือหน่วยงานจดหมายเหตุ (Archives) เป็นแหล่งรวบรวมเอกสารสาคญั ของหน่วยงานราชการรัฐวิสาหกิจ องค์กร และเอกสารส่วนบุคคล ซ่ึงหมดอายุการใช้งานแลว้ แต่มีคุณค่าทางประวตั ิศาสตร์ และการศึกษาคน้ ควา้ เร่ืองราวต่าง ๆ ทางดา้ นการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคมและวฒั นธรรม หอจดหมายเหตุ มีหลายประเภท เช่น หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุมหาวทิ ยาลยั หอจดหมายเหตุวดั และสถาบนั ศาสนา หอจดหมายเหตุของสถาบนั นกั ธุรกิจ เป็นตน้ (ธาดาศกั ด์ิ วชิระปรีชาพงษ,์ 2548 : 17) 9. สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณชิ ย์ (Commercial Information Service Center)เป็ นสถาบนั ที่จดั ให้บริการสารสนเทศโดยคิดค่าบริการ เน่ืองจากผูใ้ ชบ้ ริการตอ้ งการความถูกตอ้ งสะดวก รวดเร็วและทันสมยั จึงต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบริการ สถาบันบริการสารสนเทศเชิงพาณิชยม์ ีการดาเนินการในลกั ษณะท่ีเป็ นธุรกิจและจดั ให้บริการสารสนเทศตามความตอ้ งการของผใู้ ชใ้ นลกั ษณะ ดงั น้ี 9.1 บริษทั คา้ สารสนเทศ ดาเนินธุรกิจดา้ นการจดั ดาเนินการ วเิ คราะห์ ส่ือสารและจดั ส่งสารสนเทศในรูปแบบต่าง ๆ ท่ีลูกคา้ ตอ้ งการ เช่น รวบรวมสารสนเทศเฉพาะเร่ือง เป็ นที่ปรึกษาดา้ นจดั หาเอกสาร จดั ทารายงาน จดั ประชุมสัมมนา ฝึกอบรมบุคลากรในหน่วยงานตา่ งๆ 9.2 นายหนา้ คา้ สารสนเทศ หมายถึง บุคคลหรือองคก์ รซ่ึงทาธุรกิจบริการรวบรวมจดั เก็บ ประมวลผล ประเมินค่า และเผยแพร่สารสนเทศตามความตอ้ งการของลูกคา้ โดยมีบริการอยา่ งกวา้ งขวางหลายรูปแบบ นายหนา้ คา้ สารสนเทศอาจมีช่ือเรียกต่าง ๆ กนั เช่น นกั สารสนเทศอิสระ บรรณารักษ์อิสระ นกั วิชาการสารสนเทศ ท่ีปรึกษาสารสนเทศ ผูค้ า้ บริการสารสนเทศและบริษทั สารสนเทศตามสัง่ 9.3 ผผู้ ลิตและจาหน่ายฐานขอ้ มูล ไดแ้ ก่ หน่วยงานของรัฐ สมาคมวชิ าการ สมาคมวชิ าชีพ องคก์ รทางการคา้ และองคก์ รระหวา่ งประเทศ บริษทั จดั จาหน่ายฐานขอ้ มูลท่ีใหญ่ท่ีสุดคือไดอะลอก (DIALOG) ของระบบสารสนเทศล็อกฮิต Lock heed Information System) แห่งสหรัฐอเมริกา จดั จาหน่ายฐานขอ้ มูลประเภท สาระสังเขป ดรรชนีวารสาร รายงานการประชุมสิ่งพิมพร์ ัฐบาล และแหล่งอา้ งอิงรูปแบบอ่ืน ๆ ครอบคลุมสาขาวิชาต่าง ๆ มากมาย ในประเทศไทยหน่วยงานท่ีผลิตและจาหน่ายฐานขอ้ มูล คือ คณะกรรมการพฒั นาวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (Science and Technology Development Board = STDB) (พูลสุข เอกไทยเจริญ, 2550 :43-44)
11ห้องสมุดยคุ ใหม่ ในระยะเริ่มแรกห้องสมุดเนน้ ในลกั ษณะห้องสมุดส่ิงพิมพ(์ Paper Library) การดาเนินงานของห้องสมุดใหบ้ ริการในรูปของวสั ดุตีพิมพ์ ที่เป็นการบนั ทึกสารสนเทศในลกั ษณะกระดาษ และโสตทศั นวสั ดุประเภทต่าง ๆ การเขา้ ถึงวสั ดุจะใชบ้ ตั รรายการที่เป็นกระดาษ (Catalog Card) ปัจจุบนั เม่ือสารสนเทศเพิ่มทวีข้ึน ประกอบกบั มีการนาเทคโนโลยีเขา้ มาใช้ในการจดั การและจดั เก็บสารสนเทศ หอ้ งสมุดจึงนาเทคโนโลยสี ารสนเทศเขา้ มาใชใ้ นการดาเนินงาน การจดั เก็บและการสืบคน้ สารสนเทศ ทาใหผ้ ูใ้ ชส้ ามารถเขา้ ถึงขอ้ มูลไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง สะดวกและรวดเร็ว มีการนาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบริหารจดั การกบั ระบบต่าง ๆ ในลกั ษณะของหอ้ งสมุดอตั โนมตั ิใช้เทคโนโลยีโทรคมนาคมเชื่อต่อระบบเครือข่ายทาให้สามารถสืบคน้ ขอ้ มูลที่ตอ้ งการไดท้ วั่ โลกเม่ือพฒั นาการและความกา้ วหนา้ ของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคมมีบทบาทข้ึนจึงไดม้ ีการนาเทคโนโลยีมาใชใ้ นการจดั เก็บขอ้ มูลมากข้ึน เป็ นผลทาให้การพฒั นาศกั ยภาพในการดาเนินงานห้องสมุด เขา้ สู่ระบบห้องสมุดดิจิทลั หรือห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (Digital Library ofElectronic Library) มีการใหบ้ ริการสารสนเทศในลกั ษณะเอกสารเต็มรูป (Full-Tex) และส่ือผสม(Multimedia) มากข้ึน ในขณะท่ีข้นั ตอนการทางานในห้องสมุดดิจิทลั เป็ นลกั ษณะเดียวกบั การทางานในระบบห้องสมุดอตั โนมตั ิ แต่ต่างกนั ท่ีทรัพยากรท่ีจดั เก็บและให้บริการเป็ นขอ้ มูลในรูปดิจิทลั การสืบคน้ ขอ้ มูลในลกั ษณะ Web Online หรือ Web OPAC ท่ีสามารถสืบคน้ เน้ือหาของเอกสารเต็มรูปและส่ือผสมได้ ทาให้เกิดความสะดวกและรวดเร็วย่ิงข้ึนในการเขา้ ถึงสารสนเทศท่ีตอ้ งการ โดยใช้มาตรฐานการสืบคน้ ขอ้ มูล Z39.50 จากฐานขอ้ มูลระบบคอมพิวเตอร์ระบบอื่น ๆได้ (น้าทิพย์ วภิ าวนิ , 2542 : 15-16) เทคโนโลยหี ้องสมุด (Library Technology) เทคโนโลยีไม่ได้มาแทนท่ีห้องสมุด แต่เป็ นเคร่ืองมือในการดาเนินงานห้องสมุด ให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วข้ึน เริ่มจากกระบวนการคัดเลือกทรัพยากรห้องสมุด เช่น หนังสือวารสารและสื่อต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับนโยบายขององค์กร และกลุ่มผูใ้ ช้บริการ การจดั การทรัพยากรที่มีคุณค่ามีผลต่อการทาใหห้ ้องสมุดน้นั มีทรัพยากรท่ีดี กระบวนการวิเคราะห์หมวดหมู่และทารายการทรัพยากรตามมาตรฐานสากลในรูปแบบ MARC Record และการจดั ทาขอ้ มูลที่เป็ นไฟล์ดิจิทัล เช่น e-book, e-journal, e-article ทาการลงรายการตามมาตรฐานสากลในรูปแบบMetadata หลงั จากน้นั จึงจะเป็นการบนั ทึกขอ้ มูลทรัพยากรสารสนเทศ ในฐานขอ้ มูลหอ้ งสมุด โดยใช้โปรแกรม ระบบห้องสมุดอตั โนมตั ิ ดงั น้นั สิ่งสาคญั ท่ีห้องสมุดยุคใหม่ตอ้ งมีนอกเหนือจากเครื่องคอมพิวเตอร์ซ่ึงเป็ นฮาร์ดแวร์แล้ว คือ ซอฟแวร์ห้องสมุด หรือท่ีเรียกว่า โปรแกรมห้องสมุด
12อัตโนมัติ (Library Integrated System) เพ่ือใช้ในการจัดการทรัพยากรห้องสมุดเป็ น LibraryCatalog (น้าทิพย์ วิภาวิน, 2550 : 80) ดงั น้นั ลกั ษณะของเทคโนโลยที ี่ใช้ในการจดั การระบบงานหอ้ งสมุด ไดแ้ ก่ 1. ระบบหอ้ งสมุดอตั โนมตั ิ (Library Automation or Library Integrated System) 2. ระบบหอ้ งสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (e-Library) 3. ระบบหอ้ งสมุดดิจิทลั (Digital Library) 4. ระบบหอ้ งสมุดเสมือน (Virtual Library) 5. ระบบสหบรรณานุกรมและการยมื ระหวา่ งหอ้ งสมุด (User Catalog andInter Library Loan) 1. ระบบหอ้ งสมุดอตั โนมตั ิ (Library Automation or Library Integrated System) ระบบหอ้ งสมุดอตั โนมตั ิ หมายถึง ระบบการทางานของหอ้ งสมุดโดยใชค้ อมพวิ เตอร์บนั ทึกขอ้ มูลงานดา้ นต่าง ๆ ของห้องสมุดอย่างต่อเนื่องครบวงจรแลว้ เช่ือมต่อระบบกบั ผูใ้ ช้ดว้ ยเทคโนโลยีเครือข่ายและโทรคมนาคม ซ่ึงจะทาให้ผูใ้ ช้สามารถสืบคน้ และเรียกขอ้ มูลท่ีตอ้ งการนาไปใชป้ ระโยชน์ไดใ้ นระบบออนไลน์ (สมพิศ คูศรีพทิ กั ษ์, 2539 : 8) ระบบห้องสมุดอตั โนมตั ิ เป็ นการใชค้ น้ หาขอ้ มูลทรัพยากรสารสนเทศท่ีจดั บริการในหอ้ งสมุด เช่น รายชื่อหนงั สือ วารสาร หนงั สือพิมพ์ ส่ือโสตทศั น์ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ท่ีตอ้ งการวา่ มีหรือไม่ ถา้ มีจะเขา้ ไปใชบ้ ริการไปยืมมาอ่าน หรือใชป้ ระโยชน์จากส่ือการเรียนรู้ท่ีจดั ใหบ้ ริการน้นั โดยสามารถตรวจสอบสถานะการยืมของทรัพยากรน้นั ได้ เป็ นเครื่องมือในการจดั การขอ้ มูลของหอ้ งสมุด โดยใชม้ าตรฐาน MARC record และเป็นเคร่ืองมือในการสืบคน้ ของผใู้ ช้บริการท่ีทาไดส้ ะดวกและรวดเร็ว ถ้าทรัพยากรท่ีตอ้ งการไม่มีในห้องสมุดหน่ึง ผูใ้ ช้สามารถสอบถามจากหอ้ งสมุดอ่ืนได้ เรียกวา่ Library catalog หรือ Online Puplic Access Catalog – OPAC) การคน้ ขอ้ มูลในระบบหอ้ งสมุดอตั โนมตั ิ เคร่ืองมือที่ใช้ คือ บตั รดรรชนีประเภทต่าง ๆ เช่น บตั รรายการ และบตั รดรรชนีวารสาร มีท้งั บตั รผูแ้ ตง่ บตั รชื่อเร่ือง บตั รหวั เรื่อง ฯลฯหลกั ของการค้นข้อมูลในระบบอตั โนมัติ ยึดหลกั เดียวกนั กบั การคน้ ด้วยบัตรรายการ เพียงแต่จะตอ้ งคน้ ผา่ นทางหนา้ จอคอมพวิ เตอร์ โดยสามารถคน้ หรือเขา้ ถึงดว้ ยคาสาคญั ช่ือสานกั พมิ พ์เลขทะเบียนหนงั สือ ปี พิมพ์ ประเภทสิ่งพมิ พ์ เลข ISBN เป็นตน้ ขอ้ แตกต่างระหวา่ งการสืบคน้ ขอ้ มูลในระบบอตั โนมตั ิและระบบการคน้ ดว้ ยมือ คือในระบบอตั โนมตั ิ คอมพิวเตอร์สามารถคน้ หาขอ้ มูลไดจ้ านวนมากกวา่ โดยใชเ้ วลาน้อยกว่า รวมท้งัสามารถบอกให้ทราบถึงสถานภาพของหนงั สือเล่มน้นั ๆ ไดว้ า่ มีผูย้ มื ไปหรือยงั คืนเม่ือใด หรืออยรู่ ะหวา่ งข้นั ตอนใดของการทางาน (น้าทิพย์ วภิ าวนิ , 2547 : 85)
13 2. ระบบหอ้ งสมุดอิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Library) หอ้ งสมุดอิเลก็ ทรอนิกส์ (Electronic Library หรือ e-Library) เป็นการรวมลกั ษณะการบริการของระบบหอ้ งสมุดอตั โนมตั ิ ห้องสมุดดิจิทลั และห้องสมุดเสมือน โดยใหบ้ ริการผ่านอินเทอร์เน็ต ผูใ้ ช้สามารถสืบคน้ ขอ้ มูลจากฐานขอ้ มูลต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองและสามารถส่ือสารขอ้ มูลกนั ไดต้ ลอดเวลาทวั่ โลก ในองั กฤษเรียกวิธีการจดั การและการบริการสื่อหลายประเภทในหอ้ งสมุดวา่ Hybrid library ซ่ึงผูใ้ ช้บริการห้องสมุดในปัจจุบนั นิยมใช้ประโยชน์จากส่ือการเรียนรู้ในหอ้ งสมุดหลายประเภท (น้าทิพย์ วภิ าวนิ , 2548 : 84) 3. ระบบหอ้ งสมุดดิจิทลั (Digital Library) ระบบหอ้ งสมุดดิจิทลั เป็นการใชข้ อ้ มูลที่มีเน้ือหาเตม็ รูป (Full-text) จากฐานขอ้ มูลที่จดั ทาข้ึนในลกั ษณะของ ไฟล์เน้ือหาในรูปดิจิทัล ซ่ึงประกอบด้วยข้อความ รูปภาพ เสียงและภาพเคล่ือนไหว โดยมีการจดั การขอ้ มูลโดยใช้มาตรฐานเมตาดาตา (Metadata) หรือฐานขอ้ มูลที่บอกรับเป็นสมาชิกโดยการซ้ือเน้ือหาในสาขาใดสาขาหน่ึง มาใหบ้ ริการ ซ่ึงขอ้ มูลที่อยใู่ นรูปแบบดิจิทลั มีหลายรูปแบบ เช่น ขอ้ มูลท่ีสร้างข้ึนใหม่ให้อยใู่ นรูปแบบดิจิทลั ขอ้ มูลที่แปลงมาจากขอ้ มูลในส่ิงพิมพ์ ขอ้ มูลจากซีดีรอม ฐานขอ้ มูลออนไลน์ การบอกรับวารสารอิเล็กทรอนิกส์ (e-Journal)และหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) (น้าทิพย์ วภิ าวนิ , 2547 : 79) ลกั ษณะของหอ้ งสมุดดิจิทลั มีลกั ษณะสาคญั 2 ส่วน คือ 1. การจดั เกบ็ สารสนเทศ จดั เก็บโดยใชฐ้ านขอ้ มูลมลั ติมีเดีย หรือจดั เกบ็ ขอ้ มูลซ่ึงมีรูปแบบหลายหลาก เช่น ตวั อกั ษร ภาพน่ิง ภาพเคล่ือนไหว เสียง แทนการจดั เก็บส่ิงพมิ พ์ 2. การสืบคน้ สารสนเทศ การสืบคน้ ไม่จากดั อยเู่ ฉพาะในสถาบนั บริการเท่าน้นัโดยการใชเ้ ทคโนโลยีทางดา้ นเครือข่ายเขา้ มาจดั การ ผูใ้ ช้สามารถใช้ห้องสมุดดิจิทลั จากท่ีใดก็ได้และเม่ือใดก็ได้ การเขา้ ถึงห้องสมุดและบริการสถาบนั บริการสารสนเทศอยา่ งกวา้ งขวางเป็ นสากลถือเป็นเป้าหมายของหอ้ งสมุดดิจิทลั ประเภทของฐานขอ้ มูลในหอ้ งสมุดดิจิทลั แบ่งตามลกั ษณะของขอ้ มูลที่จดั เกบ็ ได้ ดงั น้ี 1. ฐานขอ้ มูลมลั ติมีเดีย (Multimedia Database) หรือฐานขอ้ มูลส่ือผสมใชใ้ นการนาเสนอสารสนเทศท่ีไม่จาเป็ นตอ้ งเรียงลาดบั ประกอบดว้ ยส่ือหลาย ๆ แบบ เช่น คาอธิบายภาพน่ิง ภาพเคลื่อนไหว เสียง เป็นตน้ 2. ฐานขอ้ มูลเตม็ รูป (Full-text Database) เป็นฐานขอ้ มูลท่ีบนั ทึกสารสนเทศท้งั หมดเขา้ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ในรูปแบบท่ีเคร่ืองอ่านได้ เมื่อตอ้ งการใชก้ ็สามารถเรียกขอ้ มูลข้ึนมาอ่านเหมือกบั อ่านหนงั สือท้งั เล่ม ฐานขอ้ มูลประเภทน้ีห้องสมุดอาจเลือกทาเฉพาะสารสนเทศบางหวั ขอ้ หรือบางประเภทเท่าน้นั
14 3. ฐานขอ้ มูลภาพลกั ษณ์ (Image Database) เป็นฐานขอ้ มูลเตม็ รูปชนิดหน่ึงผลิตข้ึนมาจากการสแกนเอกสารหรือสารสนเทศใด ๆ หรือใชก้ ลอ้ งถ่ายรูปหรือถ่ายวดี ิทศั นภ์ าพต่าง ๆ บนั ทึกไวใ้ นฐานขอ้ มูลพร้อมคาสาคญั (Keyword) ที่จะช่วยในการสืบคน้ ออกมาใชง้ านได้ฐานขอ้ มูลชนิดน้ีเป็ นที่นิยมเพราะสามารถสืบคน้ ไดส้ ะดวกรวดเร็ว และประหยดั พ้ืนท่ีจดั เก็บ อีกท้งั ยงั เป็นการรักษาเอกสารตน้ ฉบบั ท่ีมีคุณค่าสูง เพราะไม่ตอ้ งนามาใชห้ รือถ่ายสาเนาบอ่ ย ๆ ประโยชนข์ องหอ้ งสมุดดิจิทลั อาจสรุปได้ ดงั น้ี 1. ประหยดั เน้ือท่ีและคา่ ใชจ้ ่ายในการจดั เกบ็ และดูแลรักษาทรัพยากรสารสนเทศ 2. สามารถจดั เกบ็ ขอ้ มูลไดห้ ลายรูปแบบ และเกบ็ ไวใ้ นส่ือที่มีความคงทนถาวรไม่มีปัญหาการเสื่อมสภาพไปของวตั ถุตีพมิ พซ์ ่ึงมีอายกุ ารใชง้ านส้ัน 3. การจดั เกบ็ เผยแพร่ แกไ้ ข และนาขอ้ มูลมาใชป้ ระโยชน์ไดอ้ ยา่ งสะดวกรวดเร็ว 4. ผใู้ ชส้ ามารถสืบคน้ ขอ้ มูลไดจ้ ากระยะไกลโดยไม่ตอ้ งไปท่ีหอ้ งสมุดหรือสถาบนั บริการสารสนเทศแต่ละแห่ง และใชไ้ ดพ้ ร้อม ๆ กนั หลาย ๆ แห่ง (พลู สุข เอกไทยเจริญ,2550 : 38-39) 4. ระบบหอ้ งสมุดเสมือน (Virtual Library) ระบบหอ้ งสมุดเสมือน เป็นการใชข้ อ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ โดยการเช่ือมโยงขอ้ มูลจากแหล่งขอ้ มูลอื่น ๆ หรือฐานขอ้ มูลในดา้ นใดดา้ นหน่ึง เพ่ือใหผ้ ูใ้ ชไ้ ดร้ ับความสะดวกในการค้นหาสารสนเทศในเรื่องน้ันผ่านอินเทอร์เน็ต โดยท่ัวไปจะจดั ทาเป็ นห้องสมุดเสมือนในสาขาวิชาใดวชิ าหน่ึงหรือหัวเร่ืองใดหัวเรื่องหน่ึง (Subject) หรือการจดั หมวดหมู่ขอ้ มูลเป็ นหลายหวั เร่ืองเช่นเดียวกบั Subject directory ของ Search engine มีวธิ ีการคน้ หาท่ีสะดวก เช่น จดั เรียงตามลาดบั อกั ษร หรือจาแนกเป็นหมวดหมู่ หรือตามลาดบั เวลาหรือเหตุการณ์ เป็นตน้ หอ้ งสมุดเสมือนผใู้ ชน้ ิยมใชส้ ืบคน้ ขอ้ มูลผา่ นอินเทอร์เน็ต เนื่องจากสะดวกและรวดเร็วจึงไม่มีอาคารสถานที่หรือ Collection เหมือห้องสมุดแบบด้ังเดิม แต่เป็ นการเชื่อมโยงข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศจากหลาย ๆ แห่งเขา้ ดว้ ยกนั โดยมีอินเทอร์เน็ตเป็ นเทคโนโลยีท่ีสาคญั ท่ีช่วยใหก้ ารสื่อสารขอ้ มูลไร้พรมแดน ทาใหผ้ ใู้ ชไ้ ดร้ ับความสะดวกในการเขา้ ถึงขอ้ มูลจากทว่ั โลกเสมือนเป็ นห้องสมุดขนาดใหญ่ท่ีมีเน้ือหาในดา้ นใดดา้ นหน่ึงโดยเฉพาะ โดยรวมความสามารถของการใช้ขอ้ มูลในระบบห้องสมุดอตั โนมตั ิ ห้องสมุดดิจิทลั และขอ้ มูลจาก Web Sites ต่าง ๆ เขา้ ไวใ้ นหอ้ งสมุดเสมือน แต่ห้องสมุดเสมือนไม่ไดม้ าแทนที่ห้องสมุดที่เป็ นอาคารสถานท่ี เพราะคนเรายงัตอ้ งการสถานท่ีที่เป็ นแหล่งเรียนรู้ ที่ประชุมพบปะกัน เช่นเดียวกับการทีีี่มหาวิทยาลัยยงั มี
15หอ้ งเรียน มีการเรียนการสอน มีการขอคาแนะนาปรึกษาจากครู อาจารย์ และมีห้องประชุม เป็ นตน้ (น้าทิพย์ วภิ าวนิ , 2548 : 82) 5. ระบบสหบรรณานุกรมและการยืมระหวา่ งห้องสมุด (User Catalog and Inter-LibraryLoan) สหบรรณานุกรมเป็ นการใชร้ ายงานบรรณานุกรมร่วมกนั ระหวา่ งห้องสมุดและการยืมระหว่างห้องสมุด มีขอ้ ตกลงร่วมกนั ในการทาสหบรรณานุกรมและการยืมระหวา่ งห้องสมุดตามแบบฟอร์มที่ใช้อยู่ในปัจจุบนั ผูใ้ ช้บริการสามารถสืบค้นข้อมูลผ่านอินเตอร์เน็ตได้ สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษามีโครงการทาสหบรรณานุกรมร่วมกนั ระหวา่ งกลุ่มมหาวิทยาลยั ของรัฐและจะขยายความร่วมมือไปยงั หอ้ งสมุดประเภทอ่ืนมากข้ึนในอนาคต การทาสหบรรณานุกรม สามารถทาความร่วมมือกนั ตามประเภทของห้องสมุด ตามสภาพทางภูมิศาสตร์ เช่น จงั หวดั หรือภาคและในระดบั ประเทศ (น้าทิพย์ วภิ าวนิ , 2547 : 103)บริการของสถาบันสารสนเทศ ธาดาศกั ด์ิ วชิรปรีชาพงษ์ 2548 : 115-16 ; รุ่งฤดี อภิวฒั นศรและคณะ (2551 : 8-10) กล่าววา่ งานบริการ เป็ นงานที่มีความสาคญั อย่างยิ่งต่อผูใ้ ชห้ ้องสมุด อาจกล่าวไดว้ ่า งานบริการของหอ้ งสมุดเป็ นหวั ใจสาคญั เพราะงานบริการถือเป็ นงานท่ีจะสร้างความประทบั ใจของผใู้ ชบ้ ริการให้เกิดทศั นคติที่ดีต่อห้องสมุด ช่วยให้ผูใ้ ช้เกิดความอบอุ่นใจ เชื่อมน่ั เม่ือผูใ้ ช้เขา้ ไปใช้บริการของห้องสมุดแลว้ จะตอ้ งไดส้ ่ิงที่ผูใ้ ช้ตอ้ งการ และตรงตามความปรารถนา เขา้ ถึงแหล่งขอ้ มูลไดอ้ ย่างรวดเร็ว งานบริการของหอ้ งสมุดมี 2 ลกั ษณะ คือ บริการพ้ืนฐานและบริการเฉพาะ บริการพ้ืนฐาน ไดแ้ ก่ 1. บริการการอา่ น (Reader Service) เป็นบริการหลกั ของหอ้ งสมุด ทาหนา้ ที่ในการจดั เตรียมทรัพยากรสารสนเทศ ทุกประเภทที่มีคุณค่า ต่อการศึกษาคน้ ควา้ แก่ผูใ้ ช้ โดยนามาจดัหมวดหมู่ หรือจดั เก็บตามประเภทของทรัพยากร ผใู้ ชส้ ามารถเลือกคน้ ควา้ ไดต้ ามความสนใจโดยเสรี 2. บริการจา่ ย – รับ (Circulation Service) หรือบริการใหย้ มื (Borrowing Service)เป็ นบริการยืมทรัพยากรสารสนเทศบางประเภทท่ีหอ้ งสมุดกาหนดใหย้ ืม เพ่ืออานวยความสะดวกแก่ผใู้ ชใ้ นการคน้ ควา้ นอกหอ้ งสมุด หอ้ งสมุดจะกาหนดระเบียบการยมื -คืนในระยะเวลาที่กาหนด
16 3. บริการตอบคาถามและช่วยการคน้ ควา้ (Reference Service) เป็นบริการช่วยเหลือผใู้ ช้หาคาตอบที่ตอ้ งการไดอ้ ยา่ งรวดเร็วและถูกตอ้ ง จากทรัพยากรของห้องสมุด โดยบรรณารักษ์อาจหาคาตอบจากหนงั สืออา้ งอิงหรือคู่มือช่วยคน้ อื่น ๆ ปัจจุบนั ไดข้ ยายขอบเขตมากข้ึน บางแห่งเรียกวา่ บริการการคน้ สารสนเทศ (Information Service) ซ่ึงมีความหมายกวา้ งขวางและลึกซ้ึงกวา่เพราะมีขอบเขตรวมถึงการคน้ ควา้ ขอ้ มูล ข่าวสารหรือเร่ืองราวในสาขาวิชาต่าง ๆ โดยไม่ได้ค้นเฉพาะภายในหอ้ งสมุดเทา่ น้นั แต่จะคน้ จากแหล่งสารสนเทศอ่ืน ๆ ในระบบออนไลน์ 4. บริการถ่ายเอกสาร (Photocopying Service) เป็นบริการท่ีอานวยความสะดวกแก่ผูใ้ ชไ้ ม่ตอ้ งเสียเวลาในการคดั ลอก และลดปัญหาการฉีกทาลายสิ่งพิมพข์ องห้องสมุด โดยผูใ้ ช้ตอ้ งเสียค่าใชจ้ า่ ย บริการเฉพาะ ไดแ้ ก่ 1. บริการรวบรวมบรรณานุกรม (Bibliographical Service) เป็นการรวบรวมรายชื่อหนงั สือ วารสารและส่ืออื่น ๆ บริการจดั ทาดรรชนี (Indexing Service) ดรรชนีเป็ นเครื่องมือช่วยคน้ บทความซ่ึงบอกรายละเอียดทางบรรณานุกรมให้ผูใ้ ช้ทราบวา่ บทความที่ตอ้ งการอยูใ่ นวารสารหรือหนงั สือพิมพฉ์ บบั ใด วนั เดือน ปี และเลขหน้า ที่ใชเ้ ป็ นกุญแจสาคญั ในการคน้ หาบทความประกอบการเรียนการสอนหรือวจิ ยั ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง 2. บริการสารสนเทศทันสมัย (Current Awareness Services) เป็ นการให้บริการความรู้หรือพฒั นาการที่ทนั สมยั ในเรื่องราวที่อยใู่ นความสนใจโดยเฉพาะของผใู้ ชส้ ารสนเทศคนใดคนหน่ึง ความสนใจน้ีมกั จะเกี่ยวขอ้ งกบั อาชีพและการทางานของบุคคลน้นั อาจจะเกิดจากความสนใจท่ีจะนาเอาความรู้ไปใชป้ ฏิบตั ิงานใหเ้ ป็ นประโยชน์และมีประสิทธิภาพยงิ่ ข้ึน หรืออาจจะเกิดความตอ้ งการขอ้ สารสนเทศเพ่ือใชใ้ นการวนิ ิจฉยั ส่งั การ การให้บริการสารสนเทศทนั สมยั ของศูนย์สารสนเทศ จึงมีจุดประสงค์เพ่ือจะสนองต่อความตอ้ งการของผูใ้ ช้ ให้สามารถบริการสารสนเทศทนั สมยั ของศูนยส์ ารสนเทศในเร่ืองท่ีสนใจไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ทนั ท่วงทีจากสารสนเทศท่ีมีเพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาในศูนยส์ ารสนเทศต่าง ๆ โดยมีวธิ ีการดงั น้ี คือ 2.1 ถ่ายสาเนาสารบญั เร่ืองในวารสารเล่มใหม่สุดเป็นการเผยแพร่สารสนเทศใหม่ๆแก่ผใู้ ช้ หรืออาจแปลช่ือบทความให้เป็ นภาษาที่ผใู้ ชจ้ ะเขา้ ใจง่ายข้ึน หรืออาจรวมหนา้ สารบญั ของวารสารในสาขาวิชาเดียวกนั หรือหัวขอ้ เรื่องเดียวกนั โดยเผยแพร่ไปดว้ ยกนั หรืออาจแยกออตามหวั ขอ้ ยอ่ ย ๆ 2.2 แจง้ รายชื่อสิ่งพิมพใ์ หม่ ๆ เป็ นบริการท่ีจดั สาหรับผูส้ นใจทราบ ในประเทศที่พฒั นาแล้วหรือสถาบนั บริการสารสนเทศบางแห่งที่มีศกั ยภาพในการบริการ จะใช้คอมพิวเตอร์จดั ทาเพื่อความรวดเร็ว
17 2.3 หมุนเวยี นวารสารเล่มใหม่ เป็นบริการที่มีขอ้ ตกลงกนั คือ ใหผ้ ใู้ ชจ้ ดั ส่งต่อ ๆกนั ไป ตามรายชื่อผูใ้ ชซ้ ่ึงจะมีอยูใ่ นป้ายท่ีติดไวบ้ นหน้าปกวารสาร ผูท้ ี่อ่านแลว้ จะขีดชื่อของตนออกและส่งต่อไปตามกาหนดเวลา 3. บริการเลือกสรรเผยแพร่สารสนเทศ (Selective Dissemination of Information =S.D.I.) เป็ นบริการคดั เลือกสารสนเทศเฉพาะเรื่องให้แก่ผูใ้ ช้ท่ีแสดงความตอ้ งการไว้ แลว้ แจง้ ให้ผใู้ ชท้ ราบอาจโดยวิธีการทาสาระสังเขป ดรรชนี หรือบรรณานุกรม แต่เป็ นการทาเฉพาะเอกสารที่มีอยูใ่ นความสนใจของผูใ้ ชแ้ ต่ละคน ผใู้ ชจ้ ะแจง้ ให้ทราบวา่ สนใจในวิชาใด หน่วยบริการจะจดั หาและคดั เลือกใหต้ ามเวลาความตอ้ งการ ปัจจุบนั ใชค้ อมพิวเตอร์ในการใหบ้ ริการไดร้ วดเร็วข้ึน 4. บริการหนังสือจองหรือหนังสือสารอง (Reserved Book Service) เป็ นบริการที่เปิ ดโอกาสให้ผู้ใช้จองหนังสือท่ีอาจารย์กาหนดให้นักศึกษาอ่านประกอบในรายวิชาต่าง ๆเน่ืองจากหนงั สือมีจานวนน้อย ห้องสมุดจะจดั แยกหนงั สือไวต้ ่างหาก เพ่ือให้นกั ศึกษาไดใ้ ช้อยา่ งทวั่ ถึง และกาหนดระยะเวลาใหย้ มื ส้ันกวา่ หนงั สือธรรมดาทวั่ ไป 5. บริการยมื ระหวา่ งหอ้ งสมุด (Inter Library Loan Service) เป็นบริการท่ีหอ้ งสมุดยืมวสั ดุอ่ืน ๆ ที่ไม่มีในห้องสมุดจากแหล่งสารสนเทศอ่ืนเพื่อบริการผูใ้ ช้ อาจเป็ นความร่วมมือระหว่างห้องสมุดท้ังภายในและต่างประเทศ ผูใ้ ช้อาจยืมเป็ นตวั เล่ม หรือขอถ่ายสาเนาเอกสารบริการการยืมระหว่างห้องสมุดน้ีผูใ้ ช้ตอ้ งเสียค่าใช้จ่ายเอง ปัจจุบนั นิยมใช้วิธีการทาเอกสารในลกั ษณะเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ แลว้ ส่งทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail) เพื่อให้ทนั ต่อความตอ้ งการของผใู้ ช้ 6. บริการสอนและแนะนาการใชห้ อ้ งสมุด (Library Instruction Service) เป็นบริการแนะนาการใช้ ทกั ษะดา้ นการคน้ ควา้ เพ่ือให้ผใู้ ชส้ ามารถคน้ หาสารสนเทศในห้องสมุด และแหล่งสารสนเทศอื่น ๆ ได้ เช่น การสืบคน้ รายการทรัพยากรจากฐานขอ้ มูลของห้องสมุด การสืบค้นฐานข้อมูลสาเร็จรูป CD-ROM การสืบค้นฐานข้อมูลออนไลน์และการสืบค้นขอ้ มูลท่ีมีกระจายอยู่บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ด้วย Search engine สอนการใช้โปรแกรมสาหรับการค้นสารสนเทศ ท้งั น้ีอาจสอนเป็นรายบุคคลหรือแบบกลุ่ม 7. บริการถ่ายเอกสาร (Photocopying Service) เป็นบริการที่จาเป็นสาหรับผใู้ ชห้ อ้ งสมุด เพราะเอกสารบางชนิดไมอ่ นุญาตใหย้ มื ออกจากหอ้ งสมุด ช่วยอานวยความสะดวกแก่ผใู้ ช้ท่ีตอ้ งการเน้ือหาอยา่ งรวดเร็ว ช่วยประหยดั เวลาในการคดั ลอก ลดความสูญเสียอนั เน่ืองมาจากผใู้ ช้ฉีกสิ่งพิมพ์ 8. บริการความรู้แก่ชุมชน (Community Service) เป็ นบริการท่ีห้องสมุดจัดให้แก่บุคคลทั่วไป เช่น การฉายภาพยนตร์ ฉายสไลด์ จัดอภิปราย จดั ปาฐกถา สาธิตความรู้ให้
18ประชาชนและจดั กิจกรรมส่งเสริมการอ่านหรือโครงการรักการอ่าน ในสถาบนั บริการสารสนเทศบางแห่ง 9. บริการโสตทศั นวสั ดุอุปกรณ์ (Audio Visual Service) เป็นบริการท่ีทางหอ้ งสมุดจดั หา โสตทศั นวสั ดุไวใ้ ห้บริการ เช่น รูปภาพ แผนที่ แผนภูมิ ภาพน่ิง วสั ดุยอ่ ส่วน ภาพยนตร์เทปบนั ทึกเสียง ซีดีภาพยนตร์ ซีดีเพลง หรืออาจมีบริการจดั ฉายวีดิทศั น์ในโอกาสต่าง ๆ บริการบนั ทึกภาพสาเนารายการสารคดี ผลิตส่ือเพื่อการศึกษา เป็นตน้ 10. บริการจดั ทาคู่มือการใชส้ ถาบนั บริการสารสนเทศ (Library Guide) เป็ นบริการท่ีจดั ให้แก่ผูใ้ ชส้ ถาบนั บริการสารสนเทศทุกประเภท เพ่ือแนะนาบริการและวธิ ีการคน้ หาทรัพยากรสารสนเทศท่ีจดั ใหใ้ นสถาบนั น้นั 11. บริการจดั ทาสาระสังเขป (Abstracting Service) คือ การทายอ่ เรื่องของบทความทางวชิ าการตามที่ผูใ้ ช้ตอ้ งการ หรือจดั ทาเป็ นประจาและพิมพอ์ อกในรูปวารสาร เป็ นบริการของหอ้ งสมุดเฉพาะ หอ้ งสมุดมหาวทิ ยาลยั บางแห่ง และสถาบนั บริการสารสนเทศประเภทตา่ ง ๆ 12. บริการจดั ทาดรรชนีบทความในวารสาร (Periodical Service) จดั ทาในรูปบตั รดรรชนีวารสาร หรือจัดพิมพ์เป็ นรูปเล่มออกตามกาหนดเวลา หรือจัดเก็บเป็ นฐานข้อมูลในคอมพิวเตอร์ เป็ นบริการของห้องสมุดเฉพาะ ห้องสมุดของสถาบนั การศึกษา หอสมุดแห่งชาติและสถาบนั บริการสารสนเทศประเภทอื่น ๆ บางแห่ง แบบทดสอบหน่วยที่ 1 ความรู้เร่ืองสารสนเทศ 1. สารสนเทศ (Information) หมายถึง 2. มนุษยใ์ ชส้ ารสนเทศในการพฒั นาตนเองไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง 3. หอ้ งสมุดมีความสาคญั ต่อการศึกษาในระดบั อุดมศึกษาอยา่ งไร 4. ยกตวั อยา่ งบริการของหอ้ งสมุดที่นกั ศึกษาใชเ้ ป็นประจา 5. ยกตวั อยา่ งบริการสารสนเทศที่นกั ศึกษารู้จกั มา 5 ชนิด
19
Search
Read the Text Version
- 1 - 20
Pages: