51 สงั คมสงู วยั ผมขอเริ่มต้นด้วยการย้ำความเข้าใจให้ตรงกันว่า “เรื่องสังคมสูงวัย” ว่าไม่ใช่แค่เรื่องกิจการผู้สูงอายุ ไม่ใชป่ ระเดน็ แคเ่ รื่องผู้สงู อายุ หากแต่เรื่องสังคมสูงวัย เป็นเรื่องการเปลี่ยนผ่านใหญ่ของสังคม ที่เกิดจากโครงสร้างประชากร เปลี่ยนแปลงอย่างมาก มีผลกระทบทุกคน ทุกระบบ ทั้งองคาพยพของสังคม จำแนกเป็น 4 ด้าน คือ ดา้ นเศรษฐกจิ ด้านสงั คม ด้านสขุ ภาพ และดา้ นสง่ิ แวดลอ้ มรวมทงั้ สภาวะแวดลอ้ มทั้งมวล “สังคมสูงวัย” จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับทุกคน ทุกระบบในสังคม ซึ่งเรื่องนี้ได้ถูกหยิบยกขึ้นมา พิจารณาเป็นทางการครั้งแรก โดยพัฒนาเป็น “ข้อเสนอเพื่อการปฏิรูประบบรองรับสังคมสูงวัย” ใน สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เมื่อปี 2558 มี ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เป็นประธาน ผมเป็นประธานกรรมาธิการ ปฏิรูปด้านสังคม ทำหน้าที่อำนวยการให้เกิดการพัฒนาข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งมีผลทำให้เกิดการขยับขับเคลื่อน เรื่องนม้ี าตามลำดับจนถึงวันน้ี ดังท่ที า่ นรองนายกรัฐมนตรี (นายจรุ ินทร์ ลักษณวศิ ษิ ฏ)์ เลา่ ไปบางส่วนในตอน ทที่ ่านกลา่ วเปดิ งานไปแล้ว วันน้ี ผมไม่ขอลงรายละเอยี ดในเร่อื งน้ีสงั คมสงู วัย 4 มิติ นะครับ
52 โครงสรา้ งประชากรไทย ขอพาท่านไปดูข้อมูลเกี่ยวกับประชากร คือ ดูที่ปิรามิดประชากร มองย้อนไปเมื่อราวๆ 60 ปีก่อน สมยั นั้น “เด็กเกดิ ล้าน สูงวยั น้อย” ไปไหนมาไหน เจอเดก็ เต็มไปหมด เปน็ ยุคลกู มากยากจน พอเวลาผ่านมา 20 ปี 40 ปี 60 ปี นโยบายวางแผนครอบครัวของไทยเราประสบความสำเร็จดีมาก ในขณะเดียวกนั คนไทย มีอายุยืนยาวขึ้นกว่าในอดีตมาก เกิดสภาวะ “เด็กเกิดลด สูงวัยล้น” ปิรามิดประชากรเปลี่ยนจากรูปเจดีย์ เปน็ หวั คฑา ซึ่งมีแนวโนม้ วา่ หัวคฑาจะโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงวันนี้ ประเทศไทยเรา มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป เกือบทะลุร้อยละ20 แล้ว อีกเพียง 20 ปีจากน้ี ไป เราจะมคี นอายุ 60 ปี ขึน้ ไป ถึงร้อยละ 30 สงั คมไทยไม่เหมือนเดมิ อกี ต่อไป ดูข้อมูลภาพฉายท่ี 4 ยิ่งตอกย้ำว่า ไม่ใช่แค่ประชากรสูงวัยมีสัดส่วนเพิ่มมากและเร็วเท่านั้น แต่เด็ก เกิดลดลงอยา่ งมาก ปี 2562 เด็กไทยเกดิ 9.1 ต่อประชากร 1,000 คนเท่านั้น ซี่งลดลงมาตามลำดับ
53 ทุกวันนี้ ไปที่ไหน ๆ เจอเด็กน้อย เจอผู้สูงอายุมาก จะคล้ายประเทศญี่ปุ่นเข้าไปทุกที ที่นั่น ในบาง ชุมชนแทบไม่มีเด็กเลย วัยกลางคนก็มีไม่มาก มีแต่ผู้สูงอายุอาศัยอยู่และทำงานตามลำพัง บางครอบครัวมี ผสู้ ูงอายุดูแลผูส้ ูงอายุ บา้ นเราก็เริ่มเปน็ แบบนนั้ แล้ว คำถามตามมาว่า สังคมจะอยู่กันอย่างไร จะต้องปรับตัวกันอย่างไร ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดและ เตรียมตัวตง้ั แต่วันนี้ ท่านผู้มีเกียรติครับ ทีนี้ลองมาดู ข้อมูลบนภาพฉายที่ 5 อาจจะเก่าไปสักนิด แต่เป็นข้อมูลที่ดีมาก พบว่าผู้สูงวัย (ซึ่งตามกฎหมายไทย เรายังนับที่อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีประมาณ 10 ล้านคน กว่าร้อยละ 80 ยัง อยูใ่ นสังคม (ท่ีเรยี กว่ากลุม่ ติดสังคม) กลมุ่ น้ยี งั ชว่ ยตวั เองได้ดี ไปไหนมาไหนได้ ยังทำงานการงานต่างๆได้ ที่ชรามากหน่อยต้องพึ่งพิงคนอื่นมากขึ้น คือพี่งพิงบางส่วน (ที่เรียกว่าติดบ้าน) ไปไหนมาไหนไม่ค่อย สะดวกแล้ว มีประมาณร้อยละ 10 กว่า ส่วนท่ีชรามากกว่านั้น ช่วยตัวเองได้น้อยแล้ว หรือช่วยตัวเองไม่ได้ แล้ว เป็นช่วงบั้นปลายชีวิต (ที่เรียกว่า ติดเตียง) กลุ่มนี้ไม่มาก แต่ต้องการการดูแลมาก นี่คือโครงสร้างของ กล่มุ ผ้สู งู วัย ที่ผมอยากให้ดูเป็นพิเศษ คือข้อมูลด้านซ้ายมือ น่าสนใจมาก คือเรามีคนอายุ 45- 60 ปี ถึงประมาณ 14 ล้านคน ท่ีเรียกว่า “สูงวัยสำรอง” เวลาผ่านไปอีกเพียงประมาณ 10 ปีเศษ เป็นเวลาไม่นานเลย คนกลุ่ม นจี้ ะกลายมาเป็นผูส้ ูงวยั ทั้งหมด เป็นคลืน่ ระลอกใหม่ของผู้สงู วยั ถมทับเข้ากับคลนื่ ผู้สงู วัยในปัจจบุ ัน คนกลุ่มน้ีกำลังก้มหน้าก้มตาทำงานกันหนัก หากเตรียมตัวไม่ดี ทั้งในระดับบุคคลและในเชิงระบบ อาจจะกลายเป็นผ้สู งู วัยทยี่ ากลำบาก แตก่ ็อาจเป็นผู้สูงวยั ที่มคี ณุ ภาพชวี ิตทดี่ ีได้ ถ้าเตรียมตัวดี
54 สงั คมสงู วัย กระทบใครมากกว่ากัน ผมลองเขียนออกมาให้เข้าใจงา่ ยๆ เริ่มต้นดูที่ กลุ่ม C คือ กลุ่มผู้สูงอายุ ผมอยู่ในกลุ่มนี้ครับ สังคมสูงวัยกระทบคนกลุ่มนี้น้อยสุด เพราะ อยู่กันอีกไม่นานก็จากไปแล้ว เพียงแต่ว่าผู้ที่เตรียมตัวไม่พร้อม ที่เรียกว่า “จนก่อนแก่” ก็ได้รับผลกระทบ มากหน่อย กลุ่ม B คือ กลุ่มวัยทำงาน วัยกลางคน ชีวิตท่านเดินมาถึงจุด B แล้ว แต่ยังต้องอยู่อีกนาน ยิ่งเมื่อคน ไทยมีอายุคาดเฉลี่ยยืนยาวขึ้น พวกท่านจะได้มีชีวิตอยู่ถึง 80 ปี ส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ถึง 90 ปีได้ง่ายๆ หมายความว่าท่านอาจจะต้องอยู่ในช่วงชีวิตสูงวัยนานถึง 30 ปีก็เป็นได้ ถ้าไม่เตรียมตัวให้ดี ไม่เตรียมตัวให้ พร้อม จะลำบากนะครับ กลุ่ม A คือเด็กเกิดใหม่ หรือคนวัยเด็ก วัยเยาวชน กลุ่มนี้ชีวิตเพิ่งเริ่มต้น แต่ยังต้องอยู่ไปอีกนานมาก บางคนอาจมีโอกาสอยู่ถึง 100 ปีก็ได้ คืออาจจะต้องมีช่วงชีวิตสูงวัยนานถึง 30-40 ปีกันเลยทีเดียว สังคมสูง วยั กระทบกลุ่มน้ีมากที่สุดนะครับ มีบางท่านบอกว่า ไม่เห็นจะยากอะไร ก็ขยับการกำหนดอายุผู้สูงวัยจาก 60 ปี ไปเป็น 65 ปี หรือ 70 ปี หรือ 75 ปี สัดส่วนคนสูงวัยก็จะลดลง หรือเพิ่มช้า นั่นอาจจะทำได้ แต่เราปฏิเสธความจริงไม่ได้อยู่ดี น่ัน คือความจริงที่ว่าสังคมมีคนอายุมากจำนวนมาก คนอายุน้อยมีน้อย สังคมก็ไม่เหมือนเดิม โครงสร้างสังคม โครงสร้างการทำงาน โครงสร้างเศรษฐกิจ โครงสร้างทุกระบบจะแตกต่างไปจากปัจจุบัน ดังนั้น สังคมจะ พัฒนาไปได้อย่างเหมาะสม ต้องมีการปรบั ตวั กนั อีกมาก
55 มุมมองด้านการทำงาน เพื่อเป็นการเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับการทำงานในยุคสังคมสูงวัย เพื่อเป็นประเด็นขบคิดกันต่อไป ดังน้ี ท่ีผ่านมา เรานยิ ามวัยแรงงานไว้ทอ่ี ายุ 15- 60 ปี ตายตวั มานาน ซ่งึ เริ่มจะไมเ่ ป็นความจริง บ้านเรา กว่าจะให้คนทำงานจริง ก็เข้าไปที่อายุเลย20ปีไปแล้ว เราส่งเสริมให้เด็กเรียนหนังสือกัน ยาวนาน เน้นให้ “เรียนหนังสือ โดยไม่ทำงาน” แยกส่วนการเรียนกับการทำงานตายตัวเกินไป เกิดค่านิยม “ลกู คณุ หนู” เตม็ บา้ นเต็มเมอื ง พร้อมๆกันนี้ ก็มีค่านิยมว่า คนสูงอายุให้ “นั่งกินนอนกิน เลี้ยงหลานไม่ต้องทำงาน” ซึ่งเป็นค่านิยม ทไ่ี ม่ถกู ตอ้ งนะครบั
56 ดูภาพฉายที่ 8 เพ่ิมเติม จากการสำรวจและคำนวณโดยธนาคารแห่งประเทศไทย จะเห็นว่าคนทำงาน จรงิ ๆเริ่มนบั ราวๆ อายุ 25 ปี ขึน้ ไป ถึง 60 ปี ซึ่งเปน็ ช่วงวัยทำงานท่ีแคบมาก ผชู้ ายทำงานมากกวา่ ผ้หู ญงิ ซ่ึง อาจไม่จริง เพราะผู้หญิงทำงานบ้าน เลี้ยงลูก ดูแลครอบครัว เรากลับไม่มองว่าเป็นการทำงานตามนิยามการ ทำงานทางเศรษฐกิจ ซึ่งที่จริงก็เป็นการทำงาน อีกทั้งเป็นงานที่มีคุณค่าสูงมาก และควรคิดเป็นมูลค่าการ ทำงานด้วย สำหรับเด็ก เรากไ็ มเ่ คยมองวา่ มีส่วนทำงานเพิม่ คณุ ค่าและมลู ค่าทางเศรษฐกิจดว้ ยเลย จากขอ้ มลู คนทอ่ี ายุ 60 ปีขึ้นไป สัดสว่ นการทำงานลดลงไปมาก เพราะเราถือวา่ เขา้ สู่วยั เกษียณแล้ว จึงไมส่ ่งเสริมให้ทำงาน ซ่งึ ไมน่ ่าจะถกู ตอ้ ง ท่ีนก้ี ลบั มาดู ภาพฉายที่ 7 อกี ครั้ง ผมขอเสนอ มุมมองการทำงานใหม่ ไม่ผูกการทำงานไว้ท่ีอายุ 15 - 60 ปี เท่านั้น ทุกคนทำงานได้ และควรทำงาน ตง้ั แต่เด็กไปจนถึงผูส้ ูงวัย ทำงานไปจนกวา่ จะทำงานไม่ไหว เราต้องสรา้ งทัศนคตใิ หม่ วา่ “คนทกุ วยั คอื วัยทำงาน” ส่งเสริมเด็กทำงานที่เหมาะสมและท่ีควรทำ ซึ่งจะได้ทั้งงานและได้เรียนรู้จากการทำงาน ช่วยพ่อแม่ ทำงานบ้าน รู้จักทำมาค้าขายเล็กๆน้อยๆ ช่วยทำไร่ทำสวน ฯลฯ เป็นงานได้ทั้งนั้น เด็กไทยก็จะเก่ง และได้ ช่วยพัฒนาประเทศ ไม่ไชเ่ น้นใหเ้ รยี นแต่หนังสอื กันอย่างเดยี ว เด็กนักเรียนญี่ปุ่น รู้จักเลี้ยงไก่ เก็บไข่ไปขายเพื่อน เด็กนักเรียนเวียดนาม รู้จักลงไร่นา ช่วยพ่อแม่ทำ เกษตรกรรม เกบ็ พชื ผลไปขาย ฯลฯ เปน็ การทำงานท้ังนัน้
57 คนวัยสูงอายุ ที่ยังอยู่ในช่วงต้น คือกลุ่มติดสังคม ก็ยังควรนับเป็นวัยทำงาน ไม่มีวันเกษียณ ไม่ควร หยุดทำงาน ควรส่งเสริมให้ทำงานที่เหมาะสมกับอายุ สภาพร่างกาย และประสบการณ์ที่มีมากมาย โดย ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต ให้เท่าทันยุคสมัย ควรวางเป้าหมายให้ทุกคนทำงานไปได้ถึง 70-80 ปี หรือ จนกว่าจะทำงานไมไ่ หวจรงิ ๆ ทุกวนั น้ี เรามขี า้ ราชการเกษียณ รฐั จ่ายบำนาญให้อยู่บ้านเฉยๆ ไมม่ งี านอะไรใหท้ ำ เรามีเกษตรกรสูง วัยที่ยังต้องทำงานหนักด้วยวิธีการเทคโนโลยีเดิมๆ ในขณะที่เรายังพัฒนาระบบให้คนสูงวัยได้ทำงานอย่าง เหมาะสมไม่ทนั ทว่ งที ทัศนคติใหม่นี้ สงั คมก็ต้องจัดระบบรองรับการทำงานของคนทุกช่วงอายุ และมีการพัฒนาความรู้และ ทักษะการทำงาน ให้สอดคล้องเหมาะสมกับช่วงวัยและสอดคล้องกับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ดว้ ย มุมมองด้านสังคม ที่ผ่านมา เรามีแนวโน้มมองเรื่องราวต่างๆแบบแยกส่วน มองคนก็แยกเป็นช่วงวัย ข้อดีคือ ทำให้มอง เฉพาะเรื่อง เฉพาะกลุ่มนั้นๆชัดเจนขึ้น แต่ก็อาจกลายเป็นจุดด้อย คือมองแยกจากความเป็นจริงที่เป็นองค์ รวม มปี ราชญก์ ลา่ วไวว้ ่า “ อะไรท่ี ชำแหละ แยกส่วน ฉกี ขาดออกจากกัน จะไร้ชีวิต อะไรท่ีเชื่อมโยง สานเสรมิ รวมกัน เป็นองค์รวม จงึ จะมชี วี ิต”
58 ฉะนั้น การมองมิติด้านสังคม สำหรับสังคมสูงวัย ไม่ควรแยกส่วนผู้สูงวัยออกมาโดดๆ ควรมองแบบ เชือ่ มคนทุกชว่ งวยั เข้าด้วยกนั มีตวั อย่างท้งั ดแี ละไม่ดเี กิดขน้ึ มาก แตไ่ ม่มีเวลายกตวั อย่างในวนั นคี้ รับ มุมมองด้านสขุ ภาพ ท่านผู้มีเกียรติครับ จงอย่ารอให้เข้าสู่สูงวัยแล้วถึงค่อยใส่ใจเรื่องสุขภาพ เราต้องสนใจเรื่องสุขภาพ ตั้งแต่วัยเด็กและทุกวัย โดยเน้นการ “สร้างนำซ่อม” เพื่อสะสมทุนสุขภาพ อย่ารอให้สุขภาพเสียแล้วจึงจะ ซ่อม อีกประการหนึ่งคือ เราต้องมีหลักในการดำเนินชีวิตเพื่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงวัย โดยต้อง สร้างสมดุล พอดีพอเพียง ระหว่าง (1) สุขภาพ (2) ครอบครัวญาติมิตร (3) การงานที่เป็นสัมมาชีพเพ่ือ ตนเองและเพื่อสังคม และ (4) การหาปัจจัยดำรงชีวิตที่พอดีพอเพียง อย่าให้ส่วนใดพร่องไป และก็ไม่ จำเป็นที่ต้องให้มีสว่ นใดที่ลน้ เกนิ สมดุลการดำเนินชีวิต คือคำตอบของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ทุกคน ทุกวัยสร้างได้ ซึ่งไม่มีใครสร้าง แทนไดค้ รบั
59 มมุ มองด้านสง่ิ แวดล้อม ผมขอฝากว่า ไม่ใช่แค่มุ่งการพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อผู้สูงวัย และเป็นมิตรต่อคนทุกช่วงวัย ท่ี เรยี กว่า อารยสถาปัตย์ หรือ Universal Design เท่าน้นั แต่การพัฒนาสำหรับอนาคต ต้องคิดถงึ โลก (Planet) ต้องช่วยกันสรา้ งโลกให้น่าอยู่ พัฒนาอย่างเป็น มิตรกับโลกด้วย เพื่อไม่ให้โลกป่วย ซึ่งจะกระทบกลับมาที่ทุกคน ทุกวันนี้โลกป่วย เราต้องช่วยกันรักษาโลก ดว้ ย เพ่ือให้โลกอุ้มชูเรา เราจงึ จะมคี ณุ ภาพชีวติ ท่ีดีได้ สรปุ มมุ มองตอ่ สงั คมสงู วัย
60 ผมขอสรุปสงิ่ ที่พูดไปแล้ว 8 ประการดังนี้ • ตอ้ งสร้างสัมมาทิฐริ ว่ มกนั ในเร่ืองต่างๆที่เกยี่ วขอ้ งกับเรือ่ งสังคมสงู วัย • ตอ้ งปรับนโยบายและระบบตา่ งๆในสังคมเพอ่ื รองรับสังคมสูงวยั ให้เหมาะสมและเท่าทนั • เป็นเร่อื งของทกุ คน ทกุ องคก์ ร ต้องตระหนกั รู้และเตรยี มตวั รองรับสงั คมสงู วัย • ต้องเสริมสรา้ งใหค้ นรุ่นใหม่ เกง่ และดกี วา่ คนรุ่นเกา่ สงั คมจึงจะเจริญ • ต้องหันมาใช้หลักคิดที่ว่า คนทุกวยั ต้องทำงาน ไมม่ ีเกษยี ณ • ใช้หลักการพัฒนาแบบพอดีพอเพียง พึ่งตนเองให้มาก ไม่ต้องวิ่งตามใคร พัฒนาสังคมและ ประเทศให้สอดคลอ้ งกบั จดุ แข็งของไทย • คนทุกคนต้องรู้จักการออม ได้แก่ ออมสุขภาพ ออมปัญญา ออมทรัพย์ ออมความดี เราต้องทำ เอง ไมม่ ใี ครทำแทนใหเ้ ราได้ • รัฐตอ้ งจดั ระบบสวสั ดิการสังคมท่เี หมาะสมกับสังคมไทยที่กลายเปน็ สังคมสงู วัยไปแล้ว
61 รบั มอื โควิด ก่อนจะจบ ผมขอพูดเรื่องโควิดสักเล็กน้อย เนื่องจากมีคำนี้อยู่ในหัวข้อปาฐกถา โควิดเป็นโรคระบาด ใหม่ที่กระทบกับคนทั้งโลก เรียกได้ว่าเป็น “สงครามโรค” เลยทีเดียว เรายังต้องเผชิญกับโควิดอีกนาน เราตอ้ งมกี ำลังใจว่าจะตอ่ สู้กบั โควิดได้ และตอ้ งผ่านโควิดไปให้ได้ ดแู ลสขุ ภาพ ปรบั วถิ ชี วี ิต เพือ่ ผา่ นโควิดไปให้ได้ ดว้ ยหลัก 4 ประการ คือ “อดทน เรยี นรู้ ร่วมมือ ชว่ ยเหลือ” โควิดกระทบทุกคน เจ็บปวด ยากลำบาก เราจึงต้องอดทนกันให้ถึงที่สุด มีวันมืด ก็ต้องมีวันสว่าง ใน อดตี ก็เคยมีโรคระบาดใหญ่ มีสงครามโลก ในท่ีสดุ ทกุ อย่างก็ผ่านไป โควิดเป็นโรคระบาดใหม่ เราจึงต้องเรียนรู้ ทำความเข้าใจเรื่องต่างๆที่เกี่ยวกับโควิด เพื่อให้รู้เท่าทัน สถานการณ์ ดูแลและปฏิบัติตนไดถ้ ูกตอ้ งเหมาะสม ไมป่ ระมาท แต่กไ็ ม่ตระหนกจนเกินเหตุ เราตอ้ งรว่ มมือกับสว่ นร่วม มีความรับผิดชอบตอ่ ตัวเองและสังคม เพ่อื สู้ไปด้วยกนั และเราต้องช่วยเหลือกันและกันในเร่ืองท่เี ราชว่ ยกันได้ “ดีชว่ ยปว่ ย รวยช่วยจน” เราต้องชนะครับ
62 แถมท้าย ออมทองคำเขยี ว ทา่ นผูม้ เี กยี รตคิ รับ ในฐานะที่ผมเปน็ ผู้สงู วยั อายใุ กล้จะครบ 70 ปแี ล้ว ขอนำประสบการณ์ชีวิตเล็กๆ เกีย่ วกับการออมตน้ ไม้ มาเล่าด้วยภาพ ดังน้ี เมื่อเกือบ 20 ปีกอ่ น ผมและครอบครัวตัดสินใจหาพ้นื ทเ่ี ล็กๆได้แปลงหน่ึง โล่งเตยี นไมม่ ตี น้ ไมเ้ ลย เรา ปลูกต้นไม้กันเอง เป็นกิจกรรมพักผ่อนวิถีธรรมชาติของครอบครัว เน้นปลูกต้นไม้ป่า ไม้ยืนต้น หวังเพียงแค่ คืนต้นไม้ คืนออกซเิ จน คนื พืน้ ท่ีสีเขยี ว คนื ธรรมชาตใิ หก้ ับโลก ไมไ่ ด้หวงั ผลมูลคา่ ทางเศรษฐกจิ เลย วันเวลาผ่านไปเกือบ 20 ปี จากผืนดินโล่งเตียน เกิดเป็นป่าไม้เติบโตเขียวขจี แล้วเราก็เพิ่งมารู้ ภายหลังว่า ต้นไม้ที่เราปลูก มีมูลค่าทางเศรษฐกิจไม่น้อยเลย กลายเป็นบำนาญชีวิตโดยไม่ตั้งใจ เราเพิ่งรู้ว่า การปลูกต้นไม้ยืนต้น ให้ผลตอบแทนมากกว่าการฝากเงิน หรือซื้อทองคำเก็บไว้เสียอีก ที่เรียกว่าเป็น “การ ออมทองคำเขียว” เป็นการออมทางเลือกอย่างหนึ่ง ท่ีคนไทยทำกันได้จริงๆ ผมอยากให้ตัวอย่างเล็กๆนี้ เป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังคิดและลงมือทำ อย่ารอให้สูงวัยแล้วค่อย คดิ จะไม่ทนั เวลา ลองหันกลบั ไปหาธรรมชาติ ควรเริ่มลงมอื ทำกันได้ทันที เปน็ กจิ กรรมแบบ “ 4 in 1 “ คือ หนึ่ง ได้ความสุขในการปลูกต้นไม้และอยู่กับธรรมชาติ สอง ได้การออมเพื่อเป็นบำนาญชีวิตใน ยามสงู วยั สาม ไดส้ ร้างเศรษฐกิจให้กบั ประเทศชาติ และสี่ ไดส้ รา้ งคุณค่าให้กบั โลกของเราไปพรอ้ มๆกัน ขอขอบคณุ ผู้จัดอีกครง้ั หนึ่ง และขอขอบคณุ ทกุ ท่านที่ร่วมสมชั ชาในวันน้ี สวัสดีครบั
เกยี่ วกบั ผู้เขยี น 63 นายแพทย์อำพล จินดาวัฒนะ เป็นลูกนายทหารที่มาจากชั้นประทวน จบชั้นประถมที่ผดุงศิษย์พิทยา บางซื่อ, จบ ม.ต้น และ ม.ปลาย ที่โยธินบูรณะ, จบแพทยศาสตร์ที่ศิริราช, จบปริญญาโทสาธารณสุข ที่มหิดล และที่ สถาบันโรคเขตร้อน ประเทศเบลเยี่ยม, ผู้เชี่ยวชาญสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน และสาขาเวชศาสตร์ ครอบครวั จากแพทยสภา (เทยี บเทา่ ปรญิ ญาเอก) เคยเป็นหัวหน้ากลุ่มอาสาและค่ายอาสา ม.มหิดล, ประธานชมรมแพทย์ชนบท, อดีต ผอ. โรงพยาบาลชุมชน 2 แห่ง ที่ลพบุรี (พัฒนานิคม และโคกสำโรง) ผอ.สำนักส่งเสริมวิชาการและ บริการสาธารณสุข 2 จังหวัด (ลพบุรี และพิษณุโลก), นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด 3 จังหวัด (ยโสธร, พษิ ณุโลก และอุดรธาน)ี , ผอ.กองการสาธารณสขุ ตา่ งประเทศ, เคยเป็นนายแพทย์ใหญ่ กรมควบคุมโรคติดต่อ, ผอ.สถาบันพระบรมราชชนก เพื่อการพัฒนา กำลังคนดา้ นสาธารณสุข, นักพัฒนาทรพั ยากรบคุ คล ระดับ 10, โฆษกกระทรวงสาธารณสขุ , ผอ. สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพ(สปรส.), เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ, นักวิชาการ สาธารณสขุ ระดับ 11, เคยเป็นเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.), กรรมการกองทุนพัฒนาการเมือง, กรรมการสถาบันการเรียนรู้เพื่อปวงชน(มหาวิทยาลัยชีวิต), ประธานกรรมการบริหาร องค์การเภสัชกรรม, เคยเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และประธานกรรมาธิการการปฏิรูปด้านสังคมและ ชุมชน, สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.), ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการปฏิรูป ประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการปรองดอง (ปยป.), กรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม, ประธานอนกุ รรมการติดตามการขับเคลอ่ื นนโยบายรัฐบาลเชิงพน้ื ท่ี เปน็ สมาชกิ วุฒสิ ภา (2562-ปจั จบุ นั ) เคยได้รับรางวัลศิษย์เก่าดีเด่น และศิษย์เก่าเกียรติยศ คณะสาธารณสุขศาตร์ ม.มหิดล, ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ม.ราชภัฎเชียงราย และนักการสาธารณสุขดีเด่น (ด้านบริหาร) รางวัล ชยั นาทนเรนทร
64 เป็นนักบริหารกิจการสาธารณะ, ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสาธารณสุข, สังคมและชุมชน ประชาสังคม งานรฐั สภา และการปฏิรูป ภรรยา คือ คุณวงเดือน (แฝงสีคำ) จินดาวัฒนะ นักวิเคราะห์นโยบายและแผนเชี่ยวชาญพิเศษ หวั หนา้ กลมุ่ งานพฒั นาระบบบริหาร กรมการแพทย์แผนไทย บุตรสาว: แพทย์หญิงอิษฏา (จินดาวัฒนะ) กุลกลการ และบุตรชาย: นายแพทย์ชญงค์ จินดา วฒั นะ
Search