Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore e-book เรื่องที่ 1 ประวัติพระพุทธเจ้า

e-book เรื่องที่ 1 ประวัติพระพุทธเจ้า

Published by k.neaw2521, 2020-08-15 04:45:39

Description: e-book เรื่องที่ 1 ประวัติพระพุทธเจ้า

Search

Read the Text Version

ประวตั พิ ระพุทธเจ้า \"ศาสนาพทุ ธ\" เปน็ ศาสนาประจาชาตไิ ทยของเรา แล้วมีสักกค่ี นเอ่ย...ทท่ี ราบถึงประวตั ขิ อง \"พระ สมั มาสัมพุทธเจ้า\" ผู้ทรงเป็น \"พระศาสดา\" ของ \"พระพทุ ธศาสนา\" วนั น้กี ระปุกจึงนาเร่ืองราวพทุ ธ ประวัติ หรือ ประวัติพระพุทธเจา้ มาฝากกันค่ะ พระพุทธเจ้าทรงมีพระนามเดิมว่า \"สทิ ธตั ถะ\" หมายถึง ผู้ท่ีสาเร็จความมุ่งหมายแล้ว หรอื ผูป้ รารถนา สง่ิ ใด ย่อมไดส้ งิ่ นัน้ ทรงเป็นพระราชโอรสของพระเจา้ สุทโธทนะ กษัตรยิ ์ผูค้ รองกรุงกบลิ พสั ดุ์ แคว้นสักกะ และ \"พระนางสริ ิมหามายา\" พระราชธดิ าของกษตั รยิ ร์ าชสกุลโกลิยวงศแ์ หง่ กรงุ เทวทหะ แควน้ โกลิยะ ในคนื ที่พระพุทธเจ้าเสดจ็ ปฏิสนธิในครรภ์พระนางสิรมิ หามายา พระนางทรงพระสุบนิ นิมติ ว่า มี ชา้ งเผอื กมงี าสามคู่ได้เข้ามาสู่พระครรภ์ ณ ท่ีบรรทม ก่อนท่พี ระนางจะมพี ระประสูติกาล ทีใ่ ต้ตน้ สาละ ณ สวนลุมพินวี ัน เม่ือวนั ศกุ ร์ ขึ้น 15 คา่ เดอื นวิสาขะ ปีจอ 80 ปีก่อนพทุ ธศกั ราช (ปัจจบุ นั สวนลุมพนิ วี นั อยูใ่ น ประเทศเนปาล) ทันทีทปี่ ระสตู ิ เจา้ ชายสิทธตั ถะทรงดาเนินด้วยพระบาท 7 กา้ ว และมีดอกบวั ผดุ ขึ้นมารองรับพระ บาท พรอ้ มเปลง่ พระวาจาวา่ \"เราเป็นเลศิ ทีส่ ดุ ในโลก ประเสรฐิ ทสี่ ดุ ในโลก การเกดิ ครั้งนเี้ ปน็ คร้งั สุดทา้ ย ของเรา\" แต่หลังจากเจ้าชายสิทธัตถะประสตู ิกาลได้แล้ว 7 วนั พระนางสิริมหามายากเ็ สดจ็ สูส่ วรรคาลัย เจ้าชายสทิ ธตั ถะจงึ อยใู่ นความดูแลของพระนางประชาบดีโคตมี ซ่งึ เป็นพระกนิษฐาของพระนางสริ ิมหามายา ทงั้ น้ี พราหมณท์ งั้ 8 ได้ทานายวา่ เจ้าชายสทิ ธตั ถะมีลกั ษณะเป็นมหาบุรษุ คือ หากดารงตนในฆราวาส จะได้เป็นจักรพรรดิ ถ้าออกบวชจะไดเ้ ป็นศาสดาเอกของโลก แต่โกณฑัญญะพราหมณ์ ผู้อายุนอ้ ยท่สี ุดใน จานวนนนั้ ยนื ยนั หนักแน่นว่า พระราชกมุ ารสทิ ธัตถะจะเสด็จออกบวช และจะไดต้ รัสรู้เป็นพระพุทธเจา้ แน่นอน ประวตั พิ ระพุทธเจา้ : ชีวิตในวยั เด็ก เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงศกึ ษาเลา่ เรยี นจนจบศลิ ปศาสตรท์ งั้ 18 ศาสตร์ ในสานักครูวศิ วามติ ร และ เนือ่ งจากพระบดิ าทรงไม่มีพระประสงค์ใหเ้ จา้ ชายสิทธัตถะเปน็ ศาสดาเอกของโลก จึงพยายามทาใหเ้ จ้าชาย สทิ ธตั ถะพบเหน็ แต่ความสขุ โดยการสรา้ งปราสาท 3 ฤดู ใหป้ ระทบั และจัดเตรียมความพรอ้ มสาหรบั การ ราชาภเิ ษกให้เจ้าชายข้ึนครองราชย์ เมอื่ มีพระชนมายุ 16 พรรษา ทรงอภิเษกสมรสกบั พระนางพมิ พา หรอื ยโสธรา พระธดิ าของพระเจ้า กรงุ เทวทหะ ซ่ึงเป็นพระญาติฝ่ายพระมารดา จนเม่ือมพี ระชนมายุ 29 พรรษา พระนางพมิ พาได้ประสูติพระ

ราชโอรส มพี ระนามว่า \"ราหลุ \" ซ่งึ หมายถงึ \"บ่วง\" ประวัตพิ ระพทุ ธเจ้า : เสดจ็ ออกผนวช ประวตั ิพระพุทธเจา้ วันหน่งึ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะทรงเบอ่ื ความจาเจในปราสาท 3 ฤดู จึงชวนสารถีทรงรถม้าประพาสอุทยาน ครง้ั นนั้ ได้ทอดพระเนตรเห็นคนแก่ คนเจบ็ คนตาย และนักบวช โดยเทวทูต (ทูตสวรรค)์ ทแ่ี ปลงกายมา พระองคจ์ ึงทรงคิดได้วา่ นเ่ี ปน็ ธรรมดาของโลก ชีวิตของทุกคนตอ้ งตกอย่ใู นสภาพเช่นนนั้ ไมม่ ใี ครสามารถ หลกี เล่ียงเกดิ แก่ เจบ็ ตายได้ จึงทรงเห็นว่าความสขุ ทางโลกเปน็ เพยี งภาพมายาเท่าน้ัน และวิถีทางท่จี ะพน้ จากความทุกข์ คือต้องครองเรือนเป็นสมณะ ดังน้ัน พระองคจ์ งึ ใคร่จะเสดจ็ ออกบรรพชา ในขณะทมี่ ี พระชนมายุ 29 พรรษา คราน้ันพระองคไ์ ด้เสดจ็ ไปพร้อมกับนายฉนั ทะ สารถี ซึง่ เตรียมม้าพระทนี่ ่งั นามว่า กัณฑกะ มุ่งตรงไป ยงั แม่นา้ อโนมานที ก่อนจะประทับบนกองทราย ทรงตัดพระเมาลดี ว้ ยพระขรรค์ และเปล่ียนชุดผ้ากาสาวพตั ร์ (ผ้ายอ้ มด้วยรสฝาดแหง่ ตน้ ไม้) และใหน้ ายฉนั ทะ นาเคร่อื งทรงกลับพระนคร กอ่ นทีพ่ ระองคจ์ ะเสดจ็ ออก มหาภเิ นษกรมณ์ (การเสดจ็ ออกเพื่อคณุ อนั ย่งิ ใหญ่) เพยี งลาพัง เพื่อมุ่งพระพักตร์ไปยังแควน้ มคธ ประวัตพิ ระพทุ ธเจา้ : บาเพญ็ ทุกรกริ ยิ า หลังจากทรงผนวชแล้ว พระองคม์ ุ่งไปที่แม่นา้ คยา แคว้นมคธ ได้พยายามเสาะแสวงทางพน้ ทุกข์ ดว้ ย การศึกษาค้นควา้ ทดลองในสานกั อาฬารดาบส กาลามโคตร และอทุ กดาบส รามบุตร แตเ่ ม่ือเรียนจบทง้ั 2 สานกั แลว้ ทรงเห็นวา่ นีย่ ังไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จากนน้ั พระองค์ไดเ้ สดจ็ ไปทแี่ ม่นา้ เนรัญชรา ในตาบลอุรเุ วลาเสนานิคม และทรงบาเพญ็ ทุกรกิรยิ า ด้วยการขบฟัน กลัน้ หายใจและอดอาหาร จนรา่ งกายซูบผอม แต่หลงั จากทดลองได้ 6 ปี ทรงเหน็ ว่าน่ียังไม่ใช่ ทางพน้ ทกุ ข์ จงึ ทรงเลกิ บาเพ็ญทุกรกริ ิยา และหันมาฉนั อาหารตามเดมิ ด้วยพระราชดาริตามท่ีทา้ วสักก เทวราชไดเ้ สด็จลงมาดีดพณิ ถวาย 3 วาระ คอื ดีดพณิ สายที่ 1 ขงึ ไว้ตึงเกินไป เมื่อดดี กจ็ ะขาด ดดี พิณวาระที่ 2 ซึ่งขงึ ไวห้ ยอ่ น เสียงจะยืดยาดขาดความไพเราะ และวาระท่ี 3 ดดี พณิ สายสดุ ท้ายทีข่ ึงไว้พอดี จึงมเี สยี งกังวาน

ไพเราะ ดังนนั้ จงึ ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ ทางสายกลางคือไม่ตึงเกนิ ไป และไม่หยอ่ นเกินไป น่ันคอื ทางที่จะนาสู่ การพน้ ทุกข์ หลงั จากพระองค์เลกิ บาเพ็ญทุกรกริ ิยา ทาให้พระปัญจวคั คยี ท์ ั้ง 5 ได้แก่ โกณฑญั ญะ วัปปะ ภทั ทิยะ มหานามะ อสั สชิ ท่มี าคอยรบั ใช้พระองค์ดว้ ยความคาดหวังว่าเม่อื พระองค์คน้ พบทางพน้ ทกุ ข์ จะไดส้ อนพวก ตนให้บรรลุด้วย เกดิ เสอื่ มศรัทธาท่ีพระองคล์ ม้ เลกิ ความตั้งใจ จึงเดินทางกลับไปทีป่ ่าอสิ ิปตนมฤคทายวนั ตาบลสารนาถ เมอื งพาราณสี ประวตั ิพระพุทธเจา้ : ตรัสรู้ ประวัตพิ ระพทุ ธเจา้ คราน้ันพระองคท์ รงประทบั นัง่ ขัดสมาธใิ ต้ตน้ พระศรมี หาโพธ์ิ ณ อรุ ุเวลาเสนานิคม เมืองพาราณสี หนั พระพักตร์ไปทางทศิ ตะวันออก และต้งั จติ อธิษฐานดว้ ยความแน่วแน่วา่ ตราบใดทย่ี ังไม่บรรลุสัมมาสัมโพธญิ าณ กจ็ ะไมล่ กุ ข้ึนจากสมาธิบลั ลงั ก์ แมจ้ ะมหี มู่มารเข้ามาขดั ขวาง แต่ก็พา่ ยแพ้พระบารมีของพระองค์กลบั ไป จน เวลาผ่านไปในที่สุดพระองค์ทรงบรรลรุ ปู ฌาน คือ ยามตน้ หรอื ปฐมยาม ทรงบรรลปุ พุ เพนิวาสานุสสติญาณ คือ สามารถระลกึ ชาติได้ ยามสอง ทางบรรลจุ ุตูปปาตญาณ (ทพิ ยจักษญุ าณ) คือ รู้เรือ่ งการเกดิ การตายของสัตวท์ งั้ หลายวา่ เป็นไปตามกรรมท่ีกาหนดไว้ ยามสาม ทรงบรรลอุ าสวกั ขยญาณ คือ ความรู้ที่ทาให้สิ้นอาสวะ หรือกเิ ลส ด้วยอริยสจั 4 ได้แก่ ทุกข์ สมทุ ัย นโิ รธ และมรรค และไดต้ รสั รู้ด้วยพระองคเ์ องเป็นพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ และเป็นศาสดาเอกของโลก ซึ่ง วันทพี่ ระสมั มาสมั พทุ ธเจ้าตรัสรู้ ตรงกบั วันเพ็ญ เดือน 6 ขณะที่มพี ระชนมายุ 35 พรรษา ประวัติพระพุทธเจา้ : แสดงปฐมเทศนา หลังจากพระสมั มาสัมพทุ ธเจ้าตรสั รแู้ ล้ว ทรงพจิ ารณาธรรมที่พระองค์ตรสั ร้มู าเป็นเวลา 7 สัปดาห์

และทรงเห็นว่าพระธรรมนนั้ ยากต่อบุคคลทวั่ ไปทจี่ ะเขา้ ใจและปฏบิ ัติได้ พระองคจ์ งึ ทรงพิจารณาวา่ บคุ คลใน โลกนี้มหี ลายจาพวกอย่าง บวั 4 เหลา่ ท่มี ีทงั้ ผูท้ ีส่ อนได้งา่ ย และผู้ทีส่ อนไดย้ าก พระองค์จึงทรงระลกึ ถงึ อาฬา รดาบสและอุทกดาบส ผ้เู ป็นพระอาจารย์ จึงหวงั เสด็จไปโปรด แต่ทง้ั สองทา่ นเสยี ชีวิตแลว้ พระองคจ์ ึงทรง ระลกึ ถงึ ปัญจวัคคยี ์ท้ัง 5 ทีเ่ คยมาเฝ้ารบั ใช้ จึงไดเ้ สดจ็ ไปโปรดปัญจวัคคีย์ที่ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวัน ธรรมเทศนากณั ฑ์แรกท่พี ระองค์ทรงแสดงธรรมคอื \"ธมั มจักกปั ปวตั ตนสูตร\" แปลว่า สตู รของการ หมุนวงล้อแห่งพระธรรมใหเ้ ป็นไป ซ่ึงถือเปน็ การแสดงพระธรรมเทศนาครง้ั แรก ในวนั เพ็ญ ขึน้ 15 คา่ เดือน 8 ซึง่ ตรงกับวนั อาสาฬหบชู า ในการน้พี ระโกณฑญั ญะได้ธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมเปน็ คนแรก พระพทุ ธองค์จงึ ทรงเปล่งวาจา ว่า \"อญั ญาสิ วตโกณฑัญโญ\" แปลวา่ โกณฑญั ญะไดร้ ูแ้ ลว้ ท่านโกณฑญั ญะจึงได้สมญาวา่ อญั ญาโกณฑญั ญะ และได้รบั การบวชเปน็ พระสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา โดยเรียกการบวชท่ีพระพุทธเจ้าบวชให้ วา่ \"เอหิภกิ ขุอปุ สัมปทา\" หลงั จากปัญจวคั คีย์อุปสมบททัง้ หมดแล้ว พุทธองค์จึงทรงเทศน์อนตั ตลักขณสตู ร ปญั จวัคคีย์จึงสาเรจ็ เปน็ อรหนั ต์ในเวลาต่อมา ประวตั ิพระพุทธเจา้ : การเผยแผ่พระพทุ ธศาสนา ตอ่ มาพระพุทธเจ้าได้เทศนพ์ ระธรรมเทศนาโปรดแก่ยสกลุ บตุ ร รวมท้ังเพื่อนของยสกุลบุตร จนได้ สาเรจ็ เป็นพระอรหันต์ทัง้ หมด รวม 60 รปู พระพุทธเจ้าทรงมพี ระประสงคจ์ ะให้มนุษย์โลกพน้ ทกุ ข์ พ้นกิเลส จึงตรสั เรยี กสาวกทั้ง 60 รูป มา ประชมุ กัน และตรัสให้พระสาวก 60 รูป จาริกแยกยา้ ยกนั เดินทางไปประกาศศาสนา 60 แห่ง โดยลาพัง ใน เสน้ ทางที่ไมซ่ ้ากัน เพ่ือให้สามารถเผยแผพ่ ระพุทธศาสนาได้ในหลายพ้ืนท่ีอยา่ งครอบคลุม สว่ นพระองค์เองได้ เสดจ็ ไปแสดงธรรม ณ ตาบลอุรุเวลา เสนานิคม หลังจากสาวกได้เดนิ ทางไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในพ้ืนท่ีต่าง ๆ ทาให้มผี เู้ ลอ่ื มใสพระพทธุ ศาสนาเป็น จานวนมาก พระองค์จงึ ทรงอนญุ าตใหส้ าวกสามารถดาเนนิ การบวชได้ โดยใชว้ ธิ ีการ \"ตสิ รณคมนปู สมั ปทา\" คือ การปฏิญาณตนเปน็ ผ้ถู ึงพระรัตนตรยั พระพุทธศาสนาจึงหย่ังรากฝงั ลึกและแพรห่ ลายในดินแดนแหง่ นน้ั เปน็ ต้นมา

ประวัตพิ ระพุทธเจา้ : เสดจ็ ดับขันธ์ปรินิพพาน ประวตั ิพระพุทธเจ้า พระสมั มาสัมพทุ ธเจา้ ได้เสดจ็ โปรดสัตว์และแสดงพระธรรมเทศนา ตลอดระยะเวลา 45 พรรษา ทรง สดบั ว่า อกี 3 เดอื นข้างหนา้ จะปรนิ พิ พาน จงึ ได้ทรงปลงอายุสงั ขาร ขณะนน้ั พระองค์ไดป้ ระทบั จาพรรษา ณ เวฬคุ าม ใกลเ้ มอื งเวลาสี แคว้นวชั ชี โดยกอ่ นเสดจ็ ดับขันธป์ รินพิ พาน 1 วัน พระองค์ไดเ้ สวยสุกรมัททวะที่นาย จุนทะทาถวาย แต่เกิดอาพาธลง ทาให้พระอานนทโ์ กรธ แต่พระองค์ตรัสว่า \"บิณฑบาตที่มีอานสิ งสท์ ่สี ดุ มี 2 ประการ คือ เมื่อตถาคต (พทุ ธองค)์ เสวยบิณฑบาตแล้วตรัสรู้ และปรนิ ิพพาน\" และมีพระดารัสว่า \"โย โว อาน นท ธมม จ วินโย มยา เทสิโต ปญญตโต โส โว มมจจเยน สตถา\" อันแปลว่า \"ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวนิ ยั อัน ทีเ่ ราแสดงแล้ว บัญญตั แิ ลว้ แกเ่ ธอทั้งหลาย ธรรมวินยั นน้ั จกั เป็นศาสดาของเธอทัง้ หลาย เมื่อเราล่วงลบั ไป แล้ว\" พระพทุ ธเจา้ ทรงประชวรหนกั แตท่ รงอดกลัน้ มุ่งหน้าไปยังเมืองกสุ ินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพ่ือ เสด็จดบั ขันธ์ปรนิ ิพพาน โดยก่อนที่จะเสด็จดับขนั ธ์ปรนิ ิพพานนน้ั พระองค์ได้อปุ สมบทแกพ่ ระสภุ ทั ทะ ปรพิ าชก ซึง่ ถือไดว้ ่า \"พระสภุ ภัททะ\" คือสาวกองค์สุดท้ายท่ีพระพุทธองค์ทรงบวชให้ ทา่ มกลางคณะสงฆ์ทงั้ ที่ เป็นพระอรหนั ต์ และปถุ ชุ นจากแควน้ ต่าง ๆ รวมท้ังเทวดา ทีม่ ารวมตัวกนั ในวนั นี้ ในครานั้นพระองค์ทรงมีปัจฉิมโอวาทวา่ \"ดกู ่อนภิกษุทงั้ หลาย เราขอบอกเธอทงั้ หลาย สังขารทงั้ ปวงมี ความเสอ่ื มสลายไปเป็นธรรมดา พวกเธอจึงทาประโยชน์ตนเอง และประโยชน์ของผู้อ่นื ให้สมบรู ณ์ดว้ ยความไม่ ประมาทเถดิ \" (อปปมาเทน สมปาเทต) จากน้นั ได้เสด็จดบั ขนั ธป์ รนิ ิพพาน ใต้ต้นสาละ ณ สาลวโนทยาน ของเหล่ามลั ลกษตั ริย์ เมืองกสุ นิ ารา แคว้นมลั ละ ในวันขึน้ 15 คา่ เดอื น 6 รวมพระชนมายุ 80 พรรษา และวันน้ีถอื เปน็ การเรม่ิ ตน้ ของพุทธศักราช


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook