Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore - ชาร์ลส โฟเรียร์

- ชาร์ลส โฟเรียร์

Published by tai23102528, 2021-12-20 04:37:42

Description: - ชาร์ลส โฟเรียร์

Search

Read the Text Version

คอซู้เจียง เดิม คอซู้เจียง เป็นกรรมกรรับจ้าง ปลูกผักขาย ซึ่งผักที่ท่านปลูกจะตัดตอน เจ้าเมืองระนอง เย็นเพื่ อเดินหาบในช่วงเวลาตอนกลางคืน นำไปขายผักที่ตลาดตอนเช้าจากเมืองปีนัง ไปยังเกาะหมาก ระยะทางในการเดิน ๑๘ ไมล์ อาทิตย์ละ ๑ ครั้ง ต่อมาท่านได้ อพยพมาอยู่อาศัยในประเทศไทยที่ตะกั่วป่า เมืองพังงา โดยประกอบอาชีพรับจ้าง ค้าขายและได้แต่งงานกับภรรยาคนจีนใน เมืองพังงา ภรรยาท่านมีชื่อว่า ซิมกิม เลี่ยน ซึ่งตอนนั้นอาชีพค้าขายทำให้ท่านมี กำไรมากขึ้น ท่านคอซู้เจียงจึงได้ ๔๓ พารา (ถ้าคิดเป็นเงินบาทในสมัยนั้นจะอยู่ ประมาณล้านบาทเศษ) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงได้ โปรดเกล้าให้ท่านคอซู้เจียงเป็นนายอากรดีบุกประจำแขวงเมืองระนอง และโปรด เกล้าบรรดาศักดิ์เป็นหลวงรัตนเศรษฐีอากรดีบุก ณ เวลานั้น ระนองมีประชากร เพียง ๑๗ หลังคาเรือน เป็นเมืองๆ หนึ่งที่อยู่ภายใต้ความปกครองของชุมพร แต่ ด้วยเวลานั้นประชากรมีจำนวนน้อยและไม่มีกำลังมากพอที่จะทำรายได้ส่งไปยัง กรุงเทพ ท่านคอซู้เจียงจึงได้ชักชวนคนจากเมืองจีน ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คน มา ทำงาน ช่วงต้นของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงโปรดเกล้าท่านคอซู้เจียงจากหลวงรัตนเศรษฐีอากรดีบุก แต่งตั้ง เป็นพระรัตนเศรษฐีเป็นเจ้าเมืองระนอง แต่ยังอยู่ภายใต้ความปกครองของชุมพร ซึ่งท่านได้มีการพัฒนาระนองอย่างต่อเนื่อง และได้สร้างถนนขึ้นมาจำนวน ๑๐ สาย ต่อมาเมื่อ พ.ศ.๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชการที่ ๕ ได้เสด็จมาพักแรมที่ระนอง ในวันที่ ๒๓-๒๕ เมษายน ๒๔๓๓ พระองค์ท่านทรง พระราชทานชื่อถนนที่ท่านคอซู้เจียงได้สร้างขึ้น ดังนี้

๑. ถนนท่าเมือง ๒. ถนนเรืองราษฎร์ ๓. ถนนชาติเฉลิม ๔. ถนนเพิ่มผล ๕. ถนนชลละอุ ๖. ถนนลุวัง ๗. ถนนกำลังทรัพย์ ๘. ถนนดับคดี ๙. ถนนทวีสินค้า ๑๐. ถนนผาดาด (โดยชื่อถนนได้ตั้งชื่อตามสภาพความเป็นจริง ณ เวลานั้น ) ช่วงปลายของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ท่านทรงพระราชดำริว่า “เมืองระนองเป็นเมืองเจริญแล้ว และเป็น เมืองเชอายเแวดอนตริีดตเ่ดอกัวบิปสระเทศพม่า (ซึ่งสมัยนั้นพระนางเจ้าวิคตอเรียเป็น กษัตริย์ ประเทศอังกฤษ ได้ยึดประเทศพม่าเป็นเมืองขึ้น และได้ปกครองอย่าง เข้มงวด) ระนองยังเป็นเมืองที่ขึ้นอยู่ภายใต้การปกครองของชุมพร จะเป็นการ รักษาราชการชายแดนไม่สะดวก เพราะถ้ามีปัญหาหรืออุปสรรค ท่านคอซู้เจียง เจ้าเมืองระนองต้องปรึกษาไปยังชุมพรจะตัดสินใจด้วยตนเองไม่ได้ รัชกาลที่ ๔ จึงทรงกรุณาโปรดเกล้าให้แยกระนองออกจากชุมพรไปขึ้นตรงต่อกรุงเทพ โดยตรง ยกฐานะเป็นหัวเมืองจัตวา และได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้ท่านคอซู้เจียง แต่งตั้งเป็นพระยารัตนเศรษฐี เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๐๕ พ.ศ.๒๔๑๙ เกิดเหตุการณ์กบฎขึ้นในระนอง กรรมกรเหมืองแร่ซึ่ง เป็นคนจีนที่เข้ามาทำงานในเหมืองแร่ได้ตกลงสัญญากับเจ้าของเหมืองแร่ว่า ๑ ปี จะมีการคิดบัญชีจ่ายค่าแรงให้กรรมกรในช่วงตรุษจีน แต่ในช่วงระหว่างปี กรรมกรจะใช้จ่ายกินใช้ต้องลงบัญชีไว้ในเหมือง ซึ่งสมัยนั้นเจ้าของเหมืองแร่จะ ให้ทั้งที่อยู่อาศัย ของกินของใช้ เสื้อผ้า เหล้า และฝิ่ น เพื่อไม่ต้องการให้ กรรมกรออกไปจากเหมือง แต่ปรากฎว่าใน พ.ศ.๒๔๑๙ กรรมกรกลุ่มนี้ทำงาน ทั้งปีแล้วไม่มีเงินเหลือ อีกทั้งยังเป็นหนี้กับเจ้าของเหมืองอีก จึงทำให้กรรมกร ไม่พอใจเพราะกรรมกรกลุ่มนี้ต้องใช้เงินในช่วงตรุษจีน จึงรวมกลุ่มปล้นระนอง ซึ่งสมัยนั้นท่านคอซู้เจียงเป็นเจ้าเมืองระนอง จึงมีการระดมพลจากชุมพรและ หลังสวนมาช่วยสู้ (เพราะประชากรคนระนองมีน้อย) ผลปรากฎว่ากรรมกรสู้ไม่ ได้จึงหนีไปปล้นเมืองภูเก็ตแทน จากนั้นล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าเลื่อน ตำแหน่งท่านจากเจ้าเมืองระนอง เป็นจางวางกำกับราชการเมืองระนอง และ โปรดเกล้าเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นขนิษฐาพระดำรงสุจริตมหิศรภักดี ซึ่งตอนนั้น ท่านอายุ ๘๐ ปี

ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าให้บุตรชายของท่านคนที่ ๒ ที่มีชื่อจีนว่า คอซิมก๊อง เป็นเจ้าเมืองระนองคนต่อมา ได้รับแต่งตั้งเป็นพระยารัตน เศรษฐีแทนท่านคอซู้เจียง หลังจากนั้นท่านคอซิมก๊องจึงได้สร้างกำแพง เมืองสูงประมาณ ๕ เมตรเพื่อป้องกันโจร (แต่ไม่ได้สร้างกำแพงเพื่อไว้สู้ รบกับใคร) การสร้างกำแพงสมัยนั้นไม่มีปูนซีเมนต์ เขาใช้ดินเป็นตัวสออิฐ ลักษณะคือ อิฐ ดิน อิฐ ดิน ก่อขึ้นมาเป็นชั้นๆ แต่เนื่องจากระนองเป็น เมืองฝนกำแพงได้เสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ (ปัจจุบันกรมศิลปากรได้ ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และได้บูรณะตามร่องรอยประวัติศาสตร์) ซึ่ง ท่านคอซู้เจียงได้อนิจกรรม อายุ ๘๖ ปี และศพท่านได้ฝังตามธรรมเนียม ของจีนที่ภูเขา ภูเขามีชื่อว่า “เขาระฆังทอง” สุสานของท่านได้สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๖ โดยใช้เงินในการสร้าง ๖๐๐ ชั่ง (ประมาณ ๔๘,๐๐๐ บาท ใน สมัยนั้น) บริเวณที่ตั้งล้นเกล้ารัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานให้เป็นสุสานประจำ ตระกูล


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook