ความหมายการท่องเท่ียวเชิงนิเวศ มาริสา แสงใส
การท่องเที่ยวเชงิ นิเวศเนอ้ื หา 1. การท่องเท่ยี ว 2. การท่องเทย่ี วเชงิ นเิ วศ 3. การจัดเส้นทางศกึ ษาธรรมชาติ 4. แหล่งทอ่ งเท่ียวเชิงนเิ วศ 5. นักท่องเท่ียวเชงิ นเิ วศ 6. ที่พักเชิงนเิ วศ 7. สง่ิ อานวยความสะดวกในแหลง่ ทอ่ งเท่ียว 8. ส่งิ อานวยความสะดวกแบบการท่องเทยี่ วเชงิ นิเวศ 9. ปัญหาการท่องเทย่ี วเชิงนิเวศ 10. แนวทางในการอนรุ กั ษ์และพัฒนาการทอ่ งเท่ียวเชิงนเิ วศวตั ถปุ ระสงค์ 1. นักศกึ ษามีความรคู้ วามเข้าใจความหมายและความสาคัญของการทอ่ งเท่ยี วเชิงนเิ วศ 2. นักศกึ ษาสามารถอธิบายองคป์ ระกอบของการท่องเท่ยี วเชิงนิเวศได้ 3. นักศกึ ษามีความรู้ความเข้าใจและบอกกจิ กรรมการท่องเทยี่ วเชิงนเิ วศได้ 4. นกั ศึกษามคี วามร้คู วามเข้าใจและอธบิ ายสง่ิ อานวยความสะดวกการท่องเทยี่ วเชิงนิเวศได้ 5. นักศึกษาสามารถบอกปัญหาการท่องเทีย่ วเชงิ นเิ วศได้ 6. นักศึกษาสามารถเสนอแนวทางในการอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาการท่องเที่ยวเชงิ นิเวศ1. การทอ่ งเท่ียว(Tourism) 1.1 ความหมายของการทอ่ งเทีย่ ว (Tourism) องค์การท่องเทย่ี วโลก(World Tourism Organization : WTO) แหง่ องค์การสหประชาชาติได้กาหนดความหมายของการท่องเที่ยวว่า การเดินทางใด ๆ ก็ตามท่ีเป็นการเดินทางตามเง่ือนไข สากล 3ประการ ดงั ตอ่ ไปน้ี 1. การเดินทางจากสถานท่อี ยอู่ าศยั เปน็ ประจาไปยังสถานทอี่ ่ืน ๆ เปน็ การชว่ั คราว 2. การเดนิ ทางนน้ั ผเู้ ดนิ ทางดว้ ยความสมัครใจ ไม่ใช่เป็นการถกู บังคบั 3. การเดินทางเพอื่ วตั ถปุ ระสงค์ใด ๆ ก็ตามท่มี ใิ ช่เดินทางเพ่อื ประกอบอาชีพหรือหารายได้ การทอ่ งเท่ียว คือการเดินทางเพอื่ พักผอ่ นหยอ่ นใจหรือเพ่ือความสนุกสนานตื่นเต้นหรือเพื่อหาความรู้องค์กรการท่องเท่ียวของสหประชาชาติ (World Tourism Organization:WTO) กาหนดไว้ว่า การท่องเที่ยวหมายถึงการเดินทาง โดยระยะทางมากกวา่ 80 กิโลเมตรจากบา้ น เพ่อื จดุ ประสงค์ในการพกั ผ่อนหยอ่ นใจ สมาคมระหว่างประเทศแห่งความเช่ียวชาญด้านการท่องเที่ยว ได้ให้ความหมายของการท่องเที่ยววา่ เป็นการเดนิ ทางจากท่ีอย่ถู าวรไปอกี ท่ีหนึ่งเป็นการช่ัวคราว และไม่เก่ียวข้องกับการทากิจกรรมท่ีเป็นการหาเงิน 1
การท่องเทย่ี ว หมายถึง การเดนิ ทางจากท่ีอยอู่ าศัยตามปกตไิ ปยังทอ่ี ่ืนเป็นการชัว่ คราวเพื่อศกึ ษาและพักผ่อนหยอ่ นใจ หรือกอ่ ใหเ้ กิดการกระทาร่วมกันของมนุษยท์ ง้ั ทางธรรมชาติและทางสังคมจนเปน็ เหตุดึงดูดใจใหเ้ ดนิ ทางไปศึกษาและท่องเทยี่ วตามแหล่งต่าง ๆ การท่องเท่ียว หมายถึง ความสัมพันธ์ซ่ึงเกิดข้ึนจากความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ระหว่างนักทอ่ งเท่ยี ว ผู้จดั บริการด้านการทอ่ งเท่ียว หนว่ ยงานของรฐั บาลในทอ้ งถ่ิน และประชาชนในแหลง่ ท่องเที่ยวความสัมพันธ์ขององค์ประกอบท้ัง 4 ประการดังกล่าวแล้ว ต้องกระทาอย่างต่อเน่ืองเพ่ือให้นักท่องเที่ยวเกิดความประทับใจ การท่องเท่ียว หมายถงึ การท่คี นเดนิ ทางออกจากท่พี ักหรอื ที่ทางาน ไปยังสถานที่อื่น ๆ ในระยะเวลาสั้น ๆ และคนเหล่าน้จี ะทากิจกรรมตา่ ง ๆ ระหวา่ งทพี่ ักอาศัยช่ัวคราวในสถานที่ท่องเที่ยว วัตถุประสงค์ในการเดินทาง ต้องการไปเยย่ี มญาติ หรือท่องเท่ยี ว การทอ่ งเท่ยี ว หมายถึง การที่คนเดนิ ทางออกจากบา้ นพักเป็นการชว่ั คราว ระยะเวลาส้ันเพอื่ ไปเย่ียมญาติมิตร หรือวัตถปุ ระสงคอ์ ื่น ๆ ทางดา้ นการทอ่ งเท่ียว เชน่ การพักผ่อน เล่นกฬี า การประชุม สมั มนา ฯลฯ สรปุ ไดว้ า่ การทอ่ งเทยี่ ว หมายถึง การเดินทางจากท่อี ยอู่ าศยั ตามปกตไิ ปยงั ทอี่ ่นื เป็นการชวั่ คราวโดยในการเดนิ ทางนน้ั มิไดเ้ ป็นการเดนิ ทางเพราะถูกบังคบั แต่เป็นการเดินทางโดยความสมคั รใจ เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจหรอื ด้วยเหตผุ ลใด ๆ ก็ตามทม่ี ใิ ช่เปน็ การประกอบอาชีพหรือหารายได้ 1.2 ประวตั ิการท่องเท่ยี วในประเทศไทย การเดินทางท่องเทยี่ วในอดตี มกั จะเป็นไปเพือ่ การพักผ่อนหย่อนใจหรือการเดนิ ทางไปจารกิ แสวงบุญยงั ศาสนสถานต่างๆ แล้วถอื โอกาสเท่ยี วชมความงามและทศั นียภาพของสถานท่ีนั้น ๆ ซง่ึ จะพบเห็นไดจ้ ากบันทึกการเดนิ ทางท่ปี รากฏในวรรณกรรมของแตล่ ะทอ้ งถนิ่ การส่งเสรมิ การทอ่ งเทีย่ วของประเทศไทย เกิดขึน้ โดยพระดารขิ องพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระกาแพงเพชรอัครโยธิน ครั้งทรงดารงตาแหน่งผู้บัญชาการรถไฟ ได้มีการส่งเร่ืองราวเก่ียวกับเมืองไทยไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกา เพ่ือให้ชาวต่างชาติสนใจและเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทย และใน พ.ศ. 2467 ได้มีการจดั ตงั้ แผนกโฆษณาของการรถไฟขนึ้ เพอื่ ทาหนา้ ทร่ี บั รองและให้ความสะดวก แก่นักท่องเที่ยวท่ีจะเดินทางมาประเทศไทย รวมทั้งการโฆษณาเผยแพร่ข้อมูลของประเทศไทย ให้เป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศ โดยมีสานักงานตงั้ อย่ทู กี่ รมรถไฟ เชิงสะพานนพวงศ์ ตอ่ มาได้ยา้ ยมาตั้งท่ีสถานีรถไฟหัวลาโพง เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกาแพงเพชรอคั รโยธิน ทรงยา้ ยไปดารงตาแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม งานด้านสง่ เสรมิ การทอ่ งเท่ียว ได้ย้ายไปอยู่ที่กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมด้วย แต่ยังคงทางานร่วมกับกรมรถไฟ มีสานกั งานตัง้ อย่ทู ถ่ี นนเจริญกรุงหน้าไปรษณยี ์กลาง การส่งเสริมการท่องเท่ยี วได้เร่ิมขน้ึ อย่างเปน็ รปู ธรรมใน พ.ศ. 2479 เมอ่ื กระทรวงเศรษฐการ เสนอโครงการบารงุ อตุ สาหกรรมท่องเทยี่ วในประเทศสยามต่อคณะรฐั มนตรี โดยเสนอแผนและวัตถุประสงค์ของการอตุ สาหกรรมท่องเทีย่ ว 3 ประการ คอื 1. งานโฆษณาชกั ชวนนกั ทอ่ งเท่ียว 2. งานรบั นักทอ่ งเท่ียว 3. งานบารงุ สถานท่ที ่องเที่ยวและทพี่ ัก ในการเสนอโครงการนี้ กระทรวงเศรษฐการได้เสนอให้จัดเป็นรูปของสมาคมการท่องเท่ียวคณะรัฐมนตรีประชุมปรึกษา เม่ือวันที่ 4 พฤศจิกายน 2479 มีมติรับหลักการของการบารุงอุตสาหกรรมท่องเทย่ี ว แตไ่ ม่รับหลักการในการจัดตั้งให้เป็นรูปสมาคม และได้มีมติแต่งตั้งคณะกรรมการข้ึนคณะหน่ึงเพ่ือ 2
ดาเนินงาน โดยใหก้ ระทรวงเศรษฐการเป็นเจา้ ของเรื่อง กระทรวงเศรษฐการได้มอบงานน้ีให้กรมพาณิชย์ เป็นผู้จดั ทา เพราะกรมพาณชิ ยม์ ีแผนกสง่ เสริมพาณิชย์และท่องเท่ียวอยู่กระทรวงเศรษฐการ ได้ดาเนินการเร่ืองนี้ต่อมาจนเมอ่ื สงครามโลกครงั้ ที่ 2 เกิดขึ้น และสานกั งานถูกระเบิด จงึ เลกิ กิจการไปช่วั คราว ตอ่ มาเมือ่ วันที่ 10 สงิ หาคม 2492 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นควรปรับปรุงหน่วยงานท่องเท่ียวข้ึนใหม่ จึงได้มีมติให้กรมโฆษณาการยกร่างโครงการปรับปรุงหน่วยงานส่งเสริมการท่องเท่ียวเสนอให้คณะรฐั มนตรพี ิจารณา ในการประชุม เมื่อวันท่ี 19 ตุลาคม 2492 ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กรมโฆษณาการพจิ ารณาสง่ เสรมิ การท่องเทยี่ ว กรมโฆษณาการจึงได้ทาความตกลงกับกระทรวงเศรษฐการ ซึ่งในสมัยน้ันมีชื่อว่า กระทรวงพาณิชย์และคมนาคม โดยขอโอนกิจการส่งเสริมการท่องเที่ยว จากกระทร วงพาณิชย์และคมนาคมมาอยู่กับกรมโฆษณาการ สานักนายกรัฐมนตรี และให้เรียกส่วนงานนี้ว่า \"สานักงานส่งเสริมการทอ่ งเที่ยว\" ใช้งบประมาณของกรมโฆษณาการเป็นงบประมาณคา่ ใชจ้ ่ายของสานกั งานนี้ ต่อมากรมโฆษณาการได้พิจารณาเห็นว่ากิจการส่งเสริมการท่องเท่ียวกาลังต่ืนตัวในประเทศไทยมาก จึงได้จัดต้ังสานักงานส่งเสริมการท่องเท่ียวให้มีฐานะเทียบเท่ากอง เรียกว่า \"สานักงานท่องเท่ียว\" โดยพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมโฆษณาการในสานักนายกรัฐมนตรี พ.ศ. 2493 ในพ.ศ. 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ไปพักรักษาตัว ณ โรงพยาบาลวอลเตอร์รีดสหรัฐอเมริกา ได้ศึกษากิจการท่องเท่ียวด้วยความสนใจ และได้ดาริท่ีจะส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศอยา่ งจริงจงั ในปตี ่อมาเม่ือจอมพลสฤษด์ิ ธนะรชั ต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดแบ่งส่วนราชการ กรมประชาสัมพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยตัด \"สานักงานท่องเที่ยว\" ออก แล้วจัดต้ังข้ึนเป็นองค์การอิสระ เรียกว่า \"องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\" มีชื่อย่อว่า \"อ.ส.ท.\"โดยพระราชกฤษฎีกาจัดต้งั องคก์ ารสง่ เสรมิ การทอ่ งเท่ียว พ.ศ. 2502 ในระยะแรกสถานท่ีทาการขององคก์ ารส่งเสรมิ การทอ่ งเท่ียวแห่งประเทศไทยได้อาศัย อาคารของกรมประชาสัมพันธ์เป็นสานักงาน ต่อมาได้ย้ายมาเปิดดาเนินงาน ณ สานักงานถนนศรีอยุธยา เมื่อวันท่ี 26กุมภาพันธ์ 2503 ได้ประกอบพิธีเปิด \"องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\" เม่ือวันท่ี 18 มีนาคม2503 องคก์ ารส่งเสริมการทอ่ งเทีย่ ว ซ่งึ จดั ตง้ั ขน้ึ โดยพระราชกฤษฎกี าจัดตั้งองคก์ ารสง่ เสริมการท่องเที่ยวพ.ศ. 2502 น้ัน มีหน้าที่ส่งเสริมการท่องเท่ียวเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ขยายตัวอย่างกวา้ งขวางรวดเร็ว จาเป็นตอ้ งปรบั ปรงุ อานาจหน้าทข่ี อง อ.ส.ท. ให้มขี อบเขตการปฏบิ ัตงิ านกว้างขวางยิง่ ขึ้นท้ังในด้านการพัฒนา อนุรักษ์ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว และการส่งเสริมเผยแพร่ จึงได้มีการนาเสนอร่างพระราชบัญญัติการทอ่ งเทย่ี วแห่งประเทศไทย และรา่ งพระราชบัญญัติจัดระเบียบธุรกิจเก่ียวกับอุตสาหกรรมท่องเทย่ี ว เพ่ือให้หน่วยงานการทอ่ งเท่ยี วของรัฐ มีอานาจหน้าท่ีและรับผิดชอบในการพัฒนาส่งเสริม เผยแพร่และดาเนินกิจการเพื่อเป็นการริเร่ิมให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเท่ียว ตลอดจนคุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเท่ียวด้วย สภานิติบัญญัติแห่งชาติซ่ึงทาหน้าท่ีรัฐสภาในการประชุมคร้ังที่ 41 วันศุกร์ท่ี 20 เมษายน2522 ไดพ้ ิจารณาร่างพระราชบญั ญัติท้ัง 2 ฉบับ แล้วปรากฏว่า ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบธุรกิจเก่ียวกับอุตสาหกรรมท่องเท่ียวไม่ผ่านการพิจารณา ส่วนพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ผ่านการพจิ ารณาประกาศในราชกิจจานเุ บกษา ฉบบั พเิ ศษ เล่มท่ี 96 ตอนท่ี 72 วันท่ี 4 พฤษภาคม 2522 จัดตั้ง \"การทอ่ งเท่ยี วแหง่ ประเทศไทย\" ข้ึน มีชือ่ ย่อว่า \"ททท.\" เน่ืองจากการประกอบธุรกิจนาเท่ียวและอาชีพมัคคุเทศก์ได้มีการขยายตัวเป็นอันมาก จาเป็นจะต้องมีกฎหมายกาหนดมาตรฐานในเร่ืองน้ี การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จึงได้ปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบธุรกิจเก่ียวกับอุตสาหกรรม แล้วเสนอเป็นร่างพระราชบัญญัติธุรกิจนาเที่ยวและ 3
มัคคุเทศก์ ซ่ึงได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทาหน้าที่รัฐสภาออกเป็นพระราชบญั ญัตธิ ุรกจิ นาเท่ียวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2535 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอน25 ลงวนั ที่ 19 มีนาคม 2535 ซ่ึงมีผลใช้บังคับตามกฏหมายต้ังแต่วันท่ี 18 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นไป และใหก้ ารท่องเทีย่ วแห่งประเทศไทย ทาหน้าทส่ี ง่ เสรมิ และควบคุมการประกอบธรุ กิจนาเทย่ี วและอาชีพมัคคุเทศก์ให้เป็นระเบยี บและได้มาตรฐาน ตามที่กฎหมายกาหนด เพ่ือประโยชน์ของบุคคลทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้อง และของอุตสาหกรรมทอ่ งเท่ยี วของประเทศต่อไป2. การทอ่ งเที่ยวเชงิ นเิ วศ (Ecotourism) ปัจจุบันการท่องเที่ยวถือเป็นอุตสาหกรรมบริการที่ทารายได้ให้แก่ประเทศ ต่างๆเป็นจานวน มากรวมทั้งประเทศไทยดว้ ย ได้มกี ารพฒั นาแหล่งท่องเที่ยว รวมทั้งวธิ กี ารจัดการการท่องเท่ียว ให้ขยายตัวมากขึ้นตามลาดบั ถึงแม้อุตสาหกรรมการท่องเท่ียวจะให้ผลดีทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็ก่อให้เกิดผลกระทบในทางลบได้มากหากไมร่ ะมัดระวงั ผลกระทบในทางลบทสี่ าคญั มากมี 2 ประการคือ ประการแรก ก่อให้เกิดความเส่ือมโทรมของสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยว และประการท่ี 2 ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชุมชนในท้องถิ่นท่ีมีแหล่งทอ่ งเที่ยวตงั้ อยู่ ความเส่ือมโทรมของสิง่ แวดล้อมในแหลง่ ท่องเที่ยวเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น นักท่องเที่ยวไม่ช่วยกันระมัดระวังรักษาส่ิงแวดล้อม มีการทิ้งขยะเกล่ือนกลาดไม่เป็นท่ีเป็นทาง เด็ดหรือทาลายพืชพรรณไม้ขดี เขยี นตามผนังถา้ หรือโขดหินให้เกิดความสกปรก ทาลายปะการังใต้น้า โรงแรมปล่อยน้าเสียลงในแหล่งน้ารวมทั้งมีการปลูกสร้างอาคารที่ไม่กลมกลืนกับสภาพแวดล้อม สกปรกรกรุงรัง หรือรุกล้าท่ีสาธารณะ ความเดือดร้อนที่ชุมชนในท้องถ่ินอาจได้รับจากการท่องเที่ยว ได้แก่ ความไม่สะดวกต่างๆอันเนื่องมาจากนกั ทอ่ งเทยี่ วเดนิ ทางมาเปน็ จานวนมาก เช่น ปัญหาการจราจรติดขัด ปัญหาเสียงรบกวน และปัญหาค่าครองชีพในทอ้ งถนิ่ สงู ขนึ้ ได้มีแนวคิดท่ีจะพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเท่ียวให้มีผลกระทบในทางลบน้อยท่ีสุด โดยให้นักท่องเท่ียวตระหนกั ถึงความสาคัญของสิ่งแวดล้อม และช่วยกันอนุรักษ์แหล่งท่องเท่ียวให้คงสภาพที่ดีต่อไปนานๆ ในขณะเดียวกันก็ให้ชุมชนในท้องถ่ินได้เข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานทง้ั ของรัฐและของเอกชน เพือ่ จะไดด้ ูแลทรพั ยากรการทอ่ งเท่ียวในท้องถิ่นของตนอย่างเต็มที่ พร้อมทั้งไดร้ บั ผลประโยชนต์ อบแทนจากการให้บริการแก่นักท่องเที่ยวในด้านต่างๆด้วย แนวคิดนี้เป็นท่ีมาของการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซ่ึงได้เริ่มแพร่หลายไปในประเทศต่างๆนับตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา และองค์การสหประชาชาตไิ ด้ประกาศให้ พ.ศ. 2545 (ค.ศ. 2002) เปน็ ปสี ากลแห่งการทอ่ งเที่ยวเชิงนเิ วศ หลักการสาคัญของการท่องเทยี่ วเชงิ นเิ วศมี 2 ประการ คือ ประการแรก ต้องเปน็ การทอ่ งเทีย่ วอย่างย่งั ยนื และประการที่ 2 ตอ้ งเปน็ การทอ่ งเทย่ี วเชงิ อนรุ กั ษ์ การท่องเท่ียวอย่างย่ังยืน หมายถึง การท่องเที่ยวท่ีมีผลต่อเนื่องไปในระยะเวลายาวนาน มีจุดเน้นท่ีสาคัญคือ จะต้องดูแลทรัพยากรการท่องเท่ียวให้ใช้ประโยชน์ได้ต่อไปชั่วลูกช่ัวหลาน มิใช่เพียงเพ่ือคนในรุ่นปจั จุบนั เท่านนั้ และต้องให้มกี ารรว่ มมือกันทกุ ระดบั ท้ังในระดับประเทศ ระดบั ภาค และระดับท้องถ่ิน ในการวางแผนการพัฒนาและการจัดการการท่องเท่ียวร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงต้องให้ชุมชนในท้องถ่ินได้รับผลประโยชนต์ อบแทนจากทรัพยากรการท่องเที่ยวในทอ้ งถ่ินของตนอย่างเป็นธรรมดว้ ย 4
ส่วนการทอ่ งเที่ยวเชิงอนรุ กั ษ์ หมายถึง การท่องเทีย่ วที่มีการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมควบคู่กันไป โดยการกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวช่วยกันรักษาส่ิงแวดล้อม และตระหนักในคุณค่าของมรดกทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมในทอ้ งถน่ิ ร่วมกับชมุ ชนในท้องถน่ิ จากหลักการสาคัญของการท่องเท่ียวเชิงนิเวศ 2 ประการดังกล่าว เชื่อว่าเป็นแนวทางที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้เจริญเติบโตต่อไปได้ในอนาคต โดยลดผลกระทบในทางลบให้เหลือน้อยลงปัจจุบันได้มีรูปแบบของการท่องเท่ียวเชิงนิเวศปรากฏให้เห็นแล้วในหลายพ้ืนท่ีของประเทศไทย และคงจะขยายตัวมากย่ิงขน้ึ ในระยะเวลาต่อไป 2.1 ประวัติของการทอ่ งเที่ยวเชิงนิเวศในประเทศไทย การท่องเทยี่ วเชงิ นเิ วศ (Ecotourism) เป็นรูปแบบการทอ่ งเท่ยี วแบบยัง่ ยืน แนวคิดของการทอ่ งเท่ียวเชิงนเิ วศไดร้ เิ ริ่มขน้ึ ในประเทศไทยต้งั แต่ปี พ.ศ. 2519 โดยมีการนาเสนอแนวความคดิ น้ีในแผนพฒั นาการท่องเทย่ี วแหง่ ชาติแผนแรกของไทย แตไ่ ม่ปรากฏรายระเอียดและแนวทางทีช่ ดั เจน แต่เป็นการมุ่งเนน้ ในเร่อื งการพฒั นาการทอ่ งเท่ียวทงั้ ระบบ โดยผลของการพัฒนาน้นั มงุ่ เนน้ ดา้ นเศรษฐกิจเป็นหลัก อย่างไรก็ตามภาคเอกชนของอุตสาหกรรมการท่องเท่ียวก็ได้ขายสินค้าทางด้านธรรมชาติเร่ือยมาในรูปแบบของกลุ่มผู้สนใจพิเศษ เช่น การเดินป่า การดูนก การดาน้า เป็นต้น จากการจัดกิจกรรมท่องเที่ยวดังกล่าวโดยขาดขอบเขต และปราศจากนโยบายในการควบคุมท่ีชัดเจนของรัฐบาล จึงเป็นผลให้แหล่งท่องเทย่ี วทางธรรมชาติและสภาพแวดลอ้ มเสื่อมโทรมอยา่ งเหน็ ไดช้ ดั ในระยะต่อมา จากผลกระทบดงั กล่าวจึงเป็นผลใหอ้ ตุ สาหกรรมการท่องเที่ยวถูกโจมตีมาตลอดว่าเป็นสาเหตุให้มกี ารใชท้ รพั ยากรอย่าล้างผลาญ เป็นอุตสาหกรรมนอกจากจะทาลายสภาพแวดล้อมแล้ว ยังทาลายสังคมและวัฒนธรรม ดังน้ันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบและกากับดูแลการท่องเที่ยวโดยตรงจึงมีการกาหนดนโยบายเพ่ือแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการกาหนดนโยบายการพัฒนาและสง่ เสริมการท่องเที่ยว ปี 2540 – 2546 ซ่ึงนอกจากนโยบายดังกล่าวจะเป็นผลให้เกิดการท่องเท่ียวควบคู่กับการอนุรักษ์ อันเป็นจุดกาเนิดของการท่องเท่ียวเชิงนิเวศอย่างแท้จริงแล้ว การท่องเที่ยวเชิงนิเวศยังเกิดจากความตอ้ งการ 3 กระแส คือ 1. กระแสความตอ้ งการอนรุ กั ษ์สงิ่ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ที่มีขอบข่ายกว้างขวางไปท่วั โลก ทง้ั ในแง่การอนุรกั ษ์ในระดบั ท้องถ่นิ ไปจนถงึ การอนุรักษ์ ป้องกัน แกไ้ ข วกิ ฤติการณข์ องโลก โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ การอนุรกั ษ์ระบบนิเวศ เพ่อื คงความหลากหลายทางชีวภาพ 2. กระแสความต้องการของตลาดการท่องเท่ียว ในด้านการเรียนรู้หรือมีประสบการณ์ด้านสง่ิ แวดลอ้ มและทรพั ยากรธรรมชาติ เปน็ ความต้องการทม่ี มี ากขึน้ ในหมู่นักท่องเที่ยว และในทุกส่วนของสังคมเพ่อื ใหผ้ เู้ กย่ี วข้องมีความรูแ้ ละความตระหนักในการอนุรักษ์ส่งิ แวดล้อม กระแสน้ีจึงก่อให้เกิดความต้องการไปในการขยายและปรับทิศทางของตลาดธรุ กิจทอ่ งเท่ียวมากขนึ้ 3. กระแสความต้องการพัฒนาคน โดยการมีส่วนร่วมของประชาชน ท่ีมาจากรากหญ้ าประชาชนพ้ืนฐาน อันจะเป็นหลักประกันท่ีจะให้มีการพัฒนาในทิศทางที่ถูกต้อง มีการกระจายรายได้ที่เหมาะสม เปน็ ไปตามความต้องการของผทู้ อี่ ยู่ในพนื้ ทม่ี ากขึน้ความตอ้ งการอนรุ ักษ์สิ่งแวดล้อมและทรัพยากรความตอ้ งการของตลาดการท่องเทยี่ วดา้ นการศึกษาเรียนรู้ 5
วงร:ี การท่องเทีย่ วเชงิ นิเวศ(Ecotourism) 6
Search
Read the Text Version
- 1 - 7
Pages: