ประวัติ คอซู้เจียง
คอซู้เจียง เป็นจีนฮกเกี้ยน เกิดที่เมือง เจียงจิวหูในประเทศจีน พ.ศ.๒๓๔๐ ตอนอายุ ๒๕ ปี ได้ออกจากเมืองจีน มายังเกาะหมาก ประกอบอาชีพ กรรมกรพอเก็บเงินได้บ้าง ก็เข้ามาอยู่ ที่เมืองตะกั่วป่า เพื่อทำการค้าขาย ได้ คคออซซู้เจีียยงง อาศัยความอุปการะของท้ายเทพสุนทร ซึ่งเป็นสตรีมีทุนทำการค้าขายอยู่ใน เจ้าเมืองรระะนนอองง จังหวัดนั้น จนมีทุนมากขึ้นเห็นว่าเมือง พังงามีทำเลค้าขายดีกว่าที่เมือง ตะกั่วป่า จึงได้สร้างบ้านเพื่ออยู่เป็น หลักแหล่งที่ตลาดเมืองพังงา (ใน รัชกาลที่ ๑) ได้หญิงไทยชาวเมืองเป็นภริยา ชื่อว่า ซิมกิมเลี่ยน มีบุตรด้วยกัน ๕ คน จนทำมาหากินมีทุนมากขึ้น จึงคิดต่อเรือกำปั่ นใบลำหนึ่ง แล้วจากนั้นลง เรือทำการค้าขาย รับซื้อสินค้าที่เกาะหมากขายตามหัวเมืองชายทะเลตะวันตกไป จนถึงเมืองระนอง เมืองตระ และรับซื้อสินค้าตามหัวเมืองเหล่านั้นที่มีดีบุก นำไปขายยังเกาะหมาก อาศัยการค้าขายเช่นนี้จึงได้รู้เบาะแสที่ทำมาหาผล ประโยชน์ทางหัวเมืองฝ่ายทะเลตะวันตกมาเห็นว่าเมืองระนองเป็นทำเลที่มีดีบุก แต่ผู้ที่จะทำการขุดแร่เพื่อนำไปขายยังมีน้อย จึงคิดจะทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการ ค้าดีบุกที่เมืองระนอง ให้เป็นการใหญ่โตขึ้นโดยไม่ต้องแย่งชิงกับผู้อื่น จึงได้เข้า มาขอผูกอากรดีบุกที่เมืองระนอง ภายหลังได้ยกครอบครัวมาตั้งภูมิลำเนาอยู่ เมืองระนอง (มีบุตรเกิดด้วยภรรยาอื่นอีกคน ๑) ซึ่งบ้านเดิมที่ตลาดเมือง พังงาก็ยังให้รักษาไว้เพื่อเป็นการไม่ประมาท หมายถึง ถ้าทำอาชีพที่เมืองระนอง ไม่สำเร็จ ก็จะกลับไปอยู่ที่เมืองพังงา อีกทั้งเมืองพังงานั้นยังรักษาไว้เป็นที่ระลึก ต่อมาจนถึงชั้นลูก หลานได้
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงได้ โปรดเกล้าให้ท่านคอซู้เจียงเป็นนายอากรดีบุกประจำแขวงเมืองระนอง และ โปรดเกล้าบรรดาศักดิ์เป็นหลวงรัตนเศรษฐีอากรดีบุก ณ เวลานั้นระนองมี ประชากร เพียง ๑๗ หลังคาเรือน เป็นเมืองๆ หนึ่งที่อยู่ภายใต้ความปกครอง ของชุมพร แต่ด้วยเวลานั้นประชากรมีจำนวนน้อยและไม่มีกำลังมากพอที่ทำ แร่ดีบุก รายได้ส่งไปยัง กรุงเทพ ท่านคอซู้เจียงจึงได้ชักชวนคนจากเมืองจีน ประมาณ ๕๐๐-๖๐๐ คน มาทำงาน ทำให้เมืองระนองมีความเจริญขึ้น ช่วงต้นของสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงโปรดเกล้าท่านคอซู้เจียงจากหลวงรัตนเศรษฐีอากรดีบุก แต่งตั้ง เป็นพระรัตนเศรษฐีเป็นเจ้าเมืองระนอง แต่ยังอยู่ภายใต้ความปกครองของ ชุมพร ซึ่งท่านได้มีการพัฒนาระนองอย่างต่อเนื่อง และได้สร้างถนนขึ้นมา จำนวน ๑๐ สาย (โดยท่านคอซู้เจียงหาเงินมาสร้างด้วยตนเอง) ช่วงตอน ปลายรัชกาลที่ ๔ พระองค์ทรงพระราชดำริว่า เมืองระนองเป็นเมืองที่เจริญ แล้วและมีชายแดนติดต่อเมืองพม่า ณ เวลานั้นพระนางเจ้าวิคตอเรียเป็น กษัตริย์ประเทศอังกฤษยึดพม่าเป็นเมืองขึ้นแล้ว และได้ปกครองพม่าอย่างเข็ม งวดกวดขัน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำริว่าถ้ายังให้ ระนองเป็นเมืองขึ้นอยู่กับเมืองชุมพร จะเป็นการรักษาชายแดนไม่สะดวกเพราะ ถ้ามีเรื่องราวในเมืองระนองต้องมีการรายงาน และต้องมีการปรึกษาไปยัง เมืองชุมพร ซึ่งไม่สามารถตัดสินใจเองได้ ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้ายก ฐานะเป็นหัวเมืองจัตวา คือแยกระนองออกจากเมืองชุมพรไปขึ้นตรงต่อ กรุงเทพฯ อีกทั้งยังได้เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้ท่านคอซู้เจียงแต่งตั้งเป็น “พระยา รัตนเศรษฐี” เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๐๕
พ.ศ.๒๔๑๙ เกิดเหตุการณ์กบฎขึ้นในระนอง กรรมกรเหมืองแร่ซึ่งเป็นคน จีนที่เข้ามาทำงานในเหมืองแร่ได้ตกลงสัญญากับเจ้าของเหมืองแร่ว่า ๑ ปีจะมี การคิดบัญชีจ่ายค่าแรงให้กรรมกรในช่วงตรุษจีน แต่ในช่วงระหว่างปีกรรมกร จะใช้จ่ายกินใช้ต้องลงบัญชีไว้ในเหมือง ซึ่งสมัยนั้นเจ้าของเหมืองแร่จะให้ทั้งที่อยู่ อาศัย ของกินของใช้เสื้อผ้า เหล้า และฝิ่ น เพื่อไม่ต้องการให้กรรมกรออกไปจาก เหมือง แต่ปรากฎว่าใน พ.ศ.๒๔๑๙ กรรมกรกลุ่มนี้ทำงานทั้งปีแล้วไม่มีเงินเหลือ อีกทั้งยังเป็นหนี้กับเจ้าของเหมืองอีก จึงทำให้กรรมกรไม่พอใจเพราะกรรมกร กลุ่มนี้ต้องใช้เงินในช่วงตรุษจีน จึงรวมกลุ่มปล้นระนองซึ่งสมัยนั้นท่านคอซู้เจียง เป็นเจ้าเมืองระนอง จึงมีการระดมพลจากชุมพรและหลังสวนมาช่วยสู้ (เพราะ ประชากรคนระนองมีน้อย) ผลปรากฎว่ากรรมกรสู้ไม่ได้จึงหนีไปปล้นเมืองภูเก็ต แทน จากนั้นล้นเกล้ารัชกาลที่๕ โปรดเกล้าเลื่อนตำแหน่งท่านจากเจ้าเมือง ระนอง เป็นจางวางกำกับราชการเมืองระนอง และโปรดเกล้าเลื่อนบรรดาศักดิ์ จากพระยารัตนเศรษฐีเป็นพระดำรงสุจริตมหิศรภักดีซึ่งตอนนั้นท่านอายุ ๘๐ ปี และพระองค์ท่านทรงโปรดเกล้าให้บุตรชาย ของท่านคนที่ ๒ ที่มีชื่อจีนว่า คอซิมก๊อง เป็นเจ้าเมืองระนองคนต่อมา หลังจากนั้นท่านคอซิมก๊องจึงได้สร้างกำแพงเมือง (ค่ายเจ้าเมืองระนอง) สูงประมาณ ๕ เมตรเพื่อ ป้องกันโจร (แต่ไม่ได้สร้างกำแพงเพื่อไว้สู้รบกับใคร) การสร้างกำแพงสมัยนั้นไม่มีปูนซีเมนต์เขาใช้ดินเป็นตัวสออิฐ ลักษณะ คือ อิฐ ดิน อิฐ ดิน ก่อขึ้นมาเป็นชั้นๆ กำแพงเมืองจวนเจ้าเมืองระนอง
แต่เนื่องจากระนองเป็นเมืองฝนกำแพงได้เสื่อมสลายไปตามธรรมชาติ (ปัจจุบันกรม ศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน และได้บูรณะตามร่องรอย ประวัติศาสตร์) ซึ่งท่านคอซู้เจียงได้อนิจกรรม อายุ ๘๖ ปี เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๕ และศพท่านได้ฝังตามธรรมเนียม ประเพณีจีนที่ภูเขา ภูเขามีชื่อว่า “เขาระฆังทอง” สุสานของท่านได้สร้างเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๖ โดยใช้เงิน ในการสร้าง ๖๐๐ ชั่ง (ประมาณ ๔๘,๐๐๐ บาท ในสมัย นั้น) บริเวณที่ตั้งสุสานนั้นล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานให้เป็นสุสาน ประจำตระกูล ณ ระนอง สุสาน ณ เขาระฆังทอง
ค่ายเจ้าเมืองระนอง (ปัจจุบัน) เรือนรับรอง ห้องครัว อาคารคลังสินค้า อาคาร ๑๕ ห้อง
บุตรของท่านคอซู้เจียง บุตรของท่านคอซู้เจียง ได้แต่งงานกับหญิงไทยชาวเมืองพังงา มีบุตรด้วยกัน ๕ คน คนที่ ๑ ชื่อ คอซิมเจ่ง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชการที่ ๔ เป็น ที่หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วถึงแก่กรรม ในตำแหน่งนั้น คนที่ ๒ ชื่อ คอซิมก๊อง ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชการที่ ๔ เป็นที่หลวงศรีโลหภูมิพิทักษ์ ถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เลื่อนขึ้นเป็นพระศรีโลหภูมิ พิทักษ์ และเป็นพระยารัตนเศรษฐีผู้ว่าราชการเมืองระนองแทนบิดา ต่อมาได้ เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดีสมุหเทศาภิบาลมณฑล ชุมพร คนที่ ๓ ชื่อคอซิมจั้ว ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชการที่ ๕ เป็น หลวงศรีสมบัติ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วถึงแก่กรรม คนที่ ๔ ชื่อคอซิมซิม ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชการที่ ๕ เป็น หลวงแล้วเลื่อนเป็นพระศรีโลหภูมิพิทักษ์ ผู้ช่วยราชการเมืองระนอง แล้วได้ เลื่อนขึ้นเป็นพระยาอัษฎงคตทิศรักษา ผู้ว่าราชการเมืองตระบุรี (เป็นตำแหน่ง กิติมศักดิ์ ด้วยในชั้นหลังมาเมืองตระจัดลงเป็นอำเภอขึ้นเมืองระนอง) คนที่ ๕ ชื่อคอซิมเต็ก ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรในรัชกาลที่ ๕ เป็น พระแล้วเลื่อนเป็นพระยาจรูญราชโภคากร ผู้ว่าราชการเมืองหลังสวน เมื่อท่านคอซู้เจียง ไปอยู่ที่เมืองระนองแล้วมีบุตรเกิดด้วยภรรยาอื่น อีก ๑ คน คนที่ ๖ ชื่อคอซิมบี๋ ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ ๕ ได้รับ พระราชทานสัญญาบัตรเป็นหลวงบริรักษ์โลหวิสัย ตำแหน่งผู้ช่วยราชการเมือง ระนอง แล้วเลื่อนเป็นที่พระอัษฎงคตทิศรักษา ผู้ว่าราชการเมืองตระบุรี (เมื่อ ยังเป็นหัวเมืองจัตวา) ต่อมาได้เลื่อนเป็นพระยารัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี ผู้ว่าราชการเมืองตรัง แล้วเลื่อนขึ้นเป็น สมุหเทศาภิบาลมณฑลภูเก็ต
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ให้ชื่อพระที่นั่ง ชื่อเขา และชื่อถนน ๑๐ สาย ดังนี้ พระที่นั่ง ชื่อว่า \"รัตนรังสรรค์\" แปลว่า พระยารัตนเศรษฐี ภูเขา ชื่อว่า \"นิเวศคีรี\" ถนน ๑๐ สาย ได้กำหนดเส้นทางและชื่อเรียกถนน ดังนี้ ถนนที่ ๑ ถนนตั้งแต่ตะพานท่าน้ำจนสุดตลาด ชื่อ “ถนนท่าเมือง” ถนนที่ ๒ ถนนตั้งแต่สามแยกตลอดไปจนถึงตะพานยูงชื่อ “ถนนเรืองราษฎร์” ถนนที่ ๓ ถนนตั้งแต่ตะพานยูงไปจนถึงห้องซุ้ยชื่อ “ถนนชาติเฉลิม” ถนนที่ ๔ ถนนตั้งแต่เหมืองดีบุกไปถึงหลุมถ่านชื่อ “ถนนเพิ่มผล” ถนนที่ ๕ ถนนตั้งแต่สี่แยกบ้านพระยาระนองถึงบ่อน้ำร้อนชื่อ “ถนนชลรอุ” ถนนที่ ๖ ถนนผ่านหน้าวังชื่อ “ถนนลุวัง” ** หมายเหตุ สมัยก่อนเรียกว่า \"สะพาน\" ว่า \"ตะพาน\"
จวนเจ้าเมืองระนอง อาคาร ๔ ชั้น ฐานอาคารทำจากปูน ต่อด้วยไม้เนื้อแข็งเป็นตัวอาคาร หลังคาทำจากเหล็กเป็นลอน ลักษณะคล้ายกับหลังคาสังกะสีในปัจจุบัน
เรือนรับรอง
พระที่นั่งรัตนรังสรรค์
ศาลากลางจังหวัดระนอง
๐๗๗- ๘๖๒๐๘๒ นายโกศล ณ ระนอง ผู้ให้ข้อมูล นางสาวปิยะธิดา เขียวไข่กา ผู้เรียบเรียงข้อมูล นายอิทธิรักษ์ ราชรักษ์ บันทึก ภาพ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๕
Search
Read the Text Version
- 1 - 13
Pages: