51 กล่าวสำหรับพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ ท่นี ับอายุถึงวนั น้ไี ด้ 10 ปีพอดี ไม่นบั รวมเวลาขบั เคลื่อน การจัดทำอีก 7 ปี ถือเป็นการประกาศอย่างเป็นทางการของรัฐไทย รับรองว่าเรื่อง “สุขภาพ” เป็นเรื่อง “สุขภาวะ 4 มิติ” เป็นความก้าวหน้าระดับนำของโลก ที่มีฐาน กฎหมายรองรับนิยามสุขภาพแบบองค์รวมที่กว้าง แต่ก็ไม่ได้ละเลยหรือลดความสำคัญของ ระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่จะยังต้องเป็นแกนของระบบสุขภาพแห่งชาติต่อไป แต่ เปน็ การใหค้ วามสำคญั กบั ระบบอ่นื ๆและภาคส่วนอนื่ ๆควบคู่ไปดว้ ย พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติจัดให้มีกลไกคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ(คสช.)ที่มีนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีองค์ประกอบจากทั้งภาครัฐ ท้องถิ่น วิชาชีพ วิชาการ เอกชนและประชา สังคม มาร่วมกันทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ที่เน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน สอดคล้องกับแนวคิดเรื่อง “ทุกนโยบายห่วงใย สุขภาพ” (Health in All Policies: HiAP) สอดคล้องกับแนวคิดใหม่ของการอภิบาลสังคม (Governance) ที่หมายถึง “การ ปฏสิ ัมพันธก์ ันของทงั้ ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคม และอื่นๆ เพอ่ื สรา้ งสรรค์สง่ิ ดใี ห้กับสงั คม และแกป้ ัญหาตา่ งๆในสังคมร่วมกนั ” ซงึ่ ก็คือแนวทางการสร้างสขุ ภาวะแบบมีส่วนรว่ มนั่นเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง กลไกและเครื่องมือการทำงานที่รองรับการพัฒนาและการขับเคลื่อน นโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพ ตามพ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ เป็นเสมือนการสร้างระบบการ ทำงานแบบรว่ มกนั “ถักทอผา้ ให้เป็นผืน” คือ การเชื่อมผสานเส้นด้ายแนวตั้ง ซึ่งหมายถึงภาครัฐ ราชการ ท้องถิ่น เข้ากับเส้นด้าย แนวนอน ซึ่งหมายถึงภาคสังคม เอกชน และภาคส่วนต่างๆเข้าด้วยกัน ให้เป็นผืนผ้า หรือ เป็นพลงั เดยี วกนั การทำงานเพอื่ สขุ ภาพตามแนวทางนี้ เปน็ การทำงานท่เี หน็ ผลชา้ เพราะแตล่ ะเร่อื งทที่ ำล้วน เป็นเรื่องงยาก มีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง และมีความสลับซับซ้อน ยากกว่าการใช้ศาสตร์ สาขาเดียว หรือใชก้ ารทำงานโดยสาขาใดเพยี งลำพงั การทำงานในแนวทางนี้ ต้องอาศัยการเรียนรู้ร่วมกันของทุกฝ่าย ตลอดกระบวนการทำงาน ร่วมกัน ต้องมีการพัฒนา “ความไว้วางใจ” พัฒนา “ปัญญา” พัฒนา “วิธีการทำงาน” ไป ตลอดเวลา หยดุ น่งิ ไม่ได้เลย 10 ปี ที่ผ่านมา มีผู้คน ภาคส่วนต่างๆเข้ามาทำงานเพื่อสุขภาพโดยใช้เครื่องมือตาม พ.ร.บ. สุขภาพแห่งชาติเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ แต่ก็ยังไม่มากเท่าที่ควร การขับเคลื่อนงานต่างๆ
52 เป็นไปอย่างช้าๆ ไม่ค่อยโดดเด่น หวือหวา ซึ่งก็เหมือนเรื่องดีๆอีกมากในสังคม ที่ไช่ว่า จะตอ้ งเดน่ ดงั เสมอไป การทำงานขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพ ด้วยเครื่องมือต่างๆที่กล่าวไปแล้ว เป็นการ ทำงานแบบวิ่งมาราธอน หรือเปรียบเสมือนการเดินทางไกลสู่ยอดเขา ต้องมีศรัทธาและ ความเชื่อมั่นว่าสุขภาพหรือสุขภาวะสร้างได้ ด้วยการรวมตัวร่วมคิดร่วมทำ ทำไปเรียนรู้ไป มีความสุขกับความสำเร็จเล็กๆน้อยๆที่พบเห็นบนเส้นทางการเดินทาง ทำไปพัฒนาไป มี ความเพยี รเป็นทต่ี ้งั 10 ปี ที่เดินมาด้วยกัน เป็นเวลาไม่นาน เรายังมีเส้นทางที่ต้องพากันเดินไปอีกไกล เราจึง ตอ้ งเดนิ ไปด้วยกัน ปลอ่ ยมือทิง้ กันไม่ได้ครบั ท่านผมู้ เี กียรตคิ รบั ดังที่ผมขึ้นต้นการพูดในวันนี้ว่า งานที่เราขับเคลื่อนกันมานี้ เราได้ใช้ศาสตร์พระราชาไปโดย ที่รู้ตัวหรือไม่รู้ตัวนั้น ผมขอเรียนว่า ถ้าใครได้ศึกษาศาสตร์พระราชาให้กระจ่าง จะเห็นว่า พวกเราไดใ้ ช้ศาสตรท์ ่พี ระองคท์ ่านทรงสอนดว้ ยการปฏิบัติให้เราเหน็ ชดั เจนมากมาย ไดแ้ ก่
53 “การระเบดิ จากภายใน” นีส่ ำคญั ทีส่ ุด เพราะงานทพ่ี วกเราทำกันมา เราชวนกนั มารว่ มคดิ ร่วมทำ ร่วมแลกเปล่ยี นเรียนรู้เพอื่ พฒั นาความคดิ ความรู้ ความเข้าใจเรื่องสุขภาพแบบองค์ รวมและมีการปฏิบัติร่วมกัน เราต้องก้าวข้ามความคิดความเชื่อแบบเดิมๆ ซึ่งต้องอาศัยการ ระเบดิ จากภายใน จึงจะเปน็ การรแู้ ละเขา้ ใจอยา่ งลกึ ซึ้ง “การทำงานแบบองค์รวม” เราขบั เคล่อื นเร่อื งสขุ ภาพดว้ ยเรอื่ งสุขภาวะแบบองค์รวม แต่ก็ ไม่ทิ้งความสำคัญของภาคส่วนหรือสาขาต่างๆที่มีการจำแนกและสถาปนาลงหลักปักฐานไป แล้ว “การยึดประโยชน์ส่วนรวม” การทำงานปฏิรูประบบสุขภาพ ไม่ว่าเรื่องใด มิติใด ล้วน มองประโยชน์ทส่ี ุขภาวะของสว่ นรวมเปน็ เปา้ หมายเสมอ “การมีส่วนร่วม” งานที่เราทำกันมาตลอด เราเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่าง เต็มที่ ทางการบ้าง ไม่ทางการบ้างมากบ้าง น้อยบาง เราได้ใช้ศาสตร์พระราชาข้อนี้ชัดเจน มาก “การพง่ึ ตนเอง” ในการทำงานพัฒนาและขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะเพ่อื สขุ ภาพ หนง่ึ ใน แนวทางที่เราผลักดันเสมอก็คือการพึ่งตนเองมากว่าที่จะรอพึ่งผู้อื่นหรือสิ่งอื่น นี่เป็นเหมือน การทวนกระแสคดิ หลกั ในสังคม ท่พี ระองคท์ า่ นทรงช้แี นะมาโดยตลอด “ความซื่อสัตย์สุจริต จริงใจต่อกัน” การทำงานแบบหุ้นส่วน หรือแบบภาคีเครือข่ายที่เรา ทำกนั การสร้างความไว้วางใจต่อกันสำคัญทส่ี ดุ น่กี ค็ อื การใชศ้ าสตรพ์ ระราชาข้อนนี้ ่นั เอง “รู้-รัก-สามัคคี” เป็นศาสตร์พระราชาที่เราใช้เสริมสร้างการทำงานแบบหุ้นส่วนหรือแบบ เครอื ข่าย คิดต่าง คดิ เหมือน เราทำงานดว้ ยกันได้ เป็นเพือ่ นกันไดท้ ัง้ น้นั “ทำงานอย่างมีความสุข” การทำงานเรื่องสุขภาพหรือสุขภาวะ ไม่ไช่การรอผลลัพธ์ สุดท้ายปลายทาง แต่เป็นการสร้างความสุขตลอดเส้นทางการทำงาน เราคิดและทำกันมา อย่างน้ี ตรงกับศาสตร์พระราชาชัดเจน “ความเพียร” การทำงานขับเคลื่อนการปฏิรูประบบสุขภาพ ต้องนำไปสู่ปรับเปลี่ยนทั้ง ความคิด ความเชื่อ ระบบงานต่างๆ และพฤติกรรมเดิมๆ ไปสู่แนวทาง “สร้างนำซอ่ ม” เปน็ การ “ทวนกระแส” ความเคยชินเดิมๆ เราจึงต้องอาศัยความเพียรอย่างที่สุด แม้ไม่เห็นฝ่ัง หรอื รวู้ า่ ฝั่งยังอย่ไู กล เราก็ต้องพากนั วา่ ยนำ้ ไม่หยดุ โดยหวงั วา่ สักวันหนึง่ จะถงึ ฝัง
54 เหล่านี้คือตัวอย่างของศาสตร์พระราชา ที่พวกเรานำมาใช้ในการทำงานขับเคลื่อน งานปฏิรปู สุขภาพตลอดมา ทา่ นผู้มเี กียรตคิ รบั สุขภาพดีหรือสุขภาวะที่ดีของคน ครอบครัว ชุมชนและสังคม เป็นเป้าหมายใหญ่ เป็นความ ฝันของคนไทย เราทุกคน ทุกองค์กร ทุกภาคส่วนจงึ ตอ้ งรว่ มกันสร้างเสริม และช่วยกันขจดั ปัญหาอุปสรรคที่จะทำให้เราไปไม่ถึง ประเทศไทยเราโชคดีที่มีชัยภูมิที่ดี มีสิ่งดีงามอันเป็น ทุนทางสงั คมอยูม่ าก และเรามเี ครื่องมอื ต่างๆไมน่ อ้ ย พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ เป็นเพียงเครื่องมือเล็กๆชิ้นหนึ่งของคนไทย สามารถเป็นเจ้าของ ร่วมกัน ใช้ร่วมกัน ทำร่วมกัน เพื่อพากันเดินไปสู่ปลายฝัน โดยมีศาสตร์พระราชาของ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภมู พิ ลอดุลยเดช เปน็ เครือ่ งมอื กำกับนำทาง จับมือกันไว้ แล้วไปดว้ ยกันครับ
55 (5) สาธารณสุขละโว้ เท่าทรี่ ู้ เท่าทเ่ีหน็ ทเี่ป็นไป ผมจบไปทำงานเป็นแพทย์ชนบทที่ลพบุรี เมื่อปี 2520 จนถึงปี 2529 แล้วย้ายไป ทำงานท่พี ษิ ณโุ ลก หลังจากนั้นยังคงทำงานอยู่ในแวดวงสาธารณสุข สุขภาพและสังคม ยาวนานรวม แลว้ มากกวา่ 40 ปี ได้รู้ ได้เห็นความเป็นไปของงานสาธารณสุขลพบุรี ทั้งระยะใกล้ตัวและไกลตัว แต่ไม่ เคยไกลใจ เม่อื ยอ้ นทบทวนกลับไป มองเห็นเร่อื งราวท่ีขอเขียนเปน็ บนั ทึกไว้ 3 เรอ่ื ง ดังนี้ หนง่ึ การสาธารณสุขลพบรุ ี มไิ ด้กอ่ กำเนิดสมัยก่อตง้ั กระทรวงสาธารณสุข หรือช่วง การสาธารณสุข 100 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น หากแต่ดินแดนแห่งนี้ เคยเป็นถิ่นฐานของมนุษย์ยคุ ก่อนประวัติศาสตร์ อายุราว 2,500-3,000 ปี มีประจักษณ์หลักฐานอยู่ที่บ้านโป่งมะนาว ตำบลห้วยขุนราม อำเภอพัฒนานิคม ดินแดนที่ผมเคยอยู่ทำงาน แต่ตอนนั้นไม่รู้เรื่องราว เหลา่ น้ันเลย
56 แน่นอนว่า เมื่อดินแดนถิ่นนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์ ก็ยอมมีเรื่องราวเกี่ยวกับ เรื่องสขุ ภาพอนามยั เพียงแตเ่ ราคนรนุ่ หลงั ไมร่ ู้และไม่ไดส้ นใจศึกษากัน ถ้าขยับเข้ามาใกล้ขึ้น ราว 300 ปีในอดีต ก็เป็นสมัยสมเด็จพระนาราย์มหาราช กษัตริยพ์ ระองค์ที่ 27 แหง่ อยุธยา มีการสรา้ ง “วังนารายณร์ าชนิเวศน”์ ทีล่ ะโว้ หรอื ลพบุรี ในปัจจุบัน ถึงวันนี้ยังมีโบราณสถานให้ศึกษาเรียนรู้ ท่องเที่ยวและเชื่อมโยงกับละคร บุพเพสนั นวิ าสอยไู่ ด้ ยุคนั้นการสาธารณสุขก็มีพัฒนาการตามยุคสมัย มีชาวตะวันตกหลายชาติหลาย ภาษา เข้ามาค้าขาย อยู่อาศัยและทำงาน ที่ทิ้งร่องรอยอยู่ก็ ได้แก่ ระบบการประปา การ ใช้ส้วม เป็นต้น และมีการพัฒนาตำหรับยาที่ผสมผสานการแพทย์ตะวันตกกับการแพทย์ พืน้ บา้ นไทย ทเ่ี รารูจ้ กั กันในชื่อว่า “พระโอสถพระนารายณ”์ มี 81 ตำรับ ตวั ยามากกว่า 300 ชนดิ สงิ่ เหล่าน้ีมีความสำคญั ตอ่ การพฒั นาการสาธารณสขุ ในยคุ ตอ่ ๆมา ขยับขึ้นมาราว 80 ปี ยุคที่ประเทศไทยสถาปนาระบบการแพทย์และสาธารณสุข แผนใหม่แลว้ แต่ในสว่ นภูมิภาคและขนบทยังขาดแคลนบริการสาธารณสุข ประชาชนคนไทย ยังมีสุขภาพอนามัยที่ไม่ดี การกระจายบริการทางการแพทย์และสาธารณสขุ มไี ปยังหวั เมือง บางเมืองเทา่ นั้น ยังไม่ท่ัวถึง สมัยนั้นการทหารยังนำหน้าการพัฒนา เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะสงคราม ประเทศไทยก็ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ในด้านสาธารณสุข มีโครงการผลิตแพทย์เสนารกั ษ์หลักสูตร 4 ปี 6 เดือน เพื่อเพม่ิ จำนวนแพทย์สำหรับกองทัพและบริการประชาชนทั่วไป ทำอยู่ได้ 4 รุ่นก็ยุติไป โดยในช่วง นัน้ (พ.ศ.2481) มกี ารก่อตัง้ โรงพยาบาลทหารชื่อ “โรงพยาบาลอานันทมหิดล” ข้ึนทล่ี พบุรี เพ่ือดูแลกำลังพลและครอบครัวซึ่งยา้ ยฐานมาจากกรงุ เทพ มาตงั้ ที่ลพบรุ ี และให้บริการประชาชนทั่วไปในพื้นที่ลพบุรีและจังหวัดข้างเคียง เช่น สิงห์บุรี สระบุรี ซ่ึง สมยั นน้ั ยังไมม่ ีโรงพยาบาลจงั หวัด โดยในช่วงเดียวกันนั้น (รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม) ก็มีนโยบายจัดตั้ง โรงพยาบาลจังหวัดให้ครบทุกจังหวัดทั่วประทศ เป็นที่มาของการกระจายบรกิ ารการแพทย์
57 และสาธารณสุขสู่ภูมิภาค เป็นนโยบายที่มีผลดีต่อประชาชนอย่างมาก ไม่มุ่งการพัฒนา ประเทศอยูแ่ คเ่ ฉพาะในกรุงเทพ อาจารย์หมอประเวศ วะสี เคยเล่าว่า สมัยทำงานเป็นหมอหนุ่มอยู่ที่ศิริราช พบ ผู้ป่วยมะเร็ง เดินทางมาจากจังหวัดทางอิสาน ผัวเป็นโรคตับ เมียหอบหิ้วมารักษาที่ศิริราช สมัยนั้นโรงพยาบาลจังหวัดต่างๆยังมีไม่ครบ ที่มีก็ยังไม่เข้มแข็ง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ในภูมิภาคอีสานยังไมม่ ี หมอรบั ผวั ไว้รักษาตอ่ ในโรงพยาบาล เมยี บอกกับผัววา่ “แกอยู่รักษาตัวไป ถ้าแกหายก็หาทางกลับบ้านเอาเอง ถ้าแกตาย เราก็จากกันเพยี ง เทา่ นี้” เมียตอ้ งเดนิ ทางกลับไปก่อน เพ่ือไปดูแลการงานและลูกๆทท่ี ิง้ ไว้ทบ่ี า้ น นโยบายการกระจายบริการการแพทย์และสาธารณสุขสู่ภูมิภาคและชนบท จึงเป็น นโยบายที่มีคุณค่าต่อชีวติ มนุษย์และสังคมสูงมาก โรงพยาบาลอานันทมหิดล เปิดให้บริการเรื่อยมา เน้นการดูแลกำลังพลของกองทัพ แต่ก็ให้บริการประชาชนทั่วไปด้วย ปัจจุบันเป็นโรงพยาบาลขนาด 320 เตียง มีขนาดเป็น อันดับ 3 ของกองทัพบก ถัดลงมาจาก รพ.พระมงกุฏเกล้า และรพ.ค่ายสุรนารี ท่ี นครราชสีมา จึงขอกล่าวไว้เพื่อจะได้เป็นหลักฐานว่า เมื่อกล่าวถึงการสาธารณสุขจังหวัดลพบุรี อย่าได้เผลอคิดถึงกันแตเ่ ฉพาะงานภายใต้โครงสรา้ งของกระทรวงสาธารณสุขเพยี งเท่าน้นั ที่จริงแล้ว ยังมีพัฒนาการงานเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยของประชาชนอีกมากมาย ไม่ ว่าจะเป็นการอนามัยพน้ื บ้าน (folk Health system) การแพทย์แผนไทย รา้ นขายยา คลินกิ ฯลฯ ที่มีพัฒนาการต่อเนื่อง เป็นระบบสุขภาพนอกภาครัฐอีกมากมาย ซึ่งไม่สามารถหา ข้อมูลและเขียนบันทึกได้ในเวลาจำกัด สมควรที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสนับสนุนให้มี การศึกษาใหล้ กึ ซึ้งในโอกาสต่อไป เพือ่ บนั ทึกไว้ให้คนรุ่นหลังไดเ้ รยี นรดู้ ้วย สอง พัฒนาการสาธารณสุขใต้ร่มเงากระทรวงสาธารณสุข มีผลทำให้ โครงสร้างระบบสาธารณสขุ ของภาครัฐดีเยีย่ ม จากนโยบายจัดให้มีโรงพยาบาลประจำจังหวัดให้ครบทุกจังหวัด ลพบุรีจึงเกิด โรงพยาบาลลพบุรี ขึ้นเมื่อปี 2500 เดิมเรียกว่าเป็น โรงพยาบาลประจำจังหวัด (รพจ.) ต่อมามีการจัดระดับโรงพยาบาล ก็กลายเป็นโรงพยาบาลทั่วไป(รพท.) ปัจจุบันได้รับชื่อ
58 พระราชทานจากในหลวงรัชการที่ 9 ว่า “รพ.พระนาราย์มหาราช” เป็น รพ.ทั่วไปขนาด 444 เตียง ตอนผมไปทำงานอยู่ที่ลพบุรีช่วงปี 2520-2529 มีอาจารย์หมอส่ง ศรีสุภาพ เป็น ผู้อำนวยการ ทา่ นเปน็ ผู้ใหญจ่ ิตใจดี ดูแลชว่ ยเหลอื น้อง ๆดมี าก ซึ่งนอกจาก รพท.ลพบุรีแล้ว อำเภอบ้านหมี่ ยังมีโรงพยาบาลบ้านหมี่ เป็น รพท. แห่งท2่ี ของจงั หวดั ลพบรุ อี กี ดว้ ย แต่เนื่องจากผมทำงานหลักที่รพ.พัฒนานิคม ซึ่งมีพื้นที่ติดต่อใกล้กับ รพ.พระพุทธ บาท ของจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็น รพ.ทั่วไปแห่งท่ี 2 ของสระบุรี และใกล้กับโรงพยาบาล ศูนย์สระบุรี ซึ่งมีการส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อที่รพ. 2 แห่งนี้มากกว่าส่งไปรพ.ลพบุรี จึงคุ้นเคย กับโรงพยาบาลทั้ง 2 แห่งของสระบุรีอย่างมาก สมัยนั้น รพศ.สระบุรี มีอาจารย์หมอแถม ทัพยุทธ์พิจารณ์ เป็นผู้อำนวยการ ที่รพ.พระพุทธบาท มีอาจารย์หมอชลิต ธรรมรักษา เป็น ผู้อำนวยการ ทั้งสองท่านล้วนเป็นผู้ใหญ่ใจดี มีเมตตาสูง ช่วยเหลือน้อง ๆ และพัฒนา บริการเพอื่ ประชาชนดีเยี่ยม ส่วนในระดับชนบทนอกตัวเมืองของจังหวัด กระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนการ พัฒนาสุขภาพอนามัยของประชาชนผ่านระบบสาธารณสุขผสมผสาน มาก่อนหน้านั้นแล้ว มี การจัดตั้งสำนักงานผดุงครรภ์ในพื้นที่ห่างไกล ผลิตผดุงครรภ์ส่งไปทำงานประจำเพื่อดูแล การคลอดและงานอนามัยแม่และเด็ก ซึ่งสมัยอดีตเป็นปัญหาสาธารณสุขขนาดใหญ่ ประชาชนเข้าถึงการคลอดและการดูแลแม่และเดก็ ในระดับโรงพยาบาลไดน้ ้อยมาก กระทรวงมีนโยบายให้กำนันส่งลูกหลานเป็นทุนผูกพันธ์ไปเรียนผดุงครรภ์ พร้อมกับ ก่อสร้างสำนักงานผดุงครรภ์ให้กับราชการ แล้วกระทรวงบรรจุให้เป็นผดุงครรภ์ทำงานท่ี สำนักงานผดุงครรภ์ที่บ้าน (นโยบายนี้ประมาณปี พ.ศ.2497) และมีสำนักงานผดุงครรภ์ แบบที่ไมม่ นี กั เรยี นทนุ ผูกพันด้วย น่นั เปน็ นโยบายการทำงานแบบ “ประชารฐั ” ทีเ่ ปน็ รูปธรรม ซง่ึ มีมานานแลว้ ต่อมาราวปี 2525 มีการยกฐานะสำนักงานผดุงครรภ์ทั่วประเทศเป็น “สถานี อนามยั ”เหมือนกับสถานอี นามัยทัว่ ไปทัง้ หมด ผมออกไปทำงานปี 2520 ก็ยังพบสำนักงานผดุงครรภ์อยู่บ้าง แต่ส่วนมากมีสถานี อนามัยท่ีระดบั ตำบล
59 ผมโชคดีที่ได้ทำงานคลุกคลีกับหมออนามัย ผดุงครรภ์ พยาบาลประจำสำนักงาน ผดุงครรภ์และสถานีอนามัยมากมาย จนกลายเป็นเครือข่ายร่วมทำงานมายาวนานหลาย สิบปี งานของพวกเขาเหล่านี้ เป็นงานแนวหน้าในภาคสนามที่แท้จริง ทำงานเชิงรุกบุกถึง ทุกบ้าน ทำงานส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรคและปัญหาสุขภาพ งานพัฒนาสุขาภิบาล อนามัยสิ่งแวดล้อม งานให้การรักษาพยาบาลพื้นฐาน ซึ่งช่วยประชาชนตามชน บทได้ มากมาย ในรูปของการบริการสาธารณสุขแบบผสมผสาน (Integrated Health Care) ซ่ึง กล่าวว่า งานพัฒนาอนามัยในอดีตที่ประสบความสำเร็จ เอาชนะโรคภัย ปัญหาสาธารณสขุ หลายประเภท พัฒนาสุขภาพอนามัยประชาชนในชนบท ก็ด้วยฝีมือและผลงานของพวกเขา เหล่านเี้ ป็นสำคญั เลยทีเดยี ว ผมเคยจัดงานศพให้หมอ อนามัยชื่อบุญช่วย ทำงานที่ สถานีอนามัยห้วยขุนราม อำเภอพัฒนานิคม เขาถูกยิง ตายระหว่างออกไปทำงานใน พื้นที่ ผมนำธงชาติคลุมโลงศพ ให้เขาโดยไม่ได้ขออนุญาตใคร เพราะเห็นวา่ เขาตายในหน้าที่ ตอนทำงานที่สำนักงาน สาธารณสุขจังหวัดลพบุรี ช่วง ปี 2528-2529 ได้มีโอกาส ออกไปเยี่ยมเยียนสถานีอนามัย ท ุ ก แ ห ่ ง ท ั ่ ว จ ั ง ห ว ั ด ล พ บ ุ รี ประมาณ 100 แห่ง ทำบันทึก ข้อมูลไว้ทุกแห่ง เอกสาร ประวัติศาสตร์เล่มนั้น ผมส่งให้ หอจดหมายเหตุและประวตั ิ สขุ ภาพไทยไปแล้ว
60 ระหว่างออกเยีย่ มสถานีอนามัยทั้งจงั หวดั ผมเคยเขยี นร้อยกลองใหพ้ วกเขาไว้วา่ “สถานอี นามัยใกลช้ าวบา้ น บริการประชาพาสขุ ศรี ขจดั โศกบำรงุ สขุ ทุกชีวี สขุ ภาพดีคือส่งิ หวงั เราตั้งใจ ยอมเหน็ดเหนือ่ ยตรากตรำทำหนา้ ที่ แมว้ ่าซีเราจะตันไมห่ วน่ั ไหว เราขอทำเพ่อื ราษฎร์เพ่ือชาตไิ ทย ขอน้ำใจจากทา่ นเท่าน้นั พอ” ปี 2535 ผมไดร้ บั มอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุขให้เป็นผู้จดั ทำ ”โครงการทศวรรษแหง่ การพัฒนาสถานอี นามยั ” กไ็ ด้อาศัยประสบการณแ์ ละส่งิ ซึมซบั จากอดตี มาเปน็ ฐานในการทำโครงการนด้ี ้วย ถึงวันนี้สถานีอนามัยทุกแห่ง ยกฐานะเป็น “โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล” (รพ.สต.) ไปหมดแล้ว ซึ่งก็คงมีการพัฒนาก้าวหน้าต่อไป เพราะสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรหยุดน่งิ คงท่ี ตายตัว ทีนี้มาเล่าถึงโซ่ข้อกลาง ระหว่างโรงพยาบาลจังหวัด กับสถานีอนามัย ก็ต้องชื่นชม ครูอาจารย์ผู้บริหารสาธารณสุขในอดีต ได้กำหนดนโยบายยกฐานะสถานีอนามัยชั้น1 (มี แพทย์ประจำ) ซ่ึงเรียกช่อื ว่าศนู ยก์ ารแพทย์และอนามยั ท่ตี ั้งอยูต่ ามอำเภอตา่ งๆข้นึ เป็น “โรงพยาบาลอำเภอ” (รพอ.) มีการจัดตั้ง รพอ.ตามอำเภอต่างๆ พร้อมจัดระบบและโครงสร้างการทำงานบริการ การแพทย์และสาธารณสุขผสมผสาน ที่ต้องอาศัยความรู้ความสามารถและสมรรถนะสูง กว่าสถานีอนามัยทั่วไป ทำหน้าที่เป็น “โซ่ข้อกลาง” เชื่อมระหว่างสถานีอนามัยกับ โรงพยาบาลใหญ่ในจังหวัด แพทย์ใช้ทุนของรัฐบาลที่จบใหม่ มีเป้าหมายให้ไปทำงานที่ โรงพยาบาลอำเภอ โดยมีเป้าหมายจัดตั้งให้ครบทุกอำเภอทั่วประเทศ ปัจจุบันมีประมาณ 750 แห่ง ทั่วประเทศ ทำให้ระบบบริการการแพทย์และสาธารณสุขของรัฐไทยมีความครอบคลุม 3 ระดับ ทุกตารางนิว้ ของแผ่นดินไทย คือ มีรพศ./รพท.ทุกจังหวัด มีรพอ./รพช.ทุกอำเภอ มีสถานีอนามัย (รพ.สต.) ทุก ตำบล ปัจจุบันมีบุคลากรทำงานอยู่ในทุกระดับรวมกันหลายแสนคน นับเป็นโครงสร้างที่ดี เย่ียม ไมม่ รี ะบบบริการของรัฐสาขาใดท่ดี ีเชน่ นีอ้ กี แล้ว
61 สมัยผมไปทำงานท่ี รพอ.พัฒนานิคม แกะป้ายศูนย์การแพทย์และอนามัยพัฒนา นิคมออก แล้วเขียนปา้ ยใหมว่ ่า “โรงพยาบาลอำเภอ” ซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเรียกอีกครัง้ วา่ เปน็ “โรงพยาบาลชุมชน”(รพช.) ก็แกะกล่องเครื่องมือแพทย์ เตียงผ่าตัด ฯลฯ จัดอุปกรณ์การแพทย์ หยูกยา เวชภณั ฑ์ จัดระบบบรกิ าร ระบบบริหาร และพัฒนางานด้านต่างๆกันเองทงั้ หมด ผมเคยเขียนคู่มือการเปิดโรงพยาบาลอำเภอใหม่ให้แพทย์รุ่นน้องๆได้เรียนรู้ และ เขียนบทความต่างๆที่เกี่ยวข้องเผยแพร่ไปนานแล้ว นั่นเป็นยุค 2.0 ทุกอย่างเป็นอดีตไป หมดแล้ว วนั น้พี วกเขาตอ้ งหาทางไปใหไ้ กลถงึ 4.0 กนั แลว้ ! ตอนนั้นลพบุรีมีโรงพยาบาลอำเภอ 2 แห่ง ที่ชัยบาดาล มีพี่หมอสุริย์ เป็นผอ. ผม เคยไปเรียนรู้การจัดระบบบริการ ระบบบริหาร มาปรับใช้ และ รพ.โคกสำโรง มีพี่หมอ มารุต วนั แตง่ เป็น ผอ. รพ.พัฒนานิคมเป็น รพอ.สร้างใหม่ เปิดใหม่เป็นแห่งที่ 3 ผมเป็นน้องใหม่ไปทำงาน พี่ก็ส่งเสริมสนับสนุนช่วยเหลือ สมัยนั้นความเป็นพี่เป็นน้องดีเยี่ยม ไหว้วาน เป็นธุระ ช่วยเหลอื กนั เป็นเรอ่ื งธรรรมดา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดก็ใช้งานเราแยะ ให้ช่วยดูแลการทำแผน ทำงานพัฒนา เรื่องนั้นเรื่องนี้ คงเห็นว่าเราจบมาไม่นาน ยังมีไฟแรง แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องที่ใช้งานเรา เราไม่ เคยเรียน ไม่เคยอบรมความรู้มาจากไหน ก็อาศัยทำไปเรียนรู้ไป โชคดีที่มีเพื่อนพ้องน้องพ่ี เครือข่ายแพทย์ชนบทที่รวมตัวเชื่อมโยงช่วยเหลือกันและกัน พัฒนากันและกัน ทำให้พอเอา ตัวรอดมาได้ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดคนแรกที่ผมไปทำงานด้วย คือ อาจารย์หมอประกอบ บุญมงคล ท่านถัดมาคืออาจารยห์ มอปญั ญา ร่นื วงษา และนายแพทย์เรอื งฤทธ์ิ เกษมทรัพย์ ทุกทา่ นเป็นหวั หนา้ เปน็ ครแู ละเป็นพท่ี ด่ี ีมาก ยุคต่อมามีการก่อสร้างโรงพยาบาลอำเภอเพิ่มขึ้นตามลำดับ ก็มี รพ.ท่าวุ้ง, รพ. สระโบสถ,์ รพ. ท่าหลวง, รพ.ลำสนธิ .ทยอยเกดิ ข้นึ ตามมา สมัยนั้น โรงพยาบาลอำเภอพยายามพัฒนายกระดับงานบริการทุกด้านมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยเดินทางเข้าเมืองยากลำบาก บางคนเรารักษาไม่ได้ ขอส่งตัวไปรพ.ใหญ่
62 เขาขอไมไ่ ป ขอตายอยู่กบั เรากม็ ี ไอ้ที่ต้องรกั ษาจนตายคามือจึงมีเป็นธรรมดา ไม่มีว่ากัน ไม่ มีฟอ้ งรอ้ งกัน ห้องผ่าตัดเล็กๆ เราพัฒนาจนผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ ผ่าเอาเด็กออกทางหน้าท้อง ผ่าช่องท้อง ฯลฯ แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปหมดแล้ว ทราบว่าโรงพยาบาลอำเภอ แทบจะไม่มงี านผ่าตดั ใหญแ่ ล้ว นอกจากทำหมัน เยบ็ แผล ผ่าฝี แต่โรงพยาบาลอำเภอหลายแห่ง ก็มีพัฒนางานดีๆรองรับสถานการณ์สุขภาพแบบ ใหม่ เชน่ ทล่ี ำสนธิ มสี รา้ งรูปแบบการบริการสุขภาพผู้สงู อายุ รองรับสงั คมสงู วัยจนเลื่องช่อื ไประดบั ประเทศ เป็นทน่ี า่ ชืน่ ชม ล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2561 ผมไปชวนน้องๆทำโครงการปลูกต้นไม้เพื่อแผ่นดิน ตามรอยพ่อ ที่เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ อำเภอพัฒนานิคม เห็นพี่น้องชาวโรงพยาบาลและ สาธารณสุขอำเภอ รวมไปถึงเพื่อนจากอำเภออื่นด้วย เกาะเกี่ยวเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่าย กับภาคประชาชน อสม.และภาคส่วนต่างๆ ทำงานสาธารณะร่วมกันแล้วชื่นใจ ได้เห็นพลัง ของชาวสาธารณสุขทีล่ พบรุ ีทีเ่ ขม้ แข็งและแผ่กว้างข้นึ งานสาธารณสุข ไม่งานแค่การรักษาบำบัดการป่วยไข้ โรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่เป็น งานสร้างเสริมสุขภาพหรือสุขภาวะทั้งมิติกาย ใจ จิตวิญญาณและสังคม จึงเป็นงานที่กว้าง กว่างานภายใต้ขอบเขตงานของกระทรวงสาธารณสุข การเชื่อมโยงสานพลังทุกภาคส่วนเข้า ดว้ ยกัน จงึ เปน็ แนวทางสำคัญและถูกตอ้ ง ทั้งหมดที่เล่าในข้อสองนี้ เพื่อให้เห็นพัฒนาการและบรรยากาศบางส่วนในยุคนั้น พอ เปน็ กระสาย แตท่ ุกอยา่ งเปลย่ี นไปและพฒั นาไปตามธรรม ไม่ต้องไปยึดตดิ กบั อดตี ครบั สาม สาธารณสุขสร้างคนในท้องถิ่นเพื่อท้องถิ่น เป็นการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมทางสังคมมาช้านาน และมีผลต่อการพัฒนางานแบบยั่งยืน ทลี่ พบุรมี ีเรือ่ งราวทีต่ ้องบันทึกไว้ วันที่เขียนบทความมาถึงตรงนี้ เห็นข่าวทางสื่อมวลชนนำเสนอเรื่องราวที่จังหวัด แม่ฮ่องสอน บอกขาดแคลนครูอย่างมาก เพราะคนที่มาบรรจุเกือบทั้งหมดเป็นคนจากที่อ่ืน เมือ่ ทำงานได้ปีสองปีก็ขอยา้ ยเข้าเมอื งใหญ่หรอื กลับบ้าน คนในทอ้ งถ่ินก็ไมม่ โี อกาสแข่งขนั ไป เรียนครูกลบั มาพัฒนาเมืองเกิด เปน็ ปญั หามาชา้ นาน แก้ไม่เคยได้ ดขู า่ วแล้วก็สะทอ้ นใจ ทำไมไมด่ ูสาธารณสขุ เปน็ แบบอย่าง!
63 ผมกำลงั จะเขียนเลา่ เรือ่ งนี้อยู่พอดี ต้องขอชื่นชมสติปัญญา วิสัยทัศน์และความกล้าหาญของครูบาอาจารย์ ผู้บริหาร กระทรวงสาธารณสุขในอดีต ที่นอกจากท่านแน่วแน่ทำนโยบายกระจายบริการสาธารณสุข สู่จังหวัด อำเภอ ตำบล ทั่วประเทศแล้ว ท่านยังกล้าหาญทำนโยบายรับนักเรียนในพื้นถิ่น เข้ามาเรียนเป็นผดุงครรภ์ พนักงานอนามัย ผู้ช่วยพยาบาล พยาบาล ฯลฯ โดยกำหนด โควตาแลว้ ใหม้ กี ารสอบคดั เลือกกันเองที่จังหวัด ไม่ต้องไปแข่งขันกับคนท้ังประเทศ ซึ่งคนใน เมือง ลูกคนมีโอกาสทางสังคมกช็ นะเสมอ ด้วยนโยบายและวิธีการนี้ ทำให้คนในพื้นถิ่นจังหวัดทุกจังหวัด มีโอกาสสอบแข่งขัน กันเองเข้าศึกษาเป็นบุคลากรสาธารณสุข ไปเรียนที่วิทยาลัยที่กระทรวงสาธารณสุขผลิตเอง ซึ่งตั้งอยู่ในส่วนภูมิภาคเกือบท้ังหมด จึงผลิตคนไดส้ อดคล้องกบั การทำงานจริงในพ้ืนที่ตา่ งๆ เมอื่ เรียนจบกใ็ หก้ ลับไปบรรจุเป็นข้าราชการทำงานในจังหวดั ภูมิลำเนา ภาษาอังกฤษ เรียกว่าเป็นระบบ “Local recruitment, Regional training and Hometown placement” นโยบายนี้ กระทรวงสาธารณสุขทำมายาวนานหลายสิบปีแล้ว สามารถคัดคนในพ้ืน ท่ีมาเรียนแลว้ กลบั ไปทำงานตามภมู ลิ ำเนารวมแลว้ หลายแสนคน รุ่นแรกๆทำงานในพนื้ ท่ี จน เกษยี ณอายรุ าชการไปทำงานเป็นแกนนำ เป็นพลงั ของชมุ ชนทอ้ งถิ่นมากมายในปจั จุบัน สมัยผมไปทำงานท่ีลพบรุ ี แตล่ ะปีก็มีหน้าท่ีช่วยงานสำนกั งานสาธารณสขุ จงั หวัด จดั สอบคัดเลือกนักเรียนในจังหวัดเข้าศึกษาในวิทยาลัยพยาบาล วิทยาลัยสาธารณสุขต่างๆ ทุกปี ปีละเป็นร้อยคน ตามประเภทและโควตาที่กระทรวงจัดสรรให้ เป็นงานที่เหนื่อย สนุก ได้ประสบการณ์ และภาคภูมิใจที่ได้มีโอกาสอำนวยความยุติธรรม และเสริมสร้างโอกาส ใหก้ ับเยาวชนในพืน้ ที่ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและทางสงั คมได้อยา่ งย่งั ยนื ที่ว่าเหนื่อยเพราะสมัยนั้นยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้ การทำงานทุกอย่างทุกขั้นตอนจึง ตอ้ งใชร้ ะบบ manual ทงั้ หมด ไม่วา่ การตรวจขอ้ สอบ การเรยี งลำดับคะแนน ฯลฯ เคยมีพยาบาลคนท้องถิ่นที่สอบไปเรียนพยาบาลกลับมาบรรจุทำงานที่โรงพยาบาล อำเภอบ้านตัวเอง มาปรึกษาผมว่า ลูกสาวจะจบมัธยมปลายแล้ว ลุงหมอว่าควรให้ไปสอบ เรียนอะไรดี ได้แนะนำไปว่า ถ้าอยากให้ลูกทำงานที่บ้านเกิด เพื่อบ้านเกิด หรืออยากให้ไป เรียนแล้วหายเข้ากลีบเมฆ ลองคิดเอาเอง ถ้าอยากให้อยู่พื้นถิ่น ทำงานที่บ้านเกิด เพื่อบ้าน เกิด ทำงานสร้างสุขภาพ สร้างสังคมแบบแม่ ก็ลองไปสอบของกระทรวงสาธารณสุข ถ้า ไมเ่ ช่นนั้นก็ใหไ้ ปสอบเข้ามหาวิทยาลัยตามระบบกระแสหลัก
64 หลายปีผ่านไป ผมไปลพบุรี มีพยาบาลเด็กๆมายกมือไหว้ แนะนำว่าหนูคือเด็กคนที่ แม่เคยปรึกษาลุงหมอ วันนี้หนูจบพยาบาลมาทำงานอยู่ที่รพ.ชุมชนแล้ว อีกไม่กี่ปีแม่ก็จะ เกษียณแล้ว หนกู ็จะทำงานตอ่ ไป ไม่เพียงเท่านั้น ที่ลพบุรีมีเรื่องราวดีๆที่งดงามเกิดขึ้นอีก กล่าวคือ เมื่อราว 40 ปี ก่อน มหาวิทยาลัยมหิดลมีความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุขในการพยายามแก้ปัญหา ขาดแคลนแพทย์ในชนบท ซึ่งนอกจากรัฐบาลมีนโยบายในแพทย์จบใหมท่ กุ คนไปทำงานชดใช้ ทนุ คนละ 3 ปแี ล้ว กม็ กี ารทำโครงการคดั เลือกนักเรยี นมัธยมปลายที่เปน็ เดก็ ประพฤติดแี ละ เรียนดีในบางจังหวัด เข้าเรียนแพทย์ที่รามาธิบดีและศิริราช หนึ่งในนั้นคือจังหวัดลพบุรี วิธีการคัดเลือกทำกันอย่างประณีตมาก นอกจากดูผลการเรียน ความประพฤติ สัมภาษณ์ แล้ว ยังมีกรรมการลงดูถึงบ้านและชุมชนข้างเคียง สัมภาษณ์คนข้างบ้าน ฯลฯ แต่ละปีคัด เพียง 1-2 คน ต่อจังหวัด เรียนจบแล้วต้องกลับมาบรรจุทำงานใช้ทุนที่โรงพยาบาลชุมชน จงั หวดั ภมู ลิ ำเนา ตั้งแต่ผมไปทำงานปีแรก ได้พบน้องนักเรียนแพทย์ตามโครงการนี้ ซึ่งเขาต้องกลับไป ฝกึ งานกบั รุ่นพี่ทโ่ี รงพยาบาลชุมชนในช่วงหยุดเทอมของทกุ ปี ทำให้ผมคุ้นเคยกับน้องๆแพทย์ชนบททุนลพบรุ ีกลุม่ นี้หลายคนเร่ือยมายาวนาน ซ่ึงแต่ ละคนได้พสิ จู นใ์ ห้เหน็ ถึงความมุง่ มัน่ ตงั้ ใจทำงานเพอ่ื บา้ นเกดิ อยา่ งจริงจงั และต่อเนื่อง หลาย คนเป็นแพทย์ทำงานในจังหวัดอย่างยาวนาน ไม่ทิ้งถิ่นหนีไปไหน หลายคนเติบโตเป็น นายแพทย์สาธารณสุขจงั หวัด บางคนเติบโตไปถึงรองปลดั กระทรวงก็มี อยากจะบอกว่า แนวคิดปรัชญาของโครงการชัดเจนดีมาก คณาจารย์คัดคนไม่ผิด ผลของโครงการในระยะยายสำเรจ็ งดงาม แต่น่าเสียดายที่โครงการดๆี อย่างนี้ได้เลิกไปนาน แลว้ แต่ต่อมามีการพัฒนาแนวคิดไปสู่โครงการผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาววชนบท ซึ่งผมได้มี โอกาสเข้าไปร่วมผลักดันนโยบายและการปฏิบัติอยู่ 4-5 ปี และมีโครงการอื่นๆตามมา ซึ่ง ไมข่ อกล่าวถึงในบทความนี้ ถา้ มมองในภาพใหญ่ จะเหน็ ไดว้ ่า การที่กระทรวงสาธารณสขุ ตดั สนิ ใจคัดเด็กในพนื้ ท่ี ไปเรยี นแพทย์ พยาบาล สาธารณสุขสาขาต่างๆ แลว้ ส่งกลับไปทำงานในพืน้ ที่ หลายสิบปีท่ี ผ่านมาจนถึงวันนี้ ผลิตคนไปทำงานเป็นเรือนแสนแล้ว เป็นความสำเร็จที่งดงาม เป็นงานที่ ยง่ิ ใหญม่ าก
65 ความสำเร็จของงานพัฒนาสาธารณสุขมากมาย การเอาชนะโรคภัยไข้เจ็บและ ปัญหาสาธารณสุขสำคัญๆมากมาย ส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากนโยบายเรื่องการสร้างคนของ ชมุ ชนทอ้ งถนิ่ เพ่อื ชมุ ชนท้องถิน่ น่เี อง บทเรียนดๆี อย่างนี้ การปฏริ ปู ประเทศ เพือ่ ลดความเหล่อื มล้ำ เพมิ่ ความเป็นธรรม ทำไมไมน่ ำไปพัฒนาต่อยอด ทำไมยังมุ่งที่ระบบแพ้คัดออก ระบบที่ให้คนมีโอกาสมากกว่า คนในเมืองใหญ่ ใน เมืองหลวงไดโ้ อกาสมากขนึ้ ไปอีก? สง่ ทา้ ย ด้วยระบบการอภิบาล ประเทศไทยแบบรัฐเดยี ว ละโว้หรือลพบุรี ก็เป็น ส่วนหนึ่งของประทศไทย ดังนั้นนโยบาย เรื่องราว และงานต่างๆ ส่วนมาก แยกกันได้ยากกับงานใน ภาพใหญ่ของประเทศ แต่ลพบุรีก็เหมือนจังหวัด อื่นๆ ที่ย่อมมีความ แตกต่างในรายละเอียด บางเรอ่ื งบางดา้ น เมอื่ มองแบบมี “พ้นื ท่เี ป็นฐาน” การที่ผมได้มีโอกาสไปทำงานที่ลพบุรีระยะหนึ่ง มีโอกาสทำงานที่กระทรวง สาธารณสุขและทำงานปฏิรูประบบสุขภาพและสังคมมานานพอสมควร และยังคงมี ความคุ้นเคยเชื่อมโยงกับเพื่อนพ้องน้องพี่ภาคีเครือข่ายในลพบุรีอยู่บ้าง จึงไม่ถือว่าตัดราก ขาดจากกนั อยา่ งสนิ้ เชิง ก็ทำให้รำลึกถึงลพบรุ อี ยู่เสมอ แบบทเ่ี รียกวา่ “ไมเ่ คยไกลใจ” บทความนี้จึงเขียนแบบรำพึงรำพัน ถึงลพบุรีบ้าง นอกลพบุรีบ้าง ตามที่น้องๆบังคบั ใหเ้ ขียน ชอบไม่ชอบก็ไม่ว่ากันนะครบั
66 หนังสอื พิมพ์ไทยรัฐ 12 เมษายน 2560 เกีย่ วกับผเู้ ขยี น นายแพทยอ์ ำพล จนิ ดาวฒั นะ เป็นลูกนายทหารที่มาจากชั้นประทวน จบชั้นประถมที่ผดุงศิษย์พิทยา บางซื่อ, จบม.ต้น และม.ปลาย ที่โยธินบูรณะ, จบแพทยศาสตร์ที่ศิริราช, จบปริญญาโทสาธารณสุข ที่มหิดล และที่สถาบันโรคเขตร้อน ประเทศเบลเยี่ยม, ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน และสาขาเวชศาสตร์ครอบครวั จากแพทยสภา (เทยี บเท่าปรญิ ญาเอก) เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มอาสาและค่ายอาสา ม.มหิดล, ประธานชมรมแพทย์ชนบท, อดีต ผอ.โรงพยาบาลชุมชน 2 แห่ง ที่ลพบุรี (พัฒนานิคม และโคกสำโรง) ผอ.สำนักส่งเสริม วิชาการและบริการสาธารณสุข 2 จังหวัด (ลพบุรี และพิษณุโลก), นายแพทย์สาธารณสุข จงั หวดั 3 จงั หวดั (ยโสธร, พษิ ณโุ ลก และอุดรธานี), ผอ.กองการสาธารณสขุ ต่างประเทศ, เคยเป็นนายแพทย์ใหญ่ กรมควบคุมโรคติดต่อ, ผอ.สถาบันพระบรมราชชนก เพื่อการ พัฒนากำลังคนด้านสาธารณสุข, นักพัฒนาทรัพยากรบุคคล ระดับ 10, โฆษกกระทรวง
67 สาธารณสุข, ผอ.สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพ (สปรส.), เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพ แหง่ ชาติ, นักวชิ าการสาธารณสุข ระดบั 11, เคยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), กรรมการกองทุนพัฒนาการเมือง, กรรมการสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน (มหาวทิ ยาลยั ชีวิต), ประธานกรรมการบรหิ าร องค์การเภสัชกรรม, เคยเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และประธานกรรมาธิการการปฏิรูปด้านสังคม และชมุ ชน, สมาชิกสภาขบั เคลอื่ นการปฏิรปู ประเทศ (สปท.), ผู้ทรงคุณวฒุ ิในคณะกรรมการ ปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการปรองดอง (ปยป.), กรรมการปฏิรูปประเทศด้าน สังคม, ประธานอนุกรรมการตดิ ตามการขบั เคลอื่ นนโยบายรัฐบาลเชิงพ้ืนที่ เป็นสมาชิกวุฒิสภา (2562-ปัจจุบนั ) เคยได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น และศิษย์เก่าเกียรติยศ คณะสาธารณสุขศาตร์ ม.มหิดล, ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ม.ราชภัฎเชียงราย และนักการสาธารณสุขดีเด่น (ด้านบริหาร) รางวัลชยั นาทนเรนทร เป็นนักบริหารกิจการสาธารณะ, ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข, สังคมและชุมชน ประชาสังคม งานรฐั สภา และการปฏิรปู ภรรยา คือ คุณวงเดือน (แฝงสีคำ) จินดาวัฒนะ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญ พิเศษหวั หนา้ กลุ่มงานพฒั นาระบบบริหาร กรมการแพทยแ์ ผนไทย บุตรสาว: แพทย์หญิงอิษฏา (จินดาวัฒนะ) กุลกลการ และบุตรชาย: นายแพทย์ชญงค์ จินดาวัฒนะ
Search