การท่องเท่ียวเชิงนิเวศวตั ถปุ ระสงค์ 1. นกั ศกึ ษามีความรู้ความเขา้ ใจความหมายและความสาคญั ของการท่องเที่ยวเชงิ นิเวศ 1. การทอ่ งเทย่ี ว(Tourism) 1.1 ความหมายของการท่องเทยี่ ว (Tourism) องค์การท่องเที่ยวโลก(World Tourism Organization : WTO) แห่งองค์การสหประชาชาติได้กาหนดความหมายของการท่องเท่ียวว่า การเดินทางใด ๆ ก็ตามที่เป็นการเดินทางตามเง่ือนไขสากล 3 ประการ ดังตอ่ ไปนี้ 1. การเดนิ ทางจากสถานท่ีอยอู่ าศยั เป็นประจาไปยงั สถานทอ่ี ืน่ ๆ เป็นการชั่วคราว 2. การเดนิ ทางน้นั ผ้เู ดินทางด้วยความสมคั รใจ ไมใ่ ชเ่ ป็นการถกู บงั คับ 3. การเดนิ ทางเพอื่ วัตถุประสงคใ์ ด ๆ ก็ตามทีม่ ิใชเ่ ดินทางเพ่ือประกอบอาชพี หรือหา รายได้ การท่องเท่ียว คือการเดินทางเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหรือเพ่ือความสนุกสนานตื่นเต้นหรือเพื่อหาความรู้องคก์ รการท่องเทย่ี วของสหประชาชาติ (World Tourism Organization:WTO) กาหนดไว้ว่า การท่องเที่ยวหมายถงึ การเดนิ ทาง โดยระยะทางมากกวา่ 80 กิโลเมตรจากบ้าน เพ่อื จุดประสงค์ในการพักผอ่ นหยอ่ นใจ สมาคมระหว่างประเทศแหง่ ความเช่ียวชาญด้านการท่องเท่ยี ว ไดใ้ ห้ความหมายของการท่องเท่ียว ว่าเป็นการเดนิ ทางจากทอี่ ยถู่ าวรไปอกี ที่หนึ่งเปน็ การช่ัวคราว และไมเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การทากิจกรรมท่เี ปน็ การหาเงนิ การทอ่ งเท่ยี ว หมายถึง การเดนิ ทางจากท่ีอยอู่ าศัยตามปกตไิ ปยงั ทีอ่ ่ืนเป็นการชว่ั คราวเพ่ือศึกษาและพักผ่อนหย่อนใจ หรือกอ่ ให้เกดิ การกระทารว่ มกันของมนุษยท์ ัง้ ทางธรรมชาตแิ ละทางสังคมจนเป็นเหตดุ งึ ดูดใจให้เดนิ ทางไปศกึ ษาและท่องเที่ยวตามแหลง่ ต่าง ๆ การท่องเทย่ี ว หมายถึง ความสัมพันธ์ซ่ึงเกิดขึ้นจากความเกี่ยวข้องซึ่งกันและกัน ระหว่างนักท่องเทีย่ ว ผ้จู ัด บริการด้านการท่องเที่ยว หน่วยงานของรัฐบาลในท้องถิ่น และประชาชนในแหล่งท่องเที่ยวความสัมพันธ์ขององค์ประกอบท้ัง 4 ประการดังกล่าวแล้ว ต้องกระทาอย่างต่อเนื่องเพ่ือให้นักท่องเท่ียวเกิดความประทับใจ การท่องเท่ยี ว หมายถึง การท่คี นเดินทางออกจากท่ีพักหรือที่ทางาน ไปยังสถานท่ีอื่น ๆ ในระยะเวลาส้ันๆ และคนเหล่าน้จี ะทากิจกรรมตา่ ง ๆ ระหว่างที่พักอาศัยชั่วคราวในสถานท่ีท่องเท่ียว วัตถุประสงค์ในการเดินทางต้องการไปเยีย่ มญาติ หรือท่องเทยี่ ว การทอ่ งเทยี่ ว หมายถงึ การที่คนเดนิ ทางออกจากบา้ นพกั เป็นการชัว่ คราว ระยะเวลาสัน้ เพอื่ ไปเย่ียมญาติมติ ร หรอื วัตถปุ ระสงค์อื่น ๆ ทางด้านการทอ่ งเทย่ี ว เชน่ การพกั ผอ่ น เล่นกีฬา การประชุม สัมมนา ฯลฯ สรปุ ได้ว่า การทอ่ งเทย่ี ว หมายถงึ การเดนิ ทางจากท่ีอยู่อาศยั ตามปกตไิ ปยังท่ีอ่นื เป็นการชัว่ คราว โดยในการเดนิ ทางนั้น มไิ ด้เปน็ การเดนิ ทางเพราะถกู บังคับ แตเ่ ปน็ การเดนิ ทางโดยความสมคั รใจ เพ่ือเปน็ การพักผ่อนหย่อนใจหรือด้วยเหตผุ ลใด ๆ กต็ ามทีม่ ิใช่เป็นการประกอบอาชีพหรือหารายได้ 1
1.2 ประวตั กิ ารท่องเทยี่ วในประเทศไทย การเดนิ ทางทอ่ งเทย่ี วในอดตี มักจะเปน็ ไปเพ่อื การพักผ่อนหยอ่ นใจหรอื การเดินทางไปจาริกแสวงบุญ ไปยังศาสนสถานตา่ งๆ แล้วถือโอกาสเทยี่ วชมความงามและทัศนยี ภาพของสถานที่นั้น ๆ ซงึ่ จะพบเห็นได้จากบันทึกการเดินทางทีป่ รากฏในวรรณกรรมของแต่ละทอ้ งถนิ่ การสง่ เสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย เกิดขึ้นโดยพระดาริของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกาแพงเพชรอัครโยธิน คร้ังทรงดารงตาแหน่งผู้บัญชาการรถไฟ ได้มีการส่งเรื่องราวเก่ียวกับเมืองไทยไปเผยแพร่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อให้ชาวต่างชาตสิ นใจและเดินทางมาท่องเท่ียวประเทศไทย และใน พ.ศ. 2467 ได้มีการจัดตั้งแผนกโฆษณาของการรถไฟข้นึ เพอื่ ทาหนา้ ท่รี ับรองและให้ความสะดวก แก่นักท่องเที่ยวท่ีจะเดินทางมาประเทศไทย รวมทั้งการโฆษณาเผยแพร่ข้อมูลของประเทศไทย ให้เป็นท่ีรู้จักของชาวต่างประเทศ โดยมีสานักงานตั้งอยู่ที่กรมรถไฟ เชิงสะพานนพวงศ์ ต่อมาได้ย้ายมาตั้งท่ีสถานีรถไฟหัวลาโพง เมื่อพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกาแพงเพชรอัครโยธินทรงย้ายไปดารงตาแหน่งเสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม งานด้านส่งเสริมการท่องเที่ยว ได้ย้ายไปอยู่ท่ีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมด้วย แต่ยังคงทางานร่วมกับกรมรถไฟ มีสานักงานตั้งอยู่ท่ีถน นเจริญกรุงหน้าไปรษณียก์ ลาง การสง่ เสรมิ การทอ่ งเที่ยวได้เริม่ ข้ึนอยา่ งเป็นรปู ธรรมใน พ.ศ. 2479 เมื่อกระทรวงเศรษฐการเสนอโครงการบารงุ อุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศสยามต่อคณะรัฐมนตรี โดยเสนอแผนและวัตถปุ ระสงค์ของการอตุ สาหกรรมทอ่ งเที่ยว 3 ประการ คือ 1. งานโฆษณาชกั ชวนนกั ท่องเทย่ี ว 2. งานรับนักทอ่ งเที่ยว 3. งานบารุงสถานท่ีท่องเท่ียวและที่พัก ในการเสนอโครงการน้ี กระทรวงเศรษฐการได้เสนอให้จัดเป็นรูปของสมาคมการท่องเที่ยวคณะรัฐมนตรีประชุมปรึกษา เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2479 มีมติรับหลักการของการบารุงอุตสาหกรรมท่องเท่ียว แต่ไม่รับหลักการในการจัดตั้งให้เป็นรูปสมาคม และได้มีมติแต่งต้ังคณะกรรมการขึ้นคณะหน่ึงเพ่ือดาเนินงาน โดยให้กระทรวงเศรษฐการเป็นเจ้าของเร่ือง กระทรวงเศรษฐการได้มอบงานนี้ให้กรมพาณิชย์ เป็นผู้จัดทา เพราะกรมพาณิชยม์ ีแผนกสง่ เสรมิ พาณชิ ยแ์ ละท่องเทยี่ วอยกู่ ระทรวงเศรษฐการ ได้ดาเนินการเรื่องน้ีต่อมาจนเมอ่ื สงครามโลกครัง้ ที่ 2 เกดิ ขึ้น และสานกั งานถกู ระเบิด จึงเลิกกจิ การไปชั่วคราว ต่อมาเมื่อวันท่ี 10 สิงหาคม 2492 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาเห็นควรปรับปรุงหน่วยงานท่องเท่ียวขึ้นใหม่ จึงได้มีมติให้กรมโฆษณาการยกร่างโครงการปรับปรุงหน่วยงานส่งเสริมการท่องเที่ยวเสนอให้คณะรฐั มนตรีพิจารณา ในการประชุม เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2492 ซ่ึงคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กรมโฆษณาการพิจารณาส่งเสริมการท่องเท่ียว กรมโฆษณาการจึงได้ทาความตกลงกับกระทรวงเศรษฐการ ซ่ึงในสมัยนั้นมีช่ือว่ากระทรวงพาณิชย์และคมนาคม โดยขอโอนกจิ การสง่ เสริมการท่องเที่ยว จากกระทรวงพาณิชย์และคมนาคมมาอยู่กับกรมโฆษณาการ สานักนายกรัฐมนตรี และให้เรียกส่วนงานน้ีว่า \"สานักงานส่งเสริมการท่องเที่ยว\" ใช้งบประมาณของกรมโฆษณาการเปน็ งบประมาณคา่ ใชจ้ ่ายของสานักงานนี้ ต่อมากรมโฆษณาการได้พิจารณาเห็นว่ากิจการส่งเสริมการท่องเท่ียวกาลังตื่นตัวในประเทศไทยมาก จึงได้จัดตั้งสานักงานส่งเสริมการท่องเท่ียวให้มีฐานะเทียบเท่ากอง เรียกว่า \"สานกั งานทอ่ งเท่ียว\" โดยพระราชกฤษฎีกาจัดวางระเบียบราชการกรมโฆษณาการในสานักนายกรฐั มนตรี พ.ศ. 2493 2
ในพ.ศ. 2501 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ไดไ้ ปพักรกั ษาตวั ณ โรงพยาบาลวอลเตอร์รีด สหรฐั อเมรกิ า ไดศ้ ึกษากิจการทอ่ งเที่ยวดว้ ยความสนใจ และได้ดารทิ จ่ี ะสง่ เสริมอุตสาหกรรมท่องเท่ียวในประเทศอยา่ งจรงิ จงั ในปีต่อมาเมื่อจอมพลสฤษด์ิ ธนะรัชต์ เปน็ นายกรัฐมนตรี ได้มีประกาศพระราชกฤษฎีกาจัดแบ่งส่วนราชการ กรมประชาสัมพันธ์ พ.ศ. 2502 โดยตัด \"สานักงานท่องเท่ียว\" ออก แล้วจัดต้ังข้ึนเป็นองค์การอิสระเรียกว่า \"องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย\" มีชื่อย่อว่า \"อ.ส.ท.\"โดยพระราชกฤษฎีกาจัดต้ังองค์การสง่ เสรมิ การทอ่ งเทยี่ ว พ.ศ. 2502 ในระยะแรกสถานท่ีทาการขององค์การส่งเสริมการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทยได้อาศัย อาคารของกรมประชาสัมพันธ์เป็นสานักงาน ต่อมาได้ย้ายมาเปิดดาเนินงาน ณ สานักงานถนนศรีอยุธยา เม่ือวันท่ี 26กุมภาพันธ์ 2503 ได้ประกอบพิธีเปิด \"องค์การส่งเสริมการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย\" เม่ือวันท่ี 18 มีนาคม2503 องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยว ซ่ึงจัดต้ังข้ึนโดยพระราชกฤษฎีกาจัดต้ังองค์การส่งเสริมการท่องเทย่ี ว พ.ศ. 2502 น้ัน มีหน้าที่ส่งเสริมการท่องเที่ยวเป็นส่วนใหญ่ ต่อมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ขยายตัวอยา่ งกวา้ งขวางรวดเร็ว จาเป็นตอ้ งปรบั ปรงุ อานาจหน้าทีข่ อง อ.ส.ท. ใหม้ ีขอบเขตการปฏิบัติงานกว้างขวางยิ่งข้ึนทั้งในด้านการพัฒนา อนุรักษ์ทรัพยากรทางการท่องเที่ยว และการส่งเสริมเผ ยแพร่ จึงได้มีการนาเสนอร่างพระราชบัญญัติการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เพื่อให้หน่วยงานการท่องเท่ียวของรัฐ มีอานาจหน้าที่และรับผิดชอบในการพัฒนาส่งเสริม เผยแพร่และดาเนินกิจการเพ่ือเป็นการริเร่ิมให้มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว ตลอดจนคุ้มครองให้ความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยวด้วย สภานิติบัญญัติแห่งชาติซึ่งทาหน้าที่รัฐสภาในการประชุมคร้ังท่ี 41 วันศุกร์ที่ 20 เมษายน2522 ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติท้ัง 2 ฉบับ แล้วปรากฏว่า ร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบธุรกิจเกี่ยวกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่ผ่านการพิจารณา ส่วนพระราชบัญญัติการท่องเท่ียวแห่งประเทศไทยได้ผ่านการพิจารณาประกาศในราชกิจจานุเบกษา ฉบับพิเศษ เล่มท่ี 96 ตอนท่ี 72 วันท่ี 4 พฤษภาคม 2522 จัดต้ัง \"การท่องเทีย่ วแหง่ ประเทศไทย\" ข้นึ มชี ือ่ ย่อวา่ \"ททท.\" เน่ืองจากการประกอบธุรกิจนาเที่ยวและอาชีพมัคคุเทศก์ได้มีการขยายตัวเป็นอันมาก จาเป็นจะตอ้ งมกี ฎหมายกาหนดมาตรฐานในเรอื่ งน้ี การท่องเท่ียวแห่งประเทศไทย จึงได้ปรับปรุงแก้ไขร่างพระราชบัญญัติจดั ระเบียบธรุ กิจเกย่ี วกบั อตุ สาหกรรม แลว้ เสนอเปน็ ร่างพระราชบญั ญตั ิธุรกจิ นาเทย่ี วและมคั คุเทศก์ ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งทาหน้าท่ีรัฐสภาออกเป็นพระราชบัญญัติธุรกิจนาเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2535 และได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 109 ตอน 25 ลงวันที่ 19 มีนาคม2535 ซ่ึงมีผลใช้บังคับตามกฏหมายตั้งแต่วันท่ี 18 พฤษภาคม 2535 เป็นต้นไป และให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ทาหน้าที่ส่งเสริมและควบคุมการประกอบธุรกิจนาเท่ียวและอาชีพมัคคุเทศก์ ให้เป็นระเบียบและได้มาตรฐาน ตามท่ีกฎหมายกาหนด เพื่อประโยชน์ของบุคคลทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศต่อไป 3
2. การท่องเทย่ี วเชงิ นเิ วศ (Ecotourism) ปัจจุบันการท่องเท่ียวถือเป็นอุตสาหกรรมบริการท่ีทารายได้ให้แก่ประเทศ ต่างๆเป็นจานวนมาก รวมทั้งประเทศไทยด้วย ไดม้ กี ารพัฒนาแหล่งทอ่ งเทย่ี ว รวมท้ังวธิ กี ารจดั การการทอ่ งเที่ยว ใหข้ ยายตวั มากข้ึนตามลาดับ ถึงแมอ้ ตุ สาหกรรมการทอ่ งเทย่ี วจะให้ผลดีทางด้านเศรษฐกจิ แต่กก็ ่อใหเ้ กิดผลกระทบในทางลบได้มากหากไม่ระมัดระวัง ผลกระทบในทางลบที่สาคัญมากมี 2 ประการคือ ประการแรก ก่อให้เกิดความเส่ือมโทรมของส่ิงแวดล้อมในแหล่งท่องเท่ียว และประการท่ี 2 ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ชุมชนในท้องถ่ินท่ีมีแหล่งท่องเที่ยวต้ังอยู่ ความเส่ือมโทรมของสิ่งแวดล้อมในแหล่งท่องเที่ยวเกิดจากสาเหตุหลายประการ เช่น นักท่องเท่ียวไม่ช่วยกันระมัดระวังรักษาส่ิงแวดล้อม มีการทิ้งขยะเกล่ือนกลาดไม่เป็นท่ีเป็นทาง เด็ดหรือทาลายพืชพรรณไม้ ขีดเขียนตามผนงั ถา้ หรอื โขดหินให้เกดิ ความสกปรก ทาลายปะการงั ใตน้ า้ โรงแรมปล่อยน้าเสียลงในแหล่งน้า รวมทั้งมีการปลกู สร้างอาคารทไ่ี มก่ ลมกลนื กบั สภาพแวดล้อม สกปรกรกรุงรัง หรือรุกล้าท่ีสาธารณะ ความเดือดร้อนที่ชุมชนในท้องถน่ิ อาจไดร้ ับจากการทอ่ งเท่ยี ว ไดแ้ ก่ ความไม่สะดวกตา่ งๆอนั เนื่องมาจากนกั ทอ่ งเทยี่ วเดินทางมาเป็นจานวนมาก เชน่ ปัญหาการจราจรตดิ ขดั ปญั หาเสียงรบกวน และปญั หาคา่ ครองชีพในท้องถิน่ สูงข้ึน ไดม้ ีแนวคิดที่จะพัฒนาอตุ สาหกรรมการท่องเที่ยวให้มีผลกระทบในทางลบน้อยท่ีสุด โดยให้นักท่องเท่ียวตระหนักถึงความสาคัญของส่ิงแวดล้อม และช่วยกันอนุรักษ์แหล่งท่องเท่ียวให้คงสภาพที่ดีต่อไปนานๆ ในขณะเดยี วกันกใ็ หช้ มุ ชนในท้องถ่ินไดเ้ ข้ามามสี ว่ นรว่ มในการจัดการทรพั ยากรการท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานทั้งของรฐั และของเอกชน เพอ่ื จะได้ดูแลทรัพยากรการท่องเท่ียวในท้องถิ่นของตนอย่างเต็มท่ี พร้อมทั้งได้รับผลประโยชน์ตอบแทนจากการใหบ้ ริการแกน่ กั ทอ่ งเทยี่ วในดา้ นตา่ งๆดว้ ย แนวคิดนเี้ ปน็ ทม่ี าของการทอ่ งเท่ียวเชิงนิเวศ ซึ่งได้เร่ิมแพร่หลายไปในประเทศต่างๆนับตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็นต้นมา และองค์การสหประชาชาติได้ประกาศให้ พ.ศ.2545 (ค.ศ. 2002) เป็นปีสากลแห่งการท่องเทย่ี วเชิงนิเวศ 4
5
Search
Read the Text Version
- 1 - 6
Pages: