สตั ว์โลกน่ารู้ ใสข่ อ้ ความของคณุ ทนี่ ี่
คานา รายงานฉบบั นี้เป็ นสว่ นหน่ึงของวชิ ากฎหมายในชีวติ ประ จาวนั รหสั วชิ า LW0102 โดยมี วตั ถุประสงค์ เพือ่ ใหร้ ูถ้ งึ ความส าคญั ของป่ าไม้ ป่ าสงวน และสตั ว์สงวนซงึ่ รายงานเลม่ น้ีมีเนื้อหาเกยี่ วกบั ความส าคญั ของป่ าไม้ ป่ าสงวน สตั ว์ป่ าสงวน ปญั หาของทรพั ยากรป่ าไม้ เรา สามารถน าความรูน้ ี้มาปรบั กบั การใชช้ ีวติ ประจ าวนั ของเราได้ ผจู้ ดั ท าไดเ้ ลือกหวั ขอ้ นี้ ในการท ารายงานเนื่องมาจากเป็ นเรอ่ งทนี่ ่าสนใจและ เกยี่ วขอ้ งกบั ชีวติ ประจ าวนั และไดร้ ถู้ งึ คณุ ประโยชน์ของป่ าไมใ้ นแตล่ ะวนั มาเรยี บเรียง ใหผ้ อู้ า่ นไดอ้ า่ นและเขา้ ใจไดง้ า่ ย ยงิ่ ขนึ้ ผูจ้ ดั ท าจงึ ขอขอบคณุ อาจารย์ สุรชยั อุฬารวงศผ์ ใู้ หค้ วามรูแ้ ละ แนวทางการศกึ ษา เพือ่ นๆทุกนใหค้ วาม ชว่ ยเหลือมาโดยตลอด ทางคณะผจู้ ดั ท าหวงั วา่ รายงานฉบบั นี้จะใหค้ วามรู้ และเป็ นประโยชน์แกผ่ อู้ า่ นทุก ๆ ทา่ น โดยเฉพาะเจา้ ของกจิ การ หากรายงานฉบบั น้ีมีขอ้ ผดิ พลาดประการใด เราตอ้ งขออภยั ไวน้ ะทนี่ ้ีดว้ ย
สารบญั หน้า 1 คานา หน้า 2 สาบญั หน้า 3 เสอื หน้า 4 หมี หน้า 5 ยรี าฟ หน้า 6 ชา้ ง หน้า 7 สนุ ขั หน้า 8 แมว หน้า 9 กระบือ หน้า 10 นก หน้า 11 ปลาโลมา หน้า 12 ฉลาม
เสอื เสอื เป็ นสตั ว์เลย้ี งลกู ดว้ ยนมในวงศ์ฟิ ลดิ ีซง่ึ เป็ นวงศ์เดยี วกบั แมวโดยชนดิ ทเี่ รียกวา่ เสอื มกั มขี นาดลาตวั คอ่ นขา้ งใหญก่ วา่ [1]และอาศยั อยภู่ ายในป่ า ขนาดของลาตวั ประมาณ 168 - 227 เซนตเิ มตรและหนกั ประมาณ 180 - 245 กโิ ลกรมั [2] รมู า่ นตากลม เป็ นสตั ว์กนิ เน้ือ กลมุ่ หน่ึง มลี กั ษณะและรปู รา่ งรวมทง้ั พฤตกิ รรมทเี่ ป็ นเอกลกั ษณ์ แตกตา่ งจากสตั ว์ในกลมุ่ อนื่ หากนิ เวลากลางคนื มถี น่ิ กาเนิดในป่ า เสอื สว่ นใหญย่ งั คงมคี วามสามารถในการปี น ป่ ายตน้ ไม้ ซง่ึ ยกเวน้ เสอื ชีตา้ เสอื ทกุ ชนดิ มกี รามทสี่ น้ั และแข็งแรง มเี ขยี้ ว 2 คสู่ าหรบั กดั เหยอื่ ท่วั ทง้ั โลกมสี ตั ว์ทอี่ ยูใ่ นวงศ์เสอื และแมวประมาณ 37 ชนิด ซงึ่ รวมทง้ั แมวบา้ นดว้ ย [3] เสอื จดั เป็ นสตั ว์นกั ลา่ ทมี่ คี วามสงา่ งามในตวั เอง โดยเฉพาะเสอื ขนาดใหญท่ แี่ ลดนู ่าเกรง ขาม ไมว่ า่ จะเป็ นเสอื โครง่ หรือเสอื ดาว ผูท้ พี่ บเหน็ เสอื ในครง้ั แรกยอ่ มเกดิ ความประทบั ใจ ในความสงา่ งาม แตใ่ นขณะเดียวกนั ก็เกดิ ความหวาดหว่นั เกรงขามในพละกาลงั และ อานาจภายในตวั ของพวกมนั เสอื จงึ ไดร้ บั การยกยอ่ งใหเ้ ป็ นราชาแหง่ สตั ว์ปา และเป็ น จา้ วแหง่ นกั ลา่ อยา่ งแทจ้ รงิ [4] ปจั จุบนั จานวนของเสอื ในประเทศไทยลดจานวนลงเป็ นอยา่ งมากในระยะเวลาไมถ่ งึ 10 ปี เสอื กลบั ถูกลา่ ป่ าภายในประเทศถูกทาลายเป็ นอยา่ งมาก สภาพธรรมชาตใิ นพนื้ ทตี่ า่ ง ๆ ถูกเปลยี่ นแปลงไปอยา่ งมากมาย สง่ ผลกระทบตอ่ สภาพแวดลอ้ มความเป็ นอยูข่ องมนุษย์ เอง ทกุ วนั นี้ปรมิ าณของเสอื ทจี่ ดั อยใู่ นลาดบั สดุ ทา้ ยของหว่ งโซอ่ าหารถือเป็ นสง่ิ จาเป็ น เพราะการสญู สนิ้ หรอื ลดจานวนลงอยา่ งมากของเสอื ซงึ่ เป็ นสตั ว์กนิ เนื้อ จะสง่ ผลกระทบตอ่ โครงสรา้ งและระบบนิเวศทง้ั หมด การลดจานวนอยา่ งรวดเร็วของเสอื เพยี งหนงึ่ หรือสอง ชนดิ ในประเทศไทย ทาใหป้ รมิ าณของสตั ว์กนิ พชื เพม่ิ จานวนขน้ึ อยา่ งรวดเร็ว จนทาให้ ธรรมชาตเิ สยี ความสมดลุ ในทสี่ ดุ
หมี หมี จดั อยใู่ นไฟลมั สตั ว์มแี กนสนั หลงั ชน้ั สตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนม อนั ดบั สตั ว์กนิ เน้ือ จดั อยใู่ น วงศ์ Ursidae ออกลูกเป็ นตวั ตาและใบหกู ลมเล็ก รมิ ฝี ปากยนื่ แยกหา่ งออกจากเหงอื ก สามารถยืนและ เดนิ ดว้ ยขาหลงั ได้ ประสาทการดมกลนิ่ ดกี วา่ ประสาทตาและหู กนิ ไดท้ ง้ั พืชและสตั ว์เป็ นอาหาร การจาแนก[แก]้ หมจี ดั เป็ นสตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ยนมทมี่ ขี นาดใหญ่ ปจั จุบนั ไดม้ กี ารจาแนกหมอี อกเป็ นทง้ั หมด 8 ชนิด (ไมน่ บั ชนิดยอ่ ย) โดยมกี ารกระจายพนั ธ์ไุ ปในทกุ ภมู ภิ าคของโลก ตง้ั แต่ไซบเี รียหรือขว้ั โลกเหนือ, ทวปี อเมรกิ า เหนือ, ทวีปอเมรกิ าใต,้ เอเชยี ใต,้ เอเชียตะวนั ออก และเอเชยี ตะวนั ออกเฉียงใต้ แตไ่ มพ่ บทีท่ วีป แอฟรกิ าและโอเชียเนีย[2] ชนิด[แก]้ หมแี พนดา้ หรือแพนดา้ ยกั ษ์ (Ailuropoda melanoleuca) หมแี วน่ (Tremarctos ornatus) หมดี า (Ursus americanus) หมสี นี ้าตาลหรือหมกี รซิ ลีย์ (Ursus arctos) หมหี มาหรือหมคี น (Helarctos malayanus) หมขี ว้ั โลกหรือหมขี าว (Ursus maritimus) หมคี วาย (Ursus thibetanus) หมสี ล็อธ (Ursus ursinus) ในประเทศไทยมี 2 ชนิด คอื หมคี วาย ตวั ใหญ่ ขนยาวดา ทอี่ กมขี นสขี าวรูปงา่ ม พบไดใ้ นป่ าท่วั ประเทศ และหมหี มาหรอื หมคี น ตวั เล็กกวา่ หมคี วาย ขนสน้ั ดา ทอี่ กมขี นสขี าวรปู คลา้ ยเกือกมา้ พบไดต้ ง้ั แต่คอ คอดกระลงไป
ยรี าฟ ยีราฟ (ชอื่ วทิ ยาศาสตร์: Giraffa) เป็ นสกลุ หนึง่ ของสตั ว์เลีย้ งลูกดว้ ยนมในวงศ์ Giraffidae เป็ นสตั ว์ เคย้ี วเออื้ ง มลี กั ษณะเดน่ คอื เป็ นสตั ว์ทตี่ วั สงู ขายาว ลาคอยาว มเี ขา 1 คู่ ตวั มสี เี หลืองและสนี ้าตาลเขม้ เป็ นลาย มถี นิ่ กาเนิดในทวีปแอฟรกิ า ตวั ผมู้ ีความสงู 4.8 ถงึ 5.5 เมตร (16-18 ฟุต) และมนี ้าหนกั ถงึ 200 กโิ ลกรมั (2,000 ปอนด)์ ตวั เมยี มขี นาดและความสงู น้อยกวา่ เล็กน้อย จดั เป็ นสตั ว์บกทมี่ คี วามสงู ทสี่ ดุ ในโลก ยรี าฟ มเี ขาทง้ั ตวั ผแู้ ละตวั เมยี ไมผ่ ลดั เขา ทเี่ ขามขี นปกคลุมอยู่ เขาของยีราฟเป็ นสงิ่ แสดงถงึ ความ แตกตา่ งระหวา่ งเพศ เขาของยรี าฟตวั ผดู้ า้ นบนมลี กั ษณะตดั ราบเรยี บและมีความใหญอ่ วบกวา่ ขณะที่ ของตวั เมยี จะมขี นสดี าปกคลมุ เห็นเป็ นพมุ่ ชดั เจน[1] มพี ฤตกิ รรมอาศยั อยรู่ วมเป็ นฝูงราว 15-20 ตวั หรือ มากกวา่ นน้ั ในทงุ่ โลง่ รว่ มกบั สตั ว์กนิ พชื ชนดิ อนื่ ๆ เชน่ แอนทโิ ลป, มา้ ลาย หรอื นกกระจอกเทศ เขา้ สวู่ ยั เจรญิ พนั ธ์เุ มอื่ อายุได้ 3 ปี ครง่ึ ตง้ั ทอ้ งนาน 420-461 วนั ลูกยรี าฟหยา่ นมเมอื่ อายไุ ด้ 10 เดอื น เมอื่ คลอดออกมาแล้วจะสามารถยืนและเดนิ ไดภ้ ายในเวลาไมน่ านเหมอื นสตั ว์กีบคทู่ ่วั ไป และวงิ่ ไดภ้ ายใน เวลา 2-3 วนั ตวั เมยี มเี ตา้ นมทง้ั หมด 4 เตา้ ยีราฟจะเป็ นสดั ทุก ๆ 14 วนั แตล่ ะครง้ั เป็ นอยรู่ าว 24 ช่วั โมง มีอายขุ ยั เฉลยี่ 20-30 ปี [2]
ชา้ ง ชา้ ง เป็ นสตั ว์เลย้ี งลกู ดว้ ยน้านมขนาดในวงศ์ Elephantidae ปจั จุบนั รบั รองวา่ มอี ยู่ 3 สปี ชีส์ คอื ชา้ ง แอฟรกิ า, ชา้ งป่ าแอฟรกิ า และชา้ งเอเชีย วงศ์ Elephantidaeเป็ นวงศเ์ ดยี วทยี่ งั ไมส่ ูญพนั ธ์ใุ นอนั ดบั Proboscidea สมาชกิ ทสี่ ูญพนั ธ์ไุ ปแลว้ เชน่ มาสโตดอน (mastodon) วงศ์ Elephantidae ยงั มกี ลุม่ ทบี่ ดั น้ีสญู พนั ธ์ไุ ปแลว้ หลายกลมุ่ รวมทง้ั ชา้ งแมมมอธและชา้ งงาตรง ชา้ งแอฟรกิ ามีหขู นาดใหญก่ วา่ และ หลงั เวา้ สว่ นชา้ งเอเชยี มหี ขู นาดเล็กกวา่ และมหี ลงั นูนหรอื ราบ ลกั ษณะเดน่ ของชา้ งทุกชนิดไดแ้ ก่ งวง ยาว หูกางขนาดใหญ่ ขาใหญ่ และผวิ หนงั ทหี่ นาแตล่ ะเอยี ดออ่ น งวงใชส้ าหรบั การหายใจ หยบิ จบั อาหาร และน้าเขา้ ปา และควา้ วตั ถุ งาซงึ่ ดดั แปลงมาจากฟนั ตดั ใชเ้ ป็ นทง้ั อาวุธและเครอื่ งมือสาหรบั เคลือ่ นยา้ ย วตั ถุและขดุ ดนิ หูกางขนาดใหญช่ ว่ ยในการคงอณุ หภมู กิ ายใหค้ งที่ เชน่ เดยี วกบั ใชใ้ นการสอื่ สาร ขาใหญ่ เหมอื นเสารองรบั น้าหนกั ตวั ชา้ งเป็ นสตั ว์บกขนาดใหญส่ ดุ เทา่ ทมี่ อี ยใู่ นปจั จุบนั ชา้ งกระจดั กระจายอยทู่ ่วั แอฟรกิ าใตส้ ะฮารา เอเชยี ใตแ้ ละเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ และพบไดใ้ นทอี่ ยู่ อาศยั หลากหลาย ทง้ั สะวนั นา ป่ า ทะเลทรายและทลี่ มุ่ ชน้ื แฉะ ชา้ งเป็ นสตั ว์กนิ พชื และอาศยั อยใู่ กลแ้ หลง่ น้าเมอื่ สามารถเขา้ ถงึ ได้ ชา้ งถอื เป็ นสง่ิ มชี วี ติ หลกั เนือ่ งจากผลกระทบตอ่ สง่ิ แวดลอ้ ม สตั ว์อนื่ มกั รกั ษา ระยะหา่ งจากชา้ ง โดยมขี อ้ ยกเวน้ คอื สตั ว์นกั ลา่ ชา้ ง เชน่ สงิ โต เสอื โครง่ ไฮยนี าและหมาป่ าทุกชนดิ ซงึ่ ปกตมิ กั เลือกชา้ งออ่ นเป็ นเป้ าหมายเทา่ นน้ั ชา้ งมสี งั คมฟิ ชชนั –ฟิ วชนั หมายความวา่ กลมุ่ ครอบครวั หลาย กลุม่ มารวมกนั เขา้ สงั คม ชา้ งเพศเมยี (ชา้ งพงั ) มกั อาศยั อยเู่ ป็ นกลุม่ ครอบครวั ซงึ่ อาจประกอบดว้ ยชา้ ง เพศเมยี หน่งึ ตวั และลูกชา้ งหรอื ชา้ งเพศเมยี หลายตวั ทมี่ คี วามเกยี่ วดองกนั กบั ลูก ๆ โดยไมม่ ชี า้ งเพศผู้ (ชา้ งพลาย) กลมุ่ นี้มชี า้ งพงั ทปี่ กตอิ ายมุ ากทสี่ ดุ เป็ นหวั หน้า ชา้ งพลายออกจากลมุ่ ครอบครวั เมอื่ ถงึ วยั เรม่ิ เจรญิ พนั ธ์ุ และอาจอยูส่ นั โดษหรืออยกู่ บั ชา้ งพลายตวั อนื่ ชา้ งพลายโตเต็มวยั มปี ฏสิ มั พนั ธ์กบั กลมุ่ ครอบครวั เมอื่ หาคแู่ ละเขา้ สภู่ าวะทมี่ ีเทสโทสเตอโรนและความ กา้ วรา้ วสงู ขนึ้ เรยี ก ตกมนั ซง่ึ ชว่ ยใหพ้ วกมนั ถือความเป็ นใหญแ่ ละสบื พนั ธ์ไุ ดส้ าเร็จ ลกู ชา้ งเป็ น ศนู ย์กลางความสนใจของกลุม่ ครอบครวั และตอ้ งอาศยั แมเ่ ป็ นเวลานานสดุ สามปี ชา้ งป่ ามชี ีวติ อยูไ่ ดถ้ งึ 70 ปี ชา้ งสอื่ สารกนั โดยการสมั ผสั การมองเห็น การรบั กลนิ่ และการฟงั เสยี ง ชา้ งใช้อนิ ฟราซาวน์ และ การสอื่ สารไหวสะเทือนเป็ นระยะทางไกล สตปิ ญั ญาของชา้ งเทียบไดก้ บั สตปิ ญั ญาของไพรเมตและอนั ดบั วาฬและโลมา ชา้ งดมู คี วามสานกึ เกยี่ วกบั ตนเองและแสดงความเห็นใจตอ่ ชา้ งทกี่ าลงั ตายหรือชา้ งทตี่ าย แลว้ สหภาพระหวา่ งประเทศเพอื่ การอนุรกั ษ์ธรรมชาตจิ ดั ชา้ งแอฟรกิ าเป็ นชนิดทเี่ กอื บอยใู่ นขา่ ยใกลก้ ารสญู พนั ธ์ุ และชา้ งเอเชยี เป็ นชนิดใกลส้ ญู พนั ธ์ุ ภยั คกุ คามตอ่ ประชากรชา้ งใหญส่ ดุ ประการหนึง่ คอื การคา้ งาชา้ ง ซง่ึ ทาใหช้ า้ งถกู บกุ รกุ เขา้ ไปลา่ เพือ่ เอางา ภยั คกุ คามชา้ งป่ าประการอนื่ ไดแ้ กก่ ารทาลายทอี่ ยอู่ าศยั และความขดั แยง้ กบั ประชากรทอ้ งถน่ิ มกี ารใชช้ า้ งเป็ นสตั ว์ใชแ้ รงงานในทวีปเอเชยี และยงั มกี ารจดั แสดงในสวนสตั ว์หรอื ถูกใช้ประโยชน์สาหรบั ความบนั เทงิ ในละครสตั ว์ ชา้ งเป็ นสตั ว์ทมี่ นุษย์รูจ้ กั ดแี ละ ปรากฏทง้ั ในศลิ ปะ นทิ านพืน้ บา้ น ศาสนา วรรณกรรมและวฒั นธรรมสมยั นิยม
สนุ ขั สนุ ขั มตี น้ กาเนิดมาจากสนุ ขั ป่ า มนุษย์แถบขว้ั โลกเหนือนามนั มาเลี้ยงเมอื่ ประมาณ 12,000 ปี ทแี่ ลว้ เชอื่ กนั วา่ สนุ ขั ป่ าตวั แรกนน้ั เกดิ ขน้ึ เมอื่ 100 ลา้ นปี กอ่ น การอพยพขา้ มถน่ิ และทวีปตา่ ง ๆ ทาใหส้ นุ ขั มี หลายสายพนั ธ์ุ ชาวจนี มคี วามเชอื่ วา่ สนุ ขั ทชี่ อื่ Fu มคี วามซอื่ สตั ย์ และนาความเจรญิ มาให้ เป็ นสนุ ขั คลา้ ยพนั ธ์ปุ กั กง่ิ \"ANUBIS\" ซงึ่ เป็ นชอื่ ของเทพเจา้ โรมนั ทีต่ วั เป็ นคน หวั เป็ นสนุ ขั และเชอื่ วา่ สามารถสง่ วญิ ญาณมนุษย์ได้ สนุ ขั พนั ธ์ทุ เี่ รียกไดว้ า่ เป็ นสุนขั พนั ธ์ตุ น้ ตระกูลคอื พนั ธ์ุสนุ ขั ทองทมี่ อี ยอู่ ยา่ งแพรห่ ลายในปจั จุบนั ตอ่ มามี สนุ ขั ป่ าอกี พนั ธ์ุหน่ึงทีม่ นุษย์นามาเลย้ี งมชี ือ่ ภาษาละตนิ ว่า Conis Lupeesซง่ึ แปลวา่ สนุ ขั ป่ า สนุ ขั ป่ า ชนิดน้ีจะเชอื่ งกวา่ สนุ ขั ธรรมดา มขี นยาว หางเป็ นแผง หตู ง้ั กระดกู แกม้ โหนก และหางของมนั จะเอนขนึ้ ขา้ งบน มนี ิสยั รกั อสิ ระกวา่ สนุ ขั ทอง สนุ ขั ป่ าน้ีเมอื่ มาอยูก่ บั มนุษย์ก็ผสมพนั ธ์กุ บั สนุ ขั ทอง ออกลกู หลาน สบื มาเป็ นสนุ ขั พนั ธ์ตุ า่ ง ๆ มากมาย พนั ธ์สุ นุ ขั ทเี่ ห็นทกุ วนั น้ีไดร้ บั เช้ือสายมาจากสนุ ขั พนั ธ์ทุ องเกอื บ ทง้ั หมด การคน้ ควา้ วจิ ยั และศกึ ษาเรือ่ งราวของสนุ ขั ไดม้ ขี น้ึ ในประเทศองั กฤษ ในแถบยุโรปและอเมรกิ า แลว้ จงึ แพรห่ ลายไปในสว่ นตา่ ง ๆ ของโลก ในสหรฐั อเมรกิ าไดม้ กี ารจดั ตง้ั เป็ นสมาคมผเู้ ลี้ยงสนุ ขั ขน้ึ ในปี ค.ศ. 1878 (พ.ศ. 2421) สนุ ขั พนั ธ์แุ ทช้ นดิ แรกทไี่ ดจ้ ดทะเบยี นในสหรฐั อเมรกิ าคอื สนุ ขั พนั ธ์ุองิ ลชิ เซท เตอร์ (English Setter) ในประเทศองั กฤษไดม้ กี ารรวบรวมกนั ตง้ั สมาคมผเู้ ลี้ยงสนุ ขั ขน้ึ เชน่ กนั ในปี ค.ศ. 1859 (พ.ศ. 2402) ในครง้ั แรกสมาคมนี้ไดร้ บั รองใหจ้ ดทะเบยี นสนุ ขั พนั ธ์แุ ท้ได้ 40 สายพนั ธ์ุ และไดจ้ ดั วธิ ีการรบั รองสนุ ขั พนั ธ์ตุ า่ ง ๆ เพอื่ ความเหมาะสมถงึ 2 ครง้ั ในปี ค.ศ. 1881 (พ.ศ. 2424) สมาคมน้ีไดใ้ หก้ ารรบั รองพนั ธ์แุ ทต้ า่ ง ๆ รวมเป็ นจานวน 46 พนั ธ์ุ การแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ การรบั รองเป็ น สนุ ขั พนั ธ์แุ ทเ้ ป็ นครง้ั สดุ ทา้ ย เมอื่ ปี ค.ศ. 1974 (พ.ศ. 2417) ไดม้ สี นุ ขั ทใี่ หก้ ารรบั รองทง้ั หมด 100 สาย พนั ธ์ุ สาหรบั ในประเทศไทยนน้ั กม็ ผี สู้ นใจการเล้ยี งสนุ ขั รวบรวมกนั จดั ตง้ั สมาคมขนึ้ เชน่ กนั โดยปรารถนาจะ สง่ เสรมิ บารุงและอานวยประโยชน์ใหแ้ กผ่ เู้ ล้ยี งสนุ ขั เหมอื นกบั ตา่ งประเทศ โดยใชช้ อื่ วา่ สมาคมผนู้ ยิ ม สนุ ขั แหง่ ประเทศไทย ไดท้ าการจดทะเบยี นตง้ั สมาคมเมอื่ ปี ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2498) ถือเป็ นการ วางรากฐานในการเลีย้ งสนุ ขั ขน้ึ ในประเทศไทยเป็ นแหง่ แรก และตง้ั ใจทจี่ ะใหเ้ ป็ นประโยชน์แกผ่ เู้ ลยี้ ง สนุ ขั ในประเทศไทยไดเ้ ชน่ เดยี วกบั ตา่ งประเทศ
แมว แมวมชี ือ่ เรียกท่วั ไปในภาษาลาตนิ วา่ \"เฟลสิ คาตสั \" (Felis Catus) เป็ นสตั ว์เกา่ แกด่ กึ ดาบรรพ์ แมวมอี ยใู่ นทุกทวปี รปู รา่ งลกั ษณะและโครงสรา้ งคลา้ ยคลงึ กนั แตข่ นาดอาจผดิ กนั และความยาวของขน ตา่ งกนั แมวเมอื งหนาวมขี นยาวกวา่ แมวในเมอื งรอ้ น แมวทนี่ ิยมเลี้ยงกนั มหี ลายพนั ธ์ุ เชน่ พนั ธ์เุ ปอร์เซีย และพนั ธ์ไุ ทยเป็ นตน้ ชาวตะวนั ตกเชอื่ วา่ แมวนน้ั เดมิ เป็ นสตั ว์ในแอฟรกิ า ชาวอยี ปิ ตน์ ามาเลี้ยงไวใ้ นบา้ น แมวจงึ อยกู่ บั คนเรอื่ ยมา จนในทสี่ ดุ เผา่ พนั ธ์ขุ องแมวก็กระจายไปทกุ หนทกุ แหง่ ท่วั โลก แมวพนั ธ์แุ รก คอื อบสิ ซเี นียขายาว หน้าแหลมยาว ตอ่ มาจงึ มกี ารเปลยี่ นแปลงรปู รา่ งลกั ษณะออกไปตา่ งๆ นานาตาม หลกั ทางชวี วทิ ยา แตแ่ มวทยี่ งั คงลกั ษณะรูปเดมิ คอื มีรปู รา่ งเพรยี ว หน้าแหลม ตาคม สญั นิฐานวา่ เหลอื เพยี งสามพนั ธ์ใุ นโลก คอื แมวอบสิ ซเิ นียน แมวอยี ปิ ต์ และแมวไทยแมวทง้ั สามพนั ธ์ุนี้หน้าตาไมแ่ ตกตา่ ง กนั มากนกั สองชนิดแรกสญั นิฐานวา่ อาจสญู พนั ธ์ุไปแลว้ คงเหลือแต\"่ แมวไทย\"ทนี่ บั เป็ นพนั ธ์เุ กา่ แกท่ สี่ ดุ ในโลกอยพู่ นั ธ์เุ ดยี ว บรรพบรุ ุษของแมวไทยน่าจะเป็ นแมวอยี ปิ ์ เพราะมรี ูปรา่ งหน้าตาทคี่ ลา้ ยกนั มาก โดยทที่ างอยี ปิ ตเ์ รียกแมววา่ \"เมยี ว\" มขี อ้ สนั นษิ ฐานการมาของแมวมายงั แถบตะวนั ออกวา่ วา่ ในการ เดนิ เรอื การคา้ สมยั โบราณจากอยี ปิ ต์มายงั แถบตะวนั ออก อาจจะมกี ะลาสเี อาแมวใสไ่ วใ้ นเรือเพอื่ จบั หนู แมวอยี ปิ ตจ์ งึ มาเผยแพรถ่ งึ ทางตะวนั ออกก็เป็ นได้ แตย่ งั ไมม่ หี ลกั ฐานใดทสี่ ามารถยืนยนั ในสมมตฐิ าน ขอ้ นี้ได้ นกั ชวี วทิ ยาคน้ พบวา่ บรรพบุรษุ ของแมวถือกาเนิดขนึ้ กวา่ 50 ลา้ นปี มาแล้ว เป็ นสตั ว์เลีย้ งลูกดว้ ย นม และกนิ เน้ือเป็ นอาหาร เรียกวา่ Miacis และไดว้ วิ ฒั นาการขน้ั มาจนเรมิ่ มลี กั ษณะคลา้ ยแมวเมอื่ 10 ลา้ นปี กอ่ น มขี นาดและรูปร่างใกลเ้ คยี งกบั แมวป่ าทมี่ เี ขยี้ วขนาดใหญ่ เรียกวา่ Dinistis ตน้ ตระกลู ของแมวบา้ นจรงิ ๆนน้ั แยกออกมาจากตระกลู ของ เสอื ไซบเี รยี น และแมวพ้นื เมอื งตา่ งๆ ในปจั จุบนั สายพนั ธ์แุ มวถูกรวบรวมไวถ้ งึ 36 ตระกลู 51 ชนิด (รวมทง้ั สงิ โตและเสอื ตา่ งๆดว้ ย) ตอ่ มาถงึ ยคุ อยี ปิ ตโ์ บราณ ประมาณ 4,000 กวา่ ปี กอ่ น พวกชาวนาไดน้ าแมวป่ า (แมวพนื้ เมอื งของ อยี ปิ ต)์ มาฝึ กใหเ้ ชอื่ ง เพอื่ ใชจ้ บั หนูในโรงนาและเมอื่ หนูในโรงนาหมดไป กอ้ ทาใหผ้ ลติ ผลและพืชพนั ธ์มุ ี ความเสยี หายน้อยลง ประชาชนก็มอี าหารอดุ มสมบรู ณ์ขนึ้ และไมม่ โี รคภยั ทเี่ กดิ จากหนูอกี ดว้ ยชาว อยี ปิ ตจ์ งึ นบั ถอื แมวเป็ นสตั ว์เทพเจา้ ชาวอยี ปิ ตน์ บั ถอื เทพเจา้ \"Bastet\" (เทวีบสั เตต) ซงึ่ มตี วั เป็ นคน แตม่ ี หวั เป็ นแมว เป็ นเทพเจา้ แหง่ ความรกั และความอดุ มสม บรู ณ
กระบอื ควาย หรือภาษาทางการวา่ กระบอื จดั อยใู่ นไฟลมั สตั ว์มแี กนสนั หลงั ชน้ั สตั ว์เล้ยี งลกู ดว้ ย นม เป็ นสตั ว์เลย้ี งทใี่ กลช้ ดิ กบั งานเกษตรกรรมของประเทศแถบเอเชียมากทสี่ ดุ [ตอ้ งการ อา้ งองิ ] เพราะชาวนานิยมเลีย้ งควายเป็ นแรงงานเพอื่ ไวไ้ ถนา บา้ งก็ใชค้ วายเป็ นพาหนะเขา้ ไปทาไรท่ านา บา้ งก็ฆา่ ควายกนิ เนื้อเป็ นอาหาร ควายจงึ มปี ระโยชน์หลายประการ ปจั จุบนั มกี ารใชง้ านควายน้อยลง ควายเป็ นสตั ว์มสี ขี่ า เทา้ เป็ นกีบ ตวั ขนาดใกลเ้ คยี งกบั ววั โตเต็มวยั เมอื่ อายรุ ะหวา่ ง 5-8 ปี น้าหนกั ตวั ผูโ้ ตเต็มวยั โดยเฉลยี่ 520-560 กโิ ลกรมั ตวั เมยี เฉลยี่ ประมาณ 360-440 กโิ ลกรมั ตวั ผจู้ ะใหญก่ วา่ ตวั เมยี เล็กน้อย มผี วิ สเี ทาถงึ ดา (บางตวั มสี ชี มพู เรียกวา่ ควาย เผอื ก) มเี ขาเป็ นลกั ษณะเดน่ เฉพาะตวั ปลายเขาโคง้ เป็ นวงคลา้ ยพระจนั ทร์เสยี้ ว แตถ่ า้ เป็ นควายตวั ผูท้ มี่ ลี กั ษณะดีกจ็ ะมคี นซื้อไปเป็ นพอ่ พนั ธ์ุ ควายเป็ นสตั ว์เลย้ี งลูกดว้ ยนม ลกู ควายจะกนิ นมแมจ่ นอายุประมาณ 1 ปี 6 เดือน ควายจะ เจรญิ เตบิ โตใชแ้ รงงานไดร้ ะหวา่ งอายุ 2.5-3 ปี ชว่ งทใี่ ชง้ านไดเ้ ต็มที่ คอื ระหวา่ งอายุ 6- 9 ปี ควายแตล่ ะตวั จะใชง้ านไดจ้ นอายยุ า่ งเขา้ 20 ปี อายุควายโดยทว่ั ไปเฉลีย่ ประมาณ 25 ปี
นก นกเป็ นสตั ว์สองเทา้ มปี ี ก มขี นนกคลุมทง้ั ตวั นกสว่ นมากมกั จะบนิ ไปไหนมาไหนได้ แตม่ นี กอกี หลาย ชนิด ซงึ่ มปี ี กแตก่ ็บนิ ไมไ่ ด้ เชน่ นกกระจอกเทศ นกกีวี เป็ นตน้ เป็ ดและไกก่ ็เป็ นนกชนิดหนง่ึ เหมอื นกนั แตเ่ นือ่ งดว้ ย สตั ว์สองชนิดนี้ มนุษย์ไดน้ ามาเลีย้ งจนเชอื่ งเป็ น เวลานาน ๆ จนปจั จุบนั นี้ทง้ั เป็ ดและไก่ แทบจะบนิ ไมไ่ ดเ้ ลย หรอื ไปไดก้ ็ระยะทางสน้ั ๆ เทา่ นน้ั นกสว่ นมากตา่ งมขี น ทมี่ สี สี นั สวยงามมาก เชน่ นกยูง นกหวา้ บางชนิดก็รอ้ งเพลงไดไ้ พเราะ เชน่ นก กางเขน นกเกือบทุกชนดิ มปี ระโยชน์ตอ่ มนุษย์ เพราะนกสว่ นใหญน่ น้ั กนิ แมลงและตวั หนอนเป็ น อาหาร ตวั หนอนตวั แมลงเหลา่ น้ีทาลายพืชผกั ผลไม้ ธญั ญาหาร และตน้ ไมต้ า่ ง ๆ ซง่ึ เป็ นอาหารและสง่ิ ที่ มปี ระโยชน์ตอ่ มนุษย์ทง้ั สนิ้ นกบางจาพวก เชน่ เหยยี่ ว นกเคา้ แมว นกฮกู ก็ออกจบั หนูกนิ เป็ นอาหารในเวลากลางคนื นบั วา่ มี ประโยชน์ ตอ่ มนุษย์ยงิ่ นกั ดงั นน้ั เราไมค่ วรทาลายหรอื ยงิ นกเลน่ เลย นกเป็ นสตั ว์ทปี่ ระดบั ประดาโลกใหส้ วยงาม ชว่ ยทาใหโ้ ลกน่าอยู่ น่าอาศยั ยง่ิ ขน้ึ มนี กหลายชนิดทีส่ ง่ เสยี งรอ้ ยเพลงไดไ้ พเราะ ราวกบั เสยี งดนตรี ขนนกก็ชว่ ย ทาใหโ้ ลกมสี สี นั น่าอยยู่ ง่ิ ขนึ้ นกมกั จะมขี นสี แตกตา่ ง กนั ออกไปตามชนิด บา้ งก็งดงาม สวยสดบาดตา บา้ งก็สมี วั ๆ เพอื่ ใหก้ ลมกลนื กบั ธรรมชาติ อนั เป็ นวธิ ปี ้ องกนั ตวั เอง ใหร้ อดพน้ จากศตั รูตาม ธรรมชาติ ได้ เนื่องจากนก ไมม่ อี าวธุ ตอ่ สศู้ ตั รู ยกเวน้ แตจ่ ะงอยปากและเล็บเทา้ อนั แหลมคม สาหรบั จกิ อาหาร จบั อาหารเทา่ นน้ั หาก จวนตวั ก็จะบนิ หนีศตั รูไปทนั ที นกทุกชนิดมปี ี ก และเกอื บทุกชนดิ บนิ ไดใ้ นอากาศ บางชนดิ บนิ ไดส้ งู บางชนิดบนิ ไดร้ วดเร็วมาก และ บางชนิดก็สามารถ บนิ ไดร้ ะยะทางไกล ๆ กวา่ ครง่ึ โลก แตบ่ างชนิดบนิ ไดเ้ รยี่ ๆ พ้ืนดนิ เป็ นระยะทางสน้ั ๆ นอกจากนน้ั ยงั มี นก 5-6 ชนดิ ซงึ่ บนิ ไมไ่ ดเ้ ลย นกทบี่ นิ ไมไ่ ดเ้ หลา่ นี้ เป็ นนกทกี่ าลงั จะสญู พนั ธ์ุ หมดไป นกออกลูกเป็ นไขก่ อ่ น แลว้ จงึ ฟกั กลายเป็ นตวั นกทอี่ อกจากไขร่ ะยะ แรก ๆ ตอ้ งอาศยั พอ่ นก แมน่ ก ชว่ ย เล้ยี งดอู ยูร่ ะยะหนงึ่ จงึ จะสามารถแยก จากพอ่ แมไ่ ปเรม่ิ ตน้ ชีวติ ของตนเองได้ นกออกลูกเป็ นไข่ กอ่ น แลว้ จงึ ฟกั กลายเป็ นตวั นกทอี่ อกจากไขร่ ะยะ แรก ๆ ตอ้ งอาศยั พอ่ นก แมน่ ก ชว่ ย เลย้ี งดอู ยรู่ ะยะ หน่ึง
ป00 ลาโลมา โลมา เป็ นสตั ว์เล้ียง ลูกดว้ ยน้านมจาพวกหนงึ่ อาศยั อยูท่ ง้ั ในทะเล, น้าจดื และน้ากรอ่ ย มรี ูปรา่ งคลา้ ยปลา คอื มคี รบี มหี าง แตโ่ ลมามใิ ชป่ ลา เพราะเป็ นสตั ว์เล้ียงลกู ดว้ ยน้านมทมี่ รี ก จดั อยใู่ นอนั ดบั วาฬและโลมา (Cetacea) ซง่ึ ประกอบไปดว้ ย วาฬและโลมา ซงึ่ โลมาจะมขี นาดเล็กกวา่ วาฬมาก และจดั อยใู่ นกลุม่ วาฬมฟี นั (Odontoceti) เทา่ นน้ั โลมา เป็ นสตั ว์ทรี่ บั รกู้ นั เป็ นอยา่ งดีวา่ เฉลยี วฉลาด มคี วามเป็ นมติ รกบั มนุษย์ โดยเฉพาะ อยา่ งยงิ่ จะชว่ ยชวี ติ มนุษย์เมอื่ ยามเรือแตก จนกลายเป็ นตานานหรอื เรอื่ งเลา่ ขานท่วั ไป มี อปุ นิสยั อยรู่ วมกนั เป็ นฝงู บางฝงู อาจมจี านวนมากถงึ หลกั พนั ถงึ หลายพนั ตวั วา่ ยน้าได้ อยา่ งคลอ่ งแคลว่ รวดเร็ว รวมถงึ สามารถกระโดดหมนุ ตวั ขน้ึ เหนือน้าได้ ชอบวา่ ยน้า ขนาบขา้ งหรอื วา่ ยแขง่ ไปกบั เรอื [1]
ปลาฉลามแบง่ ออกไดเ้ ป็ นหลายอนั ดบั หลายวงศ์ และหลายชนิด โดยปจั จุบนั พบแลว้ กวา่ 440 ชนิด มีขนาดลาตวั แตกตา่ งออกไปตง้ั แต่ 17 เซนตเิ มตร เทา่ นน้ั ในปลาฉลามแคระ (Etmopterus perryi) ซงึ่ เป็ นปลา ฉลามน้าลกึ ทอี่ าศยั อยใู่ นมหาสมุทรแอตแลนตกิ บรเิ วณทวีปอเมรกิ าใต้ ไป จนถงึ ปลาฉลามวาฬ (Rhincodon typus) ทมี่ ีความยาวกวา่ 12 เมตร ซงึ่ เป็ นปลาทใี่ หญท่ สี่ ุดในโลกดว้ ย[1] ปลาฉลาม ถูกแบง่ ออกเป็ น 2 ประเภทดว้ ยกนั คอื ปลาฉลามผวิ น้าและปลา ฉลามหน้าดนิ ซง่ึ มลี กั ษณะนิสยั แตกตา่ งกนั อยา่ งสน้ิ เชิง ปลาฉลามผวิ น้ามี รปู รา่ งปราดเปรียวชอบวา่ ยน้าอยตู่ ลอดเวลา ลกั ษณะของฟนั เป็ นฟนั ทมี่ ีความ แหลมคมดจุ มดี โกน เรียงกนั เป็ นแถวอยภู่ ายในปาก สว่ นฉลามหน้าดนิ มีนิสยั ชอบกบดานอยนู่ ิ่งๆมากกวา่ เคลอื่ นที่ ฟนั มีลกั ษณะเป็ นฟนั ขบ กนิ ซากสตั ว์ที่ ตายแลว้ เป็ นอาหาร ไมค่ อ่ ยดรุ า้ ยและสว่ นใหญม่ นี ิสยั ขเ้ี ลน่ ปลาฉลามทุกชนิดเป็ นปลากนิ เน้ือ มกั ลา่ สตั ว์น้าชนิดตา่ ง ๆ กนิ เป็ นอาหาร แต่ ก็มฉี ลามบางจาพวกทกี่ นิ แพลงก์ตอนเป็ นอาหาร เชน่ ปลาฉลามใน อนั ดบั Orectolobiformes ไดแ้ ก่ ปลาฉลามวาฬ, ปลาฉลามใน อนั ดบั Lamniformes เชน่ ปลาฉลามเมกาเมาท์ (Megachasma pelagios) และปลาฉลามอาบแดด(Cetorhinus maximus)
จดั ทาโดย 1 ด.ญ อรญั ญาเพชร ล่าแรง ชน้ั ม.1/5 เลขที่ 36 2 ด.ช. เทพพนม ระวงั กาย ชน้ั ม.1/5 เลขที่ 7 เสนอ ครู ประภสั สร กา๋ เขยี ว
Search
Read the Text Version
- 1 - 15
Pages: