คานา หนังสือ วิทยาศาสตร์ ต้องเรียนรุ้ เล่มนีเ้ ปนส่วนหนึ่งของวิชากรสร้างหนังสืออิเลก็ ซ่ึงข้าพเจ้า ได้รับมอบหมายจากคุณครูให้จัดทาหนังสือเล่มนีข้ ึน้ ตามความสนใจโดยบรู ณาการกบั วิชา วิทยาศาสตร์ เนือ้ หาในหนังสือเล่มนี้ ประกอบด้วยเรื่อง วิทยาศาสตร์ต้องเรียนรุ้อาทิเช่น ร่างกายของเรา ซ่ึงข้าพเจ้ารวบรวมไว้ในหนังสือเล่มนี้ ขอขอบคุณ คุณครู ประภสั สร ก๋าเขียว ท่ีแนะนาให้ปรึกษา และเพ่ือนๆ ให้คาแนะนาตลอดจนหนังสือ
สารบญั หน้า คานา 1 สารบญั 2 การยอ่ ยอารหาร 3 กระเพาะอารหาร 4 สมอง 5 การกระพบิ ตา 6 การเคลอื นที่ของแขน 7 การขยบั ขา 8 การได้รับกลน่ิ 9 แหลง่ อ้างองิ 10 ผ้จู ดั ทา 11
ย่อยอาหาร มีหลายระบบ 1. ตอ่ มนา้ ลาย (Salivary Gland) ผลติ นา้ ยอ่ ยอะไมเลส (Amylase) หรือไทยาลนิ (Ptyalin) ย่อยแป้ งให้เป็นนา้ ตาลมอลโทส 2. กระเพาะอาหาร (Stomach) ผลิต นา้ ยอ่ ยเพปซนิ ย่อยโปรตีนให้เป็ นโปรตีนสายสนั้ (เพปไทด์) และ นา้ ย่อยเรนนนิ ย่อยโปรตีนในนมให้เป็นโปรตีนเป็ นลมิ่ ๆ 3. ลาไส้เล็ก (Small Intestine) ผลิต นา้ ยอ่ ยมอลเทส ย่อยนา้ ตาลมอลโทสให้กลายเป็น นา้ ตาลกลโู คส นา้ ย่อยซเู ครส ยอ่ ยนา้ ตาลซโู ครสให้เป็นนา้ ตาลกลโู คสและนา้ ตาลฟรักโทส นา้ ย่อยแลกเทส ยอ่ ยนา้ ตาลแลกโทสให้เป็นนา้ ตาลกลโู คสและนา้ ตาลกาแลกโตส นา้ ยอ่ ยอะมิ โนเพปทเิ ดส ย่อยโปรตีนสายสนั้ ให้เป็นกรดอะมิโน 4. ตบั (Liver) ผลิตนา้ ดี ย่อยไขมนั ให้เป็นไขมนั แตกตวั เป็นเมด็ เลก็ ๆ 5. ตบั อ่อน (Pancreas) ผลิตนา้ ยอ่ ยลิเพส ย่อยไขมนั แตกตวั ให้เป็นกรดไขมนั และกลีเซ อรอล นา้ ย่อยทริปซนิ ย่อยโปรตีนให้เป็นพอลิเพปไทด์และไดเพปไทด์ นา้ ย่อยคาร์บอกซเิ พปพิ เดส ย่อยเพปไทด์ให้เป็ฯกรดอะมโิ น นา้ ยอ่ ยอะไมเลส ยอ่ ยเชน่ เดียวกบั นา้ ย่อยอะไมเลสในปาก
กระเพาะคอื อะไรน้า กระเพาะอาหาร เป็ นอวยั วะของทางเดินอาหารท่เี กี่ยวข้องกบั กระบวนการ ยอ่ ยอาหารทผ่ี ่านการเคยี ้ วภายในชอ่ งปากมาแล้ว กระเพาะอาหารยงั เป็น อวยั วะท่ีมสี ภาพแวดล้อมเป็ นกรด โดยมกั จะมีคา่ พีเอชอย่ทู ่ปี ระมาณ 1-4 โดย ขนึ ้ กบั อาหารที่รับประทานและปัจจยั อื่น ๆ นอกจากนีใ้ นกระเพาะอาหารยงั มี การสร้างเอนไซม์เพื่อชว่ ยในการย่อยอาหารอีกด้วย ในศพั ท์ทางการแพทย์จะ เรียกโครงสร้างทเ่ี กี่ยวกบั กระเพาะอาหารโดยขนึ ้ ต้นด้วยคาว่า gastro- และ gastric ซง่ึ เป็นคาในภาษาละตนิ ท่ีหมายถึงกระเพาะอาหาร
สมองมีเซลล์ สมองประกอบด้วยเซลล์สองชนดิ คือ เซลล์ประสาท และเซลล์เกลีย เกลียมีหน้าที่ในการดแู ล และปกป้ องนิวรอน นวิ รอนหรือเซลล์ประสาทเป็นเซลล์หลกั ท่ีทาหน้าที่สง่ ข้อมลู ในรูปแบบของ สญั ญาณไฟฟ้ าท่ีเรียกว่า ศกั ยะงาน (action potential) การตดิ ตอ่ ระหว่างนวิ รอนนนั้ เกิดขนึ ้ ได้โดยการหลงั่ ของสารเคมีชนิดตา่ ง ๆ ที่รวมเรียกว่า สารส่ือประสาท (neurotransmitter) ข้ามบริเวณระหวา่ งนิวรอนสองตวั ที่เรียกวา่ ไซแนปส์ สตั ว์ไม่มี กระดกู สนั หลงั เช่น แมลงตา่ ง ๆ ก็มีนวิ รอนอย่นู บั ล้านในสมอง สตั ว์มีกระดกู สนั หลงั ขนาดใหญ่ มกั จะมีนวิ รอนมากกวา่ หนงึ่ ร้อยล้านตวั ในสมอง สมองของมนษุ ย์นนั้ มีความพเิ ศษกวา่ สตั ว์ ตรงที่ว่ามีความซบั ซ้อนและใหญ่กว่าเม่ือเทียบกบั ขนาดตวั ของมนษุ ย์
ปกติทว่ั ไปคนเรากระพริบตาบอ่ ยมากระหว่างวนั โดยท่ีเราไม่รู้ตวั คนเราจะกระพริบตาได้ 15- 20 ครัง้ ตอ่ นาที แตใ่ นผ้ทู ่ีมีปัญหาสายตา สายตาไมด่ ี กล้ามเนือ้ ตาจะเกร็งตวั ทาให้จานวน ครัง้ ในการกะพริบตาลดลงมาก การอยหู่ น้าคอมพวิ เตอร์หรืออ่านหนงั สือติดต่อกนั เป็น เวลานาน กล้ามเนือ้ ตาจะเกร็งและเกิดอาการออ่ นล้า ควรกระต้นุ กล้ามเนือ้ ตาด้วยการหลบั ตา ลง แล้วลืมตาขนึ ้ เพือ่ ชว่ ยคลายการล้า อีกทงั้ ช่วยเพมิ่ ประสทิ ธิภาพในการควบคมุ กล้ามเนือ้ ตา ได้อีกด้วย ในการกระพริบตาควรหลบั ตาเพียงเบาๆอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่หลบั ตาแนน่ จนเกินไป ข้อดีของการกระพริบตา 1.ช่วยกระต้มุ ตอ่ มนา้ ตาให้มีนา้ ตาไหลออกมาในปริมาณคงที่ นา้ ตาชว่ ยให้ความชมุ่ ชืน้ แก่ ดวงตา 2. นา้ ตาซงึ่ ไหลจากตอ่ มนา้ ตาทาหน้าที่ชลุ ้างส่งิ สกปรกในดวงตา 3. การกระพริบตาเป็นการบริหารกล้ามเนือ้ ตาซง่ึ มีส่วนช่วยในการปรับโฟกสั 4. กระต้นุ การหมนุ เวียนเลือดบริเวณรอบดวงตา ชว่ ยคลายอาการเกร็งของกล้ามเนือ้ ตา 5. นา้ ตามีคณุ สมบตั ิป้ องกนั เชือ้ โรคให้ดวงตา ถือเป็นยาหยอดตาธรรมชาติ
แขนเคลื่อนท่ี แขน เป็นสว่ นหนง่ึ ในร่างกายของมนษุ ย์อย่รู ะหว่างไหลก่ บั ข้อศอก ใช้ในการเคลือ่ นที่ สตั ว์บางชนิดจะมแี ขนเชน่ ลงิ ในการหยิบจบั หรือคลาน สว่ นปลายแขนหมายถึงแขน ตงั ้ แต่ไหลจ่ นถงึ ข้อศอก ต้นแขนหมายถึงหมายถงึ แขนตงั ้ แต่ข้อศอกจนถงึ มอื แขนเคลอ่ื นท่ีได้เสมอ ถ้าเรา ทาการเคลอ่ื นที่ แขนคือสว่ นสาคญั ท่ีใช้ทางานหรือทาหน้าทต่ี า่ งๆ ควรออกกาลงั กายแขน อยา่ ง สม่าเสมอ แขน
การขยบั ขา ตอ่ ขากรรไกร เป็นข้อต่อท่ีมีเอกลกั ษณ์เฉพาะตวั จดั วา่ มีความพเิ ศษเฉพาะตวั ด้วยความที่ สามารถเคลื่อนที่ทงั้ สามมิติ มีการเคล่ือนท่ีผสมผสานกนั ระหวา่ งการหมนุ ของข้อตอ่ การเลื่อน ท่ีออกจากแอ่งของข้อตอ่ การหมนุ ในแอง่ ของข้อตอ่ นนั้ พบได้ในข้อตอ่ อ่ืน ๆ ในร่างกาย ใน ข้ขณะท่ีการเล่ือนท่ีนนั้ เป็ นลกั ษณะพเิ ศษเฉพาะของข้อต่อขากรรไกร การเคลื่อนท่ีของ ขากรรไกรนนั้ ถกู จากดั ด้วยเอ็นยดึ ซง่ึ เป็นสว่ นประกอบของข้อต่อขากรรไกร และเอน็ ยดึ ที่ ขากรรไกรลา่ งอ่ืน ๆ ด้วย การเคล่ือนที่ของขากรรไกรเกี่ยวข้องกบั เนือ้ หา 3 ส่วนคือ ประเภทของการเคล่ือนท่ีของขากรรไกรลา่ ง ประกอบด้วยการเคล่ือนท่ีชนิดหมนุ รอบแนวแกน หมนุ ต่าง ๆ และการเลื่อนที่ของข้อต่อขากรรไกร การเคลื่อนสดุ ขอบของขากรรไกรล่าง เป็นการศกึ ษาขอบเขตการเคล่ือนของขากรรไกรตาม ระนาบตา่ ง ๆ ทงั้ สามระนาบ การเคล่ือนของขากรรไกรและการบนั ทกึ การทางานของกล้ามเนือ้ (อีเอม็ จี) เป็นการศกึ ษาการ วดั สญั ญาณไฟฟ้ าของกล้ามเนือ้ ขณะท่ีมีการเคลื่อนที่ของขากรรไกรล่าง
การได้รับกล่ิน การไดก้ ล่ินจะเกิดข้ึนไดต้ ่อเม่ือ อากาศท่ีหายใจเขา้ ไปสัมผสั กบั เซลลป์ ระสาทรับกล่ิน (olfactory receptor cell) ซ่ึงอยบู่ ริเวณเพดานภายในช่องจมกู โดยเซลลป์ ระสาทรับกลิ่นน้ี จะประกอบดว้ ยเซลล์ 3 ประเภทไดแ้ ก่ เซลลป์ ระสาทรับความรู้สึกที่มีลกั ษณะเป็นขน (ciliated sensory neurons) เซลลค์ ้าจุน (supporting cells) และเซลลพ์ ้ืนฐาน (basal cells) ซ่ึงเป็น เซลลท์ ่ีอยชู่ ้นั ล่างสุดของเยอื่ บุจมูกเรียงตวั เป็นแถวเดียว
แหล่งอา้ งอิง ขอบคณุ เร่ืองจาก วิทยาศาสตร์ต้องเรียนรุ้ (ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก https://www.google.com/search?q=v%3Byp%3Bt&oq=v %3Byp%3Bt&aqs=chrome..69i57j0l4.2745j0j8&sourceid=chro me&ie=UTF-8 ขอบคณุ เร่ืองจาก อวยั วะในวทิ ยาศาสตร์ต้องเรียนรุ้ หวั ข้อเร่ือง ออนไลน์ เข้าถึงได้จาก เว็บท่ีนาข้อมลู มาใส่
ผ้จู ดั ทา ช่ือ 1 ด.ญ พชั ริยา ไชยเนตร ม.1/5 30 2ด.ช อภริ ักษ์ จนั ทรา ม1/5 17 เสนอ คณุ ครู ประภสั สร ก๋าเขียว วิชาอิเล็กทรอนกิ ส์ โรงเรียน แจ้หม่ วิทยา อาเภอแจ้หม่ จงั หวดั ลาปาง สานกั งนกั งานเขตพนื ้ ท่ีการศกึ ษาเขต 35 ภาคเรียนท2่ี ปี การศกึ ษา 2562
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: