๔๕ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ ลำนำวิปสสนา เดย๋ี วฟงุ ซา นงนุ งา นเดยี๋ วงว งเหงา เด๋ียวซึมเซาสงบเด๋ียวสงสัย เดยี๋ วโกรธเกลยี ดเดอื ดดาลรำคาญใจ เดยี๋ วยดึ ไวท อ ถอยเดย๋ี วปลอ ยวาง เดี๋ยวปวดหัวตัวรอนนอนเปนไข เดย๋ี วหว งใยคดิ ถงึ เดยี๋ วอา งวา ง เด๋ียวอวดดีมีมานะไมละวาง เดย๋ี วยม้ิ กวา งรอ งไหไ มพ ดู จา เดี๋ยวปวดเขาคันขาชาไปทวั่ เด๋ียวเบาตัวทองจุกทุกขหนักหนา เดยี๋ วซกู สขุ ..เฉย เฉยเดี๋ยวเย็นชา น่ีกบู า ...หรอื เปลา ..ไมเขา ใจ ...คอื อารมณว ิปส สนาปรากฏแจง “ทุกข”แสดงใหก ำหนดเปน บทใหญ “อนิจจา”เกดิ ขนึ้ แลว ดบั ไป “อนัตตา”มใิ ชใ ครบนั ดาล ยืน.เดิน.น่ัง.กิน.ถายฯลฯ..ใหรูเห็น ความเพียรเดน,สติมา,ปญญาผสาน ไมเ ผลอ,เพง..เรงศึกษาอานาปานฯ “วิปสสนาญาณ”เกดิ ทนี่ .่ี ..เดยี๋ วนเี้ อยฯ ชินวงส
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๔๖ เทคนคิ ที่ ๑ ผฝู ก ใหมอ าจสบั สน ไมร วู า จะ “ร”ู อารมณ ไหนดี ก็จงประคองสติ หรือรูสึกอยูกับอาการ ของลมหายใจเขาออก ซึ่งกระทบที่ปลายจมูก หมายความวา ไมไ ดใ หร ปู ลายจมกู หรอื รลู มหายใจ แตใ หร คู วามรสู กึ ทลี่ มกระทบกบั ปลายจมกู เทา นนั้ เพราะลมหายใจเปน ตวั ชว ยสรา ง “ความรสู กึ ตวั ” ไดอยางดีที่สุด ซึ่งจะหยาบหรือละเอียด จะชัด หรอื ไมช ดั จะยาวหรอื สนั้ ไมส ำคญั ทง้ั นนั้ เพราะ ลมหายใจเขาออกมีอยูตลอดเวลา เปนปจจุบัน อารมณเ สมอ “แคร ”ู ตามทมี่ นั เปน เทา นนั้ ลมหาย ใจจึงเปนอารมณหลัก สวนอารมณอื่นๆ จัดวา เปน อารมณร อง
๔๗ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ที่ ๒ ผูปฏิบัติใหม ควรเริ่มจากการรูอาการ ของลมหายใจที่กระทบกับปลายจมูกอยางเปน ธรรมชาตทิ สี่ ดุ ไมว า จะยนื เดนิ นงั่ นอน กนิ ดมื่ ทำ พดู คดิ ฯลฯอยกู ต็ าม และรเู ทา ทจี่ ะรไู ด อยา ใจ รอ นววู าม อยา ตงั้ ใจมากเกนิ ไป และระวงั อยา ตงั้ ใจ ท่ีจะไมตั้งใจดวย ฝกใหมๆ รูไดนอยก็ไมเปนไร เม่ือ“เพียรรู”อยูบอยๆ ใจจะเริ่มคุนชินกับการ ระลกึ รนู น้ั เอง
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๔๘ เทคนคิ ที่ ๓ ผปู ฏบิ ตั ทิ มี่ ปี ระสบการณก ารปฏบิ ตั ิ อยา ง อน่ื มากอ น แตไ มม อี ะไรกา วหนา ลองหนั มาใชว ธิ ี การอยางนี้ดู แตอยาเปล่ียนไปเปลี่ยนมาใชหลาย วิธีในเวลาเดียวกัน เพราะจะทำใหสับสนไป เปลา ๆ อยา งนอ ยควรทดลองใชว ธิ นี สี้ กั ๑ เดอื น กอน อยารีบถอดใจงายนัก ถาพยายามแลวไมมี ผลอะไรเกิดข้ึน ก็ไมไดเสียเวลาทำงาน เวลาอยู กบั ครอบครวั หรอื เวลาเรยี นแมแ ตน อ ย
๔๙ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ที่ ๔ หากผูปฏิบัติเกิดอาการแปลกๆ อยางที่ ไมเคยเปนมากอน เชน ขนลุก, คันยุบยับตาม หนาตา หรือลำตัวเหมือนมีแมลงมาไต, ตัวหนัก, ตัวเบา, ตัวโยก, ตัวหมุน,ตัวลอย,ตัวสั้น,ตัวยาว, แขนขาหายไปฯลฯ ก็อยาตกใจ เปนเพียงอาการ ของสมาธิและปติเทานั้น แคกลับไปรูลมหายใจ ก็พอแลว อยาคลอยตามคืออยากใหอาการนั้น อยูนานๆ หรือเพงบังคับใหหายไปโดยเด็ดขาด (เพราะเปนอนัตตาบังคับไมได อาการนั้นจะอยู หรือไปก็เปนเรื่องของมัน) เม่ืออุปาทานปรุง อาการเหลาน้ันมาหลอกใจไมได ก็จะเปลี่ยน ของเลน ใหม มาให “ ร”ู เอง
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๕๐ เทคนคิ ที่ ๕ หากมีทุกขเวทนาทางกายเกิดข้ึน อยา พยายามตอ สหู รอื เอาชนะโดยเดด็ ขาด เพราะนน่ั คือการทำตามอำนาจของโทสะ ก็จะเทากับเอา โคลนไปลางโคลน ย่ิงทำก็ย่ิงทุกขไปเปลาๆ เพียง แค “รอู ยา งออ นโยน” สบายๆ เทา นน้ั แลว รบี ยา ย จติ กลบั มา“ร”ู ทล่ี มหายใจตอ ไป คนทมี่ ที กุ ขเวทนา ตองถือวาโชคดีเพราะ“รู”ไดงาย ถาทุกขเวทนา มีกำลังมาก โมหะคือ ความงวง ความฟุงซาน จะครอบงำไมได ถาไมเห็นทุกข จะรูจักทุกข ไดอ ยา งไร เมอ่ื ไมร จู กั ทกุ ข กไ็ มส ามารถจะหาทาง ออกจากทุกขได การเรียนรูจากทุกขนั่นแหละ ผปู ฏบิ ตั จิ งึ จะเหน็ ธรรมไดโ ดยงา ย
๕๑ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ท่ี ๖ ในขณะท่ีรูลมหายใจอยาลืมสังเกตใจ ตนเองดวยวาเม่ือมีสภาวธรรม (คือส่ิงท่ีเปนเอง อันเกิดจากวิบากกรรมเกา ท่ีสงผลใหเกิดเปน กายใจอยนู )้ี ใดๆ เกดิ ขนึ้ ใจเปน อยา งไร จะสขุ หรอื ทกุ ข จะชอบหรอื ชงั กค็ วรทำหนา ท่ี “แคร ”ู เทา นน้ั อยา ไดย ดึ ตดิ อยกู บั ความรสู กึ นนั้ เลย
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๕๒ เทคนคิ ท่ี ๗ ผูปฏิบัติบางคนอาจมีนิมิต คือภาพที่เห็น ไดท างใจเชน ส,ี แสง, ภาพงดงาม, นา กลวั สว นมาก เปนเพียงจินตนาการ ใจสรางภาพขึ้นมาเองตาม กำลงั สมาธิ ถา สมาธมิ กี ำลงั ภาพกช็ ดั เจน ถา สมาธิ ออนภาพก็ไมชัด อยาติดอยูโดยเด็ดขาด เพียงทำ หนาท่ี“รูวาเห็น”เทาน้ัน แลวรีบกลับมารูลมหาย ใจตอ ไปทนั ที ส ว น ใ ค ร ที่ ไ ม มี นิ มิ ต ก็ อ ย า อ ย า ก เ ห็ น เหมือนคนอ่ืนเลย แตละคนไมเหมือนกัน จะมี หรอื ไมม กี ม็ คี า เทา กนั การเหน็ นมิ ติ แสดงวา สง จติ ออกนอกไปแลว และสติมีกำลังออนกวาสมาธิ การปฏบิ ตั นิ น้ั เพอ่ื ใหเ หน็ กายใจตามความเปน จรงิ มใิ ชเ พอ่ื ใหเ หน็ นรกสวรรคใ ดๆ ทงั้ สนิ้
๕๓ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ท่ี ๘ สงิ่ ทตี่ อ งระวงั คอื ความสขุ และความสงบ เพราะเม่ือพบสุขหรือความสงบแลว ใจไมคอย ดิ้นรนออกจากสุขสงบนั้น ติดจมแชอยู ความสุข และความสงบจึงกลายเปนกับดักที่นากลัวท่ีสุด เพราะติดสุขแกยากยิ่งกวาติดทุกขเสียอีก นัก ปฏบิ ตั ติ อ งหมนั่ สงั เกตใจตนเองใหด “ี สขุ กร็ วู า สขุ ” เทานั้น
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๕๔ เทคนคิ ที่ ๙ สิ่งท่ีสำคัญที่สุดก็คือรูปจจุบันอารมณ ตามความเปน จรงิ อยา ดดั แปลงแกไ ขอารมณใ ดๆ ทงั้ สน้ิ และตอ งมคี วาม “เพยี รรอู ยเู นอื งๆ” ขยนั กร็ ู ขเ้ี กยี จกร็ ู สงบกร็ ูฟงุ ซา นกร็ ูเบอื่ กร็ ู ไมเ บอ่ื กร็ ฯู ลฯ ในทกุ อริ ยิ าบถ ไมว า จะเปน ยนื เดนิ นง่ั นอน กนิ ดมื่ ทำ พดู คดิ ถา ยอจุ จาระ ปส สาวะฯลฯ โดยไม จำเปน ตอ งมคี ำบรกิ รรม เชน พทุ โธ สมั มาอรหงั พองหนอ ยุบหนอฯลฯใดๆ ทั้งสิ้น (คนที่คุนกับ การใชค ำบรกิ รรม อาจเผลอบรกิ รรมไปบา งกช็ า ง เถิด พอ“รู”บอยๆเขา ก็จะละคำบริกรรมไดเอง) เปนการฝกฝนกิเลสในใจตนเอง ไมใหปลอยไป ตามอารมณ ตกเปนทาสของอารมณ ทาสของ ความคดิ หรอื ทาสของความอยากทเี่ กดิ ขนึ้
๕๕ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ที่ ๑๐ ในขณะทเ่ี ดนิ ทำงานอยู ควรรกู ายโดยรวม ทั้งหมด รูแคเพียงอาการที่กายกำลังเคลื่อนไหว อยเู ทา นนั้ กายสว นไหนชดั กย็ า ยรเู รอื่ ยไป เชน คอ สะโพก ตน ขา ไหล นอ ง เทา เปน ตน ดว ยความ รูสึกสบายๆ รูอยางเปนธรรมชาติ ไมประคอง ไมเ พง ไมควรรูเฉพาะเทาเทา นน้ั ซง่ึ จะทำใหเ พง โดยไมต งั้ ใจ และไมต อ งมคี ำบรกิ รรมใดๆ ทงั้ สนิ้ แตถาใจฟุงซานมาก ก็ลองรูเฉพาะสวน เชนเทาที่กระทบพื้น หรือใสคำบริกรรมไปดวย กไ็ ด เชน ขวาพทุ ซา ยโธ หรอื ขวายา งหนอ ซา ยยา ง หนอเปน ตน
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๕๖ เทคนคิ ที่ ๑๑ ในขณะที่ทำงาน ควรใหสติรูอยูกับงาน เชนกำลังหยิบเอกสาร สติก็รูอยูกับมือท่ีหยิบ เอกสารน้ัน, กำลังคุยกับเพ่ือนรวมงาน ก็รูวา กำลังคุย, กำลังกวาดบาน, ลางจาน, อาบนำ้ ฯลฯ กร็ อู ยกู บั อาการทางกายทก่ี ำลงั กวาด กำลงั ลา งจาน กำลังฟอกสบูเปนตน อยาลืมสังเกตใจไปดวยวา หงุดหงิด โกรธ รำคาญหรือไม ถาสามารถรูกาย ที่เคล่ือนอยูกับลมหายใจไปพรอมกัน จะชวย ทำใหลดการเผลอเพงไปได
๕๗ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ท่ี ๑๒ หากมีอาการของราคะเชนคิดถึงแฟน ให ระลึกรูไปที่อาการของใจที่หวงหาอาวรณน้ัน อยานึกถึงหนาแฟนโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให ราคะมีกำลังย่ิงขึ้น แตถานึกอยูก็ขอให “รูวานึก” เทา นนั้ สำหรบั มอื ใหมเ ปน เรอื่ งยากทจ่ี ะจดั การกบั ราคะ หากรูแลวจิตคลอยตามราคะทุกที ก็ลอง กลนั้ ลมหายใจแลว คอ ยผอ นออกมา หรอื ยา ยไปรู อารมณอ น่ื ๆ กอ น เชน เสยี งภายนอกเปน ตน หรือมีอาการของโทสะเกิดข้ึนเชนโกรธ กลัว กลุมใจ นอยใจ เสียใจ หงุดหงิด รำคาญ ใหร ไู ปทใี่ จทก่ี ำลงั ขนุ นนั้ เบาๆ วธิ กี ารทำคลา ยกบั ราคะนั่นเอง ราคะกับโทสะเปนกิเลสที่มีอารมณหยาบ จึงชวยใหผูปฏิบัติรูสึกตัวไดงาย
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๕๘ เทคนคิ ที่ ๑๓ เมื่อปฏิบัติไปไดระดับหนึ่ง อาจมีอาการ ทางกายรว มดว ย เชน ทอ งเสยี ปวดหวั เปน ไข ไม สบายฯลฯ หรือเคยปวยดวยโรคบางอยางมากอน แตหายไปนานแลว จูๆอาการปวยน้ันก็หวนกลับ มาดื้อๆ หากทานยาแลวไมหาย หรือตรวจหา สาเหตุไมพบ ขอใหรูไวเถิดวาน่ีคือโรคอุปาทาน แครูไปท่ีใจซึ่งกำลังทุรนทุรายหวาดกลัวอยูน้ัน อาการของโรคอปุ าทานกจ็ ะดบั ไปตอ หนา ตอ ตาเอง
๕๙ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ที่ ๑๔ หากมเี วลาวา ง เชน วนั เสาร อาทติ ย กค็ วร เดนิ จงกรม นงั่ สมาธบิ า ง โดยไมจ ำเปน ตอ งกำหนด เวลา เชน เดนิ เหนอ่ื ยแลว กน็ งั่ นง่ั เหนอื่ ยแลว กล็ กุ ข้ึนเดิน แตควรใหนานพอสมควรอยางนอย ๒๐ นาที โดยการเดินหรือน่ังสบายๆ เหมือนกำลัง นั่งชมวิวหรือเดินเลนอยูอยางมีสติ อยาคิดวา กำลังปฏิบัติ โยนความเปนนักปฏิบัติทิ้งไปบาง จะไดไ มเ ครยี ดมากนกั แตก ไ็ มใ ชเ สแสรง แกลง ทำ หลอกตนเองขอใหร เู ทา ทนั ดว ย
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๖๐ เทคนคิ ท่ี ๑๕ กอ นหลบั แทนทจี่ ะปลอ ยใหใ จฟงุ ซา นไป อยางไรจุดหมาย ทดลองเอาสติไป “รู” อยูกับ ลมหายใจหรอื ทอ งพองยบุ รเู บาๆ สบายๆ เมอ่ื รสู กึ ตัววางวงก็ปลอยใหหลับไป ไมจำเปนตองรูวา หลับไปตอนหายใจเขาหรือหายใจออก และเม่ือ รูสึกตัวต่ืนข้ึนมาตอนเชา ก็ให“รู”ท่ีลมหายใจ กอ นทจี่ ะทำภารกจิ อน่ื ๆ
๖๑ เทคนิคการเจริญสติแบบงายๆ เทคนคิ ท่ี ๑๖ การเจริญสติน้ัน มิใชทำไปนานๆ แลว จะสุขหรือสงบมากกวาเดิม แตย่ิงทำใหเห็นทุกข ชัดเจนข้ึน สุขและทุกขจะส้ันและเบาลงกวาเดิม ใจจะไมย ดึ ทงั้ สขุ และทกุ ข จนปลอ ยวางเปน อสิ ระ มากขึ้นเรื่อยไป ลองสังเกตใจตอนน้ี กับใจที่ถูก ฝก แลว อกี ๓ เดอื นขา งหนา จะเหน็ ความแตกตา ง ชดั เจน คอื ใจจะเปน อสิ ระจากอารมณม ากยง่ิ ขนึ้
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๖๒ เทคนคิ ที่ ๑๗ จงอยาคาดหวังกะเกณฑวาปฏิบัติแลว จะไดอ ะไร จะเปน อยา งไร เพราะหากทำอยา งนนั้ สภาวธรรมจะดำเนินตอไปไมได ทุกสิ่งลวน ตกอยูในกฎเกณฑของไตรลักษณ เกิดดับอยู ตลอดเวลา จงสรา งเหตุ คอื “รเู นอื งๆ” ไดแ กร บู า ง ไมรูบางเทาน้ัน ไมใชรูอยางตอเน่ืองหรือรู ตลอดเวลา ซึ่งไมมีใครทำได เพราะความรูน้ัน เกดิ แลว กด็ บั ไปอยทู กุ ขณะเชน กนั
๖๓ ธรรมชาติสอนธรรม วางมีอยูในวุน อนัตตามีอยูในอัตตา ความพนทุกขมีอยูในทุกข ตนโพธ์ิมีอยูในเมล็ดโพธิ์
ธรรมชาติสอนธรรม
๖๕ ธรรมชาติสอนธรรม ปลอยวาง รตั ตกิ าลอนั เลอื นราง ทา มกลางอา งวา งเหนบ็ หนาว กลับพราวพรอยดวยแสงดาว สอ งสกาวในดวงใจ สุรียฉายแสงแรงกราว ระออุ า วราวไฟไหม กลบั ชมุ เยน็ ดว ยเหงอ่ื ไคล และลมไลอยูบางเบา มพี น ทกุ ขอ ยใู นทกุ ข มคี วามสขุ ในความเศรา ในความหนกั มคี วามเบา ควรท่ีเราจะปลอยวางฯ ชนิ วงส
ส่ิงท่ีพระพุทธศาสนายอมรับวาเปน ความจรงิ นน้ั มอี ยู ๒ อยา ง คอื ๑. สมมติสัจจะ คือความจริงโดยสมมติ หรอื สมมตวิ า จรงิ เชน สตั ว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา สามี ภรรยา บตุ ร ธดิ า ทรพั ยส มบตั ขิ องเรา เปน ตน ๒. ปรมตั ถสจั จะ คอื ความจรงิ โดยปรมตั ถ เปนความจริงแท แมจะมีช่ือเรียกหรือไมก็ตาม ก็เปนความจริงอยูอยางน้ัน ซ่ึงมีอยู ๔ ประการ ไดแก
๖๗ ธรรมชาติสอนธรรม ก. จติ (ใจ, วญิ ญาณ, ธาตรุ ,ู ผรู )ู ข. เจตสิก (ส่ิงท่ีปรุงแตงจิตใหดี, ช่ัว, ชอบ, ชงั ฯลฯ) ทง้ั จติ และเจตสกิ นคี้ อื นาม ค. รปู (กาย, คณุ สมบตั ขิ องกาย) ง. นพิ พาน ภาวะทพี่ น จากรปู นาม การศึกษาส่ิงท่ีอยูนอกกายใจน้ัน ชื่อวา กำลังศึกษาสมมติสัจจะเชน วิชาการทางโลก ประเพณี วฒั นธรรม กฎหมาย ศลี ขอ วตั รปฏบิ ตั ิ บาลี นกั ธรรม พระอภธิ รรมซงึ่ เปน ชอ่ื ของธรรมะ เทาน้ัน แตในขณะที่กำลังเรียนรูกายใจหรือ รปู นามอยนู ี้ ชอ่ื วา กำลงั ศกึ ษาปรมตั ถสจั จะ ปรมัตถสัจจะน้ัน ผูรูมักไมเห็น คือผูรู ปริยัติ (วิชาการ) มักไมเคยสัมผัสกับสภาวะ ปรมัตถเชน ญาณ สมาธิ ปติ ปสสัทธิเปนตน ผูเห็นมักไมรู คือบางคนไมไดศึกษาปริยัติ แตลง
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๖๘ มือเจริญสติ เรียนรูรูปนามอยูเนืองๆ จึงไดสัมผัส ธรรมะของจรงิ ซง่ึ สมั ผสั ไดด ว ยใจเทา นน้ั ยกตวั อยา งเชน ในขณะทจี่ ติ มคี วามสำรวม ระวังระลึกรูอยูน้ัน คือศีล ในมรรค ๘ ไดแก สัมมาวาจา (กลาววาจาถูกตอง), สัมมากัมมันตะ (ทำหนาท่ีถูกตอง), สัมมาอาชีวะ (ประกอบอาชีพ สจุ รติ ไมเ บยี ดเบยี น คดโกงใคร) ใ น ข ณ ะ ท่ี จิ ต ต้ั ง มั่ น อ ยู กั บ อ า ร ม ณ ใ ด อารมณหน่ึง ในขณะหน่ึงๆ น้ัน นั่นคือสมาธิ (ขณิกสมาธิ จิตต้ังม่ันชั่วคราว) ในองคมรรค ๘ ไดแก สัมมาวายามะ (เพียรถูกตอง), สัมมาสติ (ระลึกรูกาย เวทนา จิต ธรรม ตามความเปนจริง อยา งถกู ตอ ง), สมั มาสมาธิ (จติ ตงั้ มน่ั อยา งถกู ตอ ง) เมื่อระลึกรูอยูบอยๆ เห็นความเกิดข้ึน ของอารมณต า งๆ ทเ่ี ขา มากระทบแลว กด็ บั ไปตาม กฎเกณฑข องไตรลกั ษณ คอื เหน็ ความเกดิ ดบั ของ
๖๙ ธรรมชาติสอนธรรม รปู นาม เรยี กวา เหน็ ดว ยปญ ญา (ภาวนามยปญ ญา) ในองคม รรค ๘ ไดแ ก สมั มาทฐิ ิ (มคี วามเหน็ หรอื มุมมองที่ถูกตอง), สัมมาสังกัปปะ (มีความคิดท่ี ถกู ตอ ง) หรือในขณะที่กำลังรูอารมณใด อารมณ หนง่ึ อยนู น้ั นน่ั คอื กำลงั ทำหนา ทรี่ ทู กุ ข (การยดึ มนั่ ถือมั่นในกายใจวาเปน“เรา”น่ันแหละ คือสุดยอด ของทุกข) หนาที่ท่ีควรทำในทุกข คือ“การรู” (ปรญิ ญากจิ ) ไมใ ช “การละทกุ ข” ในขณะทก่ี ำลงั รทู กุ ขอ ยนู น่ั เอง ตณั หาอนั เปน ตน เหตแุ หง ทกุ ขท เ่ี รยี กวา “สมทุ ยั ” เกดิ ไมไ ด เรยี กวา กำลงั ทำหนา ทคี่ อื “การละ”เหตแุ หง ทกุ ขไ ป ในตวั เสรจ็ สรรพ (ปหานกจิ ) ในขณะท่ีกำลังรูทุกขอยูนั้น กิเลสสงบ ระงับช่ัวขณะ (ตทังคนิโรธ) เรียกไดวากำลังทำ หนาท่ี “ประจักษแจง ” ในนโิ รธอยู (สจั ฉกิ ริ ยิ ากจิ )
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๗๐ ในขณะรทู กุ ขอ ยนู นั่ เอง มรรค ๘ กำลงั ทำ หนาท่ีประหารกิเลสอยู ชื่อวากำลังทำหนาท่ีคือ “การทำใหเ จรญิ ” ในมรรคอยู (ภาวนากจิ ) หรือในขณะท่ีรูอาการของลมหายใจ, ความเคลอื่ นไหวของอริ ยิ าบถ, อาการของพองยบุ หรือรูอาการทานขาว, เดิน, อาบน้ำ, กวาดถูบาน อยูน้ัน ขณะนั้นชื่อวากำลังรูกาย คือการเจริญ กายานุปสสนาสติปฏฐาน (มีอาการทางกายเปน ทต่ี ง้ั แหง การระลกึ ร)ู ในขณะท่ีรูลมหายใจฯลฯอยูน้ันมีเวทนา คอื ความรสู กึ สขุ ทกุ ข หรอื เฉยๆ เกดิ ขนึ้ ทกี่ าย เชน ยุงกัด, ปวดขา, ปติ, มึนศีรษะ, กายเบาเปนตน ก็เปลี่ยนรูจากกายไป รูเวทนา นั้นแทน ชื่อวา กำลังเจริญเวทนานุปสสนาสติปฏฐาน (มีเวทนา คือความรูสึกสุข ทุกข เฉยๆ เปนที่ตั้งแหงการ ระลกึ ร)ู
๗๑ ธรรมชาติสอนธรรม ในขณะท่ีรูลมหายใจฯลฯอยูนั้น จิตเกิด อาการอยากได, โกรธ, ฟุงซาน, สงบ, อิ่มเอิบ, เบาสบายฯลฯ ก็ยายรูไปที่ใจ ชื่อวากำลังเจริญ จิตตานุปสสนาสติปฏฐาน (มีพฤติกรรมของใจ เปน ทต่ี ง้ั แหง การระลกึ ร)ู สว นธรรมานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน มอี ารมณ ทงั้ รปู และนาม ฉะนน้ั ในขณะทรี่ กู าย, เวทนา, จติ ก็ไดช่ือวากำลังเจริญธัมมานุปสสนาสติปฏฐาน (มสี ภาวธรรมเปน ทตี่ งั้ แหง การระลกึ ร)ู อยแู ลว ในขณะที่รูลมหายใจอยูนั้น หากเพงหรือ ประคองไปที่ลมหายใจโดยตรง จติ สงบตั้งม่นั อยู กับลมหายใจนั้น ขณะนั้นลมหายใจเปนอารมณ ของสมถกรรมฐาน ห า ก รู อ า ก า ร ข อ ง ล ม ห า ย ใ จ ท่ี ก ร ะ ท บ กับปลายจมูก แลวมีปญญาเห็นความเกิดดับของ อาการกระทบของลมหายใจ ขณะน้ันลมหายใจ
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๗๒ ชื่อวา เปนอารมณข องวปิ ส สนากรรมฐาน จะเห็นไดวา “แครู” ในขณะหน่ึงๆ นั้น ชื่อวาผูปฏิบัติไดเจริญไตรสิกขา, มรรค ๘, อริยสัจ ๔, สติปฏฐาน ๔, สมถกรรมฐานหรือ วิปสสนากรรมฐานอยางใดอยางหนึ่ง แลวแต สมมติบัญญัติจะเรียกวาอะไรก็ตาม แตความเปน จริงใจหรือ “ผูรู” กำลังรูอารมณท่ีเปนปรมัตถ (อารมณจ รงิ แท) คือ รูปนาม (หรอื กายใจ) อยนู น่ั เอง แลวรูปนามอันเปนธรรมชาตินี้ ก็เร่ิมสอน ธรรมใหผ เู จรญิ สตไิ ดเ หน็ ความเปน จรงิ ของชวี ติ วา เปน เพยี งมายา ดจุ ดงั่ เงาจนั ทรใ นน้ำ ทห่ี ลอกใหผ ู ทไ่ี มเ คยเจรญิ สติ หลงแบก หลงยดึ วา เปน “ตวั เรา- ของเรา” กนั มาไมร กู ภ่ี พกชี่ าตแิ ลว หากอานบทนี้แลวไมเขาใจก็ไมใชเรื่อง แปลก เพราะความเขาใจที่แทจะเกิดไดไมใช เพราะอา นหรอื ฟง แตต อ งลงมอื ปฏบิ ตั เิ องเทา นน้ั
๗๓ ไดเ มอื่ ไมเ อา ด.ี ..แคร ู ชว่ั ...แคร ู สขุ ...แคร ู ทกุ ข. ..แคร ู ได. ..แคร ู เสยี ...แคร ู ฟงุ ซา น...แคร ู สงบ...แคร ู
ไดเ มอื่ ไมเ อา
๗๕ ไดเ มอื่ ไมเ อา มรรคาแหง ชวี ติ เดนิ เดยี่ วมาเดยี วดาย ดว ยมงุ หมายซง่ึ มรรคา จติ ใจใฝค น หา ยอดธรรมาอนั วมิ ตุ ิ สทู างแสนกนั ดาร ถงึ ทกุ ขท อ กม็ หิ ยดุ ยง่ิ กา วยงิ่ เรง รดุ ไมส นิ้ สดุ ซง่ึ ความเพยี ร ผา นปา -หนิ -หนาม-ตอ ไมร ะยอ ไมแ วะเวยี น หวั ใจไมแ ปรเปลย่ี น เพราะฝน ใฝใ นเสรี บดั นฉ้ี นั เหน็ แลว ซง่ึ ทางแกว แหง มนุ ี แมภ ยั ประดามี จะมากมายอกี กา ยกอง คอ ยวางโลภโกรธหลง คอ ยปลดปลงทกุ ขท ง้ั ผอง มาตรแมน น้ำตานอง เพอื่ มติ อ งกา วกลบั ไป เขด็ แลว กบั การเกดิ ทงั้ ความแกแ ลความตาย ชพี นขี้ อฝากไว ใตบ าทธรรมพระสมั มาฯ ชินวงส
หลายคนอาจสงสัยวา ทำไมผูเขียนไม พรรณนาเรอ่ื งของการรกั ษาศลี ไวด ว ย ผเู ขยี นมคี วามเหน็ วา ศลี ๕ ศลี ๘ หรอื ศลี ๒๒๗ นนั้ เปน เพยี งศลี ภายนอก ผขู าดสตจิ ะรกั ษา ศีลดวยความรูสึกอึดอัด ขาดๆ เกินๆ กะพรอง กะแพรงอยูเสมอ แตเมื่อฝกเจริญสติไปไดระยะ หนึ่งแลว จะเกิดความอายช่ัวกลัวบาปขึ้นมาเอง ศีลภายใน (องคมรรค) จะเกิดข้ึนโดยอัตโนมัติ แตกอนท่ีศีลภายในจะเกิดข้ึน ผูฝกใหมควรต้ังใจ รกั ษาศลี ๕ ไวก อ น เพอื่ ปอ งกนั ใจมใิ หเ ศรา หมอง อนั เปน เหตใุ หใ จสงบตง้ั มน่ั ไดง า ย
๗๗ ไดเ มอ่ื ไมเ อา เมอ่ื ฝก “ร”ู อยเู นอื งๆ จะทำใหส ตเิ รมิ่ คมชดั มากขน้ึ จนถงึ จดุ ทพ่ี ออารมณป รากฎ สตจิ ะเขา ไป ระลกึ รโู ดยอตั โนมตั ทิ นั ที การฝก “ร”ู อยา งนี้ กค็ อื การใหใ จไดเ รยี นรู และเขาใจกฎเกณฑของธรรมชาติ คือรูปนามอัน เปน ไตรลกั ษณน นั่ เอง คอื รวู า แมจ ะปฏบิ ตั หิ รอื ไม กต็ าม รปู นามนก้ี ท็ ำงานตง้ั แตม นษุ ยเ กดิ จนตาย หากยังอยากใหรูปนามเปนอยางท่ีตน ปรารถนา กร็ งั แตจ ะสรา งทกุ ขม าทำรา ยตนเองอยู ร่ำไป ซง่ึ การรรู ปู นามจากปรยิ ตั ิ กบั รอู ยา งประจกั ษ แจงเองจากการปฏิบัตินั้น มีความลึกซ้ึงแตกตาง กนั มาก เมื่อ“รู”ใหเนืองๆ สมำ่ เสมอแลวผลท่ีจะ เกดิ ขน้ึ กค็ อื เมอื่ มอี ารมณม ากระทบจะไมก ระเทอื น, ครอบครองไดแตไมยึดครอง, ปลอยวางไดแต ไมปลอยปละละเลย, อยูกับโลกอยางเหนือโลก
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๗๘ ไมห นโี ลก, ไมห ลงชอบหลงชงั จนเกนิ เหต,ุ ดำเนนิ ชวี ติ ไดอ ยา งพอเพยี ง คนท่ัวไปมักไมเช่ือเรื่องกฎแหงกรรม หลงตดิ อยกู บั เรอ่ื งกนิ กาม เกยี รตอิ ยา งนา สงสาร หากไดฝ ก เจรญิ สตอิ ยบู า ง จะรเู องวา ผลแหง กรรม มีจริง เพราะวิบากกรรมจะปรากฏชัดเปนสภาวะ สขุ และทกุ ขต า งกนั ไป วบิ ากกรรมนนั้ ใหผ ลตลอด เวลาอยูแลว แตผูที่หลงอยูยอมมองไมเห็น แตผู ปฏบิ ตั จิ ะร-ู เหน็ และยอมรบั ปรากฏการณน น้ั อยา ง ปลอ ยวางได ชอื่ วา ไดช ดใชห นก้ี รรมและดบั กรรม ไปพรอมกัน หากปฏิบัติไปจนถึงระดับหน่ึงแลวไมวา จะเปน เร่ืองดี เร่ืองช่ัว เร่ืองถูก เร่ืองผิดฯลฯ ผปู ฏบิ ตั จิ ะคอ ยๆ เลกิ แบก เลกิ ยดึ ไปเอง เพราะไม วา จะเปน เรอื่ งอะไรกต็ าม หากยงั ตอ งแบกตอ งยดึ อยู กล็ ว นแตท ำใหช วี ติ หนกั ไดท งั้ สนิ้
๗๙ ไดเ มอื่ ไมเ อา เปรยี บเหมอื นนกั แสวงโชคผหู นงึ่ เดนิ ไป ในระหวางทาง พบถานถูกทิ้งอยูกระสอบหนึ่ง เขาคดิ วา ถา นนน้ี ำไปใชใ หเ ปน ประโยชนไ ด จงึ ได แบกถานนั้นไป แตเมื่อเดินทางไปไดระยะหนึ่งก็พบวามี ทองคำแทงตกอยูขางทาง เขาจึงท้ิงถานกระสอบ นั้น เพราะคิดวาทองคำมีคามากกวาถาน แลวหัน มาแบกเอาทองคำเดนิ ทางตอ ไป ครนั้ เดนิ ทางมาไดค รง่ึ วนั เขากย็ งิ่ แปลกใจ เมื่อพบเพชรถูกกองท้ิงไวขางทางหลายถุง ท่ีจริง แลวเขาอยากไดทั้งเพชรและทองคำ แตกำลังที่มี อยูเพียงจำกัด เขาจึงจำใจท้ิงทองคำและแบกเอา เพชรน้ันไป แตเม่ือจุดหมายที่ตั้งใจไวไปไมถึงเสียที เขาเร่ิมถอดใจ ออนแรงเหนื่อยลาเต็มที และรับรู แลว วา เพชรนแ้ี มม คี า มหาศาล แตห ากยงั ตอ งแบก
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๘๐ หนักจนเหน่ือยตายอยูขางทาง เพชรก็คงไมมี ประโยชนอ ะไร เขาจงึ จำใจทง้ิ เพชรนนั้ ไป พลัน! เขาก็คนพบส่ิงมหัศจรรยท่ีสุด ในชีวิตวา การไมตองแบกอะไรน่ันแหละ ทำใหกายใจเบาสบาย และเดินทางถึงจุด หมายไดเร็วข้ึนกวาเดิมอีกหลายเทา การเดินทางบนสังสารวัฏนี้ก็เชนกัน หาก ยังแบกดี แบกบุญ แบกสุข แบกสงบ แบกชอบ ไวอ ยู กจ็ ะทำใหก ารเดนิ ทางลา ชา ได อยามัวตามลาพระอรหันตหรือแสวงหา ความอัศจรรยภายนอกอยูเลย รีบสรางความ อัศจรรยใหเกิดขึ้นภายในตน ดวยการเจริญสติ อยูเนืองๆ เถิด แลวจะรูเองวา ความมหัศจรรย ทั้งหลายอยูทก่ี ายใจหรอื รปู นามนเ่ี อง
๘๑ ฝากไวใ หค ดิ คดิ หลงั คดิ หนา คดิ ดี คดิ บา คดิ เสยี ใหพ อ ตกลง ปลงใจ คดิ ไม ยอ ทอ คดิ เพยี ร ทำตอ พอร.ู ..หยดุ คดิ
ฝากไวใ หค ดิ
๘๓ ฝากไวใ หค ดิ แสงชยั แมเ มฆจะมดื มดิ ทางชวี ติ แสนมดื มนธ หงิ่ หอ ยนอ ยแสงหมน วิบวับวนอยูกลางไพร นทจี ะเหอื ดแหง อยาไดแลงพลังใจ น้ำคา งทพี่ รา งพราย ยงั กลน่ั กลายเปน สายฝน ทอ ไดอยาพายแพ อยา ออ นแออยา วกวน โนน ฟา ณ หลงั ฝน สวา งลน เมอื่ ฝนสลาย เรไรยังรำ่ รอง หรดี หรง่ิ กอ งกรดี ปก กราย เจาจงวาดหวังไว ซง่ึ แสงชยั ทลี่ กุ โชน แมเ มฆจะมดื มดิ หากดวงจติ มหิ มองหมน ไมท อ สอู ดทน จะดนั้ ดน จนถงึ ดาว ชนิ วงส
บางทา นปฏบิ ตั ธิ รรมมานาน ฝก สวดมนต นั่งสมาธิชวงกอนนอนหรือต่ืนนอนมาหลายป แลว หรอื ไปเขา คอรส ปฏบิ ตั ธิ รรมมาปล ะครงั้ ๒ ครั้ง ครั้งละ ๗ วัน บาง ๑๐ วันบาง แตไมเห็น มอี านสิ งสอ ะไรปรากฏเอาเสยี เลย น่ันเปนเพราะวา ขาดความ“เพียรรู”อยู เนอื งๆ นนั่ เอง และมกั มขี อ อา งสดุ ฮติ วา “ไมม เี วลา วา ง” เมอ่ื กำลงั ดำเนนิ ชวี ติ ประจำวนั อยู จงึ ขาดการ “ร”ู ไปอยา งนา เสียดาย
๘๕ ฝากไวใ หค ดิ ท่ีจริงแลวกิเลสเกิดขึ้นที่ใจไดตลอด ทั้งวัน ไมวาจะทำงาน อานหนังสือ ดูทีวีหรือทำ อะไรอยกู ต็ าม ฉะน้ันกิเลสเกิดเมื่อไรก็ควร“รู”เมื่อนั้น เชน ขณะน้ันโกรธสามี ภรรยา ลูก กร็ ูอาการขุน ของใจเด๋ียวนั้น ขณะนั้นมีความอยากซื้อเส้ือผา อยากด่ืมสุรา อยากกินของไมมีประโยชน ก็รู อาการอยากของใจเดยี๋ วนน้ั เปน ตน พระพทุ ธเจา ทรงรบั รองไวว า หากผปู ฏบิ ตั ิ มปี ญ ญามาก มรรคผลนพิ พานจะเกดิ ขน้ึ ภายใน ๗ วัน หากมีปญญาปานกลาง จะเกิดผลภายใน ๗ เดอื น หากมปี ญ ญานอ ย จะเกดิ ผลภายใน ๗ ป หากจะเปรียบเทียบระยะเวลาแหงการ เกิด การตาย วนเวียนซ้ำซากอยูอยางหาเบ้ืองตน และทส่ี ดุ ไมไ ด กบั การฝก เจรญิ สตเิ พยี ง ๗ ป หรอื ตลอดชีวิตนี้ ก็ตองถือวาเปนเวลาเพียงเศษเส้ียว
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๘๖ ของวินาทีเทาน้ัน แทท่ีจริงแลว การเจริญสติน้ันเปนสิ่งท่ี ควรทำตลอดชีวิต เพ่ือจิตจะไดไมจมแชอยูกับ ความลมุ หลงมวั เมา และเมอ่ื เรม่ิ เจรญิ สตยิ อ มมผี ล ใหผูปฏิบัติไดขัดเกลาจิตใจของตนเด๋ียวน้ัน จนรู เทาทันอารมณไดรวดเร็วข้ึนเร่ือยไป เปนการฝก ใหใ จคนุ เคยกบั การมสี ตมิ ากยงิ่ ขน้ึ วิธีการน้ีจึงเปนเพียงทางเลือกหน่ึงในการ เจรญิ สติ หากผอู า นฝก ปฏบิ ตั วิ ธิ กี ารใดแลว ไดผ ล พงึ ปฏบิ ตั วิ ธิ กี ารนน้ั ใหต อ เนอ่ื งเถดิ แลว จะเหน็ ผล ของการเจรญิ สตเิ อง และผูเขียนม่ันใจวาวิธีการท่ีพอแมครู อาจารยท้ังหลายแนะนำไว เปนวิธีการที่ถูกตอง ทั้งสิ้น เพราะเปนวิธีที่ทานมีประสบการณตรง ประสบความสำเร็จดวยวิธีการปฏิบัติอยางน้ัน มากอ นจงึ นำมาสง่ั สอน สว นศษิ ยจ ะประสบความ
๘๗ ฝากไวใ หค ดิ สำเร็จหรือไมก็ข้ึนอยูที่ความเพียร อุปนิสัยและ บารมธี รรมของศษิ ยเ อง หากปฏิบัติแลวไมไดผล คือปฏิบัติแลว ไมมีอะไรเปล่ียนแปลง เชนยังหลงชอบ หลงชัง, ยงั ตดิ นมิ ติ , ยงั ตดิ สขุ , ตดิ ความสงบ, ตดิ ความวา ง, ยงั สงสยั ในการปฏบิ ตั อิ ยอู ยา งไมเ ลกิ ลา, ยงั ตดิ ยดึ ในรูปแบบหรือครูบาอาจารยอยูเหมือนเดิม ก็ควร เฉลยี วใจและแสวงหาวธิ กี ารอนั เหมาะสมกบั ตนเอง อาจเปน เพราะอาจารยแ ละศษิ ยไ มเ คยเกอื้ กลู กนั มา แตอ ดตี หรอื อบุ ายธรรมของอาจารยไ มเ หมาะกบั ศิษยก็ได ไมควรยึดติดถือม่ันกับวิธีการหรือ พอแมครอู าจารยจ นเกินไปนัก และหากสำนักไหนสอนการปฏิบัติท่ีผิด เพี้ยนจากคำสอนของพระพุทธเจา หรือสอนให ยึดอารมณอื่นนอกจากกายใจแลว ผูปฏิบัติก็ควร ระแวงไวกอน
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๘๘ ผูเขียนมีความเห็นวา ไมมีวิธีการใดท่ีใช ไดก บั ทกุ คน เพราะสรา งกรรมมาแตกตา งกนั จรติ อปุ นสิ ยั จงึ ตา งกนั ไปดว ย ถาทานมีพอแมครูอาจารยอยูแลว ก็ควร ปรึกษา ขอคำช้ีแนะจากทานอยูเสมอเถิด อยามัว คาดเดาคิดหาคำตอบเอาเอง อาจหลงทางไดงาย การปฏบิ ัติธรรมก็จะกาวหนา อยางรวดเร็ว ฉะนนั้ ไมว า จะนบั ถอื ศาสนาไหน ถอื ลทั ธิ นกิ ายใด ทกุ คนกล็ ว นแตม คี วามทกุ ขท ง้ั สนิ้ จงึ ควร รีบดับทุกขของตนเอง ดวยการเจริญสติวิธีใดวิธี หน่ึง หรือวิธีการเจริญสติท้ัง ๖ ขอดังที่กลาวมา แลวนี้เถิด ไมเกิน ๓ เดือน ทานจะเห็นความ เปล่ียนแปลงของจิตใจและรับรองตนเองไดวา ชวี ติ ทม่ี คี วาม “ร,ู ตน่ื , เบกิ บาน” นนั้ เปน อยา งไร โดยไมต อ งมวี ตั ถอุ ะไรมาเตมิ เตม็ ชวี ติ กไ็ ด เพราะ ชีวิตไมสามารถเติมเต็มไดดวยวัตถุ แทจริงแลว
๘๙ ฝากไวใ หค ดิ เพียงใจรูเทาทันทุกขเทานั้น ศานติสุขก็จะเกิด ขนึ้ เอง แลว จะรวู า ความสขุ อยใู กลต วั เกนิ กวา ทค่ี ณุ คดิ ไวเ สยี อกี เพราะ...“สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ” น่เี อง
สขุ งา ยๆ แคป ลายจมกู ๙๐ เสน ทางสรา งบญุ ๑. เชิญรวมสรางอุโบสถวัดวังหิน ติดตอ บริจาคไดท่ีพระครูปลัดวิมลสิริวัฒน เจาอาวาส หรือพระมหาวิเชียร ชินวํโส โทร.๐๘-๗๓๐๘- ๔๓๘๗ หรือโอนเงินเขาบัญชีธนาคารออมสิน สาขาทา มะปราง พษิ ณโุ ลก บญั ชเี ลขที่ ๐๔- ๒๗ ๐๘-๒๐-๐๔๐๗๐๒๐ ๒. กองทุนจิตภาวนาชินวงส เพ่ือการ ปฏิบัติวิปสสนากรรมฐาน ติดตอสอบถามไดที่ คุณสมจิตร คำมินเสก โทร.๐๘-๙๖๔๔-๓๔๖๗ หรือ บริจาคโดยการโอนเงินเขาบัญชีธนาคาร ไทยพานชิ ย บญั ชเี ลขท่ี ๘๗๓-๒๐๓-๗๕๕-๙
๙๑ เสน ทางสรา งบญุ ๓. กองทุนเผยแผธรรม เพื่อผลิตส่ือวีซีดี ธรรมะและหนังสือธรรมะเพ่ือการเจริญสติ บริจาคไดท่ี พระมหาวิเชียร ชินวํโส โทร.๐๘- ๗๓๐๘-๔๓๘๗ หรือโอนเงินเขาบัญชีธนาคาร กรุงเทพฯ สาขาถนนสิงหวัฒน พิษณุโลก บัญชี เลขที่ ๕๓๕ - ๐ - ๒๒๔๕๑-๔ ๔. เพอื่ สาธารณปู โภค คา นำ้ ประปา-ไฟฟา ติดตอบริจาคไดท่ีวัดวังหิน โทร. ๐๘-๗๓๐๘- ๔๓๘๗ หรือโอนเงินเขาบัญชีธนาคารกรุงเทพฯ สาขาถนน สงิ หวฒั น พษิ ณโุ ลก บญั ชเี ลขท่ี ๕๓๕ -๐-๒๗๔๗๑๗
Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน
Search